ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose  (อ่าน 292743 ครั้ง)

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
ไม่กินยาเลยหรอ  แว่  เกือบแย่แล้วไหมละ


ไหวม้ายยยยยยยยยยยยยยนั่น

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
บีบหัวใจกันเข้าไป

nartch

  • บุคคลทั่วไป
:o
เค้าไม่เข้าใจอ่า...เข้าใจกันแล้วทำไมไม่รีบกลับไปรักษาตัว
อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้หมอธารต้อง  :jul1:
 :serius2:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
บีบหัวใจจริงๆ อิอิ  เค้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันอะนาท 55

อ่านต่อดีกว่า
 :a4:
+++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 12 Kill/ตามล่า

ผู้กองธีรเดชมองใบหน้าที่ดูสดชื่นขึ้น กิ่งไผ่กวักน้ำในลำธารใสเย็นล้างใบหน้า ก่อนมองท้องฟ้าด้วยใจที่ไม่สู้ดีนัก

“มีอะไรหรือเปล่า”ชายหนุ่มถามเบาๆ

ใบหน้าของกิ่งไผ่หันมาเเต่ไม่ตอบอะไร ธีรเดชรอให้อีกฝ่ายยอมพูดเองดีกว่าฝืนบังคับ

“เราช้าไม่ได้แล้ว รีบอกเดินทางเถอะ”กิ่งไผ่ขมวดคิ้วมุ่น

ธีรเดชแปลกใจเพราะเขาอยากพักต่ออีกสักหน่อย

“มีอะไรรีบด่วนละ”ชายหนุ่มถาม

กิ่งไผ่ไม่พูดให้ความกระจ่าง ก้มหน้าก้มตาเก็บสัมภาระ

“พักอยู่ที่นี่อีกสักคืนคงไม่เสียหายอะไรมั้ง”

ธีรเดชออกความเห็นซึ่งกิ่งไผ่จ้องเขม็ง

“ผมเกรงว่าพวกมันจะตามเราทัน รีบไปให้ถึงฝั่งไทยยิ่งดี ผมจะได้เสร็จธุระ”

คำตอบเฉยชา ผิดกับเมื่อคืน ธีรเดชเลิกคิ้ว

“เสร็จธุระ? หมายความว่าไง”

กิ่งไผ่ก็เงียบเหมือนเคย จนธีรเดชอ่อนใจแทน

“ผมต้องไปหาพ่อผม ส่งคุณข้ามแดนถือว่าเสร็จธุระ”

กิ่งไผ่ตอบ ลุกขึ้นอย่างว่องไว ไม่มีอาการของคนเจ็บให้เห็นเเม้สักกระผีก ธีรเดชยักไหล่ พลางนึกในใจ คนอะไรเหมือนหุ่นยนต์สิ้นดี แผ่นหลังบอบบางตั้งตรง ใบหน้าแหงนมองฟ้า พร้อมกับสายลมพลัดพลิ้วเรือนผมยาวสลวยยุ่งเหยิง

“แน่ใจนะว่าจะเดินทางต่อ”ธีรเดชถาม

กิ่งไผ่หันมาแสดงท่าทีข้องใจ

“คุณมีปัญหาอะไร”กิ่งไผ่ถาม

ธีรเดชเตรียมพูด ทว่ากิ่งไผ่ก็แทรกขึ้นเสียก่อน

“ถ้าคุณห่วงผมละก็ หัดห่วงตัวเองบ้างก็ดี”

กิ่งไผ่กล่าวจบก็หันหน้าหนี ธีรเดชพูดไม่ออกเมื่อได้ยินประโยคนั้น “คุณน่ะเอาแต่ห่วงคนโน้นคนนี้ ไม่ดูตัวเองบ้าง ระวังเหอะ สักวันความใจดีมันจะฆ่าทั้งคนที่คุณมอบความห่วงใยให้และคุณเอง”กิ่งไผ่กล่าว

ธีรเดชได้ฟังครั้งแรกก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก พอคิดตามแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย เพราะความที่ตัวเองใจดีนี่แหละ จึงทำให้เจ็บอยู่เงียบๆเพียงลำพัง

“คุณน่ะเหมือนกับนก พอปีกหักก็บินไม่ได้ คอยมองตัวเองตายอยู่เงียบๆ มันน่าสมเพชสิ้นดี”

เสี้ยวหน้างามหันมอง ดวงตากร้าวแกร่งไม่ยอมใครอ่อนลง

“ผมไม่ชอบคนแบบนั้นและไม่ชอบความใจดีที่คุณมีให้”กิ่งไผ่ว่าเสียงแข็ง

ธีรเดชตกใจไม่น้อยที่เห็นใบหน้านั่นจริงจังขึ้น ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง

“ผมถือว่าผมพูดแล้วนะ คราวหน้าคราวหลังก็อย่าทำใจดีอีก”

กิ่งไผ่สะบัดหน้าหนี ก่อนก้าวฉับๆเดินหนีอย่างรวดเร็ว ธีรเดชนิ่งไหล่ตก ตัวเขาทำดีกลับไม่ได้อะไรสักอย่าง นี่ละมั้งถึงบอกว่าเป็นนกบาดเจ็บ สุดท้ายก็ต้องอยู่ตามลำพัง

------------------------------------------------

ฝ่ายกิ่งไผ่นั้นเมื่อได้พูดออกไปก็กุมอกแน่น เขาเลือกที่จะเก็บกดความรู้สึกเอาไว้ในใจเงียบดีกว่า ไม่อยากเสียใจเพราะความใจดี ทั้งสองเดินตามกันเงียบๆไม่พูดไม่จาอะไรทั้งสิ้น สายตาดำขลับ สุกใส มักเหลือบมองใบหน้าอ่อนโยนที่ขมวดมุ่น กิ่งไผ่อ้าปากเตรียมพูดทว่าก็เลือกที่จะเงียบเสียดีกว่า เดินจนพ้นระยะป่าทึบสู่ป่าที่โล่งกว่า กิ่งไผ่หันมอง ธีรเดชหน้าขรึมเหมือนเคย

“เราจะพักข้างหน้านี้คุณมีอะไรจะแย้งไหม”

กิ่งไผ่ขอความเห็น กอดอกมองเสี้ยวหน้าเข้ม ธีรเดชไม่ได้ว่าอะไร กิ่งไผ่จึงถือว่าเอาความเงียบนั้นเป็นคำตอบ

“กำลังคิดอะไรอยู่ หรือสิ่งที่ผมพูดมันทำร้ายใจคุณมากเกินไปกัน”

ธีรเดชส่ายหน้า ก่อนเดินนำไปก่อน

กิ่งไผ่กัดปาก รู้ว่าคำพูดของตัวเองคงทำร้ายจิตใจของผู้กองแสนใจดี แม้จะเสียดายที่จะไม่ได้เห็นความใจดีอีก มันก็ดีสำหรับเขาแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อไปถึงจุดหมายที่พัก กิ่งไผ่ปลดเป้ลง ปาดเหงื่อออกจากใบหน้า

“ผมอยากกลับไปถึงเขตแดนไทยเร็วๆ อีกกี่วันกัน”ธีรเดชพูดขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปนาน

กิ่งไผ่มอง ก่อนจะตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“สามวัน เท่าที่ผมดูน่าจะสามวันเป็นอย่างต่ำ ถ้าไม่มีเหตุร้ายอะไร”

ไม่รู้ว่าใจของผู้กองคิดอะไรอยู่ กิ่งไผ่ก็ไม่กล้าถาม ธีรเดชลุกขึ้นราวกับครุ่นคิดถึงบางอย่างที่ติดอยู่ในใจ

“สามวันรึ แล้วคุณละจะกลับไปหาพ่อของคุณเลยรึ”กิ่งไผ่ผงกหัว

ธีรเดชใช้หางตามอง

“ถ้าผมไม่อนุญาตละ”

ใบหน้าของกิ่งไผ่กร้าวขึ้น ร่างสง่างามลุกขึ้น

“งั้นผมคงต้องฆ่าคุณทิ้ง แต่มันก็น่าเสียดายนะที่เราฝ่าฟันมาจนถึงที่นี่ได้แต่ต้องผิดใจกันเพียงเพราะเรื่องเดียว”กิ่งไผ่กอดอก ดวงตาดำสนิทวาววับ

“ผมต้องการตัวคุณไปสอบพยาน ในฐานะที่ผมเป็นเจ้าหน้าที่ผมจำเป็นต้องทำ”ใบหน้าใจดีไม่เหลือเค้าให้เห็น

กิ่งไผ่ก้าวถอยหลัง

“คุณบอกว่าให้ผมเลิกใจดี ผมก็ต้องทำตามหน้าที่ ที่จริงผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่พอคุณพูดมันทำให้ผมต้องนึกถึงหน้าที่ที่ผมต้องรับผิดชอบเพราะที่ผ่านมา ผมอยากให้คุณเป็นมิตรกับผม”

กิ่งไผ่จ้องเขม็ง สายตาเเข็งกร้าวขึ้นมาเช่นกัน

“ผมคงไม่อาจปล่อยให้คุณจับได้ เพราะผมก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเช่นกัน แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกว่าผมจะปล่อยให้คุณตายอยู่กลางป่า ผมจะไปส่งคุณถึงที่ แต่ถ้ามีการจับกุมกัน ผมก็กัดไม่เลี้ยงเหมือนกัน”

ร่างโปร่งว่า นึกถึงภาระหน้าที่วางบนบ่า นึกถึงพ่อกับเจ้าขิ่นที่ซ่อนกายอยู่ในป่าไม่รู้ชะตากรรม ความแค้นที่ฝังในอกค่อยๆครอบงำ มือหนายื่นออกมา กิ่งไผ่ระแวดระวัง หากมืออุ่นๆแตะมือที่กำแน่นข้างตัว พร้อมกับเสียงทอดถอนใจราวกับอัดอั้นตันใจ

“ขอบคุณที่ยังไม่คิดทิ้งผมไว้ตรงนี้.... ที่ผมพูดไปเมื่อครู่ผมขอโทษ หากไปถึงเขตแดนประเทศไทยจริงๆเราทั้งคู่คงต้องแยกคนละทาง ผมรู้สึกเสียดายที่ช่วงเวลาดีๆมีน้อยเหลือเกิน และผมก็เป็นห่วงคุณจริงๆ บางทีสิ่งที่ผมพูดไปคุณอาจไม่ชอบแต่ผมก็อดที่จะพูดไม่ได้ ผมเป็นห่วงที่คุณต้องกลับไปหยังที่เดิมของคุณ ผมอาจจะไม่รู้อะไรมากนักแต่ผมก็กลัวว่าจะเกิดอันตรายกับคุณ”

คำพูดของชายหนุ่ม ยิ่งทำให้กิ่งไผ่รู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างอ่อนแอเหลือเกิน

“คุณจะหาห่งมาห่วงอะไร ตัวผมอยู่ในป่ามาตั้งแต่เด็ก ผมรู้จักมันดี สำหรับผมแล้วมันก็เหมือนกับสนามเด็กเล่นนั่นแหละ”คำพูดเชื่อมั่น สายตาไม่หวั่น

ธีรเดชมองด้วยความเหม่อลอย หากคนๆนี้ยอมอ่อนลงคงจะเหมือนกับต้นธารา...ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อคิดถึงใบหน้าที่แสนอ่อนโยนของต้นธาราขึ้นมาแต่แล้วสายตาต้องวูบไปเมื่อคิดถึงว่าคนที่อยู่ในใจของต้นธาราได้คงจะมีแต่ผู้กองภานุและเขาก็คงเป็นส่วนเกินของหัวใจดวงนั้น นึกแล้วก็วูบไป กิ่งไผ่มองเห็นแววตาแปรเปลี่ยน เขาก็แปลกใจ ในแววตาคู่นั้น ธีรเดชคิดอะไรอยู่

“คุณพูดแบบนี้ผมก็อดห่วงอีกไม่ได้อยู่ดี คุณไม่เคยเปิดเผยเลยว่าคุณจะไปที่ไหน ทำอะไรให้ผมคลายใจได้บ้าง”

ชายหนุ่มดึงสติให้หลุดจากภวังค์มองใบหน้าของกิ่งไผ่

“ก็มันไม่จำเป็น”กิ่งไผ่ตอบด้วยท่าทางไม่หยี่ระ

ธีรเดชก็ไม่อยากพูดให้มากความเพราะว่าหากพูดไปก็คงเหมือนกับสาดน้ำใส่หัวตอเพราะไม่รู้สึกอะไรเลย กิ่งไผ่เห็นผู้กองหนุ่มเงียบไปก็ทรุดนั่ง มองแสงอาทิตย์ลำสุดท้ายก่อนลาลับหาย

“นอนเอาแรงเถอะ เรื่องเฝ้ายามผมขอเป็นผลัดแรกเอง”

กิ่งไผ่เอ่ยเมื่อเห็นธีรเดชกระสับกระส่าย ชายหนุ่มมองใบหน้าละมุนตานั่งตรงข้ามก็ส่ายหน้า

“คุณนอนก่อนเถอะ...”

กิ่งไผ่ไม่พูดอะไรต่อหยิบเป้วางบนพื้นที่จัดการทำเป็นที่นอน ปิดเปลือกตาลง ฝ่ายผู้กองหนุ่มจากไทยนั้นนั่งเฝ้ากองไฟที่ก่อไว้เงียบๆ คอยพัดไล่ยุงเป็นระยะๆโดยใช้ผ้าขาวม้าของกิ่งไผ่นั่นแหละ สายตาไล่มองดาวกระจ่างฟ้า หารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องเงียบๆกับเสี้ยวหน้าคมสัน ควันไฟลอยขึ้นสูง เสียงลูกไฟแตกเปรี๊ยะปร๊ะ ลมหนาวพัดปะทะกายจนร่างสูงต้องเขยิบเข้าหาไออุ่น พอดวงตาคมหันมาบอกเท่านั้นแหละ กิ่งไผ่หลับตาลงทันที ใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ เสียงสวบสาบแกรกกรากดังขึ้นเบาๆ ร่างที่แกล้งหลับนั้นรุ้สึกถึงความบางเบาที่วางบนกาย เลิกเปลือกตาดูก็พบว่าผ้าขาวม้าคลุมไว้อีกชั้นทับด้วยเสื้อนอกของชายหนุ่ม กะว่าจะลุกส่งคืน คิดไปคิดมาก็คงไม่เหมาะเท่าไรจึงมองร่างที่สั่นเทาผิงไฟแทน

...ความใจดีนั่นค่อยๆฆ่าเขาทีละนิดๆ...


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
กิ่งไผ่นอนตะแคงเพื่อจะได้ไม่ต้องมองเห็นร่างที่นั่งหนาว ตลอดเวลาที่ชายคนนี้แสดงความจริงใจให้เห็น เขาก็ไม่ได้เตรียมใจรับความรู้สึกที่กำลังเกินเลย มันทรมานที่รู้ว่าตัวเองไม่เหมือนเดิม กลัวว่าตัวเองจะเก็บงำเอาไว้ไม่ได้ ดวงตาจ้องมองความมืดมิดเต็มไปด้วยอาการสับสนวุ่นวาย เพราะความชิดใกล้แท้ๆที่ก่อความรู้สึกนี้ขึ้นมา

ฝ่ายธีรเดชมองร่างคล้ายกับหลับสนิทเป็นระยะๆ เอะใจ เพราะปกติกิ่งไผ่ไม่ใช่คนนอนขี้เซานัก คิดว่าคงเหนื่อยจึงปล่อยให้นอนต่อ ฝ่ายกิ่งไผ่นั้นยังไม่หลับตาเอาแต่ใจลอยรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อเวลาเคลื่อนคล้อย ลุกพรวดจากที่นอนมองชายหนุ่มอย่างลุแก่โทษ

“ขอโทษที่หลับไปนาน”

ร่างโปร่งผลุนผลันเตรียมนั่งแทนที่ ทว่าธีรเดชก็โบกมือไล่เสียก่อน

“ไม่เป็นไรหรอก คุณนอนเถอะ ดูหน้าตาสิยังอิดโรยอยู่เลย”

รอยยิ้มใจดี กิ่งไผ่แม้จะง่วงสักเพียงใดก็ฝืนเอาไว้

“ผมเอาเปรียบคุณไม่ได้”

กิ่งไผ่ยืนกรานเสียงแข็ง ฝ่ายผู้กองหนุ่มไม่ยอมเหมือนกัน ทั้งสองทำท่าว่าจะทุ่มเถียง เพื่อให้ชนะอีกฝ่าย เสียงจึงดังขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้าคุณอ่อนเพลียจะมีแรงกลับไปในบ้านคุณไหม”กิ่งไผ่พูด ถลึงตาจ้องมองชายหนุ่มแสนดี

“ผมแข็งแรงดี คุณนั่นแหละต้องพักผ่อน พิษไข้จะได้ไม่กลับมาอีก”เสียงของธีรเดชอ่อนเบา

“ผมเป็นไข้เป็นแค่ครั้งเดียว ส่วนคุณทำแข็งแรงไปเถอะระวังจะได้ตายไม่รู้ตัว”

ธีรเดชเห็นลางแพ้จึงยอมอ่อนให้

“ก็ได้ผมจะนอน”

กิ่งไผ่ทรุดนั่ง มองรอบๆกายเพื่อสำรวจ รอบกาย ฝ่ายธีรเดชพอหลังติดดินก็หลับปุ๋ยทันที กิ่งไผ่แม้จะง่วงแสนง่วงก็พยายามไม่สัปหงก ความอ่อนล้าค่อยๆจู่โจมไปทุกสัดส่วน นั่งชัน กอดเข่าแน่น หูได้ยินเสียงแว่วอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ร่างโปร่งจึงชันตัวขึ้นรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น

“ธี...ตื่น”กิ่งไผ่กระซิบ

ธีรเดชลุกขึ้นท่าทางงัวเงียสุดท้ายก็ตื่นเต็มตาเพราะได้ยินเสียงผิดปกติ

“เงียบไว้ ผมจะดับกองไฟล่ะนะ”

กิ่งไผ่ดับกองไฟที่ก่อเอาไว้ รอบกายมืดสนิท ธีรเดชนั่งนิ่งเมื่อมือเรียวยาวป่ายปัดเก็บข้าวของและสั่งให้ธีรเดชทำตาม

“เกิดอะไรขึ้น”

น้ำเสียงของชายหนุ่มกังวลใจ สายตาของธีรเดชยังไม่ชินกับความมืดดี มือบางจึงคว้าไว้แน่น ดึงรั้งให้เดินตาม

“ผมได้ยินเสียงฝีเท้า ไม่รู้ว่าเป็นเสียงฝีเท้าของคนที่ไล่ล่าผมอยู่รึเปล่า ต้องระวังไว้ก่อน”

ทั้งสองซ่อนกายหลังเงาไม้ใหญ่ กิ่งไผ่มองกิ่งไม้กิ่งใหญ่ ปืนขึ้นไปรอมันแล้วสั่งให้ธีรเดชปีนขึ้นตามมา ดวงตาของกิ่งไผ่เหี้ยมเกรียม ธีรเดชมองไม่เห็นแววตาราวกับสัตว์ร้าย

“มันเก่ง!ที่ตามเรามาได้ไว”

ธีรเดชเงี่ยหูฟังเสียงกระซิบจากปากเรียว เสียงฝีเท้าย่ำหนักก่อนจะหยุดลง

“มันคงไหวตัวทัน”

เสียงพูดคุยเบาๆเป็นภาษาพม่า ธีรเดชฟังไม่เข้าใจ กิ่งไผ่ฟังทุกคำพูดเพื่อประเมิณสถานการณ์

“เราอุตส่าห์ตามรอยมันมาถึงที่นี่ได้ บัดซบนักที่มันรู้ทัน”เสียงอีกคนกระซิบ

“ดูก่อนมันคงไปได้ไม่ไกลเท่าไรนัก เพราะกองไฟยังร้อนอยู่เหมือนกับเพิ่งดับไม่นาน แถมมันยังดูเร่งรีบอีก มันคงอาศัยความมืดหลบอยู่แถวๆนี้แหละ ระวังตัวให้ดี”

คำบอกเล่าจึงทำให้ให้คณะแกะรอยระวังตัว

“ผมไม่รู้ว่ามันสะกดรอยตามเรามา...แต่เอาเถอะ มันได้กลายเป็นผีเฝ้าป่านี้แน่”

คำพูดของกิ่งไผ่ดูไม่เดือดร้อนเท่าไร ผิดกับธีรเดชที่ยังกังวล

“คุณมีมีดไหม”

กิ่งไผ่แบมือขอ สายตาที่ชินกับความมืดค้นหาของ เสียงกุกๆกักๆจนร่างโปร่งต้องส่งสัญญาณให้เงียบ ธีรเดชหยุดค้นหาของในกระเป๋าเป้ กิ่งไผ่ล้วงมือเข้าไปหยิบมีดคมกริบออกมา

“เล่มเล็กแบบนี้จะเอาไปทำอะไรได้”เสียงของธีรเดชดูไม่เชื่อถือกับมีดเล่มเล็กเท่าไร

กิ่งไผ่แสยะยิ้ม

“ค้นหารอบๆนี้ให้ทั่ว เจอมันเมื่อไรยิงทิ้งได้ทันที หมาที่จนตรอกมันทำอะไรไม่ได้หรอก”

กิ่งไผ่โกรธวูบเมื่อโดนดูถูก ข่มใจให้เย็น....คอยดูฤทธิ์ของเจ้าหมาจนตรอกเถอะ

“ธี..คุณอยู่ที่นี่ อย่าลงไปเด็ดขาดแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”กิ่งไผ่สั่งเตรียมปีนลงไปข้างล่าง

ธีรเดชรั้งแขนเอาไว้

“ถ้าลงไปสู้กับพวกมัน สองคนไม่ดีกว่าหรือ”

กิ่งไผ่ดึงแขนออกอย่างนุ่มนวล มองใบหน้าผู้กองหนุ่ม

“แล้วคุณจะเห็น...”

พูดจบก็กระโดดลงราวกับเป็นปีศาจรัตติกาล ธีรเดชมองตาม ชั้นแรกจะผวาตามลงไปเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บตัว มองเห็นดวงตาแวววับเย็นเยียบมองขึ้นมายังที่ธีรเดชซ่อนตัวอยู่ก็หลบวูบคล้ายหายตัวได้ ธีรเดชไม่รู้ว่ากิ่งไผ่จะทำอะไรกันแน่ได้แต่นั่งกังวล

“เจอไหม”

เสียงร้องตะโกนถาม พร้อมกับส่ายหน้าของพวกหมาหมู่

กิ่งไผ่ค่อยๆเบี่ยงตัวหลบ คืบคลานช้าๆ พร้อมกับโยนก้อนหินไปยังทิศทางกำหนดไว้ เสียงแกรกๆของก้อนหินกระทบพื้น พวกที่ตามล่าหันมองไปทางต้นกำเนิดเสียงก่อนผู้ที่เป็นหัวหน้าบุ้ยหน้าสั่งลูกน้องให้ไปดุ เจ้าลูกกระจ๊อกกระชับปืนไปดูตามเสียง ร่างของมันกลืนไปกับความมืด กิ่งไผ่เตรียมพร้อมรออยู่แล้ว ร่างที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ตวัดลำแขนรัดลำคอและอุดปากอย่างรวดเร็ว มืดจ่อที่จ่อหอย ไอ้คนดวงถึงฆาตตาเหลือกที่ไม่คิดว่ามัจจุราชจะจู่โจมมันเร็วถึงขนาดนี้

“พวกแกพูดดูถูกว่าฉันเป็นหมา จำไว้หมาจนตรอกมันน่ากลัวที่สุด”

พูดจบกิ่งไผ่ตวัดมีดแหลมเล็กปาดคอหอยอย่างไม่ลังเล เลือดพุ่งกระฉูดเปื้อนแขน ร่างของเจ้าเคราะห์ร้ายดิ้นหากกิ่งไผ่รัดไว้แน่น เสียงไม่อาจกรีดร้องออกไปได้เพราะมืออุดปากแน่น ร่างของมันร่วงกองบนพื้น มือข้างหนึ่งรับปืนที่กำลังร่วงหล่น กิ่งไผ่ที่ใช้มืออีกข้างประคองร่างหนักๆค่อยๆวางร่างมันลง เช็ดเลือดเปื้อนกายและมีดออกจนสะอาด ค่อยๆมองหาหนทางที่จะหลอกล่อเหยื่อมรณะรายต่อไป

“เฮ้ย ทำไมมันไปนานจังวะ ไปดูมันสิ”เสียงหัวหน้าสั่ง

กิ่งไผ่ไม่รอช้า เหลือบมองดูศพนอนตาเหลือกค้าง ซ่อนกายในพุ่มไม้ต่อ

“เฮ้ย...เอ็งหายไปไหน”คำว่าไหนไม่ทันหลุดจากปาก กิ่งไผ่คว้าไฟฉายจนมันดับวูบหล่นลงพื้น เขารู้ว่ามันเสี่ยงแต่อาศัยแสงที่มีเพียงวูบเดียว สังเกตมองกลุ่มคนที่ตามหาเขา เห็นพวกมันไม่สนใจผู้ที่เข้ามาใหม่เท่าไรนัก คนที่ถูกกิ่งไผ่จับดิ้น ชายหนุ่มจึงรัดคอมันเอาไว้ เตรียมใช้มีดสังหารทว่าแรงของผู้ที่เข้ามาสังหารเยอะกว่า กิ่งไผ่แทบทานไม่ไหว เขาใช้ท่อนแขนรัดคอหอยจนมันหายใจขัด เหยื่อมรณะพยายามดิ้นสูดลมหายใจเข้าปอด

“ไปอยู่ในนรกเถอะมึง”กิ่งไผ่ว่า

เจ้าเคราะห์ร้ายมองเห็นร่างที่นอนทอดยาวเหยียดตะคุ่มก็ตกใจเพราะเพื่อนของมันหมดลมเสียแล้ว

“อ...ไอ้”

มันพยายามขยับปาก กัดมือกิ่งไผ่ขบปากแน่นเพื่อกั้นเสียง มือสังหารเตรียมร้องเรียก กิ่งไผ่ยอมละโอกาสโดยปล่อยมีดทิ้ง ใช้มือที่ว่างอุดปากมันไว้ พร้อมกับต่อยเข้าที่ท้องมันหมัดใหญ่ จนมันยอมปล่อยปากที่กัดมือจนเป็นแผลเลือดโชก

“กูก็ไม่อยากติดเชื้อบ้าจากมึงหรอกนะ”

ร่างโปร่งกล่าว ใช้เท้าตวัดมีดขึ้น มือข้างที่เป็นแผลจับด้ามมีดสั่นระริก แทงเข้าหาเป้าหมายตรงจุดตาย ด้ามมีดทิ่มเข้าลำคอ เลือดทะลักไหลเป็นน้ำไม่ผิดกับคนแรกที่กิ่งไผ่สังหาร มันดิ้นราวกับไก่ถูกเชือด มือสั่นค่อยๆขยับใบมีดคมกริบ ร่างของมันดิ้นด้วยความเจ็บปวดก่อนค่อยๆสิ้นลมหายใจ ไปอยู่ในนรกเป็นเพื่อนกับเจ้าเคราะห์ร้ายคนแรก กิ่งไผ่หอบ มองมือที่ถูกกัดเป็นแผลเหวอะ ใช้มีดตัดชายเสื้อพันแผลอย่างรวดเร็ว ก่อนเริ่มยุทธการลอบสังหารต่อ เขารู้ว่ากำลังเล่นเกมส์กับความตาย ถ้าถูกจับได้คงแพ้ ในหัวสมองประมวลผลแผนขั้นต่อไปอย่างรวดเร็ว มองไปทางที่ธีรเดชซ่อนตัว ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ผู้กองทำบ้าๆ เพราะพวกมันเข้าใจว่าเขาหนีมาคนเดียว กิ่งไผ่เบือนหน้ามองหาเป้าหมาย นึกในใจ ถ้าหากเขาตายขอให้ตายเพียงคนเดียวเถอะ!

------------------------------------------------

pseudoboy

  • บุคคลทั่วไป
กิ่งไผ่กลับมาแล้ว  แต่ทำไมหนทางช่างยาวไกล


แล้วยังต้องมาเจ็บมืออีก  ผู้กองปฐมพยาบาลด่วน

 :oni1:

pupper

  • บุคคลทั่วไป
ความรักก่อเกิด ท่ามกลางอันตราย แต่ด้วยความต่างจึงดูยากที่จะบรรจบกันได้ แล้วคู่นี้จะเป็นยังไงกันต่อ
แล้วทางผู้กองภาณุกับหมอธาร หมอธารก็อาการน่าเป็นห่วงจริงๆ อ่านแล้วมันตึงๆไงไม่รู้ กดดันคนอ่านจัง

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
มันจะไม่บีบใจแค่คู่เดียวอะจิ  :a6: แล้วก็ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป

ออฟไลน์ thaitanoi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
 :เฮ้อ:  มาลุ้นทั้ง 2 คู่ครับ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 13 Kill/ตามล่า [Part2]



ขณะที่กิ่งไผ่ปฏิบัติการลอบสังหาร ชั่วขณะหนึ่งที่จิตใจอ่อนแอ เขารีบกู้สติกลับคืน เพราะหากพลาดหมายถึงชีวิตของเขาและธีรเดชต้องดับสูญ เมื่อรวบรวมสมาธิได้กิ่งไผ่จดจ่อกับการวางแผนกลยุทธ์เตรียมรับมือกับศัตรูที่มีมากกว่าตนเอง ลมหายใจระบายบางเบา และเริ่มหอบเหนื่อย เจ็บบาดแผลที่มือ กิ่งไฟฉีกชายเสื้อมาพันแผลซ้ำอีกรอบกันกระแทก ก่อนแสงไฟจะฉายกราดไปทั่วเพื่อค้นหาสุนัขจนตรอก กิ่งไผ่มองร่างซ่อนอยู่ในเงาสลัวอย่างอาฆาต ดวงตาเปี่ยมด้วยไอสังหาร

“เมื่อกี้เสียงอะไรวะ แล้วไอ้สองตัวนั้นทำไมมันทำงานช้าจริง ใช้ให้ไปดูแค่นี้ทำเหมือนกับไปเป็นชาติ”

เสียงของผู้เป็นหัวหน้าบ่น ก่อนจะใช้ลูกน้องอีกรายไปเรียกให้รวมกลุ่ม แต่แล้วมันกลับได้พบเห็นภาพอันน่าสะพรึงกลัว ทันทีที่แสงสีส้มจากกระบอกไฟฉายต้องดวงตาเหลือกโพลงของร่างไร้ลมหายใจ ค่อยๆไล่แสงต้องร่าง สำรวจอย่างหวาดหวั่นพบว่าลำคอถูกปาดเหวอหวะเลือดทะลักทะลายเปื้อนเสื้อย้อมเป็นสีแดงฉาน บางส่วนเริ่มกลายเป็นลิ่ม ดวงตาเบิกโพลงเต็มที่คล้ายกับไม่เชื่อว่าตัวเองได้ไปเฝ้ายมบาล อีกร่างก็ไม่ต่างกันนัก ปากอ้าราวกับพยายามสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายเข้าปอด เลือดเป็นฟองฟ่อดไหลจากลูกกระเดือกที่ขาดออกจากกันอย่างน่าสยดสยอง มือสั่นระริกทำไฟฉายลดลงพื้นตุ๊บ พยายามอ้าปากร้องเรียกพรรคพวก หากปีศาจซ่อนกายภายใต้รัตติกาลโผล่ออกมากะทันหันไม่ทันได้ปัดป้อง แสงเงาสีเงินแปลบปลาบและเย็นเฉียบเทียบลำคอ ลูกกระเดือกเลื่อนขึ้นลงตลอดเวลาคล้ายกับกลัวคมมีดกดลงสู่ผิวที่ละนิดๆจนผิวชั้นนอกเปิดออก มันกลัวจนฉี่แทบราด สายตาวิงวอนต่อพระกาฬตรงหน้า เพราะรู้ดีว่ามันคงอยู่ดูโลกได้ไม่นานนัก เหงื่อกาฬไหลซึมเต็มใบหน้า ฝ่ามือปิดปากแน่นไม่มีโอกาสให้มันร้องขอหรือวิงวอนใดๆ

“แกทรยศหักหลังพ่อฉันกับฉัน คนอย่างแกมีค่าสักเท่าไร”

กิ่งไผ่ถาม เสียงกระซิบราวกับทูตกวักวิญญาณมาจากนรกอเวจี ใบหน้างดงามเฉยเมย คนทรยศขยับตัว หากกิ่งไผ่ตรึงไว้แน่นประดุจราชสีห์ตะปบเหยื่อ ไม่อาจให้เหยื่อรอดออกไปจากอุ้งเล็บแหลมคม

“แกยอมเข้าร่วมกลุ่มกับไอ้ชาติชั่วกฤษดา แกคงหิวกระหายเงินมากสินะ”

ยิ่งพูดน้ำเสียงของ “อดีตนายน้อย”ยิ่งเย็นเยียบไร้ความเมตตาต่ออดีตลูกน้อง ใบหน้าของเจ้ากฤษดาเด่นชัดในความทรงจำ กระแสแห่งความเกลียดชังยิ่งเอ่อล้น

“จงจำใส่หัวแกไว้ซะ ว่าโทษของผู้ทรยศคือความตายสถานเดียว!”

ราวกับหล่มน้ำแข็งพังทลายตรงหน้า ร่างสั่นระริกราวกับเจ้าเข้า คำประกาศิตสุดท้ายสิ้นสุด กิ่งไผ่ลงมืออย่างไม่ลังเล ไม่มีซึ่งความสงสาร เห็นใจ ไม่มีความรู้สึกใดทั้งนั้นนอกจากความว่างเปล่า เลือดไหลท่วมแขนเเต่ร่างโปร่งไม่ใส่ใจ กิ่งไผ่ปล่อยร่างเจ้าเคราะห์ร้ายลง ซากไร้ชีวิตค่อยๆคว่ำหน้าลงกับพื้น กระตุกเพียงครั้งเดียววิญญาณหลุดลอยจากร่างไป ลงมือเสร็จกิ่งไผ่เพียงใช้หางตาเหลือแลเพียงนิดเดียว ดวงตาอ่อนลงราวกับเวทนา สะทกสะท้อนในอกเพราะครั้งหนึ่งพวกมันเคยรับใช้พ่อแต่แล้วก็รวมหัวกันหักหลังให้เขาและพ่อหนีตายหัวซุกหัวซุน กิ่งไผ่เสยผมปรกใบหน้าออก เผยให้เห็นเค้าโครงงดงาม หากไร้เค้าอ่อนโยนในยามปกติ เหมือนสีหน้าตุ๊กตามากกว่าจะเป็นสีหน้ามนุษย์มีจิตใจ ดวงตาสีดำมองความมืดมิด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง อาบร่างในความมืดย้อมให้ตกอยู่ท่ามกลางความโศก กิ่งไผ่จมไปกับความตายที่ลอยอวลรอบตัว นึกถึงวันที่เวียงนวรัฐะล่มสลาย นึกถึงอดีตในเวสพอยท์กับการเลือกที่จะเป็นกองโจร กิ่งไผ่เหน็บมีดข้างเอว สำหรับตัวเขาเองก็กลายเป็นตุ๊กตาสังหารตัวหนึ่งก็เท่านั้นเอง ร่างของกิ่งไหวเคลื่อนไหวหายไปในเงามืดอีกคราราวกับภูตพรายเต็มไปด้วยความลี้ลับจนยากจะหยั่งคะเน

“มันแปลกๆน่าลูกพี่ที่มันหายไปนาน”

ผู้เป็นหัวหน้ารู้สึกหัวเสียที่ลูกน้องไม่ได้เรื่อง พอทั้งหมดไปดูกลับเหมือนถูกแช่แข็ง เพราะลูกน้องที่มีอาวุธครบมือกลับถูกฆ่าตายไปสามรายโดยที่พวกมันไม่รู้สึกตัว ต่างมองหน้ากันในความมืด สาดแสงไฟกวาดหาโดยรอบ หน้าตาเลิ่กลั่ก

“ค...ใคร...ฆ่ามัน”ต่างถามเสียงเซ่งแซ่ กระชับอาวุธในมือแน่น

“มัน!”

เสียงเจ้าตัวหัวหน้าคำรามก้อง เจ้าลูกน้องมองสภาพศพที่ตายน่าสยดสยอง คำว่า ‘มัน’ หลุดจากปากไม่ต้องถามว่า ‘มัน’เป็นใคร ทั่วทั้งร่างพลันหวาดเกรงต่ออำนาจ

“ต...แต่ มันมีคนเดียว ใครกันแน่ที่ฆ่าเจ้านี้ มันคนเดียวไม่มีทางทำสำเร็จ”

น้ำเสียงของลูกน้องหวาดหวั่นเหลียวมองดูรอบๆตัว เจ้าลูกพี่ก้มลงสำรวจซากศพ ทุกศพต่างถูกมีดปาดคอหอย เหวอะจนเห็นเนื้อในเป็นที่น่าแสยงลูกตา ซากศพเจ้าคนใหม่ยังตายไม่นานนัก เจ้าหัวหน้าลุกขึ้น ดวงตากร้าวเมื่อถูกลบคม

“หาให้พบ มันอยู่แถวนี้แหละ ไอ้พวกนี้มันคงเผลอ สมน้ำหน้า ต้องอยู่นรกเพราะประมาท”

ผู้เป็นลูกพี่ตวาด เหล่าลูกน้องพยายามทำใจให้ฮึกโหม ซากศพของไอ้พวกที่ตายก่อนยังติดตา ไม่รู้ว่ามันถูกฆ่ายังไง ถูกฆ่าไปตอนไหน หากมี ‘มัน’จัดการคนเดียวย่อมน่ากลัว เพราะกลายเป็นเป้าให้สังหารได้ทุกขณะโดยไม่รู้แม้แต่น้อยว่าศัตรูอยู่ที่ใด

“หมาจนตรอกก็สู้เหมือนหมาจนตรอกแหละ มันอยู่ไม่ไกลนัก จับมันออกมาให้ได้ พวกมึงมีอาวุธครบมือจะไปกลัวอะไรกับมัน”

เจ้าลูกพี่ปลอบใจแม้มันจะนึกขยาดในใจเช่นกัน คนๆเดียวกลับหาไม่พบ แถมยังฆ่าคนของมันตายไปสามราย ตัวมันเองชักหวั่นๆเสียแล้วว่าตัวเองจะเป็นเช่นไร ต่างกระจายกำลังที่เหลือออกไป เสียงร้องลั่น ทุกคนต่างกรูไปหาจุดกำเนิดเสียง เจ้าคนที่แหกปากร้องกลับหายไปในอากาศ ผู้ที่ตามติดเหลียวมองหา กราดแสงไฟในความมืดอย่างไรจุดหมาย

“แกอยู่ไหนวะ...”

น้ำเสียงของผู้ที่ตามหาสั่นระริก นิ้วสอดเข้าไปในไกปืน เสียงแกรกกรากบนศีรษะ เจ้าคนที่ตามหาเพื่อนส่องไฟฉาย พุ่มไม้สั่นไหวรุนแรง ด้วยความเสียสติ มันจึงลั่นกระสุนโดยไม่คาดคิด เสียงปืนดังแหวกอากาศ ทำลายความเงียบ

“มึงทำห่าอะไร”

เสียงลูกพี่ตวาด พร้อมกับลูกน้องที่เหลืออีกไม่กี่คนวิ่งตรงมายังทิศที่เกิดเสียงปืน

“ผ...ผมจ...จับ มั...มันได้แล้ว”น้ำเสียงสั่นไหว

เจ้าลูกพี่และคนทั้งหมดมองไปยังต้นไม้ซึ่งพุ่มหนาห่อหุ้มร่างที่อยู่เบื้องบน เลือดไหลหยดลงเบื้องต่ำ ร่างที่ไม่อาจหยิบจับอะไรได้หล่นจงจากต้นไม้ แต่แล้วดวงตาของพวกมันทั้งหมดต่างเบิกกว้างแทบตาฉีก เพราะคนที่ถูกฆ่าไปนั้นกลับเป็นฝ่ายเดียวกับพวกมัน! ปืนหล่นร่วงจากมือ ร่างของเจ้าคนยิงอ่อนปวกเปียก

“ไอ้ห่า มึงแหกตาดูดีๆไหมวะ”

น้ำเสียงเริ่มแตกตื่นเมื่อสำรวจดูก็พบว่าถูกฆ่าตายไปก่อนหน้านี้แล้ว ร่างพรุนด้วยกระสุนปืนและลำคอถูกปาด น่าสมเพช ! คนที่เหลืออยู่มองหน้ากันอย่างอับจนปัญญา กลัวขึ้นมาจับใจว่าตัวเองจะกลายเป็นเหยื่อแห่งความตายเงียบๆเหมือนกับที่เจ้าพวกเคราะห์ร้ายเล่านี้ประสบ

------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ธีรเดชไม่ใคร่สบายใจนักเมื่อต้องนั่งอยู่เงียบๆ ไม่อาจขยับตัวได้ซ่อนกายในสบทบพุ่มไม้หนา ได้ยินเสียงปืนกราด ในใจของชายหนุ่มกังวลต่อความปลอดภัยของกิ่งไผ่ จะขยับกายลงไปแต่เสียงของกิ่งไผ่ดังก้องอยู่ในหัวทุกคราจนต้องชะงัก กลัวว่าจะเป็นตัวถ่วง แต่ใจก็ไม่อาจเห็นแก่ตัวได้ ชายหนุ่มจึงกระชับปืนในมือ ค่อยๆปืนลงไปเงียบๆ หาหนทางไปถึงเสียงปืน จนดวงตาสะดุดกับซากศพ ....ใครที่เป็นฆ่า...ชายหนุ่มได้แต่สงสัยในใจ

“ใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป?”

น้ำเสียงเยียบเย็นก้องกังวานท่ามกลางความเงียบสงัด ธีรเดชได้ฟังยังอดเหน็บหนาวไม่ได้ พวกมันก็เช่นกัน เสียงของกิ่งไผ่อยู่ทางเบื้องหลังพวกมันชัดๆ มันจึงส่องปืนขึ้นระมัดระวังจนกระทั่งไฟฉายในมือหลุดร่วงกระแทกพื้นดับ ความมืดครอบงำทันใด ธีรเดชใจหายวาบเพราะภาพสุดท้ายที่ได้เห็นคือพวกมันเหนี่ยวไกปืน เสียงปืนระเบิดขึ้นทันใด ยิ่งจนหมดแม็กกระสุน ต่อให้เป็นพระเจ้าก็ไม่อาจรอดจากคมกระสุนที่กระหน่ำยิงได้

“หมาจนตรอก...ก็ยังเป็นหมาจนตรอกอยู่วันยันค่ำ มีคนพูดแบบนี้แล้วก็ได้ไปอย่างง่ายดาย”

น้ำเสียงท้ายๆทอดอ้อยสร้อย ยั่วเย้าคนฟังให้ขุ่นเคืองใจ

“พวกแกคงโชคร้ายที่ต้องตายเป็นฝีเฝ้าป่าแทนฉันแน่ๆ”

กระแสเสียงเย็นยะเยียบเอ่ยราวกับไม่ได้รับกระทบกระเทือนใดๆ มือที่เตรีมลั่นกระสุนกลับชะงักค้างเพราะกระสุนของมันกลับไม่เหลือสักนัดเดียว

“ฉันคำนวณปืนของพวกแกไว้แล้วว่าจะเหลือกระสุนอยู่กี่นัด แกถูกหลอก....ใครไม่อยากตายก็จงไปเสีย อย่างน้อยๆฉันจะคิดว่าครั้งหนึ่งแกเป็นลูกน้องของฉัน”

น้ำเสียงกิ่งไผ่เฉื่อยชา แฝงด้วยเมตตาธรรมในน้ำเสียงราบเรียบ เสียงไม่อาจทราบทิศทางเด่นชัดเรื่อยๆ ความมืดรายรอบ เหล่าผู้ตื่นกลัวโยนปืนทิ้ง เกรงต่ออสูรสงครามที่ได้ประสบพบเจอ เจ้าหัวหน้าเดือดดาลใจที่เจอลูกน้องขี้ขลาดรักตัวกลัวตาย ตัวมันแหกแหกปากร้องท้าลั่น

“มึงแน่ใจว่าฆ่ากูได้ก็เอาซี่วะ”

เสียงตะคอก ปนกับเสียงทอดถอนใจเคล้าสายลมยามดึก กิ่งไผ่กระโดดลงจากต้นไม้ที่เป็นที่ซ่อนร่างของเจ้าลูกน้องเคราะห์ร้าย เจ้าตัวหัวหน้าที่เอ็ดตะโรโวยวายตะลึงเพราะเพียงพริบตากิ่งไผ่ก็มาถึงตรงหน้าแล้ว

“ชั้นปลายแถวอย่างแกไม่สามารถเอาชนะได้หรอก”

คำพูดดูแคลน สร้างความโกรธถึงขีดสุด มันตวัดแขนเข้าหากิ่งไผ่อย่างว่องไว กิ่งไผ่เพียงก้าวถอยหลัง วงแขนพลาดไป หากมันไม่อาจปล่อยโอกาสยกเท้าถีบยอดอกจนกิ่งไผ่เซถลาไปหลายก้าว ปืนตกบนพื้น ช่วงโอกาสดีๆมาถึง มันจึงรีบคว้า กิ่งไผ่แสยะยิ้มเมื่อปืนจ่อหน้าทันทีที่แหงนหงายใบหน้าขึ้น ปลายกระบอกเย็นเฉียบเจาะขมับ ยิ้มอย่างเป็นต่อ

“ ดูท่าแกจะตายแทนเสียแล้วล่ะ”

เสียงหัวเราะบ้าคลั่งอย่างคนกุมชะตา กิ่งไผ่ยังรักษาระดับความเย็นเยือกไว้ได้ ไม่แสดงสีหน้าใดๆออกไป

“อะไร...กลัวจนร้องไม่ออกเลยเรอะ”

มันถีบบ่ากิ่งไผ่ชิดติดต้นไม้ แผ่นหลังบอบบางกระแทก กิ่งไผ่ยังไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา เขาได้รับความเจ็บปวดมากพอจนแค่นี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก คางถูกบีบแน่นจนแทบละเอียดแหลกคามือ ใบหน้างามแหงนหงาย ในแววตาทอความว่างเปล่าและความสงสาร

“แกหน้าตาดีสมกับที่นายกฤษดาหลงใหลเลย...”

คำพูดของมันฟังแล้วน่าสะอิดสะเอียนขุดความทรงจำอันน่ารังเกียจออกมา มือของมันสางผมยาวก่อนขยุ้มไว้แน่นจนใบหน้ากิ่งไผ่แหงนหงาย

“แต่น่าเสียดาย...น่าเสียดายที่แกไม่อาจอยู่ดูโลกนี้ได้อีกต่อไป”

ธีรเดชเฝ้ามองอยู่เนิ่นนานตระเตรียมออกไป หากกิ่งไผ่ชิงพูดออกมาก่อน

“แต่แกก็ยังอ่อนเชิงอยู่เหมือนเดิม แกยิงสิ....”

กิ่งไผ่ท้าทาย มันย่อมทำตามด้วยความเกลียดชัง หากพอยิงกลับเกิดเสียงแชะ ไม่มีกระสุนออกมาสักนัด กิ่งไผ่ยิ้มขัน ก่อนลุกขึ้น มันกลัวต่อท่าทีคุกคาม กิ่งไผ่ทรุดนั่งตรงหน้ามัน ถือมีดซึ่งเปื้อนเลือดเกรอะกรังอวดความน่ากลัว

“ปล่อยให้พล่ามมากพอแล้ว...ตายซะเถอะ!”

ธีรเดชลุกขึ้น เข้ามาหา กิ่งไผ่ไม่หันมองเพราะรู้อยู่แล้วว่าธีรเดชต้องมา

“คุณจะฆ่าเขาเหรอ”

ธีรเดชเข้าใจแล้วว่าใครจัดการสังหารได้อย่างน่ากลัวเช่นนั้น กิ่งไผ่ไม่ตอบ กลับจ่อมีดชิดคอหอยเจ้าตัวหัวหน้า

“ผมจะฆ่าหรือไม่ฆ่ามันเป็นปัญหาคุณรึไง”กิ่งไผ่ตีรวน

ธีรเดชมองใบหน้าเหลือกลานของเจ้านักโทษ สงสารมันเหลือกำลัง

“ยังไง...ผมก็...”

ชายหนุ่มเงียบไป กิ่งไผ่พรูลมหายใจบางเบา

“คุณรู้จักกฎการเอาตัวรอดไหม ใครแข็งแกร่งกว่าก็ชนะ ใครฉลาดกว่าก็รอดตัวไป ผมอยู่ในสังคมแบบนั้นแหละ อยู่กับความไม่เชื่อใจ....”

น้ำเสียงกิ่งไผ่เอ่ยราวละเมอ ธีรเดชรับฟังเงียบๆปลายมีดแหลมคมจ่อเข้าคอหอยเจ้าเคราะห์ร้ายอย่างไม่ปราณี

“ปล่อยผมไปเถอะ...ปล่อยผม”

มันอ้อนวอนด้วยท่าทีสั่นระริก กิ่งไผ่หรี่ตาลงส่ายหัวช้าๆ มันมองใบหน้างามซึ่งหลงเหลือแต่น้ำแข็งคลือบคลุมบางๆ

“ฉันปราณีแกได้ด้วยหรือ แล้วสิ่งที่แกทำกับฉันและพ่อของฉันล่ะ? แกทรยศนายตัวเองได้ลงคอ แกมันเลวยิ่งกว่าหมา!”

