ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose  (อ่าน 292741 ครั้ง)

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
โฮฮฮฮฮฮฮฮ


หมอธารจะหายมั้ยเนี่ยยยยยยยย


 :sad2:

rain-at-rose

  • บุคคลทั่วไป
ประกาศแจ้งแทนพี่พิม (คนสวย) ค่า

ช่วงนี้พี่พิมลงนิยายไม่ได้ค่า ^^" เข้าบอร์ดไม่ได้ พี่พิมบอกว่า คนที่อยู่ต่างประเทศเข้าบอร์ดเล้าเป็ดไม่ได้เลย....ตอนต่อไปอดใจรอก่อนนะเจ้าคะ  (ไม่นานเกินรอ )

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ดันๆๆครับผมไปไหนแล้วครับ

ผมรออ่านทุกวันเลยครับ

รอๆๆๆๆ :L1: :L1: :L1:

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ้อแบบนี้นี่เอง ครับผม เข้าใจละครับ รอได้ อิอิ

แต่อย่าให้นานนะครับผม

แล้วไปทำไรอ่า อิอิ เสือกซะงั้นผม ขำๆครับ

รักคนแต่งครับผม กลับมาเร็วๆนะครับ ผมคิดถึง :L1:

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

BLkaiwhan

  • บุคคลทั่วไป
ฮือออออออออออ  :m15:
สงสารหมอธารอ่ะ.....ผู้กองใจร้าย....

รออ่านอยู่นะค๊า เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2:

rain-at-rose

  • บุคคลทั่วไป
มาแวะแจ้งข่าวแทนพี่พิมเจ้าค่ะ ^_^

ข้อความที่พี่พิมฝากมาค่า

อ้างถึง
ปล ยังเข้าเวปเซ็งเป็ดไม่ได้เลยน้องเรน เห็นว่าสิ้นเดือนเค้าจะเปลี่ยน ISP ไม่รู้ว่ากว่าจะเข้าได้ก็สิ้นเดือนเลยรึเปล่านะ

เพราะเหตุนี้ล่ะค่า ช่วงนี้มันอาจจะหายต๋อมไป  :m23: อดทนรอสักนิดนะเจ้าคะ รอให้พี่พิมหาทางเข้าบอร์ดได้ก่อนค่า  :a2:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
รอคร้าบบบบบ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
เข้าเล้าได้แล้วคับ  เล้าเพิ่งเปลี่ยน ISP ได้  หายไปเกือบเดือนนึงเต็มๆ เลยเนอะ 
ยังจะอ่านกันอยู่รึเปล่าเนี่ย  เอิ๊กๆ กลัวจะลืมเรื่องนี้กันไปหมดแล้ว 

อืมม  ไว้ยังไงจะมาโพสต่อให้จบแล้วกันน้า   :กอด1:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 4 Pain/ ความปวดร้าว
 
เมื่อร่างบางมองแผ่นหลังของธีรเดช ดูเหมือนว่าจะเส้นใยที่เชื่อมสัมพันธ์มันเหินห่าง แต่หลับตาลงครั้งใดก็รู้สึกถึงความไว้วางใจที่มีให้ สายตาของธีรเดชจับจ้องท้องฟ้า คิดว่าเมื่อไรที่กิ่งไผ่อาการทุเลาลงจะได้หนีออกจากป่าแห่งนี้เพราะอยู่ในวงล้อมของศัตรู
 
“อาการของคุณเป็นอย่างไรบ้าง”ธีรเดชหันไปถามกิ่งไผ่ที่ครึ่งนั่งครึ่งเอนพิงต้นไม้ สีหน้าค่อนข้างดีขึ้น ผิวสีมะปรางสุกปรากฏรอยระเรื่อ
 
“สบายดี...”กิ่งไผ่ตอบ นายทหารหนุ่มจากไทยโล่งใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายอาการทุเลาลง
 
“งั้นก็ดีแล้ว”
 
กิ่งไผ่มองท่าทีของธีรเดชคล้ายขบคิดเรื่องบางอย่าง ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่สอบสวนว่าทำไมเขาพูดไทยได้ และทำไมยังคงไว้วางใจ
 
“คุณจะออกเดินทางสินะ...จะหาทางกลับชายแดนไทยหรือ?”
 
ธีรเดชผงกหัว คิดจะหาทางกลับไปยังไทย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะกลับอย่างไร หนทางช่างริบหรี่เหลือเกิน
 
“แต่ติดอยู่ที่ผมสินะ?”
 
กิ่งไผ่ว่า นายทหารหนุ่มสั่นหัว
 
“เปล่า...ไม่ใช่อย่างนั้น”ธีรเดชรีบปฏิเสธทันควัน กิ่งไผ่มองในแววตาของผู้กองหนุ่ม
 
“คุณไว้ใจผมหรือเปล่า....”กิ่งไผ่ตั้งคำถามใหม่
 
“ถ้าจะให้ตอบตามตรงล่ะก็ ไม่...เพราะคุณมีท่าทีพิรุธเกินไป มีบางอย่างที่ดูไม่น่าไว้วางใจ มีหลายๆอย่างที่ผมต้องระวัง”
 
คำพูดของธีรเดชทำให้กิ่งไผ่นิ่ง
 
“แล้วทำไมคุณต้องช่วยผม เพราะสงสารหรือ”
 
ธีรเดชส่ายหน้า“เพราะอยากรู้ต่างหากล่ะว่าคุณเป็นใคร”
 
“แล้วถ้าผมคิดทรยศคุณล่ะ...”กิ่งไผ่ขัด จ้องหน้าของธีรเดชเขม็ง
 
“ถึงตอนนั้นผมคงต้องฆ่าคุณก่อน”
 
ความตึงเครียดเกิดขึ้นทันใด ดวงตาที่ประสานริ่มสั่นคลอนแคลน ความไม่ไว้วางใจก่อเกิด กิ่งไผ่เริ่มระแวง..เพราะอย่างนี้สินะถึงยื่นมือช่วย สายตาเรียวเริ่มหาทางออกและวิธีรับมือยามดวงตาจริงจังสบมอง...สุดท้ายแล้วเขาไม่น่าไว้วางใจเลย...ธีรเดชเขยิบเข้ามาใกล้ กิ่งไผ่ถอยหนี  แต่แผ่นหลังติดต้นไม้ จะเลี่ยงไปทางอื่นไม่ได้ สายตาเหลือบเห็นปืนจึงคว้ามันขึ้นมาอย่างว่องไว้  จ่อปลายกระบอกปืนไปทางธีรเดช นายทหารหนุ่มจากไทยชะงักแค่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ ดวงตาของกิ่งไผ่เอาจริงว่าจะยิงแน่ๆ นิ้วเรียวที่เตรียมลั่นโกร่งไกปืนสั่นระริก แต่ก็ไม่เห็นแววหวาดหวั่นในดวงตาของอีกฝ่าย มือแกร่งยื่นออกไป กิ่งไผ่หลับตาโดยอัตโนมัติแล้วต้องสะดุ้งเมื่อฝ่ามืออุ่นๆแตะแก้มเย็นเฉียบแผ่วเบา
 
“ปืนกระบอกนี้มีกระสุนอยู่ จะยิงก็ได้ ผมไม่ห้าม มันเป็นสิทธิ์ของคุณที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง”
 
ธีรเดชเอ่ย บนใบหน้าทอดรอยยิ้มนุ่มนวล  กิ่งไผ่ลืมตาขึ้นมองดวงหน้าแกร่งที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ
 
“คุณก็มีสิทธิ์ที่จะไว้ใจผมเช่นกัน”กิ่งไผ่ตอบกลับ สัมผัสจากมือแกร่งลบความกังวลและความไม่ไว้วางใจออกไปจนหมดสิ้น
 
“ผมพูดเล่นน่ะ เราตกระกำลำบากด้วยกันสิ่งสำคัญก็คือความไว้วางใจกันและกัน”
 
ชายหนุ่มปล่อยมือออกจากพวงแก้ม มือแกร่งจับปืนออกห่าง บีบมือเรียวเบาๆ
 
“ตอนนี้ผมไม่มีอำนาจพอที่จะจัดการเรื่องอื่นๆได้ ไม่ต้องเป็นห่วง...อยู่ที่นี่เราคือเพื่อน”คำพูดของชายหนุ่มอบอุ่น
 
“แต่ถ้าสิ้นสุดเมื่อไร...ผมคงเป็นเชลยที่ต้องสอบสวนสินะ”กิ่งไผ่เอ่ยต่อ
 
ธีรเดชไม่พูดอะไร กิ่งไผ่ชักมือหนีจากมือของธีรเดช  นายทหารหนุ่มเงียบไป...ทุกอย่างเป็นความจริงอย่างที่กิ่งไผ่เอ่ย...หากกลับคืนสู่ตำแหน่งหน้าที่ เขาก็ต้องสอบสวนกิ่งไผ่ จึงพูดอะไรไม่ออก กิ่งไผ่ยิ้มเศร้า...รอยยิ้มที่ทำให้ธีรเดชรู้สึกแย่
 
“อย่ายิ้มแบบนี้สิ มันเท่ากับว่าคุณไม่ไว้ผม”
 
ธีรเดชกล่าว ชายหนุ่มนั่งข้างๆกิ่งไผ่ รอยยิ้มเศร้ายังไม่เลือนจากใบหน้า
 
“ผมยิ้มเศร้าหรือ”กิ่งไผ่ถาม นายทหารหนุ่มผงกหัว
 
“ใช่...รอยยิ้มของคุณมันเศร้าสร้อยคล้ายมีบางอย่างอยู่ในใจ”
 
เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น“อ่านใจคนอื่นได้ด้วยหรือ?”วงหน้าคล้ายอิสตรีเหลือบมองเสี้ยวหน้าแกร่ง ธีรเดชยิ้มเขินๆ
 
“ไม่หรอก...ผมแค่สังเกตท่าทีของคุณเอาน่ะ”
 
คำตอบของชายหนุ่ม กิ่งไผ่มองใบหน้ายิ้มเขินๆสิ่งที่อยู่ในใจบอกว่าหากเขาไว้ใจคนๆนี้มากเท่าไร สุดท้ายความไว้วางใจนั้นมันจะย้อนทำร้ายตัวเขาเอง...สัญชาติญาณลึกๆเตือน
 
“ดูท่าทางคุณจะเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่ายๆนะ”
 
กิ่งไผ่ว่า ธีรเดชยักไหล่
 
“ก็ไม่หรอก”น้ำเสียงแผ่ว ดวงตาอ่อนโยนหรี่ลงอย่างเศร้าๆ
 
“คุณอาจจะมองว่าผมเข้ากับคนอื่นได้ แต่ตัวผมแล้วไม่มองแบบนั้นเลย...ผมรู้สึกแย่ที่ตัวเองมองท่าทีของคนอื่นออกแต่มองดูตัวเองไม่ออก มันตลกไหมล่ะ”
 
กิ่งไผ่สั่นหัว“ไม่...ไม่ตลกเลยสักนิด”
 
ธีรเดชถอนใจกับคำพูดของอีกฝ่าย
 
“ดูเหมือนคุณจะไม่ชอบกับนิสัยใจดีของตัวเองสินะ”
 
กิ่งไผ่ตั้งข้อสังเกต ผู้กองหนุ่มจากไทยมองท้องฟ้าอย่างนึกหยัน
 
“ใช่...เพราะความใจดีมันทำให้ผมต้องทุกข์ใจ ต้องเสียสละสิ่งที่ผมรัก...สิ่งที่ผมเฝ้าถนอมมานาน”
 
สายตาของธีรเดชระลึกถึงต้นธารา...เขารักคุณหมอธารแต่ก็ไม่มีวันได้หัวใจมาครอบครอง...เพราะในใจของต้นธารามีเเต่ผู้กองภานุเพียงคนเดียว!
 
“หมายถึงคนที่คุณรักหรือเปล่า”กิ่งไผ่ตีความหมายของคำพูด
 
“ใช่...”น้ำเสียงกลั่นออกมาราวกับฝืนทนกับความรู้สึกที่เจ็บช้ำ “มีแต่ผมรักเขาอยู่ฝ่ายเดียว ”
 
กิ่งไผ่เงียบไปไม่รู้ว่าสมควรจะปลอบเช่นไรดี ธีรเดชกลับหัวเราะอย่างนึกขัน
 
“แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
 
“คุณเป็นคนที่น่าสงสาร”
 
ธีรเดชชะงัก มองหน้าของกิ่งไผ่ ดวงตาสีนิลจับจ้องอย่างทะลุปรุโปร่ง
 
“คุณคงเจ็บแค้นสินะแต่คุณก็ไม่มีวันแสดงออกได้”
 
ธีรเดชได้ฟังก็ผงกหัวรับเงียบๆ สบดวงตาสีนิลตรงๆ
 
“ลืมเสียเถอะ ความเจ็บปวดที่อยู่ในใจคุณ...คุณยังมีโอกาสเริ่มความรักใหม่ได้”
 
คำปลอบโยนนั่น ธีรเดชฟังแล้วรู้สึกห่อเหี่ยวเพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
 
“ผมลืมไม่ได้”
 “คุณควรทำเพื่อตัวคุณเอง ครั้งแรกมันอาจทรมานที่จะลืมคนที่คุณรัก แต่หากไม่ลืม มันก็เหมือนว่าคุณเอาหนามมาหยอกอก...ความรักไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว...”เอ่ยจบ กิ่งไผ่ก็ทรุดตัวนอน  ธีรเดชเหลือบมองดวงหน้า พิศขนตายาวราวผู้หญิง ผมดำเป็นมันกระจายแผ่ล้อมแผ่นหลัง
 
“พูดเหมือนกับว่าเชี่ยวชาญเรื่องความรักเหลือเกิน”
 
ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยขณะหลับตา“ไม่หรอก...ผมไม่เคยมีความรักให้ใครนอกจาก...”กิ่งไผ่เงียบไป สักพักก็หันหน้ามามองนายทหารหนุ่ม“นอกจากคนที่หัวใจผมจะรักจริงๆ”
 
 ธีรเดชมองสีหน้าเรียบเฉย“คนที่คุณรักน่ะหรือ...”
 
“ใช่...”แผ่นหลังบอบบางคู้เข้าหากัน...ความรู้สึกที่พูดผ่านริมฝีปาก หัวใจกิ่งไผ่รู้ดีว่ามันหมายถึงใคร
 
------------------------------------------------
 

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
สายลมพัดโบกสะบัด ภานุมองดูเงาที่ทอดลงบนพื้นไม้  ระหว่างที่ออกกำลังกายเสร็จ ชายหนุ่มเดินทอดน่องเอื่อยๆไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ  ภาพภายในยังคงเหมือนเดิม คุณหมอมาริสายิ้มทักเมื่อชายหนุ่มก้าวเข้าไป
 
“มาที่นี่บ่อยจังเลยนะคะ”
 
หญิงสาวเอ่ยทัก ภานุยิ้มน้อยๆและกวาดตามองหาใครสักคนทั้งๆที่รู้ตัวดีว่าไม่อยู่ที่นี่แล้ว
 
“วันนี้เป็นวันที่จ่าแม้นกับผู้กองรังสรรด์จะออกมาจากโรงพยาบาลใหญ่ ผู้กองภานุจะไปรับไหมคะ”
 
คุณหมอมาริสาเอ่ยถามชายหนุ่ม ภานุผงกหัว
 
“ครับ...”เพียงรับคำสั้นๆ หัวใจว่างเปล่ามีความรู้สึกโหยหาอยู่เต็มดวงใจ
 
“ผู้กองเป็นอะไรไหมคะ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย”มาริสาถาม
 
“ไม่มีอะไรครับ”ชายหนุ่มปฏิเสธ  ก่อนจะขอตัว
 
“ได้ข่าวเรื่องผู้กองธีรึยังคะ?”คุณหมอมาริสาเอ่ยถามกะทันหัน
 
ชายหนุ่มชะงักก่อนจะตอบเรียบๆ “ยังเลยครับ ผมยังไม่ถามผู้พันเลย”
 
สีหนาของคุณหมอนั่นมีรอยเป็นห่วง เธอบอกขอบคุณก่อนจะกลับไปทำงานต่อ ภานุเดินออกมายังเบื้องนอก ดวงอาทิตย์แผดแสงจัดจ้า ในดวงตาปวดร้าว เดินไปยังศูนย์บังคับบัญชา ผู้พันมีทรัพย์กำลังตรวจเอกสารเงยหน้ามองภานุเดินหน้าเศร้าเข้ามา ท่านก็เอ่ยทัก
 
“อ้าว...กลับมาทำงานแล้วรึ ทำไมไม่พักอีกสักหน่อยล่ะ?”
 
ภานุนั่งลงยังเก้าอี้ยิ้มตอบผู้บังคับบัญชาการ
 
“เบื่อครับผู้พัน เอ่อ...การติดตามผู้กองธีรเดชเป็นอย่างไรบ้างครับ”
 
ผู้พันมีทรัพย์มองใบหน้าอิดโรยของลูกน้อง ท่านไม่พูดอะไรมากนัก
 
“ตอนนี้ทางเบื้องบนกำลังจัดการ ได้ข่าวว่าเรื่องนี้นายพลเราถึงกับออกโรงเอง”
 
ภานุฟังเงียบๆ ไม่แปลกใจที่ท่านนายพลอรุณออกโรงเอง
 
“เออ...รู้ข่าวคุณหมอธารบางไหม เงียบหายไปเลยนึกห่วงจริงๆ”
 
ผู้พันมีทรัพย์เอ่ยถามถึงคุณหมอธาร ภานุได้ฟังชื่อนี้มันก็กรีดลงไปในใจ
 
“ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลครับ คุณหมอป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว”
 
ผู้พันมีทรัพย์ได้ฟังก็นิ่งอึ้ง
 
“อะไรนะ ป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวหรือ....แล้วทำไมไม่เห็นคุณหมอบอกอะไรใครเลยล่ะ”
 
ภานุไม่ตอบคำ
 
“ว่าสิทำไมทางค่ายใหญ่ถึงนำเฮลิคอปเตอร์มารับ น่าสงสารแท้ๆอายุยังน้อย”
 
ผู้พันมีทรัพย์รำพึง ผู้กองภานุนิ่งเงียบไป
 
“แกก็เหมือนกัน รักษาสุขภาพหน่อยเดินเข้ามาหน้าตาอิดโรยเชียว”
 
“ครับ ผมจะดูแลตัวเอง”รับคำอย่างเอื่อยเฉื่อย
 
“เฮ้อ...ท่าทีแกมันน่าห่วงจริงๆวันนี้รังสรรค์กับจ่าแม้นจะกลับค่ายแล้วจะไปเยี่ยมก็ได้นะ”
 
ภานุผงกหัวอย่างหน่ายๆ ผู้พันลุกขึ้นไปชงกาแฟ พลางชูถ้วยขึ้นเชิญให้ดื่มด้วย  ภานุเอ่ยปฏิเสธก่อนจะลุกขึ้นมองนอกหน้าต่าง ดวงตายังคงติดแววเหม่อลอย ทำอย่างไรก็ยังลืมไม่ได้ ภานุแตะขอบหน้าต่างลึกๆแล้วเขายังต้องการ...บ้าฉิบ...ชายหนุ่มโมโหตัวเองที่ใจยังรู้สึกผูกพันกับคนที่ทำให้เพื่อนรักที่สุดตาย....ปฏิเสธหัวใจเท่าไรก็ไม่อาจทำได้เลยว่ายังรัก...เลิกคิดถึงอดีตกลับมาใส่ใจกับเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่ยิ่งทำแบบนั้น สิ่งที่บีบคั้นคือความสัมพันธ์ที่ไม่อาจลืมยังติดค้างอยู่ในใจ
 
------------------------------------------------
 
หัวใจที่ผิดหวัง สิ่งที่เหลืออยู่คือหยาดหยดน้ำตาพร่างพรม อ่อนไหวไปกับกระแสธารแห่งอารมณ์ เฝ้าคิดวนเวียนถึงรูปถ่ายใบนั้น....มันไร้ค่า...ไร้ค่าเหลือเกิน  ไม่มีเหตุผลแล้วที่จะรักต่อไป หัวใจและชีวิตที่ทุ่มเทให้ ควรจะเข็ดเสียที...ปวดร้าวมามากพอแล้ว น้ำตาที่หลั่งรินไปพร้อมกับความเสียใจปลุกให้ป้าสมตื่นขึ้นมา
 
“คุณหนูธารเป็นอะไรไหมเจ้าค่ะ”ป้าสมเดินมาแตะตัวอย่างอ่อนโยน
 
“ไม่มีอะไรหรอกสม”ชายหนุ่มตอบอดีตแม่นม  ป้าสมมองดวงหน้าอาบไปด้วยน้ำตา
 
“ไม่เป็นอะไรแล้วทำไมคุณหนูร้องไห้ละเจ้าคะ”
 
ป้าสมลูบเรือนผมของคุณหนูต้นธาราอย่างอ่อนโยน นางหยิบผ้าซับน้ำตาที่ไหลหลั่งริน
 
“กลัวหรือเจ้าคะ”น้ำเสียงปลอบโยนถามราวกับชายหนุ่มเป็นเด็กตัวเล็กๆ
 
“เปล่า...ผมไม่กลัวหรอกครับป้า...หากผมตายก็คงดีสินะ?” ต้นธาราถาม ป้าสมหน้าเสีย
 
“อย่าพูดแบบนี้สิเจ้าคะ สมฟังแล้วใจไม่ดีเลย คุณหนูธารยังมีคนที่คิดถึงยังมีคนรักคนคอยห่วงใยอยู่นะเจ้าคะ”
 
 ต้นธาราเบือนหน้าหนี
 
“หรือว่าโกรธคุณพ่อเจ้าคะ?”สมถามลองเชิง ต้นธาราส่ายหน้า
 
“ผมจะโกรธพ่อทำไมกัน...เฮ้อ ช่างเถอะ ป้าสมไปนอนเถอะ”ชายหนุ่มไล่
 
“คุณหนูโกรธแบบนี้ สมหลับไม่ลงหรอกเจ้าค่ะ”แม่นมที่อุ้มชูเลี้ยงดูเขาตั้งแต่ตอนเด็กๆว่า
 
“ป้าสมครับ...ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ผมไม่ได้โกรธใครทั้งนั้น ผมแค่...”ต้นธาราชะงัก สมยิ้มน้อยๆ
 
“แค่อะไรเจ้าคะ”
 
ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็เงียบและไล่แม่นมให้ไปนอน
 
“ไม่มีอะไรครับ ป้าสมไปนอนเถอะ”ต้นธาราหันหลังให้แม่นม
 
เมื่อไม่อาจคาดคั้นได้แต่มองอย่างเป็นห่วง นางกลับไปนอนต่อ สีหน้าของต้นธารายังประดับไปด้วยความเศร้าโศก...
 
...ใจยังดื้อดึงที่จะรักต่ออยู่หรือ เขายังเจ็บช้ำไม่พอหรือ ที่คิดจะรักผู้กองไร้ใจต่อ...
 
หาคำตอบให้ตัวเองกลับได้แต่ความว่างเปล่า ทั้งๆที่รู้ดีว่าหากปล่อยหัวใจล่องละลอยไปกับความรู้สึกมากเท่าไร เขาก็จะได้รับความเจ็บปวดมากเท่านั้น...แล้วเขาจะแทนผู้กองนาคีได้หรือเปล่า...เขาจะข้ามขีดเส้นแห่งความเกลียดชังได้หรือ... มันคงไม่มีทางเป็นไปได้
 
------------------------------------------------
 
 รุ่งเช้าท่านนายพลมาเยี่ยมเยือนบุตรชายพร้อมกับพันเอกชานเนน ต้นธาราลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแม่นมคุยอะไร
บางอยางกับบิดา นายพลพิภพทำหน้าหนักใจ
 
“ เมื่อคืนธารร้องไห้งั้นหรือ”
 
ป้าสมผงกหัว ต้นธาราฟังเงียบๆ สายตาของนายพลพิภพหันมาเจอดวงตาที่จ้องเขม็งก็เงียบไป
 
“ตื่นแล้วหรือลูก”
 
ท่านนายพลรีบเดินมาข้างเตียงยิ้มให้บุตรชายอย่างอ่อนโยน ต้นธาราเหลือบมองคนที่มากับบิดา
 
“นี่พันเอกชานเนนฑูตทหารของพม่า”
 
ต้นธาราพยายามยกมือไหว้ แต่เรี่ยวแรงกลับอ่อนล้า
 
“ สวัสดีครับ”ชานเนนทักทาย
 
“เขาเป็นคนที่ช่วยประสานเรื่องช่วยธีรเดช”
 
ต้นธาราเข้าใจ มองใบหน้าพันเอกหนุ่มที่ยิ้มบางๆให้
 
“อาการของคุณหมอธารเป็นอย่างไรบ้างครับ”
 
น้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวลถาม มือแกร่งเอื้อมแตะมือบางเบาๆ นายพลพิภพยิ้มน้อยๆกับสิ่งที่เห็นมือเย็นเฉียบรับรู้ความอบอุ่นที่ถ่ายทอด...ความรู้สึกที่ไหลหลั่งรินไปสู่หัวใจที่ทุกข์ทรมาน
 
 
------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
หมอธาร กิ่งไผ่ กลับมาแล้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว ดีใจจัง อิอิ  :oni1:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
ไปหาเค้าสิผู้กองงงงงงง

rain-at-rose

  • บุคคลทั่วไป
มาเป็นกำลังใจให้พี่พิมเจ้าค่ะ  :L2: ยินดีที่เข้าบอร์ดมาได้ค่า :กอด1:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
มาดันให้พิมกะน้องเรนคนฉวย  :m4: :m4:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับผม ชอบๆมากเลย

ได้อ่านซะทีครับผม

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
คิดถึงหนูพิมกะน้องเรนคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
มาแล้วค้าบบบ  ต่อเลยๆ
++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 5 sensibilité/ หวั่นไหว [Part1]
 
สิ่งเดียวที่ทำให้คุณหมอธารสบายใจได้คงเป็นรอยยิ้มของชานเนน  นายทหารหนุ่มที่มาคุยเล่นเป็นเพื่อน หลังจากที่พันเอกชานเนนมาเยี่ยมอีกครั้งก็ได้พูดคุยให้กำลังใจต้นธาราหลายอย่าง จนคุณหมอรู้สึกว่าเรื่องหนักหนาสาหัสค่อยๆบรรเทาเบาบางลง คุณหมอหนุ่มนั่งยิ้มกับมุขตลกที่พันเอกชานเนนเล่าให้ฟัง ....นานเท่าไรที่ไม่ได้รู้สึกสบายใจเเบบนี้
 
“คุณยิ้มแล้วดูสดใสขึ้นเยอะเลย เห็นทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บ่อยๆผมก็นึกเป็นห่วง”
 
ชานเนนกล่าว มองเสี้ยวหน้าซีดขาวแล้วยิ้มให้ด้วยความจริงใจ  ผิดกับต้นธาราที่หุบยิ้ม
 
“เป็นปกติของผมอยู่แล้วที่ไม่ยิ้ม”
 
คุณหมอหนุ่มกล่าวตอบ น้ำเสียงไร้ความรู้สึก ซบหน้าลงกับหมอน ท่าทีเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ชานเนนขมวดคิ้วแต่ยังไม่คลายรอยยิ้มบนหน้า
 
“ก็ยิ้มบ้างสิครับ คนเรามองโลกมืดมนนักก็ไม่ดีหรอก”ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 
 
ดวงตาที่เคยเป็นประกายสดใสเต็มไปด้วยความหม่นหมอง
 
“ปกติผมก็ไม่เคยมองโลกในเเง่ร้ายนี่ครับ?”
 
 ต้นธาราว่าอย่างชืดชา ดึงผ้าห่มคลุมกายเอาไว้ด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก
 
“คุณหมอคงเหนื่อย...ขอโทษที่รบกวนเวลาพักผ่อนครับ”
 
พันเอกชานเนนลุกขึ้นคล้ายกับจะอำลา ต้นธาราเหลือบมอง รู้ตัวดีว่าเสียมารยาทและทำตัวเป็นเด็กเกเรทั้งๆที่พันเอกชานเนนพยายามผูกมิตร  ต้นธารามองอย่างขอโทษ  พันเอกหนุ่มยิ้มตรงมุมปากเมื่อเห็นท่าทีนั้น
 
“จะให้ผมเรียกป้าสมไหมครับ”
 
คนที่อารมณ์ปรวนแปรส่ายหน้า ชานเชจึงทรุดนั่งลงยังที่เดิม
 
“คุณหมออยากไปเดินเล่นไหมครับ”
 
 ต้นธาราไม่ยอมตอบ ชานเนก็นิ่งเงียบ มองดวงหน้าซีดขาวลังเลใจกับคำชวนราวกับเป็นขนมหวานชั้นดี
 
“เห็นหมอธารนอนมาอาทิตย์หนึ่งแล้วไม่เบื่อบ้างหรือ”
 
ต้นธารายอมรับว่าเขาก็รู้สึกเบื่อเหมือนกันที่ต้องนอนอยู่บนเตียงไม่ได้ออกไปไหน ส่วนหนึ่งก็เพราะตัวเขาเองอยากอยู่เงียบๆ ให้ความเงียบเหงาเดียวดายรักษาความเจ็บปวดในใจเงียบๆ  แม้อยากตอบรับคำชวนแต่ก็กลัว เพราะความรู้สึกบางอย่างก่อขึ้นมาภายในใจ....เพราะไม่อาจใช้นายทหารต่างชาติเเทนคนใจร้ายคนนั้นได้....ต่อให้ตัวเองเจ็บปวดใจเเค่ไหน.....เพราะมันน่าสมเพชเกินไป  พันเอกชานเนนรอคำตอบ คุณหมอหนุ่มนิ่งงันไม่ตอบสนองใดๆ
 
“ไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรครับ”
 
ชานเนนเอ่ยเพราะรู้สึกว่าคุณหมอลำบากใจต่อคำเชิญชวน 
 
“ถึงเวลาที่ผมต้องกลับแล้ว ขอให้คุณหมอหายเร็วๆนะครับ”
 
พันเอกชานเนนเอ่ยคำอวยพรก่อนลากลับ นายทหารหนุ่มยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินออกจากห้องพักของคุณหมอหนุ่ม ป้าสมเดินเข้ามาเมื่อแขกที่มาเยี่ยมคุณหนูของนางกลับไปแล้ว
 
“วันนี้ท่านชานเนนกลับเร็วจังนะคะ”
 
ป้าสมเอ่ย ต้นธาราไม่ยอมตอบ สีหน้าบูดบึ้งจนอดีตแม่นมยิ้มน้อยๆมือวางทาบมือของต้นธารา
 
“ทำไมหนูธารของป้าทำหน้าแบบนี้ละคะ? ไม่พอใจหรือที่พันเอกชานเนนมาเยี่ยม มาอยู่เป็นเพื่อนคุย?”
 
ชายหนุ่มมองใบหน้าของแม่นมก่อนจะถามสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจอย่างกังขา
 
“ป้าสมคิดว่าพันเอกนั่นวางแผนทำอะไรรึเปล่า ถึงได้เข้ามาทำสนิทสนมกับผมแทนที่จะไปคุณกับพ่อแทน ”
 
ป้าสมชะงักมองคุณหนูที่เลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออด
 
“ทำไมคุณหนูถามป้าแบบนี้ล่ะเจ้าคะ....ป้าสมไม่เข้าใจ”
 
นางทรุดนั่งข้างเตียง ต้นธาราขมวดคิ้ว สีหน้าครุ่นคิด
 
“ก็...ผมสงสัยว่าทำไมพันเอกชานเนนถึงมาเยี่ยมบ่อยๆ ทั้งที่มันไม่จำเป็น”
 
ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกต ป้าสมได้รับฟังแล้วนางก็ยิ้มเจื่อนๆ
 
“มีคนมาเยี่ยมคุณหนูก็ดีแล้วไม่ใช่หรือคะ คุณหนูจะได้ไม่เหงาด้วย”ป้าสมกล่าว  หากต้นธาราถอนใจยาวกับคำพูดของอดีตแม่นม
 
“มันก็ดีครับ แต่คนที่ไม่รู้จักมักจี่ดีทำไมต้องมาสนิทสนมด้วยผมว่ามันแปลกๆ”
 
 “อย่าคิดมากเลยนะคะคุณหนู”ป้าสมเอ่ยขึ้นคล้ายกับพยายามเลี่ยงไม่ให้คุณหนูของเธอสนใจเรื่องของพักเอกหนุ่มมากนัก
 
“เป็นเพราะพ่อใช่ไหม ทำไมพ่อต้องทำกับผมเป็นเด็กๆด้วย”
 
ต้นธาราอารมณ์เสียเพราะคิดว่าบิดาต้องจัดการเรื่องนี้แน่
 
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ”
 
ป้าสมปฏิเสธวุ่นทั้งๆที่ความจริงเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มฟังคำปฏิเสธอย่างอ่อนใจ
 
“ป้าสมบอกพ่อทีนะครับว่าผมไม่ใช่เด็กๆที่ต้องการให้ใครสักคนมาเป็นเพื่อน ไม่ว่าตอนนี้ผมจะอ่อนแอหรือไร้กำลังใจขนาดไหน มันไม่จำเป็น!”ต้นธารพูดตามอารมณ์โกรธเกรี้ยวจนหอบเหนื่อย “ผมจะนอน” พูดตัดบทก่อนซุกใบหน้าเข้าไปใต้ผ้าห่ม
 
ป้าสมเห็นคุณหนูหนีหน้า ไม่อยากเอ่ยเรื่องนี้ต่อ จึงเดินไปยังโซฟาที่ใช้พักผ่อนระหว่างอยู่เฝ้าคุณหนู นางสงสารคุณหนูเหลือเกิน หลังจากที่บอกเรื่องที่คุณหนูร้องไห้  ต้นธาราเอกก็ทำตัวเหมือนตัดขาดโลกภายนอก เพื่อนในวัยเดียวกันก็ไม่ค่อยติดต่อ พอเรียนจบก็ผันตัวเองย้ายไปเป็นแพทย์อาสาที่ชายเเดน นางเองก็ไม่ได้ทราบเรื่องราวของต้นธาราระหว่างใช้ชีวิตที่นั้นมากนักเพราะตั้งเเต่ที่ท่านนายพลพิภพพากลับมาเพราะโรคประจำตัวทรุดหนัก เจ้าตัวก็เอาเเต่เก็บงำคำพูด บางทีก็จะออกอาการเหม่อลอย จนทั้งนางเเละนายพลเองเป็นห่วง ท่านนายพลจึงขอให้พันเอกชานเนนมาเป็นเพื่อนคุยกับต้นธารา  พันเอกชานเนนก็ไม่ขัดข้องที่จะอยู่เป็นเพื่อนคุยกับต้นธารระหว่างอยู่โรงพยาบาล นายพันหนุ่มเป็นคนอารมณ์ดีเสมอจึงทำให้นางเห็นบางวัน ต้นธารายิ้มออกมาบ้าง นางเองก็สบายใจที่คุณหนูเองยอมตอบสนองต่อคนอื่น ไม่จมแต่ในโลกส่วนตัวเพียงอย่างเดียว
 
------------------------------------------------
 
“ธารเป็นอย่างไรบ้าง พูดอะไรบ้างไหม”
 
นายพลพิภพถามก่อนเข้าประชุมเรื่องการหายสาบสูญของร้อยเอกธีรเดช พันเอกชานเนนทรุดนั่งลงบนโซฟาสีดำสนิท
 
“คุณหมอธารหรือครับ...ไม่ยอมพูดออกมาเหมือนเคย”
 
พันเอกหนุ่มตอบ นายพลพิภพเลื่อนถ้วยกาแฟให้
 
“ผมรบกวนคุณจริงๆ”ท่านนายพลเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ นายทหารหนุ่มยิ้ม
 
“มิเป็นไร ขอแค่กระผมได้ช่วยท่านนายพลแบ่งเบาความทุกข์ใจก็ยินดี”
 
ดวงตาของท่านนายพลเต็มไปด้วยความเครียด
 
“ถ้าหากพูดกับธารเอง แกก็คงไม่ยอมบอกตามความรู้สึกจริงๆซักที ...”
 
ท่านนายลเองพูดด้วยความไม่สบายใจ พันเอกชานเนนจ้องเสี้ยวหน้าผู้เป็นเหมือนพญาอินทรี มาบัดนี้เป็นได้ตาแก่ที่มีความรักความห่วงใยต่อบุตรล้นเหลือ
 
“ครับ คุณหมอธารเป็นคนดื้อดึงไม่เบา ผมพูดอะไรนิดๆหน่อยๆผิดหูไปนิดเดียวเป็นต้องโกรธ”
 
ชายหนุ่มกล่าวถึงคุณหมอต้นธาราด้วยน้ำเสียงอาทร
 
“เห็นเงียบๆแบบนั้นตอนดีก็ดีหายตอนโกรธขึ้นมาขนาดผมดุแล้วยังคุมไม่ได้”
 
ท่านนายพลกล่าวแล้วหัวเราะน้อยๆ หากในแววตายังมีความเศร้าเคลือบคลุม...ต้นธาราเอง ‘แรง’แค่ไหนท่านทราบดี...แค่เหตุการณ์ที่ทำเรื่องย้ายไปประจำชายเเดนทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองมีโรคประจำตัวร้ายเเรง มันเป็นเหตุการณ์หนึ่ง ที่เเสดงให้เห็นความ ‘เเรง’ของต้นธาราเป็นอย่างดี 
 
“ท่านนายพลเคร่งเครียดเกินไปแล้วครับ“
 
พันเอกชานเนนกล่าว นายพลพิภพเอนหลังพิงพนักโซฟา สายตาทอดมองไปไกลแสนไกลก่อนจะกลับมาจริงจังเช่นเดิม
 
“หึ....สำหรับคนแก่แล้วก็เป็นแบบนี้ล่ะ ขี้กังวล...ผมก็พูดเรื่องส่วนตัวมากเกินไป ขอโทษที”
 
ชายชราลุกไปหยิบเอกสารเรื่องของธีรเดชยื่นให้แก่ทูตทหารหนุ่มจากพม่า
 
“ครับ...”สายตาของชานเนนกวาดตามองรายละเอียดปลีกย่อย
 
“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับกองโจรกู้แผ่นดินโดยมีนายพลอินคานเป็นผู้นำ”
 
นายพลพิภพกล่าวน้ำเสียงเย็นยะเยียบเมื่อเอ่ยถึงเรื่องงาน  พันเอกชานเนนสูดลมหายใจลึกๆ
 
“ทางเราจะให้ความช่วยเหลือเต็มที่”
 
ชานเนนเอ่ย ท่านนายพลลุกขึ้นเมื่อถึงเวลาประชุม
 
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ”
 
ท่านนายพลเชิญตัวแทนทูตทหารจากพม่าเข้าไปในยังห้องประชุม
 
------------------------------------------------

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
“ไอ้เสือมีหนังสือราชการส่งมาถึงเอ็ง”
 
ผู้พันมีทรัพย์ตะโกนมาแต่ไกล  ภานุเงยหน้าขึ้นมองขณะมาเยี่ยมอาการของจ่าแม้นและร้อยเอกรังสรรค์
 
“เรื่อง? มีอะไรหรือเปล่าครับผู้พัน”
 
ชายหนุ่มลุกขึ้นรับซองเอกสารจากมือผู้พันมีทรัพย์ ซองประทับตราด่วนพิเศษและประทับตราสีแดงเป็นสัญญาลักษณ์ว่าลับมาก มันเป็นซองปิดผนึกมั่นคง ทำให้ชายหนุ่มรีบเก็บจดหมายไว้ในอกเสื้อ
 
“ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่นะ”น้ำเสียงของผู้พันเคร่งเครียด
 
“ครับ...ดูท่าจะเป็นเรื่องใหญ่ เดี๋ยวผมขอไปดูหนังสือก่อนนะครับ”
 
ภานุรีบจ้ำเท้าออกจากโรงพยาบาลเล็กๆ ระหว่างทางก็สวนกับผู้หมวดอานุภาพ
 
“มาเยี่ยมจ่าแม้นกับผู้กองรังสรรค์หรือครับ”
 
ภานุเอ่ยทักเมื่อเห็นหน้า สีหน้าของอานุภาพเรียบเฉย
 
“ครับ ได้ข่าวว่าทั้งคู่กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่ค่ายแล้วก็เลยคิดมาเยี่ยมสักหน่อย”ร้อยตรีอานุภาพกล่าว
 
“เชิญเลยครับ ผู้พันก็อยู่ด้วย”ก่อนที่ภานุจะเดินไป หมวดอานุภาพก็ชวนคุยต่อ
 
“ครับ...แล้วผู้กองภานุหายดียังครับ อาการเป็นอย่างไรบ้าง”
 
สายตาขรึมๆมองอดีตลูกทีม ก่อนชายหนุ่มจะยิ้มให้
 
“ค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว...ขอบคุณในความเป็นห่วง”ถึงคำพูดจะเย็นชา หมวดอานุภาพก็ไม่ถือสา
 
“โชคดีจริงๆที่หายเร็ว”
 
ร้อยตรีหนุ่มว่า สังเกตเห็นซองสีน้ำตาลซ่อนที่ไว้ในอกเสื้อของภานุ
 
“ไม่ตายก็ดีแล้ว”ภานุเอ่ย หมวดอานุภาพยิ้มแห้งๆ
 
 
“เดี๋ยวผมขอตัว มีธุระ”
 
หมวดอานุภาพผงกหัว ภานุเดินจ้ำอย่างรีบเร่งไปยังที่ทำงาน ฝ่ายอานุภาพเข้าเยี่ยมจ่าแม้นและร้อยเอกรังสรรค์ที่โรงพยาบาล
 
“อ้าว...มาเหมือนกันรึอานุภาพ”
 
หมวดอานุภาพยิ้มทักทายก่อนอันดับแรก
 
“ครับ...”
 
