ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose  (อ่าน 292772 ครั้ง)

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ไว้พรุ่งนี้มาต่อให้น้า  ช่วยกันลุ้นต่อไปก่อน  :กอด1:

nartch

  • บุคคลทั่วไป
:z3:
กำลังมันส์...ให้ไวเลยฉุดฉวยยยยยย  :pig4:

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ

ออฟไลน์ [€]ŝĊörŦ

  • ความพยามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2077
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-0
มันเครียดๆ เศร้าๆ จังเรย

+1 เป็นกำลังใจให้นะค้าบ

 :L2:   :L2:   :L2:

pupper

  • บุคคลทั่วไป
ชีวิตของกิ่งไผ่หดหู่มาโดยตลอด ทั้งความทุกข์และความเศร้า
ที่เกาะกินใจมาจากอีต แล้วยังส่งผลกระทบมายังปัจจุบันอีก
เนื้อเรื่องกดดันความรู้สึกคนอ่านมากๆ กับบทท้ายๆ ที่เป็นการ
บอกเล่าความรู้สึกของกิ่งไผ่ เหมือนกับความรักแบบข้างเดียว
ที่กำลังทำร้ายหัวใจของตัวเองลงไปเรื่อย ธีรเดชก็ยังไม่ยอมเปิด
ใจรับความรู้สึก ทั้งๆที่รักแต่ไม่รู้สึกตัว เพราะว่ายังคงอยู่กับความรัก
เก่าที่ไม่มีทางเป็นไปได้

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ต่อตามสัญญาเน้อ  ไว้พรุ่งนี้มาต่ออีก   :กอด1:

++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 27 Enemy : ศัตรู [Part 3]


ต้นธารานอนนิ่งๆไม่ได้เลย เข้ารับคีโมแล้วมันเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น ป้าสมทำหน้าไม่สบายใจเลยเมื่อเห็นต้นธาราลุกขึ้นมาบ้วนเลือดใส่กระโถน ป้าสมยืนกุมมืออยู่ใกล้ๆเตียง มองใบหน้าบวม จมูกมีผ้าก๊อซอุดเอาไว้เพื่อไม่ให้เลือดออก สภาพอิดโรย

“ป้าสงสารคุณหนูเหลือเกิน”นางคอยเช็ดเลือดและน้ำลายเลอะปาก ต้นธาราทอรอยยิ้มในแววตาไร้ประกาย

“ผมไม่เป็นไร”พูดอู้อี้อยู่ในลำคอ ฟังไม่รู้บ้างในบางช่วง ป้าสมร้องไห้ น้ำตาคลอเบ้า

“เจ้าประคุณ ให้ป้าเจ็บแทนคุณหนูดีกว่า”

ต้นธาราบ้วนลือดอีกรอบ ก่อนล้มตัวนอนอย่างอ่อนแรง

“ผมนอนไม่หลับเลยครับป้า ต้องตื่นขึ้นมาบ้วนเลือดแล้วตะครั้นตะครอตัวแบบนี้”

แรงบีบบีบมือนุ่มเบาๆ ป้าสมลูบศีรษะ

“โธ่...ถ้าคุณหนูไม่เข้ารับคีโมแต่แรกก็คงดี”

รอยยิ้มเซียวๆผุดขึ้น“ได้ไงครับ มันเป็นทางเดียวที่จะรักษาผมให้หายนี่”

ดวงตาป้าสมยังเป็นกังวลอยู่ดี ต้นธาราเลยคว้าแขนผอมๆเอาไว้

“อีกอย่างคุณหมอก็ดูแลรื่องการให้คีโมผมอย่างดี ผมไม่เป็นอะไรหรอก”

ต้นธารากล่าว เขายิ้มเผล่ให้คนเฝ้าสบายใจ

“แต่...”ป้าสมจะเถียง หากต้นธาราจุ๊ปาก

“ผมก็เป็นหมอเหมือนกันน่า”

หญิงชราทรุดนั่ง ยกมือทาบอก“ก็เพราะคุณหนูเป็นหมอนี่ล่ะค่ะจะทำให้สมองจะแตกวันละหลายๆรอบ ไม่เคยเชื่องฟังคนอื่นเลย”

ต้นธาราหัวเราะแผ่วๆพร้อมกับเบือนหน้าหนี กัดริมฝีปากซีดขาว ท่าทีระโหยโรยแรง

“คุณหนูเหนื่อยแล้วหรือเจ้าคะ พักสักหน่อยนะคะ ตื่นขึ้นมาจะได้สดชื่น”

คุณหมอหนุ่มทำตาม ลับตาป้าสม ต้นธาราร้องไห้เพราะทรมานแต่ต้องเก็บเสียงเงียบๆไม่อยากรบกวนอดีตแม่นมที่เอนหลังนอนอนอยู่ไม่ห่าง น้ำตาไหลอาบหมอน ต่อให้เข้มแข็งแค่ไหนก็ต้องร้องไห้ มือกำหมอนแน่น ก่อนค่อยๆคลายออก ลมหายใจแผ่วๆ พยายามลุกขึ้นทั้งๆที่ไร้แรง แผ่นหลังพิงหมอน

‘ธาร...จำไว้ว่าผมจะไม่ทิ้งคุณเลย ถ้าไปไหนไกลผมจะตามคว้ากลับคืนมาให้ได้ ผมจะอยู่ข้างคุณจนตัวตาย’

คำพูดของภานุก้องในใจ มือขาวซีดยกขึ้นเช็ดขอบตา ปาดน้ำตาที่ไหลรินทิ้ง คนป่วยปืนลงจากเตียงอย่างเชื่องช้า เกาะขอบหน้าต่างเอาไว้แน่น มองดูท้องฟ้าสีส้ม ฟ้าแลบแปลบปลาบ ต้นธาราหรี่ตา ไม่นานสายฝนจะโปรยชุ่มฉ่ำ ยืนมอง...เสียงสายฝนกระทบหลังคา ไอละอองต้องผิวจนรู้สึกเยือกไปทั้งกาย คุณหมอซบหน้าลง ดวงตาประดับด้วยร่องรอยของความอ่อนเพลียเหม่อไป

“คุณหนูลุกมาทำอะไรเจ้าคะ!”

ดวงตางัวเงียมองเงาตะคุ่มริมหน้าต่างมองร่างที่พาดกับหน้าต่าง ป้าสมตกอกตกใจรีบลุกมาดู

“คุณหนูค่ะ ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะเจ้าคะ”

มือนุ่มแตะบ่ากระชากเบาๆ ดวงตาหยาดคลอด้วยน้ำตา

“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับป้าสม ผมนอนไม่หลับ เลยมาดูดาวเท่านั้นเองแต่เสียดายฝนตก”

ป้าสมลูบแตะต้นแขน สัมผัสผิวเปียกชื้นด้วยละอองฝน

“นั่นแหละ ตากละอองน้ำฝนแบบนี้ไม่ดีเอาเสียเลย ยิ่งตอนนี้คุณหนูเป็นหวัดง่ายอยู่”ป้าสมเอ่ย ประคองต้นธารามานั่งยังเตียง กุลีกุจอหยิบผ้าขนหนูมาซับท่อนแขนที่โดนละอองฝนซ่านกระเซ็น ดวงตาไร้ประกายมองความเอาใส่ใจที่มีให้

“ป้าสมพักเถอะครับ ป้าดูแลผมมาตลอดคงเหนื่อย ผมนะไม่เป็นอะไรจริงๆ”

เสียงของต้นธาราแหบเครือ ดวงตาของอดีตแม่นมมองใบหน้าขาว

“ป้าจะพักได้ไงเจ้าคะ ป้าดูแลคุณหนูจะเจ้าค่ะ”นางบอก ดวงตาเจือด้วยรอยน้ำตารื้น ต้นธารายกแขนกอดคนที่ดูแลมาตลอด

“คุณประภาฝากฝังให้อิฉันดูแลคุณหนูแล้วจะให้อิฉันดูแลไม่ดีก็ผิดสัญญากับคุณหญิงสิเจ้าคะ”

ต้นธาราถอนใจ นึกถึงมารดาผู้เสียชีวิตไปแล้ว

“ครับ...แต่ว่าป้าต้องพักบ้าง เดี๋ยวผมจะนอนแล้วจริงๆ”ต้นธาราเอ่ย พลางล้มตัวนอน

“ป้าไปพักเถอะครับ”

ดวงตาหม่นเศร้าปิดลง ป้าสมมอง เห็นว่าคุณหนูหลับไปจริงๆจึงคลายใจ กลับไปพักผ่อนต่อ ต้นธาราหลับไปเพียงชั่วครู่ ตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยอาการครั่นเนื้อครั่นตัว เขาดึงผ้าห่มคลุมศีรษะ กระสับกระส่ายจนไม่อาจหลับได้ ลุกขึ้นมาบ้วนเลือดอีกครั้ง คิดอยากตายให้พ้นๆเสียด้วยซ้ำ ศีรษะพาดอยู่กับหมอนฟังลมหายใจแผ่วๆของตัวเอง เวลาที่เคลื่อนไป ต้นธารามองดูท้องฟ้า สายฝนไม่หยุดโปรย บางส่วนสาดชะกระจกกลายเป็นหยดน้ำไหลเป็นทาง

...ที่นั่นจะฝนตกไหมหนอ...

คิดถึงบิดา คิดถึงคนที่เคยชิดใกล้ดวงตาของคุณหมอจางแสง สิ่งที่ค้างอยู่ในอก เวลา...ที่ยังให้ชีวิตเขาดำเนินอยู่ หัวใจไม่สงบเมื่อนึกถึงเรื่องของผู้กองนาคีขึ้นมาอีก ยิ่งเป็นแบบนี้ ยิ่งทำให้จำ

“ผู้กองนาคีคงจะให้เวลาผมอีกสักนิดใช่ไหม?”กระซิบถามความเงียบงัน เขารู้ตัวดีว่าคงมีโอกาสเพียงน้อยนิด โอกาสที่จะมีความสุข

------------------------------------------------

รุ่งเช้าต้นธาราตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการสะลึมสะลือ ป้าสมกระวีกระวาดมาดูคนป่วย นางแย้มยิ้มวางมือทาบบนหน้าผาก

“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ อาการค่อยยังชั่วแล้วใช่ไหม วันนี้เดี๋ยวคุณหมอมาดูอาการอีกนะเจ้าคะ”ป้าสมรายงานเสียงแจ้วๆ ใบหน้าซีดขาวผละหนี

“อยู่นิ่งๆป้าจะเช็ดตัวให้”

รอยยิ้มปั้นอย่างสดใส มองใบหน้าไร้สีเลือด มันซีดเซียว อ่อนแรง ป้าสมยกอ่างน้ำมาตั้งใกล้ๆซับผิวให้อย่างนุ่มนวล มือขาวหยิบมือนุ่มออก ป้าสมขมวดคิ้ว

“คุณหนูเป็นอะไรเจ้าคะ?”

ต้นธาราลุกขึ้นหยิบผ้าขนหนูเปียกชื้นมาถือไว้

“ผมเช็ดตัวเองครับ”

มือสั่นๆใช้ผ้าซับลำคอ ป้าสมยื้อแย่งคืนมา

“ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู ป้าทำเอง”

ลมหายใจอ่อนๆทอดถอนคลายหน่ายเหนื่อย

“คุณหนูยังไม่แข็งแรง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ป้าสมทำได้คุณหนูพักผ่อนให้แข็งแรงเถอะค่ะ ท่านนายพลจะได้ไม่ห่วงด้วย”

จำต้องผงกศีรษะ ทำตัวนิ่งเหมือนคนตาย ป้าสมหยิบหวีมาหวีผมให้ บางส่วนติดแปรง สีหน้าของอดีตแม่นมไม่สบายใจเลย ชายหนุ่มเห็นแล้วละ พยายามไม่คิดอะไรมากนัก

“วันนี้คุณหนูอยากทานอะไรเจ้าคะ?”ป้าสมชวนคุยหลังจากเห็นดวงตาไร้ประกาย คนป่วยทำหน้าเบื่อๆ

“ยังไม่หิว”

ต้นธาราไม่มีความรู้สึกอยากกินอะไรทั้งนั้น อดีตแม่นมวางหวีลง จ้องดวงตามืดหม่น

“ไม่ได้นะเจ้าคะ เอาอย่างนี้ไหม ป้าสมออกไปซื้อของที่คุณหนูชอบมาให้”

คนป่วยยังส่ายหน้าอยู่ดี ป้าสมอ่อนใจ

“ผมทานอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ก็ได้ครับ ไม่ต้องเดือดร้อนป้าสมออกไปซื้อมาให้เหนื่อย”ต้นธารากล่าวเพราะอยากตัดความกังวลใจ

“ค่ะๆเดี๋ยวป้าไปคุยกับหมอก่อนนะเจ้าคะ”

ต้นธาราล้มตัวนอน เมื่ออดีตแม่นมออกจากห้อง ดวงตาเขายังติดเหม่อๆอยู่ดี

------------------------------------------------


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ป้าสมคุยกับนายแพทย์อดิเรก พอพูดถึงช่วงการให้คีโม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจ

“อาการของคุณหนูไม่ดีเลยค่ะ ยิ่งให้ยาแล้วอาการของคุณหนูยิ่งทรุดนะคะ คุณหนูจะเป็นอะไรมากไหมคะ”นางถาม นายแพทย์อดิเรกยิ้มเพื่อให้ญาติคนป่วยคลายใจ

“เป็นผลข้างเคียงจากคีโมครับ สักพักคงจะดีขึ้น”

นายแพทย์อดิเรกกล่าวกับป้าสม ซึ่งสีหน้าของอดีตแม่นมไม่ใคร่สบายใจเลย

“แต่คุณหนูทรมานมากนะคะ”ป้าสมเอ่ย

“เราต้องให้เคมีบำบัดครับเพื่อให้โรคอยู่ในระยะสงบ คนป่วยต้องอดทน ผมเข้าใจดีครับว่ามันทรมาน”

“แต่คุณหนูลุกขึ้นมาอ้วกแล้วเลือดก็ไหล แบบนี้ไม่....”นางว่า นายแพทย์เจ้าของคนป่วยยิ้มปลอบ

“คุณต้นธาราไม่เป็นอะไรแน่ๆครับ”

ป้าสมผงกหัว นางก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน

“ค่ะๆ ดิฉันคิดว่าคุณหนูคงจะหายในไม่ช้าใช่ไหมคะ?”

“ครับถ้ารักษาเรื่อยๆโอกาสหายมีสูงครับ”

นางยกมือทาบอก สีหน้าคลายความกังวล

“ขอบคุณมากนะค่ะหมอ”นางลุกขึ้น เพื่อกลับไปดูคุณหนูของนางต่อ

------------------------------------------------

ต้นธารามองประตูห้องเปิดกว้าง นางพยาบาลนำอาหารเช้ามาให้ วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าผู้ป่วย วางถาดอาหารซึ่งประกอบด้วยโจ๊กหน้าตาไร้รส ส้มเขียวหวานกับน้ำผลไม้และน้ำเปล่า

“ทานอาหารเช้านะคะ”

ต้นธาราหันไปขอบคุณ เขามองจานข้าว ยังไม่ลงมือทานเสียที นางพยาบาลมองอย่างสงสัย

“เดี๋ยวผมทานครับ”

ป้าสมเปิดประตูเข้ามา พบหน้านางพยาบาลจึงยิ้มให้

“ข้าวเช้ามาส่งแล้วหรือคะ”

นางจัดแจงเรื่องอาหารเช้า ให้คุณหนู ต้นธาราจำต้องฝืนทานโจ๊กรสชาติจืดสนิท ทานไปได้นิดเดียวต้องล้างปากด้วยน้ำส้ม

“ทานอีกนะเจ้าคะจะได้แข็งแรง”

ป้าสมบอกเหมือนกับเด็กเล็กๆ ต้นธาราวางช้อนอยากงอแงเหมือนเด็กๆ

“ นะเจ้าคะ”

ป้าสมรบเร้า คนป่วยเลยได้แต่ทอดถอนใจลงมือทานอีกสักช้อนสองช้อนเพื่อเอาใจคนเชียร์

“ดีมากเจ้าค่ะ ป้าสมเห็นคุณหนูทานได้เยอะแบบนี้แล้วสบายใจ”

นางส่งถาดข้าวส่งให้นางพยาบาล คนที่ถูกทำเหมือนเด็กๆถอนใจ อาการเมื่อคืนที่เหมือนจะเป็นจะตายนั้นบรรเทา คนป่วยล้มตัวนอนหมดแรง ในปากขมปร่า

“หมอว่าไงบ้างครับป้าสม?”

อดีตแม่นมวางมือทาบบนกายอ่อนล้า

“คุณหมอว่าอาการเมื่อคืนเป็นผลกระทบจาการรับยาเคมีบำบัด คุณหนูต้องอดทนนะเจ้าคะจะได้หายเร็วๆ”

ต้นธาราผงกศีรษะ ซุกหน้ากับหมอนเมื่อรู้สึกตะครั่นตะครอ

“เดี๋ยวป้าโทรหาท่านนายพลก่อนนะค่ะ”

ใบหน้าต้นธาราโผล่พ้นจากผ้าห่ม มองป้าสมต่อสายหาบิดา

“สวัสดีค่ะท่านนายพล”ป้าสมทักทายเมื่อนายพลพิภพรับสาย

“ลูกฉันเป็นอย่างไรบ้างสม” น้ำเสียงท่านนายพลดูเครียดเคร่ง

“เอ่อ...สบายดีค่ะท่าน”นางตอบไป

ต้นธาราเงี่ยหูฟังด้วยดวงตาเหม่อลอย ป้าสมไม่รู้ว่าต้นธาราแอบฟังจึงคุยกับท่านเรื่องการเข้ารับคีโม

“อิฉันสงสารคุณหนูธารามากเลยเจ้าคะ คุณหนูทรมานมากเลยเวลาเข้ารับคีโม ตอนนี้สภาพก็ดูไม่ดีเลย”

นายพลได้ฟัง ท่านกุมมือแน่น“ฉันอยากส่งตัวเจ้าภานุไปเช็คไขกระดูกเร็วๆอยู่ แต่ยังติดเรื่องของธีรเดช รออีกสักพัก บอกให้ธารทนหน่อย”ท่านได้แต่เอ่ยอย่างปวดใจ

“คุณท่าน...อิฉันว่าอาการของคุณหนูรอไม่ได้นะเจ้าคะ”ป้าสมเอ่ยด้วยอาการไม่สบายใจ ทางปลายสายเงียบไป

“เจ้าภานุกลับมาเมื่อไร ฉันจะส่งตัวไปให้เร็วที่สุด”สั่งด้วยความเฉียบขาด

ป้าสมเอ่ยลาก่อนวางสาย นางพรูลมหายใจ เดินมาดูคุณหนูของนางซึ่งหลับตาพริ้ม

“พ่อโทรมาว่าไงมั่ง”ต้นธารางึมงำถาม ป้าสมแตะร่างอ่อนล้า

“ก็โทรมาถามไถ่เรื่องอาการของคุณหนุละเจ้าคะ”

คุณหมอหนุ่มพลิกตัวหันมาทางอดีตแม่นม

“งั้นเหรอครับ แล้วท่านสบายดีไหม”

รอยยิ้มจางๆมอบให้ตอบให้คนป่วยสบายใจ“สบายดีเจ้าค่ะ ท่านยุ่งๆกับงานอยู่นะเจ้าคะ”

“งั้นเหรอ”ต้นธารามองเพดานห้อง แสงไฟสีขาวจ้าเสียจนรู้สึกแสบตาจนต้องหรี่ตา

“ป้าสมช่วยปิดไฟหน่อยได้ไหม”

ชายหนุ่มร้องขอ ป้าสมทำตาม พอมาถึงเตียง ดวงตาไร้ประกายปิดหลับสนิทเสียแล้ว นางจึงไปทำอย่างอื่นต่อ

------------------------------------------------

สิ่งที่อยู่ในใจคือความรุ้สึกว่าตัวเองอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่อยากลืมตาตื่นขึ้นมาพบเจอมัน มองไปทางปลายแสงที่ทอดอยู่ไกลลิบๆพบกับร่างเศร้าๆอาบไปด้วยเลือด ลุกขึ้น สีหน้าตกใจ อ้าปากจะพูดก็ไม่ได้ ริมฝีปากของผู้กองนาคีขยับเขยื้อนเบาๆ เสียงเปล่งออกมาเย็นยะเยือก

“คุณหมอจะมีความสุขได้หรือ?”

คำพูดที่ทำให้ดวงตาเบิกกว้าง สายตาเปี่ยมด้วยความรักลึกซึ้งทอดมองมาเจือแววเหงาๆ

“ผู้กองนาคี”

รู้ว่ารัก...แต่ว่าไม่เคยแสดงทีท่าใดๆออกไปเลยสักนิดเดียว เตรียมเดินไปหา ร่างอาบด้วยเลือดค่อยๆหายไป นิ่งงันอยู่กับบรรยากาศเศร้าๆ ก่อนดวงตาไร้ประกายจะลืมขึ้นมา น้ำตาคลอเบ้า กอดตัวเองเอาไว้ คู้ตัวเหม่อลอย เขายังมีความสุขได้อีกหรือ? คำถามในฝันตามหลอกหลนอ ลืมไม่ได้ ภาพในอดีตย้อนคืน กลัว....กับความทรงจำเหล่านั้น พยายามทำใจให้สงบอดีตแม่นมของต้นธารากลับมาอีกครั้งเห็นคุณหนูนอนคู้กาย มีสีหน้าไม่สบายใจนักจึงมาถาม

“คุณหนูเป็นอะไรหรือเจ้าคะ?”

ดวงตาสีดำช้อนมอง ยิ้มเจื่อนๆ“รู้สึกไม่ดีนะเลยนอนไม่หลับ”เอามือปิดปากตัวเอง ป้าสมก้มมองคุณหนูของนาง

“ให้ป้าไปบอกหมอไหมเจ้าคะ ให้หมอจัดยาให้”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมก็นอนได้แล้วล่ะครับ รู้สึกอาการดีขึ้นแล้ว”ชายหนุ่มตอบเพื่อคลายความกังวลให้กับอดีตแม่นม

“หลับนะเจ้าคะ ถ้าคุณหนูอยากได้อะไรเรียกป้านะเจ้าคะ”

สมเดินไปนั่งอ่านหนังสือยังโซฟา ต้นธาราหลับตาลง เงาเศร้าๆของผู้กองนาคีเกาะกุมใจอีกครั้ง

การที่ฝันถึงผู้กองนาคีทำให้ต้นธาราดูกังวลใจ อดีตแม่นมถามก็ปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงเรื่อยไป จนนางไม่รู้จเค้นให้พูดอย่างไรดี

“แน่ใจนะเจ้าคะคุณหนูว่าไม่เป็นอะไร”

ต้นธารายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ผมจะเป็นอะไรละครับ ป้าก็เป็นห่วงไปได้”

ชายหนุ่มจับแขนของอดีตแม่นมไว้ ป้าสมยิ้มเมื่อชายหนุ่มทำเหมือนออดอ้อน

“ป้าว่าคุณหนูต้องมีอะไรปิดบังป้าแน่ๆล่ะ ไม่ต้องมาอ้อนเลย”

บีบจมูกคุณหนูอย่างเอ็นดู ต้นธาราหัวเราะร่วน แม้ดวงตาจะสดใสขึ้น ทว่าลึกๆแล้วยังเปี่ยมด้วยความกังวล

“โธ่ ป้าสมไม่เชื่อผมอีก”ชายหนุ่มพ้อ ประตูห้องเปิดออกพร้อมร่างนางพยาบาลสาว

“ได้เวลาเข้ารับการบำบัดแล้วค่ะ”

ป้าสมมองรถเข็นที่เข็นมาใกล้เตียง ต้นธารามองหน้าอดีตแม่นม ป้าสมแตะบ่า

“ไปเถอะเจ้าค่ะ จะได้หายเร็วๆ”

แม้ว่าต้นธาราจะลุกขึ้นมานั่งยังรถเข็น และรู้ว่าการคีโมจะเป็นอย่างไรในวันนี้ไม่อยากเข้ารับการบำบัดเลย

“เอ่อ ผม...”

ชายหนุ่มอ้าปากจะบอกนางพยาบาล จะหนีจากการรักษาในครั้งนี้ สุดท้ายนิ่งเงียบไปเมื่อเห็นสายตาให้กำลังใจมอบให้

“ป้าจะคอยนะเจ้าคะ”

ต้นธาราจึงตัดความกังวลใจออก เข้ารับการบำบัด

------------------------------------------------

เช่นเคยที่เขาจะรู้สึกไม่ดี ได้แต่นอนนิ่งๆ เปิดเปลือกตาไม่ขึ้น ป้าสมคอยเช็ดเหงื่อให้ ชายหนุ่มปิดปากรู้สึกอยากอาเจียนแต่ความอ่อนเพลียทำให้ต้องนอนหลับตาแน่นๆ

“พอแล้วครับป้า”ชายหนุ่มคราง ป้าสมจึงหยุดเช็ดตัว

“เดี๋ยวป้าไปหาคุณหมอก่อนนะเจ้าคะ คุณหนูอยู่คนเดียวได้นะเจ้าคะ”

ป้าสมวางผ้าลงในอ่าง นางรีบลุกขึ้นไปหานายแพทย์ที่รับผิดชอบอย่างรีบเร่ง ต้นธาราได้แต่นอนครางเครือในลำคอ ตกอยู่ในอาการสะลึมสะลือ รุ้สึกว่าคอแห้งผากแต่ไม่มีแรงเรียกอดีตแม่นมเลย เตรียมลุกขึ้นเองร่างกายคล้ายกับถูกถ่วงเอาไว้ ขยับแขนไม่ได้ เงาของผู้กองนาคีตามหลอนหลอก ภาพรอยยิ้มเศร้าๆติดตายังไม่ลบเลือนหาย ทันทีที่รู้สึกกลัวก็สัมผัสถึงความเย็นชื้นบนหน้าผาก พยายามเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง มองเห็นเงาตะคุ่มรางเลือน เสียงปิดน้ำออกจากผ้าก่อนเนื้อผ้าเย็นๆจะซับตามลำคออีกครั้ง ก่อนมืออุ่นๆสัมผัสหยาบกร้านจะแตะแก้ม

“ใคร?”เอ่ยถามอย่างสงสัย สัมผัสนุ่มนวลยามลูบไล้แก้มเย็นชืดซีดขาว

“ผมเอง”

...น้ำเสียงคุ้นหู ใคร...

“ธาร ผมมาแล้ว”

ต้นธาราค่อยๆจำเสียงนั้นได้ เบิกตากว้างทว่าไม่อาจเคลื่อนไหวได้สะดวกนัก ภาพใบหน้ากร้านแกร่ง ดวงตาคมดุปรากฏในสายตา

“ผู้กอง...”

ต้นธารางุนงง ไม่อยากเชื่อว่าคนตรงหน้าจะเป็น....ภานุ เหลือบมองด้านหลังยังคิดว่าตัวเองฝันไป กระเป๋าลายพรางวางไว้ข้างๆตัว ภานุแต่งตัวด้วยชุดทหาร

“คุณมาได้ไง?”

ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย มือหนาลูบผมอย่างอ่อนโยน

“ขึ้นเครื่องบินมาน่ะ พ่อคุณเรียกตัวผมกลับมาด่วนแล้วเตะผมมาที่นี่”

ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม ต้นธารามองภาพนั่นอย่างตะลึงตะลาน แต่เขาอ่อนเพลียเหลือเกิน

“ดีแล้วล่ะที่คุณมา”

งึมงำในลำคอก่อนปิดเปลือกตาลง ภานุถอนมืออก มองใบหน้าซีดเชียวเงียบๆ ปวดใจเหลือเกินที่ร่างกายของต้นธาราอ่อนแรง กุมมือไว้ สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มกังวลใจอีกอย่างคือการที่ต้นธาราเรียกชื่อของอดีตเพื่อนผู้ล่วงลับไปคล้ายกับหวั่นกลัวบางอย่างที่รุกเร้าความรู้สึก

------------------------------------------------


ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
 :เศร้า2:  สงสารหมอธาร

nartch

  • บุคคลทั่วไป
:sad4:
สงสารหมอธาร...หายป่วยไว ๆ เนอะ
ฉากทรมานบรรยายซะละเอียดยิบเชียว  :serius2:

บรรยายละเอียดเงี้ย แต่เปลี่ยนเป็นฉาก  :haun4:
จะชอบมากเลยยยยย...
รอตอนต่อไปนะคนสวยยย(ตรงไน๋)
 :z1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
หมอธารต้องหายเส่ะ

ดีใจที่ผู้กองมาเสียที

สงสารก็แต่น้ำไผ่

เมื่อไหร่จะได้เอาคืนผู้กองธีมั่ง

ชิส์

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 28 Enemy : ศัตรู [Part 4]

พอลืมตาขึ้น คิดว่าภาพของความฝันเมื่อคืนเป็นสิ่งลวงตา หันมองข้างเตียง ‘เงา’ ของคนที่มาหาเมื่อคืนกลับไม่อยู่ คิดว่าเป็นเพียงความฝัน เหม่อมองเพดานห้อง เห็นป้าสมกระวีกระวาดลุกไปเปิดม่านให้แสงสว่างเข้ามาภายในห้อง ถอนใจ...มันก็แค่ความคิดถึงที่มีมากล้นสร้างสิ่งลวงตาลวงใจ

“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะคุณหนู เมื่อคืนร้อยเอกภานุมาหาคุณหนูนะเจ้าคะ ป้าตกใจหมด”ป้าสมเอ่ย “เห็นบอกว่าท่านนายพลรีบส่งตัวมาน่ะเจ้าค่ะ โชคดีจริงๆเลยนะเจ้าคะคุณหนู” “คุณหนูจะได้หายทรมานเสียที”

คนป่วยลุกจากเตียงล้างหน้าล้างตา อดีตแม่นมส่งผ้าเช็ดหน้าให้

“เขาพูดอะไรกับป้าสมไหมครับ?” ต้นธาราถาม ป้าสมส่ายหน้า

“ไม่นี่เจ้าคะ คงเห็นว่าดึกแล้วมั้งเจ้าคะเลยไม่อยากรบกวนมาก”

ต้นธาราพิงอ่างล้างหน้า ป้าสมขมวดคิ้ว

“เป็นอะไรเจ้าคะ ระยะนี้คุณหนูดูเหม่อเหลือเกิน”

สีหน้าซีดเชียวก้มมองพื้นห้องน้ำ

“คงเหนื่อยน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก”

เดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีสายตาป้าสมมองตามอย่างเป็นห่วง ทรุดนั่งยังโซฟาที่ป้าสมใช้นอนเฝ้า มือแตะหนังสือพิมพ์กรอบเช้า

“ถ้าคุณหนูเหนื่อยก็น่าจะนอนต่ออีกสักหน่อยนะเจ้าคะ”ป้าสมกล่าว ขณะแตะแก้มเย็นเฉียบ

“ผมนอนพอแล้วครับ”


ได้ยินเสียงเคาะประตู ป้าสมหันมอง เห็นใบแกร่งมองผ่านกระจกจึงลุกไปเปิดให้ ภานุยกมือไหว้หญิงชรา ป้าสมยกมือรับไหว้มองชายหนุ่มที่เธอไม่ค่อยชอบในท่าทีดิบเถื่อน ต้นธารามองร่างสูงยื่นถุงขนมที่หิวติดมือมาฝากป้าสม หญิงชรารับตั้งไว้บนโต๊ะ สายตาคมหันมอง คนป่วยยิ้มให้

“เป็นอย่างไรบ้างธาร?”

ป้าสมจัดแรงรินน้ำตั้งให้แขก อยู่รับใช้ใกล้ๆ

“ก็ยังไม่เป็นไรครับ แล้วผู้กองล่ะสบายดีไหม?”ต้นธาราถาม

“ผมสบายดี ห่วงแต่สุขภาพของคุณหมอนั่นแหละครับ”

ต้นธาราแตะหน้าอกตัวเอง “ผมทนได้”

ดวงตาทอแววเป็นห่วงลึกซึ้ง ต้นธาราสบายใจที่ได้เห็นแม้จะแสดงอาการอะไรออกไปไม่ได้ก็ตามแต่

“ท่านนายพลกับผู้พันชานเนสบายดีไหมค่ะ”ป้าสมถามภานุ

“ท่านทั้งสองสบายดีครับ เอ่อ ผู้พันชานเนนฝากความห่วงใยมาให้คุณหมอด้วย ”คนกล่าวไม่เต็มใจบอกเท่าไรนัก

“แล้วคุณหมอจะเข้ารับการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกตอนไหนครับ?”

ภานุเปลี่ยนเรื่องเสียเมื่อเห็นต้นธาราอยากพูดถึงผู้พันหนุ่ม

“เรื่องนี้ต้องถามนายแพทย์ประจำตัวผมครับ ป้าสมช่วยจัดการพาผู้กองไปหานายแพทย์อดิเรกทีได้ไหม”

ป้าสมลุกขึ้น เชิญผู้กองหนุ่มให้ตาม

“แล้วคุณหมอละครับไม่ไปด้วยกันหรือ?”

“ผมจะตามไปทีหลังครับ เชิญผู้กองตามป้าสมไปก่อนเลยครับ”

ต้นธาราลุกขึ้น หยิบเสื้อคลุมของโรงพยาบาลมาใส่ ก่อนเดินตามหลังชายหนุ่มไปยังห้องตรวจของนายแพทย์อดิเรก

ภานุรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย พยายามระงับความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในใจ ห้องตรวจของนายแพทย์ อดิกเรก ป้าสมเอ่ยทัก นายแพทย์อดิเรกลุกขึ้นตอนรับ

“ผู้กองภานุมาตรวจเลือดไขกระดูกค่ะว่าตรงกับของคุณหนูธารไหม”

นายแพทย์อดิเรกเชื้อเชิญให้นั่ง พร้อมกับพูดคุยกับผู้กองหนุ่ม

“ผมดีใจมากเลยครับที่คุณช่วยคุณหมอธาร”

ภานุเผยรอยยิ้มบนใบหน้านิดๆ ก่อนนายแพทย์อดิเรกจะเรียกดูประวัติทางการแพทย์ซึ่งภานุจัดส่งให้ นายแพทย์อดิเรกมองแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ

“กรุ๊ปเลือดของผู้กองตรงกับคุณหมอ เรายังมีโอกาสหวังครับ แต่ต้องตรวจดูว่าองค์ประกอบเลือดตรงกันไหม หากตรงกันถือว่ามีความโชคดีมากครับ”

นายแพทย์อดิเรกชี้แจง ภานุรับฟังเงียบๆ

“แล้วไม่ทราบว่าทางญาติพี่น้องหรือคู่สมรสยินยอมหรือไม่ครับกับการบริจาคครั้งนี้”

“ผมไม่มีคู่สมรสครับ อีกอย่างพ่อกับแม่ผมก็เสียหมดแล้วคิดว่าการบริจาคในครั้งนี้คงไม่มีปัญหาอะไร”

“แล้วไม่ทราบว่าจะเริ่มตรวจเลือดวันไหนครับ?”

ชายหนุ่มร้อนใจ นายแพทย์อดิเรกปรามไว้ก่อน

“ใจเย็นๆก่อนครับ ฟังการอธิบายก่อนครับว่าผู้กองกับคนป่วยต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง”

ต้นธาราเข้ามาพอดี ป้าสมช่วยประคับประคองคุณหนู

“กำลังพูดถึงเรื่องการรับบริจาคไขกระดูกพอดีครับ”

ต้นธาราผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนนายแพทย์อดิเรกจะอธิบายถึงขุ้นตอนบริจาคให้แก่ภานุฟัง

“ผู้กองต้องไปยื่นเอกสารนี่ต่อทางศูนย์บริจาคโลหิตแห่งชาติ หากตรวจองค์ประกอบทุกอย่างถ้าตรงกันก็จะรอบริจาคขั้นต่อไป ในการบริจาคผู้บริจาคผู้บริจาคอาจได้รับความเจ็บปวด คิดว่าผู้กองคงทนได้”

“ผมทนได้ครับ”

มองเสี้ยวหน้าของต้นธารา ฝ่ายคนป่วยมองคนให้บริจาค ยิ้มให้เล็กน้อย

“ขอบคุณครับที่ช่วยชีวิตผม”

คำ “ขอบคุณ”ที่หลุดจากปากทำให้ภานุนิ่งงันไป

“ยังไม่รู้เลยว่าเลือดของเราจะเข้ากันได้รึเปล่า....อย่าเพิ่งบอกขอบคุณตอนนี้เลย”

ภานุเอ่ย ดวงตาต้นธาราวูบแสง

“โอกาสที่จะตรงกันมีสูงครับ”นายแพทย์อดิเรกปลอบ

“ครับ”

ภานุเอ่ยในลำคอ ขณะจูงแขนคนป่วยให้ลุกขึ้นและเดินไปด้วยกันนั้นมือของชายหนุ่มสั่นอย่างเห็นได้ชัด

“เป็นอะไรไป”

ต้นธาราถามเบาๆ ดึงแขนออกจากอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวลภานุยืนนิ่ง ต้นธาราเฝ้ามอง หันไปทางป้าสมซึ่งเดินห่างๆ

“ป้าครับผมขอพูดกับผู้กองสักแป๊ปหนึ่งนะครับ”

“เจ้าค่ะ แต่คุณหนูอย่าคุยนานนะเจ้าคะ เดี๋ยวพักผ่อนไม่พอจะแย่เอา”นางเดินไปยังห้องตามลำพัง

ต้นธารายกมือแตะแก้มของภานุ ลูบเสี้ยวหน้าแกร่ง

“ดุเหมือนว่าผู้กองจะกลัวมากกว่าผมกลัวเสียอีก”

ร้อยเอกหนุ่มรวบข้อมือบางเอาไว้ จูบหลังมือขาวแล้วกุมไว้แน่น“ผมกลัวว่าถ้ามันไม่สำเร็จ แล้วเสียธารไป ผมจะทำอย่างไร?”

“แช่งกันให้อายุสั้นใช่ไหมเนี่ย?”

ภานุยิ้มน้อยๆ รั้งร่างอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น กระชับอยู่ในวงแขน

“อายเค้าน่า”ต้นธาราว่าพลางหลับตาซึมซับไออุ่นจากร่างแกร่ง

“ช่างคนอื่นเถอะน่า มีธารอยู่ตรงนี้ก็พอผมไม่สนใจอะไรแล้ว”

“ผู้กอง...”

ต้นธาราเสียงเครือ ภานุมองใบหน้าที่ซุกอยู่กับบ่า

“ผอมเหลือเกิน ได้กินข้าวครบมื้อรึเปล่า หืมม์?”

มือแกร่งเลื่อนมายังเอวบาง สำรวจอย่างอ่อนโยนด้วยการลูบไล้แผ่วเบา ต้นธาราจับมือไว้

“ผู้กอง!”

เอ็ดเบาๆ ขืนตัวออก มองใบหน้ายิ้มกริ่มราวกับกำลังเย้าหยอก ภานุมองรอบกายก่อนประทับจูบเบาๆบนหน้าผาก คนถูกแตะต้องตัวใบหน้าร้อนฉ่า ใบหน้าขาวซีดกลายเป็นสีแดงทันใด

“ออกไปเดินเล่นกับผมไหม?”

ต้นธาราขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าจะมีที่ไหนให้เดินเล่นได้ ภานุกุมมือเย็นเฉียบเอาไว้ ดึงลงบันไดสู่สวนเล็กๆ

“ผมว่าผมกลับขึ้นไปบนห้องดีกว่า”

ต้นธาราเอ่ย พลางเดินกลับไปยังห้อง ภานุเดินตาม

“ขอโทษทีผมเอาแต่ใจไปหน่อย”ภานุพึมพำ

“ไม่เป็นไร”

ภานุเดินตามหลังมา มองแผ่นหลังบาง ต้นธาราหยุดนิ่งมองหน้าผู้กองหนุ่ม

“มีอะไร?”

ดวงตาต้นธาราจดจ้องใบหน้าดุดันเนิ่นนาน

“ผู้กองครับ ถ้าทุกไม่เป็นอย่างที่หวัง ผู้กองอย่าเสียใจนะ”

ต้นธารากุมมือแกร่งไว้ บอกด้วยน้ำเสียงพลิ้วแผ่ว

“ธาร...ผมบอกแล้วว่าคุณจะไปยังที่ใด ผมจะไปด้วยกับคุณ ไปด้วยกันทุกที่”ภานุจ้องดวงหน้าของต้นธารา ดวงตาสื่อถึงความมั่นคงของสัญญาและคำพูด

“ผู้กอง..อย่าพูดแบบนี้ คุณมีชีวิตของคุณ เพียงมอบชีวิตและความรักให้กับผมเท่านี้ผมก็ซาบซึ้งแล้ว”

ภานุกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้“ทำไมพูดแบบนี้ละธาร เป็นเพราะเรื่องผู้กองนาคีรึเปล่า?”ภานุถาม

ต้นธาราจะชักมือออกเมื่อชื่อของผู้กองนาคีออกจากปากของภานุ

“ธาร....”ภานุเรียกชื่อคนเบือนหน้าหนี

“ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องผู้กองนาคีหรอก ผมพูดด้วยความเป็นจริงเท่านั้น”

“คุณไม่รักผมแล้วหรือ เห็นความสัมพันธ์ที่ผมมีให้คุณเป็นอะไร?”

ต้นธารามองหน้าภานุตรงๆ“ผมรักคุณ แต่ผมคงไม่อาจเอาชีวิตของผู้กองมาแขวนอยู่กับผมหรอกครับ”

“ธาร...อย่าพูดแบบนี้อีกเลย ผมขอล่ะ เพราะคำพูดของธารมันทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นผู้ชายที่พึ่งไม่ได้เลย”

“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น เพียงแต่ว่าถ้าผมยังดึงตัวผู้กองไว้ทั้งๆที่ผมใกล้ตาย มันไม่เป็นการเห็นแก่ตัวไปหรือ?”

ภานุยิ้มอ่อนๆกับคนคิดมาก“ธาร ผมบอกแล้วไงว่าคุณไปไหนผมจะตามคุณไป ผมไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว ผมไม่มีทางปล่อยมือจากคุณไปไหน ผมไม่ให้ใครช่วงชิงคุณไปเด็ดขาดแม้กระทั่งความตาย”

ต้นธารามองดวงตาจริงจัง เหมือนกับสมัยก่อนที่เคยโหดร้าย

“ขอให้ผมได้ปกป้องคุณเถอะ” ชายหนุ่มเอ่ยคล้ายกับสาบาน

ต้นธารามอง ไม่อยากรับปาก รู้ตัวดีว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้นที่จะเคียงคู่กันไป

“ธาร เชื่อใจผม ปัดความกังวลออกไปให้หมด แม้ทางเดินจะโรยด้วยกรวดหนามขนาดไหน ผมจะเดินเคียงไปกับคุณ เข้าใจไหม เลิกคิดมากได้แล้ว”ดีดหน้าผากเกลี้ยงเกลา ต้นธาราแตะหน้าผากที่ถูกดีดเบาๆ รอยยิ้มผุดขึ้น ใบหน้าสดใส

“เข้าใจแล้วใช่ว่าอยู่กับผมแล้วตัดความกังวลใจออกไปให้หมด เราจะเดินคู่กัน ทุกข์ใจ เราก็จะทุกข์ด้วยกัน”

“เหมือนกับคำขอแต่งงานเลยนะว่าไหม?”ต้นธารากล่าวแล้วอมยิ้ม

“ถ้าธารหายจะให้ผมยกขันหมากมาสู่ขอไหมล่ะ”ชายหนุ่มทำท่าเอาจริง “แต่อย่าเรียกสินสอดแพงไปล่ะ ผมมันทหารจนๆซะด้วยสิ”

ต้นธาราหัวเราะ ลืมความเศร้าโศกภายในใจได้บ้าง

“ไปพักผ่อนเถอะ ดูสีหน้าคุณเหมือนจะยืนไม่ไหวแล้ว”

ใจจริงภานุอยากอุ้มเสียด้วยซ้ำ หากสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย ได้แต่ช่วยประคองเล็กๆน้อย ต้นธาราใช้ท่อนแขนเป็นที่พักพิง เปิดประตูห้อง ป้าสมกระวีกระวาดออกมารับคุณหนูด้วยตัวเอง

“ป้าสมคิดว่าคุณหนูหายไปไหนแล้วเสียอีก”หญิงชรากล่าว มองภานุอย่างตำหนิเล็กน้อย

“ผมขอโทษครับป้า”ต้นธาราเอ่ยแก้ตัวให้ แล้วปีนเตียงแต่โดยดี

“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ป้าแค่เป็นห่วง”

“ถ้าให้คุณหมออกไปเดินเล่นจะได้ไหมครับ?”

ป้าสมมองหน้าราวกับชายหนุ่มกำลังพูดเรื่องประหลาด

“เกรงว่าสุขภาพของคุณหนูจะไม่อำนวยน่ะค่ะ”

ภานุไม่ได้เซ้าซี้อะไรให้มากความ

“แต่ก็ให้อุดอู้อยู่แต่ในห้องก็ไม่ดี แล้วผู้กองจะพาคุณหนูไปไหนล่ะคะ?”

“ผมพาไปไหนไม่ได้ไกลหรอกครับ นอกจากพาเดินไปสวนสาธารณะ”

ป้าสมทำท่าคิดหนัก“ก็ดีเหมือนกันนะคะ คุณหนูอยากไปไหมเจ้าคะ”

อดีตแม่นมหันไปถามคุณหนู ต้นธาราผงกศีรษะ ภานุถอนใจที่ให้ต้นธาราออกไปเดินเล่นได้เสียที

------------------------------------------------

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ทั้งๆที่รู้ว่าไม่รัก รู้ว่าไม่ใส่ใจ หัวใจยังฝันใฝ่ ดวงตาสีดำสนิทเฝ้ามองร่างที่เปลี่ยนชุดเป็นชาวบ้านธรรมดา มือกลัดกระดุมเชื่องช้า

“ทางเราคงช่วยได้เท่านี้จริงๆ”

หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ย กิ่งไผ่ที่แต่งตัวเป็นหญิงชาวบ้านนั่งคอยอยู่ตรงชานเรือน เอาผ้าคลุมศีรษะไว้

“เราจะออกเดินทางเอาของไปขายที่ชายแดนถึงเวลานั้นก็ไปซะ”

กิ่งไผ่เอ่ยขอบคุณที่อีกฝ่ายยอมเอาชีวิตของพวกเขาไปเป็นห่วงผูกคอ

“ขอบคุณมากที่กรุณาช่วยเรา”

“มิได้ ทางเราก็เคยได้รับความช่วยเหลือมาจากท่านบ้าง”

ธีรเดชเหลือบมอง สีหน้าของอีกฝ่ายเหนื่อยอ่อน สังเกตได้เพียงนิดเดียวตอนที่ผ้าคลุมหน้าหลุดออกมา อีกฝ่ายก็พันขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เสร็จแล้ว”

ธีรเดชกระซิบเบาๆ กิ่งไผ่และหัวหน้าหมู่บ้านลุกขึ้น ส่งกระบุงบรรจุเสื้อผ้าและปืนให้ ธีรเดชเป็นคนสะพาย กิ่งไผ่ลุกขึ้นกระชับสายย่ามแน่น

“เราจะข้ามไปฝั่งไทยพร้อมกับคนในหมู่บ้าน อย่าทำตัวให้มีพิรุธล่ะ”

คนซ่อนใต้ผ้าคลุมสั่ง ธีรเดชผงกศีรษะ ชายหนุ่มปรับสีหน้า คลายความตื่นเต้น

“ใครถามอะไรก็อย่าพูดล่ะ ทางหัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นคนพูดเอง”

ธีรเดชเดินปะปนกับขบวน ข้างหน้านั้นเป็นกิ่งไผ่ซึ่งเดินปนอยู่กับหญิงสาวในหมู่บ้าน ท่าทีกลมกลืน ไร้รอยพิรุธ

“เดี๋ยวจะเจอกับด่านตรงหน้าถ้าเราข้ามแม่น้ำไป”

เดินตัดป่าสู่แม่น้ำสายกว้างซึ่งบางช่วงแห้งขอดไปตามฤดูกาล

“ส่วนมากชาวบ้านมักจะเอาของป่าไปแลกกับสินค้ากับอีกฝั่งมา”

กิ่งไผ่ฟังคำอธิบายจากลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้าน เรื่องนี้เขาพอจะรู้บ้าง แต่คงจะเล่าให้กับนายทหารหนุ่มจากไทยฟังเสียมากกว่า

“อาจเจอกับด่านตรวจที่เป็นสายให้กับทางกลุ่มที่คุณหนีมาก็ได้”

ธีรเดชกังวลใจมองร่างท่เดินอยู่ตรงหน้าไม่มีท่าทางหวั่นหวาด ลุยข้ามน้ำลึกแค่เข่าไปสู่อีกฟากฝั่ง ริ้วขบวนมองไกลๆเป็นระเบียยเรียบร้อย พอถึงฝั่งที่เป็นชายแดนไทย ธีรเดชรู้สึกอุ่นใจที่ได้กลับบ้าน ผิดกับใบหน้าเศร้าหมองซึ่งบัดนนี้ผ่อนฝีเท้าเดินข้างเคียง

“กังวลหรือ”

ธีรเดชกระซิบ กิ่งไผ่ส่ายหน้า คนที่ชะลอฝีเท้าหลับตาก่อนจะลืมตามองท้องฟ้าที่เชื่อมเข้าหากันกลายเป็นหนึ่งเดียว

“ใกล้ถึงด่านแล้วล่ะ”

ขบวนขนส่งสินค้าชะลอ ธีรเดชมองเห็นด่านเล็กๆยืนไว้ด้วยทหารสะพายอาวุธอย่างเกร็งๆเกรงว่าจะพบกับอาวุธที่ซ่อนอยู่ในกระบุง

“เฉยไว้ ทำตัวเหมือนชาวบ้านปกติ”

ธีรเดชตีหน้านิ่งหากไม่แนบเนียนเท่าไร

“จะส่งกระบุงให้ผมถือแทนก็ได้นะ”

นายทหารหนุ่มจากไทยไม่ส่งให้ บอกให้กิ่งไผ่เดินนำเสีย พอเข้าใกล้ทหารเฝ้าด่านสั่งให้หยุดพิศมองหน้าหัวหน้าหมู่บ้าน

“กระผมนำลูกบ้านมาขายของในแดนไทยขอรับ ขอผ่านด้วยเถิด”

กวาดตามองสีหน้าแต่ละคน ก่อนจะหยุดยังธีรเดชและกิ่งไผ่

“สองคนนั้นไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาเลย”

“เอ่อ เป็นคนใหม่รึ”

“ขอรับ กระผมพาลูกอียะขิ่นมาขายของเห็นบอกว่าลำบาก มันกำลังหาเงินช่วยแม่เลยพามันมา นั่นผัวมัน”

ทหารชายแดนหรี่ตามองธีรเดชซึ่งก้มหน้าก้มตา ใบหน้าเปื้อนมอมแมม

“เรอะ ลำบาจังเลยนะ เอ้าไปเถอะ”

พวกนั้นยอมปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ ธีรเดชรีบเดินตามกิ่งไผ่ซึ่งก้มหน้าก้มตา

“เมียมึงสวยไม่เบานี่”

เห็นดวงตาพราวระยับ ธีรเดชถลึงตามองหากถูกมือของลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้านฉุดเขา ธีรเดชเลยปลิวตามแรงมือน้อยๆ พอพ้นช่วงอันตรายไปก็ถอนใจ

“โชคดีที่มันคุ้นหน้าคุ้นตากับหัวหน้าหมู่บ้านดี มันเลยไม่เซ้าซี้อะไรมาก”

“ทำไมถึงต้องกลัวละครับในเมื่อเป็นคนประเทศเดียวกับผม”

“นั่นก็เพราะว่าพวกมันมีเอี่ยวกับยาเสพติดน่ะสิ อีกอย่างคนพวกนี้อาจจะจับหมู่บ้านสักหมู่บ้านแล้วอ้างว่าจับทำลายยาเสพติดก็ได้”

กิ่งไผ่ตอบแทน ธีรเดชฟังแล้วเหน็บหนาวใจต่อคนในชาติเดียวกัน กลับเป็นได้ถึงขนาดนี้

“รีบไปเถอะ ถ้าช้านักจะแย่เอา”

กิ่งไผ่ลุกขึ้นมองหัวหน้าหมู่บ้านที่คอยช่วยเหลือเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเดินจากลามาอย่างรู้สึกอาวรณ์....ต้องทำให้สำเร็จ เป้าหมาย ในใจของกิ่งไผ่มีเพียงสิ่งนั้น


------------------------------------------------

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
^
^
^
^

จิ้มคุณมูมู่น้อยกระจิ๋วหลิว


คุณหมอธารเข้มแข็งกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย

ผู้กองยังดูกังวลกว่าอีก

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
จิ้มตาลให้ทะลุถึง พิมเท่ร๊ากกกกกกกกกกก  :z1:

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
จิ้มทุกคนที่ขวางหน้า

พร้อมรอ คนสวยมาอัพ :call: :beat:

ออฟไลน์ [€]ŝĊörŦ

  • ความพยามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2077
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-0
สาหัสกันเหลือเกิน

ทั้งกายทั้งใจของแต่ละคน

ปลอดภัยกานด้วยเถ๊อะ

 :call:   :call:

pupper

  • บุคคลทั่วไป
ก็ยังเค้นอารมณ์คนอ่านกับการรอคอยได้เป็นอย่างดี
หวังว่าปาฏิหารย์คงจะมีจริงๆ แล้วคู่ของไผ่กับธีอีก
อุปสรรคมากมาย

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
 :z3: นี่กะจิ้มกันจนตูดช้ำเลยใช่มั้ยเนี่ย จิ้มคืนให้หมดทุกคน 5555
คงจะเค้นอารมณ์อย่างแสนสาหัสกันไปจนจบเรื่องอะน้า เอิ๊กๆ ลุ้นไปก่อน

ต่อเลยนะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 29 Sweet Memorial / ความทรงจำแสนรัก (PART1)


http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2A7FBFFPB0&Autoplay=1


เวลาที่อยู่ด้วยกัน ได้นั่งมองเสี้ยวหน้าแกร่ง ภายในใจมันช่างโหวงเหวง ภานุเอื้อมมาจับมือแสนอ่อนล้าประคับประคองไว้

“เหนื่อยหรือ?”

ชายหนุ่มถาม มองเหงื่อเย็นๆผุดตามไรผม ต้นธาราส่งยิ้มให้ ชักมือกลับมาวางพาดตักตามเดิม

“เปล่า ไม่ได้เหนื่อยอะไรมาก....”ต้นธาราตอบ หลังจากเดินเล่นภายในสวนสาธารณะกับภานุ เหมือนร่างกายมันหนัก ล้า อ่อนเพลีย อดทนกับความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้าสู่กาย

“ดื่มน้ำสักหน่อยไหม? ผมจะไปซื้อให้”

สายตาที่ฉายความเหน็ดเหนื่อยจับจ้องคนที่มาออกกำลังกาย บ้างก็มาเดินเล่นตามประสาคู่รักหวานชื่น สระกว้างใหญ่ ริ้วระรอกคลื่นเป็นประกาย ต้นธาราผงกศีรษะตอบรับอย่างเหม่อๆ ระหว่างที่ภานุลุกขึ้นหาซื้อน้ำดื่มมาให้ ต้นธาราทรุดนั่งรอ มองท้องฟ้าของเมืองกรุง กิ่งไม้เหนือหัวสั่นไหวตามแรงลมพัดพลิ้ว ใต้ห้วงความคิดเหม่อลอย คิดถึงผู้กองนาคีซึ่งได้รับเลื่อนยศ ลมหายใจสดชื่นที่เคยสูดเข้าปอดเหมือนสะดุดลงในพริบตา ภานุหายไปไม่นานชายหนุ่มกลับมาพร้อมกับน้ำเย็น ส่งให้คนที่มีใบหน้าซีดขาว หลังมือแตะสำรวจอย่างอ่อนโยน สัมผัสมือเย็น สะดุ้งสุดตัว ดวงตาภานุหาความจริงบนสีหน้ากลบเกลื่อนความรู้สึก แววตาอ่อนโยนระคนความตื่นกลัวกังวล ไม่สบายใจ

“เป็นอะไร?”

ศีรษะได้รูปส่ายไปมา เลี่ยงเปิดขวดน้ำยกจรดปากแทน ภานุจับจ้องดวงตาหม่นแสง ชายหนุ่มทรุดนั่งข้างๆ ดูเหมือนว่าต้นธาราจะเงียบผิดปกติ

“ไปนั่งเรือถีบไหม?”ภานุชวน ไม่รอให้ต้นธาราปฏิเสธก็ดึงแขนขึ้น ท่าทีที่มีความสุข ผิดกับต้นธาราที่ต้องเก็บงำความกลัวเอาไว้ รอให้ภานุจ่ายเงิน ก่อนก้าวขึ้นเรือถีบด้วยกัน ตัวเรือโคลงเคลงเล็กน้อย เมื่อก้าวขึ้นคู่กัน สีหน้าคุณหมอดูปุเลี่ยนๆ ภานุหันมาบอกให้นั่งเฉยๆเสีย

“แน่ใจว่าไหว?”

รอยยิ้มพรายบนสีหน้าคมคาย ต้นธาราคอยมอง ผู้กองหนุ่มพาเรือไปกลางน้ำ ต้นธารามองไปบนฝั่ง ทุกอย่าง...เหมือนจะหยุดลง

“ธาร ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณนะ”

ชายหนุ่มกุมมือเอาไว้แนบแน่น ก่อนขาจะถีบเรือไปยังทิศทางต่างๆ ต้นธาราฟังชายหนุ่มพร่ำคำหวาน หวั่นใจว่าจะอยู่ฟังได้อีกไม่นาน ต้นธาราไม่พูดตอบ ภานุก็นิ่งเงียบ หากมือกระชับ...มั่น...ราวกับสัญญา ทั้งคู่นั่งรับลมเย็นๆลู่ปะทะหน้า แสงสีทองของอาทิตย์ค่อยๆลาลับขอบฟ้าไปพร้อมกับๆถีบเรือพาเข้าฝั่ง

------------------------------------------------

เคียงคู่กันกลับไปโรงพยาบาล ภานุแยกกับต้นธาราเพื่อไปพบกับหมอ ต้นธาราเห็นป้าสมยิ้มร่าเข้ามาแตะต้นแขน

“ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะคุณหนู”

คนป่วยปีนขึ้นเตียงก่อนจะตอบอดีตแม่นมไป

“สนุกดีครับ”

ตอบไปก็ซ่อนสีหน้าอึดอัดใจเอาไว้ ป้าสมป้วนเปี้ยนเช็ดตามลำตัว ต้นธาราห้ามไว้

“ผมอยากอาบน้ำมากกว่าครับ เหนียวตัวเหลือเกิน”

ต้นธาราลงจากเตียง เดินไปยังห้องน้ำ รับผ้าเช็ดตัวจากอดีตแม่นมหายไปในห้องน้ำสักพัก ออกมาด้วยเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน พออกมาก็เห็นผู้กองภานุกำลังคุยกับป้าสม สีหน้าป้าสมเปล่งกายด้วยความยินดี ดวงตาชราแจ่มใส ดวงตาคมเบนมองร่างบาง พร้อมเดินเข้ามาแตะบ่าอย่างนุ่มนวล

“วันพรุ่งนี้ผมไปตรวจเลือดแล้ว หมอบอกว่าเราจะได้รู้ผลไม่นาน”ภานุเอ่ย ดวงตาพราวประกายด้วยความยินดี

“อือ...”

ต้นธาราได้แต่รับขลุกขลักในลำคอ ท่าทีของอีกฝ่ายเหมือนอยากดึงเข้าหาอ้อมแขน หากยังเกรงใจผู้ที่เฝ้ามองจึงหยุดไว้เพียงแค่นั้น

“อย่างน้อยๆเราก็มีความหวังขึ้นมา”ภานุสูดลมหายใจลึกๆ รู้สึกร้อนผ่าวที่กระบอกตา หัวใจแจ็งกระด้างราวหินผา “กลัว” ความสูญเสีย ความหวังแม้มีแค่หนึ่งเปอร์เซนต์ เขาก็ยังหวังให้ ‘เลือด’ ของเขาช่วยต้นธาราได้

------------------------------------------------

เวลาที่ต้องรอ มันช่างทรมาน วันนี้เป็นวันที่จะได้ทราบผลตรวจเลือดหลังจากรอมาสองวัน ใต้แสงสว่างที่ไม่คาดว่าเวลาได้อยู่แล้วช่างมีความสุข มองเค้าหน้านุ่มนวลด้วยสายตาห่วงถนอม นั่งบนเก้าอี้โรงพยาบาลพร้อมกับสีหน้าอมยิ้ม เปี่ยมความสุข

“ผมอยากให้ธารออกไปจากโรงพบาลเร็วๆจัง”ภานุกล่าว กุมมือไว้ไม่ปล่อย

“คงอีกนาน”พูดด้วยท่าทีเหนื่อยล้า มือหนาบีบให้กำลังใจ

“ไม่หรอก อีกไม่นานก็ได้ออกแล้ว”

มองใบหน้าให้ความหวัง ต้นธาราถอนมืออก ฝ่ายภานุเงียบนิ่งความรู้สึกอึดอัดแทนที่ความสุข ดวงตาคมดุได้แต่มองดวงตาที่กลายเป็นความกังวลในทันใด

“กังวลใจเรื่องผลเลือดหรือ?”ภานุถาม เพราะหลังจากเข้ารับฟังวิธีการเปลี่ยนไขกระดูก ในที่สุดภานุก็เข้ารับบริจาค รอผลเลือดกันด้วยใจหวั่นๆ แม้ว่าต้นธาราไม่ตอบเขาก็เข้าใจดีว่าต้นธารารู้สึกเช่นไร

“ผลการตรวจเลือดเราต้องตรงกัน”

ภานุเอ่ยอย่างมุ่งมั่น ต้นธาราผงกศีรษะ ความมุ่งมั่นและแรงใจช่วยให้ลืมฝันร้ายๆ เขาลุกขึ้นเมื่อภานุบอกว่าจะไปส่งที่ห้องพัก เดินคู่กันไป จนเห็นป้าสมเหลียวหา

“คุณหนูเจ้าคะ หมอบอกผลของการตรวจเลือดแล้วเจ้าค่ะ”

ภานุและต้นธารามองใบหน้าปลาบปลื้มดีใจของป้าสม รู้ว่ามันต้องเป็นข่าวดีอย่างแน่นอน

“องค์ประกอบเลือดของคุณหนูกับผู้กองภานุตรงกันเจ้าค่ะ”

เหมือนกับได้รับประทานพรจากพระเจ้า...ปาฏิหาริย์เพียงหนึ่ง...เลือดของเขาช่วยต้นธาราได้...ทุกความกังวลปราศจากหาย

“เดี๋ยวป้าโทรบอกท่านนายพลนะเจ้าคะ ป้าดีใจเหลือเกินที่คุณหนูจะหายจากโรคร้าย”ป้าสมเดินเข้าไปในห้องรีบต่อสายโทรศัพท์หานายพลพิภพด้วยความรวดเร็ว

ภานุมองใบหน้าขาวซีด ดีใจจนคว้าร่างต้นธารามาสวมกอดแน่น วงแขนแกร่งรัดจนแทบหายใจไม่ออก

“ผมดีใจ ดีใจเหลือเกิน”

ต้นธาราอยู่ในวงแขนแกร่ง ดวงตารื้นน้ำตา หยดน้ำตาซึมบนบ่าที่ใช้พักพิง ในที่สุดภานุก็คลายอ้อมกอด เมื่อป้าสมออกมา

“ท่านนายพลดีใจมากเลยเจ้าค่ะ ยังมีข่าวดีอีกนะเจ้าคะ”

“อะไรครับ?””ต้นธาราสงสัย

“เห็นว่าทางการทราบข่าวคราวของคุณธีรเดชแล้วเจ้าค่ะ ยังมีชีวิตอยู่”

รอยยิ้มดีใจต่างผุดขึ้นที่อะไรๆต่างเปี่ยมด้วยความสุข ต้นธาราแอบถอนใจ นึกถึงความฝันที่ผู้กองนาคีถามคำถามที่ทำให้ใจตกอยู่ในหล่ม แม้จะรู้ว่าเป็นความฝันแต่ก็กลัว....เก็บคำถามที่ผู้กองนาคีถามเอาไว้ในใจเงียบๆ

“ฟ้าช่างเมตตาจริงๆเลย”ป้าสมเอ่ยซับน้ำตาที่ไหลปริ่ม

------------------------------------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2008 13:33:31 โดย มูมู่น้อย »

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ตกค่ำหลังจากที่ได้รับข่าวที่น่ายินดี ภายในห้องที่ต้นธาราอยู่มีขนมหวานและเครื่องดื่มมาจัดฉลอง ป้าสมนั่งทานเค้กที่ภานุเป็นคนออกไปซื้อ สีหน้าของผู้กองหนุ่มมีความสุข ต้นธารานอนเอนหลังอยู่บนเตียงคนป่วยยิ้มน้อยๆ สีหน้าซีดเซียวเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม

“ผมดีใจเหลือเกิน”ภานุคุยไม่หยุด เขายินดีที่ทุกอย่างเหมือนจะไปด้วยดี ต้นธาราที่นอนเอนหลังอยู่บนเตียงเอาแต่ยิ้มเมื่อเห็นภาพทุกคนมีความสุข

“เดี๋ยวป้าไปเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนก่อนนะเจ้าคะ เอ่อ...ผู้กองอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูหน่อยได้ไหมเจ้าคะ?”ป้าสมเอ่ยปากอย่างเกรงใจ ภานุลุกขึ้นมาช่วยป้าสมเก็บข้าวของบางอย่างที่ไม่ได้ใช้กับบ้าน ป้าสมเอ่ยลาคุณหนูของนางแล้วบอกจะรีบมา ภานุช่วยถือของไปส่งที่รถแล้วกลับมาเฝ้าต้นธาราต่อ

พออยู่ตามลำพังภานุมองหน้าซีดเซียวที่กลับกลายเป็นหม่นหมอง ชายหนุ่มไม่เข้าใจ ในเมื่อมีความสุขทำไมถึงยังหม่นเศร้า กุมมือเอาไว้ ใช้มืออีกข้างแตะแก้มขาว

“เป็นอะไรครับ ดูไม่ร่าเริงเลย”

ภานุถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ต้นธาราไม่ตอบ กลับล้มตัวนอน สีหน้าอ่อนเพลีย ภานุตามอารมณ์ไม่ทัน นั่งเงียบๆมองเสี้ยวหน้าซ่อนใต้ผ้าห่มเพียงครึ่งเดียว

“เดี๋ยวหายใจไม่ออกหรอก”

ดึงผ้าห่มออกจากตัวคนที่ทำตัวเหมือนเด็ก ต้นธารามองรอยยิ้มมองอย่างเอ็นดูบนสีหน้าคมคายหากดุดัน

“คิดว่าทำอะไรเหมือนเด็กละสิ”คุณหมอถาม ร้อยเอกหนุ่มเพียงหัวเราะในลำคอ มองใบหน้าบึ้งบูด

“ก็เหมือนไหมล่ะ”ลูบแก้มซีดอีกครา สัมผัสอบอุ่นทิ้งรอยไว้เหมือนสายลมบางเบา

“ผมแค่นึกกลัวกับกังวลเท่านั้นแหละ”ในที่สุดต้นธาราก็ยอมเอ่ยในสิ่งที่เก็บซ่อนอยู่ในใจออกมา

“คุณไม่ต้องกลัว” ชายหนุ่มประโลมเสียงแผ่ว “ความหวังแม้มีเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซนต์....เราต้องคว้าเอาไว้ ผมก็หวั่นใจเหมือนกันในครั้งแรก แต่ผลมันออกมาแล้วว่าองค์ประกอบเลือดของเราตรงกันทั้งคู่ ตอนนี้ยังมีความหวั่นใจอะไรอีก?”

ดวงตาเคยโหดร้ายมาบัดนี้อ่อนโยน ต้นธาราสบดวงตาคู่นั้นตรงๆ มันอบอุ่นจนไม่กล้าเอื้อมมือรับ ในเมื่อภาพของผู้กองนาคีผุดขึ้นมาในห้วงความทรงจำ ต้นธารามองหน้าเบือนหนี

“ทำไมละธาร ทั้งๆที่วันนี้เราน่าจะมีความสุขกันนี่น่า”ภานุกังขา ดวงตากร้าวตั้งคำถาม ต้นธาราอยากจะตอบ อยากจะระบายทุกสิ่งออกไป แต่ความกลัวกลับมีมากกว่า

“ในตอนนี้ผมมีความสุขมากๆเลยล่ะ ขอบคุณนะผู้กอง คุณเหมือนกับคนให้ชีวิตใหม่แก่ผมจริงๆ”แม้จะเอ่ยไปแบบนั้นคนฟังกลับไม่ยินดีเลยสักนิด

“”คุณพูดเหมือนว่าคุณจะตาย? ทำไมล่ะธาร? บอกความจริงผมได้ไหม ว่ามันเป็นเพราะอะไรกัน?”

ใบหน้าภานุเครียดขรึม ต้นธาราไม่ยอมพูด ภานุลุกขึ้น นั่งยังโซฟา รอให้ต้นธารายอมเอ่ยออกมาเอง หงุดหงิดเล็กน้อยที่มันเป็นแบบนี้ ความสุข ความดีใจ เหมือนกับกระดาษว่างเปล่า

“ผมขอโทษที่ต้องทำแบบนี้แต่...”

ต้นธารานอนคะแคงพูด ดวงตาสีดำรื้นน้ำตาเมื่อนึกถึงได้ว่า ชีวิตนี้ได้เริ่มต้นเพราะใครอีกเช่นกัน

“ธารไม่ต้องพูดหรอกหากว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ธารรู้สึกลำบากใจ”

ร้อยเอกหนุ่มเอ่ยตัดบท ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบ ในที่สุดต้นธาราก็หันมองใบหน้าหงุดหงิด ดูเหมือนว่าภานุกำลังสะกดกลั้นอารมณ์ รุ้ตัวดีว่าทำผิดพลาด แทนที่จะมีความสุข แทนที่จะดีใจที่คนที่เขารัก เฝ้ารอ ใฝ่ฝัน มาหา เขากลับทำตัวแบบนี้ สั่งให้ใจทิ้งอดีตของผู้กองนาคีออกไปเสีย รู้ว่าเห็นแก่ตัว ควรลืม หากอดีต...ไม่ใช่สิ่งที่จะลืมง่ายๆ ทำอย่างไรดี ร้อนรน...ทุกข์ใจ ..และผิดบาป

ภานุลุกขึ้นเมื่อเห็นร่างต้นธารานอนนิ่ง คลายโทสะ เดินไปดูร่างที่มีคราบน้ำตา ดวงตาขึ้งโกรธอ่อนลงทันใด

“ผมขอโทษที่หงุดหงิดใส่คุณ”

ต้นธาราหันมองเต็มๆตา“ไม่ใช่ความผิดของคุณทั้งหมดหรอกผู้กอง ผมผิดเองที่ไม่พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป”ต้นธาราเอ่ย หลังมือลูบผิวแก้มเย็นเฉียบ

“บอกผม หากคุณรู้สึกไม่สบายใจนะธารา เราสัญญากันไว้แล้วนี่น่า”

แก้มเย็นเฉียบแนบกับฝ่ามืออุ่น หลับตาลงสักพัก เขาควรพูด บอกตัวเอง....พูดออกไป เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้ทุกข์ใจ

“ผมแค่คิดถึงเรื่องของผู้กองนาคี สำหรับผมอาจจะคิดมากไป แต่...พอมันเป็นแบบนี้ มันทำให้ผมตระหนักได้ว่า ผมสมควรแล้วหรือที่อยู่มาจนถึงป่านนี้”

หลังมือลูบแก้มชะงักงัน

“ผมมีความสุขในสิ่งที่ผมมีแต่ผู้กองนาคีที่ตายไปล่ะ เมื่อผมรู้ว่าเขารักผม...ผมก็...”

กลัวที่จะพูดต่อ ภานุกำมือแน่นที่ต้นธาราคิดถึงเพื่อนที่ตายในหน้าที่ ตายเพราะปกป้องต้นธารา ความรักที่ได้แต่เฝ้ามองเงียบๆรักเพียงฝ่ายเดียว ไม่กล้าเอ่ยความรักที่เก็บไว้ออกมา และไม่เคยได้รักตอบแทน

“ไม่ใช่ความผิดคุณ ธารไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองอีก”ปลอบประโลมเสียงอ่อนโยน

ต้นธาราสูดลมหายใจลึกๆ“กลัวกับคำถามของผู้กองนาคีเหลือเกิน....”

“นาคีมันไม่ได้โทษอะไรธารเลย มันดีใจที่คุณมีชีวิตอยู่ นาคีเขาไม่เกลียดหรือโกรธอะไรธารเลยนะ”

ดวงตาชุ่มด้วยน้ำตา มองใบหน้าแกร่งให้กำลังใจ ความรักที่ไม่ทางให้ความสมหวัง กับคนที่ไม่เคยรู้ว่าตลอดมามีความรู้สึกเช่นไร สำหรับคนที่รู้ทุกสิ่งกลับไม่สามารถพูดออกไปได้ มันเป็นความผิดของใครกัน? เขา? ภานุ รึผู้กองนาคี? มันกลายเป็นเรื่องตลกร้าย คนที่น่าจะรักกลับไม่รัก ความรักที่อยู่บนความแค้นมันกลับสานสัมพันธ์มายืนยาว ได้รับความรัก ความอ่อนหวานจากคนที่ทำให้ใจเจ็บปวด เขาไล่ตามความรักที่ไม่คิดว่าสมหวัง

“เดี๋ยวนี้ผู้กองอ่อนโยนขึ้นเยอะ จะว่าไงดีล่ะ ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน”

ภานุยิ้มนั่งกุมมือต้นธาราเอาไว้ “แล้วไม่ดีใจเหรอ ที่ผมเป็นผู้ชายโรแมนติก”

“ถ้าคุณโรแมนติก ผู้ชายทั้งโลกคงโรแมนติกหมดทุกคนแน่ๆ”ดวงตาสีดำสนิทมองใบหน้าแกร่ง คลี่ยิ้มละมุนละไม

“ผมก็ต้องเปลี่ยนตัวเองบ้างสิ เพื่อธาร...”ดวงตาฉายความรัก ความสิเน่หา ชายหนุ่มยกหลังมือเคลียคลอ...ได้เท่านี้ก็ดีเหลือเกิน

“นึกว่าท่านนายพลล่อด้วยตำแหน่งผู้พันซะอีก...ผู้กองถึงปากหวานแบบนี้”ต้นธาราเอ่ยเย้าเบาๆ

ภานุหัวเราะก่อนจะย้อนคืน “ผิดแล้วล่ะ...ล่อด้วยตำแหน่ง ‘ลูกเขย’ต่างหาก” คำพูดเย้าหยอกไม่สมนิสัยดุดัน แข็งกร้าว เรียกรอยยิ้มจากต้นธาราได้พอควร

“ธาร คราวนี้คงไม่กลัวอะไรแล้วใช่ไหม? จำไว้ ผจะอยู่ข้างๆคุณตลอดเวลา”ชายหนุ่มย้ำสัญญา ต้นธาราผงกหัว มองร้อยเอกหนุ่มคลี่ผ้าห่มให้ด้วยกิริยาอ่อนโยน“นอนซะนะ ผมจะนั่งอยู่ข้างๆคุณจนกว่าป้าสมจะกลับมา”

ดวงตาอ่อนล้าค่อยๆปิดเปลือกตา จมอยู่ในห้วงนิทราอย่างง่ายดาย ภานุนั่งเงียบๆมองรอบๆห้องพักฟื้น ฟังเสียงลมหายใจสงบในความเงียบงัน

...ยังแข็งแรงดีอยู่ ดีใจเหลือเกิน....

มองดวงหน้าที่ในเมื่อก่อนไม่เคยคิดมองด้วยซ้ำ แต่หัวใจกลับติดบ่วงรัก อยากสัมผัส อยากมองดวงหน้านี้เช่นนี้ตลอดไป ค่อยๆวางแขนลงทาบลำตัวเอาไว้ เกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลธรรมชาติ เฝ้ามองด้วยสายตาอ่อนโยนที่สุด

....นาคี ฉันขอร้องให้แกช่วยธารด้วยเถอะ....

นึกถึงเพื่อน ขอให้ดวงวิญญาณเพื่อนรักช่วยเหลือ เสียงนาฬิกาข้อมือดังติ๊กๆ อยากให้เข็มนาฬิกาหยุดเดิน หยุดทุกอย่างเอาไว้ให้ยาวนาน

“ผู้...กอง”

ภานุสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงพร่ำละเมอเรียก มือหนาแตะแก้มซีดขาวเอาไว้ด้วยอาการทนุถนอม

“ธาร...ผมอยู่นี่”ภานุเรียกเบาๆ หากสิ่งที่ทำให้ร้อยเอกหนุ่มตัวแข็งทื่อ สีหน้าเปลี่ยนแปร...คือคำละเมอ เรียกชื่อของคนที่ตายจากไม่หยุด

“ผู้กองนาคี ผม...ผมขอโทษ”

หงุดหงิดเรื่องของนาคี ทั้งๆที่เคยเป็นเพื่อนรัก รู้แน่แก่ใจว่ารักต้นธารา เขาได้แต่ถอยห่างๆเก็บความรักเอาไว้เมื่อรู้ว่าเพื่อน ‘รัก’ ใคร คุณหมอผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยน อิทธิพลการตายของนาคีทำร้ายจิตใจต้นธาราโดยมีเขาเป็นตัวจุดชวน ได้แต่ยิ้มหม่นๆด้วยความรู้สึกว่ากรรมสนอง ป้าสมเปิดประตูเข้ามาพอดี ทำให้ชายหนุ่มหยุดคิดเรื่องนี้ได้ชั่วคราว

“ขอโทษเจ้าค่ะที่ป้าหายไปนาน”

ภานุลุกขึ้นปั้นยิ้มประดับสีหน้า“ไม่เป็นไรครับ เอ่อ ผมจะกลับแล้วล่ะครับ”

ภานุยกมือไหว้รีบผลุนผลันออกจากห้องไป ทิ้งให้ป้าสมงงงวย นางมองคุณหนูที่ขมุบขมิบปากก่อนนิ่งไป

...ละเมอ? ถึงใคร?...นางสงสัย อดีตแม่นมจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้คุณหนูของนางเงียบๆ เมื่อเสียงละเมอแผ่วๆหายไปเมื่อต้นธาราหลับลึก

------------------------------------------------

ภานุหยุดอยู่ใต้ลานจอดรถอันสงบเงียบ มองความมืดมิดรอบตัว เดินไปเงียบๆขึ้นรถที่นายพลอรุณจัดไว้ให้ เอนหน้าซบพวงมาลัย ก่อนลูบใบหน้าแกร่ง มองเงากระจกส่องหลัง

“หากธารเป็นอะไรไป กูตามมึงลงไปถึงนรกแน่ไอ้นาคี”

พึมพำราวกับคนบ้าอยู่คนเดียว หัวเสียกับความคิดตัวเอง หึงหวง ริษยากระทั่งคนที่ตายไปแล้ว....ขับรถกลับโรงแรมที่เข้าพัก หลังจากอาบน้ำก็นั่งดูโทรทัศน์ ไม่นานความง่วงจู่โจม ภานุม่อยหลับไปทั้งๆที่ยังไม่ปิดโทรทัศนื รีโมทเลื่อนหลุดจากมือกองไว้บนเตียง

------------------------------------------------

เสียงปืนยังคงดังก้อง เสียงร้องตะโกน ภาพน้ำตาไหลหลั่งริน มองดูร่างไร้ชีวิตของเพื่อน เลือดในกายเย็นเฉียบ ดวงตาเบิกโพลงจับจ้องยังร่างที่นั่งร่ำไห้ ได้แต่กลืนน้ำลาย เบือนหน้าหนีก็มิอาจทำได้

“ไอ้นาคี...”

พึมพำเบาๆ หางตาปรากฏน้ำตาไหลริน ภาพต่างๆหมุนเวียนไป ทั้งเรื่องที่เขาเคยทำร้ายต้นธารา จมอยู่กับปลักความแค้นไม่อาจถอดถอน อยากเอื้อมมือไปหา แต่ทำไมมันช่างห่างไกลไปทุกที ความฝันที่สมจริง มันทำภานุกลัว ตกอยู่ในอาการหวาดหวั่น อยากตื่นจากฝันร้ายเหมือนถูกถ่วงไว้ด้วยหินหนักๆ ปลายแสงจัดจ้า ภาพที่เพื่อนรักตายมันเล่นซ้ำซาก วนเวียน นอนกระสับกระส่าย เหงื่อแตกพลั่งทั้งๆที่เครื่องปรับอากาศยังทำงานของมันปกติดี สิ้นสุดภาพแห่งความฝันกลายเป็นคำถามที่ดังจากรอบทิศ พยายามมองหน้าในความมืด เห็นเพื่อนรักยืนยิ้มเงียบๆด้วยท่าทีกวน เดินไปหามัน เรียกชื่ออย่างดีใจ

“นาคี..”

ภานุหลงลืมเสียแล้วว่าเพื่อนรักตัวเองตายไปแล้ว ท่าทีของร้อยเอกนาคีเหมือนคนปกติทุกอย่าง เค้าหน้า รอยยิ้ม หากดวงตามันช่างเศร้าสร้อย....นายทหารหนุ่มชะงักเมื่อเอื้อมมือไปแตะบ่าของเพื่อน ภานุมองผิวซีดเซียวและสัมผัสเย็นชืด เสียงหัวเราะในลำคอบาดลึกไปในจิตใจ สั่นสะท้านและเย็นเยือก!

“แกจะปกป้องเขาได้ไหมวะ แกจะเสียสละให้เขาอย่างกูได้ไหม?”นาคีถาม ดวงตามันกังขา เหมือนกับสมัยที่มันยังอยู่ไม่มีผิดเพี้ยน ภานุอ้าปากจะตอบ ปากเหมือนถูกรูดซิบไว้

“ถ้าแกปกป้องเขาไม่ได้ กูไม่อยากจะบอกว่ะว่ามึงต้องเสีย ‘เพชร’ ในมือไป แต่กูว่า คนอย่างมึงเอา ‘ก้อนกรวด’ไปเหอะ แกคงไม่รู้ว่าต้องดูแลเขายังไง”เจ้าเพื่อนรักเอ่ย หรี่ตามมองใบหน้า ‘กลัว’ เขม็ง ภานุมองสายตาเศร้าๆแตะมือคอยตบบ่าราวกับปลอบใจ

“ฝากดูแลที ฉันไว้ใจแกว่ะ....อย่าทำให้เขาเสียใจ เพราะว่าคุณหมอ...”เสียงเย็น....จับขั้วหัวใจ ภานุไม่ทันฟังจบ เสียงอะไรบางอย่างรบกวนเสียก่อน เหมือนเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะดังแว่วๆในห้วงฝัน สะดุ้งเฮือก ตื่นขึ้นมาปาดเหงื่ออกจากหน้าผาก กายเย็นเฉียบ

“ฝันบ้าอะไร รึว่าไอ้นาคีมาเข้าฝัน ไอ้บ้าเอ้ย!”

สบถอย่างหงุดหงิด ยังจดจำแววตาเศร้าๆได้ และคำพูดสุดท้าย...ดูแล?... แม้จะรู้ว่าเป็นฝันก็ตาม มองที่มาที่เข้าไปรบกวนความฝัน เสียงโทรทัศน์นั่นเอง ภานุคว้านหารีโมทปิดมันก่อนโยนลงบนเตียง ชายหนุ่มเดินมายังมินิบาร์ เปิดจุกเหล้าสาดเข้าคอ ดับอารมณ์กรุ่น มองแสงไฟสีส้มที่เปิดไว้เพียงหัวเตียง ปิดตาให้สนิทนานหลายนาทีก่อนลืมตาตื่นขึ้น ทรุดนั่งเสยผมจนหัวเหอยุ่งเหยิง มองเงาสะท้อนในกระจก มันช่างมืดมัว คำถามดุจเงาตามตัวดังก้องในหัว

ในช่วงระยะที่เข้าใจกัน เขายังมีอะไรไม่ดี นั่งคิด ก่อนยกแก้วเหล้าจิบเพียงอึกเดียว ตั้งแก้วเหล้าลง มองดูน้ำสีอำพันแล้ววาบขึ้นมา

เขาไม่ควรดื่มอีก....

มองน้ำสีอำพันอย่างนึกรังเกียจ แต่มันก็อดไม่ได้ เอื้อมมือแตะแก้วเหล้าที่ยังเหลือครึ่งแก้ว เตรียมจิบให้หายเครียด สุดท้ายเดินเททิ้ง ทรุดนั่งกุมขมับ เงยหน้าสำรวจตัวเอง ดูเถื่อนๆ ดวงตาก็แข็งกร้าว นิสัยก็กระด้าง ไม่เหมือนกับผู้พันชานเนน คนที่เคยอยู่ในกำลังใจต้นธาราช่วยเวลาหนึ่ง ชายผู้นั้นสุภาพทุกกระเบียดนิ้ว ลูบหนวดแข็งๆตัวเอง ดวงตาลึกโหล ริมฝีปากหนาเม้มเข้าหากันแน่น เพียงแค่อ่อนโยนเอาอกเอาใจยังไม่พอ เขาต้องเปลี่ยนเพื่อให้ท่านนายพลพิภพที่ไม่เคยไว้วางใจให้มั่นใจตัวเขาด้วย ชีวิตในสมัยอดีตที่มีเพียงตัวเอง มันต่างกันแล้วในตอนนี้... ความทรงจำรางเลือนย้อนไปในวันเก่าๆหลังจากเลิกกับคู่หมั้น จนมาถึงปัจจุบัน เขาเคยทำอะไรให้ใครถึงขนาดนี้บ้างนะ ? อยากทำให้ใครสักคนมีความสุข....ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ลุกขึ้นไปล้างหน้า มองเงาสะท้อนอีกครั้ง

...กูรู้แล้วล่ะว่าต้องทำไงไอ้นาคี กูขอโทษที่มันเป็นแบบนี้ แต่กูก็รักเขา ขอให้กูดูแลเขาแทนมึงนะ...

ภานุกล่าวในใจ ล้มตัวนอน คราวนี้มันช่างหลับง่ายดาย ภานุไม่ได้ยินเสียงแว่วหัวเราะหึๆราวกับไว้วางใจ

------------------------------------------------

รุ่งเช้าภานุตื่นแต่เช้า โกนหนวดออก แต่งตัวเรียบร้อย ผมหวีเรียบร้อย ผิดไปจากทีเคย มองดูในเงากระจกเหมือนกับไม่ใช่ตัวเองเลยแฮะ ตื่นเต้นแบบแปลกๆไม่รู้ปฏิกิริยาของต้นธาราจะเป็นเช่นไร เดินรีบเร่งถือดอกกุหลาบที่ซื้อระหว่างเดินทางมาหาคุณหมอ ลอบมองผ่านกระจก ก่อนเปิดเข้าไปหา ต้นธารายังหลับอยู่ เหลียวหาอดีตแม่นมของต้นธารา พอรู้ว่าไม่อยู่ก็ก่อนก้มจูบหน้าผากเร็วๆ สัมผัสแผ่วๆปลุกให้ต้นธาราลืมตาตื่นขึ้น ดวงตาพร่าเลือน จมูกได้กลิ่นกรุ่น

...ใคร...ไม่คุ้นตาเลย...ใครนะ...

พยายามเบิกตากว้างพอปรับโฟกัสภาพได้ต้องนิ่งงัน หลับตาลงอีกครั้งอย่างทึ่งๆ ลืมตาขึ้นมา สีหน้าของต้นธาราเป็นไปตามที่ภานุคาดไว้ไม่ผิด

“ผีเข้าเหรอครับ?”ถามอย่างไม่แน่ใจนัก ภานุก็ชักเก้อๆ แก้ขัดเขินด้วยการวางดอกไม้ให้ ต้นธารามองกุหลาบก้านตรงวางไว้ข้างหมอน จับก้านแข็งๆไว้ มองริบบิ้นตกกระทบแก้มอย่างนุ่มนวล

“สวยดีนะครับ ดอกใหญ่ด้วย สีเหมือนเลือดเลย”

วางดอกไว้ที่ได้รับไว้ข้างกาย เชื้อเชิญให้ร้อยเอกหนุ่มนั่ง ภานุทรุดนั่ง ยังไม่พูดโต้ตอบ รอยยิ้มอ่อนโยนผุดขึ้น เอื้อมมือออกไปหา ภานุจับมือนุ่มเอาไว้ ฝ่ามือใหญ่สากสัมผัสผิวสะอาด

“ยังไม่ตอบผมเลย ผีเข้ารึเปล่าเนี่ย วันนี้แต่งตัวเหมือนกับไม่ใช่คุณเลย”

“ไม่ใช่ผมหรือไม่ใช่คนล่ะ?”

ต้นธาราพยายามข่มอารมณ์ขัน“เอาเถอะครับผู้กอง...แต่วันนี้คุณ เอ่อ ผู้กอง เอ้อ...”ตั้งใจจะชมวันนี้ดู ‘หล่อ’ แบบผู้ดีไม่เหมือนที่ถูเถื่อน แข็งกร้าวอย่างทุกครั้งก็กระดากปาก ภานุเอียงหน้าเข้ามาใกล้ๆ

“ถ้าเปลี่ยนเป็นจูบจะดีใจกว่าที่คุณออกปากชมอีก”

คุณหมอไม่ยอมทำตาม ใบหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นดวงตาอ้อนออด ลุกขึ้นมองแม่นมแก้เขิน ซึ่งนางเข้ามาได้จังหวะพอดี

“อ้าว นั่นใครเจ้าคะคุณหนู?”

ป้าสมมองชายหนุ่มแต่งตัวได้เนี้ยบ ต้นธาราหัวเราะ ภานุยืนขึ้น

“จำผมไม่ได้หรือครับ”สีหน้าภานุดูกระเรี่ยกระราดชอบกล มองการแต่งตัวของตัวเอง

“อุ้ยตาย!ผู้กองเหรอเจ้าคะ”ป้าสมทำหน้าเหมือนเห็นผี นางก้มมองจรดเท้า วันนี้ผู้กองหล่อเหมือนพระเอกหนังเลย ท่าทีดิบๆเถื่อนไม่มีแม้สักกระผีก

“วันนี้หล่อยังกะพระเอกแน่ะเจ้าค่ะ”

ป้าสมชมเปาะ ภานุเพียงข่มใบหน้าในนิ่งเฉยกับคำชม ดวงตาของคุณหมอเฝ้ามองแล้วแอบยิ้ม....ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม ต้นธาราก็อดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ ...ผู้กองคงทำเพื่อเขาใช่ไหมนะ? ดวงตาคมดุฉายแววอ่อนโยน รอยยิ้มละมุนตา ย้ำ...ความคิดในใจของต้นธารา ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นจริง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
หวานกันนะ  :กอด1:

อยากหยุดแค่นี้จิงๆไม่อยากอ่านต่ออีกแล้ว  :z3: :z3:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
อ๊ายยยยยยยยย

ผู้กองโรแมนติก

55555555+

ชอบๆ

ผลตรวจเลือดตรงกันแต่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี

แหะๆ

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
ดันๆๆ  ให้คนโพส สุดสวยยยยยยยย

รีบมาต่อนะๆๆๆ :กอด1:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 30 Sweet Memorial/ ความทรงจำแสนรัก (Part 2)

“เราได้ที่พักแล้ว ไปเถอะ”

กิ่งไผ่เอ่ย เมื่อติดต่อกับคนที่ทางหัวหน้าหมู่บ้านได้สำเร็จ ธีรเดชแบกของเดินตามหลัง

“ไว้ใจได้สักแค่ไหน”

กิ่งไผ่หันมาจ้องสีหน้าเปี่ยมเค้าสงสัย ระแวง

“พอที่จะฝากชีวิตได้และพาคุณไปถึงปลายทางที่คุณต้องการ”

ธีรเดชนิ่ง ตามไปเงียบๆ เมื่อพบหน้าคนที่ติดต่อด้วย

“เขาเป็นคนพม่าแต่มาทำงานในชายแดนไทย หากคุณต้องการให้เขาส่งข่าวหาคนของคุณก็สามารถจัดการได้”

ธีรเดชสำรวจท่าทีของอีกฝ่าย

“กระผมชื่อนายจัน มีอะไรให้เรียกใช้เชิญได้ทุกเวลา”นายจันเอ่ยด้วยสำเนียงไทยชัดเจน

ธีรเดชผงกศีรษะ คาดว่ากิ่งไผ่คงจัดการให้แล้ว ไพล่มองใบหน้าเหนื่อยอ่อน นายจันไม่พุดอะไรมากเชื้อเชิญให้กิ่งไผ่และธีรเดชไปยังบ้านพักซึ่งจัดเตรียมให้ เป็นบ้านหลังเล็กๆ พออาศัยซุกหัวได้

“ข่าวที่ฝากไปรับรองจะส่งถึงให้ในไม่ช้านี้ พักให้สบายใจนะขอรับ”

นายจันไม่พูดมาก หลังจากส่งเข้าบ้านก็รีบเดินอย่างเร่งร้อน กิ่งไผ่ทรุดนั่งยังเตียงแคบๆที่มีเพียงหลังเดียวภายในบ้านหลังนี้ ธีรเดชหาที่นั่ง สุดท้ายต้องนั่งกับพื้นแทน มองกิ่งไผ่ที่เหม่อๆไป ธีรเดชจะเอ่ยปากถาม ทว่าร่างกิ่งไผ่กลับลุกขึ้นเดินตรงมายังเขาและผ่านไปยังริมหน้าต่างเอาแต่นั่งนิ่งเงียบมองแสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า สีหน้าเหม่อๆปล่อยให้แสงอาทิตย์อาบไล้กลายเป็นสีทอง มองธีรเดชนั่งขัดสมาธิจ้องร่างตน

“ตอนนี้อยู่ในเขตของคุณแล้ว คราวนี้คุณจะกำหนดทิศทางผมอย่างไร”กิ่งไผ่เอ่ย

ธีรเดชเงียบงัน ใบหน้าเหนื่อยอ่อนหมุนตัวไปยังเตียง รื้อของออกจากกระบุงเป็นชุดที่ใส่แล้วขยับกายได้คล่อง ธีรเดชมองชุดที่ร่วงบนพื้น เบือนสายตาหนีจากมัน เคยแนบกอดร่างไว้ในอ้อมแขน มาบัดนี้ต้องทำไม่รู้สึกอะไร กิ่งไผ่แต่งตัวเสร็จล้มตัวนอนนิ่งๆ ทำเหมือนกับว่าหลับ ฝ่ายธีรเดชไม่อยากกวนจึงนั่งมองออกไปข้างนอกเงียบๆ มาถึงยังฝั่งไทยแล้ว เขาจะทำเช่นไรต่อ? มองร่างหลับสนิทด้วยใจอันหนักอึ้ง คิดหนัก ทั้งๆที่รู้แน่แก่ใจว่าควรทำอะไร รู้...แต่มันยังอึดอัด หรืออาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันที่ทำให้รู้สึกเช่นนี้ แสงอาทิตย์สนธยาค่อยๆลาลับ ธีรเดชลุกขึ้น สายตาที่มองผ่านเงาของผมปกปิดเป็นสายตาอ่อนล้า ดวงตาเหม่อลอย ธีรเดชออกไปข้างนอก กิ่งไผ่ลุกขึ้น ชันเข่า ซุกหน้ากับหัวเข่า ปรายตามอง ถอนใจกับความเงียบงันที่เกิดรอบกายตัวเอง

“อ้าว ตื่นแล้วรึ นอนไปนิดเดียวเองไม่ใช่เหรอ?”

ธีรเดชโผล่หน้าออกมา เปลือยท่อนอก ช่วงล่างมีผ้าขาวม้าพันลวกๆ กิ่งไผ่สะดุ้งโหยง ตกใจที่มีคนมาขัดจังหวะ

“อากาศร้อนนอนไม่ค่อยหลับเท่าไร”กิ่งไผ่บ่นเบาๆ

นิ้วแกร่งชี้ไปยังโอ่งข้างบ้านหลังเล็ก“อาบน้ำสิ น้ำเย็นดีนะบางทีอาจจะช่วยคลายร้อนได้”

กิ่งไผ่มองตามมือ รับคำในลำคอ ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในห้อง หยดน้ำบางส่วนไหลสู่พื้น เรือนผมเปียกชื้นเกาะกันเป็นกลุ่มก้อน กิ่งไผ่ลงจากเตียงแคบๆ ผ่านชายหนุ่มไป เสี้ยวหน้าดูเหน็ดเหนื่อย ยิ่งล้า

“หน้าตาคุณดูไม่ดีเลย ผมว่าพักสักหน่อยน่าจะดี”

กิ่งไผ่ครางฮือ

“เป็นอะไรหรือเปล่า”หันมาถามอย่างเป็นห่วง

“เปล่า”

ตอบเสียงเบา เดินผ่านชายหนุ่มไปยังโอ่งน้ำ ธีรเดชเดินมาดู ใบหน้าแกร่งโผล่พ้นขอบประตู มองกิ่งไผ่ตักน้ำล้างหน้าซีดๆ

“อะไร?”

ใบหน้าชุ่มน้ำเงยขึ้น ดวงตาสีดำหยีมอง ธีรเดชส่ายหน้า เดินไปเปลี่ยนเสื้อ นั่งคิดเรื่องที่ทำให้อึดอัดใจต่อ

------------------------------------------------

กิ่งไผ่มองราตรีสีดำ ทรุดนั่งยังตั่งไม้ตัวเล็กๆ มองน้ำไหลเจิ่งนองอยู่บนผิวดิน ความมืดค่อยๆครอบงำรอบกาย เสียงแมลงที่เคยร้องระงมกลับเงียบเชียบ ปล่อยให้รู้สึกโหวงเหวง ดวงตาสีดำมองแสงสว่างภายในบ้าน ธีรเดชโผล่หน้าออกมาเมื่อเห็นว่ากิ่งไผ่อาบน้ำนานเกินไป เดินมาดูตัวความเป็นห่วง แตะต้นแขนของคนที่นั่งเหม่อ

“อ้าว ยังไม่อาบน้ำอีกหรือ”

ธีรเดชถาม มองใบหน้าในเงาสลัว กิ่งไผ่ลุกขึ้นตามแรงดึง บิดมือออกอย่างนุ่มนวล

“เดี๋ยวก็จะอาบเอง มีธุระอะไรล่ะ?”

เสียงเบาคล้ายระโหยโรยแรง ธีรเดชเป็นห่วง ยกมือแตะหลังหน้าผาก

“ว่าแต่คุณเถอะ แผลคงไม่เจ็บแล้ว”มือบางแตะบาดแผลของธีรเดช

“ไม่ มันไม่เจ็บหรอก”

กุมมือบางเอาไว้ ยิ้มให้ มือบางเลื่อนแตะบ่า ดวงตาอ่อนโยน

“ดีแล้วล่ะ”ลดมือลง หันไปทางโอ่งน้ำ ธีรเดชเขยิบเข้าไปใกล้

“หิวหรือเปล่า เห็นว่านายจันเตรียมของแห้งไว้ในครัวให้ ทำทานซะ”กิ่งไผ่บอก เดินเข้าบ้าน ธีรเดชเดินตามไม่ห่าง กิ่งไผ่หยิบผ้าเช็ดตัว มองธีรเดชที่ยืนอยู่เบื้องหลังตัวเอง

“มีอะไร ไม่หิวข้าวรึ?”กิ่งไผ่ถาม ขมวดคิ้ว แต่แล้วก็พูดเหมือนนึกอะไรได้”หรือว่าทำไม่เป็น”ดวงตาของกิ่งไผ่ฉายด้วยความประหลาดใจ

“เป็น แต่ว่าคุณ....”ธีรเดชเอ่ย

กิ่งไผ่ยิ้ม“ผมทำไม?”

ธีรเดชพูดไม่ออก ชายหนุ่มกะว่าจะพูด พอเห็นดวงตาสีดำสนิทแล้วเกิดอาการพูดไม่ออก

“เปล่า ไม่มีอะไร หิวแล่วใช่ไหม งั้นผมไปทำกับข้าวก่อนนะ”เดินเลี่ยงไปเงียบๆ กิ่งไผ่มองตามร่างสูง อยากรู้...ว่าชายหนุ่มจะพูดเรื่องอะไร แต่ถ้าหากรู้ก็คงเจ็บปวด

ธีรเดชมองหม้อหุงข้าว โชคดีที่ยังมีหม้อไฟฟ้าให้ใช้ หุงข้าวเสร็จก็หันไปมองของแห้งและไข่ที่นายจันจัดไว้ให้ ลงมือทำกับข้าว ทอดไข่ ทอดปลาแห้งตั้งไว้บนโต๊ะ กิ่งไผ่เดินเช็ดผมตามกลิ่นหอมเข้ามา


“ผมทำได้แค่นี้ หวังว่าคงกินได้นะ?”

ธีรเดชถือกระทะ ท่าทางดุเขินๆที่เห็นสายตากิ่งไผ่จับจ้องมายังจานสังกะสี

“ได้ อันที่จริงผมก็ไม่ได้หิวเท่าไรหรอก”

ทรุดนั่งยังเก้าอี้ ชายหนุ่มมองดูนายทหารหนุ่มจัดแจงตักข้าวสวยร้อนๆตั้งไว้ตรงหน้าให้

“เพิ่งเคยมีคนทำให้กินนะนี่”

ธีรเดชถือช้อนสังกะสีชะงักค้างไว้“ปกติทำกินเองรึ แล้วพ่อแม่ไม่...”จะเอ่ยถามต่อ เห็นแววตาเศร้าๆจึงเงียบเสีย

“ไม่มี ท่านเสียไปแล้ว”

กิ่งไผ่พูดห้วนๆ ธีรเดชผงะไป

“ผมขอโทษ”

รู้ว่าคงทิ่มแทงใจ กิ่งไผ่วางช้อนลง ดวงตาสีดำขุ่นมัวพยายามทำให้สดใส ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องของพ่อแม่ ความแค้นพวยพุ่งจนอยากกลับเวียงนวรัฐะทันที

“ช่างมันเถอะ”

ในที่สุดกิ่งไผ่ก็สูดลมหายใจลึกๆ เอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเคย นายทหารหนุ่มวางช้อนลง มองสีหน้าที่เปี่ยมด้วยความคลั่งแค้น

“มีอะไรก็พูดออกมาได้นะ ผมยินดีรับฟัง”

“ถ้าผมอยากกลับฝั่งไหนล่ะ?”

ธีรเดชหน้าเสียทันที

“แค่พูดเล่น ในเมื่อผมรับปากไว้แล้ว ผมก็จะทำตามที่ให้สัญญาไว้”

กิ่งไผ่ตักข้าวเข้าปาก ธีรเดชมีสีหน้าโล่งใจ ก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบๆ

หลังจากเสร็จมื้อเย็น นายทหารหนุ่มจากไทยก็เป็นฝ่ายล้างจาน เดินออกจากครัว มองเสี้ยวหน้าเหม่อออกไปยังเบื้องนอกที่มืดมน ดวงดาวประดับท้องฟ้า แม้เปล่งแสงแต่มันคงด้วยความเหงา เปล่าเปลี่ยวใจ

“ผมจะนอนแล้วนะ”ธีรเดชบอกเบาๆ พลางล้มตัวนอนบนพื้นห้องโดยมีเพียงผ้าผวยเล็กๆคลุมกายใหญ่

“ขึ้นมานอนบนนี้ก็ได้ผมไม่อยากเห็นแก่ตัว”กิ่งไผ่กล่าว มองที่นอนที่ยังว่างพอที่จะให้คนร่างใหญ่ได้หลับใหล

“ไม่ล่ะ ผมนอนบนพื้นแหละดีแล้ว”

ธีรเดชปิดเปลือกตา ไม่อยากพูดมาก กิ่งไผ่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร เขายังคงมองออกไปเบื้องนอก ดวงตาหรี่ลงคล้ายกับจะมองข้ามฝากฟ้า ดวงตาคู่นั้นร้อนแรง เคลือบด้วยความแค้นใจ ลุกขึ้น ปิดหน้าต่าง วางแผนอนาคตตัวเอง มาถึงที่นี่ เขารู้ว่าคงยากที่จะสลัดหลุด และอีกฝ่ายคงคุมเขาไม่ปล่อย มองเสี้ยวหน้าหลับใหล ความรู้สึกตอนนี้ มีแต่งานที่ต้องปฏิบัติอยู่เต็มหัว ความรู้สึกส่วนตัวได้แต่เก็บไว้ส่วนลึก

------------------------------------------------

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
“บัดซบ พวกมึงทำงานกันยังไง คนแค่คนเดียวยังตามจับไม่ได้”นายกฤษดาอารมณ์เสีย ได้รับรายงานการทำงานล้มเหลวของลูกน้อง

“แบบนี้กูจะไปรายงานนายยังไงห๊า”นายกฤษดาตวาดลั่น เคืองขุ่นกับการที่ลูกน้องทำงานสะเพร่า

“พวกผมพยายามเต็มที่แล้วครับนาย”

“มึงพยายามทำเต็มที่กันแล้วเรอะ ตั้งแต่พวกมันถล่มค่าย หนีไปได้รู้ไหมกูเสียหน้าขนาดไหน”กฤษดามองดูลูกน้องด้วยสายตาน่ากลัว

“นายครับให้พวกเราเริ่มใหม่เถอะครับ”ลูกน้องตัวสั่นระริก

“เริ่มใหม่รึ มึงจะให้กูเริ่มอะไรใหม่ มึงจับลูกชายนายพลมาไม่ได้ ปล่อยให้มันหนีไปไหนไม่รู้ มึงรุ้ไหมว่ามันกระทบต่อธุรกิจเราเพียงใด?”

ลูกน้องหลบสายตากันวูบ

“เดี๋ยวกูจะไปพบร้อยเอกราเชนทร์ พวกมึงก็อย่าให้กูเห็นหน้าอีกสักระยะ ไม่งั้นหน้าพวกมึงจะกวนต่อมยั๊วะกูอีก”กฤษดากระแทกเท้าจากไป
------------------------------------------------

นายกฤษดามาพบกับร้อยเอกราเชทร์ สีหน้าหลุกหลิกของราเชทร์ กฤษดาจับจ้องอย่างเย็นชา

“มีอะไรกฤษดา”

กระแทกกายนั่งยังโซฟา มองอดีตทหารจากไทยที่หลบหนีเข้ามาในพม่าในคดียาเสพติด อาศัยใบบุญของนายพลคะฉิ่นคุ้มหัวจึงรอดพ้นจากการจับกุมและเข้ารวมกลุ่มกับเขาส่วนลูกชายยังรับราชการอยู่ที่ไทย ถือได้ว่าเป็นลูกน้องแต่บัดนี้ดูหยิ่งผยอง

“มีข่าวแจ้งจากนายพลอินคาน”นายราเชนทร์ว่า พลางนั่งอย่างคนที่เหนือกว่า ทั้งๆที่ซมซานมาพึ่งใบบุญกลับทำท่าเหมือนคางคกขึ้นวอ นายกฤษดาโกรธแต่อีกฝ่ายบอกว่ามีเรื่องมารายงานจำต้องนิ่ง

“อะไร?”

ดวงตากฤษดามองใบหน้าเจ้าเล่ห์ หงุดหงิดที่อีกฝ่ายพูดเรื่องนี้ เขาทำงานพลาด มันจึงได้เจ็บใจที่ราเชนทร์เหมือนเยาะเย้ย

“ตอนนี้พบตัวนายพลอินคานแล้ว รอเวลาจับหนูใส่กรงเท่านั้น”

ดวงตาของกฤษาดาโพลง“ว่าอะไรนะ?! เจอตัวนายพลอินคานแล้ว?”

ราเชนทร์ผงกศีรษะ นั่งอย่างผึงผายเพราะได้รับความชอบใจจากนายพลคะฉิ่นเต็มๆ

“ใช่ เราได้รับจดหมายจากนายพลอินคานที่ส่งไปหาสหายเก่า ระบุว่าอยู่ที่ไหน”

รอยยิ้มคลี่ออกราวกับเยาะหยัน กฤษดากำมือแน่น

“เรื่องนี้นายพลคะฉิ่นรู้รึยัง”

“รู้แล้ว ตอนนี้กำลังสอบถามคราวข่าวเพิ่มเติมจากบริษัทอีสต์เอเชียที่เป็นคนได้รับจดหมายฉบับนี้อยู่ แล้วเรื่องลูกชายของนายพลอินคานเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

หลิ่วตาให้กับคนที่แพ้ กฤษดาขบฟันกรอด


“ยังไม่ได้ตัวมัน มีข่าวอะไรอีกไหม?”เอ่ยถามเสียงห้วนสั้น

นายราเชนทร์ยิ้มกระหยิ่มกระย่อง“ตอนนี้ทางฝั่งไทยกำลังร่วมมือกับรัฐบาลพม่าเกี่ยวกับเรื่องทางทหารไทยถูกโจมตี คงไม่พ้นเรื่องของแกอย่างแน่นอน”

กฤษดามอง นายราเชนทร์ลุกขึ้น ปฏิบัติคนที่เคยช่วยเหลืออย่างเย็นชา

“มีข่าวมาบอกแค่นี้แหละ แล้วอย่าลืมรายงานข่าวแกให้กับนายพลด้วยแล้วกันล่ะ”สายตาทิ้งท้ายหยันๆ

กฤษาดาแค้นแทบกระอักเลือด ทำอะไรมันไม่ได้เพราะมันย่อมได้รับความคุ้มครองจากนายพลคะฉิ่น

“กูจะเข้าเมืองเอารถจิ๊ปออก”

นายกฤษดาตะโกนลั่น ลุกน้องทำตามอย่างหวาดๆ

“นายจะออกไปไหนครับ”ลูกน้องถาม

“กูจะออกไปพบนายพลคะฉิ่น”สั่งแค่นั้นก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

------------------------------------------------

“คุณยังมีหน้ามาพบผมด้วยรึคุณกฤษดา”นายพลคะฉิ่นได้รับแจ้งว่ากฤษดามารายงานเรื่องของกิ่งไผ่และท่านนายพลอินคานมองอย่างระอา “ลูกน้องของคุณมันยังทำงานได้ดีกว่าคุณเลย มาบอกเรื่องของนายพลอินคานแก่ตัวผมเองทั้งๆที่ไม่ได้ร้องขอ”

คำต่อว่าต่อขานทำให้กฤษดากำมือแน่นต่อลูกน้องทรยศ

“ผมทำพลาดไป ต้องขออภัยแก่ท่านด้วย”

นายพลลุกขึ้น มองสีหน้าหล่อเหลาอย่างเพ่งพิจ ดวงตาดั่งอสรพิษจับจ้องท่าน

“ผมอุตส่าต์ช่วยเปิดทางการค้ายาเสพติดให้กับคุณ ผมได้รับค่าตอบทนยังไม่คุ้มเท่าที่ต้องเสี่ยงเลย”นายพลคะฉิ่นกล่าว จ้องมองชายหนุ่มยื่นทำหน้านิ่งเฉย

“เรื่องนายพลอินคานผมไม่เดือดร้อนอะไรแล้ว แต่เรื่องของลูกชายของเขา กิ่งไผ่...มันเป็นหนามเสียดแทงใจผมน่าดูเลยทีเดียว”
“ผมรับรองว่าจะจับมาให้ได้ครับ เพื่อเป็นของกำนัลสำหรับท่าน”

“ผมจะคอยรับฟังข่าวดีก็แล้วกัน”

สายตาของนายพลคะฉิ่นบ่งบอกถึงความไม่ไว้วางใจในตัวของกฤษดาเท่าไรนัก

“ขอบคุณครับท่าน”

มองนายพลทรราชเดินเข้าไปยังห้องชั้นใน ผู้พันฮามซึ่งจับจ้องแขกที่ขอเข้าพบตลอด ผายมือเชิญให้ออกไปทางอ้อม กฤษดาเดินออกจากห้องโดยมีฮามตามติดออกม สีหน้าของกฤษดานายหน้าค้ายาเสพติดดูไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ฮามหยุดมองเมื่ออีกฝ่ายกระแทกเท้าเดินขึ้นรถจิ๊ปอย่างอารมณ์เสีย ก่อนขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ฮามก้าวกลับเข้าห้องทำงานของนายพลคะฉิ่น เสียงหัวเราะต่อกระซิกยังแว่วๆมา ท่านนายพลคะฉิ่นมิวายเย้าหยอกกับสาวๆเช่นเคย สายตาของฮามมองบนโต๊ะเอกสาร เหลือบมองทหารที่อยู่อารักขาหน้าห้อง จึงทำท่าทีปกติเสีย สายตาทหารอารักขาจับจ้องตามจังหวะก้าวเดิน ผู้พันฮามทำท่าว่าร้อนใจในบางเรื่องจนหนึ่งในทหารอารักขาอดถามไม่ได้

“ผู้พันเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“อ้อ เปล่า ไม่มีอะไร”

รู้ดีว่าควรออกไปได้แล้ว ผู้พันหนุ่มจึงเดินออกจากห้องทำงานของนายพลคะฉิ่น มองประตูปิดสนิท นายพลคะฉิ่นไม่ชอบให้ใครไปยุ่งกับห้องทำงานสักเท่าไร ทั้งยังมีทหารอารักขาเข้ม ถอนใจเมื่อรู้ว่าสิ่งที่ทำมันยากเกินควร

------------------------------------------------

แม้จะดึกขนาดไหน กิ่งไผ่ก็ยังไม่อาจข่มตาหลับ...เพราะอะไร ได้แต่ถามตัวเอง ลุกขึ้นจากเตียงมองธีรเดชที่หลับเป็นตาย ลุกจากเตียงย่องออกไปจากห้องเงียบๆ

“หากจะหนีตอนนี้ทางสะดวกสินะ”

พึมพำกับตัวเอง ความคิดที่อยากหนีผุดขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งๆที่เคยตัดใจ มองจันทร์เสี้ยวประดับฟ้า

“พ่อ...พ่อคงปลอดภัยดี”

พึมพำอย่างปวดใจ ความกังวลที่ห้ามเก็บไว้เผยออก...เจ้าขิ่นเอ็งคงดูแลพ่อข้าเป็นอย่างดี...กิ่งไผ่มองท้องฟ้า หมุนตัวกลับเข้าไปในบ้าน ธีรเดชนอนพลิกกาย ผ้าพวยผืนเล็กหลุดจากตัว ก้มไปห่มให้ มองเสี้ยวหน้าอ่อนโยน นึกถึงรสจูบแผ่วละมุนราวปลอบประโลม หัวใจมันก็ด้านชา ทรมานใจ เพราะต้องเลือกแล้วว่าจะอยู่ตรงนี้รึยอมทรยศคำมั่นสัญญา หนีจากไปไม่ต้องหวนมาพบกันอีก... เมินหน้าหนีจากใบหน้าอ่อนโยน ความรู้สึกดีๆที่เอ่อล้น มัน...ทำใจอ้างว้าง ไม่น่ามีความรู้สึกนี้ขึ้นมาเพราะมันทำให้ตัดสินใจทรยศได้ยากขึ้น เหม่อชั่วขณะ.... กิ่งไผ่ลุกขึ้นทอดถอนใจ ในความเงียบงันเขาได้แต่อยู่กับความในใจอันมืดมน

------------------------------------------------

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
คู่นี้ก็นะ สงสารไผ่  :z3:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
ลูกผีลูกคนมากมายคู่นี้ :o12:

pupper

  • บุคคลทั่วไป
คู่หมอธารกับหมวดภาณุก็ไปด้วยดี หวังว่าคงจะไม่มีอะไรอีกแล้ว จะได้หวานกันสักทีแบบเต็มๆ
แต่คู่กิ่งไผ่กับธีเดชเนี่ย ความในใจยังลึกลับดำมืด ยังต้องลุ้นกันจนตัวโก่ง แถมยังเค้นอารมณ์
คนอ่านอีกตามเคย โอ๊ยๆ เครียดๆๆ กับคู่นี้ หวานอมขมกลืนกับคู่นี้จริงๆ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 31 Sweet Memorial / ความทรงจำแสนรัก (PART3)

ต้นธาราดูกระสับกระส่ายไม่น้อยเมื่อต้องเข้ารับการปลูกถ่ายไขกระดูก แม้ว่าเขาจะรู้ล่วงหน้ามาเป็นอาทิตย์แล้วก็ตาม ในใจก็อดประหวั่นพรั่นพรึงไม่ได้ ภานุได้แต่ปลอบ ตัวชายหนุ่มเคร่งเครียดไม่แพ้กัน ทั้งคู่รอนายแพทย์อดิเรกซึ่งเป็นแพทย์รับผิดชอบต่อการรักษาของต้นธารา นายแพทย์อดิเรกยิ้มมาแต่ไกล สีหน้าเซียวๆจับจ้องยังใบหน้าของนายแพทย์หนุ่มซึ่งเข้ามาดูและเอ่ยอธิบายเกี่ยวกับการปลูกถ่ายไขกระดูกให้แก่คนขี้กังวลเป็นครั้งสุดท้าย ภานุรับฟังหลายรอบแล้วแต่เขาก็ยังกลัวว่ามันอาจล้มเหลว เขาได้แต่เก็บความรู้สึกนี้ไว้เงียบๆ นับตั้งแต่สิ้นกระบวนการบริจาคไขกระดูกของเขาแล้ว......ความเครียดที่น่าจะลดลงกลับเพิ่มมากขึ้น

“”เดี๋ยวคุณหมอธารต้องไปตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำBMTนะครับ”

ต้นธาราตามนางพยาบาลไป เขาหันมองภานุและป้าสมเป็นครั้งสุดท้าย ภานุสบสายตาด้วย สายตากร้าวมั่นคงสบมองให้กำลังใจ รอยยิ้มบนสีหน้าแม้ว่ามันจะดูเครียด สำหรับต้นธาราแล้ว มันอุ่นใจไม่น้อย เขามองจนกระทั่งภานุลับตาจึงอยู่นิ่งๆ

“คุณหนูจะหายไหมคะ ป้ากลัวเหลือเกิน”ป้าสมเป็นกังวล นางบิดมือไปมา ดวงตาของนางจับจ้องยังทิศทางที่คุณหมอต้นธาราไป

“ทีมแพทย์ชำนาญครับ ไม่ต้องกลัวว่าธารจะไม่หาย”ภานุพูดราวกับจะปลอบตัวเองด้วย สายตาปรายมองไปทางที่ต้นธาราหายไปเช่นกัน

“เดี๋ยวป้าโทรไปรายงานท่านนายพลก่อนนะคะ”

ป้าสมเดินไปยังห้องพักผ่อนของต้นธารา ภานุเดินตามหลัง ชายหนุ่มเอามือล้วงกระเป๋ามองตัวเองในกระจก ใบหน้าเข้มดูกังวลจนเห็นได้ชัด ชายหนุ่มจัดผมเรียบแปล้ เขาต้องอดทน ...ชายหนุ่มไปนั่งรอที่ห้องผ่าตัดคิดถึงความเจ็บปวดที่ได้รับจากการบริจาคไขกระดูกให้ มันไม่เท่าความเครียดขรึมและกลัวความเจ็บปวดของต้นธาราที่อยู่ในใจเลย เขารอคอย บางทีก็ลุกขึ้นเดินไปมา ป้าสมเดินมาหายิ้มอ่อนๆ

“ผู้กองไปพักก่อนเถอะค่ะ ดูสีหน้าสิ”

ภานุเงยหน้ามองนาง“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ อยากรออยู่ที่นี่”ชายหนุ่มตอบ หากป้าสมทำหน้าไม่สบายใจ

“เอ่อ แล้วท่านนายพลท่านว่าอย่างไรบ้างครับ”

“ท่านขอบคุณผู้กองมากค่ะที่ช่วยชีวิตลูกชายท่านเอาไว้ค่ะ ท่านโล่งใจเหลือเกิน”

ภานุยิ้มเซียวๆกับคำพูดนั้น เขาก้มหน้ามองพื้น อย่างน้อยๆก็ลดข้อขุ่นเคืองใจในใจของท่านนายพลได้บ้าง

“อีกกี่ชั่วโมงหนอที่คุณหนูจะผ่าตัดเสร็จ”

นางทรุดนั่งข้างๆ ภานุมองไฟห้องผ่าตัดสว่างวาบ เวลาเคลื่อนไป รู้สึกอึดอัดในใจ ภานุเดินไปเดินมา มองป้าสมเป็นระยะๆซึ่งอดีตแม่นมของต้นธาราก้มหน้าเงียบๆ

“ขอให้คุณหนูผ่าตัดสำเร็จเถอะ”

นางภาวนาซ้ำซากอยู่แบบนั้น ภานุคำนึงถึงความฝันที่เพื่อนรักมาหา ความกังวลยิ่งเพิ่มขึ้น

...ไอ้นาคี กูขอให้มึงช่วยเขาเถอะ....

ชายหนุ่มเครียดเคร่งจนรู้สึกปวดกระเพาะ ยามรบเขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย มาเวลานี้เขากลับรู้สึกว่าทำอะไรไม่ถูก พอรู้สึกว่าใกล้จุดระเบิดเต็มทน เขาก็เตรียมเดินออกไประงับสติ ไฟห้องผ่าตัดดับลง ภานุจึงชะงัก

“คุณหมอเป็นอย่างไรบ้างครับ”

ถามหมอที่ออกมาจากห้องผ่าตัด นายแพทย์อดิเรกยิ้มเป็นสัญญาณของข่าวดี

“การปลูกถ่ายไขกระดูกประสบความสำเร็จครับ”

ป้าสมยิ้มโล่งใจยกมือพนมขึ้นสูง ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์วุ่น ภานุยิ้มออกมาได้ เหมือนภูเขาหนักๆถูกยกออกจากอก เขาทรุดนั่งลงคล้ายอาการเข่าอ่อน

“ขอบคุณครับ”ชายหนุ่มพึมพำเสียงแห้งแล้ง

“คุณหมอธารอาจจะต้องอยู่ห้องปลอดเชื้อเพื่อดูผลการปลูกถ่ายและกันไม่ให้ติดเชื้อ ญาติอาจเข้าเยี่ยมไม่ได้สักระยะนะครับ หลังการปลูกถ่ายไขกระดูก คนไข้อาจจะรู้สึกโดดเดี่ยว ญาติต้องให้กำลังใจมากนะครับ”

ภานุและป้าสมรับคำ มองเตียงซึ่งถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด สีหน้าซีดเซียวที่ได้เห็น ภานุสงสารจับใจ ป้าสมตามติดไปยังห้องปลอดเชื้อ มองเตียงต้นธาราถูกเข็นเข้าไปภายในนั้น ภานุที่ตามหลังมาติดๆมองผ่านกระจกเข้าไป คอตก

“อีกกี่วันถึงเข้าเยี่ยมได้ค่ะ?”ป้าสมถามนางพยาบาล

“สองอาทิตย์ค่ะ”

นางพยาบาลตอบ ก่อนปฏิบัติหน้าที่ของตน ภานุมองหน้าป้าสม

“นานจังเลยครับ”เขาพึมพำเพราะไม่อาจอยู่นานถึงขนาดนั้นได้

“ผู้กองรีบหรือคะ ถ้าอย่างนั้นกลับไปก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเข้าเยี่ยมคุณหนูได้เมื่อไร ป้าจะบอกให้ค่ะ เอ่อ...แล้วก็ขอบคุณผู้กองมากเลยนะคะที่ช่วยชีวิตคุณหนู”

ชายหนุ่มผงกหัว มองห้องปลอดเชื้อก่อนอำลาป้าสมทั้งๆที่ไม่อยากจากไปตอนนี้

------------------------------------------------


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
รู้สึกมึนหัว ทุกอย่างเบลอ...ดวงตาสีน้ำตาลลืมขึ้นมา มองรอบๆกาย ถอนใจเล็กน้อย รู้สึกขยับตัวไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก กระพริบตาถี่ๆเมื่อรู้สึกว่าอยู่คนเดียว แทนความกลัวเขากลับรู้สึกสงบ มันสงบเงียบคล้ายกับความรู้สึกที่ก้าวข้ามความตาย ความเหนื่อยล้าเกาะตามร่างกาย รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ มองประตูเปิด นางพยาบาลชุดขาวกก้าวเข้ามาพร้อมกับยา ต้นธารามองเธอยิ้มให้ เขานอนนิ่งๆไปปล่อยนางพยาบาลตรวจ

“ช่วงสอง-สี่สัปดาห์หลังปลูกถ่ายอาจทรมานหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะมาดูอาการทุกสองชั่วโมงนะคะ”

ต้นธาราผงกศีรษะ เขาได้รับฟังจากปากนายแพทย์อดิเรกแล้ว และเขาต้องอดทนเพื่อให้ผ่านช่วงนั้นไป

“อาจจะต้องอยู่ตามลำพังสักระยะโดยที่ญาติยังเข้าเยี่ยมไม่ได้”

รอยยิ้มของนางพยาบาลอ่อนโยน ดวงตาต้นธาราดูหมองๆขึ้นมา

“พักนะคะจะได้หายเร็วๆ”

พอเสร็จการตรวจนางพยาบาลออกไป ต้นธาราอยู่อย่างโดดเดี่ยว เขาเลือกที่จะหลับมากกว่าที่จะตื่น เพราะกลัวความเงียบเหงา
------------------------------------------------

ต้นธาราหลับไปและตื่นขึ้นมาหลายรอบ เขาหลับไปค่อยสนิทเลยเพราะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว มันเป็นแบบนี้อยู่ตลอดเวลา จะนอนก็นอนไม่เต็มตา เขาทรมาน หากต้องอดทน มองความมืดสลัว เหลียวหาป้าสมก็นึกออกว่าตัวเองอยู่ในห้องปลอดเชื้ออยู่ กระวนกระวายเหมือนถูกทิ้งอยู่ตัวคนเดียว คิดถึงภานุ คนๆนั้นไปไหนนะ? ถามตัวเองในใจ อยากได้คำตอบแต่ก็เหลือเพียงความเงียบงัน ต้นธาราอ่อนล้า เขาลองขยับมือจะฝืนลุกขึ้นก็ไม่อาจทำได้ นอนนิ่งๆ ดวงตาสีดำสนิทกระพริบถี่ๆ อาการคลื่นไส้อาเจียนถาโถมมาเป็นระรอก ได้แต่นอนร้องไห้เงียบๆ นางพยาบาลเข้ามาดูเมื่อได้ยินต้นธาราเรียก เธอเรียกนายแพทย์อดิเรกมาดูอาการ ซึ่งนายแพทย์อดิเรกตรวจอาการด้วยความรวดเร็ว

“คงเป็นอาการขับอวัยวะแปลกปลอม เตรียมเลือดและยาด่วน”

นางพยาบาลรีบจัดเตรียมตามที่นายแพทย์อดิเรกสั่ง

“อดทนหน่อยนะครับ”

ต้นธาราไม่รับฟัง เขาร้องด้วยความเจ็บปวด เขามองรอบข้างอย่างเบลอๆ เห็นเงาคนรอบกาย มองด้วยสายตาพร่าเลือน ต้นธารารู้สึกเจ็บตรงแนวข้อมือ เขากลั้นน้ำตา เห็นเงานายแพทย์อดิเรกก้มมองลงมา พลางเอ่ยปลอบโดยที่ต้นธาราก็ฟังไม่ออกเพราะในหัวมึนงง

“เรียบร้อยแล้วค่ะ”

นางพยาบาลบอก นายแพทย์อดิเรกผงกศีรษะ มองใบหน้าตีความเจ็บปวด ท่อนแขนเกร็ง สีหน้าซีดเหมือนซากศพที่ยังหายใจ

“คอยดูอาการไปอีกสักระยะ”

พอทุกอย่างจบลง ต้นธาราอยู่ตามลำพังเช่นเคย เขาตาปรือ อาการจากฤทธิ์ยาทำให้สมองเบลอและพร่าเลือน น้ำตาไหลออกจากหางตา

“พ่อ...”เรียกขานชื่อของบิดา ต้นธาราเหลียวมองหา เขาอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ใช่ที่ค่ายนั้น พ่อกำลังติดงาน “แม่...”เขาร่ำร้องหามารดาเหมือนกับเด็กๆที่โหยหามารดาจับใจ โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย

------------------------------------------------

ภานุเดินทางกลับไปยังค่าย เขาถือกระเป๋าลายพรางกระชับแน่น มองดูรถโดยสารที่จะขึ้นไปยังเหนือ ในใจก็คิดถึงต้นธารา เขาก้าวขึ้นรถ เกือบบ่ายที่เขาได้ออก ชายหนุ่มทรุดนั่งที่ริมหน้าต่างมองดูอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้า รู้สึกว่าวันเวลามันผ่านไปช้าๆ

“ธาร...เอาไว้ผมเสร็จงานก่อนนะ คุณต้องเข้มแข็ง เพื่อผมนะธาร...”

เขาพึมพำ รถเคลื่อนตัวออกจากสถานีกรุงเทพฯ สายตาคมเข้มจับจ้องออกไปเบื้องนอกตลอดเวลา เย็นย่ำรอบกายเงียบสงบ ภานุเอาแต่คิดถึงคนที่อยู่ที่โรงพยาลก็คงไม่ต่างอะไรจากคนที่นอนพักอยู่.....ชายหนุ่มมองความมืดนอกรถ หลับไปเพราะอ่อนเพลีย สะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อรถจอดส่งผู้โดยสารตามรายทาง เขาหรี่ตาลงเมื่อประสบกับไฟสว่างจ้า

“คงถึงนั่นราวๆตีสาม”

มองนาฬิกาข้อมือ กะเวลาไว้ในใจ รถเคลื่อนตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มเอนหลังติดเบาะ กอดกระเป๋าแน่นเพื่อจะหลับให้สบายต่อ ภานุกลับนอนไม่หลับเสียแล้ว ตื่นเต้มตามองดูความมืดมิด ใบหน้าของต้นธาราโผล่ขึ้นมา กลัว...ที่จากกันมาโดยที่ยังไม่ได้พบหน้าหลังผ่าตัด คิดอยู่แบบนั้น วนเวียนไปมาจนตัวเองง่วงงุนผล่อยหลับไป

------------------------------------------------

ถึงสถานีเชียงราย ชายหนุ่มขนกระเป๋าลงจากรถ ห่อไหล่เพราะลมหนาวพัดอู้ ชวนให้นึกถึงร่างอุ่นๆของต้นธารา ตอนนั้นเขายังไม่ได้พาต้นธาราไปดุประเพณีของชาวเขา เอาแต่ทะเลาะกัน กว่าจะเข้าใจ มันก็เกือบสายไป เขารัก...ยิ่งรักมากขึ้นเมื่อรู้ว่าต้นธารานั้นรอคอยเขามานานแค่ไหน หารถกลับไปยังค่าย นั่งซึมไปตลอดทาง มองท้องฟ้ากระจ่างด้วยประกายดาว หวนคิดถึงอดีต

ความรักของต้นธาราก็เปรียบเหมือนดาวหม่นแสงคอยมองดูอยู่เงียบๆ ก่อนเรียกร้องหาความรัก เอาจริงเอาจังกับมัน เขาทอดถอนใจ นั่งคิดเรื่องในอดีตทีไร เขาก็รู้สึกว่าตัวเองทำเลวเอาไว้เยอะ ระลึกถึงคำสัญญาระหว่างเจ้าเพื่อนรักเขาก็ปวดใจยิ่งนัก

รถแล่นจอดหน้าค่าย ภานุจ่ายเงิน ก่อนมองรถรับจ้างแล่นหายไปในความมืด เขาตบฝุ่นตามลำตัว เดินแบกกระเป๋าเข้าไปในค่าย มองตัวค่ายเงียบสงบ เขาไปรายงานตัวกับท่านนายพลก่อน ซึ่งท่านนายพลพิภพยังไม่นอน เห็นหน้าภานุท่านก็ทำหน้าเครียด ภานุยกมือไหว้ท่าน นายพลพิภพรับไหว้ด้วยสีหน้าดุๆ ภานุก้าวขึ้นเรือนพักของท่าน วางกระเป่าลง

“อาการของลูกข้าเป็นไงบ้างวะ”ท่านถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ


“ตอนนี้การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นผลสำเร็จครับท่าน”

ท่านนายพลงกศีรษะ เรื่องนี้ได้รู้มาจากแม่บ้านประจำครอบครัวแล้ว ท่านอยากรู้มากกว่านี้ รอให้ชายหนุ่มรายงาน

“ก่อนที่ผมจะกลับมาคุณหมออยู่ที่ห้องปลอดเชื้ออยู่ครับท่านเลยยังไม่รู้อาการอะไรมาก”

ภานุตอบไปอย่างสุภาพ สายตามองไปยังประตูที่เปิดออกกว้าง พันเอกหนุ่มชานเนนเดินออกมา ทักทายผู้กองหนุ่ม ท่านนายพลหันไปสนทนาด้วย

“การปลูกถ่ายกระดูกไขกระดูกของธารประสบความสำเร็จ”

สีหน้าของพันเอกหนุ่มมีแววยินดี

“เห็นผู้พันบ่นเป็นห่วง ลองขึ้นไปเยี่ยมธารดูไหมครับ?”

ร้อยเอกหนุ่มเหมือนถูกลืม พันเอกหนุ่มผงกศีรษะ

“ก็ดีเหมือนกันครับ”

ภานุก้มหน้าทำความเคารพผู้ที่มียศสูงกว่าคล้ายอำลา

“ขอบใจเอ็งมาก”

ภานุถือกระเป๋าเดินลงจากเรือนพักของนายพลชรา หันไปดูเห็นท่านคุยกับพันเอกหนุ่มด้วยใบหน้าสดใสก็รู้สึกหงุดหงิด

...เขาเป็นคนบริจาคไขกระดูกให้ธารแท้ๆ ไม่ใช่มัน...

อาการขุ่นเคืองกำเริบ ชายหนุ่มระงับสติ ไม่อยากให้ความโกรธเข้าครอบงำ เดินไปยังบ้านพักที่เงียบงันและมืดมิด ชายหนุ่มโยนกระเป๋าลงบนขั้นบันได ทรุดนั่งฟังเสียงลมหวีดหวิว

....ธารเป็นของเขา ไม่มีใครที่จะเอาไปได้....

พิษรักกำเริบ โดยที่ภานุยังไม่รู้สึกตัว มองบ้านที่เคยกกกอดร่างบอบบาง มองที่ที่เคยทำให้ร้องไห้ ยิ่งมีความรุ้สึกนี้ก่อขึ้นในใจมากเท่าไร เขาก็ไม่อาจปล่อยมือจากต้นธาราไปได้เลย สัญญาของเขาและต้นธาราจะมั่งคง...แม้กระทั่งความตายก็พรากมันไปไม่ได้...ลุกขึ้นเดินเข้าบ้านโดยที่หัวใจติดอยู่กับต้นธาราอย่างไม่อาจถอดถอน
------------------------------------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด