ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose  (อ่าน 292746 ครั้ง)

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
เย็นแล้ว...สองร่างต่างวัยเดินด้วยความเหนื่อยอ่อนตรงไปสู่กระท่อมมืดๆ ไอ้ขิ่นวิ่งนำหน้า ร้องเรียกมารดาเสียงดัง

“แม่...แม่...”

นางยะไข่โผล่หน้าออกมา ใบหน้าที่เคยสะคราญล่วงเลยไปตามวัยเบิกตากว้าง

“ไอ้ขิ่น”

ขิ่นยิ้มแป้น จูงนายพลแก่ชราขึ้นเรือ นางยะไข่รีบจุดตะเกียงต้อนรับทันที

“นาย !”

ท่านายพลยิ้มให้แก่นางยะไข่

“ฉันต้องมาพึ่งแม่สักพักน่ะจ้ะ”

ขิ่นเอ่ย เมื่อเห็นดวงตาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

“เออ อย่าเพิ่งพูด พักก่อน.....”

นางยะไข่เตรียมน้ำเตรียมท่าให้ดื่ม ท่านนายพลมองใบหน้าของนายยะไข่แล้วก้มหน้าลง

“ฉันมาสร้างความลำบากใจให้กับครอบครัวเธออีกแล้วย่ะไข่”

“นายไม่ได้มาสร้างความลำบากอะไรให้เลย”

หญิงสาวม่ายตอบ ซึ่งมันทำให้นายพลรู้สึกผิดเหลือเกินที่ทำให้สามีของนางตายเพื่อชาติบ้านเมือง

“แม่...ตอนนี้เรากำลังตกที่นั่งลำบากอยู่....”

ขิ่นขัดจังหวะไม่อยากให้ใครพูดถึงบิดาที่ตายในหน้าที่ นางยะไข่มองหน้าบุตร ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“เราถูกทรยศ จากไอ้พวกเห็นแก่เงิน ทำให้กองกำลังของเราแตกแยกกระจัดกระจายไป นายน้อยกิ่งไผ่ช่วยฉันกับนายพลเป็นตัวล่อให้ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง”

นางย่ะไข่ยกมือปิดปาก ทำหน้าตกใจอย่างยิ่ง

“โธ่...นายน้อย....แล้ว...ไม่มีใครช่วยเลยหรือ”เสียงของนางแหบแห้ง พรั่นพรึง

“ไอ้คนช่วยมันก็มีอยู่ แต่น้อยกว่าไอ้พวกทรยศ ตอนนี้พากันแตกกระเจิงเหมือนกัน ฉันกับนายพลมาขอหลบอยู่บ้านสักระยะหนึ่ง แม่ช่วยฉันด้วยนะ”

“แม่ต้องช่วยเอ้งอยู่แล้วไอ้ขิ่น ตอนนี้มันดึกมันดื่นแล้วไปพักผ่อนก่อนไป”

นางลุกขึ้นตระเตรียมที่นอนให้กับนายพลอินคานและบุตรชาย นายพลกล่าวขอบใจเมียข้าเก่าเต่าเลี้ยง ก่อนล้มตัวนอน คิดถึงบุตรชายที่ยังระหกระเหเร่ร่อน ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร

“ไผ่...ขอให้ลูกปลอดภัยจากมือไอ้พวกชาติหมา”

ท่านพึมพำอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองลูกอยู่ไม่ขาดปาก ในหัวก็คิดถึงแผนการที่ต้องพื้นฟูกองกำลังแล้วตอบโต้พวกทรยศกลับ

“ไอ้ขิ่น เองหลับยังวะ”

นายพลลุกจากที่นอน มองดูเด็กหนุ่มนอนกรนคร่อกๆด้วยความอ่อนเพลีย

“ไอ้ขิ่นโว้ย”นายพลปลุก

เด็กหนุ่มสะดุ้งลุกพรวด

“นายจะเอาอะไรหรือ”

ท่านนายพลทรุดนั่งลง

“ขอโทษที่ขัดจังหวะการนอนของเอง ฉันวานแกเอาจดหมายไปให้พวกสำรวจแร่ที่เวียงนวรัฐะที ไปหาคนงานของนายพลแดเนียลนะ บอกว่าสหายสนิทส่งจดหมายมาให้ วานฝากส่งหานายพลแดเนียลที”

ไอ้ขิ่นมองดูซองจดหมายสีหม่นๆในมือ

“แต่ถ้าไม่พบ เอ็งต้องเผาจดหมายนี้ทิ้งทันทีเอ็งเข้าใจไหม”

ไอ้ขิ่นผงกหัวรับคำทั้งๆที่เต็มไปด้วยความง่วงงุน

“ข้าฝากเอ็งทีนะ”ย้ำอีกรอบ

“จ้ะๆฉันจะส่งให้ถึงมือเลย”

เจ้าขิ่นยัดจดหมายลงในย่ามประจำตัวมัน มุดเข้าที่นอนเหมือนเคย พอหัวถึงหมอนปุ๊ปก็หลับปุ๋ย ปล่อยให้นายพลชรานั่งมองดวงดาวที่เคลื่อนคล้อยอยู่ตามลำพัง


------------------------------------------------

รุ่งสาง พอนายพลตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นเจ้าขิ่นแล้ว ลุกจากที่นอนเห็นนางย่ะไข่กำลังหุงข้าวอยู่ สายตาอ่อนล้ามองดูหญิงม่ายตั้งหม้อข้าว

“ไอ้จิ่นมันออกไปส่งจดหมายให้นายแล้วจ้ะ”

นายพลชราลงจากเรือน ไอหมอกลอยเรี่ย นายพลตักน้ำที่นางยะไข่เตรียมไว้ให้ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น ก่อนขึ้นเรือน

“วันนี้มันจะกลับมาไหม”

นายพลถามถึงขิ่นอย่างเป็นห่วง ทอดสายตามองบ้านของเจ้าเด็กหนุ่มซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา มีลำธารไหลผ่าน แยกโดดเดี่ยวจากหมู่บ้าน

“ไม่รู้จ้ะ มันบอกว่าถ้าเสร็จงานก็คงกลับเลย แต่ถ้ายังไม่เสร็จก็อยู่ต่อ”

นางยะไข่ตั้งกาน้ำชาให้ นายพลอินคานหยิบรินใส่ถ้วยขึ้นดื่ม

“ขอบใจมากยะไข่”ใบหน้าล่วงวัยกลางคนยิ้มน้อยๆ

“ไม่เป็นไรจ้ะ ครอบครัวของย่ะไข่ได้ช่วยนายก็ถือว่าเป็นเกียรติแล้วจ้ะ”

นางย่ะไข่ตอบ ก่อนขอตัวลุกขึ้นไปดูข่าว ปล่อยให้ท่านนายพลมองดูท้องฟ้าแจ่มใส ก่อนกุมอกตัวเองแน่น นิ่วหน้าเจ็บปวด

------------------------------------------------

เจ้าขิ่นปลอมตัวเองให้ดูโทรมๆเหมือนกับเด็กขอทานเข้าไปในเมืองนวรัฐะ ซึ่งตอนนี้กำลังวุ่นวาย จากการล่มสลายและการแย่งชิงอำนาจทำให้บ้านเมืองระส่ำระส่าย กว่าจะเข้ารูปเข้ารอยก็กินเวลานาน การต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างสองขั้วอำนาจใหญ่ก็จบลงโดยที่ฝ่ายนายพลอินคานเป็นฝ่ายแพ้ ส่วนนายพลคะฉิ่นผู้เป็นน้องชาย หักล้างอำนาจพี่ชายนั้นก้าวขึ้นครองอำนาจแทน

“ข้าวของก็แพง จะออกไปไหนทีต้องระวังโจร”

เป็นเสียงบ่นของประชาชนที่อยู่ในความปกครองของนายพลคะฉิ่น

“ดูมันปกครองสิ เจ้าเมืองคนเก่ายังดีกว่าเลย”

ขิ่นก้มหน้าก้มตาเดิน เพราะตามรายทางเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบ ไม่มีใครสนใจใคร

“ดูสิ่งที่มันทำสิ....เอาเงินที่จะช่วยประชาชนไปจับจ่ายใช้สอยเองมันใช้ได้ที่ไหน”

ผ่านไปทางไหนก็มีแต่เสียงก่นด่านายพลคะฉิ่น และบ่นหานายพลอินคาน ขิ่นทำหน้าบึ้งเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่โสภา แต่แล้วก็ยิ้มเมื่อใครๆต่างเฝ้ารอการกลับมาของนายพลอินคาน

“มันฆ่าหมดทั้งบ้านไม่มีเหลือ คนใจชั่วหักหลังบ้านเมืองสมควรตาย”

ขิ่นเร่งฝีเท้าให้หนีห่างจากเสียงก่นด่า แล้วเหลียวมองหาบริษัทธุรกิจเหมืองแร่ของนายพลแดเนียล ซึ่งลงทุนทำตั้งแต่สมัยเข้ามาสำรวจเทือกเขาปัตไกใหม่ๆ เจ้าขิ่นกุมย่ามแน่น มันหนักใจเตรียมหมุนตัวกลับไปมาด้วยท่าทีไม่ค่อยสบายใจนัก

“อ้อ...ตรงนั้นนี่เอง”

สายตาปะทะตัวตึกเก่าๆ ป้ายเขียนบอกว่าเป็นบริษัทเหมืองแร่ซึ่งเข้ามารับเหมาในการทำเหมืองเพียงเจ้าเดียวในเวียงนวรัฐะ เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้า ในหัวก็คิดหาวิธีทางติดต่อ ในที่สุดก็เห็นชายวัยกลางคน พอเห็นเจ้าขิ่นหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ชักสีหน้ารังเกียจกับร่างสกปรกมอมแมม

“ไป...อย่ามาเกะกะหน้าร้าน”

ชายคนนั้นตวาด พลางเดินหนีเด็กหนุ่มรีบเดินไปหาผู้ที่เฝ้าหน้าร้านอยู่ ชายคนนั้นชักสีหน้าทันทีเมื่อเห็นขิ่นเดินตาม จะเอ่ยปากด่า แต่เด็กหนุ่มก็รีบพูด พลางยื่นจดหมายให้

“มีคนฝากจดหมายมา ฝากถึงนายห้างแดเนียล”

ชายคนนั้นคลางแคลงใจ มองขิ่นราวกับว่ากำลังปั้นเรื่องโกหกอยู่ เจ้าขิ่นมองยังยื่นจดหมายให้ สุดท้ายแล้วก็เอื้อมรับเมื่อเห็นว่าขิ่นไม่ยอมหนีไปไหน พลิกดูหน้าซองแล้วฉงน

“ไม่มีชื่อคนส่งหรือ”

ผู้ถือจดหมายอยู่ทำหน้าสงสัยว่าเจ้าเด็กขอทานมันโกหกอะไรหรือเปล่า เจ้าขิ่นพยายามหาคำตอบตอบไปอย่างระมัดระวัง

“เห็นบอกว่าเพื่อนเก่าของนายห้างฝากมา”

ขิ่นตอบ ทำหน้าซื่อๆ ดวงตาของผู้รับจดหมายเบิกกว้าง

“จริงหรือ...แกไม่ได้โกหกแน่นะไอ้หนู”

“จะโกหกไปทำไมครับ เงินก็ไม่ได้ แถมยังเสี่ยงเจ็บตัวอีก”

เด็กหนุ่มตอบเรียบๆ หากชายผู้นั้นยังไม่เชื่อ

“เปิดดูได้ไหม”

เจ้าขิ่นยืนกรานทันทีว่าไม่

“ไม่ได้ จดหมายนี้ให้นายห้างเปิดดูได้คนเดียว”

เจ้าหมอนั่นหรี่ตาลง

“งั้นรึ”

มือของมันกำจดหมายแน่นดูลุกลี้ลุกล้น เจ้าขิ่นนึกกลัว เกรงว่าจะทำงานผิดพลาด

“ไอ้เด็กขอทาน แกรออยู่ตรงนี้ล่ะกัน เดี๋ยวฉันจะไปส่งให้นายห้างให้”

เจ้าขิ่นอ้าปากจะค้าน หากชายผู้นั้นถือจดหมายเข้าไปภายในบริษัท สีหน้าของเจ้าเด็กหนุ่มเคร่งเครียดทันที ไม่นานนัก ชายร่างอ้วนคนหนึ่งก็ก้าวออกมา ส่งสายตาเฉียบแหลมดุจเหยี่ยวให้

“ฉันเป็นผู้ช่วยของนายห้าง แกว่าจดหมายนี่มาจากเพื่อนเก่าของนายห้างรึ ?”

ขิ่นผงกศีรษะ ใบหน้านั้นเปลี่ยนแปลงทันที

“พาไปข้างใน”

เจ้าขิ่นถูกรุนหลังเข้าไปภายใน มันมองดูข้างนอกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนประตูจะปิดไล่หลัง

“ใครเป็นคนให้จดหมายนี่มา ไอ้เด็กขอทาน”

ชายร่างอ้วนถาม วางจดหมายลงตรงหน้า เจ้าขิ่นชักรู้สึกจะได้กลิ่นทะแม่งๆ

“ตอนที่ตระเวนขอทานไปเรื่อย เขาก็ให้เงินมาจำนวนหนึ่งแล้วบอกให้เอานี้มาให้ที่นี่”

นิ้วชี้ไปยังจดหมาย ปั้นเรื่องโกหกหน้าตาย

“แล้วนายห้างไม่มาเอาจดหมายเหรอ”เด็กหนุ่มเลียบเคียงถาม มือตะปบจดหมาย

“ถ้านายห้างไม่อยู่ ฉันจะเอาไปคืนคนฝากส่ง”

หากจดหมายถูกดึงออกจากมือ ชายร่างอ้วนลุกขึ้น

“นายห้างไม่ได้อยู่ที่นี่ ตอนนี้ท่านพักผ่อนในพม่า...จดหมายนี่จะถึงมือนายห้างแน่ๆ ”

ขิ่นนั่งฟังเงียบๆ ไม่โต้แย้งอะไร ชายร่างอ้วนแกะจดหมายกวาดสายตาอ่านคราวๆ ใบหน้าราวถูกตีเข้าที่แสกหน้าเต็มๆ

“นี่มัน...อะไรกัน”

ซุ้มเสียงตกอกอกใจ เจ้าขิ่นตีหน้าเหรอหรา

“ท่านนายพลอินคานถูกยึดอำนาจหรือ...” เขาพูดพำพำ ดวงตาฉายแววกังวลแจ่มชัด

“เดี๋ยวแกปิดปากให้สนิทนะ”

หันไปบอกชายที่อยู่หน้าร้านให้นำเงินจำนวนมากวางบนโต๊ะ เจ้าขิ่นทำตาลุก

“หากใครถามอะไร เอ็งบอกไปว่าเอ็งไม่เคยมาที่นี่ เอ็งอย่าปริปากเด็ดขาด ถ้าเอ็งทำได้เงินส่วนนี้เป็นของเอ็งทันที”

เจ้าขิ่นลูบคลำเงินจำนวนมาก

“ครับ...นายผมจะไม่บอกใครทั้งนั้น”

เด็กหนุ่มรีบยีดเงินลงย่าม ก่อนจะถูกหิ้วปีกไปทิ้งไว้หน้าร้าน ชายที่อยู่หน้าร้านทำเป็นเอะอะโวยวาย เข้ามาทุบตีเจ้าขิ่น

“รีบไสหัวออกไปก่อนมึงจะถูกตีตาย ไอ้ขอทาน บังอาจเข้าไปขโมยของในร้าน”

เจ้าขิ่นลุกขึ้น ตั้งหลักวิ่งออกไปทันที มือกุมหัวที่ถูกตีป้อยๆ บ่นกับตัวเอง

“โอ้ย...ถ้าจะช่วยละก็ช่วยให้มันดีกว่านี้เถอะ”

เจ้าขิ่นเดินหลบตามตรอกซอย ก่อนกลับ มันก็ซื้อยาไปให้ท่านนายพล แล้วออกตระเวนซื้อข้าวของที่จำเป็นโดยใช้เงินที่ได้มา เจ้าเด็กหนุ่มเห็นวังที่เคยเป็นที่อยู่ของท่านนายพลอินคานแล้วถอนใจ วังแสนงามในสมัยอดีตเคยเป็นที่พักพิงของครอบครัวอบอุ่น เจ้าขิ่นละสายตาจากมัน...ทุกอย่างในชีวิตนายน้อยมันถูกช่วงชิงไป มันสาบานกับตัวเอง จะรับใช้นายน้อยของมันช่วงชิงของที่ถูกแย่งไปกลับคืนมา
------------------------------------------------

Ps.อดีตของหนูไผ่ รอตอนพิเศษ3 นะเจ้าคะ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ดันๆ  :pigha2: เมื่อไหร่จาถึงตอนหวานๆน๊าาา

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
สงสารกิ่งไผ่ :o12:

ผู้กองใจร้ายยยยยยยยย

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
เริ่มเห็นแสงสว่างเล็กๆแล้ว

ออฟไลน์ [€]ŝĊörŦ

  • ความพยามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2077
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-0
โอ๊ะ...

เพิ่งเคยอ่านเรื่องนี้

ทั้งเศร้า ทั้งเครียดสุดๆ...

+1 เป็นกำลังใจนะคร้าบ

 :sad4:   :sad4:   :sad4:


ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้เสมอครับ

nartch

  • บุคคลทั่วไป
สงสารกิ่งไผ่จัง...ท่าทางจะมีปมอดีตที่ย่ำแย่  :เฮ้อ:
อนาคตจะเป็นยังไงต่อไปนะ...เอาใจช่วยไผ่ต่อไป...
 :กอด1:

ออฟไลน์ thaitanoi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
 :pig4:  มาให้กำลังใจครับ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
น่ารักกันจริงๆ คนอ่านเรื่องนี้ ขอบคุณที่ให้กำลังใจนะ ใครมาใหม่ก็ต้อนรับด้วยเน้อ :impress2:

ติดตามกันต่อไปก่อนน้า  น้องเรนคนแต่งเรื่องนี้สงสัยเก็บกดรันทดกดดันซะ  555

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 20 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 4]


ระหว่างพักเที่ยง ต้นธารานั่งมองหน้าภานุที่เอาแต่เหม่อและทำหน้าเคร่งเครียด เขาไม่สบายใจเลยที่ได้เห็นภานุทำหน้าเช่นนั้น เขาทรุดนั่งลงตรงหน้าชายหนุ่มกุมมือของตัวเองไว้ มองดูภานุที่มากินข้าวเที่ยงด้วยสายตาเป็นห่วง กังวล

“พ่อผมบอกว่า ต้องกลับไปรักษาตัวที่กรุงเทพ”

ต้นธาราเกริ่นเมื่อเจอกับหน้าของชายหนุ่มซึ่งทำหน้าเฉยชา และเรียบสนิท

“ธารกลับไปเถอะ”

ชายหนุ่มตอบ สีหน้าของต้นธาราเปลี่ยนไปทันใด มือถือช้อนชะงัก กลืนข้าวอย่างลำบากอยากเย็น

“แต่ก็คงอีกสักพักแหละ ให้พ่อทำธุระเรื่องธีให้เรียบร้อยก่อน ผมถึงจะกลับ”

รอยยิ้มของคุณหมอบางเบา มองใบหน้าของคนรักซึ่งยิ้มจางๆ ดูเหมือนว่าภานุจะไม่เอาใจใส่เรื่องของเขาเลย ออกจะเหม่อลอยด้วยซ้ำ ต้นธาราก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก...เขามองดูใบหน้าของคนรักก่อนจะลุกขึ้นเมื่อมารบกวนเวลางาน ภานุมองแผ่นหลังบอบบางติดจะเนือยๆเดินจากไป ตัวเองก็กลับวุ่นกับงานต่อ ตัวชายหนุ่มเองก็ร้อนรนใจเกี่ยวกับเรื่องของต้นธารา...มันร้อนในอกเหมือนมีบางอย่างเผาไหม้ช้าๆชายหนุ่มแทบไม่สนใจกับงานตรงหน้าเลย

“ตรงจุดนี้ที่ผู้กองธีหายไป เราวางกำลังค้นหาแล้ว”

ผู้พันกางแผนที่ชี้จุดที่พบผู้กองธีเป็นครั้งสุดท้าย ภานุจ้องมองพยายามตั้งสมาธิให้มากยิ่งขึ้น สายตาของท่านนายพลระดับสูงสองนายจับจ้อง รวมทั้งพันเอกชานเนน จึงต้องทำหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบให้ดี สลัดเรื่องของต้นธาราออกไปสักพัก หันมาคร่ำเคร่งกับงานต่อ


------------------------------------------------


ต้นธาราทรุดนั่งมองท้องฟ้าสีใส เขามองเมฆขาวที่ลอยเกลื่อนฟ้า หลับตาลงสัมผัสสายลมภูเขาโชยรื่น....ไม่เป็นไร...เขากำลังปลอบตัวเองเรื่องภานุ พยายามทำใจให้สบาย ก่อนยืดกายลุกขึ้นกลับไปบ้าน หยิบไดอารี่ออกมา มองดูมันเนิ่นนาน ก่อนที่จะเขียนบันทึก

...การที่ผมได้มาอยู่ที่นี่กับเขา ผมไม่รู้ว่ามันดีหรือเปล่า แต่ความรักที่ผมพยายามมาตลอดก็สัมฤทธิ์ผล เขาหันมามองผมบ้าง ห่วงใยผมมากขึ้น แม้ว่าการกระทำบางอย่างจะครุมเครือ แต่ผมก็ยังรักเขาอยู่ดี มันช่วยไม่ได้ที่จะห้ามใจ สำหรับความรักหนึ่งที่ผมรู้สึก มันดีแล้วล่ะ ผมจะไม่เรียกร้องอะไรมากต่อไป....

ต้นธาราชะงักมือที่เขียนไดอารี่มองท้องฟ้าสีคราม ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นอ่อนลง ความเหน็ดเหนื่อยดูจะถาโถมเรื่อยๆ

...สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ สำหรับการอยู่ที่นี่นั่นก็คือเรื่องผู้กองนาคี ผมเพิ่งรู้ว่าผู้กองรักผม ภานุเป็นคนบอกข่าวนี้แก่ผมเอง มันทำให้ผมช๊อก แต่ทำเช่นไรดีในเมื่อหัวใจผมรักผู้กองภานุ มันอาจเป็นการทำร้ายจิตใจคนที่ตายไป ผมรู้...ผมเข้าใจดีว่ามันย่อมขมขื่นอย่างแน่นอนหากผู้กองนาคียังอยู่ เขาต้องเสียใจเพราะผม คนแสนดีแบบนั้น ผมไม่อยากให้เขาเสียใจเลย...

ต้นธาราทำปากการ่วงหล่น ก้มลงเก็บ หน้ามืดตาลายไปชั่ววูบ เขาก็เอนหลังพิงเก้าอี้ทันที ลมพัดปลิวหน้ากระดาษไดอารี่แผ่นบาง สายตาสีน้ำตาลทอดมองไปไกล ในที่สุดต้นธาราก็ปิดหน้าไดอารี่ ก่อนนำมันไปเก็บ เขารอถึงตอนเย็น บิดาก็กลับมา

“พ่อ....เมื่อไรเราจะกลับกรุงเทพกัน”ต้นธาราถาม

สายตาเฉียบคมของท่านนายพลพิภพมองหน้าบุตรชาย

“ทำไมล่ะ ?”

ท่านย้อนถาม นึกแปลกใจที่ไม่เห็นบุตรโวยวายหรือต่อต้าน

“ผมจำเป็นต้องรักษาตัวไม่ใช่หรือ”

ต้นธาราตอบบิดา รับเสื้อนอกแขวนไว้ ท่านนายพลทรุดนั่ง

“พ่อคิดว่าเราจะต้อต้านมากกว่านี้เสียอีก”

คิ้วบางเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจ

“ผมจะเลิกแล้วครับ...”

ผู้เป็นบุตรตอบเสียงเบา บิดาถอนใจยาว

“แล้วไอ้หมาบ้านั่นล่ะ”

ต้นธาราเอียงคอ สงสัยว่าหมายถึงใครกัน ก่อนที่จะนึกได้เมื่อหมายถึงคนในชีวิตเพียงหนึ่งเดียว

“ผู้กองภานุน่ะหรือครับ เขาบอกว่าให้ผมกลับไปกรุงเทพ”

ท่านนายพลชักสีหน้าไม่ชอบใจสุดๆเมื่อได้ยินบุตรชายเรียกชื่อ สายตาของผู้เป็นบุตรมองดวงตาของบิดาแล้วยิ้มเย็น

“เราก็เลยคิดกลับว่างั้น? เชื่อมันมากกว่าพ่อเสียอีกนะเรา”บิดากล่าว

ต้นธารากุมมือบางไว้เมื่อถูกต่อว่าต่อขานแบบนั้น ก้มหน้างุด บิดาหงุดหงิด

“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับพ่อ ผม...”

ลูกชายพยายามแก้ตัว ผู้เป็นบิดาโบกไม้โบกมืออย่างรำคาญ

“ลูกรักมันมากกว่าพ่ออีกหรือ ลูกยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมัน แม้แต่เกียรติยศ ศักดิ์ศรี หน้าตาของครอบครัวงั้นหรือ”

ท่านกล่าวกระแทกเสียง ต้นธาราฟังแล้วไม่อาจโต้เถียง

“สิ่งที่มันทำกับลูก พ่อยอมรับไม่ได้หรอก”

ดวงตาเฉียบคมกล่าว มองหน้าบุตรชายอย่างพินิจ ต้นธาราไม่อยากฟังคำเทศนาที่จะร่ายยาวตามมาเลย....เขาห้ามได้ซะที่ไหน บ่นกับตัวเองในใจ บีบมือของตัวเองแน่นขึ้น

“พ่อครับ มันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้วนะครับ พ่อพยายามทำความเข้าใจหน่อยได้ไหม ?”

ต้นธาราครางด้วยความเหน็ดเหนื่อยใจ ท่านนายพลถอนใจเฮือก ท่าทีของคนทั้งคู่อึมครึ้ม ดวงตาของท่านายพลสื่อถึงความหน่ายเหนื่อย


“พ่อพยายามทำความเข้าใจกับความรักของลูก ลูกก็รู้ว่าพ่อรับมันไม่ได้ พ่อไม่เหมือนนายพลอรุณที่จะเข้าใจพวกแก”ท่านกล่าว

ต้นธาราก้มหน้าลง ดวงตาสีน้ำตาลกลายเป็นสีจัด

“ผมรู้ครับว่าพ่อยอมรับมันไม่ได้ แต่จะให้ผมทำอย่างไรครับ”

ดวงตาช้อนมองบิดาที่ทำหน้ายุ่งยากใจเสมอเมื่อพูดถึงความรักที่ไม่มีวันผลิดอกออกผล

“ถ้าให้พ่อพูด พ่อก็คงจะพูดว่าขอให้เราเลิกกับมัน แต่เราก็คงไม่ยอมใช่ไหมธาร”

บิดาบังคับเสียงให้นุ่มนวล พยายามไม่ใส่โทสะ บุตรชายกัดปาก

“พ่อไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก !”

บิดาตัดบท ลุกขึ้น ปล่อยให้ต้นธาราเอนหลังพิงเก้าอี้ กรอกตาไปมา บิดาไม่ยอมรับเสียที เขารู้ว่ามันยาก แต่จะให้ทำเช่นไร

“แล้วผมยังพบกับผู้กองได้ไหม”

ต้นธาราถาม ทำให้บิดาชะงัก หันมองบุตร

“มันกำลังยุ่งเรื่องงาน ลูกอย่าไปกวนดีกว่า”ท่านตอบ

ต้นธารารู้ผลแล้วล่ะ ว่าต่อไปนี้ โอกาสเจอกับผู้กองภานุคงลดน้อยลง

“ครับ”

ต้นธารารับฟังง่ายๆด้วยความที่ไม่อยากเถียง บิดามองลูกชาย ท่านรู้ดีว่ามันทำให้เกิดเรื่องกระทบกระทั่งระหว่างท่านกับบุตร แต่มันจำเป็นต้องกระทำ ท่านยอมรับไม่ได้หรอก....นัยหนึ่งท่านไม่อยากให้บุตรเจ็บกับความรักครั้งนี้ อีกนัย ท่านไม่ชอบสัมพันธ์ความสัมพันธ์ที่แสนแปลกแยกจากความจริง แต่ทำอย่างไร ท่านก็ไม่อาจยอมรับได้อยู่ดี!

------------------------------------------------

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ต้นธารานั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่หน้าบ้าน เขามองดูค่ายที่เงียบเหงา ตกค่ำ นายพลอรุณก็มาหาบิดา สองเสือเฒ่านั่งดื่มเหล้าสังสรรค์ รวมกับผู้พันหนุ่มอนาคตไกล สายตาของผู้พันหนุ่มเห็นคุณหมอนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบเหงาจึงลุกขึ้นมาหา

“ทำหน้าบึ้งเชียว”

ต้นธาราเงยหน้ามอง ยกยิ้มอ่อนโยนให้แก่ผู้ที่นั่งข้างเคียงตน มือบางวางหนังสือ ผู้พันหนุ่มชะเง้อมองชิดใกล้

“หนังสือเกี่ยวกับสงครามโลกหรือครับ”

มองหน้าปกซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ คุณหมอผงกศีรษะ ดวงตาของผู้พันมีรอยชื่นชม

“ชอบอ่านหรือครับ”

ชานเนนชวนคุย ต้นธาราผงกศีรษะ เขาลูบหน้าปกหนังสืออย่างใจลอย

“ไม่มีอะไรอ่านก็เลยหยิบมาอ่านดู เป็นหนังสือของพ่อน่ะ”

คุณหมอธารกล่าว มองเสี้ยวหน้าแกร่งปนกับอ่อนโยนของผู้พันหนุ่ม

“อ้อ....คุณหมอชอบอ่านหนังสือแนวไหนบ้าง”

ผู้พันหนุ่มชวนคุย ต้นธารามองไปยังโต๊ะสังสรรค์ก่อนจะตอบ

“อ่านได้ทุกแนวแหละครับ ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ”

น้ำเสียงติดเย็นชา หากผู้พันไม่สนใจ มองไปทางโต๊ะของนายพลทั้งสองซึ่งสายตาจับจ้องมายังคนทั้งคู่ แสร้งทำเป็นไม่รู้เสีย

“แล้วได้อ่านหนังสือชีวประวัติของเซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลหรือยังครับ ผมชอบสุนทรพจน์เขามากเลย”

มองใบหน้าของคุณหมอก่อนต้นธาราจะผงกหัว

“อ่านแล้วครับ...เชอร์ชิลล์เป็นอดีตรัฐมนตรีและรัฐบุรุษของอังกฤษ เป็นคนที่มหัศจรรย์มากในความคิดของผม”

พันเอกหนุ่มยิ้มเมื่อคุณหมอตอบได้

“สุนทรพจน์ของเชอร์ชิลผมก็ชอบนะที่พูดว่า คนอังกฤษเป็นผู้มีจิตใจห้าวหาญดุจดังราชสีห์อยู่แล้ว ข้าพเจ้าเป็นเพียงแต่ผู้ได้รับเกียรติเป็นตัวแทนใน การส่งเสียงคำรามเท่านั้น...ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดจะมอบ นอกจากโลหิต แรงงาน น้ำตา และหยาดเหงื่อ เป็นคำพูดที่ปลุกปลอบใจได้ดีน่ะว่าไหม”

ผู้พันผงกศีรษะ

“ครับ ป็นผู้นำที่พาอังกฤษฝ่าฟันสงครามโลกครั้งที่สองได้กล้าหาญมากทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะชนะหรือเปล่า”

ผู้พันหนุ่มเสริม ต้นธารามองดวงตาสีดำสนิทแฝงไว้รอยขี้เล่น เอาจริงเอาจัง แนวเคราเขียวกับมุมปากหยักขึ้นทำให้คิดถึงผู้กองภานุขึ้นมาทันที

“น่าแปลกนะครับที่คุณหมออ่านหนังสือพวกนี้ด้วย”

ต้นธาราหัวเราะเบาๆ

“สงสัยเป็นเพราะว่าที่บ้านมีแต่หนังสือพวกนี้มั้ง ก็เลยได้อ่านแล้วก็จำมา”

ผู้พันหนุ่มชวนคุยเรื่องที่ต้นธาราชอบ ซึ่งคุณหมอก็คุยได้ไม่เบื่อ ไล่จากหนังสือรักไปจนถึงประวัติศาสตร์ที่แสนเคร่งเครียด คุณหมอหนุ่มตอบได้เกือบทุกเรื่อง

“ผมรู้สึกว่าผมยอมแพ้เลย คุณหมออ่านครบทุกแนวจริงๆ”

ต้นธารายิ้มอย่างภาคภูมินิดๆ

“ไม่มีอะไรทำผมก็ขลุกอยู่กับห้องหนังสือหรือไม่ก็ห้องสมุดครับ อ่านจนสายตาแย่”

ผู้พันหนุ่มลุกขึ้น เดินไปหยิบแก้วน้ำให้กับคุณหมอ

“ไง...คุณอะไรกับธารหรือผู้พัน”นายพลพิภพถาม

“ก็เรื่องหนังสือครับ คุณหมอเป็นหนอนหนังสือตัวยงเลย ผมนับถือคุณหมอจริงๆ”

ผู้พันรินน้ำเปล่าใส่แก้ว

“ธารชอบอ่านเหมือนแม่เขาน่ะ”

ผู้พันหนุ่มยื่นฟังเงียงัน

“รายนั้นได้จับหนังสือทีไรเป็นต้องลืมโลกทุกที”

ท่านนายพลพิภพบ่นลูกชาย สายตาของผู้พันปรายมอง คุณหมอจดจ่ออยู่กับหน้าหนังสือ ดวงตาสีอ่อนจริงจัง

“เอาน้ำไปให้หนูธารรึ รีบไปสิ”

ท่านนายพลอรุณมองแก้วน้ำทรงสูงซึ่งไอเย็นเกราะพราว ผู้พันหนุ่มรีบยกไปให้ สองนายพลมองหน้ากัน

“นี่มันหมายความว่าไงกัน”

ท่านนายพลอรุณถาม สีหน้าของเสือเฒ่าข้องใจ นายพลพิภพไม่พูดอะไรทั้งนั้น รินน้ำเมาใส่แก้วจนล้นปรี่

“แล้วคิดว่าไงล่ะ”

นายพลรุณถอนใจยาว

“คิดว่าพยายามเข้าใจเรื่องของหนูธารกับเจ้าภานุมันแล้วเสียอีก”

ท่านพึมพำ มองไปทางผู้พันชานเนน

“ข้าพยายามทำความเข้าใจแล้วว่ะ แต่มันอดไม่ได้ ข้าหมั่นไส้ไอ้จองหอง”

นายพลพิภพกล่าว มองน้ำสีเหลือง นึกชังเมื่อนึกถึงหน้าร้อยเอกภานุ

“เขามีกรุ๊ปเลือดเดียวกับธารนะ ถึงจะไม่ชอบอย่างไร เขาก็เป็นความหวังหนึ่งเดียวให้กับธาร”

นายพลอรุณให้เหตุผล

“รู้....แต่จะให้ทำยังไง ฉันก็เป็นผู้ใหญ่ระดับสูงแล้วมันเป็นใครมาอวดผยอง”

ท่านกำมือแน่น ถอนใจอย่างนึกฉุน

“มันต้องเป็นเหมือนกับเจ้าพันเอกนั่นใช่ไหมถึงจะพอใจ”

นายพลอรุณว่า ฝ่ายนายพลพิภพเงียบกริบ รุ้ว่ามันเป็นจริงกึ่งหนึ่งตามที่กล่าว

“ป่านนี้แล้วยังนึกถึงแต่ตัวเองอยู่หรือวะพิภพ”

นายพลอรุณจิบเหล้า ก่อนถามเพื่อน

“ไม่ได้นึกถึงตัวเองโว้ย คิดในแง่ของพ่อคนหน่อยสิวะ”

ท่านนายพลอรุณบีบแก้วในมือ

“คิดแล้วว่ะ...แต่มันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับหนูธารอยู่ดี อยากให้หนีไปอีกหรือไง”

ท่านกล่าว กลัวเป็นเหมือนก่อน

“หนีคราวนี้จะฟาดแข้งหัก เรื่องเจ้าภานุอย่าเพิ่งพูดได้ไหม ตอนนี้ขี้เกียจฟัง....ร้อนหู !”

นายพลอรุณหยุด สงบปากสงบค่ำอยู่เงียบๆ

“แล้วแกคิดว่าไอ้ผุ้กองมันดีตรงไหน”นายพลอรุณย้อนถาม

“คนอย่างหมาบ้า มันดีแต่กัดคนอื่นเป็นเท่านั้นแหละ”นายพลพิภพท่านกล่าวปรามาส

“มันไม่ใช่อย่างนั้น ไอ้ภานุมันมีแต่กว่าที่เห็น”

นายพลเฒ่าทำหน้าเหมือนหยันเหยียด ไม่เห็นดีเห็นงามตรงไหนกับนิสัยของเจ้าร้อยเอกหนุ่ม

“เออ...มันดี ก็เพราะว่ามันเป็นลูกน้องของแกไงวะ สำหรับข้าแล้ว ไม่เห็นประโยชน์อะไรสักอย่าง”

“ เจ้าพันเอกที่หนีบมาก็ไม่ต่างอะไรกันเหมือนกัน”

สองเฒือเฒ่านิ่งเงียบ เมื่อเรื่องของเจ้าภานุจะกลายเป็นข้อขัดแย้งเสียแล้ว

“ท่านครับ ขออภัยที่มารบกวนกลางดึกครับ”

เสียงผู้กองภานุนั่นเอง นายพลทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่นายพลอรุณจะลุกขึ้น

“ว่าไง”

มองเห็นเจ้าหนุ่มยังแต่งตัวเต็มยศ ท่าทีเร่งรีบจึงเชิญขึ้นมา สายตาเฉียบเย็นจ้องแทบทะลุ ภานุพยายามจะไม่สนสายตาของนายพลพิภพ

“มีเรื่องอะไร”

ภานุยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้

“เป็นเรื่องข่าวของผู้กองธีรเดชครับ เรื่องด่วนที่ต้องแจ้งให้ท่านทราบโดยเร็ว...”

ชายหนุ่มตอบ ปรายตามองคนรักซึ่งนั่งคุยกับผู้พันหนุ่มอย่างสดใส ในใจนึกเคืองขุ่น หากยังตีสีหน้าได้เป็นปกติ

“ขอบใจมาก อันนี้เอาไว้ประชุมพรุ่งนี้ใช่ไหม”

นายพลพิภพถาม ภานุตอบท่านอย่างแข็งขัน

“ครับผม!”

“รบกวนผู้กองมาก ขอบคุณ”

นายพลพิภพกล่าว ก่อนภานุจะขออำลา ต้นธาราไม่มีทีท่าว่าจะสนมใจร้อยเอกหนุ่มสักนิด ทำราวกับไม่เห็นคนรักในสายตา ซึ่งภานุพยายามจะไม่คิดอะไรมาก รีรออยู่ชั่วขณะ นายพลอรุณยิ้มเป็นนัย ก่อนหันไปทางผู้เป็นหลาน

“ธาร...”

ต้นธาราซึ่งพยายามทำตัวไม่สนใจภานุมากนั้นสะดุ้งโหยง ทั้งๆที่เห็นชายหนุ่มแล้วเขากลับแสดงอาการดีใจออกไปไม่ได้ ผู้พันชานเนนหันไปตามเสียงเรียก พบกับร่างสูงยืนทำหน้าบึ้ง ไม่ผิดอะไรไปจากสีหน้าของนายพลพิภพ

“ขอโทษนะครับ”

ต้นธาราวางหนังสือลง ลุกขึ้น ผู้พันหนุ่มเดินตามหลังราวกับเป็นองครักษ์ ภานุทำความคารพผู้พันยศสูงกว่า ก่อนมองต้นสายตาด้วยสายตาเย็นจัด

“ลุงอรุณมีอะไรหรือครับ”

ต้นธาราถาม มองสายตาของบิดาที่ตีหน้าอดทนอดกลั้นต่อการกระทำของเพื่อน

“ผู้กองทานอะไรมารึยัง”

ถามด้วยน้ำเสียงมีเมตตา ร้อยเอกภานุงุนงง ่อนจะตอบท่าน


“ยังครับ”

ท่านนายพลอรุณยิ้มน้อยๆ ผิดกับใบหน้าของท่านนายพลพิภพซึ่งดูบูดเบี้ยว เมื่อโดนกระตุกหนวดเสือโดยเพื่อนรัก

“งั้นธารไปทำอะไรให้ผู้กองทานหน่อยเถอะ คงยุ่งจนไม่มีเวลาหาทานเองแน่”

ผลักบ่าผู้เป็นหลานออกไป นายพลพิภพอ้าปากค้างเตรียมร้องเรียก หากร้อยเอกหนุ่มทำความเคารพก่อนจะดึงมือคุณหมอให้เดินตมต่อหน้าต่อหน้า ผู้พันชานเชนถอนใจเบาๆ มองแผ่นหลังบอบบางด้วยแววตาอาลัยเล็กน้อย

“ไปดื่มเหล้าต่อเถอะ”

ภูเขาไฟใกล้ระเบิด เมื่อเพื่อนส่งเนื้อเข้าปากเสือเอง ทำทีไม่สนใจ มองพันเอกชานเนนด้วยแววตาสงสารด้วยซ้ำ นายพลพิภพสะกดกลั้นอารมณ์ นั่งกระแทกกระทั้น

“ระวังความดันขึ้นนะ ผู้พัน คุณก็มาร่วมวงสิ”

ผายมือไปยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ นายพลพิภพแทบกระอักเลือดทันใด

------------------------------------------------

มือของผู้กองฉุดกระชากร่างคุณหมอ ซึ่งก้าวฉับๆตามแทบไม่ทัน ดูเหมือนว่าภานุกำลังโกรธ...ต้นธาราไม่ถามว่าเป็นเพราะอะไร มองแผ่นหลังแกร่งด้วยความรู้สึกที่พวยพุ่งขึ้นมาในใจหลากหลาย ในที่สุดภานุก็หยุดเดิน

“ผมไม่ชอบใจเลยที่คุณยิ้มให้คนอื่น”ภานุเอ่ย

ต้นธารามองแผ่นหลังแกร่งและแรงบีบที่มือ

“ทำไมล่ะ การที่ผมสนิมสนมกับคนอื่นเป็นเรื่องผิดหรือ”

ผู้กอนหนุ่มหันมา ตอบช้าชัด

“ไม่ผิดหรอก แต่กับไอ้ผู้พันนั่นผมขอ”

ต้นธาราเลิกคิ้วสูง ก่อนจะยิ้ม

“ผู้พันเป็นคนดีนี่ครับ ตอนที่ผมป่วยเขาก็อยู่เฝ้าผม ทำไมต้องยกเว้นเขาคนเดียวด้วยละที่ผมห้ามคบ”

ภานุมองใบหน้าต้นธารา ฉุดให้เดินต่อ พลางพึมพำ

“ทึ่มหรือแกล้งทึ่มกัน”

ต้นธาราอมยิ้ม ดีใจที่ภานุยังมีความรู้สึกมอบให้เขาอยู่จึงลองแกล้งทำเป็นไม่รู้ดูบ้าง คุณหมอเป็นฝ่ายกอดแขนแกร่งเอาไว้แทน

“หลังจากเสร็จเรื่องธี ผมก็เข้ารับการรักษาตัวต่อแล้วคุณจะไปเยี่ยมไหม”

ต้นธาราถาม ดวงตากร้าวของภานุอ่อนลง ชายหนุ่มดึงศีรษะแนบอก แตะเรือนผมนุ่ม กระซิบตอบเสียงแผ่ว

“ไปสิ...มีธุระสำคัญด้วย”

ตอบแล้วแนบจูบหน้าผากแผ่วเบา ต้นธาราสงสัยกับธุระสำคัญของชายหนุ่ม อยากถาม หากภานุไปเปิดโอกาสให้ถามเลยนิด

“ธาร...หากผมเสียคุณไปจะทำอย่างไรดี”

ภานุเกาะร่างบางเอาไว้

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ แช่งกันอยู่หรือ”

ใบหน้าของผู้กองส่ายไปมา

“เปล่า...ผมนึกหวั่น...”

ผู้กองหนุ่มพูดไม่ออก มองใบหน้าซีดขาว ต้นธาราลดสายตาลง

“ผมไม่ตายง่ายๆหรอกน่า ผู้กองก็ชอบแช่งกันจริง”

วงแขนบอบบางโอบอุ้มไว้อย่างนุ่มนวล ไม่อาจมองเห็นดวงตาที่ฉายถึงความทุกข์ได้เลย


“ธาร...จำไว้ว่าผมจะไม่ทิ้งคุณเลย ถ้าไปไหนไกลผมจะตามคว้ากลับคืนมาให้ได้ ผมจะอยู่ข้างจนตัวตาย”

ต้นธารายิ้มบางเบา...แม้ดีใจ...หากดวงตาสีน้ำตาลยังแฝงด้วยความโศกล้ำลึก

------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยย

มีหึง  น่ารักจริงผู้กอง

pupper

  • บุคคลทั่วไป
มหกรรมกดดันคนอ่านอย่างต่อเนี่อง ติดๆกันเลยนะครับ
กิ่งไผ่ก็ยังมีอะไรที่ซับซ้อนซ่อนปมเอาไว้อีกมากมาย ดูแล้ว
อดีตคงไม่น่าจดจำเกี่ยวกับ นายแฮร์ฟอร์ดอะไรนั่น
แล้วู่นี้ดูแล้วนายพลภิภพจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย ต้องถามว่า
จริงๆแล้วรักลูกหรือคิดอะไรกันแน่ นายพลอรุณยังรักและหวังดี
กว่าพ่อแท้ๆที่ไม่รับอะไรเลยจริงๆ แต่ที่สำคัญขอให้ปาฏิหารย์
เกิดขึ้นจริงๆสักที

nartch

  • บุคคลทั่วไป
สะใจ...พ่อหนูธารโดนกระตุกหนวด  :m20:
ทำเป็นรับไม่ได้ แต่จะเอาผู้พันมาประเคนแทน
ทำเป็นพ่อตาเลือกลูกเขยไปได้ ต๊องชะมัด...

ตอนนี้แอบหวานนนนน  :-[
แม้จะปนความเศร้าก็เอาน่า...รออ่านต่อไปปป

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ

ออฟไลน์ [€]ŝĊörŦ

  • ความพยามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2077
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-0
สะใจ...พ่อหนูธารโดนกระตุกหนวด
ทำเป็นรับไม่ได้ แต่จะเอาผู้พันมาประเคนแทน
ทำเป็นพ่อตาเลือกลูกเขยไปได้ ต๊องชะมัด...

ตอนนี้แอบหวานนนนน
แม้จะปนความเศร้าก็เอาน่า...รออ่านต่อไปปป


เหงด้วยฮะ

 :laugh:   :laugh:

rain-at-rose

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณที่ทุกๆท่านยังติดตามเรื่องมหากาพย์เรื่องนี้ค้า :3123: ประกาศแจ้งล่วงหน้าว่ามหากาพย์คู่น้องธารกะป๋าภานุใกล้จะอวสานในไม่ช้านี้แล้ว(คนเขียนโล่งใจที่มหากาพยืน้องธารจบลงได้เสียที)ติดตามตอนพิเศษในอีกไม่ช้านี้นะค่ะ ขอบคุณค้า :call:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
 :call: หวังว่าไม่เศร้ายันจบนะ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
อิอิ  หวังว่าคงไม่เศร้ายันจบจริงๆ นะน้องเรน
ขอหวานๆ กุ๊กกิ๊กๆ หน่อยนึงก็ยังดีนะ  คุณพี่ขอร้องงงงงงง
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันน้า  แต่ยังไม่จบ  ตามกันต่อไป 
 :กอด1:

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 21 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 5]


แม้ว่าในใจยังกลัดกลุ่มมาบัดนี้ ชายหนุ่มแย้มยิ้มออกมาได้ มือกร้านแตะแก้มบางใส รั้งเอนซบแผ่นอก ถอนถอดใจ หลังจากมาถึงบ้าน ภานุก็รั้งคุณหมอไว้ทันที

“ไม่กลัวเสือเฒ่าหรือ”

ต้นธาราหยอกเย้า หัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มขยี้ศีรษะจนเรือนผมสีน้ำตาลนุ่มมือยุ่งเหยิง ต้นธาราปัดป้อง เมื่อภานุใจดีแบบนี้ เขาก็สบายใจขึ้น ในที่สุดเสียงหัวเราะหยุดไป ต้นธารามองท้องฟ้าเคลือบสีดำสนิท ส่วนลึกลงในใจดูเหมือนเศร้าๆ เมื่อคิดว่าอีกไม่นานก็ห่างจากชายหนุ่ม ภานุมองดวงตาของคุณหมอ รู้ว่าสื่อถึงความเศร้าสร้อย ทว่าเขาจะปลอบอะไรได้ ในเมื่อตัวเองก็กังวลไม่ต่างกัน

“ผู้กองเคยยิงปืนไหม ?”

ต้นธาราถาม ภานุขมวดคิ้ว

“ผมเป็นทหารนะต้องเคยยิงสิ”

ตอบต้นธาราไป ร่างสูงก็ปล่อยร่างบางออก ขยับนั่งให้สบาย

“ถามทำไม”ภานุย้อน มองดวงตาวิบวาวอย่างข้องใจ

“ก็...ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากหาเรื่องที่คุยันได้น่ะ”

ภานุเลิกคิ้วขึ้น

“เหมือนกับคุยกับผู้พันชานเนนใช่ไหม”

ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจสุดๆ ดวงตากร้าวจ้องต้นธาราที่นั่งอมยิ้มอยู่

“ผู้พันชานเนนชอบอ่านหนังสือเลยคุยกันถูกคอเท่านั้นเอง แล้ว...ผู้กองละชอบอ่านไหม”

ต้นธาราถามด้วยรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน ภานุเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เคลือบไว้ด้วยความรักเต็มเปี่ยม

“ไม่ เรื่องน่าเบื่อแบบนั้นใครจะไปทำ”

ชายหนุ่มตอบ ชักไม่เข้าใจคุณหมอคนนี้เอาเสียเลย ใจดี อ่อนโยนกับเขาซึ่งเคยทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ รู้ว่ารัก....แต่มันจะเกินไปหรือเปล่านะ

“น่าเสียดายนะ”

คุณหมอบ่นพึมพำ ก้มหน้าลง ภานุกลืนน้ำลาย เมื่อคุณหมอนั่นทำให้หัวใจปั่นป่วนมากขึ้นทุกทีๆ

“แต่ผมชอบอ่านนะ หนังสือน่ะ”

ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ รับฟังเงียบๆแทนถึงแม้ว่าจะรำคาญไปบ้างก็เถอะ

“อะไรบ้างล่ะ”

ต้นธารายิ้มเมื่อชายหนุ่มตั้งคำถาม

“ก็หลายเรื่อง...อยากให้ผู้กองอ่านบ้างจังเลย”

ภานุหัวเราะหึๆก่อนเอนหลังนอนกับพื้น

“บอกแล้วเรื่องน่าเบื่อแบบนั้นผมไม่สนหรอก”

ต้นธารานิ่งงัน ในที่สุดต้นธาราก็พยายามหาเรื่องที่จะคุยกับภานุได้ ชายหนุ่มคงเห็นว่าเงียบไปนานจึงลุกขึ้น นั่งเบียดชิด

“ผมมีเรื่องที่น่าสนใจกว่านั้นรออยู่ ถ้าผมสนใจเรื่องน่าเบื่ออาจจะพลาดอะไรดีๆไปก็ได้”

มือแกร่งแตะคางเบาๆ ก่อนลูบไล้แผ่วๆ ต้นธาราเบือนหน้าหนี

“อย่าครับผู้กอง”

ต้นธาราห้าม จับมือที่กำลังไล้ปลายคางตัวเองออก ใบหหน้าภานุดูบึ้งตึงไป ภานุล้มตัวนอนลง รู้สึกหงุดหงิด

“เห็นคุณถามถึงเรื่องปืน สนใจด้วยหรือ”

ภานุเป็นฝ่ายชวนคุยบ้างหลังจากคุณหมอเงียบไป

“สนใจสิ เมื่อก่อนตอนเด็กๆพ่อสอนเรื่องปืนด้วย เคยสอนยิง เมื่อก่อนพ่อผมเป็นนักสะสมปืน แต่ก็เลิกแล้ว”

ต้นธาราเล่าถึงชีวิตวัยเด็ก ที่ยังมีแม่และพ่อ เป็นครอบครัวที่อบอุ่น พ่อของเขายังไม่มีภาระเยอะ จนกระทั่งเลื่อนยศเป็นถึงท่านนายพล ออกจากบ้านปล่อย ปล่อยให้แม่เหงา เขาที่ยังเล็กอยู่คอยมองมารดาร้องไห้เงียบๆก็รู้สึกไม่ชอบใจและเริ่มต่อต้านบิดาขึ้นมา บางทีไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องร้องไห้เพื่อพ่อที่เลือกงานมากกว่าครอบครัว เขายังเด็กเกินไป พอตัวเองมาเป็นเหมือนกับแม่ที่รักพ่อมากก็เข้าใจว่าตัวเองคงไม่ต่างจากมารดาสักเท่าไร ภานุจับจ้องดวงตาหมองๆของคุณหมอ

“ตอนเด็กๆเรอะแสดงว่าคงเก่งละสิ”

ต้นธาราคลี่ยิ้มเล็กน้อย

“เก่งไหม....ไม่หรอก พ่อผมให้แตะปืนจริงแค่ครั้งเดียว แล้วพ่อใช้ปืนอัดลมด้วย ท่านไม่ให้ผมจับอีกเลยเกรงว่าจะเกิดอันตรายแต่ผมยังเซ้าซี้จนได้ พอโตขึ้นมาหน่อย พ่อผมลยพาไปสมัครเรียนยิงปืน”

ภานุทำหน้าแปลกใจ ไม่ยักรู้ว่าคุณหมอจะจับปืนเป็นด้วย ทั้งๆที่ลักษณะภายนอกไม่ให้แท้ๆ

“เรียนนานไหม”ภานุถาม

“นานพอควร แต่สุดท้ายก็เลิกก่อน กะเอาแชมป์แต่สุขภาพไม่เอื้อน่ะ อีกอย่างตอนนั้นก็ใกล้เอ็นท์แล้วด้วย แถมยังเลือกเรียนแพทย์อีกก็เลยหยุดไว้ซะ เอาไว้เป็นงานอดิเรก แต่ตอนนี้ฝีมือคงตกแล้วมั้ง”ต้นธาราพึมพำ

“แล้วไม่เลือกเรียนทหารตามท่านนายพลล่ะ”

ภานุถามถึงเรื่องส่วนตัวของคุณหมอ ดูเหมือนต้นธาราจะยิ้มหยัน

“ไม่....คงมีอคติกับพ่อมั้งแต่สุดท้ายอย่างที่เขาว่า เกลียดอะไรก็เจออย่างนั้น ทั้งๆที่เลือกแพทย์แล้วยังมาเจอกับคนใจร้ายอีกจนได้”

สายตาสีน้ำตาลเหลือบมองนายทหารหนุ่มนอนช้อนศีรษะตัวเอง

“ทำไมคุณหมอถึงรักผมนัก”

ภานุถาม อยากให้เรื่องที่มันค้างคาจบลงโดยเร็ว ดวงตาของคุณหมอ เหม่อไป....รู้ว่าผู้กองหมายถึงอะไรกันแน่

“แปลกใจใช่ไหมว่าทำไมถึงทุ่มเทนัก ผมอยากจะลองดูสักครั้งน่ะ ว่าความรักที่ตัวเองมีให้แก่คนๆหนึ่ง มันจะได้ถึงขนาดไหน ผมไม่ชอบให้ทุกอย่างมันครึ่งๆกลางๆ”

“แล้วถ้าผมยังไม่ยอมรักคุณล่ะ”ภานุถาม

“ถ้ามันถึงขีดสุดแล้วจริงๆ ...ก็คงตัดใจ”

ผู้กองคว้าเอวบางเอาไว้

“แล้วตอนนี้ถึงขีดสุดความอดทนหรือยัง”

ชายหนุ่มซุกใบหน้ากับตัก ต้นธารานิ่งงัน

“ไม่รู้สิ”

มือบางลูบเรือนผมของผู้กองที่ทำตัวออดอ้อน

“รู้ไหมตอนที่ผมไปลาดตะเวนน่ะ ผมกลัวมากเลยที่ต้องจากธารไป...ครั้งหนึ่งที่ผมถูกล้อม ผมมองดวงดาว ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาไหม มันอาจเป็นดวงดาวสุดท้ายที่ผมเห็นก็ได้ ผมเลยอธิษฐานให้ผมกลับมาหาคุณได้อย่างปลอดภัย ผู้กองธีด่าผมว่าผมไม่รู้อะไรอะไรเลย ทั้งๆที่คุณรักผมแต่ผมยังทำร้ายคุณอยู่ได้ ธีรเดชพูดถูก ผมมันโง่ที่สูญเสียเวลาไปเปล่าๆโดยไร้ค่า ผมน่าจะรู้ตัวว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับผมมากที่สุดคือ...”

ชายหนุ่มหยุดนิ่ง น้ำเสียงสั่นเทา ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่กระทำ ทำให้ใครเจ็บปวดขนาดไหน พอใกล้สูญเสีย...ก็เพิ่งรู้ตัวว่าสำคัญ

“ธารผมจะไปตรวจไขกระดูกว่าตรงกับคุณหรือเปล่า โอกาสมีหนึ่งในล้าน แม้ว่าเลือดเราจะตรงกันแต่ก็ไม่รู้ว่าไขกระดูกจะเข้ากันหรือเปล่า ผมได้แค่หวัง....หวังแม้มันจะน้อยนิดก็ตาม”

“ถ้ามันเข้ากัน...ก็ใช่ว่าจะมีโอกาสหายนี่ ผมยังต้องเคมีบำบัดอีก”

ต้นธารากล่าวเบาๆ เหนื่อยหน่ายกับโรคของตัวเอง

“เข็มแข็งไว้นะธาร....ผมจะไม่ให้คุณตายเด็ดขาด”

ชายหนุ่มกุมมือบางแน่น จนรู้สึกเจ็บ หากไออุ่นของชายหนุ่มกลายเป็นกำแพงโอบล้อมใจที่แสนขลาดกลัว ขจัดบรรเทาเบาบาง


“ผู้กอง...รู้สึกว่าจะใจดีผิดปกตินะ”

ต้นธาราว่า ไม่ใช่ไม่ดีใจ หากรู้ว่าสิ่งที่ผู้กองทำมันต่างจากตัวตนจริงๆ ทำไมถึงกลัวมากขนาดนี้กันนะ

“ไม่ดีหรือ”ภานุถาม

ต้นธาราส่ายหน้า

“เปล่า...ผมว่าผมคงได้เวลากลับแล้วมั้ง”

ยิ่งดึกต้นธาราก็ยิ่งกังวล หากชายหนุ่มกดแขนเอาไว้

“ไม่ให้ไป”

อ้อมแขนแกร่งดึงรั้งให้อยู่ ต้นธารานิ่ง จำเป็นต้องอยู่ต่อเมื่อผู้กองจอมผูกขาดนอนทับตักเอาเสียดื้อๆ

“ผู้กองอยุ่ห่างจากค่ายขนาดนี้ไม่เป็นไรหรือครับ”

ต้นธาราเอ่ย พยายามหาบทสนนาคุยกับชายหนุ่ม ภานุหัวเราะหยันๆ

“ไม่มีใครกล้ายุ่งกับแถวบ้านผมหรอก”

ชายหนุ่มบอกอย่างทระนง ต้นธาราทอดถอนใจ

“นิสัยของผู้กองต้องเป็นคนดื้อด้านมาตั้งแต่เกิดแน่ๆ”

ต้นธารากล่าว เสียงห้าวๆขบขันกับคำพูดของคุณหมอ

“เดาไปมั่วแล้ว”ภานุว่า

“ง่วงแล้ว”

ชายหนุ่มอ้าปากหาว พลางบิดขี้เกียจ ต้นธาราลุกขึ้นตาม ไม่ใช่เพราะอะไร ผู้กองหนุ่มดึงขึ้นนั่นเอง

“ถอดเสื้อให้หน่อย”

ภานุว่าหลังจากเข้าไปอยู่ในห้องเพียงลำพัง ต้นธารารู้สึกเคอะเขิน ชายหนุ่มมองแล้วยิ้มน้อยๆ

“ไม่กล้าหรือ...”

น้ำเสียงทุ้มหู มือสั่นระริกแตะเนื้อผ้าแข็งๆ ภานุยืนนิ่งเฉย คอยมองดูมือขาวปลดกระดุมให้ทีละเม็ดๆ ความหอมหวานราวกับจะลอยอวลรอบกาย มือแกร่งโอบกอดร่างบางเอาไว้ สัมผัสแผ่วเบา กอดไว้เนิ่นนาน ต้นธาราใช้แขนกั้นอ้อมอกแกร่งแนบชิด ภานุปล่อยออกเสื้อตัวนอกถอดให้นุ่มนวล ไม่ช้าริมฝีปากอุ่นๆประทับจูบอย่างนุ่มนวล ต้นธารารอรับสัมผัส แม้จะไม่ได้ร้างเริดมานาน ใจก็ยังเต้นแรงราวกับรัวกลองเมื่อริมฝีปากอุ่นๆเบียดรุก สัมผัสแฝงความนุ่มนวลและรุนแรงจนไม่อาจต้านทานความรู้สึกที่ท้วมท้นเข้ามาในใจได้ มือของภานุแตะแก้มบางอย่างนุ่มนวล

“ชักจะไม่ไหวแฮะแบบนี้”

ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง พลางกดบ่าของคุณหมอให้นั่งลงบนเตียง กอดไว้แน่น กายอันอบอุ่นเบียดเสียด ภานุจับมือคุณหมอขึ้นเพื่อถอดเสื้อผ้าได้ง่าย ต้นธาราขัดขืนเพียงเล็กน้อย เพราะท่าทีของผู้กองหนุ่มรุนแรงขึ้น หากสุดท้ายก็ลดจังหวะ โอนอ่อน เรียวปากอุ่นๆจูบแนบแก้มสาก ใช้ลิ้นแลบเลียผิวกายแกร่งเบาๆ หัวใจของภานุเต้นแรงราวกับรัวกอง ยิ่งทำแบบนี้ ก็ยิ่งห้ามใจตัวเองไม่ไหว ดันตัวคุณหมอลงบนเตียงทันใด มองรอยยิ้มสวยงามประดับอยู่บนใบหน้า....ผิวขาวซีดแต่งแต้มด้วยสีเลือดจางๆ...ผิวนุ่มละมุน ถูกสัมผัสด้วยริมฝีปาก ไม่อาจหักห้ามได้อีกแล้ว ร่างกายร้อนผะผ่าวด้วยสัมผัสชวนให้คลั่ง หวาบหวาม ชายหนุ่มที่ดำเนินบทรักสลับกับเชื่องช้า ต้นธาราไม่ชอบเลย เพราะเหมือนกับจะฆ่าเขาทั้งเป็น มือแกร่งแยกเรียวขาออก ทั้งๆที่ไม่คลายไปจากการจูบหน้าอกขาว ก่อนลิ้มชิมรสหวานจากยอกอกแดงเรื่อ ใบหน้านิ่วขมวด เปี่ยมด้วยความสุขสม อารมณ์ต่างๆยิ่งเตลิด ราวกับถูกห้วงฝันห่อหุ้ม เมื่อสิ่งอุ่นๆและแข็งขึงแทรกสอดในช่องทางนุ่ม ช้าๆ ไม่รีบร้อน ภานุต้องข่มใจมากทีเดียวสำหรับการที่ต้องนุ่มนวล ฝังใบหน้ากับซอกคอเพรียว รู้สึกว่าเล็บจะจิกลงบนแผ่นหลังแกร่ง ครูดอย่างแรงเมื่อดันกายเข้าไปจนมิด แช่สักพัก ให้คุณหมอได้หอบหายใจ ก่อนจะขยับไปตามห้วงอารมณ์ล้ำลึก ฟังเสียงหอบกระเส่าดังข้างๆหู อยากเร่งจังหวะ แต่ต้องควบคุมเอาไว้เมื่อเล็บจิกแผ่นหลัง ภานุกัดฟัน ชายหนุ่มอดทนไม่ทำรุนแรง มันไม่ใช่ตัวเขาเลย ! ....สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มหักห้ามความรุนแรงคือริมฝีปากแดง บรรจงจูบ เล็มริมฝีปาก จังหวะที่ทำให้รู้สึกดีที่สุด ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าอยู่ที่ไหน...กกกอดตามแรงปรารถได้อย่างเต็มที ไม่เหมือนกับเมื่อเก่าก่อน ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่ได้แนบชิด ถ่ายทอดความสุขให้อาบทั่วร่าง ฝ่ามือหนาตะโบมไปทั่วสะโพก รั้งเอวบางขึ้นสูงเมื่อสอดแทรกลึกเรื่อยๆ เจียนคลั่ง...ยิ่งมีความสุขมากเท่าไร ทุกอย่างดูเหมือนจะรางเลือนลงเรื่อยๆ ทะยานขึ้นสูงสู่ความสุข...ไม่ช้าก็ถูกกกกอด ลมหายใจรัวรินเคลียแก้ม อ้อมแขนแกร่งกอดไม่ยอมปล่อย ยึดไว้ราวกับต้นธาราจะจางหาย

ผู้กองลุกขึ้น มองเรือนร่างที่นอนอ่อนระทวยอยู่ข้างเคียง ก่อนลุกขึ้น ค้นเอกสารออกมานั่งพิจราณาดูวันเวลา ต้นธาราต้องกลับไปก่อน หลังจากที่เสร็จเรื่องของธีรเดชเมื่อไร ชายหนุ่มคงได้กลับมาตรวจกรุ๊ปเลือด ผู้กองหนุ่มกัดริมฝีปากกับโอกาสที่มีเพียงน้อยนิด

------------------------------------------------

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
จิ้มพิมเท่ร๊ากกกกกกกกกกก  :จุ๊บๆ:

ตอนนี้มาฉาก  :z1:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
^
^
 
น่ากลัวจริงๆ เลย เจ้คนนี้ 

นึกอะไรแต่...       :z2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-11-2008 18:19:58 โดย มูมู่น้อย »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ประกบหน้าหลังพิมคนฉวย  :z1:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
ตอนนี้ก็หวานน่ะอิอิ

ออฟไลน์ [€]ŝĊörŦ

  • ความพยามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2077
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-0
แหมน่ะ...

ขนาดตึงเครียด ยังจะจึ๊กๆ กันได้อีก

 :haun4:   :haun4:   :haun4:

ปล. ไขกระดูกตรงกันด้วยเถ๊อะ  :call:  :call:

pupper

  • บุคคลทั่วไป
ถึงแม้ว่าจะหวาน แต่ก็ยังซ่อนรสขมเอาไว้นะครับ
หวังว่าปาฏิหารย์กำลังจะเกิดขึ้น ขอให้คนที่เกิดมาคู่กัน
ได้สมหวังด้วยเถอะครับ
แถมยังลุ้นกับคู่กิ่งไผ่อีก กดดันมากๆ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 22 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 6]


พอถึงรุ่งสางต้นธาราต้องกลับไปยังบ้าน เขามองร่างสูงด้วยความรัก แววตาอบอุ่นใจเหมือนจะปลอบประโลมว่าไม่ต้องกังวลใจ

“ผมขอโทษนะที่ไม่ได้ไปส่ง”

ภานุกล่าวเมื่อพาคุณหมอมาส่งที่บ้านพักไม่ได้ ต้นธาราส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร อีกหน่อยเอง เดี๋ยวผมเดินไปได้”

ต้นธารากล่าว เขายืนรีรอสักครู่ มองภานุที่ทำท่าราวกับอยากจะพูดอะไรสักอย่างหากไม่เอื้อนเอ่ย

“เดี๋ยวผมไปก่อนนะครับ”

ต้นธาราบอกลา สายตาของภานุมองอย่างอาลัย ก่อนที่จะตัดใจเดินไปทำงาน ใบหน้าของชายหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยความสุข ผิดกับต้นธาราที่ไปถึงบ้านเจอสายตาบิดาจ้องมาอย่างดุๆ ดวงตาสีน้ำตาลยิ้มตอบ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสีย

“กำลังออกไปทำงานหหรือครับ”

ท่านนายพลไม่ตอบ ต้นธารานิ่งเงียบ ทำหน้าจืดๆเมื่อบิดาเดินผ่านราวกับเป็นธาตุอากาศว่างเปล่า

“เมื่อวานพ่อคุยกับลุงอรุณแล้วว่าจะส่งลูกกลับก่อน”

“ครับ....”ต้นธาราทรุดนั่งด้วยท่าทีอึดอัดใจ

“พ่ออยากให้ธารรีบกลับกรุงเทพฯ อยู่นี่นานนัก...มันไม่ดีนัก”

“ทำไมครับ”

บิดาทอดถอนใจ

“ใครรู้เข้า มันคงไม่ดีเท่าไรว่าธารเป็นลูกพ่อ คนเดียวที่รุ้ก็คือผู้พันมีทรัพย์ พ่อบอกเขาไป....นอกนั้นพ่อไม่ได้บอกใคร...”

ผู้เป็นบุตรชายก้มหน้าก้มตา

“มันเป็นปัญหาขนาดนั้นเชียวรึครับ”

“ลูกใช้อำนาจกึ่งหนึ่งของท่านนายพลอรุณมายังที่นี่นะ”

ต้นธาราพูดอะไรไม่ออกเลย

“อีกอย่างเราน่ะ เที่ยวเล่นมามากพอแล้ว กลับไปรักษาตัว...พ่อจะได้สบายใจ”

“ครับ”

ต้นธารารับคำบิดาอย่างง่ายดายโดยไม่โต้เถียง เมื่อบิดาเดินออกจากบ้านพักไป เขาทรุดนั่งนิ่งเงียบ เวลาของเขาใกล้เข้ามาแล้ว เอาเถอะ....อย่างน้อยๆตอนนี้เขาก็ไม่กลัวความสิ้นหวัง....

------------------------------------------------

ต้นธารากลับมารักษาตัว เขากลับมาเพียงลำพัง เพราะบิดาและภานุติดงานราชการ เขาเหงาบ้างเมื่อต้องอยู่โรงพยาบาลเพียงลำพัง และการที่หนีหายไป ทำให้ถูกแพทย์ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาต่อว่าเอาแบบสุภาพหากแต่เจ็บลึกถึงข้างในทีเดียว

“คุณธารเป็นหมอ น่าจะรู้บ้างว่าโรคของตัวเองนั้นอันตรายแค่ไหน หากไม่รับการบำบัดรักษาต่อเนื่องจะเป็นเช่นไร”

ใบหน้าของผู้ที่ถูกตำหนิดูเจื่อนลง

“โอกาสของคุณหมอธารอาจตายถึงร้อยเปอร์เซ็นต์”

ต้นธารานิ่งเงียบ เรื่องนี้ตัวเขารู้ดี นายแพทย์อดิเรก แพทย์เจ้าของไข้มองใบหน้าของผู้ที่ดำรงอาชีพเดียวกัน

“เวลาที่คุณหมอธารหาย โปรดช่วยบอกผมก่อนนะครับ ผมเป็นแพทย์เจ้าของคนไข้จะหัวใจวายเอา หากท่านนายพลไม่แจ้งว่าคุณหมอหายไปไหน รับรองว่าผมคงกินไม่ได้นอนไม่หลับไปอีกนาน”

ต้นธารายิ้มแห้งๆ

“เดี๋ยวเชิญคุณหมอไปตรวจร่างกายก่อนนะครับ”

นายแพทย์หนุ่มลุกขึ้น นำผู้ป่วยพิเศษไปยังห้องตรวจโรค

“คุณหมอคงไม่ออกกำลังกายหักโหมใช่ไหมครับ”

ตรวจดูความดัน จังหวะชีพจรหัวใจ ต้นธาราส่ายหน้า...หากในใจนั่นคิดถึงยามที่ผู้กองกอดริ้วแดงประดับหน้าทันที จนนายแพทย์อดิเรกสงสัย รอยยิ้มคุณหมอธารก็กลบเกลื่อนเสียก่อน

“แล้วทานพวกน้ำอัดลม เหล้า กาแฟบ้างหรือเปล่า”

ต้นธาราผงกศีรษะ

“ทานบ้างครับแต่เป็นกาแฟ ดื่มนิดหน่อย”

นายแพทย์อดิเรกจดลงในชาร์จ มองดวงตาสีน้ำตาลอ่อน

“การดื่มเครื่องดื่มพวกนี้ไม่ดีต่อสุขภาพของคุณหมอธาร ควรเลี่ยงนะครับ”

ต้นธาราผงกศีรษะ รับคำแนะนำจากนายแพทย์ที่รักษาตัวเอง เมื่อเสร็จก็กลับห้องพัก สายตามองรอบโรงพยาบาลเอกชนหรูหราที่บิดาส่งตัวมารักษาเหมือนกับวันเดิมๆ ต้นธาราเดินไปตามเส้นทางแห่งความเงียบเหงา พอเปิดประตูเท่านั้นแหละ ป้าสมร้องเข้ามาลูบแขนใหญ่

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะคะ”

ชายหนุ่มยิ้มให้กับแม่นม หลังจากที่เขาหายตัวไป แม่นมก็แทบคลั่งและเอาแต่โทษตัวเอง พอรู้ว่าเขาไปไหนไปกับใครเท่านั้นแหละ ป้าสมก็ชักสีหน้าไม่ชอบทันที

“อีกประเดี๋ยวก็คงรู้ผลครับ”

ต้นธาราทรุดนั่งบนเตียง ป้าสมเดินตามติดราวกับกลัวว่าต้นธาราจะหายไปในอากาศอย่างนั้นแหละ

“ป้าไม่ชอบใจกับอีตาผู้กองคนนั้นเลย ห่ามเสียจริงที่ลากคุณหนูของป้าออกไปทั้งๆที่ป่วยอยู่แท้ๆ”

แม่นมบ่นกระปอดกระแปด ชายหนุ่มนั่งฟังเงียบๆ เพราะป้าสมแกบ่นยืดยาวไม่จบไม่สิ้น ก่นด่าผู้กองภานุตั้งแต่เขากลับมาจนถึงบัดนี้


“คนอะไรก็ไม่รู้เถื่อนสิ้นดี มารยาทก็แย่ รู้อะไรไหมเจ้าคะ ตอนที่คุณหนูหาย ท่านโกรธมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเชียว”

ต้นธาราได้แต่ยิ้มอ่อนๆ ไม่โต้เถียงแม่นม

“แล้วคุณหนูไม่ถูกทำอะไรมานะเจ้าคะ ป้ากลัวเหลือเกินว่าผู้กองนั่นจะหักคอคุณหนูเอา น่าฟ้องให้ปลดนักเชียว”

“เขาไม่ได้ทำร้ายผมหรอกครับป้า....”

“ได้ทีไหนล่ะคะ ไว้ใจไม่ได้เล้ย ท่านพลอรุณก็ช่างกระไร ไม่รู้เข้าข้างอีตาผุ้กองนั่นอยู่ได้ เป็นลูกพี่ลูกน้องกันก้แบบนี้ ปกป้องทุกทีไม่ว่าใคร”

บ่นไปถึงลุงอรุณ ต้นธารานั่งคิดว่าคนถูกบ่นคงจามหลายคราแล้วแน่ๆ

“คุณหมอมาแล้วค่ะ”

ป้าสมหยุดบ่น เมื่อประตูเปิดออก ชายในชุดขาวก้าวเข้ามา พร้อมชาร์จการตรวจร่างกาย

“โชคดีครับที่คุณหมอธารยังแข็งแรงดี ...แต่ก็ยังไว้วางใจไม่ได้ ช่วงที่คุณหมอหายไปรู้สึกหน้ามืด วิงเวียตาลายไหมครับ”

คุณหมอธารนึกถึงวันที่อยู่ในโรงแรมก็ผงกศีรษะ

“เคยครั้งหนึ่งครับ ตอนนั้นวูบไป ก่อนวูบก็รู้สึกอยากอาเจียนแต่พอได้พักก็อาการดีขึ้น”

นายแพทย์หนุ่มจดอาการเพิ่มเติม

“เป็นบ่อยหรือเปล่าหลังจากที่คุณหมอขาดการบำบัดไป”

ต้นธาราส่ายหน้า

“ไม่ครับ แต่ถ้าวันไหนรุ้สึกเหนื่อยก็จะเป็น”

“เป็นธรรมดาครับ...คุณหมอลดการทำงานลงบ้าง พักผ่อนให้เพียงพอ ลดทอนความเครียดก็จะช่วยบรรเทาได้”


“ถ้าจะให้หายขาดต้องปลูกถ่ายไขกระดูกสันหลังใช่ไหมครับ”ต้นธาราถาม

“ครับ...”

“ตอนนั้นนายพลตรวจเลือด องค์ประกอบไม่ตรงกัน ท่านนายพลกลุ้มใจมากทีเดียวครับ”

ดวงตาสีน้ำตาลไพล่ไปมองยังป้าสม แม่นมของชายหนุ่มยืนทำหน้าเจื่อน ใจของต้นธาราหนักหน่วงราวหินถ่วง

“ครับ...”

น้ำเสียงคุณหมอราบเรียบ นายแพทย์อดิเรกผงกศีรษะก่อนจะพูดเสริม

“หากต้องการปลูกถ่ายไขกระดูกองค์ประกอบเลือดต้องตรงกันครับ คุณหมอธารมีผู้บริจาคแล้วหรือครับ”

ต้นธาราผงกศีรษะ

“ครับ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าไขกระดูกจะเข้ากันหรือเปล่า”

ดวงตาของหมอมีแววยินดี

“คุณหมอธารพามาตรวจเลยครับ หากเข้ากันจะได้รักษาทันท่วงทีก่อนที่อาการจะกำเริบหนัก การรักษาจะควบโดยการทำเคมีบำบัดและการฉีดไขกระดูกสันหลังของคนปกติ”

“ถ้าคุณหมอคาดว่าคนบริจาคน่าจะมีไขกระดูกที่ตรงกันให้มาตรวจรีบด่วน”

“คนบริจาคติดงาน ไม่อาจมาได้ในตอนนี้”

ต้นธาราบอกกล่าว นายแพทย์ประตำตัวขมวดคิ้วมุ่น

“ไม่มีเวลาบ้างหรือครับ นี่เป็นชีวิตของคุณหมอเชียวนะ”

ต้นธาราผงกศีรษะ เมื่อนายแพทย์อดิเรกรายงานผลตรวจเลือดเสร็จขอตัวออกไปพบกับคนไข้รายอื่น ต้นธาราหันมาทางแม่นมทันที

“พ่อของผมท่านเครียดมากหรือเปล่าเรื่องปลูกไขกระดูกสันหลัง”

ป้าสมนิ่ง ก่อนนางจะเอ่ย

“เอ่อ....คุณท่านเครียดมากเจ้าค่ะ แต่ว่าท่านก็ไม่พยายามที่จะแสดงออก”

ต้นธาราถอนใจยาว

“ผมทำให้พ่อลำบากอีกแล้ว...”

ชายหนุ่มรำพึง รู้สึกผิดอยู่ในใจเสมอ เมื่อดื้อดึงกับบิดา

“ท่านไม่อยากให้คุณหนูต้องกังวลนะเจ้าคะ”ป้าสมเสริมเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำตาลหม่นหมอง

“คุณหมอบอกว่าอย่าเครียด คุณหนูก็ยิ้มเถอะค่ะ”

ต้นธารายิ้มออกมาเล็กน้อยให้แม่นมสบายใจ ก่อนต้นธาราจะล้มตัวนอน ป้าสมจัดแจงคลุมผ้าห่มให้

“ป้าจะอยู่นี่ตอนก่อนคุณหนูจะหลับนะค่ะ”แม่นมทรุดนั่ง มองเปลือกตาปิดลง...

------------------------------------------------

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
การที่เราหวังอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง มันเจ็บปวดน่าดู....สำหรับกิ่งไผ่ สิ่งที่ลงไป เส้นไยบางๆขาดสะบั้น เบือนหน้าหนีจากโลกแห่งความฝัน...เพื่ออยู่ในความเป็นจริง เขาลุกขึ้นเมื่อไม่อาจข่มตาหลับลง มอง....แสงไฟที่มอดดับ กลายเป็นหมอกควันลอยเบาบางม้วนตัวสู่ฟากฟ้าสีน้ำเงินเข้ม มอง...ใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยกกกอดตัวเอง ความเหงากัดกอนจนสะเทือนใจ กิ่งไผ่เหม่อมองจนร่างของธีรเดชขยับ

“”เราจะออกเดินทางกันแล้ว”

ร่างโปร่งทำเหมือนกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ธีรเดชตื่นมาเจอกับท่าทีเดิมๆ ชายหนุ่มกุมขมับทันที ชายหนุ่มไม่พูดอะไรเพียงนิ่งเงียบ เฝ้ามองทีท่าของอีกฝ่ายแล้วประมวณผลว่า มันคงไม่เหมาะนักหากพูดอะไรออกไปในตอนนี้ ระยะห่างของกิ่งไผ่เท่าเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยน ราวกับว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่ความฝันชั่วกระพริบตา กิ่งไผ่ลงมือเก็บข้าวของโดยมีธีรเดชช่วยอยู่ห่างๆ ชายหนุ่มแอบมองใบหน้าตีเรียบเฉย ดวงตาสีดำสนิทไม่สื่ออะไรออกมาเลย ต่างคนต่างนิ่งงัน ทำให้ยิ่งเพิ่มความอึดอัด ต่างฝ่ายต่างรู้ก็ไม่อาจบรรเทาความรู้สึกนั้นได้เลย เดินทาง เป็นเหมือนเช่นทุกๆครั้งที่ก้าวไปด้วยกัน


“ระยะทางที่เราจะไป ต่อจากนี้คงต้องระวังตัวมากยิ่งขึ้น”กิ่งไผ่หันมาคุย

ธีรเดชผงกหัว นึกทึ่งเหลือเกินที่กิ่งไผ่ลบเลือนมันออกไปจากใจได้ราวกับปัดฝุ่น เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายคิดมากไปเท่านั้นหรือ ดวงตาหม่นลง แต่พอคิดถึงการกระทำของเมื่อคืน เหมือนกับเป็นความรักที่ลอยอวลอยู่ในความรู้สึกที่ปิดกั้น อยากสอบถามให้แน่ใจ ทว่าก็ไม่กล้า ปล่อยให้มันเงียบแบบนี้ดีแล้วหรือไง....ธีรเดชเถียงกับตัวเอง เขาทำเฉยไม่ได้จึงคิดขยับปาก ทว่าดวงตาเยียบเย็นกลับสั่งให้เงียบ ชายหนุ่มจึงไม่กล้าหือ หรือเถียงด้วยสักคำ

“ไผ่...”

ในที่สุดแล้วธีรเดชก็เป็นฝ่ายอดทนไม่ได้ กิ่งไผ่จำต้องกล้ำกลืนขานตอบเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาเจ็บมากขนาดไหนกับการกระทำที่เกิดขึ้น

“มีอะไร ?”

ธีรเดชไม่ชอบใจเลยกับน้ำเสียงแสนเย็นชา คนเรียกกลับพูดไม่ออก ส่วนคนขานเมื่อเห็นฝ่ายคนพูดไม่ยอมตอบก็นิ่งงัน

“เราจะออกจากเขตนี้ก็ถึงชายแดนไทยแล้ว”

กิ่งไผ่ขึ้นเนินชี้ไปยังแนวป่าเขียวขจีลิบๆ ฝ่ายธีรเดชดีใจที่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนเสียที เขามองดวงหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยความขุ่นมัว

“พอส่งผมคุณก็จากไปทันทีเลยสินะ”

ตัดพ้อโดยไม่รู้ตัว สายตาสีดำช้อนมอง

“ทิ้งหรือ...ผมเคยบอกแล้วนะว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”

น้ำเสียงมั่งคง ไร้อื่นใดเคลือบแฝง ธีรเดชอยากให้แสดงความรู้สึกอกมาเหมือนมื่อคืน...อ่อนไหวและเปราะบาง ราวกับเพชรที่แข็งแต่เปราะเหลือเกินหากถูกทำลาย

“ระยะทางเราจบที่ตรงนั้น...มันก็ดีแล้วนี่”

กิ่งไผ่เอ่ย ดูเย้ยหยันและเจ็บปวด ธีรเดชกำมือแน่น

“ไผ่ คุณยังเคืองเรื่อง...”

ชายหนุ่มพยายามเอ่ย แต่กิ่งไผ่กลับเชิดหน้าขึ้น เดินรุดหน้าไปไกล

“ผมต้องการส่งคุณกลับโดยไว เพราะฉะนั้นเรื่องอื่นๆผมจะไม่สน”

พูดตัดเยื่อขาดใย หากในใจเจ็บปวดเหลือแสน เพียงแค่คืนเดียว ที่ทุกอย่างพังทลายลง ความเปราะบางที่ซ่อนเร้นเอาไว้กลับเผยออกด้วยความเสียใจและโกรธเคือง เขาไม่มีวันได้ความอ่อนโยน ไม่มีทางเมื่อเลือกเส้นทางนี้ มันเป็นเส้นทางแห่งเกียรติยศและชีวิตเขาทุ่มเทเพื่อมัน ! พอตัดความรู้สึกอ่อนไหวได้ ทุกสัดส่วนช่างเย็นชาเหลือเกิน ธีรเดชมองแผ่นหลังแกร่ง เหมือนกับตัวตนที่อยู่ใกล้จะห่างไกลไปเสียทุกๆที...มันเป็นเพราะอะไรที่รู้สึกเช่นนั้นกัน


บางทีความอ่อนโยนที่เขาแสวงหามาตลอดมันไม่มีวันเป็นจริง สิ่งที่เขาเก็บเงียบและรู้สึกตลอดมาคือความรักที่ไม่มีวันได้เอ่ยปาก เลือดทุกหยาด ชีวิตและจิตวิญญาณคือแผ่นดิน ความรักเป็นเสมือนยาพิษ เขาต้องเจ็บซมอยู่ร่ำไป ความรักของเขาต้องไม่นึกถึงว่าอีกฝ่ายจะรักใคร....รักด้วยหัวใจที่เจ็บปวดและไม่มีใครเห็นแม้แต่เงาที่คอยมองอยู่ห่างๆ ความรักทำใจให้แหลกรานมากแค่ไหนก็ยังรู้สึกว่าตัดใจไม่ได้และยังรักตลอดเวลา....

“คุณกลับไทยได้ ก็ขอให้โชคดี”

ธีรเดชมองใบหน้างาม กลุ่มผมยาวสลวยพันกันยุ่งเหยิง ปกปิดซีกใบหน้าครึ่งหนึ่ง

“ผมไม่มีวันเป็นคนโชคดีหรอก...”

ธีรเดชเอ่ย เมื่อเดินตีคู่ทัน

“สิ่งที่ผมทำกับคุณ มันสาปให้ผมเป็นคนโชคร้ายแน่ๆ” ธีรเดชเอ่ย ดวงตาอ่อนจาง

“ผมไม่ควรได้รับคำอวยพรจากปากของคุณ”

กิ่งไผ่ยิ้มเย้ยหยัน

“ถ้าคุณไม่ควรได้รับผมก็ไม่ควรได้เหมือนกัน”

ชายหนุ่มรู้สึกไม่มีผิด กิ่งไผ่เริ่มห่างไกลเรื่อยๆ เหมือนปิดกั้นตัวตนตลอดกาล


“ผมอยากให้คุณ....”

กิ่งไผ่ไม่ยอมฟัง เพราะเขารู้ดีหากฟังตัวเองคงเจ็บอีก อยากจะลืมมันไป ทว่าจิตใจที่ยังหลงใหลอยู่ในวังวนของความอ่อนโยนยังไม่ลบไปจากใจ

“ไผ่”

ยิ่งวิงวอนมากเท่าไร ดวงตาสีดำยิ่งว่างเปล่าลงเท่านั้นเป็นการบอกว่าเสียเวลาเปล่าที่จะพูด ดวงตาแกร่ง อ้อมกอดแม้ไร้ซึ่งสิเน่หาก็ยังทำให้เขาเปี่ยมไปด้วยความต้องการ ธีรเดชไม่ยอมแพ้ ไม่อยากให้มันจบลงด้วยความรู้สึกแย่ๆของคนทั้งคู่ รีบเร่งฝีเท้าตามติด ถ้าเป็นไปได้จะคว้าเอวนั้นมา กดตรึงให้อยู่เฉยและสั่งให้ฟัง ทว่าเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ มันเลยต้องกลายเป็นความหนักอกที่ต้องเผชิญ จู่ๆกิ่งไผ่ก็ชะงักคล้ายกับคิดอะไรออก หันมาทางชายหนุ่ม

“เรื่องเมื่อคืนไม่ต้องมาขอโทษหรอก ผมไม่อยากได้ยินคำสุภาพบุรุษขนาดนั้น ต่างฝ่ายต่างหลอกลวงกันเองมันก็สมแล้วไม่ใช่หรือ”

ธีรเดชหน้าชา ชายหนุ่มมองแววตาเมินเฉย ดวงตาราวกับมีบางอย่างกั้น...ธีรเดชจ้องมอง มันไม่ได้เย็นชาเสียทีเดียวหรอก....ทำไมต้องรู้สึกด้วย ชายหนุ่มนึกเมื่อเห็นความอ่อนไหวประดับนัยน์ตาคู่นั้น

“ผมโกรธที่คุณไม่เชื่อใจผมเลย...”

กิ่งไผ่ยกมุมปากเย้ย คำบอกรักในวันที่อ้อมกอดแกร่งยังตราติดตรึงอยู่ในหู...เป็นสิ่งที่เขาไม่ควรได้

“แล้วไงครับ จะยอมยกโทษให้ผมง่ายๆงั้นหรือ”

รอยยิ้มที่ธีรเดชเห็นมันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน

“ผมอยากให้ยกโทษมากกว่าที่ผมทำแบบนั้นกับคุณ”

ชายหนุ่มผู้แสนดี ไม่รู้เลยว่ากำลังทำให้ใครต้องอับอายและเจ็บปวด

“ผมยกโทษให้คุณถือว่าเจ๊ากันไปเรื่องหลอกคุณ”

พูดจบก็สะบัดหน้าหนีเดินนำหน้าต่อ ธีรเดชไล่ตาม ดวงตาคู่นั้นมีน้ำตาหยดลงอาบแก้มเพียงแค่หยดเดียว หนองในใจกลัดออกมาเจ็บปวดจนร้าวราน....เมื่อรู้ว่าเขาคนนั้นไม่ได้รัก และไม่มีวันที่จะรักเขา.....

------------------------------------------------

nartch

  • บุคคลทั่วไป
:เฮ้อ:
ทั้งสองคู่เลย...ทำไมรู้สึกเงียบเหงาเศร้าหัวใจจัง  :m15:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
เครียดดดดดดดดดดด :m15:

เราสงสารกิ่งไผ่ที่สุดเลยอ่ะ

Bg LoVe NT

  • บุคคลทั่วไป
:m15: สงสารกิ่งไผ่อ่ะ

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
ท่าทาง สองคู่เนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย จะเศร้าตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆน่ะเนี่ย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด