ตอนที่ 29เมื่อออกมาด้านนอกของอาคารสำนักงานวัด ยังมีตำรวจในเครื่องแบบอีกคนยืนรออยู่ เพียงแค่มองมา เกียก็หันไปบอกกับข้าวพองและเบซซี่ “อยู่กับป๋อมนะ”
มีแต่ป๋อมที่รู้ว่าความหมายของประโยคนี้ก็คือ ป๋อมจะต้องดูทั้งข้าวพองและเบซซี่ แต่ที่เกียต้องพูดแบบนี้ก็เพราะสถานการณ์ในตอนนี้
“เกียจะไปไหน”
ต้องโทษว่าเป็นเพราะการที่เกีย “ทำท่า” เป็นตำรวจมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมานี่แหละที่ทำให้ข้าวพองเครียด
“พี่อยู่ในเขตวัดนี่แหละ ไม่ได้ไปไหนไกลหรอก ข้าวพองคอยดูเพื่อน”
ข้าวพองทำหน้าตาเหมือนจะบอกว่า ตัวเองยังเอาไม่รอด จะให้มาดูแลเพื่อนที่เสียน้องสาวไป กับวัยรุ่นอีกคนที่เพิ่งพ้นจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยโดยไม่รู้ตัวเนี่ยนะ!!!
เกียเดินไปคุยกับนายตำรวจใหญ่ที่ดูท่าทางไม่ค่อยเต็มใจจะทำความรู้จักกันสักเท่าไหร่
แต่เพราะลักษณะการคุยกันแบบส่วนตัวโดยหมวดมานพต้องออกไปยืนอยู่ห่าง ๆ ทำให้เกียรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วนายตำรวจคนนี้ต้องการทำความรู้จัก และต้องการเตือนขอบเขตของเกียในเวลาเดียวกัน
“ที่นี่ไม่ใช่ลอนดอน เรามีวิธีการทำงานของเรา” นั่นคือประโยคแรก
“ครับ ผมทราบ” เกียยอมรับ “ตอนนี้ผมเป็นแค่ครูพี่เลี้ยงให้กับลูกชายคุณอัคราเท่านั้น”
นายตำรวจใหญ่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินชื่ออัครา
“คุณอัคราที่ทำอสังหาฯ น่ะหรือ”
“ครับ”
“เมียกับลูกสาวเขาค้าเพชร เคยมีเรื่องขึ้นศาล”
“ครับ เสียชีวิตแล้ว”
นายตำรวจใหญ่พยักหน้า เมื่อข้อมูลทั้งหมดได้รับการยืนยัน
“คิดอยู่เหมือนกันว่า เด็กคนนั้นหน้าตาคุ้นๆ แล้วก็เรียนโรงเรียนเดียวกับคนตาย แล้วนี่พ่อเขากลัวถึงขนาดว่าจ้างตำรวจเก่ามาดูแลลูกชายคนเล็กเลยหรือ”
เกียตอบกลางๆ “เป็นความบังเอิญน่ะครับ ผมเจ็บหนักกำลังจะต้องออกจากราชการ เจ้านายผมเอางานนี้มาให้ เพราะจะได้กลับมาบ้านที่เมืองไทย”
นายตำรวจใหญ่หันไปมองหมวดมานพ ที่อาจได้ยินเพียงบางคำพูด แล้วหันมาหาเกียอีกครั้ง
“ทำไมงานนี้ ถึงได้ไปถึงที่อังกฤษได้”
“คุณมโหธรมีเพื่อนเป็นตำรวจอยู่หลายคน ก็เลยคุยกันน่ะครับ”
นายตำรวจใหญ่ ทำเสียงในลำคอ “ผมรู้เรื่องที่พี่น้องบ้านนี้ จบจากลอนดอน แต่เรื่องที่เขามีเพื่อนเป็นตำรวจนี่......แปลก”
เกียเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ทำให้มุมปากยกยิ้มตามไปด้วย
...คำว่าแปลกของนายตำรวจใหญ่ ไม่ได้หมายความว่าแปลกที่มีเพื่อนเป็นตำรวจ แต่เพราะมโหธรไม่เคยพูดถึง ไม่เคยอวดอ้างเรื่องนี้มาก่อน
โดยธรรมชาติ ถ้าหากเรามีเรื่องร้อน ย่อมต้องใช้เส้นสายทุกทาง
ที่ผ่านมาทุกคนมองว่าทั้งอัครา และมโหธรมีความเป็นนักธุรกิจมากกว่าคนรักครอบครัว ถึงได้ยอมปล่อยให้คดีจบลงไป และมองเห็นแต่ผลประโยชน์เป็นหลัก
บางที...การที่มโหธรให้ตำรวจอังกฤษเข้ามาแทรกแซง อาจหมายถึงการมองพ่อลูกคู่นั้นผิดมาตลอด