กิ่งไผ่ตวาดขยุ้มคอเสื้อมันขึ้น จ้องตาแทบถลนแรงโกรธเกลียดครอบงำ

“แกไปเข้าฝ่ายไอ้กฤษดา แล้วทำลายเจ้านายแกได้ลงคอจะให้ฉันปราณีมีเมตตาหรือ”

ธีรเดชขยับกายเข้ามาใกล้ กิ่งไผ่เงื้อมีดในมือสูงขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้าความเมตตาล่ะก็...ฉันให้พวกแกแล้ว”

เงื้อมือสุดแขน ธีรเดชมองอย่างไม่เชื่อสายตาเลยว่า คนๆนี้เป็นกิ่งไผ่ที่เขารู้จัก คนที่เยือกเย็นกลับกลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ชายหนุ่มรู้ว่ากิ่งไผ่เก่งและใจแข็งแต่ไม่คิดว่าจะเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้

“ถ้าแกอยากได้ชีวิตล่ะก็แกจงบอกว่าไอ้เจ้ากฤษดามันเป็นใครกันแน่ มันต้องการอะไร”

กิ่งไผ่ยังตะคอก น้ำเสียงห้วนสั้น แรกๆเจ้าเชลยไม่ยอมบอก กิ่งไผ่ยิ้มแสยะขู่

“ฉันเป็นคนที่พูดจริงทำจริงเสียด้วย ถ้าแกบอกเท่าที่แกรู้ชีวิตแกก็อยู่ แต่ถ้าไม่ยอมคิดดิ้นรนแกก็ตายเสีย”

มีดเปื้อนเลือดติดตาของมัน ความรักตัวกลัวตายมีมากมันจึงพนมมือเอ่ยเป็นภาษาพม่าระรัว

“งั้นแกจงบอกมา”

กิ่งไผ่เอ่ยเป็นภาษาบ้านเกิด มันจึงเปิดปากเล่าอย่างช่วยไม่ได้

“เท่าที่ผมรู้ กฤษดามันเป็นนักค้ายาเสพติด มันต้องการกำลังเพื่อต่อต้านทหารไทย มันเลยหลอกใช้นายพลอินคานซึ่งรวบรวมคนต่อสู้เพื่อชิงแผ่นดินคืน มันให้เงินจัดซื้อด้านอาวุธยุทโธปกรณ์แก่กองกำลังของท่านนายพลที่หารู้ไม่ว่ามันคิดไม่ซื่อ”

ริมฝีปากของกิ่งไผ่เม้มแน่น

“มันเอาเงินมาจากไหน”

น้ำเสียงเย็นเยียบถามต่อ ธีรเดชเห็นท่าทีของทั้งคู่ดูแปลกๆ แถมยังพูดในภาษาที่เขาไม่เข้าใจ

“ได้ยินว่ามันเป็นสมาชิกของมาเฟียอิตาลี มันขยายสาขาเส้นทางการขนยาเสพติดอยู่ ผมรู้แค่นี้เอง”

กิ่งไผ่รับฟังน้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยระรัวเร็ว

“แล้วเชื่อถือเรื่องที่แกบอกได้แค่ไหน”

ปลายมีดจี้ที่คอ กิ่งไผ่อยากรู้ว่าสิ่งที่ได้ฟังเท็จหรือจริง

“จะไปโกหกทำไม”

ธีรเดชมอง กิ่งไผ่ลุกขึ้น หันไปทางนายทหารหนุ่ม

“ผมกำลังสอบปากคำเรื่องธุระส่วนตัวของผมอยู่”

ร่างโปร่งเอ่ยมองเจ้าคนขาอ่อนลุกขึ้นจากพื้นไม่ไหวอย่างน่าเวทนา ธีรเดชผงกศีรษะไม่รู้ว่า ‘ธุระ’ของร่างโปร่งคืออะไรกันแน่ ยิ่งรู้จักยิ่งมีปริศนามากมาย

“คงไม่จำเป็นที่จะต้องเล่าให้คุณฟัง”

ราวกับอ่านใจออก รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมแฝงด้วยความชังมอบให้ หากมองดู รอยยิ้มนั่นช่างอ่อนหวานราวน้ำผึ้งเคลือบด้วยยาพิษแม้จะรู้ดีว่าอันตรายสักเพียงใดก็อยากสัมผัส ธีรเดชมองอย่างตะลึงตะลานโดยไม่รู้ตัว

“ไสหัวไปซะ!”

กิ่งไผ่ว่าพร้อมทรุดเก็บปืนเติมกระสุน เจ้าหัวหน้าที่มันคิดว่ารอดแล้วลุกขึ้นเตรียมวิ่งหนี ธีรเดชก้าวเข้าไปหาหลังจากสังเกตเห็นท่าไม่ดี กิ่งไผ่บรรจุกระสุนเสร็จ สิ่งที่เขาคิดมันก็เป็นจริง! มันพุ่งชาร์จเข้าหากิ่งไผ่อย่างแรงจนล้มลง บีบลำคอขาว แย่งยิงปืน มาไว้กับตัว ธีรเดชหมายเข้าไปช่วย กิ่งไผ่สะบัดตัวออก เจ้าเชลยที่ครั้งหนึ่งได้รับอิสระเหนี่ยวไก ธีรเดชปะทะร่างของกิ่งไผ่อย่างแรง ปวดแปลบที่ต้นแขน กิ่งไผ่ตกใจไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มจะเข้ามาช่วยบังไว้ ร่างของทั้งคู่ล้มทับกัน เจ้าเชลยศึกหมายซ้ำอีกรอบ กิ่งไผ่ไวกว่า คว้าปืนของธีรเดชยิงสวนไปหนึ่งนัดโดยไม่ต้องเล็ง กระสุนเจาะหน้าผาก มันหงายหลังล้มขาดใจทันที กิ่งไผ่ยกตัวหนาหนักออก มองเลือดไหลเป็นทางจากต้นแขนแกร่ง ก่อนลุกขึ้นดูให้แน่ใจว่าตัวเองยิงไม่พลาด เรือนผมยาวสลวยยุ่งเหยิงเคลียแก้มซึ่งนั่งมองร่างไร้ชีวิตที่ตนเองเพิ่งสังหารเองกับมือ สายลมอ่อนๆยามดึกพัดคลอเคลียเส้นผมยาวสลวยหลุดจากมวยยุ่งเหยิง ดูราวตอนนี้ร่างบางตรงหน้าเป็นเครื่องจักรสังหารมากกว่าจะเป็นมนุษย์มีจิตใจและวิญญาณ ธีรเดชเฝ้ามองมาทางตนด้วยใบหน้าที่ยากหยั่งลึก แท้จริงแล้วชายหนุ่มคิดเช่นไรกับสภาพของตนในตอนนี้ เลือดเปื้อนไปหมดทั้งตัว
มอมแมมเหมือนไม่ใช่คน ธีรเดชมองมันสมองไหลปนเลือดเกิดจากคมกระสุนที่ยิงแม่นราวกับจับวาง เพียงแค่คนเดียวก็สังหารกองโจรที่มีอาวุธครบมือได้ถึงห้าราย ทั้งยังขู่ขวัญจนกระเจิง....คนๆนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ...สายตาคมมองร่างยืนโดดเดี่ยว กุมต้นแขนตัวเองไว้ ก่อนร่างกิ่งไผ่ทรุดฮวบลงกับพื้น


“คุณบาดเจ็บ...”

สายตาคมมองมือพันด้วยผ้าลวกๆ มาบัดนี้มันเลิกขึ้น เผยให้เห็นบาดแผลเป็นรอยฟัน

“ช่างมันเถอะ แค่ถูกกัด...”

กิ่งไผ่แข็งใจลุกขึ้น เขาไม่มีวันยอมล้มเด็ดขาด ไม่มีวัน! สายตาอ่อนโยนทอดมองร่างไร้ชีวิต กิ่งไผ่พรูลมหายใจราวกับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

“เป็นเพราะคุณบอกไม่ให้ฆ่ามัน ผมเลยไม่ฆ่า สม...ได้รับความเมตตาแล้วอยากไม่รับดีนัก”

กิ่งไผ่เอ่ยอย่างไม่ยี่หระ ธีรเดชกุมบาดแผลตัวเองไว้เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้

“ผมละอายแก่ใจเหลือเกินที่ปกป้องคุณไม่ได้เลย”

ธีรเดชฝืนยิ้มขณะที่เลือดไหลเอ่อล้นตามร่องมือ

“ดีแล้วล่ะที่คุณไม่เข้ามาขวางงานของผม เพราะผมกังวลเหมือนกันว่ากลัวคุณจะได้รับอันตรายหรือเปล่า เพราะงานสังหารของผมมักมีการปรับเปลี่ยนแผนตลอด”

น้ำเสียงของกิ่งไผ่ราบเรียบ สายตาพิศมองแผลจากคมกระสุน

“ไปเรียนมาจากไหน”

ธีรเดชลองล้วงข้อมูล หากกิ่งไผ่ก็ตั้งกำแพงไว้สูง ไม่เปิดเผยใดๆ

“กลัว?” อีกฝ่ายย้อนถามโทนเสียงยังเป็นเช่นเดิม จนธีรเดชอ่อนใจ

“ผมมันคนโชคร้ายจริงๆ”

กิ่งไผ่ช้อนตามอง เลิกคิ้วแปลกประหลาดที่ยังเห็นคนๆนี้พูดได้อีกทั้งๆที่เลือดไหลไม่หยุดจนใบหน้าซีดขาว

“ว่าแต่คุณเถอะ...แผลที่มือเป็นไงบ้าง”

ข่มความเจ็บปวดจนใบหน้าซีดขาว อย่างไรเสียธีรเดชก็นึกห่วงอีกฝ่ายมากกว่า กิ่งไผ่สบดวงตาแกร่ง กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ชายหนุ่มช่างบ้าจริง!ทั้งๆที่ตัวเองบาดเจ็บเพราะปกป้องคนอื่นยังมีหน้ามาพูดห่วงใยคนอื่นด้วยความใจดีไม่เข้าท่า

“สำหรับผมบาดแผลแค่นี้ไม่ตายหรอก แต่คุณนั่นแหละจะได้ตายก่อนผม”

กิ่งไผ่คำรามเสียงต่ำ ธีรเดชเพียงยิ้มน้อยๆ มือเปื้อนเลือดแตะใบหน้ากร้าวแกร่งเบาๆ ธีรเดชสังเกตได้ว่ามือของกิ่งไผ่สั่นระริกทั้งๆที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

“ผมจะรอดออกไปจากป่านี้ไหมนะ“

ดวงตาอ่อนโยนมันช่างกรีดหัวใจแข็งกระด้างของกิ่งไผ่ลงย่อยยับ

“คุณไม่มีทางตายหรอก”กิ่งไผ่ว่า

ธีรเดชหัวเราะ เลือดยังไหลออกมาไม่หยุด

“ทำยังไง”ชายหนุ่มถาม

กิ่งไผ่ประคองร่างของธีรเดชนอนราบกับพื้น สำรวจบาดแผล โชคดีที่กระสุนไม่ฝังในลึกนัก กิ่งไผ่รื้อกระเป๋าเป้ทหาร หาของบางอย่าง ก่อนจุดไฟ กิ่งไผ่ข่มหน้าให้เรียบสนิท แรกๆธีรเดชไม่เข้าใจนักว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร พอเห็นกิ่งไผ่ค้นหามีดคมกริบเล่มเล็ก ฆ่าเชื้อด้วยความร้อน แล้วเช็ดกับแอลกอฮอลล์ เท่านั้นแหละใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วกลับซีดมากยิ่งขึ้น

“หรือว่าคิดผ่าตัดเอาคมกระสุนออก”

กิ่งไผ่ผงกศีรษะเชื่องช้า ชายหนุ่มพูดไม่ออกเลยทีเดียว....จะผ่าตัดโดยไม่ใช้ยาชารึยาสลบนี่นะ?

“ไม่ต้องห่วงหรอก....”กิ่งไผ่ปลอบ

ชายหนุ่มไม่ได้กังวลถึงเรื่องนั้น กิ่งไผ่ลุกขึ้นเหลียวมองรอบกายซึ่งบัดนี้แสงวันใหม่จับขอบฟ้าแล้ว

“ผมก่อไฟต้มน้ำก่อนนะ”

กิ่งไผ่ไม่พูดเปล่าลงมือต้มน้ำอย่างรวดเร็ว ธีรเดชเจ็บจนริมฝีปากไร้สีเลือด พอเสร็จกิ่งไผ่ล้างมือให้สะอาด เข้ามาใกล้ร่างแกร่ง สบดวงตาสื่อให้เห็นความมั่นใจ

“ผมถูกฝึกมาดีแล้วน่า”

กิ่งไผ่สำทับ เอามีดคมกริบแช่ในน้ำร้อน ธีรเดชหลับตาลงเมื่อคมมีดแตะผิว สัมผัสถึงความร้อน ชายหนุ่มหลับตากัดฟันแน่นเมื่อมีดค่อยๆชำแรกเข้าเนื้อ กัดจนเลือดซึม ลมหายใจหอบรุนแรง

“อ๊ากก”

ธีรเดชหลุดปากร้อง ดิ้นทันทีจนแพทย์จำเป็นต้องหยุดมือ ลมหายใจหอบถี่รุนแรง เหงื่อไหลทะลัก ดวงตาเหลือกข่มความเจ็บ กิ่งไผ่ใช้ผ้าก๊อชซึ่งผ่านการต้มฆ่าเชื้อเช็ดเลือดออกจากปากแผล

“อีกนิดเดียวเท่านั้นคุณอดทนหน่อยได้ไหม”

น้ำเสียงนุ่มนวล ธีรเดชเหลือบตาเลือนรางมองมือเปื้อนเลือด ผงกศีรษะอ่อนล้า เขาไม่รู้จะอดทนได้นานสักเท่าไร มือเปื้อนเลือดแตะริมฝีปากที่ขบจนแตก โอบกอดไว้เบาๆ ศีรษะเอนซบบ่าบอบบาง อย่างขัดขืนไม่ได้

กิ่งไผ่ตัดใจลงมืออีกครั้งเพราะใกล้แคะหัวกระสุนออกมาได้แล้ว เมื่อลงมีดอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ธีรเดชเผลอร้องและขบบ่าบางกัดเสียงเข้าเต็มๆ แม้จะเจ็บแต่กิ่งไผ่ก็อดทน เพราะชายหนุ่มเจ็บ เขาก็สมควรเจ็บปวดด้วยเช่นกันเพราะชายหนุ่มปกป้องจนเกือบเสียชีวิต กิ่งไผ่ไม่เคยได้รับความอ่อนโยนใดๆรู้สึกผิดมากมายที่ทำให้ธีรเดชเป็นเช่นนี้ ผ่านไปเนิ่นนานธีรเดชเจ็บจนสลบ กิ่งไผ่เย็บปากแผลโดยอุปกรณ์แพทย์สนามที่มีอยู่ในเป้ทหาร

เวลาเดินผ่านจน เป็นเวลาบ่ายคล้อย กิ่งไผ่ปล่อยให้คนบาดเจ็บนอนพักเงียบๆ กิ่งไผ่เปิดดูแผลที่บ่าซึ่งเป็นรอยฟันน่ากลัว เจ็บ...แค่นี้เป็นเรื่องเล็ก ร่างโปร่งจัดการทำแผลตนบ้าง ก่อนยกร่างของธีรเดชขึ้นหาที่ปลอดภัยซ่อนกายสักระยะ

------------------------------------------------

ธีรเดชฟื้นขึ้นมามองเห็นราตรีคลี่คลุม กิ่งไผ่ห่อตัวกลมครึ่งหลับครึ่งตื่น ชายหนุ่มจ้องบาดแผลที่บวมตุ่ยบนฝ่ามือของกิ่งไผ่ ขยับตัวคิดลุกขึ้นไปหาอย่างมึนงงก็เจ็บที่บ่าจนขยับไม่ได้ จึงได้แต่นอนนิ่ง กิ่งไผ่รู้สึกตัวตื่น เห็นธีรเดชลืมตาตื่นจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือความง่วงงุน

“ยังไม่หลับหรือ”

“ผมกำลังคิดเรื่องของคุณอยู่”

ธีรเดชมอง กิ่งไผ่ลุกขึ้นนั่งข้างๆ พร้อมกับส่งฟืนเข้ากองไฟ

“มีอะไรน่าสน?”อีกฝ่ายแสร้งถาม

ธีรเดชหัวเราะเมื่อมองใบหน้าประหลาดใจ เพราะน้อยนักที่กิ่งไผ่จะทำ

“ก็หลายๆอย่าง อาทิเช่นคุณเป็นใครกันแน่ เรื่องอะไรถึงถูกตาม แล้วทำไมถึงได้เก่งเหลือเกิน”

แม้เป็นการเอ่ยเล่นๆหากจริงจังอยู่ในที

“ผมจะตอบคุณเป็นบางส่วนก็แล้วกัน....อยากรู้ใช่ไหมว่าใช้วิธีไหนจัดการพวกนั้น?”

ธีรเดชผงกศีรษะ กิ่งไผ่ก็อธิบายให้ฟังจริงๆ

“การฆ่าคนน่ะมันง่าย....ถ้ารู้จักใช้วิธี....ผมใช้จิตวิทยาให้มันกลัว เมื่อมันคิดว่าไม่อาจสู้ได้ มันก็ทำไม่ได้จึงกลายเป็นเป้านิ่งไงล่ะ”

ท่าทีลับลมคมใน กิ่งไผ่ซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง มองดูความสวยแค่เพียงเปลือกนอก หากแก่นในแท้จริงแล้ว “แข็งกร้าว” ต่างจากต้นธาราโดยสิ้นเชิง....อีกฝ่ายนั้น"นุ่มนวล"เกินไป .... ชื่อของคุณหมอผุดขึ้นในความทรงจำ กิ่งไผ่เห็นธีรเดชเบือนหน้าหนีจากตนจึงนิ่งเงียบไป

“คุณเหมือนกับคนที่ผมรู้จักอยู่คนหนึ่ง ต่างกันตรงที่นิสัยเท่านั้น”

ธีรเดชหลุดปาก กิ่งไผ่สงสัยว่าคนที่เอ่ยนั้นคือใคร

“ผมไม่เหมือนใครทั้งนั้น”

ร่างโปร่งตอบอย่างรวดเร็ว สายตาธีรเดชยังจับจ้องอยู่ดีด้วยสายตาเสน่หาอาทร...เหมือนแทนตัวคนที่ชายหนุ่มบอกว่าคล้าย...

“พอคุณไปส่งถึงไทยแล้วเราจะแยกกันจริงๆหรือ”วิงวอนราวกับไม่อยากให้ไป

“เราไม่ได้มีอะไรผูกพันกัน คุณจะเสียใจทำไม?”

กิ่งไผ่เอ่ยแล้วสะท้อนในใจ เหมือนเป็นกับความฝันชั่วคืนหนึ่ง...พอตื่นมาพบกับความจริงว่าคนที่ยึดติดสุดท้ายจากไป...แล้วก็อยู่อย่างเดียวดาย

------------------------------------------------

pupper

  • บุคคลทั่วไป
คามรักก่อตัวท่ามกลางความแตกต่าง เหมือนเป็นเส้นขนานที่จะมาบรรจบกันไม่ได้ เอาใจลุ้นคู่นี้นะครับ ให้เส้นมันโค้งลงมาบรรจบกัน ในเมื่อต่างฝ่ายเริ่มที่จะมีใจให้กันแล้ว แต่ดูแล้วแววเศร้ากำลังจะปรากฎ คนเขียนเก็บกดอะป่าว

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
+ยังคงเป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ+

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
กิ่งไผ่......................... :o

rain-at-rose

  • บุคคลทั่วไป
คามรักก่อตัวท่ามกลางความแตกต่าง เหมือนเป็นเส้นขนานที่จะมาบรรจบกันไม่ได้ เอาใจลุ้นคู่นี้นะครับ ให้เส้นมันโค้งลงมาบรรจบกัน ในเมื่อต่างฝ่ายเริ่มที่จะมีใจให้กันแล้ว แต่ดูแล้วแววเศร้ากำลังจะปรากฎ คนเขียนเก็บกดอะป่าว

เปล่าเจ้าค่ะ มันเป็นไปตามพลอต ทนเครียดกันอีกนิด มันจะมีหวานๆผลุ่บโผล่มาช่วยล้างความขมแน่ๆค่ะ :oni1:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
น้องเรนมาหยอดว่าหวาน แต่มันแนว หวานนิดขมมาก  o7

ออฟไลน์ thaitanoi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
 :m23:  มาให้กำลังใจครับ

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
กิ่งไผ่เก่งจัง o7

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
คนสวยรีบมาต่อนะ

 :กอด1:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
จิ้มตูดยายทะลุถึงหัวใจ


แว่..

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ thaitanoi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
 :m23:  มารออ่านนะครับ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ขอโทษๆ  :a6:  มาลงช้าอีกแล้ว แงแง  งานเยอะมากมาย (แก้ตัวตลอด อิอิ)
ต่อเลยจ้า  ขอบคุณที่มาให้กำลังใจ
อ่อ ก่อนไป จิ้มตูดยาย RNไม่กลัวเหรอ ตูดหมึกนะ  :laugh:

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++=

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 14 Under The Rose/ความลับในความรู้สึก [Part1]

(*Under The Rose สำนวนภาษาอังกฤษหมายถึงให้เก็บเป็นความลับ )

สายตาสีน้ำตาลทอดมองราวกับล่องลอยลอยหายไปในละอองหมอก ภานุตื่นขึ้นมาเห็นต้นธาราใจลอยจึงมองเงียบๆ ในใจคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ต้นธาราขยับกายเล็กน้อยมือจับเข็มขัดนิภัยลงไปสูดอากาศข้างนอก เขากับภานุขับรถมานาน ผู้กองหนุ่มจึงจอดพักในจุดพักรถ หลับสักงีบเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อ ชายหนุ่มจะตามลงไปด้วย หากอยู่เฉยน่าจะดีที่สุด ต้นธาราเหลียวมองรอบๆก่อนดิ่งตรงไปทางโทรศัพท์ ยกสายขึ้น เตรียมกดเบอร์ท้ายที่สุดแล้วก็วางลง ภานุจับตามองทุกอิริยาบถ รู้ดีว่าคนที่ต้นธาราจะติดต่อนั้นเป็นใครแต่ทำไมถึงไม่ทำ ข้อนี้สร้างความแปลกใจให้ชายหนุ่มยิ่งนัก ต้นธาราหันหลังให้ชายหนุ่มจับความรู้สึกออกทันทีว่า ร่างบอบบางต้องคิดเรื่องหนักอกในที่สุดต้นธาราตัดสินใจหันหลังกลับมา เปิดประตูรถ ภานุแสร้งทำเป็นหลับเหมือนเคย

“เมื่อไรจะออกรถ”ต้นธาราเขย่าบ่า ร้อยเอกหนุ่มแสร้งงัวเงีย

“หืม...มีอะไร”

ชายหนุ่มหรี่ตา เห็นต้นธาราทำหน้ารู้สึกผิดที่ต้องปลุกเขา ชายหนุ่มจึงวางมือไว้บนบ่ารั้งเข้ามากอดเงียบๆ ต้นธาราแม้ขัดขืนหากยอมอยู่ในอ้อมกอดแต่โดยดี

“ขอโทษที่ปลุก ...”

ต้นธาราพูดอุบอิบในลำคอก่อนผละออกจากแผ่นอกที่ใช้พักพิง ทำทีมองไปข้างหน้า เงียบไปไปครู่ใหญ่ๆจึงเอ่ยขึ้นอีกประโยค

“จะดื่มกาแฟไหม เดี๋ยวผมไปซื้อให้”

น้ำเสียงอ่อนเบากลั่นออกมาเป็นคำพูด ภานุผงกหัวเดาได้เลยว่าต้นธาราคงตัดสินใจไปโทรศัพท์อีกและเขาก็ไม่มีความจำเป็นใดๆต้องรั้ง

“อื้ม...สักกระป๋องก็ดี ให้ออกไปเป็นเพื่อนรึเปล่า”

มือบางโบกไปมา ยิ้มละมุนตา ก่อนต้นธาราหยิบกระเป๋าเงินเดินเร็วๆหายไปในร้านสะดวกซื้อ

“แย่จริงๆ...”

ภานุพึมพำกับตัวเองยกมือรองคอพิงเบาะ เฝ้ามองร่างที่หายไปในคอนวีเนียนอย่างไม่วางตา ร่างโปร่งเดินออก มาพร้อมกับถุงใหญ่ ชายหนุ่มโล่งใจในอกที่ต้นธาราไม่ได้ไปโทรศัพท์ ต้นธาราก้าวขึ้นรถ ส่งกระป๋องกาแฟให้แก่นายทหารหนุ่ม

“อีกกี่ชั่วโมงไปถึง นั่งจนเมื่อยไปหมดแล้ว”

ต้นธาราอุทธรณ์ ภานุจับมือ พลางปลอบเสียงเบา

“อีกไม่กี่กิโลก็ถึงแล้ว ทนเอาหน่อยเถอะ”

คำปลอบโยนแม้จะฟังดูห้วนสั้นหากต้นธาราก็ต้องการฟังอยู่ดี

“งั้นถ้าไปถึงแล้วเราไปหาอะไรอร่อยๆกินไหม นับตั้งอยู่มาผมยังไม่เคยเที่ยวในเมืองสักที”

ร่างโปร่งออดอ้อน ภานุรับคำอย่างเต็มใจ บรรยากาศแห่งความสุขจึงลอยอวล

พอทั้งคู่ไปถึงตัวเมืองก็เกือบเย็น ภานุจึงเป็นฝ่ายตัดสินใจหาที่พักก่อนค่อยมารับประทานอาหารเย็น ต้นธาราก็ไม่อยากขัดใจแม้ว่าตัวเองจะหิว จนกระทั่งภานุหาห้องพักได้ ทั้งคู่จึงออกไปหาอาหารเย็นใส่ท้องได้

“ตลาดแถวนี้คึกคักดี”

ต้นธาราออกความเห็นเมื่อเห็นสีแสงภายในตลาดโต้รุ่งซึ่งขายอาหารกับข้าวสารพัด ยามเดินเคียงคู่ร่างสูง ต้นธาราอุ่นใจแม้ว่าบางส่วนยังประหม่าต่อท่าทีอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมอบให้ ภานุจับแขนเป็นบางครั้งเพราะต้องเบียดเสียดกับฝูงชน ขืนปล่อยให้คนที่ต้องก้าวตามขายาวๆแถมเดินเร็วคงยากที่จะตามทัน พอพ้นช่วงคนเบาบาง ต้นธาราหายใจหอบเล็กน้อยแต่ก็พยายามข่มอาการไม่ให้คนที่เดินนำหน้าเห็น ภานุยังเดินต่อเรื่อยๆพลางชี้ไปร้านนู้นร้านนี้ราวกับเลือกไม่ได้เสียที ฝ่ายต้นธาราก็ท้องกิ่วหิวจนตาลาย ส่งผลให้ขาอ่อนล้ากล่าวตามคนเดินเร็วไม่เคยทันเสียที

“กินร้านนั้นไหม”

ภานุถามเมื่อเห็นเดินผ่านมาหลายร้านแล้ว ต้นธาราจึงผงกหัวยอมรับง่ายๆจนชายหนุ่มถอนใจ

“เราเดินผ่านมาหลายร้านแล้ว ผมบอกจะกินร้านไหนคุณก็ยอมตกลงเสมอรึ ตามใจตัวเองบ้างสิ?”

ภานุว่าอย่างเหลืออดไม่ได้ ต้นธารานิ่ง ภานุจ้องใบหน้าสวยตรงๆ

“สำหรับผมร้านไหนมันก็เหมือนกันแหละ ผมหิวจะตายอยู่แล้ว”

ต้นธาราตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ภานุเงียบงัน ก่อนจูงข้อมือบางนั่งในร้านที่เลือกไว้

“แล้วทำไมไม่บอก”ชายหนุ่มยังพูดเสียงเข้ม ต้นธาราเบ้หน้า

“แล้วเคยถามสักคำไหมล่ะ”

บริกรเข้ามาถามว่าจะสั่งอะไร ภานุจึงตวัดสายตามองทางเด็กเสิร์ฟแทน ชายหนุ่มหยิบเมนูส่งให้คนตรงหน้า ต้นธารารู้สึกว่าความรู้สึกน้อยใจกรุ่นขึ้นในใจ หากระงับอารมณ์ไว้

“เอาอันนี้ไหม...”

ภานุอ่านชื่อเมนูให้ฟัง ต้นธาราผงกหัวรับอย่างแกนๆ ชายหนุ่มนึกหงุดหงิดเหลือกำลัง

“หลังจากนี้คุณจะทำไง”

ภานุโพลงขึ้นมา ต้นธาราจึงหยิบแก้วน้ำที่เสียบหลอดพลาสติกขึ้นมาดูดขมวดคิ้วมุ่น

“ถามแบบนั้น....”

ต้นธาราละไว้หรี่ตาลงจ้องมองคนตรงกันข้ามเขม็ง ภานุสบดวงตาสีอ่อนสะท้อนแสงไฟวิบวับ

“ผมหมายถึง....หลังจากที่กลับไปกรุงเทพคุณจะเอาไง”

ภานุน้ำเสียงห้วนสั้น ต้นธารารับฟังแล้วกัดฟันแน่น ใบหน้าแปรเปลี่ยน ไม่พ้นไปจากการจับสังเกตของภานุไปได้

“ผมก็คงถูกกักบริเวณ รึไม่ก็คุณถูกลงโทษ”

ต้นธาราประชด ก้มหน้าก้มตามองสีพื้นโต๊ะที่กะเทาะล่อน ภานุได้ฟังประโยคหลังสุด รู้สึกเหมือนมีลูกดอกกระทบตรงใจไปเต็มๆ คุณหมอหนุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมผู้กองต้องถามราวกับตัวเขาเป็นตัวถ่วงด้วย คิดแล้วมันก็น่าน้อยใจ ทั้งสองมองหน้ากัน ต้นธาราส่งสายตาตัดพ้อ ขุ่นเคืองใจ อาหารที่สั่งไว้ทยอยมาเสิร์ฟ ภานุหลบสายตาของอีกฝ่ายโดยการตักข้าวสวยในโถให้อีกฝ่าย

“กินผัดผักไหมครับ?”

ภานุถามพร้อมตักใส่จานให้ คุณหมอไม่ตอบ ตักข้าวเข้าปากเงียบราวกับคนซังกะตาย ผัดผักของผู้กองหนุ่มเลยกลายเป็นหม้าย ร่างสูงวางช้อนลงนั่งกินข้าวเงียบๆแทน ต้นธาราลอบมองผู้กองตลอด ยังสงสัยว่าความรักมันจะหวานหรือขมกัน ในเมื่อผู้กองชายตามอง ยังแอบกังวลอยู่มิวาย คิดถึงโอบกอดอุ่นๆ คำพูดหวานๆมันเป็นความฝันในคืนหนึ่งเท่านั่นหรือ คนตรงหน้ามีสิทธิ์อาจเอื้อมได้อีกหรือเปล่า ต้นธาราทานข้าวได้น้อยมากเพราะเอาแต่นั่งเขี่ยทั้งๆที่ยังป่วยอยู่ ด้วยความกังวลใจจึงทำให้เขาไม่อยากอะไรเลย

“กินอีกหน่อยสิ คุณผอมเกินไปแล้วนะธาร”เรียกขานชื่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

ต้นธาราเงยหน้ามอง

“อากาศมันร้อนน่ะเลยไม่ค่อยหิวสักเท่าไร”คุณหมอตอบ หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแทน

“ถึงไม่หิวก็น่าจะกินสักหน่อย”ภานุเอ่ยเป็นเชิงบังคับกรายๆ

ต้นธารากลับวางช้อนเสมองไปทางอื่นแทน เสียงเอะอะจอแจของผู้คนและยานพาหนะ ภานุเลื่อนมือมาเกี่ยวกุมมือบางไว้แน่น ต้นธารากลับเป็นฝ่ายชักออกวางไว้บนตัก

“กินเสร็จแล้วจะเดินต่อหรือว่าจะเข้านอนเลย”

ผู้กองจ่ายเงินค่าอาหาร ต้นธาราไม่ตอบทันทีที่ภานุจ่ายเงินเสร็จก็ลุกขึ้นทันใด

“ธาร...เป็นอะไรหรือเปล่า โกรธอะไร?”

ภานุรั้งแขนไว้ ต้นธาราเผชิญหน้าตรงๆ

“ผมไม่เข้าใจคุณเลย”

คุณหมอพูดแค่นั้นก่อนปิดปากสนิท ภานุกลับเป็นฝ่ายเดินตามหลังต้นธาราแทนจนไปถึงโรงแรมที่เปิดจองเอาไว้ ต้นธารานั่งยังเตียงของเขา ภานุทำธุระส่วนตัว ต้นธาราจึงล้มตัวนอน พอร่างสูงออกมา ต้นธาราเป็นฝ่ายรีบผลุนผลันไปทันที

“จะไปอาบน้ำ”

ต้นธาราบอกสั้นๆเมื่อสายตาคมกริบจับจ้อง ต้นธาราขังตัวเองไว้ภายในห้องน้ำ หลับตาลงอ่อนล้า อาการหอบเหนื่อยปรากฏ ต้นธาราพยายามอดกลั้นจัดการชำระกายจนเสร็จจึงลากสังขารออกมาล้มตัวนอนที่เตียงทันที เบือนหน้าไปยังอีกเตียงหนึ่ง ภานุกลับไม่อยู่ภายในห้องเสียแล้ว ต้นธาราคร้านจะใส่ใจจึงปิดเปลือกตา หลับไปทันที


ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไร ต้นธาราตื่นขึ้นมา เหลียวมองคนข้างเตียง กลับไม่พบร่างที่น่าจะนอนอยู่ คุณหมอแปลกใจเพราะมองนาฬิกาแล้วก็ถึงเวลานอน ภานุไม่เข้าห้องเสียที ทรุดกายล้มตัวนอนแผ่หลาบนเตียง มองห้องมืดมิดแล้วอดหวั่นผวากับเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมาไม่ได้ เสียงแกร๊กดังขึ้น ประตูเปิดออกแผ่วเบา ร่างของภานุก้าวเข้ามาในห้อง เงาตะคุ่มพาดทับร่างที่นอนนิ่ง ภานุเข้ามาใกล้แล้ว...ต้นธาราหายใจขัดเมื่อมือเย็นเฉียบแตะผิวแก้ม กลิ่นแอลกอฮอล์กรุ่นจมูก ต้นธาราแสร้งทำเป็นหลับ ภานุหมุนตัวไปยังเตียงของตัวเอง เสียงถอดเสื้อผ้าเสียดสีผิว ก่อนมันจะกองกระจัดกระจายอยู่เกลื่อนเตียง ชายหนุ่มอาบน้ำอีกรอบ ต้นธาราชันตัวขึ้นมองห้องน้ำที่ปิดสนิท

...ไปไหน...

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ร่างโปร่งขบคิดด้วยความไม่เข้าใจ ไม่นานนักร่างเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำเดินออกมาจากห้อง ต้นธารานอนนิ่งไปกระดุกกระดิก ภาวนาอย่าให้ชายหนุ่มเปิดไฟเลยไม่งั้นคงจะรู้ว่าเขาแกล้งหลับ คำภาวนาเป็นจริงจึงทำให้ต้นธาราสำรวจชายหนุ่มได้อย่างเงียบๆ สุดท้ายชายหนุ่มจึงทรุดตัวนอน ตกในห้วงนิทรารมณ์อันแสนสงบ

ต้นธาราลุกขึ้นมาเมื่อนอนไม่หลับ นั่งมองแสงไฟสะท้อนในราตรีกาล แสงไฟริบหรี่ท่ามกลางความมืดมิดเปรียบเหมือนเปลวไฟชีวิตของเขากระนั้น ต้นธาราเหลียวมองคนหลับสนิทอีกครั้ง ก่อนยกสายโทรศัพท์ขึ้นเพื่อโทรไปหาบิดา ต้นธาราเฝ้ารอด้วยกิริยาสงบ คุณหมอเกือบวางสายเมื่อสัญญาณสุดท้ายใกล้ตัด

“ลูกไปอยู่ที่ไหน”

บิดาถามเสียงกร้าว ต้นธาราถอนใจตามสาย ตามคาดที่เขาถูกตำหนิหากกระแสเสียงเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย

“เจ้าภานุมันบังคับลูกใช่ไหม เดี๋ยวมันโดนลากเข้าตะรางแน่”

ต้นธาราฟังท่านพูดเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่มีแม้แต่จะเถียงหรือแก้ตัว

“ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหนพ่อจะส่งคนไปรับ อาการยังปกติอยู่ใช่ไหม?”ท่านรีบถาม

ต้นธาราถอนหายใจ“ตอนนี้ผมสบายดีครับ ผมขึ้นมาที่เชียงใหม่ พ่อไม่ต้องเป็นห่วง”

พอชายหนุ่มพูดเช่นนั้นบิดาตวาดทันใด

“ไม่ห่วงได้ไงลูกพ่อทั้งคน แล้วไอ้หมาบ้าล่ะ? พ่อลากมันเข้าคุกแน่ๆ”

เสียงแว่วๆเข้ามาเป็นเสียงของคุณลุงอรุณ คงพูดถึงเรื่องภานุกระมัง ต้นธาราเดา


“ชานเนนเป็นห่วงลูกมากรู้ไหมเมื่อรู้หายตัวไป”

พ่อพูดถึงนายพันจากพม่าอีกแล้ว สุภาพบุรุษผู้นุ่มนวลสำหรับเขาแล้ว....ความอ่อนโยนของผู้พัน มันชวนให้เขาฝืนขึ้นมาเมื่อล้มลง...แต่ถึงอีกฝ่ายจะอ่อนโยนกว่านี้...เขาก็รักแค่ผู้ชายแข็งกระด้างนั้นคนเดียว !

“ผมทราบครัวว่าทุกคนเป็นห่วงผม ตอนนี้ผมอยู่สบายดี กินอิ่มนอนหลับ..”ยังพูดเรื่อยๆ และราบเรียบ

นายพลพิภพฟังแล้วร้อนในอก

“แน่ใจนะว่าลูกไม่ได้ฝืนพูด ไม่ได้ถูกบังคับกับเจ้าบ้านั่น”ท่านยังด่าเป็นชุด

ต้นธาราตอบกลับด้วยเสียงที่เบาที่สุด “เขาไม่ได้บังคับอะไรผมหรอกครับ”

“ธาร เจ้ากลับมาเถอะ พ่อสั่งคนไปรับเจ้าก็ได้”นายพลพิภพขอร้อง

“ครับ...ผมกลับไปแน่ๆครับ พ่ออย่าห่วงเลย....แล้วพ่อกับลุงพิภพล่ะครับ สบายดี?”

บิดาตอบกลับมาสบายดี ต้นธาราสนทนากับท่านอีกสองคำก่อนวางสาย ทรุดนั่งขอบเตียง พยายามปิดเปลือกตาหลายครั้งจนกระทั่งผล่อยหลับไปเมื่อตอนรุ่งสาง

ผู้ที่ตื่นเช้าสุดเป็นต้นธารา ชายหนุ่มมองคนข้างเตียงที่ยังหลับสบาย ชายหนุ่มไม่กล้าปลุก จึงเก็บเสื้อผ้าที่ชายหนุ่มทำตกเกลื่อนกลาด จัดไว้เป็นระเบียบ สายตาสะดุดรอยลิปติกจางๆ กลิ่นเหล้าปนกับกลิ่นบุหรี่ผสมน้ำหอมติดเสื้อผ้า ต้นธาราวางเสื้อตัวนั้นลงทันใด ไม่ต้องคาดเดาเลยเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น มือหนักอึ้งวางผ้าลงบนพื้น แม้เบา แต่สำหรับคนถือแล้วราวกับเหล็กถ่วงทีเดียว ภานุขยับกายด้วยความง่วงงุน ต้นธาราเลิกยุ่งกับข้าวของของร่างสูงโดยสิ้นเชิง เสี้ยวหัวใจสั่นไหว...สิ่งที่กังวลมาตลอดกลายเป็นความจริง ต้นธารานั่งเงียบๆอยู่บนโซฟา

....ตัวเขาเองเป็นอะไรกันแน่...

ถามตัวเอง ใจที่เคยเต็มตื้นไปด้วยความสุขกลับถูกอัดอั้นด้วยการกระทำคลุมเครือ.... ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะรักจริงๆหรือเปล่า... ต้นธาราพยายามไม่คิดอะไร ไม่อยากให้การกระทำครั้งสุดท้ายของตัวเองต้องสูญเปล่าลง

------------------------------------------------

“คุณไม่เป็นอะไรแน่นะ”

เสียงแผ่วเบาถามหลังอังหลังมือกับหน้าผาก ธีรเดชรู้สึกเหนื่อย ตัวร้อนผ่าวราวกับมีไฟสุม

“ไม่...ผมกลัวว่าพวกมันจะตามทัน”

กิ่งไผ่ยิ้มหลังจากได้ยินน้ำเสียงกังวล

“มันจะไม่ตามเราสักระยะ คุณนอนพักผ่อนเถอะ แถวนี้ผมสำรวจมาปลอดภัยดี”

บอกด้วยรอยยิ้มละมุนตาที่นานครั้งจะเห็น กิ่งไผ่ลุกขึ้น หยิบกระบอกน้ำไม้ไผ่ขึ้นดื่ม ธีรเดชกระหายน้ำขึ้นมาบ้าง เขามองลำคอเพรียวดื่มน้ำอย่างกระหาย

“จริงสิ... ตื่นมาคุณยังไม่ได้ดื่มน้ำสักหยดเลย เดี๋ยวก่อนนะ”กิ่งไผ่ลุกขึ้น หยิบกระบอกไม้ไผ่อีกกระบอกจ่อเข้าปากแตกระแหง ธีรเดชดื่มน้ำอย่างกระหาย

“ผมเป็นตัวถ่วงคุณจริงๆ”ชายหนุ่มบ่น

กิ่งไผ่หัวเราะแผ่วเบา “ผมก็เคยเป็นตัวถ่วงคุณเหมือนกันแหละ”ร่างโปร่งว่า พลางหยิบกระบอกไม้ไผ่อีกกระบอกขึ้นมา ธีรเดชทำหน้านิ่วเมื่อได้กลิ่นฉุนเฉียว

“อะไรน่ะ?”

หนุ่มน้อยจากกองโจรกู้แผ่นดินไม่ตอบ ธีรเดชพยุงร่างตัวเองพิงต้นไม้

“มันเป็นยาน่ะ ลดไข้ได้ดี ยาลดไข้ที่คุณติดเป้มา ใช้หมดแล้วตอนผมป่วย”

จ่อปลายกระบอกเข้ากับริมฝีปาก ธีรเดชได้กลิ่นแทบผลักหนี มันฉุนเฉียวจนแทบสำลัก

“มันอาจจะกลิ่นไม่ดีหรือรสชาติขมฝาดเฝื่อน แต่ขอให้ทนดื่มเถอะนะ ไข้จะได้ลด”

กิ่งไผ่ปลอบ สายตาธีรเดช จับจ้องแผลที่มือของกิ่งไผ่

“คุณนี่ก็ห่วงแต่คนอื่นจริงๆเล้ย....ห่วงตัวเองก่อนเถอะ!”

กิ่งไผ่ว่า ก่อนยื่นกระบอกยาชิดริมฝีปาก ธีรเดชเบือนหน้าหนี กิ่งไผ่อ่อนอกอ่อนใจ

“คุณจะไม่ยอมดื่มจริงๆหรือ?”

เสียงของกิ่งไผ่ถามกังขา คิ้วขมวดมุ่นราวกับใช้ความคิดอย่างหนัก สักพักก็ยกยิ้มยั่วเย้าเหมือนคิดจะแกล้งคนป่วย ธีรเดชปฏิเสธเสียงแข็งเพราะไม่ไว้ใจ ยาหม้อของ“แพทย์จำเป็น” จู่ๆ “แพทย์จำเป็น”ยกกระบอกไม้ไผ่บรรจุยาขึ้นดื่มรวดเดียว นายทหารหนุ่มจากไทยไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร มือบอบบางจับใบหน้าของเขาไว้นิ่ง ริมฝีปากบางแนบประกบ ธีรเดชเบือนหน้าหนีอย่างตกใจ หากมือบางก็ยึดศีรษะไว้แน่น จ่ายยาด้วยวิธี “พิเศษ” ยารสชาติขมจัดเหมือนมีรสหวานล้ำขึ้นมาทันใด ร่างสูงโปร่งถอนริมฝีปาก ก็ถูกมือหนารั้งศีรษะเอาไว้ คนรั้งไล้เล็มยาที่เปื้อนมุมปากของอีกฝ่ายและประทับรอยจุมพิตแนบแน่น กิ่งไผ่ตกใจที่ธีรเดชรุกเร้าต่อ มันเร็วไปจนกระทั่งเตรียมตัวเตรียมใจไม่ทัน หวั่นไหวไปกับรสจูบอ่อนโยนแฝงความร้อนแรง ความปรารถนากลั่นจากส่วนลึก เมื่อปลายลิ้นอีกฝ่ายสอดลึกในโพรงปาก กระหวัดรัดเกี่ยว เซาะซอนไปทั่วโพรงปากอุ่นร้อน ลมหายใจหอบกระชั้น คนอวดเก่งก่อนเหมือนจะสูญเรี่ยวแรง มือพยายามขัดขืนกลับถูกตรึงไว้แน่นจนเจ็บ

“ธาร...”

ชื่อของใครบางคนลอดผ่านริมฝีปาก กิ่งไผ่จึงรั้งสติได้ทัน

“หยุด...”

เสียงเรียกอย่างอับจนปัญญา ธีรเดชแรกๆไม่ยอมฟัง พอรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายขัดขืนจึงยอมปล่อยไปง่ายๆ พอถอนริมฝีปากออก กิ่งไผ่ตื่นตะลึงทันใด ไม่ต่างจากธีรเดช นายทหารหนุ่มเตรียมเอ่ยประโยคบางอย่างซึ่งมันทำให้กิ่งไผ่ต้องเอ่ยปากห้ามทันใด

“อย่าขอโทษ” กิ่งไผ่พูดราบเรียบ “....ว่าแต่รสยาจากปากของผมมันจะหวานเท่าปากของคนรักของคุณรึเปล่า?”

กิ่งไผ่เบือนหน้าหนี ริ้วแดงประดับใบหน้าที่เหมือนตุ๊กตา จนเหมือนใบหน้านั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมา ธีรเดชเหม่อมองภาพนั้นด้วยความตะลึงตะลาน เพราะไม่เหลือเค้าของนักฆ่าผู้เก่งกาจ ต่างฝ่ายต่างเงียบงันเมื่อเผลอจูบอย่างห้ามใจไม่ไหว ....ภาพนี้เขาเคยเห็นที่ไหนสักที ใช่ตอนพบกันครั้งแรก ริมฝีปากเย็นชืดแนบประกบก่อนทุกอย่างจะลบเลือนไป

“ผมสมควรจะขอโทษคุณอยู่ดีที่....”

มองเสี้ยวหน้าภายในแสงสว่างจัดจ้า กิ่งไผ่กลับลุกขึ้นราวกับทนฟังไม่ได้ นายทหารหนุ่มจากไทยรู้ตัวว่าทำผิดท่าไป

“ช่างมัน...ผมไม่ถือ…”

กิ่งไผ่พูดเสียงเบา ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าสวย กังขากับคำว่า "ไม่ถือ" ชักแปลกใจว่าอีกฝ่ายจะผ่านอะไรมาบ้าง แค่คิดก็นึกโกรธและนึกรังเกียจในเวลาเดียวกัน ฝ่ายคนเก่งกลับทำตัวไม่ถูกเอาเสียเลย กลัว....ความสัมพันธ์ใกล้ชิดอีกขั้นหนึ่ง เกรง...อีกฝ่ายรังเกียจตัวเอง เฝ้าหลบดวงตาจ้องเขม็งตลอดเวลา

“คุณทำแบบนี้บ่อยเหรอ?”

คำพูดของธีรเดชแฝงรอยประหลาดใจ กิ่งไผ่คล้ายถูกน้ำเย็นสาดใส่ ทั่วร่างสะท้าน...ดวงตาคู่สวยระยิบพราวเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าใจเอ่อล้นกับคำพูดเอ่ยราวกับประชดประชัน ธีรเดชมองเห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าก่อนความเย็นชาจะปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง....

------------------------------------------------

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
คู่ภาณุกำลังจะลงตัวชิมิ

ส่วนคู่ธีรเดช มันแค่เริ่มต้นชิมิ

ปล. กว่าจะมาลงนะ น้องกระดาน  นึกว่าโดนเอาไปโต้คลื่นที่ไหนซะแล้ววววว :laugh:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
งานนี้สงสารทั้งหมอธาร ทั้งกิ่งไผ่

เหมือนว่าทั้งภานุและธี จะยังบื้อๆอยู่เฮ้อออออออออออออออ

pupper

  • บุคคลทั่วไป
ทั้งภาณุทั้งธีรเดชเนี่ย น่าจับมาตีทั้งคู่ เฮ้อ ภาณุก็อะไรกันแน่หัดแสดงความรักบ้าง แสดงออกมาบ้าง แต่ก็อย่างว่านะทหาร
ห็คงจะเเข็งๆไปบ้าง แต่คราวนี้ไปนอนกัยคนอื่นหรือเปล่าเนี่ย สงสารหมอธารออก ธีรเดชก็นะ พูดไม่คิด เซ็ง ไม่รู้คนแต่ง
เครียดอะไรมาลงกับนิยายปะค๊าบบบ

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
มันขมๆ ทั้ง 2 คู่เลยนี่นา

โอยยย

nartch

  • บุคคลทั่วไป
เห็นด้วยกะรีบน ๆ ทุกคนเล๊ยยยยย...
หงุดหงิดกะผู้กองภาณุ...พาเค้ามาแล้วออกไปหาผู้หญิงเนี่ยนะ  :o
ธีรเดชอีกคนกะลังไปได้สวยยยย เรียกชื่อออกมาไมมม เซ็งงงง
มาต่อเร็ว ๆ นะจ๊ะมูมู่ฉุดฉวยยยยย  :m13:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 15 Under The Rose: ความลับในความรู้สึก [Part 2]

(Under The Rose สำนวนภาษาอังกฤษแปลว่า เก็บไว้ให้เป็นความลับ)

ต้นธาราไม่เข้าใจบางการกระทำที่คลุมเครือ ต้นธาราซบหน้ากับมือบาง สับสนในหัวใจ เงาบางๆของความรู้สึกที่เรียกว่า “รัก” กัดกินหัวใจของ ต้นธาราลุกขึ้นออกไปข้างนอก ขอบฟ้าประดับด้วยแสงดาวระยับตา เพียงใจที่มอบให้...เขา “แลก” กับหนึ่งความฝันที่เป็นสุข... รู้ดีว่ามันไม่คุ้มก็ยังดึงดันคิดที่จะทำ...ผลตอบแทนที่เอาชีวิตเข้าแลก....เขาจะได้ “รัก” แท้จริงของผู้ชายคนนั้นไหม? ต้นธาราเดินโซเซหายไปในห้องน้ำ เงากระจกสะท้อนใบหน้าของผู้แพ้พ่าย อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเริ่มเช้าวันใหม่ คุณหมอกลับไปนอนเช่นเดิม สุดท้ายได้แต่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงจนจมลึกในห้วงนิทราโดยไม่รู้ตัว

------------------------------------------------

กรุ่นกลิ่นกาแฟหอมเย้ายวน ปลุกผู้ตกในห้วงนิทราตื่นจากการหลับใหล ต้นธาราลุกพรวดมองนาฬิกาอย่างใจหาย ภาพแรกที่ได้เห็นคือภาพของผู้กองภานุเอนหลังเอกเขนกพิงโซฟาจิบกาแฟพร้อมอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายใจ ขาพาดกับเก้าอี้ สายตาสีน้ำตาไล้สำรวจชายหนุ่ม เสื้อผ้าของชายหนุ่มยังติดกลิ่นน้ำหอมและกลิ่นบุหรี่ กลิ่นของมันอวลจางๆในอากาศ คุณหมอเงียบงันไป คอยดูว่าภานุจะกล่าวเช่นไร ผู้กองหนุ่มยังมีทีท่าสบายใจ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนต่อสิ่งรอบกาย ต้นธาราไม่รู้ว่าตัวเองหวังอะไรกันแน่ ...เสียงกระซิบรักแผ่วละมุน.... ซ่อนท่าทีเฉยชาเอาไว้หรือ... ใยเสน่หาเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เขายึดไว้ตอนนี้... ค่าของเขาถูกทำลายอย่างไม่ไยดี!

“เป็นอะไร? หน้าตาดูซีดๆ”

ทันทีที่ผู้กองภานุทักขึ้นด้วยเสียงห้วนสั้น ต้นธาราจับผ้าม่านเปิดรับแสงสว่างหันมา ดวงตาคมหรี่มอง มือข้างหนึ่งของต้นธารากำม่านแน่น

“นอนไม่พอ”ต้นธาราบอก

ภานุเพียงผงกศีรษะ ดื่มกาแฟจนหมดแก้วลุกขึ้นมาชงแก้วใหม่ตั้งไว้เคียงกัน

“ดื่มได้ไหม?”

คุณหมอรุ้ว่าภานุต้องเข้าใจในนัยยะของประโยค ต้นธารายิ้มขอบคุณ สายตาของชายหนุ่มจับจ้องร่างโปร่งจัดการล้างหน้าล้างตาก่อนนั่งเคียงกัน ท่าทีของผู้กองกลับเคร่งเครียด นิ้วเรียวเกี่ยวหูถ้วยกาแฟสูดกลิ่นขมๆปนกับกลิ่นหอม นี่กระมังที่เขาเรียกว่ารสของความรัก... หอมหวาน...ขื่นขม... จะหักใจเพียงใดก็ยังจมอยู่ในวังวนนี้จนมิอาจตัดขาด ภานุเห็นคุณหมอถือแก้วค้างนานเกินไปแตะแก้วซีดเบาๆจนฝ่ายร่างโปร่งสะดุ้ง ทำแก้วหล่นทันที ภานุรับไว้ทัน หากน้ำร้อนลวกมือและต้นขาของผู้กองหนุ่ม เสียงร้องลั่นด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน ต้นธาราดึงร่างหนาหนักขึ้น จ่อมือเข้ากับสายน้ำเย็นยะเยือก สายน้ำรินไหลผ่านมือหนา สายตาสีน้ำตาลจ้องมองแววตาคมกล้าราวกับมีสิ่งใดปิดกั้น ภานุเบนสายตาจับจ้องละอองน้ำสาดกระเซ็นแทน

“ทำไมถึงพาผมมาที่นี่”

ต้นธาราเริ่มต้น จับจ้องภานุตรงๆ สีหน้าของนายทหารหนุ่มกระดากกระเดื่องใจ คุณหมอจับมือของผู้กองหนุ่มไว้แน่น สายตาคู่นั้นขอร้องขอคำตอบที่ชัดเจน ภานุปิดปากเงียบกริบ ต้นธาราเอ่ยเรื่อยๆเรียบๆ...เก็บน้ำเสียงน้อยใจไว้

“การกระทำของคุณ ผมไม่เข้าใจเลยว่าเป็นความรักตรงไหน สิ่งที่คุณทำมันเป็นเพียงความพอใจหรืออย่างไร คุณบอกรักผมมันคงเป็นการล้อเล่นอย่างหนึ่งของคุณสินะ?”

ใบหน้าของภานุเผือดลง ต้นธาราคิดในใจไว้แล้วไม่ผิด การกระทำของผู้กองก็เป็นสิ่งลวงตาลวงใจให้หลงใหลฝันใฝ่

“ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว คุณอย่าปิดปังอะไรกันเลย ผมคงไม่อาจทานทนได้หรอก”

ต้นธาราพูดด้วยสายตารวดร้าว ภานุชักมือออกจากอุ้งมือ


“ผมหรือคุณกันแน่ที่ปกปิด?...”นายทหารหนุ่มกล่าว คราวนี้สบดวงตาสีน้ำตาลตรงๆ

“ความรักของผมคุณอาจไม่เชื่อมั่นว่ามันเป็นจริง เพราะสิ่งที่ผมทำไว้กับคุณสร้างบาดแผลลึกลงในใจ ต่อให้ผมบอกรักคุณมากขนาดไหน หากความเชื่อใจของเราเท่ากับระดับศูนย์ ต่างฝ่ายต่างเจ็บ จริงๆแล้วผมอยากให้เราทั้งคู่เข้าใจกัน”

ต้นธาราทรุดนั่งข้างเตียงหากภานุฉุดลุกขึ้นไปนั่งยังโซฟาแทน

“ที่ผ่านมา...คุณต่างหากล่ะที่คลุมเครือมาโดยตลอด”คุณหมอเอ่ย หากมือหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นๆประคบผิวหนังบวมแดงของผู้กองหนุ่ม ใจเย็นรับฟังเหตุผลที่มี

“เพราะอะไรถึงพาผมมาที่นี่?”

ต้นธาราคุกคามผิดกับมืออันแสนอ่อนโยน ภานุถอนใจหากในที่สุดจำต้องเล่า

“การที่ผมพาคุณมายังที่นี่เพราะหนึ่ง ผมจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับคุณ สองคือมีคำสั่งด่วนเรียกตัวกลับค่าย นายพลอรุณได้รับข่าวว่าพบร่องรอยของร้อยเอกธีรเดช เรื่องนี้จำต้องปิดเป็นความลับ เมื่อคืนผมออกไปพบกับลูกทีมหน่วยลาดตะเวนของผม”

ท่าทีของชายหนุ่มตอนสารภาพความจริงช่างดูขัดๆเขินๆ คนที่ปากแข็ง เอาตัวเองเป็นใหญ่ ตอนนี้กลับตะกุกตะกัก ต้นธาราก้มหน้านิ่ง...ที่ผ่านมาเขาเข้าใจผิดสินะ? ต้นธาราไม่เก็บเรื่องความเข้าใจผิดมาคิดอีกเมื่อได้ยินว่าพบร่องรอยของธีรเดชแล้ว

“ออกไปพบหมายความว่า...พบธีแล้วหรือ? จริงหรือครับ?”

ต้นธาราถามละลักละล่ำด้วยความดีใจ ภานุรู้สึกหึงโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นคนรักแสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้า ละความสนใจต่อเขาโดยสิ้นเชิง...รู้ว่าร้อยเอกธีรเดชนั้นเป็นคนรู้จักคุ้นเคยกับต้นธารามาก่อนแต่ทั้งที่รู้มันก็อดไม่ได้ที่มีความคิดหึงหวง

“ร้อยเอกธีรเดชน่าจะมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ผมก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากนัก”ท่าทีแข็งขึงเคร่งเครียด ยอมเล่ารายละเอียดให้ฟังส่วนหนึ่ง

“แล้ว...เอ่อ...พวกจ่าแม้นกับผู้กองรังสรรค์แล้วก็หมวดอานุภาพสบายดี?”ต้นธาราถามคนเคยชิดใกล้อย่างเป็นห่วง

“เมื่อคืนผมตั้งวงก๊งเหล้า ดูท่าทางไม่เจ็บไม่ไข้อะไร”

ชายหนุ่มตอบอย่างขวานผ่าซากตามนิสัย ต้นธาราโล่งใจเพราะตัวเองห่างไปนานเลยไม่รู้สภาพความเป็นอยู่ของของเหล่าทหารที่ไปลาดตะเวนชายแดนเป็นเช่นไรบ้าง

“หมอมาริสากับท่านพันเอกมีทรัพย์ล่ะครับ ยังประจำการอยู่ที่เดิมหรือเปล่า?”

ภานุกอดอก หยิบบุหรี่มาสูบพ่นควันขาวลอยฉุย

“ยังไม่ถึงคราวปลดเกษียณ...แล้วคุณหมอมาริสาก็ยืนยันที่จะอยู่ที่นั่นด้วย”

เอ่ยถึงคนเก่าๆ ต้นธาราตัวเบาโหวงเพราะครั้งหนึ่งชีวิตที่หลงรักชายปากร้ายของตัวเองเริ่มที่นั่น อาชีพแพทย์อาสาเริ่มขึ้นที่นั่นเช่นกันพร้อมกับเรื่องราวมากมายที่คิดว่าคงรับไม่ไหวแน่ ...จนตัวเองก็คิดไม่ถึงว่า สามารถทนแบกรับมันได้เพราะแค่ “รัก”คนๆหนึ่งจนสุดหัวใจ

“ดีจังเลยครับ”น้ำเสียงต้นธาราเบาหวิวเมื่อคิดถึงผู้กองนาคีขึ้นมาจับใจ...รอยอดีตที่น่าเจ็บปวดนั่นมันไม่สามารถล้างออกง่ายๆหรอก

“ผมพาคุณมาทำบุญให้เจ้านาคีด้วย”

ภานุวางบุหรี่ติดไฟแดงวาบลงในที่เขี่ยบุหรี่ ท่าทีของชายหนุ่มดูอึดอัดมากยิ่งขึ้น เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า เพื่อนก็รัก ‘คุณหมอ’ผู้มอบหัวใจให้เขาทั้งหมด ‘หัวใจ’ที่ไม่เคยเหลือบแลเจ้านาคีแม้แต่น้อย รู้ว่า ‘มัน’รัก‘คุณหมอ’ และ ‘มัน’ก็รู้ว่า‘คุณหมอ’ไม่มีแม้สักเสี้ยวใจจะเหลือบมอง แม้ว่าจะเจ็บก็ยังฝืนรัก ‘รัก’ยิ่งกว่า ‘เขา’ รัก เขาจึงถอยฉากเงียบๆ

ต้นธาราได้ยินชื่อของผู้กองนาคี รูปแห่งความทรงจำผุดเข้ามาในใจ จำได้ว่าภานุเคยบอกกล่าวว่าผู้กองนาคีรักเขา ...มันวาบลึกในจิตใจ เพราะครั้งหนึ่งต้นธาราคิดว่าหัวใจของเขาเป็นของผู้กองนาคีก็คงจะดี...ใช่...มันคงจะดีที่ความรักไม่ต้องเฝ้าปรารถนาวิงวอนให้มาแลเหลียว ใบหน้าขาวซีดก้มลงมองพื้นก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาบาง

“ตอนคุณออกไปลาดตะเวน พ่อผมพาไปบ้านของผู้กองนาคี”

ต้นธารานึกเสียดายที่ไม่ได้หยิบไดอารีเล่มนั้นมา ภานุยืนพิงพนังห้องเหลียวมองออกไปนอกหน้าต่าง

“ผมไม่ค่อยสบายใจและกังวลที่ผู้กองนาคีตายเพราะผม ทั้งๆที่ผมนั้นน่าจะเชื่อฟังคำสั่ง กลับดึงดันช่วยเหลือฝ่ายที่ฆ่าผู้กองนาคี พอคุณรู้ว่าผมเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้กองตายแล้วจงเกลียดจงชังผม คนที่คุณเห็นคือคนที่ผมช่วยรักษาเขา เขาอยากมาตอบแทน เขาเสียใจที่คนของเขาสังหารผู้กองนาคี ผมเชื่อเขาว่าต้องเสียใจจริงๆที่ทำให้ผู้กองนาคีตาย”

ต้นธาราเล่าน้ำเสียงเรื่อยๆเรียบๆพลันปรากฏความหวาดหวั่นราวกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน

“ก่อนเขาจะไปเขาบอกแค่ชื่อว่า ‘กิ่งไผ่’ ”

“กิ่งไผ่รึ....”

ชายหนุ่มทวนชื่อนั่นเบาๆ มองแววตาขลาดกลัวและร่างกายตึงเครียด ชายหนุ่มเดินชิดใกล้จนได้กลิ่นบุหรี่ปนกับกลิ่นกายแข็งแกร่ง วางมือทาบต้นคอช้าๆจนต้นธาราสะดุ้ง เกร็งตัวทันที คิดว่ามือใหญ่คู่นั้นคอยทำร้ายอีก หลับตาแน่น

“อย่า...”

ปฏิกิริยาต่อต้านโดนอัตโนมัติ ภานุตกใจ คิดถอนมือออก แต่ก็วางมือสัมผัสต้นคอ นวดท้ายทอยให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย ต้นธาราเปิดดวงตาชุ่มฉ่ำขึ้นมองใบหน้าชิดใกล้เพียงแค่คืบ ภานุนั่งอยู่บนพนักวางแขนโซฟาฝ่ามือหนานวดลำคอจนต้นธาราผ่อนคลายยอมปล่อยมือปัดป้องคล้ายกับปกป้องตัวเอง พอลำแขนปล่อยตกข้างตัว คุณหมอเอนหน้าซบกับอกแกร่ง ภานุกลับดันขึ้นขึ้นเชยชมความเศร้าโศก สวยงามภายใต้แสงอาทิตย์สาดลอด หน้าผากของทั้งคู่แนบชิดกัน ดวงตาของภานุเปี่ยมลึกด้วยความต้องการชัด จนผู้ที่ถูกสายตาคู่นั้นมองจนสะท้านรู้ว่ามันหมายถึงอะไร

“เท่ากับว่าผมทรยศเพื่อนเหมือนกัน”

ชำเลืองสายตามองท้องฟ้าสดใส มือนวดคอเลื่อนเกี่ยวกุมเอวบาง ต้นธาราสงบอาการสั่นไหว ริมฝีปากอุ่นๆประทับลงซอกคอ ภานุปิดเปลือกตาลงเจ็บปวดกับการกระทำที่ผ่านมา ไออุ่นจากกายซ่าบซ่านราวกับว่าวลอยตามกระแสลม

“จริงๆแล้วผมหวังให้คุณรักนาคีมากกว่า แทนที่จะมอบความรักของคุณให้คนอย่างผม”

ต้นธาราจุมพิตข้างแก้มสาก หลังจากตัดสินใจมานานว่าควรทำเช่นไรดี ต่างฝ่ายต่างมีบาดแผลซึ่งยากจะรักษา ลืมเลือนมันไปก็ไม่ได้ ยามแนบริมฝีปากเอาชืดประทับบนผิว ต้นธาราตัดขาดจากทุกสิ่งแม้กระทั่งความเศร้าโศก ไม่อยากให้เรื่องมันลงเอยด้วยคำว่าเข้าใจผิดอีกแล้ว ขอตอนนี้ให้มีความสุขที่สุด ที่ผ่านมาเขาทุ่มเทให้กับสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียวทั้งๆที่รู้ว่าไม่อาจได้สิ่งที่ฝัน ยามถอนริมฝีปากออก หลอมละลายด้วยความร้อนจากริมฝีปาก สั่นสะท้านในหัวใจอันแกร่งกล้า ต้นธารายึดศีรษะชายหนุ่มไว้แนบอก ปลอบประโลมซึ่งกันและกัน เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ ภานุสะดุ้งเอื้อมหยิบมาดูเบอร์ ต้นธาราปล่อยร่างสูง สีแดงระเรื่อเคลือบใบหน้าไว้ เมื่อรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป


“ครับ...ผมจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้แหละครับท่านนายพล ...อ้อ....เรื่องของธารกับผมเราเข้าใจกันดีขอบคุณนะครับที่ช่วยอธิบายให้กับท่านนายพลพิภพฟัง ส่วนเรื่องของผู้กองธีรเดช ผมได้รับรายงานเรียบร้อยแล้ว... ”

ภานุช่างเป็นผู้ชายที่เด็ดเดี่ยว ท่าทีอ่อนแอเมื่อครู่เลือนหาย คนที่คู่ควรกับชายหนุ่มได้ต้องเข็มแข็ง คิดถึงเรื่องของแม่และพ่อ นับตั้งแต่รู้ความเขาก็เห็นพ่ออออกเดินทางบ่อย แม่เฝ้ามองแผ่นหลังของคู่ชีวิตเดินออกจากบ้านทำงานห่างบ้านห่างเมือง บางทีแม่ก็เหงา หากท่านเข้มแข็ง เคยเห็นน้ำตาของแม่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นคือตอนที่ท่านป่วย มันเป็นเหตุให้เขาไม่ถูกโรคกับบิดาสักเท่าไร ไม่เข้าใจว่างานสำคัญกว่าชีวิตของคนรักมากถึงขนาดนั้นเชียวหรือ เพราะความชิงชังในอาชีพของบิดา เขานึกไม่ชอบใจในอาชีพบิดาทันทีจึงเลือกเรียนแพทย์แทนที่จะเข้าโรงเรียนทหารตามบิดา พอได้รู้สึกและประสบกับตัวเองก็ได้รู้ว่าการเป็นภรรยาของทหารจำต้องอดทนถึงเพียงไหน สายตาสีน้ำตาลมองนายทหารหนุ่มด้วยสายตาเจือรักใคร่ และเขาก็จะพยายามมากขึ้นกว่าเดิม อย่างน้อยๆความสุขเขาก็ทำได้เพียงแค่นี้ พอชายหนุ่มวางสายหันมาทางร่างโปร่งซึ่งนั่งนิ่งราวกับรูปปั้น

“ธาร...วันพรุ่งนี้จ่าแม้นจะมารับเรากลับค่ายนะ”

ชายหนุ่มบอกสีหน้าเหน็ดเหนื่อย ต้นธารายิ้มปลอบ

“คุณไม่เป็นอะไรนะ? ดูเหนื่อยๆเหลือเกิน เรื่องของผู้กองธีหนักมากเลยหรือ”

ลองเลียบเคียงถาม ภานุเงียบงันผิดปกติ

“ผมบอกไม่ได้ ขอโทษด้วย”

ต้นธาราผงกศีรษะ เข้าใจว่าเป็นความลับทางราชการ ต้นธาราจึงนิ่งเงียบ ฝ่ายภานุหยิบผ้าหล่นอยู่บนพื้นมาประคบแผลต่อ

“มันเย็นแล้วไม่ได้ผลหรอก ยังรู้สึกปวดแสบปวดร้อนอีกไหม”

ภานุส่ายหน้า วางผ้าไว้บนโต๊ะซึ่งต้นธาราเป็นฝ่ายเก็บ

“อยู่แต่ในห้องทั้งวันคงเบื่อแย่ ออกไปเดินเล่นกันไหม?”

ฝ่ายภานุหันมาทางคุณหมอซึ่งนั่งแช่อยู่บนโซฟา ต้นธาราตกใจกับคำชวนสุดท้ายก็ยอมรับ ภานุไล่ไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย ไม่ช้าไม่นานนักต้นธาราเดินออกมายิ้มเจื่อนๆให้กับคนก้มลงเก็บกระเป๋า

“เตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้”

ชายหนุ่มหยิบสายนาฬิกาคาดบนข้อมือ คราวนี้คนที่ไม่ได้ทำอะไรเลยได้แต่แกร่วรอให้อีกฝ่ายจัดของเสร็จ ต้นธาราทรุดนั่งบนโซฟาเช็ดผมให้แห้งโดยไม่ระวังสาบเสื้อคลุมอาบน้ำเปิดอ้า คุณหมอวางผ้าเช็ดผมลง รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าภานุจ้องตนเองเขม็ง แรกๆก็แปลกใจแต่พอเห็นสาบเสื้อเผยให้เห็นแผ่นอกขาว ใบหน้าแดงขึ้นมาทันใด ต้นธารารีบยืดตัวขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวเสแสร้งเช็ดผม หลบสายตาสื่ออย่างมีความหมาย

“เก็บเสร็จแล้วเหรอ”

เมื่อถูกทักภานุสะดุ้ง ชายหนุ่มสนใจกับงานตรงหน้า ฝ่ายต้นธาราจึงแอบย่องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแทน จู่ๆก็รู้สึกเขินขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ พอแต่งตัวเสร็จ ภานุก็เก็บของเรียบร้อย ต้นธาราทำไม้ทำมือบอกสัญญาณว่าเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มเข้ามาฉวยมือทันใด เดินเคียงคู่กันทั้งๆที่มือกำแน่น ต้นธารามองหน้า ชายหนุ่มกลับทำเป็นเฉยเสีย มือบางชุ่มด้วยเหงื่อ ภานุไม่ยอมปล่อยมือแม้จะเดินออกจากห้องมาแล้ว

“ผมอยากบอกคนอื่นว่าคุณคือคนรักของผม หากไม่ยอมรับ ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะกล้าเผชิญกับอนาคตไหม แต่ถ้าคุณไม่พอใจผมก็จะปล่อย”

ต้นธารานิ่งเงียบไป

“ไม่ใช่ว่าผมกลัวนะ สำหรับผมแล้วไม่เป็นไรหรอก แต่อาชีพของคุณละจะเป็นเช่นไร”

ดวงตาคมกล้าทอดมองด้วยความสิเน่หา ส่งผลให้คนถูกมองใจเต้นแรง

“อาชีพผมต้องใช้ทั้งเกียรติและศักดิ์ศรีก็จริงแต่เพื่อคุณแล้วผมยอมได้ทุกอย่าง”

ต้นธาราถอนมือออกอย่างสุภาพ ยิ้มขอบคุณ

“คุณไม่ต้องถึงขนาดเอาหน้าที่การงานมาเสี่ยงกับเรื่องของผมหรอก คุณให้ผมถึงขนาดนี้...ผมจะไม่ลืมเลย...”ต้นธารากระซิบแผ่วตอนท้าย

รอยยิ้มของต้นธารางดงาม ก้าวแต่ละก้าวเคียงกันไปจนสุดทางแห่งความฝัน หัวเราะเจือความสุข ดวงตาเป็นประกาย ริมฝีปากคลี่ยิ้มอิ่มเอิบสลักอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ...
To My Secret Love….When I look at You First I Feel blinded …’Cause Your Love Blinded Me....

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
พอกลับมาที่ห้องพัก ความสุขที่เอ่อล้นในหัวใจเหมือนช่วยยึดเปลวไฟชีวิตที่กำลังมอดดับให้มันลุกโชติช่วงอีกครั้ง มีทั้งความสุขและร่าเริง เสียงหัวเราะยิ่งสดใสเมื่อฟังภานุเล่าเรื่องตลกๆหลังทานอาหารเย็น ต้นธาราเป็นฝ่ายมองเสียมากกว่าที่จะกินอาหาร เขาแทบจะไม่แตะเสียด้วยซ้ำ คนที่กินเยอะที่สุดคือผู้กองปากร้าย ชายหนุ่มดื่มเหล้าพอให้เมาได้ที่ ให้ต้นธาราพยุงกลับห้อง แรกๆคุณหมอบ่ายเบี่ยงเพราะรู้ทันว่าผู้กองแกล้งทำ ร่างสูงกลับโอนเอียงแทบจะซบบ่าเล็ก ต้นธาราได้แต่ถอนใจลากคนแกล้งเมากลับเข้าห้องทั้งเขินทั้งอายที่มือหนากอดเอวไปตลอด ถึงห้อง คนแกล้งเมากลับดันชิดติดผนัง ก้มมองใบหน้าขาวสะอาดเอาแต่ก้มมองพื้นคล้ายกังวลใจตลอดเวลา ชายหนุ่มสังเกตสักพักก่อนก้มลงปิดปากอิ่ม เมื่อรู้สึกว่าต้นธาราขัดขืนชายหนุ่มจึงหยุดการกระทำนั่นเสีย

“ผ...ผมขอตัว...”

ต้นธาราหลีกเลี่ยงซึ่งภานุก็ไม่ว่าอะไรนอกจากเสยผมด้วยใจที่หงุดหงิดเพียงเล็กน้อย สงบอารมณ์สักพักชายหนุ่มเป็นฝ่ายคว้าผ้าเช็ดตัว อาบน้ำเสร็จล้มตัวนอนทันที ต้นธาราจึงโล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง แม้อยากให้คนรักสัมผัสแต่ว่าก็ยังกลัว ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นเช่นไร คุณหมอหยุดคิด รีบอาบน้ำแล้วนอนคลุมโปงอยู่บนเตียงตัวเอง ด้วยความอ่อนเพลียและเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันทำให้หลับลึกอย่างง่ายดาย แม้จะรู้สึกว่าตัวลอยเบาโหวงเมื่อหลับลึก รู้สึกหนักพิกลก็เกือบเช้า ผู้กองหนุ่มลากมานอนข้างเคียง กอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ขดตัวหนีหนาวภายใต้ผ้าห่มเพียงผืนเดียว

ต้นธาราถอนใจเมื่อเสียท่า คิดขยับหนีมือหนาก็อยู่ไม่สุขทุกทีไต่ตามแผ่นอกไปทั่ว สัมผัสเบาๆตามจุดต้องห้ามจนต้นธาราสะดุ้งโหยง เสียงโทรศัพท์ภายในห้องพักแผดเสียงดังลั่น คุณหมอพยายามลุกขึ้นไปรับแต่ก็ไม่อาจทำได้เพราะจะถูกดึงตัวมาเป็นหมอนข้างเสียทุกที พยายามหลายครั้ง โทรศัพท์ดังหลายหน ครั้งสุดท้ายต้นธาราถึงขนาดล้มทับตัวคนแกล้งหลับเลยทีเดียว นึกเจ็บใจที่ข้อศอกกระแทกเข้าที่ท้องแทนที่จะเป็นดั้งจมูก หวังจะแก้แค้นเล็กๆสักหน่อยก็ยังดี เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะที่ผู้กองดึงตัวต้นธาราเอาไว้ ฝ่ายคุณหมอขืนตัวจนสำเร็จ ลุกขึ้นไปดูว่าใครมาเยี่ยม ภานุเริ่มหัวเสีย โพลงว่าใครมาด้วยความหงุดหงิด

“อ้าว คุณหมอ”

จ่าแม้นโผล่หน้าเข้ามาในห้องเห็นร่างใหญ่นอนเกลือกกลิ้งบนพื้น ต้นธารายิ้มแหยๆลืมสำรวจตัวเองว่าอยู่ในสภาพเรียบร้อยหรือไม่ กระดุมหลุดมาเม็ดหนึ่ง คุณหมอทำหน้ากระอักกระอ่วนใจทันที

“ผู้กองนอนละเมอรึไงครับคุณหมอ”จ่าแม้นแซว

“จ่าหายแล้วหรือครับ”ต้นธารารีบเปลี่ยนเรื่องพูด

จ่าแม้นผงกหัวทั้งยังเบ่งกล้ามอวด

“ผู้กองตื่นได้แล้วครับ ผมมารับผู้กองครับ โทรมาตั้งหลายทีไม่เห็นรับเลยขึ้นมาเองซะเลย”

จ่าแม้นว่าด้วยรอยยิ้ม ผิดกับผู้กองที่หัวเสีย ตัวจ่าแม้นเองก็ไม่เข้าใจว่าผู้กองหัวเสียเรื่องอะไร นอกจากต้นธาราเพียงคนเดียว คุณหมอช่วยจ่าแม้นยกของหากภานุกันไว้ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เตรียมพร้อมออกจากโรงแรม

“ผมตกใจแทบแย่แน่ะครับที่คุณหมอมาด้วย เห็นไปรักษาโรคอะไรไม่ใช่รึครับ หายแล้วรึครับ”

จ่าแม้นชวนคุย ต้นธารายิ้มให้แก

“ยังหรอก แค่มาเที่ยว”

ต้นธาราตอบสั้นๆก่อนแยกขึ้นรถ ภานุไม่พูดไม่จาอะไรขณะขับตามจ่าแม้น จนไปถึงค่าย ทุกคนเห็นหน้าคุณหมอต่างดีใจโดยเฉพาะคุณหมอมาริสา

“ไม่คิดว่าหมอธารจะกลับมา สาห่วงแทบแย่”หญิงสาวชวนคุย

ต้นธาราเก็บข้าวของไปอยู่ ณ เรือนพักเดิม ฝ่ายภานุไปติดต่อกับผู้บังคับบัญชา

“อาการป่วยไข้ดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะ”

“ก็ดีขึ้นมาแล้ว คุณหมอมาริสาอยู่ค่ายนี้งานยุ่งไหมครับตอนนี้”

มาริสาหัวเราะร่วน เธอแจ่มใสอยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยน

“ไม่ค่ะ ไม่ยุ่งเท่าไร แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงมีงานตรวจ ค่อยคุยกันนะคะ”

คุณหมอมาริสาลงจากเรือนพักหลังเดิมที่ผู้พันมีทรัพย์เป็นฝ่ายแจ้งความจำนงให้ต้นธาราเข้าพัก

“อ้าว...ผู้กองมาหาคุณหมอธารหรือคะ อยู่ในห้องโน่นแน่ะ”

ต้นธาราได้ยินเสียงแว่วๆ พอดีร่างสูงโผล่หน้าเข้ามาในห้อง

“คืนนี้นอนที่นี่?”

จู่ๆก็ถามขึ้นต้นธารางุนงงก่อนผงกหัวตอบ ภานุทำหน้าคิดหนัก ดวงตาวาวราวกับไม่พอใจบางอย่าง

“ไปกับผม”

คำชวนแกมคำสั่ง ต้นธาราคิดคัดค้านแต่ปากเจ้ากรรมดันพูดไม่ออก ชายหนุ่มคิดถึงเรื่องเมื่อคืนและเมื่อเช้า มันช่างวาบหวามกินใจยิ่งนักจนต้นธาราต้องลุกขึ้นราวกับต้องมนตร์ ภานุไม่คาดคิดว่าหมอจะยอมทำตามง่ายๆ แรกๆมองอย่างแปลกใจ สุดท้ายยอมเดินคู่กันไปยังกระท่อมซ่อนตัวอยู่หลังหมู่บ้าน


“โทษที ไม่อยู่นานเลยสกปรกไปหน่อย”

ชายหนุ่มปัดกวาดเช็ดถูชานบ้าน ต้นธารานั่งลงมองตัวกระท่อมที่เกิดเหตุการณ์หลากหลาย เขาถูกกอดที่นี่เป็นครั้งแรก เริ่มความรักที่ยาวนานและเจ็บจนบอบช้ำทั้งกายและใจ

“ธารจะอยู่กับผมไหม?”

คำถามชายหนุ่มจริงจัง กับคนเอาแต่ใจหากปฏิเสธจะเป็นเช่นไร? ต้นธาราถามตัวเอง ดวงตาของภานุจริงจังอยากได้คำตอบที่ชัดเจน ราวกับกำลังหวาดหวั่นต่อบางสิ่ง บางอย่างที่ภานุไม่อาจแก้ไขและสูญเสียไปตลอดกาล ต้นธาราผงกศีรษะแทนคำตอบ ภานุจึงดึงร่างคุณหมอกอดเบาๆไม่ล่วงเกินไปมากกว่านั้น ต้นธาราลูบแก้มสาก สัมผัสอีกครั้งราวกับโหยหา นายทหารหนุ่มกอดรัดร่างบางแรงขึ้น จนไม่อาจกักเก็บความต้องการได้ สิเน่หายิ่งเต็มตื้นเมื่อได้สัมผัสอีกฝ่าย ไฟรักพัดโหมกระหน่ำ เฉกเช่นหยดน้ำฝนพร่างพรมกระทบยอดหญ้า รุนแรง แผ่วเบา จนลุกไหม้ไปทั้งกายและใจ เมื่อสุขสมอิ่มเอมนอนกอดกันสภาพเปลือยเปล่าเงียบๆ ดวงตาจับจ้องยังแผ่นฟ้า ดาวรอบผืนนภาเปล่งประกายสุกใสดุจโรยเกล็ดเงินไปบนผ้ากำมะหยีสีดำสนิท

“แสงดาวเหล่านั้นมันคงไม่ดับลงใช่ไหม?”

ต้นธาราเอ่ยถามเสียงแผ่ว ภานุกอดกระชับราวกับสัมผัสได้ว่าภายในจิตใจของผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดเป็นเช่นไร

“คุณเป็นแสงดาวที่จะส่องสว่างตลอด แม้ในคืนที่ฟ้ามืดมิดผมยังมองเห็นคุณเปล่งแสง ตอนที่ผมไปลาดตะเวนแล้วถูกล้อม ผมหวั่นใจเหลือเกินที่จะพลัดพรากจากแสงดาวดวงนั้น มือผมเอื้อมคว้าไม่ถึงหรอก”

แม้ไม่อาจมองเห็นแววตารู้ได้ทันทีว่าภานุคงกลัวจริงๆ ต้นธาราง่วงงุนเสียแล้วเมื่อเสียงของชายหนุ่มลอยเข้าหู

“คุณคงไม่หายไปไหนใช่ไหม อย่าหายไปเลย ผมกลัวว่าจะตามหาคุณไม่เจอ....ถ้าคุณจะหายไปภายใต้ดวงดาวนับล้านบนนั้น”เสียงแผ่วเบา

ต้นธาราหลับไวกว่าปกติ ชายหนุ่มลูบเรือนผมนุ่ม อุ้มไปในบ้านเพราะยิ่งดึกน้ำค้างยิ่งแรง กอดทนุถนอมยิ่งกว่ากระเบื้องชั้นดี ดาวดวงนี้ร่วงหล่นสู่ผืนดินเขาก็จะคว้าให้มั่น และเก็บดาวดวงนั้นไว้ในอ้อมกอดดิน

ภานุตื่นขึ้นมาบอกดูดาวที่คว้าไว้จะเลือนหายไปกับแสงอาทิตย์หรือเปล่า หากยังคงอยู่ ดวงตาหลับพริ้ม ริมฝีปากเผยอน้อยๆ ทอดกายไร้เรี่ยวแรงจนห้ามใจไม่ไหว ชายหนุ่มพยายามอดทนที่ไม่ทำรุนแรงมาก แต่เห็นแล้วก็ทานทนไม่ได้จูบดูดกลืนริมฝีปากเรียวเบาๆ พอได้สัมผัสกลับมิอาจห้ามใจ ต้นธาราเพียงครางเบาๆ นอนสิ้นแรงดูน่ารักน่าใคร่

“ผู้กองครับ...ผู้กอง...มีข่าวด่วนครับ เรียกให้ผู้กองไปประชุม”

เสียงจ่าแม้นโหวกเหวกภานุชะงัก อารมณ์ใคร่เลือนหาย ‘ข่าวด่วน’ ทำให้ผู้กองหนุ่มละจากร่างบาง เปิดประตูชะเง้อหน้าออกมานอกบ้าน จ่าแม้นเห็นแววตาไม่ผิดไปกับเมื่อวานรู้แล้วว่าคงมากวนเวลาส่วนตัวแน่ๆ ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายหงุดหงิดหากพยายามสะกดเอาไว้

“ท่านนายพลพิภพและท่านนายพลอรุณและพันเอกชานเนนทูตทหารจากพม่าจะลงมายังค่ายของเราครับ”

ภานุนิ่งงันราวกับสายฟ้าฟาดใส่อก ถึงขนาดกำมือแน่นทันที

------------------------------------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด