ตอนที่ 4พอเดินเข้าคอนโดฯ แอนดรูว์ก็ส่งแฟ้มรายงานฉบับบางๆ ให้
“ไหนบอกว่าไม่ต้องรีบร้อน” เกียถามยิ้มๆ ขณะที่วางกระเป๋าสะพายลงบนโซฟา แล้วนั่งลงอ่านแฟ้ม
“คดีพวงเพชร แม่ของเพียง”
เพราะแอนดรูว์เป็นเพื่อนกับมโหธรพี่ชายคนโตของบ้าน จึงเรียกทุกคนในบ้านนี้ด้วยชื่อเล่น ทั้งมีน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กๆ ที่เพื่อนใช้ให้ทำงานโดยที่ปิดบังเรื่องราวหลายอย่างไว้
พวงเพชรมีจุดจบไม่ต่างจากลูกสาว คือโดนยิงตาย แต่เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกล จึงไม่ปรากฏในข่าวอาชญากรรม และอัคราก็ปล่อยให้ตำรวจทำไปตามหน้าที่ ไม่ได้ออกหน้ากดดันการทำงานของตำรวจ เช่นเดียวกับกรณีของเพชรแท้
“เขาไม่เคยยื่นหนังสือหรือเรียกร้องให้ตำรวจเร่งการทำงานหาตัวคนร้ายเลยนะ ตั้งแต่เมียจนมาถึงลูก” แอนดรูว์บอก
เกียเห็นด้วย “เพราะเขารู้ว่าใครทำ และเขาไม่เชื่อกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นเขาต้องมีแผนของเขาเอง”
ชายตัวโต 2 คนหยุดคิด แล้วพูดพร้อมกัน “เขาต้องมีคนทำงานสืบให้”
ตั้งแต่พบกันครั้งแรก มโหธรก็บอกอย่างนี้ คุ้มครองข้าวพองไว้จนกว่าจะแน่ใจ.....
ภาพของเด็กหนุ่มผมยาวระบ่าซ้อนขึ้นมาบนภาพของพวงเพชรและเพชรแท้
เกียคิดว่า พ่ออาจกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายกับลูก ถึงได้เลือกที่จะเงียบ แต่เมื่อเกิดเรื่องร้ายกับเพชร ถึงได้รู้ตัวว่าคนร้ายยังไม่ยอมวางมือง่ายๆ จนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ
....มันต้องมีการเจรจา และข่มขู่ระหว่างคนร้าย กับอัคราและมโหธรสิ....
ขณะที่เกียตั้งปมประเด็นข้อสงสัย แอนดรูว์ก็ให้ความมั่นใจ “เรื่องสืบกูจัดการเอง เพราะกลับไปอังกฤษคุยกับพวกอินเตอร์โปลง่ายกว่า เพราะเขาต้องติดต่อเรื่องเพชรกับทางลอนดอนอยู่แล้ว ก็แค่หาว่าเขาคุยผ่านใคร” เว้นไปครู่หนึ่งก็พูดต่อ “เรื่องสอนข้าวพองไหวแน่นะ”
“ไหวสิ เด็กๆ มักจะทดสอบครูตอนที่เจอกันครั้งแรกอยู่แล้ว”
“งั้นก็เบาใจ เห็นประวัติว่าเปลี่ยนครูบ่อยๆ ก็มองว่าสุดแสบ”
“ไม่เท่าไหร่” เกียยิ้ม “เทียบกับพวกขี้ยา วัยรุ่นแถวลอนดอนแล้วยังห่างไกลอยู่มาก”
“เออ ใช่” แอนดรูว์นึกขึ้นมาได้ “อย่าลืมตัวขึ้นมาล่ะ นั่นเป็นคุณหนูเล็กของบ้านเชียวนะ”
พอเกียหัวเราะ แอนดรูว์ก็รู้ทันที “เตือนช้าไปใช่มั้ย”
หนุ่มลูกครึ่งพยักหน้ายอมแพ้ “สัญญาว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก”
“เออ” หลังจากคุยงานวันนี้จบ แอนดรูว์ก็กลับมาหงุดหงิดเรื่องมโหธรอีกครั้ง “รู้จักไอ้เพียงมานานกว่า 10 ปีไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีความลับ”
เกียแค่รับฟังแอนดรูว์บ่นไปเรื่อย ในระหว่างที่อ่านแฟ้มรายงานคดีของพวงเพชรอีกรอบ แล้วหยิบคดีของเพชรแท้มาเปรียบเทียบ
ต้องสวมหมวกหลายใบ ใส่หน้ากากหลายชั้นในเวลาเดียวกัน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องทำงานแฝงตัวเพื่อสืบคดี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกแปลกพิกลจนต้องย้ำกับตัวเอง ว่าเราคือตำรวจที่ต้องออกจากราชการเพราะอาการบาดเจ็บเรื้อรัง และกำลังรับงานสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับคุณหนูอายุ 17 ปี
แฟ้มสุดท้ายที่แอนดรูว์ส่งให้คือ รายงานเกี่ยวกับบรรดาครูพิเศษของข้าวพองในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา คือช่วงก่อนที่เพชรแท้จะเสียชีวิตนานกว่า 1 ปี แต่ละคนทำงานได้ไม่นานนัก ที่นานที่สุดคือ 3 เดือน
เกียบันทึกภาพและประวัติของทุกคนเข้าสู่สมอง
“ต้องขอประวัติของนิรมลเมียของเพียงด้วย” เกียพูดเสียงต่ำๆ แอนดรูว์รับคำสั่งโดยปราศจากคำพูด
เวลาผ่านไปเกือบ 2 ทุ่มแอนดรูว์หันมาชวนเกียไปตระเวนกรุงด้วยรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่สถานทูตให้ยืมใช้ 1 สัปดาห์
“เส้นดีนี่หว่า” เกียแซว แอนดรูว์ก็ยักคิ้วรับ
“ให้รู้ซะมั่ง” ก่อนที่จะสตาร์ทรถ แอนดรูว์หันมาบอกอีกที “ถ้ากูกลับไปแล้วมึงจะใช้ต่อก็แจ้งขอยืมต่อได้”
เกียส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกพอมึงกลับไป กูก็คงต้องไปนอนบ้านโน้น”
“แต่ห้ามทิ้งบ้านนี้” ฝรั่งตัวโตใช้ประโยคและน้ำเสียงที่ตีความได้หลายแนวทาง จนอีกคนหัวเราะ
“เออ กูไม่ลืมหรอกน่า ว่ากูเป็นใคร”
ช่วงหัวค่ำการจราจรยังคับคั่ง แอนดรูว์กลับเป็นคนที่รู้เส้นทางในเมืองหลวงดีกว่าเกีย พาลัดเลาะไปจนถึงสถานบันเทิงที่เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ แล้วพากันออกมาก่อน 5 ทุ่มเพื่อที่จะเปลี่ยนไปร้านอื่น
“ทำไมต้องกินเหล้าหลายร้าน” เกียถาม เพราะเพื่อนตำรวจที่รู้จักกันมักจะไปร้านประจำเสร็จแล้วก็กลับบ้านนอน แต่แอนดรูว์มีทีท่าว่าจะไปต่ออีกหลายร้าน
แอนดรูว์หัวเราะก่อนบอก “กูมีเวลาน้อย ต้องเที่ยวให้ทั่วไง”
แล้วแอนดรูว์ก็ทำให้เห็นว่าการเที่ยวให้ทั่วต้องทำอย่างไร เพราะฝรั่งตัวโตขับรถมอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆ เป็นการขับรถชมวิวของแท้
“เชื่อสิ รถแพงๆ เนี่ยไม่มีใครกล้าเรียกตรวจหรอก”
แม้จะสวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้า แต่เกียก็รู้ว่าแอนดรูว์กำลังมีความสุขมากกับการที่ไม่ต้อง –ทำงาน-
เดินเข้าร้านสะดวกซื้อ ได้เบียร์คนละขวดออกมานั่งดื่มอยู่หน้าร้าน เสียงหัวเราะของแอนดรูว์ดังก้อง ใบหน้าแดงก่ำ ขณะจิบเบียร์จากขวดในระหว่างการเล่าเรื่องตลกในการทำงาน
“จอร์จแม่งอย่างกับถังเบียร์วิ่งไล่ตามจิ๊กโก๋อายุ 16 มึงคิดดูสิ ตึกๆๆๆ”
เกียนึกภาพตาม ตำรวจอายุเกินกว่า 40 มักจะเป็นแบบนั้น
“ถ้ากูเป็นไอ้เด็กนั่นนะ กูจะไปนอนรอที่เสาไฟฟ้าหน้า รอจอร์จมันตามไปใกล้ๆ แล้วค่อยวิ่งต่อ”
“แล้วมึงทำไง”
“ทำไง กูก็ยืนหัวเราะน่ะสิ” จนถึงตอนนี้แอนดรูว์ก็ยังหัวเราะอยู่ “กลับมามันฟ้องหัวหน้าใหญ่ว่ากูไม่ทำงาน กูบอกกูทำงาน มันน่ะแหละอ้วนเกิน ทำลายสมาธิกูทำให้วิ่งไม่ไหว”
เกียเพียงยิ้มขำ ขณะที่มองข้ามฝั่งไปไกลถึงผับเล็กๆ ที่ฝั่งตรงข้าม
“นั่นข้าวพองหรือเปล่า” แอนดรูว์เป็นคนพูดทัก ขณะที่เกียเพียงแต่เพ่งมอง
ท่ามกลางกลุ่มหนุ่มสาววัยรุ่น ประมาณ 10 คน หญิงสาวคนหนึ่งกำลังโอบเอวข้าวพองเดินเข้าไปในสถานบันเทิง
จากภาพที่เห็น สมองประมวลผลทันที ในกลุ่มนี้ไม่มีใครที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของข้าวพอง
โดยไม่ต้องมีใครออกคำสั่ง ทั้งแอนดรูว์และเกียวางขวดเบียร์แล้วขับมอเตอร์ไซค์ไปจอดที่ร้านฝั่งตรงข้าม
เพียงแค่ยืนหลังตรงแล้วกวาดตามองไปรอบๆ พนักงานที่คุมหน้าร้านก็มองหน้ากัน แต่ก่อนที่จะก้าวเข้าไปข้างใน แอนดรูว์ก็ชี้ไปที่ระดับอกของคนคุมหน้าร้าน
“เราแค่มาหาคน ไม่ต้องตื่นตกใจ”
พนักงานพยักหน้าหงึกหงัก ถามกลับด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น
“หาใคร”
แอนดรูว์ยกยิ้มมุมปาก แล้วย้ำคำเดิม ขณะที่เดินนำเข้าไปก่อน
แม้เสียงเพลงจะดังกระหึ่ม ผู้คนจะพลุกพล่าน แต่เกียก็มองเห็นคนที่กำลังตามหา
มุมหนึ่งของร้าน หญิงสาวคนนั้นซุกหน้าอยู่กับไหล่ของข้าวพอง ขณะที่กลุ่มเพื่อนชายหญิงโยกตัวไปตามจังหวะเพลง
เกียก้าวยาวๆ เข้าไปหา ส่วนแอนดรูว์กลับหยุดเท้าจับข้อศอกของเกียไว้ แล้วส่งสัญญาณให้เกียเดินเข้าไปเพียงลำพัง
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เกียก็เข้าใจว่าทำไมแอนดรูว์ถึงได้ไม่ตามมาด้วย
เพราะคนที่ซบหน้าลงกับไหล่ของข้าวพองคือหนึ่งในอดีตครูสอนพิเศษของข้าวพอง
ข้าวพองมีสีหน้าตกใจเมื่อเห็นคนตัวหนาเดินตรงมาหา มือผอมๆ ผลักคนที่ซบไหล่อยู่ออกไปทันที
“มะ มาได้ไง”
“มาทำหน้าที่ไง” เกียตอบเสียงต่ำๆ หันไปมองกลุ่มคนที่ล้อมรอบข้าวพอง
“ขออนุญาตนะครับ” เกียคว้าข้อมือข้าวพองให้เดินตามมาด้วย
ไม่มีใครกล้าขัดขวาง ขณะที่หญิงสาวคนนั้นลุกตามมาจนถึงด้านหน้า
“จะพาพองไปไหน”
“กลับบ้าน” เกียหันมาตอบ
ข้าวพองหายใจเข้าลึกๆ ยืนโงนเงน ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนไม่อยากกลับบ้าน หากแต่มีอาการมึนงง จนเกียต้องขมวดคิ้ว
....ตอนเดินเข้าร้านยังดูปกติ เมื่อนาทีที่แล้วยังจำเราได้ แต่ตอนนี้ดูเบลอๆ...
หญิงสาวดึงข้าวพองให้กลับมาหา เด็กหนุ่มเซตามแรง แต่เกียโอบเอวกลับมา
“ข้าวพองอยู่กับเรานะ” หญิงสาวยื้อไว้
“อย่ายุ่งกับเขา ไม่อย่างนั้นผมจะจับคุณฐานมอมยาเด็ก แล้วข้าวพองก็ยังอายุไม่ถึง 18 ปีด้วย”
พนักงานร้านที่อยู่ใกล้ๆ หันมามองหน้ากัน
“แกเป็นใคร” หญิงสาวตะคอกใส่
เกียยิ้มมุมปากไม่ตอบคำถาม โอบเอวบางของข้าวพองไปที่รถมอเตอร์ไซค์จับให้ซ้อนท้าย แทบต้องมัดมือให้กอดเอวหนาให้แน่น เพื่อไม่ให้ตกลงไป
เมื่อพ้นเขตร้านถึงได้เห็นรถของแอนดรูว์ตามมาจนถึงบ้าน
“กูจะกลับไปคอนโดฯ นะ”
เกียพยักหน้ารับรู้ “ขอกูดูก่อนว่าโดนยาอะไร อาจไม่ร้ายแรง”
แอนดรูว์มองคนที่หลับตาแล้วพยักหน้า
“อาจแค่มอมยาเฉยๆ ก็ได้”
ยามที่หน้าบ้านเปิดประตูให้เกียเอารถเข้าบ้าน แล้ววิ่งตามมาช่วยประคองข้าวพองไว้ ขณะที่เกียลงจากรถแล้วช้อนอุ้มเข้าไปในบ้าน
บ้านที่ยังคงเงียบกริบเหมือนเดิม
..ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาห่วงเด็กคนนี้แบบไหน เสียเงินมากมายเพื่อจ้างคนมาดูแล แต่ตัวเองกลับหายไปไหน....
เมื่อวางหนุ่มตัวเล็กลงบนเตียง ยามคนเดิมยังคงยืนรอคำสั่งของเกีย
แต่เกียไม่ได้ออกคำสั่ง
“ปกติจะกลับมาตอนกี่โมง”
“ประมาณตี 3 ครับ”
“ใครมาส่ง”
“เพื่อนๆ ครับ”
“หลับแบบนี้ทุกครั้งเลยหรือเปล่า”
“เปล่าครับ ถ้ามากับเพื่อนจะไม่เมาเลยครับ เดินตัวตรงเป๊ะ แต่ถ้าเมาหลับมาแบบนี้คนที่มาส่งมักเป็นครูไอรีน”
....ใช่จริงๆ....
เกียพยักหน้า หันไปหากระดาษแผ่นเล็กๆ จดเบอร์โทรศัพท์ส่งให้ “แล้วปกติคุณเป็นคนพาเขาเข้าบ้านหรือไอรีนพาเข้ามา”
ยามยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว “ผมชื่อยอดครับ ครูอย่าเรียกผมว่าคุณเลย ผมเป็นคนพาคุณข้าวพองมาที่ห้องเองครับ เดี๋ยวพี่อุบลจะมาเช็ดตัวให้ครับ”
“คืนต่อไป ถ้าคุณข้าวพองออกไปอีกโทรหาผม ฝากบอกอุบลด้วยว่าเดี๋ยวผมเช็ดตัวให้ข้าวพองเอง”
ยามกลางคืนยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว “ครับผม”
“ขอบคุณมากครับยอด”
ยอดยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม
ตั้งแต่อยู่บ้านนี้มา 5 ปีนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกขอบคุณ
เกียหันมามองคนที่นอนหลับสบายอยู่บนเตียงแล้วนึกอยากได้หลอดแก้วเล็กๆ เพื่อที่จะเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อหรือปัสสาวะไปตรวจให้แน่ใจ
แต่จากเบื้องต้นอาจเป็นเหล้าแห้งในปริมาณที่ไม่มากนักเพราะแม้ข้าวพองจะออกอาการเมาในทันที แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีก้าวร้าว
“ดีที่เป็นพวกเมาหลับ” เกียพูดเบาๆกับตัวเอง เหมือนกลัวคนที่โดนยาเข้าไปจะตื่นขึ้นมา
เดินไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดหน้าให้ ข้าวพองก็แค่ปรือตามองแล้วก็หลับต่อ
“ถ้าเป็นพวกเมาแล้วเอะอะโวยวายคงเหนื่อยกว่าเดิม”
“อือ...” ข้าวพองส่งเสียงเบาๆ เมื่อโดนน้ำเย็นที่แขน
“อาบน้ำเองไหวมั้ย” เกียถาม แต่ข้าวพองก็ส่ายหน้า
“งั้นจะเช็ดตัวให้”
เกียถอดเสื้อยืดแล้วเช็ดตัวให้ ข้าวพองปรือตาขึ้นอีกครั้ง
“ปวดฉี่”
“ไป ลุก” เกียพยุงคนเมาให้ลุก
....ว่าง่ายจนเข้าใจแล้วว่า ทำไมไอรีนถึงวางยาชนิดนี้ แล้วนี่โดนมาแล้วกี่ครั้ง แล้วโดน......
“เฮ่ย” เกียดุตัวเองที่ชักคิดในแง่ร้ายไปเรื่อยๆ
ข้าวพองปรือตาหันมามองขณะที่รูดซิปกางเกง
“เฮ้ย เดี๋ยวๆ ยังไม่ถึงห้องน้ำ”
ทุลักทุเลจนคิดว่าน่าจะอุ้มมาห้องน้ำแทนที่จะพยุงมา แต่พอมาถึงก็กลับเปลี่ยนใจ
“อาบน้ำ”
คนตัวโตต้องเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองด้วยการกลับไปตั้งคำถามเรื่องไอรีน และคดีของแม่กับพี่สาวของข้าวพองไปเรื่อยๆ เพราะไม่อย่างนั้นสายตามันก็จะคอยมองผิวขาวๆ ริมฝีปากอิ่ม และดวงตาปรือด้วยฤทธิ์ยานั่น
...นี่มันวันแรกเองนะ....
*-*-*จบตอนที่ 4*-*-*
ขอแนะนำให้รู้จักกับ ไอรีน ครูสอนพิเศษ และ พี่สาวคนนั้นที่เคยอ้างถึงในตอนก่อน
ไม่ต้องกังวล เรามีผู้ต้องสงสัยฝ่ายอธรรมให้คุณปวดติ่งหูมากกว่าที่คุณคิด 
เริ่มลงเรื่องไปแล้ว แต่คนเขียนเรื่องยังหยุดอยู่ที่ตอน 32 และไม่ได้พิมพ์อะไรลงไปสักตัวมานานกว่า 1 สัปดาห์แล้ว ช่วยกันจุดธุปให้เขาเขียนต่อกันเหอะ
คือผมมีหน้าที่ลง ผมก็ลงไปเรื่อยๆ นะ และผมกำลังบอกคุณผู้อ่าน ไม่ได้บ่นคนเขียนเลยสักนิด....
ตอนต่อไปมาวันพฤหัสบดีสีส้มนะจ๊ะ ตะเอ๊ง...
.น้ำชา.