ตอนที่ 18ตอนเช้าระหว่างรอข้าวพองลงมารับประทานอาหาร เกียชวนอุบลคุยเรื่องภายในบ้าน เป็นการยืนยันอีกครั้งว่า มโหธรแต่งงานแล้วก็แยกบ้านออกไป ดังนั้นนิรมลจึงไม่เคยพักที่บ้านนี้
ส่วนไอรีน พักที่บ้านนี้ก็จริงแต่นอนที่ห้องรับแขกที่อยู่ชั้นล่าง ซึ่งเกียแน่ใจว่า ไอรีนต้องเคยเข้าไปในห้องนอนทุกห้องที่ชั้นบน
ยังมีอีกคนที่ไม่แน่ใจว่าเคยเข้ามาที่บ้านนี้หรือไม่
“คุณนวลพรรณ ภริยาใหม่ของคุณท่านน่ะหรือคะ” อุบลเหลียวมองไปทางบันได ระแวงว่าข้าวพองจะได้ยินชื่อของภริยาของอัครา “มาได้แค่โรงรถเท่านั้นแหละค่ะ คุณข้าวพองเอาข้าวของในบ้านเขวี้ยง ทั้งร้องด่า ตะโกนไล่ ชนิดที่ได้ยินกันไปทั้งซอย”
เกียคงมีท่าทีอึ้งไป ทำให้แม่บ้านอาวุโสต้องย้ำอีกครั้ง
“ไล่กันชนิดที่ไม่รักษาหน้าคุณท่านที่พามาเลยสักนิด แล้วจากนั้นเธอก็ไม่ได้มาบ้านนี้อีกเลย”
“เขาไม่ดุ ไม่ว่าอะไรข้าวพองเลยหรือ” ถ้าเป็นเกียทำอย่างนี้ คงได้โดนลงโทษแน่ๆ
“ไม่หรอกค่ะ คุณท่านก็พาคุณนวลพรรณกลับไป ก็เท่านั้นเอง”
เกียถอนหายใจเหนื่อยๆ จนอุบลขำ
คนที่มารออยู่ที่โรงเรียนในเช้าวันนี้เป็นสาว 2 คน คนหนึ่งคือแป๋ม อีกคนคือเบซซี่
แป๋มกำลังอ่านโน้ตเล่มเล็กๆ ในมือ ขณะที่เบซซี่กำลังเล่นโทรศัพท์มือถือ ทั้งคู่ลุกขึ้นทันทีที่ธีระเลี้ยวรถเข้ามาจอด
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมมาโรงเรียนแต่เช้า” ป๋อมทักน้องสาวด้วยสีหน้าท่าทางสดชื่นมาก
“เช้าที่ไหน เกือบ 7 โมงครึ่งแล้ว” แป๋มทำหน้าหงิก “ช้าเพราะป๋อมใช่มั้ย”
ป๋อมชี้ไปที่ข้าวพอง “ข้าวพองต่างหาก น้าอุบลมัดผมให้ไม่ถูกใจต้องทำใหม่ พอออกสายรถก็ติดละ”
เบซซี่ไม่ได้สนใจบทสนทนาของคู่แฝด เพราะส่งยิ้มหวานเดินมาจับข้อมือข้าวพอง แล้วถึงได้หันไปทักทายเกีย
“ดูแลเด็ก 3 คนเหนื่อยมั้ยคะ”
“ตัวเองผู้ใหญ่มากเลยนะ” ข้าวพองจิ้มที่แก้มใส
ทั้งที่หัวใจกำลังออกอาการตึงๆ เมื่อเห็นท่าทีของข้าวพอง แต่เกียยังยิ้มหวานให้เบซซี่ “มาแต่เช้าเลยนะครับ”
“ไม่เช้าหรอกค่ะ แค่มาก่อนพี่ข้าวพองเท่านั้นเอง” เบซซี่ยิ้มหวานแล้วดึงข้อมือให้หนุ่มตัวเล็กเดินตามไปด้วย
เป็นบรรยากาศหวานๆ ที่ดึงความสุขไปจากคนตัวโตที่ได้แต่ยืนมอง
ป๋อมหันมาเรียกไทนี่ แล้วขอบคุณเกียกับธีระ
“ขอบคุณมากครับ”
“ด้วยความยินดีครับ”
เมื่ออยู่ในรถกัน 2 คนธีระพูดยิ้มๆ “ผมคิดว่าเด็กโรงเรียนฝรั่งจะแสบซ่า แต่ที่จริงเพื่อนคุณข้าวพองก็เรียบร้อยดีนะครับ”
เกียเพียงยิ้มจางๆ “ก่อนที่ผมจะมา ธีระเห็นคุณข้าวพองอยู่กับเพื่อนๆ บ่อยมั้ย”
“คุณคนที่เป็นคนจีนน่ะ” ธีระหมายถึงไทนี่หว่อง “ผมเพิ่งเห็นไม่กี่ครั้ง แต่ไม่คิดว่าสนิทกันถึงขนาดที่คุณข้าวพองจะชวนมาบ้านได้ ส่วนคุณฝาแฝดเคยเห็นมาตั้งแต่ตัวนิดเดียว แต่เพิ่งเคยไปส่งก็ตอนที่ครูมาแล้วนี่แหละครับ ยังมีคุณเบซซี่ เพิ่งเห็นว่าเดินด้วยกันก็เมื่อวานนี้เอง”
ธีระเล่าเรื่องเพื่อนๆ ของข้าวพองในมุมมองของคนที่ได้แต่มองอยู่ห่างๆ ไม่เคยรู้ว่าหนุ่มสาวกลุ่มนี้คุยอะไรกันบ้าง แต่พอจะสรุปได้ว่า ในความเห็นของธีระ ที่ผ่านมาทุกคนเป็นเพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อนสนิท
แต่เพิ่งจะมาเป็นเพื่อนสนิทก็หลังจากที่เกียมาทำหน้าที่ดูแลข้าวพองแล้ว
เกียบันทึกข้อสังเกตของธีระไว้ในใจ คนกลุ่มหนึ่งขยับเข้าใกล้ข้าวพองมากกว่าเดิมเมื่อเกียมาถึงที่นี่
“แล้วข้าวพองออกไปนอกโรงเรียน แล้วกลับมาพร้อมกับไอรีนบ่อยมั้ย”
ธีระพยักหน้า “บ่อยครับ ถึงคุณเพียงจะให้เธอออกจากงาน แต่เธอก็ยังคบอยู่กับคุณข้าวพอง มีที่คุณข้าวพองออกไปตอนค่ำแล้วเธอมาส่งตอนเช้ามืดก็มี ส่วนที่ผมมาส่งตอนเช้าคุณข้าวพองเดินเข้าโรงเรียนไปแล้วเห็น ๆ แต่พอตกเย็นกลับเดินเข้ามาจากข้างนอกเนี่ย ผมไม่เข้าใจ”
เกียเข้าใจความสงสัยของธีระ “เดี๋ยวนี้บางโรงเรียนเขาก็ไม่ได้เข้มงวดเรื่องนักเรียนจะเข้าจะออกก่อนเวลานักหรอก แล้วถ้าหากมีผู้ปกครองมาเซ็นชื่อรับออกไปก็ยิ่งง่าย”
“อ้อ....” คนขับรถลากเสียง “ไม่เหมือนโรงเรียนบ้านผม เข้าไปแล้วถ้าออกมา แปลได้อย่างเดียวคือหนีเรียน โดนครูฟาดหน้าเสาธงอายกันไปทั้งบ้าน”
“สมัยนี้เขาเรียกว่า มันเป็นการกักขังละเมิดสิทธิมนุษยชนไง”
ธีระทำหน้าตาไม่เห็นด้วย “ผมว่ามันอันตราย เด็กๆ อยู่นอกโรงเรียน”
“เราคิดอย่างคนที่ผ่านเวลานั้นไปแล้วไง”
เกียบอกขณะที่ดวงตาสีอ่อนมองตรงไปข้างหน้า
พักกลางวันข้าวพองกดรับโทรศัพท์แล้วเลี่ยงมายืนคุยห่างจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่กำลังกินข้าวอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน
“มีอะไร พองกินข้าวอยู่”
“จะชวนออกมากินข้าวข้างนอกน่ะสิ” เสียงหญิงสาวที่คุ้นเคย ชวนออกไปข้างนอกโรงเรียน
ที่ผ่านมาเวลาที่ไอรีนชวน ก็จะรีบออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่เพราะเรื่องของไอรีนเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ขอให้เกียติดตามเรื่องของแม่ ก็ทำให้ข้าวพองลังเล
คือก็ยังแอบคุยกันทางโทรศัพท์ ทางแชท แต่ไม่ได้ออกไปหาแล้วไง
ตอนนี้มาชวนให้ออกไปหา ก็อยากออกไปอยู่หรอกนะ แต่ถ้าเกียรู้เขาก็คงไม่ทำเรื่องแม่กับพี่เพชรให้อีก
เขาเป็นเพียงคนเดียวที่จะทำให้เราได้คำตอบในสิ่งที่มันค้างคาอยู่ในใจมานาน
“วันนี้พองไม่อยากออกไป”
“ไม่อยากออกมา หรือไม่อยากเจอกัน” ไอรีนเปลี่ยนมาทำเสียงงอนๆ “ข้าวพองมีข้ออ้างตลอดเลย”
ข้าวพองหันกลับไปมองไทนี่ที่กำลังมองมา อุปทานเหมือนดวงตายาวเรียวคู่นั้นมีความสามารถในการอ่านริมฝีปากได้
....ถึงจะอ่านได้ แต่พูดภาษาไทยยาวๆ แบบนี้คงไม่รู้ละมั้งว่าพูดอะไร...เออ หรือว่ารู้
....เรานี่ถ้าจะเพี้ยนไปแล้ว ฟังเกียพูดมากๆ ชักเริ่มคิดอะไรเป็นนิยายสืบสวนสอบสวนมากขึ้นทุกที...
“ทำไมจะไม่อยากเจอ แต่เดี๋ยวนี้ธีระมารอตั้งแต่โรงเรียนยังไม่เลิก”
“ก่อนนี้ธีระก็รอเรานี่นา” ไอรีนรู้ว่าข้าวพองมีท่าทีที่ผิดปกติมาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะวุ่นวายหรือบังคับให้ต้องทำตาม เพราะหนุ่มคนนี้ มีความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าที่คิด ถ้าขืนสั่งบังคับมากๆ มีแต่จะหนีไปอีกทาง
“หรือไอรีนทำอะไรให้ข้าวพองไม่พอใจ ไอรีนขอโทษ”
“ไม่ใช่หรอก”
“งั้น เพราะว่าครูคนใหม่เขาห้ามข้าวพองมาเจอไอรีนหรือไง”
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ” หนุ่มตัวเล็กถามกลางๆ หันหลังให้กับกลุ่มเพื่อนแล้วเดินไปนั่งคุยที่เก้าอี้หินอ่อนข้างสนามฟุตบอล
“ก็เจอกันทีไรเขาชอบทำท่าเหมือนไอรีนเป็นสาวแก่หลอกเด็กหนุ่มทุกทีเลยน่ะสิ”
“หื้อ...คิดอะไรอย่างนั้น”
ข้าวพองพูดปัด ขณะที่รับรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่มันรบกวนในใจ
บางอย่างที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ... แต่มันยังคงเกี่ยวกับไทนี่เพื่อนใหม่ในเทอมนี้อยู่เช่นเดิม
ไอรีนพูดต่อไปเรื่อยๆ
“ไอรีนน่ะเข้าใจข้าวพองนะ การเป็นคนที่ถูกทิ้งให้ต้องอยู่บ้านคนเดียวทุกวันๆ แบบนั้น คนรับใช้หรือครูพี่เลี้ยงน่ะ ยังไงก็ไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกัน ทั้งที่เหลือกันแค่ 3 คนพ่อลูก แต่ทั้ง 2 คนก็ยังห่วงครอบครัวใหม่ของพวกเขามากกว่าคนที่ต้องการความรัก”
แม้ข้าวพองจะนิ่งเงียบ แต่ไอรีนก็รู้ว่าข้าวพองกำลังฟังอยู่
“ทุกคนสูญเสียด้วยกันทั้งนั้น แต่เขากลับไม่คิดที่จะอยู่ข้างๆ คนในครอบครัวเดียวกัน คิดแต่จะไปหาครอบครัวใหม่ แล้วถ้าข้าวพองจะออกไปเที่ยวกลางคืนบ้างมันจะเป็นไรไป ถ้าผับไม่ดี เหล้าไม่ดีก็เลิกขายกันไปเลยสิ”
“...วันเสาร์”
คำพูดของข้าวพองทำให้ไอรีนยิ้มกว้าง
“พอกินข้าวเย็นเสร็จ เกียเขาจะกลับไปคอนโดฯ แล้วจะโทรหาไอรีนอีกทีว่าจะให้ไปเจอที่ไหน”
“เอางี้สิ” เสียงของหญิงสาวดีใจอย่างชัดเจน “ไอรีนไปรอข้าวพองที่หน้าบ้านเหมือนเคยก็ได้”
“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวยอดยิ่งไปฟ้อง”
“อ้อ....งั้นถ้าไอรีนไปถึงใกล้ๆ จะโทรบอก แล้วข้าวพองค่อยออกมาดีมั้ย”
ข้าวพองรับคำแล้วกดวางสาย
...ไม่อยากอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่
....มันเงียบเกินไป..
อันที่จริงช่วงเวลาเดือนกว่าๆ มานี้ การกลับบ้านไม่ได้เป็นแค่การอ่านการ์ตูน เล่นเกม รอเวลาออกไปนอกบ้านเหมือนก่อน เพราะเกียจัดตารางเวลาไว้แน่น ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามกำหนดตาราง
ข้าวพองไม่ชอบการใช้ชีวิตโดยมีนาฬิกาเป็นตัวกำหนดแบบนี้
เพียงแต่เวลาที่มีเกียอยู่ด้วยกัน ทำทุกสิ่งทุกอย่างไปพร้อมกัน มันกลับไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่จะต้องต่อต้าน
คือไม่ชอบ แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านอะไรมากมายนัก
เกียมองคนที่ใช้ส้อมจิ้มหมูย่างใส่ปาก ขณะที่ดวงตามองหนังสือนิยายเล่มใหม่ที่วางกั้นระหว่างจานข้าวกับจานกับข้าวบนโต๊ะ
ดูท่าทางนี่จะเป็นหนังสืออีกเล่มที่เจ้าตัวจะชอบมาก
เป็นคนรักการอ่านหนังสือ น่าจะเป็นคนชอบอยู่บ้านและน่าจะมีความสุขดี หากต้องอยู่บ้านคนเดียว แต่กลับเหงาจนอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้
“เล่มนี้ซื้อเมื่อไหร่”
“ฝากป๋อมซื้อ” ข้าวพองตอบไม่ตรงคำถาม ทั้งยังมีชิ้นหมูเต็มปาก และดวงตายังไม่ละจากหนังสือ
“ป๋อมก็อ่านไซ-ไฟแบบนี้ด้วยหรือ”
“อื้อ”
“อ่านหนังสือไปกินข้าวไปไม่ดีรู้มั้ย”
“รู้”
เกียวางช้อนส้อม ขณะที่ทำเสียงหนักๆ “ข้าวพองครับ วางหนังสือลง”
“มันเสียเวลา”
“ถ้าข้าวพองกินข้าวอย่างเดียว ข้าวจานนี้จะหมดในเวลา 5 นาที โดยที่ข้าวพองรู้ตัวว่ากำลังกินอะไร แต่พออ่านหนังสือข้าวพองจะใช้เวลานานขึ้น แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ากำลังกินอะไรอยู่”
ข้าวพองเงยหน้าจากหนังสือ แต่เกียกำลังเริ่มบรรยาย
“ทั้งเสียมารยาทต่อเพื่อนร่วมโต๊ะ และอาจทำให้ระบบการย่อยอาหารมีปัญหาด้วย”
รู้ว่ามันคือมารยาทอย่างที่เกียบอกมา แต่ตอนนี้หนุ่มตัวเล็กกำลังทำตาขวาง ขณะที่วางหนังสือลง แล้วยกจานข้าวขึ้นด้วยมือซ้าย มือขวาตักข้าวเข้าปากอีกคำ วางจานข้าวลง หยิบน้ำดื่ม แล้วหยิบหนังสือ
“ข้าวยังไม่หมด”
“แต่อิ่มแล้ว”
“ยังไม่ให้อิ่ม ต้องกินให้หมด”
“อิ่ม”
“ไม่ให้อิ่ม”
เมื่อข้าวพองลุกขึ้นเกียก็สั่งอีก “นั่งลง แล้วกินให้หมด”
“ไม่”
อุบลมองซ้ายมองขวา อยากตามใจเจ้านายคนเล็กเหมือนเคย แต่ก็เกรงใจครู
“เราจะเถียงกันไปเรื่อยๆ ก็ได้ แต่ถ้าคิดจะลุกออกไปจากห้องนี้ ข้าวพองต้องคิดให้มากกว่าเดิม”
ข้าวพองมองตาคนตัวใหญ่
...ถ้าขัดใจมีสิทธิ์โดนหักกระดูกได้ง่ายๆ...
นั่งลงแล้วกินให้มันเสร็จๆ ไปดีกว่า
ไม่ได้ยอมแพ้นะ แต่เพราะหมูทอดฝีมืออุบลมันอร่อยต่างหาก
เมื่อกินข้าวเสร็จมันคือสัญญาณที่บอกว่า ช่วงเวลาหลังจากนี้เกียจะออกไปเดินตรวจตรารอบบ้าน และจะยังไม่เข้าห้องนอนจนกว่า 3 ทุ่มครึ่งหรือหลังจากที่ข้าวพองเข้านอนไปแล้ว
แต่สามทุ่มคืนนี้ข้าวพองที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เดินออกหาคนที่เดินมือไขว้หลังไปรอบๆ บ้าน
...เนี่ย ไอ้การที่เขาทำแบบนี้แหละที่ทำให้คนอยู่ด้วยรู้ตัวว่า ความเป็นห่วงของพ่อกับพี่เพียง ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น...
“เกีย”
“ครับ”
“เรื่องของแม่กับพี่เพชรที่พองขอให้เกียทำให้น่ะ ไปถึงไหนแล้ว”
ดวงตากลมที่สะท้อนแสงไฟในสวน คล้ายดวงดาวบนท้องฟ้า
“คนที่อยู่ในข่ายว่าจะลงมือมีอย่างน้อย 5 กลุ่มครับ”
“แล้ว...” ข้าวพองทำท่าทางอยากรู้
“พวกเขาไม่ใช่แค่นักสะสมเพชร แต่เขาเป็นนักเลง เป็นผู้มีอิทธิพลที่เข้มแข็ง”
ข้าวพองพยักหน้า เกียเคยบอกอะไรที่มันคล้ายๆ แบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แล้วก็สรุปเรื่องว่า เราไม่ควรด่วนปักใจเชื่อว่าใครคือคนร้าย
“คนที่ลงมือต้องเป็นคนที่ที่ขู่พ่อกับพี่เพียงใช่มั้ย”
“ไม่มีใครขู่คุณอัคราได้หรอกครับ”
“แล้วทำไมพ่อถึงไม่ทำอะไรล่ะ”
ข้าวพองสงสัย เกียยกมือแตะแก้มใสแผ่วเบาเหมือนสัมผัสแก้วบาง
“คุณอัคราคิดแบบผู้นำ สิ่งที่เสียไปแล้วก็เสียไป แต่จะไม่สูญเสียสิ่งที่เหลืออยู่”
เมื่อมองลึกลงไปในดวงตาของเกีย ข้าวพองก็กลับมีคำถาม และความไม่แน่ใจ
“พ่อมีพี่เพียงกับพอง เขาไม่ได้ห่วงแค่พองคนเดียวหรอก”
“คุณเพียงไม่มีทางเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย แต่ข้าวพองไม่ใช่ ความดื้อรั้นจะทำให้ข้าวพองตกอยู่ในอันตราย”
*-*จบตอนที่ 18*-*
พี่ JIKI ครับ รบกวนรวบรวมโพสต์ให้อยู่ในโพสต์เดียวเถอะครับ ผมชอบอ่านความเห็นก็จริง แต่แบบนี้ จะโดนดุได้นะครับ
บุคคลต้องสงสัยในเรื่องไม่หมดง่ายๆ หรอกครับ เพราะเจตนาของเรื่องนี้ก็คือ เราจะทำให้ทุกคนคือผู้ต้องสงสัย 
ข้าวพองมันเหวี่ยง มันนิสัยไม่ดีใช่ไหมครับ นั่นไม่ใช่ผมแน่นอน เพราะผมเป็นคนดี
ส่วนเกีย มีนิสัยระแวง ไม่ค่อยพูด นั่นแหละ...คนที่คุณก็รู้ว่าใคร 
พบกันตอนต่อไปวันพฤหัสบดีนะครับ
.น้ำชา.