คิดถึงเกียกันหรือ
จัดไป!!
ตอนที่ 15 เกียพลิกแฟ้มคดีของพวงเพชร และเพชรแท้ 2 แม่ลูกอีกครั้ง อ่านจนจำทุกตัวอักษรได้ขึ้นใจ มองเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
ตามตัวอักษรที่ปรากฎ!
หันไปเปิดคอมพิวเตอร์ดูภาพวงจรปิดในช่วงที่มีเหตุลอบยิง
คดีของพวงเพชรไม่มีภาพ ส่วนคดีของเพชรแท้ ถึงจะมีภาพแต่เหตุก็เกิดไกลจากจุดติดตั้งกล้องมาก ต่อให้ขยายภาพเป็นร้อยเท่าภาพก็ยังไม่ชัดเจนอย่างที่ตำรวจบอกกับมโหธรไว้
เกียทำสำเนาภาพ แล้วส่งกลับไปให้แมรี่เพื่อนร่วมทีมที่ลอนดอนช่วยจัดการต่อ เหมือนกับเรื่องของกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการที่พวงเพชรได้เพชรมา และกลุ่มที่เพชรแท้ติดต่อขายให้ ที่มีเรื่องผิดนัดส่งของจนถึงขั้นศาล
มีโทรศัพท์จากมโหธร บอกว่า ข้าวพองกำลังไปหา
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
มโหธรลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบกระซาบ
“ผมว่า มันคงมีเรื่องอะไรสักอย่าง เพราะมันรับโทรศัพท์จากเพื่อน แล้วถึงได้หันมาทำท่าหาเรื่องอุบล โวยวายว่าอุบลทำขนมจีนน้ำยาทำไม มันอยากกินสเต๊ก” พี่ชายรู้ทันน้องเล็กเป็นอย่างดี “เสร็จแล้วไอ้แสบมันก็จะไปหาเกีย โวยวายไม่ให้ใครไปส่ง ผมต้องต่อรองให้ยอดเรียกรถมอเตอร์ไซค์กำชับให้ไปส่งที่คอนโดฯ ห้ามแวะที่ไหนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะให้อุบลทำขนมจีนให้กินอาทิตย์นึง”
เกียหัวเราะ “งั้นก็คงเรื่องเพื่อนๆ ของเขาน่ะครับ”
“มีปัญหากันหรือ”
“ครับก็เรื่องเที่ยวกลางคืน เรื่องใช้ยา”
คราวนี้มโหธรถอนหายใจเสียงดังจนเกียได้ยินชัดเจน
“เขาไม่เล่าให้คุณฟังเพราะไม่อยากให้คุณเป็นห่วง ก็อย่าเพิ่งเป็นห่วงสิครับ”
“โธ่เกีย อย่างกับทำได้งั้นแหละ” พี่ชายคนโตยอมรับ “ตอนเราเอง เราคุมตัวเองได้ไม่ยุ่งกับมัน เพราะไม่มีนิสัยแข่งกันเด่นไง อยู่โรงเรียนประจำ ใครอยากทำอะไรก็ทำไป พ่อส่งเรามาเรียน แต่ไอ้พองมันไม่ใช่ มันเป็นแบบของมันเองไม่เหมือนใคร”
“ข้าวพองขี้เหงาน่ะครับ ที่ไปเที่ยวก็เพราะไม่อยากอยู่คนเดียว แล้วนี่เขาก็ไม่ได้ไปเที่ยวกลางคืนมานานเป็นเดือนแล้วครับ”
“นั่นเพราะเกียตามคุมตลอดเวลาน่ะสิ” มโหธรบอกแล้วฝากให้เกียรอรับน้องชายอีกครั้ง ถึงได้วางสายไป
อึดใจต่อมา ก็มีเสียงโทรศัพท์จากพนักงานของคอนโดฯ ว่ามีคนมาหา เกียบอกให้ขึ้นมาหาที่ห้องได้ พอวางสายก็รีบเก็บแฟ้มคดี ปิดคอมพิวเตอร์ เปลี่ยนเป็นเปิดโทรทัศน์ดูการแข่งขันกีฬา
เมื่อมีเสียงเคาะประตู เกียก็ได้แต่ยิ้มพลางส่ายหน้าขณะที่เดินไปเปิดประตู
“วันนี้วันหยุดพี่”
“รู้แล้วละน่า ว่าวันหยุด แต่คนร้ายมันไม่ได้หยุดงานวันอาทิตย์นี่” ข้าวพองเดินสวนเข้ามาในห้อง ดวงตากลมๆ กวาดตามองไปทั่ว เมื่อเห็นว่าในห้องนี้มีหนังสือ กีตาร์ อุปกรณ์ออกกำลังกาย และอื่นๆ อีกมากมาย ก็ส่งเสียงจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ
“แต่ปกติวันอาทิตย์ ข้าวพองจะอยู่กับพ่อ กับคุณเพียง”
“ใช่”
“แล้ว...ทิ้งคุณพ่อกับคุณเพียงมาได้อย่างไร”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เขาทิ้งพองไปเป็นอาทิตย์ โดนซะมั่งเหอะ”
ข้าวพองยังคงมองไปรอบห้อง ท่าทางไม่ได้สนใจคนที่อยู่ที่บ้านเลยสักนิด
“แล้ว..มาคนเดียว”
“เปล่า ยอดเรียกมอ’ไซค์ให้”
“ข้าวพอง” เกียส่ายหน้า
“อยากกินสเต๊กน่ะ เกียทำให้กินหน่อยสิ”
“อยากกินสเต๊กมากขนาดบุกมาห้องพี่เนี่ยนะ”
“นั่นมันส่วนหนึ่ง” ข้าวพองเลียนแบบคำพูดของเกีย “อีกส่วนหนึ่งคืออยากรู้ว่า จะออกไปสืบคดีที่ไหนหรือเปล่า อยากไปด้วย แล้วทำไมยังอยู่บ้าน ไม่ออกไปข้างนอกหรือไง”
เกียยังยิ้มขำ ทั้งที่หนักใจ
“พี่ส่งข้อมูลไปให้เพื่อนช่วยดูให้ ให้เวลาเขาทำงานกันก่อน”
“ก็ให้เขาทำงานไป แล้วเกียล่ะ” ข้าวพองหันมามองหน้าตรงๆ “พองบอกกับเกียไปตั้งหลายวันแล้วนี่นา แล้วไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยหรือไง”
“มี แต่พี่ยังบอกข้าวพองไม่ได้”
ข้าวพองกำหมัดชกที่ไหล่หนา “ไม่ได้ต่างจากพี่เพียงเลยสักนิด! ทำไมทุกคนเห็นว่าพองโง่!”
“ข้าวพองไม่ได้โง่” เกียจับข้อมือเล็กๆ ไว้ “แต่พี่จะบอกข้าวพองเฉพาะเรื่องที่พี่แน่ใจว่ามันคือความจริง ไม่ใช่การสันนิษฐาน”
“ชริ!” ข้าวพองกระแทกเสียงใส่ บิดมือตัวเองออกแล้วหันไปคว้าหนังสือที่อยู่ใกล้มือ ไปนั่งอ่านที่โซฟาในห้อง
“ทำไมทุกคนต้องกลัวพวกมันขนาดนี้นะ”
“นั่นสิ ทำไม” เกียย้อนขณะที่เดินตามมานั่งข้างๆ “ตกลงจะออกไปกินสเต๊กหรือยัง”
“ไม่ออกไป พองบอกว่า ให้เกียทำให้กินต่างหาก”
“งั้นก็ต้องออกไปซื้อของ” เกียหันไปมองในครัว แล้วเดินไปหยิบกระเป๋ากับกุญแจรถ “ไปซื้อของกัน”
“ไม่ พองจะรออยู่ที่นี่ เกียไปสิ” ข้าวพองบอกขณะที่พลิกหนังสือในมือ
....หนังสือบ้าอะไรวะ มีแต่ตัวหนังสือ ไม่มีรูปเลย อ่านไปก็หลับแหง...
“ไม่ เราต้องออกไปด้วยกัน” เกียเดินเข้ามาดึงหนังสือไปจากมือ
“กลัวพองจะรื้อของในบ้านแล้วเจอความลับล่ะสิ”
ข้าวพองเถียงกลับไม่ลดละ
“พี่ไม่ซ่อนความลับไว้ในห้องหรอก”
“แล้วอยู่ที่ไหน ที่อังกฤษเหรอ”
“ในใจ”
เกียตอบเสียงต่ำๆ แต่พอเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ก็กลับยกยิ้มที่มุมปาก ทำให้สิ่งที่คนที่กำลังคิดรู้ทัน กลายเป็นไม่แน่ใจ แล้วหลงคิดไปตามที่เกียอยากให้คิด
“อะ..อะไร”
“ก็ในใจไง ถ้าอยากให้มันเป็นความลับ ต้องเก็บไว้ไม่พูดออกมา”
“อยู่ดีๆ ก็พูดอะไรที่เข้าใจยาก”
“ไม่นี่ ถ้ามันอยู่ในใจมันคือความลับ แต่ทันทีที่พี่พูดว่าพี่รักข้าวพอง มันจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป”
...เข้าใจนะ ว่าเกียหมายความว่าอะไร ประโยคนี้ชัดเจนและแสนจะตรงไปตรงมา แต่หน้าก็ยังร้อนผ่าว แล้วก็ถามซ้ำอะไรออกไปก็ไม่รู้ ....
“แล้ว...ความลับที่บอกพองไม่ได้ล่ะ”
“ถ้าพูดออกมามันจะไม่ใช่ความลับ”
“แต่พองอยากรู้”
เกียก้มลงกระซิบข้างหูคนที่ยังนั่งอยู่ที่โซฟา “พี่...รักข้าวพองมากที่สุด รักมากกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของพี่”
....ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี หูก็อื้อ มือไม้มันก็ดูเกะกะ เก้อเขิน ทำอะไรไม่ถูก หัวใจเต้นแรง แล้วพาลทำให้มือเย็นสลับร้อนผ่าว
ได้แต่กะพริบตางงๆ เมื่อริมฝีปากหนาจูบที่ข้างแก้ม
“อย่าใจร้อน พี่สัญญาแล้วว่าจะทำให้ ก็คือทำให้ เชื่อพี่นะครับ คนดี...”
“อื้ม...” ข้าวพองพูดอะไรสักอย่างคล้ายๆ คำนี้รู้แต่ว่ามันอึ้งๆ งงๆ แล้วหูมันก็ยังไม่เลิกอื้อสักที
จูบที่ริมฝีปากบาง ข้าวพองก็ก้มหน้างุด
“ลงไปซื้อของกับพี่นะ แล้วค่อยกลับมากินด้วยกัน”
“อื้ม....”
เกียจับมือนิ่มให้ลุกตาม ชวนคุยเมื่อเดินออกมานอกห้อง ทั้งชวนให้ทำอาหารกลางวันด้วยกัน
“บ่ายโมงกว่าแล้ว หิวแล้วใช่มั้ย”
“ใช่” ข้าวพองนึกสงสัยตัวเอง ที่เริ่มพูดน้อยผิดปกติ แถมยังมายืนทำอะไรก็ไม่รู้อยู่ในครัวแคบๆ
“แปลกเนอะ” ดวงตากลมๆ มองตามมือที่กำลังทำอาหาร “อยู่บ้านก็เจอกันตลอดเช้าเย็น ไม่เห็นว่าเกียที่บ้านจะเหมือนที่นี่”
คนตัวโตหัวเราะหึหึ “พี่เหมือนเดิมไม่ว่าจะที่ไหน ข้าวพองต่างหากที่ไม่เหมือนเดิม”
“ไม่เหมือนเดิมยังไง”
“ข้าวพองที่นี่...น่ารักมาก....” เกียหันมาจูบคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
จูบผ่านๆ เพราะเจ้าตัวเบี่ยงหลบทันที
แก้มร้อนผ่าวจนต้องรีบหนีไปนั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าว
“เกียน่ะแหละที่....เลี่ยนผิดปกติ...”
ที่จริงอยากบอกว่าหวานผิดปกติ แต่กลับเลี่ยงไปใช้คำอื่น ที่มันกลับให้ความหมายในเชิงลบ ที่เกียไม่ได้มีท่าทีว่าจะสนใจหรือคิดที่จะตีความภาษาไทยเลยสักนิด
“ไม่นะ ที่บ้านพี่ก็พูดอย่างนี้กับข้าวพองตลอด”
หนุ่มตัวเล็กกัดมุมปาก หันไปมองนอกหน้าต่าง รอจนอาหารจานสวยมาวางข้างหน้า
“เสร็จแล้วครับ”
ข้าวพองยิ้มแป้น ดวงตาพราว
“พ่อครัวได้รางวัลอะไร”
“กินก่อนสิ ถ้าอร่อย จะได้รางวัล”
“งั้นเชิญครับ”
เกียเช็ดมือแล้วนั่งลงตรงข้าม ข้าวพองก็ชี้ให้กินบ้าง จนหมดจานก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะให้รางวัล เกียก็ไม่ได้ทวง ระหว่างที่กำลังล้างจานหันไปเห็นข้าวพองกำลังกระโดดเบาๆ อยู่บนโซฟาตัวใหญ่
“หวงโซฟาอะดิ” ข้าวพองมองมา
“ไม่ได้หวง เห็นว่าเพิ่งกินอิ่ม ไปกระโดดเล่นแบบนั้นจะจุก”
“เกียชอบโซฟาแบบนี้เหรอ”
“เปล่าหรอก แอนดรูว์เป็นคนเลือก”
เกียตอบตามตรง แต่ข้าวพองหยุดยืนเท้าเอวอยู่บนโซฟา
“ไหนบอกว่าไม่ได้เป็นแฟนกัน”
“ไม่ได้เป็นแฟนกัน” เกียเช็ดมือแล้วเดินเข้ามาหา “แต่แอนดรูว์เป็นคนรับงานมาจากคุณเพียง และจัดการทุกอย่าง รวมถึงรถที่พี่ใช้ด้วย”
ข้าวพองหรี่ตาชี้ไปทั่วห้อง “แล้วนั่นล่ะๆๆๆๆ ของใคร”
“อาจเป็นแอนดรูว์ หรือไม่ก็คุณเพียง มีแต่กองหนังสือกับพวกคอมพิวเตอร์นี่พี่เลือก แล้วก็เพิ่มความสามารถมันนิดหน่อย”
ข้าวพองกระโดดจากโซฟา ตรงไปที่โต๊ะทำงาน เกียรีบคว้าเอวไว้อุ้มกลับมาที่โซฟาตัวเดิม
“ไม่ใช่ 3 ขวบแล้วนะ กระโดดอย่างนั้นเดี๋ยวก็เจ็บตัวจนได้”
“ไม่หรอกน่า” ข้าวพองเบี่ยงตัวหนี พยายามจะหลุดจากอ้อมแขน
“อยู่เฉยๆ ได้มั้ยเนี่ย”
“ได้ แต่ตอนนี้อยากรู้ว่าโต๊ะทำงานของเกียมีอะไร”
“มันจะมีอะไร นอกจากคอมพิวเตอร์กับหนังสือ”
“ก็มันมีอะไรอยู่ในคอมพิวเตอร์ล่ะ” ข้าวพองพยายามผลักไหล่หนา แกะแขนแข็งแรงที่โอบกอดอยู่
ริมฝีปากหนาฉกจูบวูบให้ทุกการเคลื่อนไหวหยุดชะงัก
“ที่ตามมาถึงที่นี่ เพราะสเต๊ก เรื่องคดี หรือจะมาจับผิดพี่”
“ก็...” ข้าวพองก้มมองที่ปลายคางเกีย แล้วเปลี่ยนไปมองทางอื่น
“ถามอะไรพี่ก็ตอบความจริงทุกอย่าง จะระแวงอะไร”
“ไม่ได้ระแวง พองไม่ได้ชอบเกียแล้วจะระแวงทำไม”
เกียถึงกับต้องหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้ายอมรับ
...เราพูดความจริง ข้าวพองก็พูดความจริงอย่างตรงไปตรงมาเหมือนกัน ท่าทีขัดเขิน แก้มสีแดงเรื่อ ทั้งหมดเป็นเพียงปฏิกิริยาปกติของคนวัยนี้เท่านั้น...
“งั้นมาเพราะอยากถามเรื่องคดีอย่างเดียว”
“เปล่า” ข้าวพองตอบตามตรง “เมื่อตอนสายๆ เบซซี่โทรมา” ดวงตากลมหันมามอง “จำเบซซี่ได้ปะ”
เกียพยักหน้า ทำไมจะจำไม่ได้ หญิงสาวคนนี้กำลังคุยกับข้าวพองในวันที่ไปรับที่บ้านเบลค และคือคนที่แฝดป๋อมแป๋มบอกว่า เป็นสาวที่ข้าวพองกำลังคุยอยู่
“ศัตรูหัวใจของพี่”
“ฮึ่ย” ข้าวพองทำเสียงอยู่ในลำคอ “มีหลายคนทักเรื่องไทนี่คุยกับพวกเด็กเกเรที่โรงเรียน บอกว่าเขาขายยาตัวใหม่ให้พวกเที่ยว แต่พองไม่เคยเห็น แต่เมื่อคืนเบซซี่กับเพื่อนของเขาไปบ้านเบลคแล้วก็กลับมาก่อน 3 ทุ่ม เพราะเขาเห็นไทนี่กำลังส่งยาให้พวกรุ่นพี่ที่เบซซี่ไม่รู้จัก"
….แต่แรกเบซซี่ไม่ได้คิดจะไป แต่คาดว่าเธอคงเปลี่ยนใจไปกับเพื่อน แล้วพอเห็นว่าไทนี่หว่องไปงานด้วย แล้วยังขายยาให้กับรุ่นพี่ที่ไม่ได้มีความคุ้นเคยกันก็เลยกลับ....
“ทำไมเบซซี่เพิ่งโทรบอก”
“ก็ทีแรกเขาบอกว่า ถ้าพองไม่ไปเขาก็ไม่ไป ก็เลยไม่อยากบอก จนมาถึงวันนี้ก็เลยคิดว่าบอกดีกว่า”
เกียรับรู้ “เตือนเบซซี่ให้ระวังตัว”
“บอกแล้ว”
เมื่อข้าวพองไม่มีท่าทีขัดขืนอีก เกียก็ขยับนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน จับให้เอนตัวมาหาแล้วกอดไว้
“พองไม่เคยเห็นกับตาว่าไทนี่เป็นคนเอายามา มันก็เลย กึ่งๆ ไม่ค่อยอยากเชื่อ .... แล้วมันก็โดนคนข่มขืน” หนุ่มตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมามอง “วันที่ไทนี่เรียกเราไปหามันยังดูกลัวมาก แต่พอวันถัดมา มันกลับไม่อะไรเลย” พลิกตัวอีกที กลายเป็นนั่งคร่อมอยู่บนตักของเกีย “เข้าใจมั้ยว่า ยังไงไทนี่มันก็เพื่อน ยังไงมันก็น่าสงสารมันอยู่ตัวคนเดียวน่ะ”
...เพราะความรู้สึกกับเพื่อนคนนี้เริ่มต้นที่ความสงสาร ถึงจะมีคนบอกว่าเขาร้าย ไอ้คนที่มาบอกนั้นก็ร้ายไม่เป็นรองใครเหมือนกัน ถึงได้ไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งคนที่ไว้ใจมาบอกถึงได้เชื่อ...
“แล้วตอนนี้เชื่อเบซซี่”
“ใช่ รู้สึกว่า ถ้าวันนั้นมันโดนคนทำร้ายจริงๆ ก็เพราะมันทำตัวเอง มันกลายเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ จนอยากห่างๆ เพราะเรื่องของตัวเองก็ยุ่งวุ่นวายมากพอแล้ว”
“เข้าใจ แล้วข้าวพองอยากให้พี่จัดการเรื่องไทนี่ยังไง”
ข้าวพองส่ายหน้า “ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนละ ที่มันจะมานอนบ้าน แต่พองยังไม่ตกลง”
...เรื่องธรรมดาของนักเรียนวัยนี้ เกียคิดขณะที่ใช้ปลายนิ้วแตะที่แก้มใสเหมือนกำลังสัมผัสแก้วบาง
“ให้มาวันธรรมดาสิ บอกป๋อมแป๋มมาค้างด้วยก็ได้ เย็นพี่ไปรับที่โรงเรียนเช้าก็ไปส่ง”
“ได้เหรอ” พองตาโต “พองพาเพื่อนมาบ้านได้จริงๆ เหรอ”
“ได้สิ ว่าจะถามหลายครั้งแล้วว่า ทำไมถึงไม่อยากให้เพื่อนมาบ้าน”
ข้าวพองทำหน้ามุ่ย “ก็แม่ขายเพชร พี่เพชรเขาก็เรื่องเยอะ ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบนั่นนี่ ตอนเด็กๆ พี่เพียงเคยพาเพื่อนมาบ้านแล้วไปทำคริสตัลของเขาตกพื้น พี่เพชรเขาอาละวาดร้องกรี๊ดๆ พองก็เลยไม่อยากพาเพื่อนมาบ้าน แล้วพอโตๆ มาเวลาเราไปบ้านใคร พ่อแม่เขาจะมาคุยด้วย อย่างบ้านแฝดนั่นไง แต่พองไม่มีใคร”
เกียพยักหน้าเข้าใจ แม้จะมีคำถามว่า วัยรุ่นน่าจะชอบเวลาที่พาเพื่อนมาบ้านแล้วผู้ปกครองไม่อยู่บ้านมากกว่า
“สรุปก็คือ ตอนแรกไม่พามาเพราะกลัวโดนดุ ตอนนี้พามาก็ไม่มีใครอยู่บ้าน ก็...ไม่มาก็ไม่เห็นเป็นไร ค่ำลงก็ออกไปเที่ยวที่อื่นได้"
"ไม่เป็นเหตุเป็นผลเลยสักนิด” เกียดุ
“เออ ช่างเหอะ” หนุ่มตัวเล็กขยับตัวลงนอนบนอกกว้าง “ตะกี้ เพิ่งพูดกันว่าไทนี่ไม่น่าไว้ใจ แล้วทำไมเกียยังอยากให้มา”
“มาเพื่อให้เขาแน่ใจว่าเราไม่มีอะไรน่าสนใจ เพราะเราไม่ได้สนใจเรื่องเที่ยวและใช้ยาแล้ว”
“เหรอ...”
เกียลูบผมนุ่มเบามือ
“พองลองคิดเรื่องการคบเพื่อนอีกทีนะ”
“ยังไง” ข้าวพองถามขณะที่เล่นกระดุมเสื้อยืดของเกีย
“เวลาที่ข้าวพองพูดว่า เพราะแม่ เพราะพี่เพชร เพราะไม่มีใครอยู่บ้านก็เลยทำให้ไม่อยากพาเพื่อนมาบ้านน่ะ ที่จริงแล้วเป็นเพราะพวกเขา หรือเพราะที่จริงแล้วข้าวพองไม่คิดอยากพาเพื่อนมาเอง”
ข้าวพองนิ่งฟัง เหมือนที่ผ่านมา พ่อกับพี่เพียงก็เคยพูดว่าพาเพื่อนมาบ้านบ้างก็ได้ ไม่ใช่คิดแต่จะหนีเที่ยวกลางคืน แต่ทำไมไม่รู้ ถึงได้ไม่คิดจะเชื่อฟัง
...แต่พอคนนี้พูด
พูดไปเรื่อยๆ เหมือนตอนที่แม่เล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง
ซึ่งถ้าเป็นพี่เพียงพูดแบบนี้คงหัวเราะกลิ้ง
...แต่ตอนนี้กลับเชื่อ...เราก็แค่หาเรื่องปิดกั้นตัวเอง ไม่ไว้ใจ ไม่คิดคบหาใครเป็นเพื่อน....
“แม่เคยพูดว่า ไม่มีเพื่อนก็ไม่เป็นไร พองมีแม่เป็นเพื่อน....” ข้าวพองพูดแล้วก็เงียบไปเฉยๆ
“คิดถึงแม่หรือครับ”
แต่ข้าวพองไม่ตอบ ว่าความคิดถึงในเวลานี้ มันไม่ใช่แบบที่เกียกำลังคิด
แต่คิดไปถึงสิ่งที่เขาปลูกฝังไว้ จนทำให้ไม่กล้าที่จะไว้ใจใคร
“ข้าวพอง หลับหรือเปล่า”
“เปล่า”
เกียก้มลงหอมผมนิ่ม “ข้าวพองเคยเห็นหน้าพ่อของไทนี่มั้ย”
“เคย” ข้าวพองพยักหน้า “ครั้งนึง”
“งั้นเรามาเล่นอะไรคลายเครียดกัน” เกียขยับตัว ช้อนอุ้มสะโพกให้อยู่บนเอว จนหนุ่มตัวเล็กหัวเราะร่วน ขาเล็กๆ เกี่ยวกันไว้แน่น 2 มือกอดคอหนาเพราะกลัวตก
“รู้แล้วว่ากล้ามใหญ่ และถึกมาก ไม่ต้องอวดก็ได้”
คนตัวโตหอมแก้มแดง แล้วหยิบกระดาษกับดินสอ
ปกติขั้นตอนนี้จะใช้สมุดภาพ หรือไม่ก็เลือกจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์
“เรามาทดสอบกันว่า พองมีความจำดีขนาดไหน”
“ทำอะไร”
“เขียนภาพพ่อของไทนี่หว่องให้พี่”
*-*-*จบตอนที่ 15*-*-*
ผมชอบเวลาที่คุณเดาเรื่องนะ สนุกมาก
อยากสปอล์ยใจจะขาด แต่เอาเป็นว่าที่เดาๆ กันมาน่ะไม่ใช่ 
คือตอนแรกสุดที่เขาเล่าพล็อต มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่หลังจากนั้น เขาก็บอกว่า มันยังซับซ้อนไม่พอ ต้องหาวิธีซ่อนใหม่
แต่สุดท้ายมันก็แบบ....
รู้สึกเหมือนผมไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เลยแฮะ
อยากให้พี่ไจฟ์เขียนเรื่องผีอีกเหมือนกัน แต่เขาบอกว่า เรื่องนี้ยังเขียนเป็นปี ทีคิดไปถึงเรื่องต่อไปแล้วหรือ
แผ่นดินไหวรุนแรง เป็นอย่างไรกันบ้าง ระมัดระวังตัวนะครับ
ตอนต่อไปมาวันพฤหัสบดีนะครับ
..น้ำชา กับ พี่ไจฟ์ ครับ..