ครึ่งเรื่องแล้วนะจ๊ะ
ตอนที่ 20 ช่วงเวลาหลังจากการส่งข้าวพองเข้าโรงเรียนคือเวลา “ว่าง”
โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากที่แอนดรูว์กลับไปแล้ว และเกียหลงทางไปกับการทำหน้าที่ครู-พี่เลี้ยง-บอร์ดี้การ์ดของนายมลรัฐ
หมดเวลาไปกับการหาอุปกรณ์ฝึก หนังสือ แบบทดสอบ และปัญหาการใช้ยาเสพติด กับการเที่ยวกลางคืน
จนกระทั่งในวันอาทิตย์ที่กลับมาห้องพักที่คอนโดฯ งานสำคัญอีกเรื่องถึงได้สิทธิ์ที่จะร้องท้วงคนที่กำลังแกล้งลืม
ทันทีที่เห็นแฟ้มคดีของพวงเพชรกับเพชรแท้ และโบรนี่หัวหน้างานสอบถามมาว่าปรับตัวให้กับงานใหม่ได้หรือยัง ชีวิตในเมืองไทยเป็นอย่างไรบ้าง กับอีกหลายคำถาม ที่หากยังอยู่ในลอนดอนคงสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น….
นายเกียไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่จะเกิดอาการตื่นกลัวหากต้องไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย
หากแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่า งานอีกอย่างที่แกล้งทำเป็นลืมคืออะไร ก็เข้าใจความเป็นกังวลของโบรนี่
แต่เกียก็ยังถ่วงเวลา ไม่สนใจที่จะติดตามเรื่องเพชรเจ้าปัญหานั่น
ปิดหู ปิดตาเมื่อพบพิรุธของทุกคนที่อยู่รอบตัว ด้วยการอ้างว่านั่นเป็นเรื่องปกติ เมื่อมีคนใหม่เข้ามาในครอบครัว
จนกระทั่งเจ้าตัวออกปากร้องขอให้ช่วยติดตามเรื่องนี้ ถึงได้กลับมาปัดฝุ่นแฟ้มบางๆ และติดตามหาข้อมูลกลุ่มคนที่ต้องการเพชรทั้ง 5 กลุ่ม ลอนดอนที่เป็นเจ้าของเดิม มาเฟียฮ่องกงที่เพชรแท้เจรจาการค้าแต่ไม่ได้ส่งของให้จนกระทั่งนำไปสู่การฟ้องร้องในชั้นศาล กับยังมีกลุ่มแก๊งจากซาฮาร่า เจ้าชายจากซาอุดิอาระเบีย และสุดท้ายคือนักการเมืองญี่ปุ่นที่มีภริยาเป็นนักสะสมเพชรล้ำค่า
ตามลำดับแล้วควรเริ่มสืบจากฮ่องกง หรือลอนดอน แต่โอกาสที่จะได้ตรวจสอบเจ้าชายฮัสซันจากซาอุดิอาระเบียกลับมาถึงก่อน เพราะเจ้าชายมีกำหนดเดินทางมาลงนามความร่วมมือกับนักธุรกิจชาวไทย
เกียเป็นตำรวจเก่าที่ไม่ได้รู้จักคนมากมายนักก็จริง แต่โบรนี่เป็นตำรวจอาวุโสที่เส้นสายดี และยังคงใช้ระบบเส้นสายเหมือนเดิมช่วยนัดให้เกียพบกับตำรวจติดตามของเจ้าชาย
เป็นการใช้ความพยายามอย่างมาก ที่จะหาทางแสดงความเป็นเพื่อนกับคนที่ถึงจะเป็นรุ่นพี่ แต่ก็เป็นรุ่นพี่แบบ –เป็นคนรู้จักของคนรู้จักอีกที-
เกียได้แต่หัวเราะในตอนที่โบรนี่เสนอให้ใช้แผนนี้ ทั้งที่ในใจคิดว่ามันเป็นการแสดงเจตนามากเกินไป เพราะจะว่าไปเกียไม่คิดว่าเจ้าชายซาอุฯ จะเป็นผู้สั่งการเรื่องนี้
เพราะให้น้ำหนักไปที่กลุ่มฮ่องกงมาตั้งแต่แรก
แน่นอนว่าก่อนที่จะได้พบกัน ต่างฝ่ายต่างก็จะต้องตรวจสอบประวัติกันก่อน
เกียจึงไม่ได้ปกปิดความจริงที่ว่าต้องออกงานมาเป็นครูพี่เลี้ยงให้กับนักเรียนมัธยม
และนักเรียนมัธยมคนนั้นก็เป็นลูกของคนที่เจ้าชายต้องการเพชร
หลังจากส่งข้าวพองเข้าโรงเรียน เกียกลับเข้าบ้านทำหน้าที่แล้วออกมาใหม่ช่วงใกล้เที่ยงพบกับการิม ที่ร้านอาหารในโรงแรมที่พัก
การิมจบโรงเรียนนายร้อยที่อังกฤษ เป็นรุ่นพี่ของเกียอยู่หลายรุ่น แต่กลับไปรับราชการที่ซาอุดิอาระเบีย
“คิดว่าจะไม่ได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านแล้วเสียอีก” เกียพูดยิ้มๆ หลังการแนะนำตัว
“ไม่น่าเชื่อว่าจะมีนิสัยเอเชีย” การิม หนุ่มตะวันออกกลางคิ้วเข้มพูดอย่างรู้ทัน แล้วหันไปแนะนำเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่อยู่ในระหว่างพักเพียง 2 ชั่วโมง ก่อนที่จะกลับประจำหน้าที่อารักขาเจ้าชาย
“สารภาพตามตรงเลยนะ ว่าไม่คิดเหมือนกัน แต่เพราะโบรนี่สั่งแล้วสั่งอีกว่ามีรุ่นพี่มาเมืองไทย ถ้าไม่อยากเป็นพี่เลี้ยงเด็กไปตลอดชีวิต จะต้องมาหา”
เจ้าหน้าที่ซาอุดิอาระเบียทั้งกลุ่มพากันหัวเราะเสียงดัง การิมหันมาพูดยิ้มๆ กับเกีย
“เอาจริงหรือเปล่า”
“ผมรู้ว่ายาก แต่ไม่อยากขัดใจโบรนี่ต่างหาก” เกียพูดความจริง การเป็นตำรวจคุ้มกันให้กับเจ้าชายในดินแดนตะวันออกกลางไม่เคยอยู่ในความคิด
“งั้นเราก็สมควรนั่งกินมื้อกลางวันโดยปราศจากความเครียด” การิมโอบไหล่ให้เกียนั่งลงข้างๆ
บทสนทนาในช่วงเวลาที่เหลือมีแต่เพียงชีวิตในรั้วโรงเรียนนายร้อยระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง และเส้นทางที่ค่อยๆ ห่างจากจุดเริ่มต้น
“ว่าที่จริง ถึงจะไม่ได้เป็นตำรวจอังกฤษ แต่ก็ยังได้ใช้วิชาที่เรียนมาอยู่เสมอ” การิมบอก เมื่อขยับตัวมองนาฬิกาข้อมือ “ตามกำหนดเราต้องกลับคืนนี้ แต่ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็ติดต่อมาได้”
“ตอนนี้ผมเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ไม่กล้ารบกวนรุ่นพี่หรอก แต่ถ้ารุ่นพี่ได้พักร้อนแล้วมาเที่ยวเมืองไทย โทรเรียกผมดีกว่า” เกียหันไปบอกทุกคนในกลุ่ม “ทุกคนเลยนะครับ โทรหาผมได้”
เป็นการทำความรู้จักในฐานะเจ้าของบ้าน และรุ่นน้องอย่างแท้จริง จนกระทั่งเมื่อกลับเข้ามาในห้องพัก เกียสแกนลายนิ้วมือที่ลอบเก็บมาจากผู้ร่วมการสนทนาทั้งหมด ส่งให้แมรี่
รายงานที่ได้รับกลับมาก็เป็นเพียงประวัติการทำงานทั่วไป
ยังไม่ใช่เรื่องที่อยากรู้
เจ้าชายมีปฏิกิริยาอย่างไร เมื่อติดต่อขอซื้อเพชรจากเพชรแท้ แต่เพชรแท้ไม่ขายให้
หลังจากนั้นหลายวัน การิมติดต่อกลับมาเพื่อให้เกียซื้อของฝากที่เป็นของประดิษฐ์พื้นเมืองให้
“เรามีเวลาอยู่เมืองไทยไม่กี่ชั่วโมง กลับมาไม่มีของฝากบ้านแทบแตก รบกวนเกียจัดให้ที”
เกียยิ้มกับโทรศัพท์ในมือ “ด้วยความยินดีครับ แต่ขอเป็นพรุ่งนี้นะครับ ตอนนี้ใกล้เวลาที่ผมต้องไปรับเจ้าชายน้อยที่โรงเรียน พรุ่งนี้ส่งเขาเข้าโรงเรียนแล้วผมจะไปซื้อแล้วส่ง DHL ไปทันที”
เมื่อการิมเป็นฝ่ายโทรมาขอความช่วยเหลือจากเกีย จึงต้องมีการสนทนาถึงความเป็นอยู่ทางฝั่งนี้ “ครอบครัวของเขาครอบครองเพชรหายาก”
“ผมได้ยินมาอย่างนั้นครับ รวมถึงเรื่องที่ว่ามันทำให้แม่กับพี่สาวต้องเสียชีวิตด้วย”
การิมส่งเสียงตอบรับในลำคอ “เจ้าชายเคยอยากได้เพชรชุดนั้น คิดว่าเกียก็น่าจะรู้ แต่ของแบบนี้มักจะอาบเลือด มีเรื่องลึกลับที่เราไม่รู้”
เกียอมยิ้ม เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเชื่อเรื่องนี้
“ตอนรู้ว่ามีพวกซาฮาร่าอยากได้ไม่เท่าไหร่ แต่พอรู้ว่า มีพวกฮ่องกงมองไว้เหมือนกันเขาก็เลยถอยเพราะไม่อยากยุ่งกับพวกมาเฟีย แล้วพอต่อมาเห็นข่าวของครอบครัวนี้ ที่มีคนตาย เขาก็ยิ่งไม่อยากยุ่งด้วย บอกว่าเพชรเปื้อนเลือดมากเกินไป”
ประโยคสุดท้ายทำให้เกียรู้จุดประสงค์ที่รุ่นพี่โทรมา
“ความเชื่อเรื่องอาถรรพ์ก็มีข้อดีเหมือนกัน”
การิมหัวเราะความเห็นของเกีย แล้วย้ำเรื่องของที่ขอให้ช่วยจัดหาให้
เมื่อนำไปรวบรวมกับประวัติการสะสมเพชรของเจ้าชายซาอุฯ เจ้านายของการิม ยิ่งเป็นการยืนยันว่าเจ้าชายอยู่นอกกรอบของผู้ต้องสงสัย และไปเพิ่มน้ำหนักที่แก๊งฮ่องกง
เกียยกมือลูบหน้าแล้วถอนหายใจแรงๆ
ถ้าเป็นสำนวนแบบคณิตศาสตร์เด็กประถม ต้องบอกว่า เจ้าชายซาอุฯ “ถูกทดไว้ในใจ” แล้วขีดเส้นใต้ที่คำว่าฮ่องกง แน่นอนว่า ต้องไม่ลืมใช้มาร์คเกอร์ขีดที่ชื่อของไทนี่หว่องกับไอ้เหลียงศัตรูเก่าจากลอนดอนด้วย
ไม่รู้เหมือนกันว่า 2 คนนี้จะเข้ามาเกี่ยวข้องในทางไหน แต่ชื่อของคนคู่นี้ยังคงอยู่ในบัญชีรายชื่ออยู่เสมอ
สามทุ่มครึ่งเกียเดินตรวจความเรียบร้อยรอบบ้านเหมือนเคย หนุ่มตัวเล็กในชุดกางเกงนอนขายาวสีฟ้า กับเสื้อยืดสีขาว เดินเข้ามาหาด้วยท่าทีลังเล เหมือนจะเดินหน้า 2 ก้าวถอยหลัง 1 ก้าว
เป็นบุคลิกที่อ่านได้ง่ายที่สุดในบรรดาคนทั้งหมดที่พบเจอ
“มีอะไรให้รับใช้ครับ”
หนุ่มตัวเล็กเกาหน้าผาก แล้วดึงมือให้เดินตามไปหยุดอยู่ใกล้โรงฝึก
“ไม่มีอะไรให้รับใช้ แต่มีเรื่องจะสารภาพ”
“ครับ”
“พอง...คุยกับไอรีน” ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมองแล้วก้มลงมองเท้าตัวเอง “ขอโทษที่ไม่รักษาสัญญา” พอช้อนตาขึ้นมองอีกครั้งเห็นเกียยังคงมองมานิ่งๆ “คุยโทรศัพท์มั่ง แชทมั่ง แต่ไม่ได้ไปไหน ถามทุกคนในบ้านก็ได้”
เกียยังคงใช้ความเงียบเป็นคำตอบเหมือนเดิม จนหนุ่มตัวเล็กร้อนใจ
“คืนเสาร์นี้ เกียกลับไปคอนโดฯ แล้ว ไอรีนจะมารับ”
เกียแตะที่ปลายคางให้เงยขึ้นมามอง “ชอบไอรีนหรือครับ”
“ไม่รู้”
“แล้วทำไมถึงยังคุยกับไอรีน ทั้งที่พี่ขอไว้ แทนที่จะคุยกับเบซซี่หรือสาวคนอื่นที่พี่ไม่เคยห้าม”
“ก็...คงเพราะไอรีนเขาเป็นผู้ใหญ่กว่ามั๊ง เบซซี่น่ารักก็จริง แต่บางทีก็ง๊องแง๊งอะไรไม่รู้ เมื่อวานไอรีนโทรมาชวนออกไปข้างนอก ก็ไม่ได้ออกไปหรอก แต่ว่าเสาร์นี้เขาจะมารับ”
“อยากไปไหมครับ”
ข้าวพองลังเล “ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากหรือไม่อยาก รู้แต่ว่าไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว”
เกียรู้ตัวก็เมื่อก้มลงจูบริมฝีปากบาง แล้วพาลจูบที่แก้มใส
“ข้าวพองไม่ได้อยู่คนเดียว ข้าวพองมี...”
“ไม่มี ไม่มีใครอยากอยู่กับข้าวพองสักคน ทุกคนทำไปตามหน้าที่ เพราะเงินของพี่เพียง” ข้าวพองปัดมือที่แตะคาง “พองก็แค่มาบอกเท่านั้นแหละ”
เกียคว้าต้นแขนของข้าวพองไว้ “อยากให้พี่ทำอะไร”
“เห็นมะ สุดท้ายเกียก็เหมือนคนอื่นน่ะแหละ ทำตามคำสั่ง”
“ข้าวพองกำลังพาล”
“เออ! ก็พาลเหมือนทุกทีน่ะแหละ!” ข้าวพองตะคอกใส่ เปลี่ยนอารมณ์ได้ทันที “ปล่อยเลยนะ ถ้าทำได้แค่นั้นมันก็ไม่ต่างจากคนอื่นหรอก”
เกียยืนนิ่งเหมือนถูกตรึงไว้กับพื้น มือใหญ่ที่บีบแขนอยู่เพิ่มน้ำหนักขึ้น “ฟังนะครับข้าวพอง เหตุผลสำคัญที่ไม่อยากให้ยุ่งกับไอรีนก็เพราะยาเสพติด”
“เบซซี่ก็ใช้ ไทนี่ก็ใช้ พองก็ใช้ จะห้ามไม่ให้พองคบตัวเองด้วยมั้ย!”
คิ้วหนาขมวดแน่น จนข้าวพองรู้ตัวยกมือขึ้นปิดหน้า
“พองไม่ ไม่ ไม่ติดนะ”
เกียดึงข้าวพองเข้ามากอดไว้
“ครั้งสุดท้ายที่ใช้ยาคือเมื่อไหร่”
“..............ชั่วโมงที่แล้ว.....”
คำตอบของข้าวพองทำให้เกียตัวชา นี่คือสาเหตุที่ทำให้อารมณ์ของข้าวพองเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“พี่รักข้าวพองมากกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตพี่ แต่ทำไมข้าวพองไม่รักตัวเอง”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ทำให้ข้าวพองน้ำตาหลากท่วม ได้แต่ซุกหน้าลงกับอกกว้าง
ที่ผ่านมาเกียคิดว่าข้าวพองจะใช้ยาในตอนที่ไปเที่ยวบ้านเพื่อน ทั้งคิดว่าถูกไอรีนวางยา
แต่ตอนนี้เจ้าตัวตั้งใจกินมันเข้าไปเอง
“เสาร์นี้ หลังเรียนพิเศษให้ไอรีนมาหาที่นี่ พี่มีเรื่องที่จะคุยกับเขา” มือใหญ่ประคองใบหน้าอ่อนใสไว้ “ถ้าพองไม่ติดยา และคิดว่าเรื่องของแม่กับพี่เพชรมีความสำคัญเป็นลำดับที่ 1 ข้าวพองก็ต้องรักษาสัญญาให้ได้”
“พองแค่ไม่อยากอยู่คนเดียว”
...เหมือนมีเหตุผลหลายอย่างที่อยู่เบื้องหลัง การที่ข้าวพองไม่อยากอยู่คนเดียว...
“พองไว้ใจพี่ไหม”
ข้าวพองกัดริมฝีปากขณะที่ส่ายหน้า
“ทำไม”
“เดี๋ยวเกียก็ไป”
เกียมองดวงตากลม ที่ยังมีสัญญาณหลายอย่างที่บ่งบอกถึงยาเสพติดที่ข้าวพองใช้ ต้องพาเข้าบ้านชวนคุยพลางให้ดื่มน้ำแก้วใหญ่ แล้วพาไปอาบน้ำ ฟังเพลงจนเวลาผ่านไปเกือบ 5 ทุ่มความสับสนลังเลของข้าวพองถึงได้คลายลง
หนุ่มตัวเล็กหยิบซองยามาส่งให้เกียที่นั่งอยู่บนเตียง
ยาผงสีขาวที่ดูเหมือนผงแป้งทั่วไป....ลักษณะอาการขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้
“มีแค่นี้แหละ” ข้าวพองบอกแล้วเอนตัวพิงอกของเกีย มองมือตัวเอง “ขอโทษที่ไม่เคยรักษาสัญญาได้เลยสักครั้ง”
เกียก้มลงหอมผมนิ่ม
“ข้าวพองต้องรักตัวเองให้มากกว่านี้” เกียพูดเหมือนเดิม “ถ้าข้าวพองมีปัญหา ก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหา ยาเสพติดแก้ปัญหาให้ข้าวพองไม่ได้หรอก”
ข้าวพองหันมามองหน้าคนตัวโต
“พองทำให้เกียผิดหวังใช่มั้ย”
“นิดหน่อย” เกียยอมรับด้วยรอยยิ้ม “ข้าวพองขอให้พี่ตามคดีของแม่ พี่ก็คิดว่าเป็นคนที่ข้าวพองไว้ใจ”
“พองไว้ใจ แต่มันคนละเรื่องกับการจะออกไปข้างนอกกับไอรีน หรือการใช้ยา”
เกียฟังข้าวพองที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มเรื่องที่ตรงไหน ได้แต่เล่าข้ามไปข้ามมา
เท่าที่สรุปได้ก็คือ เมื่อไอรีนกับยาเสพติดมีความเกี่ยวพันกัน ทำให้ในเวลาที่ข้าวพองคิดเรื่องของไอรีนมันก็ชักนำไปสู่การใช้ยาแบบที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ
ไม่ใช่ติดยา แต่เพราะไอรีนคือยาเสพติด..
“คุยกับป๋อม ป๋อมบอกว่า ให้คุยกับเกียตามตรง ก็กลับมาคิดว่าจะบอกกับเกียยังไงดี ไม่อยากให้โกรธจนไม่ทำเรื่องแม่ต่อ รู้ตัวอีกทีมือมันก็หยิบซองยาออกมา ทั้งที่ไม่ได้ใช้มาตั้งนานแล้ว” ข้าวพองสารภาพ “อย่าถามได้มั้ยว่าทำไม เพราะมันไม่มีเหตุผล”
“เพราะทุกครั้งที่ข้าวพองอยู่กับไอรีนจะมียาเสพติดอยู่ด้วยทุกครั้ง” เกียตอบ “ไอรีนกับซองยานั่นเป็นตัวแทนของกันและกัน”
“ทำไมเกียต้องวิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลตลอดเวลา”
“เพราะมันเป็นอย่างนั้น” เกียบอก ขณะที่ข้าวพองพลิกตัวขึ้นมานั่งคร่อมตักแล้วทิ้งตัวกอดเอวหนาไว้ “ทุกครั้งที่ข้าวพองออกไปเที่ยวจะต้องใช้ยา และการที่เราจะทำหรือไม่ทำอะไร ส่วนใหญ่มันเกิดจากความคุ้นเคย”
ข้าวพองคิดตามแล้วพยักหน้า “มันถือว่าติดหรือเปล่า”
“เราจะเรียกมันว่าความเคยชิน” เกียเลือกคำกลางๆ ที่ทำให้ข้าวพองยิ้มได้ “ถ้าเราไม่นับหนึ่งด้วยการออกไปเที่ยว ก็จะไม่มีข้อ 2 คือการใช้ยา”
“งั้นเรื่องไอรีนทำไง”
“พี่ก็จะถามพองเหมือนเดิมว่าอยากไปมั้ย”
“พองไม่อยากอยู่คนเดียว แต่มันคือวันพักของเกียใช่มั้ย เกียอาจไปพักผ่อน หรือตามเรื่องแม่ให้พอง”
ประโยคที่บ่งบอกความสับสนของข้าวพองกลับมาอีกครั้งจนเกียต้องแตะปลายนิ้วที่ริมฝีปากบาง
“ช้าลงอีกนิดครับ” ดวงตากลมโตมองมา ดูอ่อนเพลียเพราะเวลาเข้าใกล้เที่ยงคืน แต่เจ้าตัวกำลังต้องการคำตอบ “เรื่องระเบียบเวลาทำงานที่คุณเพียงกำหนดไว้มันก็ส่วนหนึ่ง แต่พี่ก็มักจะทำในสิ่งที่พี่อยากทำเหมือนกัน อย่างเรื่องที่ข้าวพองขอให้ทำเรื่องแม่นั่นก็เพราะพี่อยากทำ ดังนั้นถ้าข้าวพองอยากให้พี่อยู่ในคืนวันเสาร์พี่อยู่ก็ได้ เพราะพี่สามารถติดตามเรื่องแม่กับคุณเพชรได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว”
“ตอนที่เกียออกไปข้างนอกตอนกลางคืนน่ะหรือ”
“ตอนที่ข้าวพองอยู่โรงเรียน ตอนที่หลับไปแล้ว ตอนไหนพี่ก็ทำงานได้ทั้งนั้น และเวลาที่มีกำลังคุยกับข้าวพองอยู่ตอนนี้พี่ก็ถือเป็นเวลาพักผ่อน ไม่ใช่เวลาทำงาน” เกียยิ้มที่มุมปาก
ข้าวพองเกาหน้าผากตัวเองแล้วส่ายหน้าช้าๆ “หลายวันมานี้ ไม่รู้พองเป็นอะไร บางทีมันก็มึนๆ งงๆ บางทีมันก็เอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาปนกันมั่วไปหมด เรื่องที่ไม่เคยคิดก็คิด เรื่องที่ไม่เคยกลัวก็กลับมากลัว บ้าบอฟุ้งซ่าน”
เกียเหลือบตามองซองยาสีขาว ที่วางอยู่ข้างๆ
นอกจากยาที่ไอรีนให้มา ยังมีอีกคน.....
“ก็ข้าวพองเป็นวัยรุ่น ทั้งเคยมีอิสระ จู่ๆ พี่มากำหนดตารางเวลาให้ทำนั่นนี่ แล้วก็มาคอยบอกให้ระวังตัว ก็เลยติดเชื้อระแวงไปมั้ง”
ข้าวพองเอียงคอมองสบตาสีเข้ม
“แล้วทำไง”
“ขั้นแรกพาไอรีนมาเที่ยวบ้านก่อน พี่อยากคุยกับเขา ส่วนเรื่องที่โรงเรียน.....”
“โรงเรียนทำไม” ข้าวพองถามทันที
“เรื่องที่โรงเรียนเป็นเรื่องที่ข้าวพองจะต้องระมัดระวังตัวเอง ไม่ไปยุ่งกับคนที่ใช้ หรือขายยา”
“แต่เกียไม่ห้ามพองคุยกับเบซซี่”
“ไม่หรอก เบซซี่ก็เหมือนข้าวพองที่ใช้ยาตอนไปเที่ยว ไม่ได้ติดแล้วก็ไม่ใช่คนขาย แต่ไว้พี่คุยกับเบซซี่ทีหลังได้”
ข้าวพองทิ้งตัวลงนอนซุกอกหนา ทำท่าเหมือนจะหลับ
“พองเป็นแบบนี้เพราะยาที่พองใช้ใช่มั้ย”
“ครับ”
“ขนาดใช้ไม่เยอะยังเพี้ยนได้ขนาดนี้”
เกียมองคนที่นั่งกอดอยู่
.....ไอ้ที่เจตนาเสพมันก็ส่วนหนึ่ง แต่ยังมีคนที่เจตนา –หยอด- ให้อีก ทำให้ข้าวพองกลายเป็นแบบนี้ ......
“ถ้าอยากไปเที่ยว สอบเสร็จเราไปเที่ยวกัน”
“ไปบ้านเกียที่ภูเก็ต”
“ครับ ไปบ้านพี่ที่ภูเก็ต จะแนะนำพี่ชายพี่สาวให้รู้จัก”
“สวยมั้ย”
“เขาแต่งงานแล้ว ลูกเพิ่งได้ขวบกว่าๆ ”
“โหย...” ข้าวพองทำเสียงผิดหวังจนเกียต้องดึงจมูกดื้อรั้น
“เจ้าชู้นะเนี่ย”
“แล้วเกียล่ะ”
“พี่ทำไม”
“เกียเจ้าชู้มั้ย”
เกียหัวเราะหึหึ “ผมไม่เจ้าชู้ รักแล้วก็รักเลย แล้วก็เลยโดนทิ้งตลอด”
“แบบนี้มันแปลว่า รักคนรักคนแรกคนเดียวรู้มั้ย”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“ก็..รักแล้วรักเลยไง มันแปลว่ามีรักเพียงครั้งเดียว คนอื่นๆ ไม่ใช่รัก”
“งั้นพี่ควรจะพูดว่ายังไง” หนุ่มลูกครึ่งเริ่มสับสนกับภาษาไทย “เพราะเวลาที่พี่รักใครสักคน พี่จะมองแต่เขาเพียงคนเดียว ทุ่มเทให้เขาเพียงคนเดียว ไม่เหลือใจให้ใครได้อีก”
“แล้วเคยเป็นแบบนี้มาแล้วกี่ครั้ง”
“2”
คนที่กำลังจะหลับ ขยับตัวตรงมองหน้า “คนแรกคือใคร”
“เป็นเพื่อนของน้องสาวที่อังกฤษ”
“แล้วทำไมถึงเลิกกัน”
“เพราะพี่ไปวุ่นวายกับเขา อยากให้ตั้งใจเรียน ไม่ไปยุ่งกับพวกคนไม่ดี”
“เขาก็เลยทิ้งละสิ”
“นั่นแหละ” เกียยอมรับด้วยรอยยิ้ม
“แล้วยิ้มทำไม คนโดนทิ้งยังยิ้มได้ไง” ข้าวพองจิ้มที่แก้มที่ยังยิ้มค้าง
“ก็มันตั้งนานแล้ว แล้วหลังจากนั้นเห็นเขามีความสุขมากกว่าตอนที่คบกัน”
“แล้วเกียล่ะ”
“ก็ไปเที่ยว แล้วก็ผ่านไปเรื่อยๆ”
เกียนึกถึงคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ที่เป็นเหมือนคนที่เดินสวนกันบนเส้นทางหลายปีของชีวิต แบบที่บรรดาเพื่อนร่วมงานในอังกฤษบอกว่าเกียไม่เคยมีโชคเรื่องความรัก
...ไม่ใช่เรื่องของโชค แต่เพราะไม่มีความรู้สึกว่ารักและอยากรักษาไว้...
“อ้าว แล้วคนที่ 2 ล่ะ”
“คนที่ 2 อยู่ตรงนี้” ดวงตาสีเข้มของเกียหวานเชื่อมจนข้าวพองต้องหลบตา “เวลาที่มีเขาอยู่ในอ้อมแขนแบบนี้ เขาไม่มีลำดับหมายเลข เพราะเขาเป็นเพียงคนเดียวในเวลาปัจจุบัน”
ข้าวพองอยากแซวว่าเกียเริ่มกลับไปพูดคำไทยในประโยคแบบอังกฤษอีกแล้ว แต่ก็กลับรู้สึกเก้อเขินจนได้แต่ก้มหน้ามองคอเสื้อของเกีย
“รักคนนี้เหนื่อยมากเลยนะ”
“ไม่หรอก การได้ทำเพื่อคนที่เรารักไม่มีคำว่าเหนื่อย อาจผิดหวังที่เขาไม่ไว้ใจ แต่ไม่เหนื่อยเด็ดขาด”
ข้าวพองทิ้งตัวลงกอดเอวหนา ซุกหน้าลงกับอกกว้างอีกครั้ง
“ป๋อมมันเป็นคนดีนะ ไม่ชอบป๋อมหรือ”
เกียส่ายหน้า
“ขอบคุณ ถึงตอนนี้พองจะไม่ได้รักเกีย แต่ก็จะไม่ทำให้เกียผิดหวัง”
เกียกอดกระชับคนในอ้อมแขน
“ครับ ไม่รักก็ได้ แต่ขอให้เชื่อใจพี่ ถ้ารู้สึกสับสน วุ่นวายใจให้มาหาพี่ พี่พร้อมที่จะคุยกับข้าวพองตลอดเวลา”
ข้าวพองพยักหน้าแล้วหลับตาลง ลมหายใจสม่ำเสมอที่ตามมาบอกว่าเจ้าตัวหลับไปแล้ว เกียหันไปมองนาฬิกาที่เลยผ่านเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว ค่อยพลิกตัวให้ลงนอนแล้วห่มผ้าให้
หลังจากที่เกียส่งพัสดุให้การิม รุ่นพี่จากดินแดนตะวันออกกลางก็ให้เบาะแสเพิ่มเติม
มิสเตอร์จาง ผู้มีอิทธิพลชาวฮ่องกงที่เป็นคู่คดีของเพชรแท้เป็นเพียงตัวแทนของนักสะสมเพชรอีกคนที่ต้องการเพชรนั้นมาก
“ยังมีอีกหรือครับ”
“ฮ่องกงถนัดเรียกค่าไถ่ กับยาเสพติด” การิมบอก เพื่อให้เกียต่อเรื่องเอาเอง “เป็นน้องสาวของเขา ไม่มีใครเคยเห็นตัวตนจริงๆ เพราะพี่ชายออกหน้าตลอด ที่ผ่านมาถ้าอยากได้เพชรชุดไหน เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา เจ้าชายก็เลยไม่อยากยุ่งด้วย”
การิมให้ข้อมูลอื่นๆ และสรุปท้ายให้กำลังใจ “ไม่อยากให้คาดหวังว่า คนที่ฆ่า 2 แม่ลูกจะไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้ แต่เกียควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสู้กับคนที่อยู่ในเงามืด ทั้งเป็นอาชญากรสมบูรณ์แบบ ยาเสพติด ลักพาตัว และฆาตกรรม”
*-*จบตอนที่ 20*-*
อย่าๆๆๆๆ อย่าเพิ่งบอกว่ามีตัวละครเพิ่มมาอีกละ จำไม่ได้ เพราะจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร การิมมีหน้าที่แค่นี้แหละ
ชอบป๋อมเหรอ ป๋อมจะเท่มากกว่านี้อีกในตอนต่อๆ ไป ขณะที่ข้าวพองมันก็ช่าง 
เป็นพระเอกเรื่องนี้ช่างน่าสงสารจริงหนอ
วันอังคารมาอีกตอนนะครับ
.น้ำชา.