สายตาของอานุภาพจับจ้องร่างของจ่าแม้นและผู้กองรังสรรค์
 
“แย่หน่อยนะที่มาตอนพวกเขาหลับพอดี เอ่อ...จริงสิเจอภานุไหม น่าจะสวนทางกัน”
 
อานุภาพผงกหัวลากเก้าอี้มานั่งข้างๆผู้พันมีทรัพย์
 
“เจอครับ ดูท่าทางผู้กองรีบร้อน มีอะไรหรือเปล่าครับ”อานุภาพลองแย้มถาม
 
“อ้อ ...มีเอกสารจากทางกองทัพฯส่งมาไม่รู้ว่าเป็นจดหมายอะไรกันแน่”
 
หมวดอานุภาพได้ฟังแล้วใจหายวาบหากยังตีสีหน้าเป็นปกติ
 
“เกี่ยวกับเรื่องที่ทางหน่วยเราลาดตะเวนแล้วถูกโจมตีหรือเปล่าครับ”
 
ผู้พันมีทรัพย์ส่ายหน้า“ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน...อาจจะใช่ก็ได้ ทางกองทัพคงต้องการข้อมูลเพิ่มเลยเรียกหัวหน้าหน่วยไปสอบ”
 
 “เป็นเรื่องใหญ่น่าดู”
 
ผู้พันมีทรัพย์เห็นด้วย อานุภาพกำมือแน่นกับความรู้สึกคล้ายกับมีชนักติดหลัง
 
------------------------------------------------
 
ภานุฉีกซองสีน้ำตาลอย่างระมัดระวัง หยิบเอกสารข้างในขึ้นมาอ่าน ดวงตากร้าวหรี่ลง...เมื่อทางกองทัพเรียกตัวไปสอบปากคำ เขาต้องไปกรุงเทพ...ชายหนุ่มรู้สึกเหน็บหนาวไปจนถึงขั้วหัวใจ ...เขาต้องไป...ทำไมเขารู้สึกกลัวขึ้นมา? ภานุถามตัวเอง มองเห็นรายชื่อบิดาของต้นธาราอยู่ในลิสต์รายชื่อก็ใจลอย มันเป็นหน้าที่เขาอยู่แล้ว ทำไมรู้สึกว่าไม่กล้าเผชิญหน้า? หลับตาลงนึกถึงร่องรอยหยาดหยดน้ำตารินไหลกลางใจ เหมือนกับเป็นความฝัน...ชั่วครู่หนึ่งจึงรู้สึกตัวว่ามันคือความจริง.... ภานุตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มรีบทำหนังสือรายงานตอบกลับด้วยหัวใจอ่อนล้า
 
------------------------------------------------
 
หลังจากจบการประชุมที่เคร่งเครียดและใช้เวลานานเกินกว่ากำหนด นายพลพิภพรีบรวบรวมเอกสารและกล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมประชุมทุกๆคนอย่างเร่งรีบเพื่อไปยังโรงพยาบาลที่บุตรชายเข้ารีบการรักษา เช่นเคยที่พันเอกชานเนนจะตามติดไปด้วย ระหว่างทางไปโรงพยาบาลท่านนายพลก็ได้คุยเรื่องทั่วไปหลายอย่างกับนายทหารอนาคตไกลด้วยความถูกคอ  พอไปถึงก็ต้องแปลกใจเมื่อพบกับนายพลอรุณ
 
“อ้าว...มาเยี่ยมธารรึอรุณ”
 
ท่านนายพลพิภพทักเพื่อนเกลอ นายพลอรุณลุกขึ้นยิ้มให้สหายเก่า
 
“ใช่...แล้วนั่นใครรึ”
 
นายพลอรุณมองนายทหารหนุ่มร่างสูงแต่งกายเต็มยศ ใบหน้าสุขุม นายพลพิภพยิ้มร่าก่อนจะแนะนำให้ฟัง
 
“อ้อ...นี้พันเอกชานเนนเป็นทูตทหารจากพม่า ทางเราดึงตัวมาช่วยงานค้นหาธีรเดช”
 
“นี่คือนายพลอรุณเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยลาดตะเวนชายแดน”
 
นายพลพิภพแนะนำ พันเอกชานเนนจับมือทักทาย
 
“ได้เยี่ยมธารหรือยังล่ะ”
 
นายพลอรุณส่ายหัว“ยังเลย...เห็นสมบอกว่าตอนนี้กำลังเข้ารับเคมีบำบัด อีกสักชั่วโมงคงเยี่ยมได้”
 
ทั้งสามต่างหาที่นั่งคุย โดยเลือกร้านกาแฟในโรงพยาบาล
 
“แล้วนี่มาเยี่ยมธารอย่างเดียวหรือว่ามาทำธุระด้วย”
 
นายพลพิภพถาม สายตาของนายพลอรุณจับจ้องพันเอกหนุ่มเงียบๆ
 
“ก็มาทำธุระด้วยแล้วก็มาเยี่ยมหนูธารด้วย”
 
สายตาดุๆเหลือบมองพันเอกหนุ่ม ชานเนนยิ้มคล้ายกับรู้ว่านายพลอรุณกำลัง ‘ไล่’ตนจึงลุกขึ้นอย่างสุภาพ
 
“เดี๋ยวผมเอากาแฟมาให้นะครับ”
 
นายพลพิภพกล่าวขอบคุณ ก่อนจะหันมามองเพื่อนเกลอ
 
“แล้วมาทำธุระอะไรล่ะ”
 
“ก็มาส่งร้อยเอกภานุมาสอบปากคำ”
 
นายพลอรุณตอบเอื่อยเฉื่อย เมื่อได้ยินชื่อของภานุ ท่านนายพลพิภพก็ทำหน้าคล้ายกับไม่ชอบใจ
 
“ไอ้หมอนั่นมันมาด้วยรึ?”
 
“อื้ม...”นายพลอรุณรับคำอยู่ในลำคอ
 
“ก็รู้ดีไม่ใช่รึว่าทั้งธารกับเขาคิดอย่างไรต่อกัน”
 
นายพลอรุณกล่าว นายพลพิภพชักสีหน้า
 
“รู้....แต่มันดีแล้วหรือที่จะให้ทั้งคู่พบกันอีก”
 
นายพลพิภพค้าน นายพลอรุณถอนใจเฮือก
 
“มันอาจไม่ดีต่อทั้งสอง ถ้าอยากให้ตัดขาดกันจริงๆก็สมควรให้ทั้งคู่พูดกันเอง”นายพลอรุณว่า
 
“ถึงจะพูดหรือไม่พูด ผลมันก็มีค่าเท่าเดิมไม่ใช่หรือ”
 
คนเป็นพ่อไม่อาจทำให้ยอมรับได้  นายพลอรุณก็ได้แต่อ่อนใจ
 
“แล้วนั่นล่ะ....”นายพลอรุณพยักเผยิบหน้าไปทางพันเอกหนุ่ม นายพลพิภพถอนใจเล็กน้อย
 
“มันอาจจะดีต่อธารก็ได้ ...ชานเนนเข้ากับคนได้ง่าย ให้อยู่กับธารสักพัก ธารอาจจะดีขึ้นกว่าตอนนี้ก็ได้”นายพลพิภพว่า อรุณจ้องมองพันเอกชานเนนเขม็ง
 
------------------------------------------------
 
ภานุจ้องมองเงากิ่งไม้เอนไหวขณะนั่งรอท่านนายพลอยู่หน้าโรงพยาบาล ชายหนุ่มไม่กล้าเข้าไปทั้งๆที่ใจอยากไปหาแทบขาด ชายหนุ่มกุมขมับ เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ท่านนายพลอรุณไปหลายนาทีแล้ว...กลัวเหลือเกิน...กลัวว่าท่านนายพลอรุณจะพูดถึงเขา...ขมขื่นใจที่ไม่อาจไปสู้หน้าได้อีก แล้วชายหนุ่มต้องลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียก
 
“เป็นอย่างไรบ้างครับท่าน”
 
ภานุเอ่ยถาม สีหน้าของนายพลอรุณนั้นไม่สู้ดีเท่าไรนักจนผู้ที่รอฟังนั้นรู้สึกแย่
 
“ธารกำลังเข้ารับการบำบัดอยู่ หลังหนึ่งชั่วโมงจะให้เข้าพบได้”
 
สีหน้าของผู้กองหนุ่มโล่งอก
 
“จะไม่ไปพบธารจริงๆหรือ”
 
ภานุอ้ำอึ้ง “คงไม่ครับ ปล่อยไว้อย่างนี้ดีแล้วครับท่าน”
 
“ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”
 
ท่านนายพลเห็นอกเห็นใจ เมื่อเห็นใบหน้าหม่นหมองของชายหนุ่ม
 
“มันดีต่อทั้งสองฝ่ายแล้วครับท่าน”ภานุเอ่ย นายพลอรุณส่ายหน้า
 
“คิดแบบนี้ไม่สมกับเป็นความคิดของทหารเลย”
 
ภานุมองพื้น สายตาของนายพลอรุณเเสดงความผิดหวัง
 
“งั้นก็กลับ”
 
ภานุก้าวตามหลังนายพลอรุณ
 
“นี่อาจเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายจริงๆ มีโอกาสเรียกนะพ่อหนุ่ม”
 
ดวงตาของภานุสั่นพร่า ...หัวใจมั่นคงคลอนเเคลน
 
“บอกไว้ก่อนนะว่าพ่อของหนูธารไม่ค่อยชอบหน้าแกนัก”
 
ภานุรู้แน่แก่ใจในข้อนี้ ชายหนุ่มพยายามขับไล่ความหวาดหวั่นออกจากใจ...ครั้งสุดท้าย...ที่จะได้พบกัน....ขอครั้งสุดท้าย
 
“ครับท่าน...”ชายหนุ่มรับคำเพียงสั้นๆ
 
“แล้วอีกเรื่องหนึ่ง...”
 
ท่านนายพลคิดจะพูดแต่ก็เงียบไป ภานุมองเสี้ยวหน้าผู้เป็นเหมือนพ่อบุญธรรมของต้นธารา
 
“อะไรครับท่าน”
 
“เปล่า ไม่มีอะไร”
 
ชายหนุ่มองใบหน้าขรึมๆ ไม่กล้าถามอะไรจนกระทั่งไปถึงห้องพักฟื้นของต้นธารา เสียงหัวเราะและคำพูดกล่าวเป็นภาษาอังกฤษแว่วเข้าหูจนภานุประหลาดใจ
 
“คงเข้าเยี่ยมได้เเล้วล่ะ”
 
ท่านว่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เปิดประตูห้องออก ภานุก้าวตามหลัง สียงหัวเราะเงียบไปทันทีที่ร่างสูงหยุดนิ่งต่อหน้าต้นธารา ดวงตาสั่นพร่า เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยมองอย่างตะลึง ภานุมองดวงหน้าซีดขาวอย่างอาลัย
 
“คุณ...”ริมฝีปากแห้งผากอุทานแผ่ว
 
“พาผู้กองมาเยี่ยม”
 
นายพลตบบ่าภานุอย่างสนิทสนม รอยยิ้มของท่านผุดขึ้น มองคนในห้องเงียบกริบ ต้นธาราที่ยังอ่อนเพลียเพราะฤทธิ์ยาได้แต่มองตาปริบๆ นายพลอรุณดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก ป้าสมยิ้มแย้มต้อนรับเมื่อเจอกับนายพลอรุณ อดีตมิตรสหายของนายท่าน ส่วนพันเอกชานเนนจ้องชายหนุ่มผู้ที่ยืนข้างนายพลอรุณราวกับจับผิด...ต้นธารามองเสี้ยวหน้าที่เคยโหยหา ทำนบน้ำตาที่พยายามกล้ำกลืนเเทบพังทลาย
 
...มันสายเกินไป...

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

อะไรสาย

ไม่สายนี่  ไม่นะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
รออ มาต่อ คะเพือนสาวววววววว :oni1:

ออฟไลน์ tsuyu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
ไม่นะ  :serius2:  อะไร คือ สายเกินไป   

abcd

  • บุคคลทั่วไป


คลิ๊กที่รูปโปสเตอร์เพื่อเข้าสู่กระทู้

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ว้าวๆ โปสเตอร์สวยเชียว  :m4:

มารอพิมเท่ร๊ากกกกกกก คิดถึงตะเองมากๆ  :กอด1: :กอด1:

benxine

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ไหวแล้ววววว .....มันทรมาณเกินไปแล้วค๊าบๆๆๆ :o12: :o12:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
อิอิ  ใจเย็น  อย่าเพิ่งปวดตับกันไป   :m15:

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 6 sensibilité/ หวั่นไหว
 
“เราควรออกเดินทางได้แล้วกระมัง”ธีรเดชว่า
 
 กิ่งไผ่กอดอก ใบหน้าแดงน้อยๆนั้นผงกหัวเป็นเชิงเห็นด้วย
 
“งั้นก็รีบเถอะ”
 
กิ่งไผ่ช่วยชายหนุ่มเก็บของ ตัวเองก็ไอแค่กๆ ธีรเดชเห็นแล้วรู้สึกเห็นใจ
 
“ไหวไหม เราพักสักคืนก็ได้นะ”

กิ่งไผ่ยิ้ม แสดงความอดทนบนสีหน้า
 
“ไม่เป็นไร เราต้องไป ถ้าหากอยู่นานอาจถูกตามล่า”
 
กิ่งไผ่ว่า นึกหน้าของกฤษดาด้วยความเกลียดชัง เพราะมันเป็นคนทรยศ  ทำลายรากฐานในการกอบกู้ชาติ
 
“แต่ผมว่าอาการของคุณ...”

กิ่งไผ่รวบผมขึ้น ท่าทีเข้มแข็งจนธีรเดชนึกทึ่ง
 
“ผมถูกฝึกมาไม่ให้อ่อนแอ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง”ตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
 
 ธีรเดชเงียบไป กิ่งไผ่ขนของลงในเป้สนาม ใบหน้ามีเหงื่อไหลซึม ทรวงอกสะท้อนขึ้นลง มือยันพื้น รู้สึกพื้นดินโคลงเคลงไหววูบ ธีรเดชละจากการเก็บสัมภาระ เข้ามาดูอาการ
 
“แน่ใจหรือว่าจะไม่พักจริงๆ”
 
นายทหารหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง  กิ่งไผ่ฝืนยิ้ม ทั้งๆที่รู้ตัวดีว่าควรพักอีกหน่อย หากก็ฝืน
 
“บอกแล้วว่าผมไม่เป็นอะไรจริงๆ”
 
กิ่งไผ่ปัดมือที่ยื่นเข้ามาช่วยออก ธีรเดชระอากับความดื้อดึง  กิ่งไผ่ลุกขึ้นแบกเป้หนักๆ
 
“เป้นั่นส่งให้ผมเถอะ”
 
กิ่งไผ่ทำเมินเฉยต่อคำสั่ง หยิบปืนส่งให้ชายหนุ่ม ธีรเดชรับอย่างว่องไว
 
 
“ต่อให้ผมป่วยขนาดไหน ผมก็มีแรงแบกของ เก็บอาวุธของคุณเถอะ ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงคอยกินแรงหรอก”
 
นายทหารจากไทยถอนใจ เก็บสัมภระที่เหลือและกลบเกลื่อนร่องรอยของการก่อไฟ
 
“ผมให้คุณนำทางคงได้ใช่ไหม?”
 
ธีรเดชไม่เซ้าซี้ช่วยเหลือ  กิ่งไผ่ผงกหัว ก้าวเดินก้าวแรกก็แทบเซจึงตั้งใจเดินด้วยความระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม
 
“จะไปไหน”
 
ร่างโปร่งหันมาถามนายทหารจากไทย ธีรเดชตอบทันทีว่าอยากกลับประเทศของตัวเอง กิ่งไผ่ยิ้มแล้วรู้สึกวูบในอก เพราะชายหนุ่มมีที่ให้กลับ แต่เขาไม่มีอะไรเลยแม้แต่ประเทศจะให้อยู่
 
“...งั้นต้องไปทางด้านนี้ แต่ต้องเสี่ยงดวงเอาหน่อยล่ะ”
 
นึกถึงใบหน้าของพ่อ ไม่รู้เจ้าขิ่นจะพาหนีไปไหน...อยากเจอ เพราะอย่างน้อยๆมันก็คือครอบครัวของเขา ดวงตาสีดำสนิทแฝงความเศร้าโศกเเลดูงดงาม ดุจอัญมณีหายาก จนธีรเดชเผลอมอง
 
“จ้องอะไร”
 
กิ่งไผ่หันมาถามเสียงดุๆ  ธีรเดชซ่อนดวงตาชื่นชมเอาไว้
 
“เอ่อ...เปล่า”
 
กิ่งไผ่ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น ธีรเดชนับถือในความเข้มเเข็ง  กิ่งไผ่หันหน้ากลับไป การเดินเริ่มเชื่องช้าลง ชายหนุ่มหยุดอยู่ทางแยก มือเท้าต้นเต็ง มองทิศที่จะไปด้วยดวงตาพร่ามัว
 
“ให้ผมแบกเป้เถอะแล้วเราค่อยหาที่พักกัน”
 
ธีรเดชไม่สนว่ากิ่งไผ่จะปฏิเสธหรือไม่ยอมรับความช่วยเหลือ ชายหนุ่มปลดเป้แสนหนักออกจากแผ่นหลังของร่างโปร่ง
 
“มันเป็นของผม ผมจะรับผิดชอบเอง”
 
ธีรเดชกล่าวเมื่อดวงตาสีดำสนิทจ้องมาอย่างไม่พอใจ แล้วกิ่งไผ่ก็ทรุดฮวบ เหงื่อแตกพลั่ก ธีรเดชวางเป้สนามลง  อังหลังมือเข้ากับหน้าผาก
 
“ตัวร้อนนี่ ท่าทางจะไข้กลับ”
 
ชายหนุ่มร้อนใจ ค้นหายาในกระเป๋าพร้อมกระติกน้ำยื่นยาใส่ปาก กิ่งไผ่ปัดมันออก
 
“ผมยังไม่ตายเสียหน่อย”
 
แม้ปากจะพูดแบบนั้น เรี่ยวแรงทั้งหมดพลันหายไป พยายามจะลุก เข่าก็อ่อนยวบ ธีรเดชประคับประคองร่างบางแนบอก กิ่งไผ่หลับตาลง วิงเวียนศีรษะยิ่งนัก ใบหน้าพิงอกแกร่ง ธีรเดชถอนใจ สุดท้ายความดื้อดึงก็แพ้ฤทธิ์ไข้ จับศรีษะคนดื้อหนุนตัก
 
“คุณนี่ก็เป็นคนที่มีทิฐิแรงกล้าจริงๆ”เสียงของชายหนุ่มเหมือนดังมาจากดินเเดนเเสนไกล
 
“มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ นับตั้งแต่เวียงนวรัฐะล่ม นับตั้งแต่แม่ตาย...”
 
ริมฝีปากซีดพึมพำ ธีรเดชขมวดคิ้วฟังคำละเมอ
 
“เวียงนวรัฐะหรือ?”
 
ศีรษะที่นอนทับต้นขาผงกตอบ น้ำเสียงเจือความอ่อนล้าค่อยๆแผ่วเบา
 
“แม่...แม่..”
 
กิ่งไผ่เพ้อเพราะพิษไข้รุมเร้า  ธีรเดชหยิบผ้าขาวม้าเทน้ำในกระติกซับหน้าผากร้อนผ่าว ในอดีตคนๆนี้เก็บซ่อนอะไรไว้กันแน่นะ?
 
“แม่...พ่อ...”
 
ความทรงจำระลึกย้อนวันที่ตัวเองต้องออกจากเมืองเพื่อไปศึกษาต่อที่เวสพอยท์ ช่วงเวลาที่ทรมานใจ ต้องผ่านวันเวลาที่ยากลำบาก เพื่อกอบกู้บ้านเมือง!
 
“คุณ...”
 
ใบหน้าเข้มแข็งละลายหายไป คนในอ้อมเเขนเเสดงให้เห็นถึงความทนทุกข์ทรมานที่เก็บซ่อนไว้  ดวงตาธีรเดชจับจ้องอย่างพิศวง จะใช่ตัวตนจริงๆรึเปล่านะ? กอดร่างที่พร่ำเพ้อเอาไว้แน่น เกลี่ยหยดน้ำตาไหลหลั่งรินไม่ขาดสาย
 
“ร้องไห้เพราะอะไรกัน?”ชายหนุ่มถามตัวเองด้วยความสงสัย กิ่งไผ่ก็จับแขนของนายทหารหนุ่มไว้แน่นราวกับจะไว้เป็นหลักยึดไว้จากฝันร้ายในอดีต
 
------------------------------------------------
 

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
“ลูกหลับอยู่ตรงนี้ระวังเป็นหวัดนะจ๊ะ”
 
น้ำเสียงกังวานใสเอ่ยกับเด็กชายวัยเก้าขวบ ดวงตาใสแจ๋ว มีแต่ความเดียงสา รอยยิ้มของหญิงสาวอบอุ่นยิ่งนัก นางปลดผ้าลงมาคลุมกายให้เด็กชาย
 
“แม่...เมื่อไรพ่อจะกลับมาฮะ”
 
เด็กชายถาม มือนุ่มลูบศีรษะของเด็กชายด้วยความรักใคร่ ใบหน้างดงามแย้มยิ้ม
 
“พ่อทำงานจ้ะ ตอนนี้อย่ากวนพ่อเลย”
 
องค์หญิงมนัสหยากล่าวกับบุตรชาย ดวงหน้าเล็กๆที่ถอดพิมพ์เดียวกันกับนางเเสดงอาการไม่พอใจเเบบเด็กๆ
 
“แต่พ่อพวกเราไปหลายวันแล้วนะ ไม่เห็นเหมือนเมื่อก่อนเลย”
 
เด็กชายตัวน้อยเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง สีหน้าขององค์หญิงลำบากใจ
 
“พ่อทำเพื่อลูกและเพื่อประเทศของเรานะจ๊ะลูก”
 
นางเอ่ยให้เหตุผลแต่เด็กชายกอดอก ทำหน้าไม่เข้าใจ
 
“ผมไม่ชอบเลย ถึงแม้จะทำเพื่อผมหรือใครก็ตาม แต่พ่อน่าจะให้เวลาเรามากกว่านี้ ผมเกลียดจริงๆเรื่องการเมือง”
 
องค์หญิงมนัสหยาจับใบหน้าของบุตรชายสบตาตน
 
“ลูกอย่าพูดอย่างนั่นสิจ้ะ ในอนาคตลูกต้องทำแบบนั้น ลูกต้องกลายเป็นผู้นำประเทศ”
 
เด็กน้อยกอดอก“แหวะ ลูกว่าลูกไปเป็นพ่อค้าเสียยังจะดีกว่า”
 
เจ้าหญิงมนัสหยายิ้มขำๆกับความคิดของบุตรชาย
 
“ไผ่...ตอนนี้ลูกยังไม่เข้าใจหรอกจ้ะ เอาไว้ลูกโตลูกจะเห็นว่าพ่อทำเพื่อเรามากถึงเพียงไหน”
 
ลูบเส้นผมนุ่มสลวย...ตอนนั่นกิ่งไผ่ไม่รู้หรอกว่ามันสำคัญ...เขาไม่รู้เลยจนกระทั่งทุกอย่างสูญสลาย บ้านเมือง ครอบครัวต้องแตกซ่านกระเซ็นกลายเป็นคนไร้หลัก เฝ้ารอวันชิงอำนาจกลับคืนมา
 
------------------------------------------------
 
สีหน้าคนหนุนตักทุกข์ทรมาน นิ้วมือที่กำลำเเขนเขาไว้สั่นระริก  ธีรเดชพยายามเขย่าตัวคนที่หลับใหล หากกิ่งไผ่ก็ไม่ขยับ จนปัญญาที่ธีรเดชจะปลุก
 
“ธี...”
 
คำพูดลอดจากริมฝีปากแผ่วเบา ก่อนดวงตาเอ่อล้นด้วยหยาดหยดน้ำใสๆจะลืมตาขึ้น สบดวงตาของธีรเดชที่ก้มมองมา  ธีรเดชรู้สึกหวั่นไหวและนึกสงสารต่อสายตาคู่งาม จู่ๆคนป่วยลุกขึ้น ก่อนโผกอดเขาไว้แน่น ธีรเดชนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับท่าทีแบบนี้ วงแขนยกขึ้นเก้ๆกังๆไม่รู้ว่าจะกอดปลอบดีหรือว่าปล่อยให้กิ่งไผ่กอดเขาไว้เพียงฝ่ายเดียว สุดท้ายแล้วลำแขนโอบรอบเอว กอดประโลม รู้สึกถึงบ่าเปียกชุ่ม เฝ้ามองคนที่ร้องไห้โดยที่ไม่ส่งเสียงสะอึกสะอื้นเเม้เเต่นิดเดียว กิ่งไผ่พยายามข่มความอ่อนแอที่เผลอเเสดงออกในชั่วขณะ...เพราะรู้ดีว่า หากเมื่ออ่อนเเอลงเมื่อใด จะสูญสิ้นสิ่งที่พยายามกอบกู้ไว้ในอุ้งมือคู่นี้
 
เขาไม่เคยร้องไห้มากถึงขนาดนี้ ได้แต่โทษพิษไข้ที่ทำให้เป็นแบบนี้ รู้สึกตัวว่าอาศัยอ้อมแขนแข็งแรงดุจปราการขับไล่ความเศร้าโศก  ธีรเดชยื่นผ้าขาวม้าให้ กิ่งไผ่ไม่รับ ปล่อยให้น้ำตาแห้งเหือดไปเอง
 
“ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”
 
ธีรเดชถามขึ้นมาเป็นคำแรกหลังจากฟังเสียงร้องไห้เงียบๆ กิ่งไผ่คลายอ้อมกอด ผงกหัวหยิบผ้าขาวม้าเช็ดคราบน้ำตา
 
“พอแล้ว...”
 
น้ำเสียงที่ตอบแข็งๆและเฉยเมย ธีรเดชรับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปไม่ทันเลย สีหน้าอ่อนแอเลือนหายไปอีกครั้ง คงเหลือเค้าโครงหน้าเฉยเมย
 
 
“ผมพักพอแล้ว ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องเสียเวลา”
 
กิ่งไผ่ลุกขึ้น ธีรเดชลุกตาม ชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าเขาไว้วางใจคนๆนี้ได้มากแค่ไหน แผ่นหลังนั่นแบกรับอะไรไว้บ้างนะ?
 
‘คราวหลังจะไม่ให้เป็นอย่างนี้อีก!’
 
กิ่งไผ่เตือนตัวเอง ตัวเองพยายามปิดปากแน่นกับเหตุผลว่าทำไมถึงต้องร้องไห้ ยังดีที่เพื่อนร่วมทางไม่ไต่ถามอะไร ร่างโปร่งจึงไม่ต้องอธิบายมากนัก มือกระชับผ้าขาวม้าเเน่น
 
“อีกนานไปที่จะพ้นเขตพม่า”
 
ธีรเดชนิ่งเงียบมานานเอ่ยถาม ทำให้กิ่งไผ่สะดุ้ง
 
“ต้องดูก่อนแหละว่าเราจะข้ามป่าพ้นไหม ถ้าโชคดีก็ห้าวัน ถ้าโชคร้ายก็เป็นอาทิตย์ๆ ต้องดูด้วยล่ะว่าไอ้พวกทรยศจะตามล่าผมไหม”
 
กิ่งไผ่เอ่ย ธีรเดชเลิกคิ้วกับคำพูดเหล่านั้น
 
“ทรยศรึ หมายความว่าอะไร”
 
“ไม่จำเป็นที่ผมต้องบอกคุณ”
 
ธีรเดชชักฉุนขึ้นมาบ้าง เพราะรู้สึกว่าเขาจะกลายเป็นตัวงี่เง่า จะให้เขารู้อะไรบ้างไม่ได้เลยรึไง ชายหนุ่มแสร้งยกปืนขึ้น เล็งไปยังกิ่งไผ่
 
“คุณพูดแบบนี้แสดงว่าไม่ไว้ใจผม แล้วที่ผ่านมาล่ะเป็นเรื่องอะไรกัน?”
 
ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด กิ่งไผ่ชะงัก แต่ไม่หันหลังมาแม้แต่น้อย
 
“แล้วคุณทำไมคิดช่วยผมล่ะ คุณไว้ใจผมเอง”
 
น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ย ธีรเดชจ้องเขม็ง
 
“หากคุณไม่ไว้ใจคุณก็ยิงทิ้งตรงนี้เลยสิ บอกแล้วไงว่าหากไม่ไว้ใจกันต้องทำเช่นไร”
 
ดวงตาธีรเดชนั้นเยียบเย็น กิ่งไผ่ก็ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ในที่สุดชายหนุ่มก็เหนี่ยวไกปืน เสียงปืนดังก้องสะท้านป่าเงียบสงบ กิ่งไผ่ไม่ได้หลับตา และเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ บรรยากาศตึงเครียดเข้าครอบงำ
 
“ผมมีสิทธิ์ยิงคุณแต่ผมก็ทำไม่ลง...เพราะอะไร เพราะผมไว้ใจน่ะสิ”
 
กิ่งไผ่ยิ้มหยัน“งูเห่าน่ะเลี้ยงไม่เชื่องหรอก”
 
 ธีรเดชทอดรอยยิ้มน่ากลัว สีหน้าที่เคยใจดีอยู่เสมอบิดเบี้ยวด้วยโทสะที่อีกฝ่ายจุดชนวนขึ้น
 
“งั้นผมก็คงต้องฆ่างูเห่าตัวนั้นก่อนที่มันจะแว้งกัดสินะ?”
 
 “นั่นมันแล้วแต่คุณจะตัดสินใจ เพราะผมไม่มีอะไรเลย”
 
กิ่งไผ่แบมือออก เเสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่มีอะไรตอบโต้ชายหนุ่มได้ ธีรเดชเดินเข้าไปใกล้ กิ่งไผ่ถอยหลัง ท่าทีระเเวดระวัง นายทหารหนุ่มวางปืนลง ก่อนฉุดข้อมือบางเข้ามาใกล้ กอดเอาไว้ กิ่งไผ่นิ่งอึ้ง พยายามขัดขืนจากอ้อมแขน
 
“คุณคงอยู่ตัวคนเดียวสินะ?  ผมไม่รู้ว่าคุณประสบเหตุการณ์เลวร้ายอะไรมา แต่ผมขอร้องอย่างหนึ่งได้ไหม ขอให้คุณไว้วางใจผมจริงๆเถอะ เพราะผมคงไม่อยากฆ่าหรือต้องขู่ให้คุณกลัว การที่เราอยู่แบบนั้นมันต่างลำบากใจทั้งสองฝ่าย ผมรู้ว่าคุณเข้มแข็งแต่ขอร้องเถอะให้แสดงความอ่อนแอออกมาบ้างก็ดีแม้ว่าคุณจะเป็นผู้ชายและแข็งแกร่งก็ตาม”
 
กิ่งไผ่รับฟังคำพูดของธีรเดชราวกับลำธารไหลผ่านใจให้ชุ่มชื่น ซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ดังดอกไม้รอผลิบาน
 
“หากเจอเรื่องเลวร้ายใดๆผมก็อยากรับรู้ความทุกข์ที่มี...อย่างน้อยช่วงเวลาสั้นๆนี้เราต้องเป็น ‘เพื่อนตาย’ ”
 
 กิ่งไผ่ยังไม่ยอมตอบ นิ่งเงียบอยู่นานก่อนเริ่มเอ่ย
 
“ผมไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องอดีตน่าเศร้าให้ใครฟังหรอก ผมขอบคุณที่คุณใจดี แต่ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ”
 
ธีรเดชรั้งบ่าของกิ่งไผ่เอาไว้ สบสายตาสีดำสนิทอย่างค้นหา
 
“แน่ใจหรือว่านั่นเป็นคำตอบจริงๆ แล้วทำไมคุณต้องร้องไห้”
 
เกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าจนเผยให้เห็นดวงหน้าที่ถูกซ่อนเอาไว้ กิ่งไผ่ปัดมือของธีรเดชออก เบือนหนีจากสายตาที่ค้นหา อีกใจอยากจะพูด อีกใจก็เงียบ พยายามข่มใจตัวเองเอาไว้ แม้ชายคนนี้จะดีแสนดีสักเท่าไร เเต่ก็ใช่ว่าจะน่าไว้ใจง่ายๆกระทั่งพูดเรื่องที่เก็บซ่อนไว้ในใจ
 
“อย่าให้ผมต้องพูดถึงมันได้ไหม”
 
กิ่งไผ่ตอบ รู้สึกสายตาคู่นี้จะกดดันเหลือเกิน ธีรเดชถอนใจ
 
“ผมขอโทษที่บังคับคุณ”
 
ชายหนุ่มปล่อยมือจากลำแขน ดวงตาฉายแววเสียใจจริงๆ
 
“หากคุณไว้ใจผมจริงๆก็บอกผมนะ”
 
ธีรเดชเก็บปืน ยิ้มให้กิ่งไผ่...ยิ่งมองใบหน้าใจดีมากเท่าไร กิ่งไผ่ก็ยิ่งเกลียดตัวเองเพราะความรู้สึกเอนเอียงไปกับความใจดีเมื่อได้ใกล้ชิดนานวัน
 
------------------------------------------------
 
ภานุถือช่อดอกกุหลาบ ไม่แน่ใจสักเท่าไรนักว่าการที่ตัวเองกลับมายังที่นี่จะถูกต้องหรือไม่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจ สีแดงสดของดอกกุหลาบดอกใหญ่เป็นของกำนัลจากท่านนายพลอรุณ ร้อยเอกหนุ่มลังเลเพราะไม่รู้จะทำตัวเช่นไรดี ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจได้ เดินเข้าไปข้างในด้วยใจหวั่นๆ ใกล้ถึงห้องของต้นธาราแล้ว ภานุหยุดอยู่หน้าประตู เริ่มลังเลใจอีกครั้งก่อนลงมือเคาะประตู รอคอยให้คนมาเปิดให้ ไม่นานนักร่างของหญิงชราเปิดรับมองอย่างสงสัย
 
“มาเยี่ยมคุณหนูหรือเจ้าคะ”ป้าสมเอ่ยถาม ภานุผงกหัวก่อนจะเอ่ยตอบ
 
“ครับ...ผมมาเยี่ยมคุณหมอต้นธารา เอ่อ...ท่านนายพลอรุณฝากดอกไม้มาด้วย”
 
ป้าสมมองใบหน้าดุดันของชายหนุ่มก่อนเชิญเข้าห้อง ภานุย่างก้าวเข้าไปได้ยินเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะและใบหน้าเปี่ยมสุขก็นิ่งงันไป
 
“คุณหนูคะ มีคนมาเยี่ยมค่ะ”ป้าสมเอ่ยเรียก
 
ต้นธาราละจากการคุยกับพันเอกชานเนน หันมองแม่นม
 
“ใครหรือ?”
 
ชายหนุ่มสงสัยว่าใครกันที่มาเยี่ยมเขา ภานุเก้าเข้ามาใกล้  ริ้วรอยความสดใสและรอยยิ้มเมื่อครู่ไม่เหลือให้เห็นเมื่อทราบว่าใครมาเยี่ยม
 
“ผมมาเยี่ยมคุณ นายพลอรุณท่านฝากดอกไม้มาให้ด้วย”
 
ภานุยื่นช่อดอกไม้ให้ ป้าสมรับแทน นำไปวางไว้บนโต๊ะ ส่งสายตาเเสดงความไม่พอใจนักให้ทูตทหารจากพม่า วันนี้พันเอกชานเนนแต่งตัวสุภาพยิ่งนัก เชื้อเชิตร์คอโปโลสีขาวสะอาดรับกับกางเกงสีดำและรองเท้าหนังขัดมันวับ ผิดกับภานุที่แต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีเก่ามัว กางเกงลูกฝูกสีซีดเช่นกัน
 
“ผมขอบคุณมากที่ผู้กองมาเยี่ยม”
 
ต้นธาราเอ่ย แม้คำพูดจะยินดีแต่มันก็ห่างเหินอยู่ในที ภานุกลืนน้ำลาย
 
“ไม่เป็นไร”
 
อีกฝ่ายตอบราวกับไม่รู้จักกันจนภานุไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี ภานุรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรอยู่ที่นี่เลย พันเอกชานเนน
ส่งรอยยิ้มทักทายผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มของสุภาพบุรุษ!
 
“แล้วคุณหมอจะได้ออกจากโรงพยาบาลวันไหน”ภานุเอ่ยถาม ต้นธาราเงียบไป
 
“ยังไม่รู้เลยเจ้าคะ ต้องดูอาการของคุณหนูก่อนว่าทุเลาลงหรือยัง”
 
ป้าสมเป็นคนตอบ ต้นธาราเบือนหน้าหนี เอ่ยกระซิบบางอย่างกับพันเอกหนุ่มด้วยท่าทีสนิทสนม  ชานเนนก้มฟัง ภานุอึดอัดใจและโมโหโดยไม่มีเหตุผล พันเอชานเนนลุกขึ้นก้มหัวให้ภานุก่อนเดินออกไปข้างนอก
 
“ป้าสมผมอยากดื่มน้ำผลไม้จัง”ต้นธาราเอ่ยกับอดีตเเม่นม
 
“เดี๋ยวป้าไปซื้อให้นะเจ้าคะ”นางรีบสนองต่อความต้องการของคุณหนู
 
เมื่ออยู่ตามลำพัง ต้นธารามองใบหน้าผู้กองด้วยสายตาเบื่อหน่าย
 
“มีอะไรอีกครับ ผู้กองมาที่นี่เพื่อมาดูผมตายหรือ”
 
ต้นธาราประชด ภานุกำมือแน่น
 
“เปล่า...”ชายหนุ่มปฏิเสธด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
 
“แล้วมาทำไมอีก?”ต้นธาราถาม
 
นายทหารหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆเตียง อยากจะพูดแก้ไขความเข้าใจผิดแต่ก็พูดไม่ออก
 
“ผมมาเยี่ยมคุณไม่ได้หรือ”
 
ภานุมองใบหน้าซีดขาวด้วยเเววตาอาวรณ์ ต้นธาราหลับตาลง
 
“ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องมาก็ได้นี่ครับ”ต้นธาราตอบด้วยน้ำเสียงเเข็งๆ
 
“ทำไมต้องพูดแบบนั้นล่ะก็ในเมื่อเรา...”
 
ชายหนุ่มจะเอ่ยว่าเป็นคนรัก สุดท้ายก็ไม่อาจพูดไป
 
“แล้วไงครับ...เราเป็นอะไรกัน...ไม่ใช่เเค่ผมเป็นที่ระบายอารมณ์คุณหรือ? “
 
ภานุกำมือของต้นธาราไว้ สัมผัสกับความอ่อนโยน เเต่อีกฝ่ายชักมือออก
 
“ทำไมถึงไม่ฟังกันบ้างเลย”
 
ชายหนุ่มเริ่มโมโห ต้นธาราสบตา ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยหวั่นไหวใฝ่หาความรักกลับแข็งกร้าว
 
“ผมไม่จำเป็นต้องฟังคนเห็นแก่ตัวอย่างคุณ”
 
“รู้สึกปีกกล้าขาแข็งขึ้นนะ”ชายหนุ่มยอกย้อนบ้าง
 
 ต้นธารารับฟังคำเสียดสีด้วยความเจ็บปวดใจ
 
“ผมจะเปลี่ยนไปยังไงก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”
 
ภานุหัวเราะเสียงห้าวลึก“แสดงว่าที่เป็นแบบนี้ได้เพราะหาคนใหม่ได้แล้วสินะ”
 
“คนไร้ค่ายังไงก็เป็นคนไร้ค่าอยู่ดี”
 
ต้นธาราลุกขึ้น อาศัยแรงที่มีตบใบหน้าผู้กอง ภานุไม่เจ็บหรอกแต่เขาปวดในอกมากกว่า ดวงตาทั้งสองจ้องกัน อีกฝ่ายโกรธขึ้ง อีกฝ่ายหึงหวง ต่างอารมณ์จนทำให้การพบหน้ากันใกล้ถึงจุดระเบิด

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ

tsuya

  • บุคคลทั่วไป
เมื่อไหร่จะเข้าใจกันนะ


Rockstar

  • บุคคลทั่วไป
ทะเลาะกันอีกแล้วววว

เมื่อไหร่จะเข้าใจกันสักทีเนี่ย


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด