ตอนที่ 28
ตกบ่ายไอ้เพทายกับไอ้เป้กอดคอกันมาเยี่ยม มันสองตัวทำหน้าตื่นเต้นกันมากที่ได้รู้ข่าวเรื่องผมสามารถลุกขึ้นมาคุยกับพวกมันได้เหมือนเดิม มิหนำซ้ำของที่เอามาเยี่ยมคนเพิ่งฟื้นอย่างผมยังเป็นข้าวเหนียวส้มตำปลาร้าที่ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
หากลองให้ถามว่าไอ้พวกห่านี่มันเคยคิดกันบ้างมั้ยว่าผมจะกินได้มั้ย ขอตอบเลยว่ามันคิดกันมาก่อนหน้าจะซื้อกันแล้วครับว่าผมต้องกินไม่ได้ ถึงได้เอามานั่งกินล่อหน้าล่อตาผมอย่างเอร็ดอร่อยเยี่ยงนี้ไง แม่งกวนส้นตีน!
“แน่ใจนะว่ามึงจะไม่กินกับพวกกู” ไอ้เป้ถามขณะตักส้มตำใส่ปากคำโต หน้ามันตอนที่ถามผมนั้นวอนโดนอะไรฟาดมาก และผมโคตรอยากให้สิ่งนั้นเป็นหน้าแข้งของผมเสียจริงๆ ให้ตายสิ
“ซุปหน่อไม้ก็มีนะเว้ยสาม ของโปรดมึงไม่ใช่เหรอวะ” ไอ้เพทายยักคิ้วลิ่วตาก่อนจะตักซุปหน่อไม้ขึ้นมาโชว์ผม หมายมั่นจะยั่วน้ำลายกันให้ได้ ไอ้เพื่อนเลว
“การแทคทีมของพวกมึงน่าจะโดนตีนคู่ของกูนะ” ผมกัดฟันบอก
“เฮ้ยๆ พวกกูเป็นห่วงกลัวมึงจะหิวหรอกนะ ถึงได้ชวน อะไรว้า ทำดีไม่ได้ดี” ไอ้เป้ลอยหน้าลอยตาพูด
“ใช่ๆ ไม่ใช่เพื่อนไม่ทำนะมึง” ไอ้เพทายสำทับให้กับคำของไอ้เป้หนักแน่นขึ้น ซึ่งหากผมหลงกลเชื่อก็โง่กว่าปลาทองล่ะครับ
“เพื่อนหมาๆ น่ะสิ รีบๆ ยัดเข้าไปเหอะจะได้เก็บทิ้ง กลิ่นแม่งจะทำห้องเน่าอยู่ละ”
“แหม เดี๋ยวนี้ทำเป็นรังเกียจนะ” รังเกียจพ่อง กูเกรงใจพวกหมอพวกพยาบาลเขาหรอกเว้ย
“ใช่ซี่~ ตอนนี้คุณสามเขาเป็นคนใหม่แล้วนี่เนอะ หลับไปนานจนถึงแดนฟ้าดาวดึงส์ขนาดนั้นจะให้ตื่นมากินอาหารบ้านๆ อย่างพวกเราคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแหละ” ไอ้เป้ ไอ้ปัญญาอ่อน
“เป้ ขอร้องอย่าหาเรื่อง ถึงกูเจ็บอยู่แต่กูก็ลุกขึ้นไปเตะมึงได้นะ อย่าลืม” ผมขู่
“อุ๊ยตาย กลัวจังเลยค่า เพทายขาช่วยเป้ด้วยนะคะ” มันกระเถิบเข้าไปเกาะไหล่ไอ้เพทายที่นั่งน้ำหูน้ำตาไหลจากการหัวเราะไม่หยุด สัด!
“กูบอกให้เลิกเล่น” ผมเน้นเสียงเหี้ยม ไอ้เป้หยุดการอ้อล้อทันที
“กูอยากให้มึงเฮฮา”
“มันใช่เวลามั้ย” ผมถาม ไอ้เป้หน้าจ๋อย
“เครียดอะไรของมึงอีกล่ะ” ไอ้เพทายว่า
“แรกๆ ก็ไม่ แต่หลังๆ น่าจะใช่ กูเครียดกับพวกมึงนี่แหละ กินล้ออยู่ได้ รู้ว่ากูยังกินรสจัดไม่ได้ยังเสือกล้อไม่ดูอารมณ์ เดี๊ยะๆ”
“ขำๆ น่า”
“แดกเงียบๆ ไปไอ้เป้ ก่อนที่มันจะกลายเป็นมื้อสุดท้ายในชีวิต” ผมบอกเสียงเด็ดขาด หลังจากนั้นมันสองตัวก็ช่วยกันกินช่วยกันเก็บล้างจนห้องสะอาดเรี่ยมไม่มีกลิ่น
.
.
.
ตลอดบ่ายผมนั่งดูรายการโทรทัศน์ไปปากก็อ้าหาวหวอดๆ อย่างรู้สึกง่วงขึ้นมาเล็กน้อย จึงคิดจะขยับตัวลงจากเตียงไปเข้าห้องน้ำแล้วค่อยกลับมานอนเอาแรง ทว่าได้ยินเสียงเคาะประตูห้องผมเลยต้องพับความคิดนั้นเก็บไว้ก่อน
“แม่” ผมเอ่ยเรียก แม่ได้ยินก็รีบวางตะกร้าหวายลงแล้วเข้ามากอดผมทันที
“สามฟื้นแล้ว โอ้ขอบคุน คุณพระคุณเจ้าที่ช่วยให้ลูกชายของแม่ปลอดภัย” แม่ระดมหอมแก้มผมยกใหญ่ จากนั้นก็ผละออกไปมองผมน้ำตาซึม
“สามแค่ผ่าตัดเองนะแม่ ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงหรืออยู่ในขั้นโคม่า” ผมพูดติดตลกหวังจะให้แม่ขำพลางยกมือขึ้นปาดหยดน้ำตาให้แม่ “แล้วแม่มาเยี่ยมสามแบบนี้ แม่ให้ใครดูร้าน พี่หนึ่งหรือพี่สอง?”
“แม่...” แม่อ้ำอึ้ง
“สาม ช่วงที่มึงไม่ได้สติ แม่มึงไม่ได้ขายของนะ” ไอ้เพทายบอกอย่างไม่กล้าจะสบตาผมสักเท่าไร
“ทำไมล่ะแม่ สามอยู่โรงพยาบาลบ้านเราก็ต้องใช้เงินนะ ไหนจะค่ากินค่าอยู่รายวันอีกล่ะ ประกันจ่ายให้ได้ไม่หมดไม่ใช่เหรอ”
“แม่ก็อยากขายนะสาม แต่เห็นแกหลับไม่ได้สติแล้วแม่ใจหายจริงๆ” แม่พูดพร้อมกับนั่งลงบนโซฟาที่ไอ้เป้ลากออกมาให้
“ใจหายหรือไม่มีคนช่วยหุงข้าว” ผมกระเซ้า ทั้งๆ ที่ใจร้อนรนกับค่าใช้จ่ายไม่น้อย แม่ขมวดคิ้วแล้วตีแขนผมแรงๆ
“ทำเป็นเล่นนะตาสาม รู้มั้ยว่ามีคนเขาห่วงเราเยอะแยะขนาดไหน น่าตีจริงๆ” ตีแล้วเหอะ สามเจ็บด้วยนะจ๊ะแม่จ๋า
“หูย สามแค่เป็นห่วงสวัสดิภาพการเงินบ้านเรา แล้วก็ไม่อยากให้แม่ดราม่าเฉยๆ”
“มามงมาม่าอะไร อยากกินก็ไปซื้อ” ไม่ใช่ละแม่ ดราม่าเศร้าๆ ไม่ใช่มาม่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
“ไม่ใช่มาม่าแบบนั้นแม่ เออ ช่างเหอะ เอาเป็นว่าแม่ไม่ต้องเป็นห่วงสามแล้วนะ สามฟื้นแล้ว ไม่กี่วันหมอคงให้กลับบ้านได้ แม่ตั้งใจขายของนะจ๊ะ เดี๋ยวสามกลับบ้านไปจะไม่มีงานให้ทำใช้หนี้ หุๆ” ไม่วายหลุดแซว แม่ได้ทีขบเขี้ยวจัดมาให้อีกหนึ่งดอก เน้นๆ แดงเป็นรอยนิ้วมือเลยสิแขนผม
“ทำเป็นเล่นตลอดนะเรา” แม่หันไปหาเพื่อนสองคนของผมที่ยืนอยู่หลังโซฟา “ลูกเป้กับลูกเพทายช่วยแม่เทกับข้าวใส่จานให้ตาสามกินหน่อยนะ เดี๋ยวแม่ขอตัวไปคุยกับหมอเรื่องกลับบ้านของสามมันหน่อย”
“ไม่มีปัญหาครับแม่” ไอ้เป้ตอบรับก่อนจะเดินไปจัดแจงแกะถุงแกงสองสามอย่างในตะกร้าหวายใส่จานกับไอ้เพทาย
“เจอเดย์มั่งมั้ยสาม” แม่หันมาคุยต่อ ผมชะงักหยุดแม้กระทั่งลมหายใจ
“อือ ก็เจออ่ะ ตื่นมาก็เห็นมันแล้ว ทำไมเหรอแม่”
“เปล่า งั้นแม่ไปคุยกับหมอก่อนนะ” แม่พูด แต่ผมรู้ได้ด้วยตัวเองเลยว่า แม่กำลังสงสัยเรื่องความทรงจำของผมกลับมาบ้างหรือเปล่า
“ฝากตาสามให้กินข้าวให้หมดด้วยนะลูก” แม่ลุกขึ้นเดินไปบอกไอ้เป้กับไอ้เพทายจากนั้นก็เปิดประตูออกไป ผมมองบานประตูที่ปิดสนิทแล้วทอดถอนหายใจ
“แกงจืดตำลึง ผัดวุ้นเส้น ไข่เจียวหมูสับ โห น่ากินทั้งนั้น” ไอ้เป้สาธยายขณะยกสำรับอาหารมาเสิร์ฟผมถึงเตียง
“แม่มึงทำใช่ป่ะ” ไอ้เพทายขโมยฉกหมูชิ้นในจานผัดวุ้นเส้นของผมไปกิน และถามทั้งๆ ที่หมูยังเต็มปาก มารยาททรามมากครับมึง
“คงงั้นมั้ง เครื่องเยอะขนาดนี้ซื้อในกรุงเทพคงไม่มีหรอก” บอกอย่างไม่ใส่ใจนัก ผมชำเลืองมองไอ้เป้ที่ยืนละล้าละลังจะทำอะไรก็ไม่ทำ จะพูดอะไรก็ไม่พูด “เป็นห่าไรเป้ ยืนบิดอยู่นั่น ปวดเยี่ยวไงวะ?”
“ปวด เอ้ย ไม่ใช่ เออสาม กูมีอะไรจะถาม มึงอย่าไปบอกแม่มึงนะว่ากูถามน่ะ” ไอ้เป้ทิ้งตัวนั่งลงที่ปลายเตียง ผมก็มองหน้ามันรวมทั้งส่งสายตาให้มันถามมาเพราะกูจะกินข้าวแล้วครับ หิว... อันที่จริงข้าวโรงพยาบาลผมก็กินนะ แต่กินน้อยมากเพราะมันไม่อร่อยสักนิด และต่อให้คุณจ่ายค่ารักษาแพงแค่ไหน มันก็ไม่อร่อยเลยเหอะ
“แม่มึงมีอะไรกับไอ้เดย์ป่ะวะ?” มันตัดใจถามในที่สุด
“มึงหมายความว่าไง?” ผมย้อน ไอ้เป้เหลือบมองไอ้เพทายพร้อมกับขยับตัวตรง
“ก็ช่วงหลายวันที่มึงหลับอยู่ กูได้ข่าวมันเข้าออกบ้านมึงบ่อยๆ อยู่นะ”
“ไปได้ข่าวมาจากไหน ข่าวมั่วเปล่า” ผมซักไซ้ไล่เรียง
“เฮ้ย ไม่มั่ว ฝนเขาบอกกูมา” ไอ้เป้รีบพ่นชื่อคนให้ข่าว
“แล้วน้องเขาไปรู้ได้ไง” ผมยังไม่เลิกเซ้าซี้
“คือ...”
“บอกกูมาไอ้เป้ ถ้ามึงคิดจะถามกูอยู่”
“บอกน่ะบอกได้ แต่กูไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนน่ะสิ” ไอ้เป้ตอบเสียงแห้ง
“เอาแค่รู้เรื่อง ไม่ต้องยืดเยื้อ” ผมวางช้อนลง
“คืองี้นะ ฝนเขาไปบ้านมึง...”
“ไปบ้านกู? ไปทำไม”
“กูกำลังจะบอกอยู่เนี่ย ฟังเฉยๆ ก่อนไม่ได้ไงวะ ถามจริงวุ้ย” ไอ้เป้เหวี่ยง ผมนั่งนิ่งไม่คิดเถียง “ฝนเขาไปแถวบ้านมึงเพราะหอพักเพื่อนเขาอยู่แถวนั้น กูไม่รู้หรอกว่าเขารู้จักบ้านมึงได้ไงเพราะกูไม่ได้ถามเหมือนกัน แต่ฝนบอกผ่านไปทีไรก็เห็นไอ้เดย์เข้าออกบ้านมึงทุกที แค่นี้แหละ”
“แล้วทำไมฝนไม่ถามไอ้เดย์เอง พี่น้องกันไม่ใช่ไง” ผมนิ่วหน้าแปลกใจกับคู่นี้
“กูจะไปรู้ได้ไง”
“แล้วมึงไม่ถาม”
“เอ๊า ไอ้คนป่วยนี่ กูยังไม่ได้เป็นอะไรกับน้องเขานะโว้ย จะไปกล้าถามเซ้าซี้ได้ไง เกิดเขาเกลียดกูขึ้นมา กูไม่ต้องอกหักแดกแห้วแทนอากาศเหรอ บักควายนี่!” จบครับ จบคำบอกเล่าของไอ้เป้
“สาม กูว่าถ้ามึงไม่กล้าถามแม่เอง มึงลองถามไอ้เดย์ดูดีกว่ามั้ย เพราะกูก็ชักสงสัยขึ้นเหมือนกัน” ไอ้เพทายเสนอทางคิด
“เออ มึงถามมันเอาเองเลยดีกว่า” ไอ้เป้เสริม
“พวกมึงคิดว่ามันจะยอมบอก?” ผมเลิกคิ้ว ถือช้อนที่ตักแกงจืดคาไว้
“ล้านเปอร์เซ็นพวกกูคิดว่ามันต้องบอกมึง!” พวกมันสองคนพร้อมใจกันตอบ เออดี ไอ้เรื่องโยนขี้ให้กูเนี่ย เข้ากันเป็นปีเป็นขลุ่ยจริงเลยนะไอ้พวกบ้า********************************************
ยาวที่สุดใน 28 ตอนละว่าป่ะ ใกล้รู้เรื่องละ ตอนหน้ามีหวานอีกหน่อย แล้วก็จะพาไปเครียด แต่ไม่มาม่านะต๊ะ
จากนั้นก็คงจบ แถมตอนพิเศษหวานๆ ของคู่สามและเดย์ (สปอยสิชิมิงี้) ปล.คู่ลูกกลิ้งกับวิทยาเก็บไว้เจอกัน