ตอนที่ 10 ข้าวพองตื่นนอนด้วยอาการปวดหัวหนัก
...ก่อนนี้ไปกินเหล้ากับเพื่อน ไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย หลังๆมานี้ จะตื่นมาด้วยอาการแบบนี้เป็นระยะ...
“กูคออ่อน หรือเพราะกูกินเยอะจนมันสะสมอยู่ในทุกเซลล์ของร่างกายหรือไงวะเนี่ย”
หนุ่มตัวเล็กเดินบ่นแล้วพออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็นึกได้
“วันอาทิตย์นี่หว่า มาทั้งพ่อทั้งพี่เพียง”
ข้าวพองกลับเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำสระผมอีกรอบ ถึงได้ลงมากินข้าวมื้อก่อนเที่ยง อุบลรีบเข้ามาดักทางด้วยการส่งน้ำมะนาวให้ก่อน แล้วถามว่าอยากได้ข้าวต้ม หรือจะรอมื้อเที่ยงพร้อมพ่อ
ข้าวพองจิบน้ำมะนาวชื่นใจแล้วถามหาว่าพ่อไปไหน
ถึงได้รู้ว่าคนที่ไม่คิดว่าจะอยู่บ้านในวันนี้ก็อยู่ด้วย ทั้งกำลังทำหน้าที่พาพ่อกับพี่เพียงชมห้องฝึกทางด้านหลัง
“ทำไมเขายังอยู่”
อุบลตอบตามที่ได้รับคำสั่งไว้ “เมื่อวานคุณครูไปรับคุณข้าวพองที่บ้านเพื่อนน่ะค่ะ แกก็เลยค้างที่นี่ พอเช้าคุณพ่อมาแต่เช้าก็เลยคุยกัน พอสายหน่อยคุณเพียงกับคุณนิก็มา คุณครูก็เลยไม่ได้กลับคอนโดฯ”
ข้าวพองถือแก้วน้ำมะนาวเดินไปหาพ่อ
แต่มโหธรหันมาเห็นน้องชายก็เดินเข้ามาหาก่อน
“คำสั่งให้เปลี่ยนครู ยังไม่อนุมัตินะไอ้เสือ”
“ชริ” น้องชายทำหน้าหงิกใส่ “แล้วให้เขาอยู่วันอาทิตย์เดี๋ยวก็ต้องจ่ายค่าแรงเพิ่มหรอก”
พี่ชายหันไปมองพ่อที่กำลังคุยกับเกียแล้วหันมาหาน้องชาย “ไปมีเรื่องอะไรกับเขาอีกล่ะ”
“ใครจะกล้า เขาหาเรื่องหนีกลับบ้านต่างหาก”
“ไอ้คนนี้” พี่ชายเอากำปั้นขยี้หัวน้องชาย “แล้วเขาเป็นคนอังกฤษ แกเรียนรู้อะไรจากเขามั่ง”
“อังกฤษแล้วไง เรียนรู้อะไร” คนนี้กวนประสาทกลับ
พี่ชายสายหน้า “ไหนอยากไปอังกฤษนักหนา เบื้องต้นเลยแกก็ต้องเรียนรู้ว่า ที่นั่นจะมีการแบ่งชั้น แบ่งสีผิวกันอยู่ในที แล้วอย่างที่เราเรียกเขารวมๆ ว่าคนอังกฤษ ที่จริงแล้วเขาไม่ชอบเลย เพราะสัญชาติที่แท้จริงเขาเป็นเวลส์ เป็นไอริช เป็นสกอตแบบนั้น”
“แล้วเกียเป็นอะไร”
“เวลส์” พี่ชายบอก ข้าวพองก็ถามต่อ
“แล้วไง”
“แต่ถึงจะเวลส์ เขาก็ยังมีไทยปนอยู่ด้วย แต่เรื่องเชื้อชาติเนี่ย เขาจะไม่พูด ไม่ล้อเลียนกันเพราะมันมีอยู่ในกฎหมาย ที่ต้องจำให้ดีก็คือ อะไรก็ตามที่มันถึงขนาดที่ต้องออกกฎหมายมาห้าม แสดงว่ามันรุนแรง”
ข้าวพองหูผึ่ง ฟังพี่ชายพูด “เราคนไทยเรียกกันเองว่าเป็นลาว เป็นเจ๊ก เป็นแขกเราไม่รู้สึกเพราะเราเรียกเขา”
“ต่อให้เรียกเราไอ้ไทยก็ไม่เห็นจะรู้สึก” ข้าวพองอดไม่ได้ที่จะเถียง
“ก็เออ” พี่ชายเขกคนหัวดื้อช่างเถียง “เราไม่รู้สึก ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รู้สึก ตอนที่อยู่เคยมีสกอตขี้เมาไปด่าแล้วก็เตะคนยูเครนในรถไฟ เรื่องใหญ่เลยนะ อย่างนักกีฬาผิวสีเนี่ยจะชัด เพราะเขาจะโดนบ่อย”
ข้าวพองเบ้หน้า “ไปดูบอล หรือไปฟังขี้เมาด่านักกีฬาก็ไม่รู้ ไม่เห็นสนุก”
“เออ แบบนั้นแหละ ยกตัวอย่างนักฟุตบอลจะชัดที่สุด เรียกว่าลิง หรือดำไม่ได้นะโว้ย”
ข้าวพองหยุดคิด “อย่างที่พี่เพียงกับพี่เพชรเคยเจอมาใช่มั้ย แล้วเกียก็เคยเจอเหมือนกันหรือเปล่า”
“ไว้ถามเขาสิ” พี่ชายตัดบทดื้อๆ “ส่วนฉันน่ะ ถือว่าเราไปเรียนไง แล้วก็อย่างที่แกบอกน่ะ เรียกอะไรก็ไม่ค่อยจะสนใจหรอก แล้วฉันก็เลือกที่จะอยู่ในเขตมหาวิทยาลัยเป็นส่วนใหญ่”
หนุ่มตัวเล็กบุ้ยปากไปหาคนที่ยังคุยกับพ่อ “ตัวยังกับตึกอย่างงั้น ใครจะกล้ามาแกล้ง”
“แกไง ไอ้ตัวปากเสีย ห้ามใช้คำพูดอะไรที่มันเป็นการแสดงการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติเด็ดขาด” พี่ชายสรุป
“โหย.....” น้องเล็กทำเสียงโอดครวญ “พองเนี่ยนะ จะกล้า..”
“แกนั่นแหละตัวดี ย้ำอีกครั้ง เรียนรู้จากเขา แล้วก็ฝึกให้เป็นนิสัย ถ้าแกอยากไปอยู่อังกฤษ”
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ”
มโหธรยักไหล่ น้องชายก็พยักพเยิดไปที่พ่อ “ท่าทางถูกคอกันมากนะนั่น”
“แกนี่ชอบพูดเหมือนคนขี้อิจฉา”
น้องชายหันมาขวางพี่ชาย “ใครขี้อิจฉา ปกติไม่ค่อยเห็นพ่อพูดกับใครแบบนี้ไง” เว้นไปนิดก็ยอมรับ “แต่ก็ดี ไม่งั้นก็สั่งๆๆๆ ตลอด”
พี่ชายกอดคอน้องชายเดินกลับเข้ามาในบ้าน “เที่ยงนี้กินอะไรบอกอุบลไปหรือยัง”
“ยัง เพิ่งตื่น ยังแฮ้งอยู่เลย”
“เออ เมาเหล้าไม่เป็นไร แต่ขอเลยนะอย่าไปยุ่งกับยาเสพติด”
“รู้แล้วน่า” ข้าวพองตอบพี่ชายไม่เต็มเสียง แล้วเปลี่ยนมาชวยคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย
วันอาทิตย์ที่ปกติจะมีแต่พ่อกับพี่ชายและพี่สะใภ้ก็จริง แต่บางครั้งจะมีโทรศัพท์ของพ่อจากอีกบ้านหนึ่ง และหลายๆ ครั้งก็จะมีเพื่อนทางธุรกิจของพ่อ หรือพี่เพียงมาหาด้วย
แต่วันนี้มันคือวันแสนสบาย ได้นั่งเล่น นอนเล่น อ่านหนังสือ เล่นเกม อยู่ด้วยกัน 3 คนตลอดเวลา จนกระทั่งพ่อกดตัดสายโทรศัพท์ที่เข้ามาเป็นครั้งแรก
และข้าวพองไม่เห็นนิรมล ที่อุบลบอกว่ามาพร้อมกับมโหธรเมื่อช่วงสาย คาดว่าจะกลับไปแล้ว
ส่วนเกีย ก็คอยอยู่ใกล้ๆ ในระยะที่พอมองเห็นกันได้ตลอดเวลา ไม่ได้กลับไปคอนโดฯ เหมือนในสัปดาห์ก่อน
ก่อนมื้อเย็น ข้าวพองก็หันมาถามพี่ชายที่กำลังลดอายุมาเล่นเกมเพลย์อยู่กับน้องชาย “พี่นิไปไหน”
“อยู่บ้าน เขามาเมื่อเช้าแล้วให้กลับไปตอนหลังอาหารเช้า”
“ทำไมล่ะ”
พี่ชายทำหน้าตาเหมือนกินยาขม “ขี้เกียจตอบคำถามเรื่องเพชร”
ทั้งพ่อและเกียหันมามองหน้ามโหธร
“ยังไง” พ่อถาม
มโหธรวางเกมที่กำลังเล่นอยู่กับน้องชาย หันมาหาพ่อ
“ผมให้เขาปล่อยเพชรในร้านได้หลายชิ้น ก็ให้ค่าคอมฯ เขาทุกชิ้น แต่ตอนนี้เขามักจะมาถามว่ามีอันนั้นมั้ย อันนี้มั้ย ผมก็บอกว่า มีเท่าเห็นน่ะแหละ ก็อยากให้ผมไปหาของตามออร์เดอร์ให้ได้ ผมทำก่อสร้างนะไม่ได้ขายเพชร”
ข้าวพองหัวเราะหึหึพี่ชาย แล้วกลายเป็นหัวเราะร่วนเสียงดัง จนอีก 3 คนต้องพลอยหัวเราะตาม
“ไอ้ตัวเปี๊ยกนี่”
“พี่เพียงแหละ ไล่เมียกลับบ้านเพราะขี้เกียจขายของ” น้องชายเถียง
“ไมได้ขี้เกียจโว้ย แต่มันไม่ใช่ทาง ให้ไปหาเพชรตามสั่งเนี่ยนะ” มโหธรยิ่งทำหน้าพิกลหนักกว่าเดิม “อย่างกับเป็นเดลิเวอรี่”
“แม่กับพี่เพชรบอกว่ากำไรดี ความเสี่ยงน้อย” ข้าวพองเถียง
มีเสียงในลำคอที่แสดงความไม่เห็นด้วยมาจากพ่อ แต่เพราะพ่อหันไปมองนอกหน้าต่าง มโหธรก็เลยชวนน้องชายเล่นเกมต่อ
ทุ่มครึ่งนิรมลก็เดินมารับมโหธรกลับบ้าน ชายหนุ่มมีสีหน้าเหมือนเด็กเล็กไม่อยากไปโรงเรียน
“ที่จริงผมน่าจะมีเวลาจนถึงเที่ยงคืนนะ”
“คุณเพียงคะ” นิรมลทำเสียงดุ จนพ่อขำ
อีกไม่ถึง 10 นาที ก็เป็นโทรศัพท์ของข้าวพอง
ไทนี่ หว่องวัยรุ่นชาวจีนเพื่อนใหม่โทรมา
ข้าวพองรับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าตกใจ แล้วรีบมาหาเกียที่ยืนคุยอยู่กับยอดยิ่งที่ป้อมยามหน้าบ้าน
“จะกลับไปคอนโดฯ หรือเปล่า”
“ไม่ครับ เพราะคุณท่านมาลำพังไม่มีคนติดตามมาด้วย”
ทั้งอัคราและมโหธรต่างก็มีคนติดตามทั้งคู่ แต่วันนี้ทั้งคู่กลับแค่ให้มาส่งแล้วให้กลับไป
“ไปบ้านไทนี่กับพองหน่อยสิ”
เกียพยักหน้ารับคำสั่ง แต่บอกให้ไปบอกพ่อก่อนว่าจะออกไปข้างนอก
ข้าวพองพยักหน้าเร็วๆ แล้วรีบบอกก่อนที่จะกลับเข้าไปในบ้าน “เกียขับรถบ้านไปนะ ไม่ต้องให้ธีระไป”
“ครับ”
เพราะคำสั่งสุดท้ายทำให้เกียเดินตามข้าวพองเข้าไปในบ้าน เพื่อย้ำกับอัคราด้วยตัวเอง
“จะรีบกลับมาครับ เพราะคุณข้าวพองต้องไปโรงเรียนพรุ่งนี้”
ในระหว่างทางที่ไปบ้านไทนี่ ข้าวพองถามเกียในสิ่งที่สงสัยมาตลอดวัน
“บอกพ่อกับพี่เพียงให้อยู่กับพองใช่มั้ย”
“ไม่ได้บอกครับ”
ข้าวพองหันมามองด้วยแววตาที่ไม่เชื่อที่เกียบอก “แต่เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ นายบอกพวกเขาแน่ๆ”
“พี่บอกกับเขาว่า คุณเสียคุณแม่ไป จากนั้นคุณมโหธรก็แยกบ้าน คุณพ่อแยกไปมีบ้านเล็ก แล้วคุณเพชรก็แยกไปจากนั้นคุณก็สูญเสียคุณเพชร”
“พอแล้ว” ข้าวพองกำมือที่เย็นเฉียบ
ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่อยู่ในรถจนกระทั่งรถเลี้ยวเข้าซอยบ้านไทนี่หว่อง หนุ่มตัวเล็กก็พูดแผ่วเบา
“ขอบคุณนะ”
“ครับ”
บ้านหลังนั้นเปิดไฟที่โรงรถไว้ เมื่อเกียจอดรถที่หน้าบ้าน คนรับใช้หญิงคนเดิมก็มาเปิดประตูให้ แล้วชี้ไปที่ห้องด้านบน
เธอไม่ได้พูดอะไร แต่จากรูปหน้าและสีผิวที่ออกเหลืองทำให้เกียคาดว่า อาจเป็นแรงงานต่างด้าว
ข้าวพองไม่เคยเข้ามาที่บ้านนี้ แล้วก็อาจจะรออยู่ข้างล่าง ถ้าเกียไม่ได้เดินตามขึ้นมาด้วย
จนมาหยุดที่หน้าห้อง จู่ๆ ข้าวพองก็เกิดอาการกลัวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ จนต้องหันมาหาคนตัวโตด้านหลัง
“เข้าไปด้วยกันนะ”
เกียพยักหน้า แล้วก้าวขึ้นมายืนบังข้าวพองเมื่อเคาะประตูแล้วบิดลูกบิดประตูเข้าไป
หนุ่มตัวเล็กห่มผ้าห่มผืนใหญ่ซุกตัวอยู่ที่มุมห้อง
ข้าวพองวิ่งแซงเข้าไปหา
“ไทนี่ เป็นอะไร”
ไทนี่กางแขนกอดข้าวพองทั้งผ้าห่ม ดวงตาแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งผากที่มีร่องรอยของบาดแผล
“ข้าวพอง เรา....เราคิดว่าเราโดนข่มขืน”
ทั้งที่ใจกำลังร้องว่า โดนข่มขืนได้ยังไง เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ใครและที่ไหน แต่ข้าวพองกลับทำได้เพียงมองเพื่อนด้วยสีหน้าตกใจแล้วหันมาหาเกียเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ครู ทำไงดี”
เกียคุกเข่าลงข้างหน้าหนุ่มตัวเล็กที่มีสีหน้าสับสนและหวาดกลัว
“ค่อยๆ เล่าให้ผมฟังนะครับ อะไรทำให้คุณคิดว่าโดนข่มขืน”
ดวงตายาวเรียวของไทนี่ตวัดไปที่เสื้อผ้าในตะกร้า เกียก็ลุกไปหยิบขึ้นมา
กลิ่นที่นำมาก่อนคือกลิ่นบุหรี่กับเหล้าที่จางลง เสื้อที่มีร่องรอยฉีกขาด กับรอยเลือดที่กางเกง
ตามหลักการเบื้องต้นมันก็เข้าข่าย
แต่คำถามอยู่ที่เวลา...
ไทนี่บอกด้วยนำเสียงสั่นๆ “เราตื่นมา มีคนนอนอยู่ข้างๆ หลายคนเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แล้วเราก็เจ็บก้น หันไปเห็นเสื้อผ้าก็รีบแต่งตัวออกมาเลย”
เกียนึกถึงภาพเมื่อคืนที่ไทนี่นั่งอยู่ในกลุ่มชายหนุ่มหลายคน
“รู้จักเขาหรือเปล่าครับ ถ้าให้ชี้ตัว จะชี้ได้มั้ย”
“ชี้ตัว!” ไทนี่ตื่นตกใจหันไปหาข้าวพอง “ไม่แจ้งความนะ ไม่นะ ถ้าพ่อรู้ ไทนี่โดนพ่อฆ่าตายแน่”
ข้าวพองลูบหลังให้ไทนี่ใจเย็นลง
ไทนี่เพิ่งย้ายมาเรียนได้ไม่นานนัก ทำให้แทบไม่มีเพื่อน ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะเคยเห็นพ่อของไทนี่มารับที่โรงเรียนอยู่ครั้งสองครั้ง แต่ก็แค่ยกมือสวัสดี
“ครู ทำไงดี”
ที่ผ่านมาข้าวพองไม่เคยใช้ประโยคที่ขอความช่วยเหลือแบบนี้ ยิ่งน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจแบบนี้ยิ่งไม่เคยได้ยิน
ใจที่มันลำเอียงเป็นทุนเดิม รู้สึกเป็นห่วงข้าวพองมากกว่าไทนี่
ทั้งที่ไทนี่คือคนที่ถูกทำร้าย...
...แต่มันก็มีบางสิ่งบางอย่างที่รบกวนในใจ บางสิ่งบางอย่างที่มันมากกว่าความลำเอียงที่ทำให้ไม่ค่อยจะเชื่อคำพูดของหนุ่มคนนี้สักเท่าไหร่
มันมีคำถามที่ไม่ควรถามต่อหน้าข้าวพอง
เกียหันไปบอกข้าวพอง “ผมจะลงไปเอาถุงมาใส่เสื้อผ้าของคุณไทนี่ไปทิ้ง”
ปล่อยให้ข้าวพองอยู่กับไทนี่ด้วยความมั่นใจว่า ไทนี่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ข้าวพองฟัง แล้วข้าวพองก็จะต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังอีกต่อหนึ่งเช่นกัน
คนรับใช้ของไทนี่ยังนั่งดูละครโทรทัศน์ ท่าทางไม่ได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เกียชวนคนรับใช้คุย เริ่มจากการขอถุงพลาสติกไปใส่ของ แล้วก็ถามว่าไทนี่กลับมาเมื่อไหร่ หรือมีใครมาส่งบ้าง ถามไปเรื่อยว่าพ่อของไทนี่อยู่หรือไม่
แรกๆ คนรับใช้ชื่อปลาก็ไม่ค่อยกล้าเล่าอะไรเพราะพูดไทยไม่ชัด แต่พอเกียไม่ได้มีท่าทีสนใจกับสำเนียง ก็เล่าได้เรื่อยๆ จนพอจะจับความได้ว่าไทนี่กลับมาเมื่อบ่ายแล้วก็เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ได้ลงมากินข้าวเย็น ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนี้ คือหิวเมื่อไหร่ก็จะลงมาอุ่นกับข้าวกินเอง
ส่วนเรื่องพ่อของไทนี่ เคยพบเจอกันเมื่อตอนที่มาทำงานที่บ้านนี้แล้วก็เห็นว่ามาอีก 2-3 ครั้ง ในรอบประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา
เกียรับฟังแล้วบอกขอบคุณ ปลาทำหน้าตาแปลกๆ เหมือนไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน
เมื่อกลับขึ้นมาที่ห้อง ข้าวพองกับไทนี่ยังนั่งอยู่ที่เดิมเหมือนก่อนที่จะลงไป
เกียบอกว่า หากไม่แจ้งความ ไม่พบแพทย์ก็ต้องดูแลรักษาตัวเอง
ทั้งไทนี่ และข้าวพองมีสีหน้าไม่เข้าใจ
“อย่างนี้นะครับ คุณไทนี่บอกว่า ไม่รู้อะไรเลยนอกจากตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการต่างๆ ที่ทำให้คาดว่าจะโดนข่มขืน เราไม่รู้ว่าพวกเขาใช้ถุงยาง หรือมีการป้องกัน หรือเขาจะใช้อะไรหรือเปล่า”
“หมายถึงพวกสิ่งของน่ะหรือ” ไทนี่ถาม
“ครับ” เกียพยักหน้า ขณะที่ข้าวพองมีสีหน้าแหยงๆ แต่ไทนี่กลับดูนิ่งกว่า
“อันนี้ไม่รู้”
“ครับ เพราะฉะนั้นมันอาจมีแผล อาจติดเชื้อ ติดโรคอะไรก็ได้”
“ต้องไป...ตรวจเลือดใช่มั้ย” ข้าวพองถาม
“ครับ”
ข้าวพองยิ่งมีสีหน้ากลัวกว่าเดิม ไทนี่พอหันมาเห็นหน้าเพื่อน ก็พลอยกลัวตามไปด้วย
“ไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย” ไทนี่สารภาพ “กลัวแต่พ่อจะรู้ว่าหนีเที่ยว”
เกียบอกไปตามขั้นตอน “งั้นอย่างแรกเลย คุณไทนี่ต้องไปอาบน้ำทำความสะอาด ทานยา แล้วก็นอนพัก รอสักสองอาทิตย์ค่อยไปตรวจเลือด แต่ผมไม่แน่ใจว่าที่นี่ใช้ยาตัวไหน ยาบางตัวตรวจหลังจากนี้ 2 เดือน หรือ 6 เดือนก็มี”
ข้าวพองรอจนทุกอย่างเรียบร้อย บอกกับเพื่อนอีกครั้งว่าพรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วจะมาหาเสร็จแล้วก็กลับไป
จนกระทั่งอยู่ในรถด้วยกัน เกียถึงได้ถาม
“กลัวหรือ”
“อือ”
เกียจับมือนิ่มไว้ “แต่ข้าวพองก็เก่งนะ ดูแลเพื่อนได้”
“ดูแลอะไรเล่า เกียทำหมดทุกอย่างน่ะแหละ”
เกียอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม เพราะตอนนี้ข้าวพองเปลี่ยนมาเรียกชื่ออีกแล้ว
ข้าวพองทำหน้ายู่ๆ รู้ว่าเกียกำลังขำที่ตัวเองเรียกอีกฝ่ายกลับไปกลับมาอีกแล้ว “เออน่า ตอนนั้นพึ่งพาอาศัยกันได้ก็เป็นครู แต่ตอนนี้จับมือพองอยู่จะเป็นครูได้ไง”
“อ้อ...” เกียลากเสียงยาวแต่ไม่ยอมปล่อยมือ
ข้าวพองหันมามองหน้าคนขับรถ “พ่อไทนี่ท่าทางจะดุมาก”
เกียพยักหน้า “เท่าที่คุยกับปลา คนรับใช้น่ะครับก็ดูจะเป็นอย่างนั้น แล้วถ้าเรื่องนี้เกิดกับข้าวพอง ข้าวพองจะบอกพ่อกับพี่เพียงมั้ย”
ข้าวพองส่ายหน้า แล้วตอบช้าๆ “เรา...ใช้ยา นั่นมันเป็นเรื่องที่พ่อกับพี่เพียงรับไม่ได้อยู่แล้ว แล้วยังโดนอย่างนี้อีก เขาคงคลั่งตายแน่ๆ”
“มันมีวิธีง่ายๆ ที่จะไม่ทำให้พวกเขาคลั่งตาย คือต้องไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้”
“ใครจะไปคิด” ข้าวพองเถียงอุบอิบ
“ก็ต้องคิดได้แล้ว” เกียหันมามองหนุ่มข้างๆ แวบหนึ่ง เห็นสีหน้าหนักใจและความกลัวชัดเจน “ข้าวพองรู้ตัวเรื่องใช้ยาหรือครับ”
ข้าวพองถอนหายใจหนักๆ “รู้สิ แต่ไม่ค่อยอยากยอมรับว่าใช้”
“เจตนาใช้ หรือว่าโดนหยอด”
“มันก็...” ข้าวพองหันไปมองนอกหน้าต่าง “มั่วๆ ไปน่ะ”
“ข้าวพอง” เกียใช้เสียงเข้มขึ้น
หนุ่มตัวเล็กใช้มืออีกข้างเกาจมูกตัวเอง “มันก็ทั้ง 2 อย่างน่ะแหละ แต่พองไม่ติดหรอกนะ รู้ตัวเหมือนกันเวลาที่เมาเร็วกว่าปกติไรงี้ ก็จะอยู่นิ่งๆ เมื่อคืนก็ยังจำได้ที่เกียมารับน่ะ”
เกียกลับเป็นกังวลเพราะเมื่อคืนพูดอะไรหลายเรื่อง แต่ต้องผ่อนลมหายใจยาวเมื่อข้าวพองพูดต่อ
“แต่ก็ตื่นมาอีกทีก็สายละ เหม็นตัวเองสุดๆ เกียอาบน้ำให้พองหรือเปล่า”
เกียพยักหน้า ข้าวพองทำหน้าตาพิกล “แล้ว...ทำอะไรเราหรือเปล่า”
“เปล่า คนใช้ยา ไม่เห็นน่ากอด”
ข้าวพองเกาจมูกตัวเองอีกที “คุ้นๆ นะ”
“คุ้นอะไร”
“เนี่ย ไอ้ใช้ยา กับกอดเนี่ยมัน...คุ้นๆ”
“เมื่อคืน พี่บอกกับข้าวพองว่า ถ้าอยากให้กอดก็ต้องไม่ใช้ยา ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่อีก”
เกียแอบเติมประโยคลงไปอีก ขณะที่มองแก้มแดง
“ใครที่ไหนอยากให้กอด เกียน่ะแหละ...ชอบฉวยโอกาส”
ยิ่งเห็นหน้าแดงๆ ประกอบคำพูดแบบนี้ คำเตือนของแอนดรูว์กับแมรี่ ยิ่งห่างไกลออกไป
เกียจอดรถที่ข้างทาง หันมาหาข้าวพองเต็มตัว
“ข้าวพองครับ ข้าวพองเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับไทนี่ อย่าคิดว่าเรื่องร้ายๆ มันไม่มีวันเกิดขึ้นกับข้าวพอง พี่ยินดีที่ได้ดูแลข้าวพองด้วยชีวิต กันข้าวพองจากคนร้าย แต่ถ้าเป็นเรื่องของยาเสพติดนั่นเป็นสิ่งที่พี่ดูแลข้าวพองไม่ได้”
วินาทีแรกดวงตากลมดูเหมือนไม่เข้าใจ แล้วก็พยักหน้า “เกียกันพองจากมือปืนได้ แต่ยาเสพติดมันเป็นสิ่งที่ข้าวพองเสพเข้าไปเอง”
“ครับ”
“แต่เวลาไปบ้านเพื่อน ไปเที่ยวน่ะใครๆ ก็ใช้กัน ไอรีนยัง...”
นิ้วมือใหญ่แตะที่ริมฝีปากสวย “ข้าวพองครับ ไม่มีกฎกติกาว่าเราต้องใช้ยาทุกครั้งที่เราอยู่กับเพื่อนหรอกนะครับ”
“ก็..ไอรีน...”
เกียรู้แล้ว ว่าใครคือคนที่พาข้าวพองเข้าสู่ถนนสายนี้ ดวงตาของคนตัวโตแข็งกร้าวขึ้นวูบด้วยความไม่พอใจ
“ครั้งต่อไปที่จะไปเที่ยวกับเขา พี่จะไปด้วย”
“หือ”
“นะครับ นี่คือหน้าที่พี่”
ข้าวพองพยักหน้า ขยับตัวจากมือใหญ่ที่แตะปลายคาง แต่เกียก้มลงจูบแก้ม
ข้าวพองยกยิ้มที่มุมปาก ที่เครียด ที่กลัวสารพัด กลายเป็นขำ
“อีกละ”
“ก็ตอนนี้ข้าวพองไม่ได้ใช้ยา แล้ววันนี้ก็เป็นเด็กดีทั้งวัน สมควรได้รับคำชมเชย”
เกียจูบย้ำแก้มอีกครั้ง เมื่อถอนริมฝีปากออก ข้าวพองถึงกับบ่นอุบอิบ
“นี่เป็นรางวัลชมเชยเหรอ แล้วถ้าวันไหนเป็นการยกย่องแบบรางวัลชนะเลิศ ไม่ต้อง..........”
เกียมองใบหน้าแดงเรื่อที่หันไปมองนอกรถ รู้สึกอยากคว้ามากอดแน่นๆ
ข้าวพองมองสายตาอีกฝ่ายผ่านเงาสะท้อนในกระจก ดวงตาที่พาให้หัวใจวูบไหวแปลกๆ จนต้องหันกลับมามอง
“เกีย.....”
“ครับ”
ดวงตากลมมองริมฝีปากหนา ทั้งรู้สึกริมฝีปากตัวเองแห้งผาก
“เกีย.....”
เกียรู้ดีว่าข้าวพองต้องการอะไร
ริมฝีปากหนาขยับมาจดจ่อแต่ไม่สัมผัส
“ผมให้ได้ทุกอย่าง ขอเพียงข้าวพองไม่ใช้ยาเสพติดอีก”
“แต่ตอนนี้....”
“ตอนนี้พอแล้ว”
ข้าวพองกะพริบตากลมโต ความรู้สึกหวามไหวในอกถูกจับพลิกคว่ำ
“อะไรนะ”
“ของหวานน่ะ ต้องค่อยๆ ลิ้มรส รสหวานจะได้ติดอยู่ที่ปลายลิ้น และหัวใจของเราไปนานๆ”
เกียจูบที่ปลายคางสวย แล้วคว้ามือนิ่มมาจับไว้อีกครั้ง
บอกกับตัวเอง
....เสร็จจากงานนี้ กลับลอนดอน ต้องไปสารภาพบาปที่ทำร้ายหัวใจของข้าวพอง....
ความรู้สึกผิดที่เกาะกุมหัวใจหนาขึ้นทุกวัน
....ทำตามใจตัวเอง ทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย....
พัวพันกันจนยุ่งเหยิง เพื่อที่วันหนึ่งเราจะจากไป แล้วทำให้คนๆ นี้ต้องเสียใจ.....
แล้วมันมีทางเลือกที่ดีกว่านี้หรือไง
*-*-*จบตอนที่ 10*-*-*
ขออภัยที่วันนี้สายสุดโต่ง เพราะมีพิมพ์ตก พิมพ์ผิด คำเรียกตัวเองสลับกันมั่วไปหมด 
ตอนพิเศษยังไม่มีหรอกครับ ยังไม่มีอะไรที่เป็นเชื้อความคิดเลยสักนิด
อ่านเรื่องนี้กันต่อไป
ตอนต่อไปมาวันอาทิตย์นะครับ
.น้ำชา.
ปล. อัั้ยย่ะ ขึ้นหน้าใหม่หล่ะ ดีใจๆๆๆๆๆ ขอบคุณมากครับ 