ตอนพิเศษเกียกำลังล้างรถจักรยานยนต์คันใหญ่ อยู่ในโรงรถ
เมื่อสัก 5 นาทีก่อนหน้านี้ ‘พ่อยอดยิ่ง’ คู่พี่น้องยามรักษาความปลอดภัยของบ้านแวะเข้ามาจะให้ความช่วยเหลือ แต่เกียไล่ให้ไปช่วยธีระทำสวนและทำความสะอาดโรงฝึก
พอ 2 พี่น้องคล้อยหลังไป ก็กลายเป็นธีระที่จะมาทำให้
“ผมเป็นคนขับรถนะครับ ถึงคันนี้ผมไม่ได้ขับแต่ผมก็คิดว่า ถ้ารถอยู่ในบ้าน ก็น่าจะเป็นหน้าที่ผมนะครับ”
...เรื่องการพูดโน้มน้าว ต้องยกให้ธีระเขาเลยจริงๆ...
“ขอบคุณมาก” เกียบอกปัดไปเหมือนเดิม“
มีเสียงสเก็ตบอร์ดดังเข้ามาใกล้ แล้วก็ตามมาด้วยเสียง
“ปล่อยให้ทำไปเหอะ อยู่เฉยๆ จะกลายเป็นง่อยอยู่แล้ว”
“คือ....” ธีระหันไปหาเจ้านายคนเล็ก
“ไม่รู้จะทำอะไร ก็ไปเบิกเงินอุบลมาทาสีรั้วใหม่ดิ มีเด็กมือบอนมาพ่นข้อความตามหาพ่อมันไม่เห็นหรือไง”
“ห๊ะ เมื่อไหร่ครับ” ธีระตกใจ “ไอ้คู่พี่น้องมันเฝ้าหน้าบ้านทำไมไม่บอก”
คนขับรถสูงวัยหน้าตาตื่นรีบวิ่งไปหน้าบ้าน
เป็นไปไม่ได้เลยถ้าจะมีใครมาพ่นสีที่รั้วบ้านแล้วคู่พี่น้องยอดยิ่งจะไม่รู้
เกียสบตาคนที่ยืนกอดอกมอง เสื้อกล้ามสีฟ้า กับกางเกงขาสั้นเสมอเข่าสีน้ำเงิน ผิวขาวจัด ปากแดง ผิดก็ตรงตากลมๆ คู่นั้นที่ใช้วิธีเหลือบมองลงมา
“วันนี้ไม่มีนัดหรือครับ”
“ถ้ามีจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ไง”
“นั่นสินะ” เกียพยักหน้า กลับมาล้างรถต่อ
เกียไม่ชอบวิธีการมองคนแบบนั้นของข้าวพอง แต่แก้ไขความคิดของตัวเองได้ด้วยการไม่สนใจ
ส่วนข้าวพองก็ไม่ชอบท่าทีไม่สนใจ ไม่แคร์แบบนี้ของเกีย แต่คิดว่าต้องเรียกร้องให้เกียหันมาสนใจมากขึ้น
“เฮ้..”
“ครับ” เกียเจตนาสุภาพเป็นพิเศษ แต่ข้าวพองยักไหล่
“ไม่มีนัดหรือไง”
“เดี๋ยวก็มี”
ข้าวพองเหยียบปลายสเก็ตบอร์ดส่งแรงดีดแผ่นกระดานขึ้นมาถือ แล้วก้าวเข้ามายืนข้างๆ
“ทำไมต้องเดี๋ยวมี ไปไหน ไปกับใคร ไปกี่โมง”
เกียลุกขึ้นยืน
ยิ่งยืนข่มกันแบบนี้ยิ่งไม่ชอบ คนเกเรผลักอกกว้างๆ
“ชริ”
“อยากรู้ก็มาช่วยกันล้างรถ”
“เรื่องเหอะ”
เกียยักไหล่ ส่งฟองน้ำให้ “ล้างรถ เสร็จแล้วจะพาไปด้วย” คนตัวโตท้า “คุณหนูจริงๆ”
เรื่องอะไรข้าวพองจะยอมแพ้ มือหนึ่งถือฟองน้ำ อีกมือส่งสเก็ตบอร์ดให้ “เอาไปเก็บ”
เกียรับไปวางพิงตู้เก็บของในโรงรถ หันมาเห็นข้าวพองกำลังบีบฟองน้ำเล่น จากนั้นก็ยกถังน้ำ เทน้ำราดรถแล้วก็ยืนเท้าเอวหัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว
“นั่นรถมอเตอร์ไซค์ ไม่ใช่หมา แกล้งมันยังไงมันก็ไม่สำลักน้ำหรอกข้าวพอง”
“อ่า....”
อย่าบอกนะ ว่าไอ้เสียงแปลกๆ นั่นกับอาการงงๆ คือข้าวพองลืมไปจริงๆ ว่ารถจักรยานยนต์เป็นสิ่งไม่มีชีวิต
“รู้แต่จะแกล้งคนอื่น”
เกียส่ายหน้า ขณะที่เดินกลับมาหา
เพราะในถังไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว ข้าวพองก็แค่ถือกลับไปที่ก๊อกน้ำ ยืนหันหลังให้อีกคน
พอน้ำเต็มถัง ถือกลับมา ....
ทันทีที่ยกขึ้น คนที่กำลังเช็ดรถหันกลับมาคว้าข้อมือ น้ำทั้งถังเทลงมาหาคนที่ตัวเล็กกว่า !!
เปียกชุ่มตั้งแต่หัวจดเท้า ข้าวพองกระโดดขี่หลัง ล็อคคอ!
“เก่งนักเหรอ ฉลาดเหรอ ไอ้หมาขี้เก๊ก ตาย-ซะ-เหอะ!!!”
แต่เกียกลับหัวเราะ เบี่ยงเอวบิดตัว คว้าเอวบางพลิกแล้วจับหมุน
ข้าวพองร้องลั่นบ้าน จนทุกคนในบ้านวิ่งออกมาดู
“ไอ้บ้าๆๆๆ”
เกียปล่อยข้าวพองลง อุบลก็รีบมาพยุงไว้
“เล่นอะไรคะเนี่ย เปียกหมดเลย เข้าบ้านเถอะค่ะ”
“ไม่ได้เล่น หมามันแกล้งต่างหาก” ข้าวพองหันไปฟ้อง
เกียไม่ได้เดือดร้อน “ใครแกล้งนะ”
ข้าวพองชี้หน้า แต่ไม่มีคำพูด
ไม่ต้องเห็นเหตุการณ์ ไม่ต้องมีใครเล่า ทุกคนตรงนี้ต่างก็รู้ว่าข้าวพองเป็นคนเริ่มแน่ๆ
“ไปเปลี่ยนเสื้อก่อนดีกว่าค่ะ” อุบลไกล่เกลี่ย “อากาศร้อนมาก แล้วมาโดนน้ำแบบนี้ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“พองไม่ได้กะโหลกบางขนาดนั้นนะ” ไอ้ตัวเล็กหันไปเหวี่ยงอุบล แต่ก็กลับเดินนำเข้าบ้านไปก่อน
ก้าวสุดท้ายก่อนเข้าประตู ไม่วายหันมาตะโกนบอก
“ไปไหนไปด้วย ห้ามหนีไปคนเดียว”
เกียเพิ่งเช็ดรถเสร็จ กำลังตากผ้าผืนบางไว้ที่ด้านหลังโรงรถ ข้าวพองที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็รีบวิ่งออกมา
“เสร็จยัง”
“อาบน้ำฟอกสบู่หรือเปล่าเนี่ย” เกียเดินบ่นเข้าบ้าน ทำเป็นไม่หันไปมองอีกฝ่าย ทั้งที่ในสายตาและในสมองบันทึกภาพของหนุ่มคนนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว
“เสร็จแล้วใช่ไหม ไปยัง”
“ข้าวพองครับ พี่เพิ่งล้างรถเสร็จ ขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไม่ได้หรือไง”
“ก็เร็วดิ” ข้าวพองวิ่งตาม “นัดกับใครไว้อะ นัดที่ไหน กี่โมง”
ถามไปเกียก็ไม่ตอบอยู่ดี
ทีแรกก็คิดว่าจะรออยู่ข้างล่าง
แต่ถ้าไม่ตามจิกให้ถึงที่สุดก็ไม่ใช่ข้าวพอง
ดังนั้นหนุ่มตัวเล็กถึงได้ไปนั่งอยู่กลางเตียง รอให้เกียอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ แล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูห้อง
“ไปกันๆ”
“รู้หรือไงเนี่ยว่าจะไปไหน” เกียแกล้งถาม
“ก็บอกมาดิ”
คนตัวโตทำยักไหล่ หยิบกุญแจรถแล้วเดินนำออกมา
คราวนี้เป็นอุบลที่วิ่งตามมา
“คุณข้าวพองจะตามไปด้วยได้อย่างไรกันคะ คุณครูเธอมีนัด”
“ก็จะไป”
“คุณข้าวพองคะ คุณครูเขาจะมีธุระส่วนตัวบ้าง จะตามไปเสียทุกที่”
“เกียไม่เห็นห้ามเลย อุบลห้ามจั๊ง” ข้าวพองเถียงเสียงสูง หันไปอีกที เกียเดินออกไปถึงโรงรถแล้ว
เขาไม่หยิบหมวกกันน๊อคให้ หยิบเองก็ได้ แล้วไปยืนอยู่ข้างๆ
“ใส่ให้หน่อยดิ”
เกียยิ้มขำ แต่ก็ช่วยใส่ให้
พอเกียขึ้นรถ ข้าวพองก็ซ้อนท้าย แต่ไม่วายมีคำพูด
“มอ’ไซค์พี่เบิ้ม จะขึ้นจะลงแต่ละทีต้องปีน ไปถึงไหนได้ยินกันล่วงหน้าอีก 3 กิโล”
ได้ยินเสียงหัวเราะหึหึจากคนขับ
“หัวเราะนี่แปลว่าพองพูดจริงละสิ”
อันที่จริงข้าวพองกำลังรู้สึกว่ากำลังพูดอยู่คนเดียว และก็รู้ตัวอยู่เหมือนกันว่ากำลังตามเขาไปแบบ ไปไหนก็ไม่รู้ รู้แต่จะไปด้วย
แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเหมือนกัน
ก็เขาไม่ค่อยเล่าเรื่องส่วนตัว เราก็ต้องอยากรู้เรื่องของเขา
เกียไม่ได้ไปสถานทูต ไม่ได้ไปที่คอนโดฯ แต่ไปที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน จอดรถในที่จอดพิเศษ ส่งเงินให้กับพนักงานเฝ้ารถ
“เกียเหมือนพ่อเลย พ่อก็จะให้เงินทิปก่อน เขาบอกว่า เขาจะบริการเราดีกว่าการที่เราให้ทีหลัง”
เกียหันมายิ้มให้แล้วเดินนำเข้าไปในห้าง
ตรงไปที่ร้านยีน ระหว่างที่เกียเลือกกางเกง ข้าวพองก็ได้แต่มองซ้ายมองขวา
เขานัดใครที่ไหน หรือเรามาถึงก่อนเวลานัดเลยมาช็อปไปพลางๆ
ออกจากร้านยีน เกียไปที่ร้านหนังสือ
เลือกของสไตล์เดิม คือตรงไปที่แผนกที่ต้องการใช้เวลามองไม่ถึง 2 นาทีก็หยิบออกมา
“ซื้อหนังสือไหม”
...อะ เออใช่...
ข้าวพองพยักหน้าเร็วๆ รีบไปที่แผนกหนังสือ
เราเสียอีกใช้เวลานานมากกว่าที่จะได้สักเล่ม เห็นเขาเดินผ่านมามองหลายรอบแล้ว แต่ไม่ได้เร่งว่าเลือกได้หรือยัง เราก็เลือกไปเรื่อย
อีกเกือบครึ่งชั่วโมง ถึงได้การ์ตูนมาเล่มหนึ่ง ส่งให้เกีย
คนตัวโตยิ้มที่มุมปาก แล้วเอาไปจ่ายเงิน
“พิซซ่าไหม”
ข้าวพองพยักหน้า แต่ไม่วายถาม “นัดเขาไว้ที่ร้านพิซซ่าหรือ”
เกียยิ้มมุมปากแบบนั้นอีกแล้ว แล้วก็เดินนำเข้าไปในร้าน บอกพนักงานว่า 2 คน
พิซซ่าถาดกลางก็จริง แต่เกียก็สั่งมาทั้งสปาเก็ตตี้ ขนมปัง ไก่ทอด ซุป สลัด
ข้าวพองวางหนังสือไว้ข้างจาน ตั้งท่าจะกินไปอ่านไปเหมือนเคย แต่เกียเอื้อมมือมาแย่งไป
“เอาหนังสือมา พองจะอ่าน”
“ไม่อ่านหนังสือระหว่างทาน”
“กินไปอ่านไปเนี่ยแหละ อร่อยที่สุด”
“ถ้าจะทำอย่างนั้น กลับไปกินคนเดียวที่บ้าน”
คำว่า ‘คนเดียว’ บางครั้งมันก็ทำให้เสียความรู้สึกได้มากกว่าที่คิด
“จะไม่ให้อ่านหนังสือระหว่างกินก็ได้ แต่ต้องขอโทษที่พูดกับพองแบบนั้นก่อน”
คนเข้มงวดใช้น้ำเสียงอ่อนลงทันที “ขอโทษ ตอนนี้เรากำลังกินอาหารอยู่ พี่ก็อยากให้.....”
“เราคุยกันในระหว่างกินข้าว ไม่ใช่ทำเหมือนต่างคนต่างอยู่” ข้าวพองบอกแบบที่เกียบอกเสมอ “พองก็แค่อยากอ่านหนังสือ”
“เดี๋ยวก็ได้อ่าน” เกียบอกขณะที่ใช้ส้อมเลาะถอดกระดูกไก่ทอด จนเหลือแต่ชิ้นเนื้อแล้ววางในจานของข้าวพอง
กินไก่หมดคำ ข้าวพองก็ถามอีก
“ตกลงนัดเขาไว้กี่โมงเนี่ย นัดดูหนังหรือ”
เกียยักไหล่ “ข้าวพองอยากดูหนังไหม”
อีกคนโยกตัวขณะที่ตอบคำถาม “ดูก็ได้ ไม่ดูก็ได้ เพราะตอนนี้ไม่เห็นมีเรื่องไหนที่อยากดู”
เกียทำหน้าเครียด จนข้าวพองเดามั่วต่อไป
“ไม่เคยเดทหรือไง”
“เคยสิ”
“มันนานมากจนลืมไปแล้วสิท่า” พูดจบข้าวพองก็หัวเราะ คึคึอยู่ลำคอ
เสียงแปลกพิกลจนทำให้เกียขำ
“ตอนอยู่อังกฤษ ไปเดทยังไง”
“ไปพิพิธภัณฑ์”
เกียพูดเสียงต่ำๆ แต่ข้าวพองทำเสียงสูง “พิพิธภัณฑ์!!!!!!!!! เกียมาจากโลกยุคไหนเนี่ย”
คนตัวโตแก้เก้อด้วยการตักพิซซ่าให้ข้าวพอง
“ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนนี่”
ไอ้หนุ่มตัวเล็กส่ายหน้า บ่นก่อนกัดพิซซ่าคำใหญ่ “ไม่แปลกใจเลยที่แห้ว”
“ก็มีไปดูหนัง ไปดื่มด้วยกัน แต่ไปในที่แบบนั้นมันก็ไม่ได้คุยกัน ไปพิพิธภัณฑ์ยังได้ชวนคุยกันไปเรื่อยๆ”
“ไปสวนสัตว์ด้วยแหง”
เกียยอมรับ พาลทำให้ข้าวพองเพลียจิต
“ไปเดท หรือไปทัศนศึกษาน่ะ”
“คนคบกัน ก็ต้องคุยกันเรียนรู้กันและกันสิ”
“ต้องศึกษาเขาจากสิ่งที่เขาทำ สิ่งที่เขาพูด ไม่ใช่ถาม” ข้าวพองวางท่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ “เพราะถ้าเราถามไป คนตอบเขาก็ต้องตอบในสิ่งที่คิดว่าเราจะพอใจ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา”
เกียยอมรับอีกครั้ง ว่าสิ่งที่ข้าวพองพูดมาถูกต้อง
“เดทแบบเกียมันเครียด ไม่พาไปเที่ยวสวนสนุกดูล่ะ ชวนขึ้นรถไฟเหาะสัก 3 รอบ”
“ที่แบบนั้นมันต้องไปกับเพื่อน” เกียแย้ง
“แฟนก็เพื่อน เป็นเพื่อนสนิทมากๆ แบบที่เราคาดหวังว่าจะแชร์ชีวิตด้วยไง”
เป็นอีกครั้งที่เกียเห็นด้วย “ข้าวพองอยากไปสวนสนุกไหม”
ข้าวพองพยักหน้าเร็วๆ แล้วก็หยุด “หมายความว่าเกียจะพาแฟนไปเที่ยว แล้วก็หนีบพองไปด้วยน่ะหรือ”
“ไปไหม” เกียถามย้ำ
“ไป อยู่ แล้ว” ข้าวพองหัวเราะเสียงคึคึอีกครั้ง
มื้อเที่ยงผ่านไป แต่มองผานกระจกหน้าต่างร้านออกมา ข้างนอกยังแดดแรง ข้าวพองหันมาถามคนที่กำลังหยิบใบรายการอาหาร จะไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์
“ข้างนอกท่าทางจะร้อนมาก”
“อืม”
ที่จริงจะร้อนหรือฝน ก็ไม่ค่อยมีผลกับเกียสักเท่าไหร่ แต่คนข้างๆ มีปฏิกริยากับอากาศร้อนมาก เพราะจะอารมณ์ไม่ดีเสมอ เกียก็เลยพาเดินเล่นอยู่ในห้างสรรพสินค้า จนมาหยุดอยุ่ที่หน้าป้ายโฆษณาหน้าโรงภาพยนตร์
“จอดสิครับงานนี้ท่านผู้ชม”
“หือ...อะไร” เกียหันมาถามเพราะไม่เข้าใจประโยคที่จู่ๆ ข้าวพองก็พูดขึ้นมา
“ก็เนี่ย” นิ้วผอมๆ ชี้ไปที่ใบปิด “เดินไปเรื่อย จนมาถึงหน้าโรงหนัง คนที่นัดไว้ก็ยังไม่มา เอาไงละครับคุณ”
“รู้ได้อย่างไรว่า เขาไม่มา”
“แล้วไหนล่ะ” ข้าวพองมองไปรอบๆ “นัดไว้ถ้าเขามาแล้ว เขาก็ต้องโทรหาดิ นี่ไม่มีอะไรสักตื๊ด”
เกียยิ้มมุมปาก เลือกเรื่องที่อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจะฉาย แล้วเดินไปซื้อตั๋ว 2 ใบ ข้าวพองก็เดินตามต้อยๆ ยึดหลักการเดิม เขาไปไหนก็ไปด้วย
...ดูหนังแล้วไม่ได้คุยกันจริงๆ อย่างที่เขาว่าแหละ ขืนคุยกันได้โดนไล่ออกจากโรงหนังแน่ๆ...
ออกจากโรงหนังบ่ายคล้อย เกียพาแวะเข้าร้านไอศกรีม ต่อข้าวพองก็กินต่อได้อีก ขณะที่เกียจิบชาร้อน
“หนังแอ็คชั่นนี่ก็ดีเหมือนกัน คุยกันไม่กี่คำก็ยิงกันแล้ว”
เกียบอก “เขาสร้างตามนิสัยของเป้าหมายไง ผู้ชายถ้ามีปัญหาไม่ชอบการเจรจา หยิบอาวุธได้เลย”
ข้าวพองทำท่านึก “เหมือนเคยอ่านเจอที่ไหนว่า สงครามมักเกิดจากผู้ชายมากกว่าผู้หญิง”
“ใช่”
จนกระทั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่กลับถึงบ้าน ข้าวพองก็ถามคำถามเดิมที่ถามมาตลอดทั้งวัน
“วันนี้เกียนัดกับใคร เขาไม่มาใช่มั้ย เกิดอะไรขึ้น”
เกียยักไหล่เดินนำเข้าบ้าน ข้าวพองก็เตะเข้าที่ข้อเท้า
“หมาบ้า! ตอบพองเดี๋ยวนี้นะ”
เกียดูเฉยๆ เมื่อหันมายิ้มให้
ยิ้มแบบเดิม องศาเดิมเป๊ะ แต่ตอนนี้ทำให้ข้าวพองหงุดหงิดกว่าเดิม
“ตกลงนัดกับใคร”
“อาทิตย์หน้า ไปสวนสนุกกันนะครับ”
....นั่นมันใช่คำตอบของคำถามที่เราถามไปหรือไงวะ!!...
“ชวนพองเหรอ แล้ววันนี้ล่ะ พองเป็นตัวสำรองหรือไง”
“เปล่า” เกียบอกยิ้มๆ
ข้าวพองคิดทบทวนแล้วแก้มก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเอง
“ที่ล้างรถนั่นเพราะจะพาพองไปเที่ยวเหรอ” เกียพยักหน้า ข้าวพองก็ถามต่อ “แต่พองถามว่าวันนี้มีนัดหรือเปล่าแล้วเกียบอกว่ามี”
“พี่บอกว่า เดี๋ยวก็มีต่างหาก หลังจากที่ข้าวพองบอกว่าวันนี้ไม่มีนัดไปไหน”
...เพราะเราบอกว่าไม่มี เขาก็เลยโมเมว่าเราจะไปกับเขาหรือไง....
...เอ่อ... เขาโมเม หรือเขารู้ทันว่า ถ้าเขาจะออกไปข้างนอกแล้วเราจะต้องร้องตามไปด้วย...
ข้าวพองเกาหน้าผากตัวเองเก้อๆ
“อาทิตย์หน้าไปสวนสนุกเหรอ”
“ครับ”
“เล่นตัวสักนิดดีมั้ยอะ”
“ก็ได้” เกียก้มลงหอมแก้มแดงเรื่อ “อนุญาตให้เล่นตัวได้ แต่ห้ามเปลี่ยนใจไม่ไป”
ข้าวพองหัวเราะคึคึอีกแล้ว เสียงหัวเราะกวนๆ ที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังมีแผนป่วนบางอย่างอยู่ในใจ
ไม่เป็นไร เราก็แกล้งไม่รู้ทัน รอดูลูกไม้ของนายมลรัฐต่อไป
ถึงเวลาก็จะมีคนอาบน้ำแต่งตัวมารอไปเที่ยวอยู่ดี
....จบครับ...
ต้นฉบับ 11 หน้า ใช้เวลาเขียน 4 วันคอมพ์ 3 เครื่องสลับไปสลับมา โปรแกรมคนละรุ่น ทำให้บางช่วงหายไป ต้องเขียนใหม่ โปรแกรมเซฟซ่อนไว้ที่ไดรฟ์ไหนไม่รู้ หาไม่เจอ ก็เขียนใหม่ เขียนจนจบแล้วอ่านทวนด้วยความสงสัยตัวเอง ว่าผมเขียนจบได้ด้วยเว้ยเฮ้ย สุดท้ายคือส่งให้พี่ไจฟ์ทวน
เขาอ่านแล้วขำ "เก่งแล้ว"

แล้วคุณล่ะว่าไง บอกกัน ผมไม่ชอบการสื่อสารทางเดียว
ตอนปกติมาวันอาทิตย์นะ
..นายน้ำชาศิษย์ป๋าไจฟ์...