“คุณมโหธรคงไม่ค่อยภูมิใจสักเท่าไหร่ที่มีเพื่อนเป็นตำรวจอังกฤษน่ะครับ”
แต่นายตำรวจใหญ่ส่ายหน้า แล้วตบไหล่เกียเบาๆ “จะตำรวจที่ไหนก็เป็นพี่เป็นน้องกัน ส่วนคดีเด็กนักเรียนนี่ ยังไงก็คุยกับมานพก่อน”
เกียเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ว่านายตำรวจใหญ่กำลังห้ามเกียเข้าแทรกคดีนี้
ขณะที่นายตำรวจใหญ่ก็รับรู้ว่าเครือข่ายตำรวจอังกฤษนั้น “ถึง” กันทั้งหมด และปัญหาสำคัญของคดีนี้ก็คือการที่หมวดมานพอยากสร้างผลงานจนมองข้ามความสามารถของตำรวจอังกฤษคนนี้
..ถึงจะออกตัวว่าเจ็บหนักจนต้องออกจากงาน แต่กล้าฉายเดี่ยวท่ามกลางสถานการณ์ที่มืดแปดด้านแบบนี้ ต้องไม่ธรรมดา!...
ถือว่ายังดีที่รู้จักให้เกียรติเจ้าของพื้นที่ เพราะถ้าเกิดเขาโต้เถียงหรือตั้งข้อสังเกตอะไรขึ้นมา การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยคงไม่ราบรื่นอย่างนั้น
เมื่อส่งนายตำรวจใหญ่ขึ้นรถออกไป พร้อมด้วยหมวดมานพ เกียก็เดินกลับมาที่ศาลา...
*-*-*
ข้าวพองมองตามหลังเกียที่เดินไปพร้อมกับตำรวจแล้วหันมาหาเบซซี่ กับไทนี่หว่อง
ยอมรับเลยว่า เพราะมีป๋อมอยู่ข้างๆ กับเพราะมีญาติพี่น้องของป๋อมหลายคนอยู่ใกล้ๆ ทำให้ข้าวพองมีความกล้ามากขึ้น
“ทำไม 2 คนไม่เคยบอกว่าอยู่ในห้องสมุดวันนั้น”
เบซซี่บอกเหมือนกับที่ให้การกับตำรวจวันนี้ “หนูแค่เอาหนังสือไปคืน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่แป๋มอยู่ที่นั่น แต่หนูเห็นตอนที่พวกพี่วิ่งตามครูเกียเข้าไปในโรงเรียน แล้วพวกอาจารย์ก็มาไล่นักเรียนที่ไม่มีกิจกรรมให้รีบกลับบ้าน”
“ไม่เจอแป๋มหรือ” ข้าวพองซัก
สาววัยรุ่นส่ายหน้าทันที “ไม่หรอก หนูก็เพิ่งรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น ก็ตอนที่ตำรวจให้ดูเทปเมื่อบ่ายนี่เอง ตอนที่ตำรวจโทรมาคุยกับแม่ แม่ยังไม่บอกอะไรเลย แค่บอกว่าพรุ่งนี้ไปโรงพักด้วยกัน”
หนุ่มตัวเล็กหันมาหาไทนี่หว่อง “ไทนี่บอกว่า มีธุระ แล้วทำไมไปห้องสมุด”
“กูขึ้นไปเอาของที่ห้องเรียนจริงๆ นะ เสร็จแล้วก็นึกว่าแป๋มคืนหนังสือที่ห้องสมุดเสร็จหรือยังก็เลยแวะไปดู พอไม่เห็นตรงเค้าท์เตอร์ ก็เลยรีบวิ่งออกมาที่ลานจอดรถ เพราะคิดว่าทุกคนกำลังรออยู่”
“ทั้ง 2 คนอยู่แค่ตรงเค้าท์เตอร์ เหมือนกันเลยหรือ” ข้าวพองถามต่อ
เบซซี่หันไปมองหน้าไทนี่แล้วหันมาบอกกับข้าวพอง
“ก็หนูเอาหนังสือไปคืน”
“กูก็แค่ไปดูว่าแป๋มยังอยู่มั้ย”
ข้าวพองหันไปมองหน้าเพื่อนตัวสูงที่มองไปที่โลงศพของน้องสาวข้างหน้า รู้ว่าเพื่อนกำลังฟัง แต่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“แล้ว...เห็นไอรีนหรือเปล่า”
เป็นอีกครั้งที่ทั้งคู่ส่ายหน้า ข้าวพองเลยอธิบาย
“หมายถึงเห็นเขาที่ด้านนอกห้องสมุดหรือเปล่า อย่างที่ตำรวจให้ดูเทป แล้วก็บอกเราน่ะ ว่าเขาเข้าไปในโรงเรียนแล้วก็ออกมา......”
หนุ่มตัวเล็กคิดถึงธีระ คนขับรถที่ยืนรอทุกคนอยู่ที่ลานจอดรถหน้าโรงเรียนที่จะต้องเป็นคนเห็นว่าไอรีนเดินผ่านประตูโรงเรียนออกมา
แต่ที่ผ่านมาธีระไม่เคยพูดอะไร
หรือเพราะเราไม่เคยคิดจะถามธีระ
“ตำรวจบอกว่าเดี๋ยวเขาจะทำให้ไอรีนเล่าออกมาเอง” ป๋อมพูดขึ้น
“อันนั้นจำได้ แต่ที่กูไม่ชอบเลยก็เพราะว่า เบซซี่กับไทนี่ ก็อยู่ที่ห้องสมุด แต่กลับไม่มีใครพูดอะไรเลย เพื่อนตายทั้งคนนะโว้ย!”
เบซซี่น้ำตาปริ่ม “หนูขอโทษที่ไม่ได้บอก ตำรวจโทรมาหาแม่ตอนค่ำ แล้วก็นัดให้ไปให้ปากคำ หนูเพิ่งรู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ไทนี่ก็บอกเหมือนกัน “ตำรวจโทรมาถามถึงพ่อ แต่พ่อกูไม่อยู่ กูไปโรงพักคนเดียว”
ทั้งที่ควรจะสงบลง แต่ยิ่งฟัง 2 คนนี้พูดก็ยิ่งไม่อยากฟัง ข้าวพองเขย่าขาตัวเองแรงๆ รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
ป๋อมทำหน้าที่เพื่อนผู้รู้ใจ ดึงมือคนอารมณ์ร้อนให้ลุกตามมา โดยเจตนาพูดให้อีก 2 คน ได้ยินด้วย “อย่าเพิ่งโกรธคนไปทั่ว เพราะแฟนตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่าเพื่อน”
ข้าวพองทำตาโตใส่เพื่อน จนกระทั่งแยกมาอยู่ตามลำพังทางด้านหลัง “ไอรีนไม่ใช่แฟนกู กูไม่ได้โกรธเพราะไอรีนโดนจับ หลักฐานมันชัดขนาดนั้น แต่เพราะ 2 คนนี้เข้าไปเกี่ยวแต่ไม่พูดอะไรเลยต่างหาก”
หนุ่มตัวสูงยักไหล่ หันไปพยักหน้าให้กับญาติผู้พี่ที่เพิ่งมาถึง
“แล้วมึงคิดว่า เขาจะมาพูดตอนนี้หรือไง”
ข้าวพองมองหน้าเพื่อนแล้วพูดขอโทษ
“มึงจะมาขอโทษกูเรื่องอะไร” ป๋อมเสียอีกที่ยังคงใช้การมองโลกในแง่ดีมาช่วยเพื่อน
“ทั้งที่แป๋มนอนอยู่ในนั้น กูก็ยังหาเรื่องให้มึงตลอดเวลา”
ป๋อมพยักหน้า “เพราะมึงหาเรื่องให้กูตามแก้ตลอดเวลา กูก็เลยไม่มีเวลามาเสียใจไง”
ข้าวพองได้แต่ยิ้มเหนื่อยใจ เมื่อนึกถึงสภาพของเพื่อนเมื่อวันก่อน
“แต่กูก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่าไอรีนโกรธแป๋มเรื่องอะไร”
ป๋อมนึกอะไรบางอย่างออก “เบอร์โทรศัพท์ไอรีนเบอร์อะไร”
หนุ่มตัวสูงบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของไอรีนลงเครื่องตามที่ข้าวพองบอก แล้วถามถึงเบอร์คนอื่นๆ อีก
“มีอะไร”
ป๋อมกลับมองออกไปด้านนอกของศาลาไม่ตอบคำถามเพื่อน
“สัดเหอะ เริ่มทำตัวมีความลับเยอะอีกคนแล้ว” ข้าวพองพาลเพื่อนตัวสูง
“กูไม่ได้อยากมีความลับกับมึง แต่กูได้เรียนรู้ว่า กูควรถามกับเขาโดยตรง” ป๋อมหันมาหาเพื่อนตัวเล็ก “โดยมีมึงร่วมรับฟังอยู่ด้วย”
“กูเกลียดคนฉลาด” ข้าวพองกัดฟันพูด “วันนั้นแป๋มก็พูดคล้ายมึง แล้วผลเป็นไง”
ป๋อมวางมือลงบนหัวของเพื่อนตรงๆ แล้วโยก “เอาน่า กูเองก็รู้ของแป๋มแบบไม่ปะติดปะต่อ ต้องรอให้ครูเกียเขามาเติมเรื่อง”
“เดาเอาก็ได้”
“เฮ้ย ไม่ได้” ป๋อมรีบบอก “เพราะมาถึงตอนนี้ กูยอมรับแล้วว่าแป๋มคงไม่ฟื้นขึ้นมาเล่าให้ฟัง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ใจเย็นอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง เราก็จะได้รู้ความจริงแล้ว”
*-*
สิ่งที่มองเห็นจากระยะไกลคือหนุ่มตัวเล็กที่ชะเง้อมองมา และคนตัวโตคนนี้คงเดินช้าเกินไป เจ้าตัวถึงได้ลุกออกมาหา ยังมีฉากด้านหลังที่เห็นได้ชัดเจน
ไทนี่หว่องขยับตัวตาม แต่ป๋อมคนที่เพิ่งเสียน้องสาวไปดึงมือไว้ให้นั่งอยู่ด้วยกันแล้วชวนคุย
“ว่าไง คุยอะไรกัน”
ปากมันไปไวกว่าสมอง และหัวใจ “ไม่ได้คุยกันเรื่องไอรีนหรอกครับ”
“ห๊ะ” ข้าวพองร้องแล้วชกที่ไหล่หนา “อย่าเพิ่งหึงได้มั้ย”
เกียยิ้มขำตัวเอง “ก็ขอสักนิด”
“แล้วมันใช่เวลามั้ย ตอบมา ว่าคุยอะไรกัน”
“ประวัติของพี่ กับเรื่องคุณเพียงแล้วก็เพื่อนของคุณเพียงน่ะครับ”
“อ้าว...” ข้าวพองมีท่าทีผิดหวัง แล้วก็เปลี่ยนเป็นสงสัย “ทำไมล่ะ”
เกียลดน้ำเสียงเบาลง ขณะที่ก้าวเข้ามาใกล้ “เขาประหลาดใจ ที่คุณเพียงไม่เคยใช้เส้นสายเพื่อคลี่คลายคดีแม่กับน้องสาว และแปลกใจที่ผมยืนอยู่ในห้องนั้นเฉยๆ ทั้งที่หมดมานพสรุปคดีที่เต็มไปด้วยช่องว่าง”
ข้าวพองย่นจมูก “เขาประหลาดใจ แต่พองโมโหที่พี่เพียงไม่ทำอะไรเลย”
“แต่ก็ดีที่รอให้พี่กลับมาอธิบาย”
“นั่นอธิบายแล้วหรือ” หนุ่มตัวเล็กย้อนให้ ด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันแค่ 2 คนเหมือนกัน “มันมีอะไรมากกว่าเมื่อวานหรือไง”
“มีสิ” เกียตอบอย่างจริงจัง “เราได้รู้ว่าเบซซี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องแป๋มแน่นอน”
....และรู้ว่า ตำรวจใหญ่คนนี้ต้องเคยเกี่ยวข้องกับเรื่องของพวงเพชรและเพชรแท้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง....
ข้าวพองจับข้อมือใหญ่เขย่า “แล้วไอรีนฆ่าแป๋มทำไม”
“รอฟังคำสารภาพของไอรีนก่อนดีกว่ามั้ยครับ”
เกียกับป๋อมต้องลอกข้อสอบกันแน่ๆ “ตกลงว่าไอรีนเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกันแน่”
เกียพยักหน้า “นอกจากเรื่องลายนิ้วมือ ข้าวพองนึกถึงภาพจากกล้องวงจรปิดเย็นวันนั้นอีกครั้งนะครับ ชุดของครูคนนั้นที่หมวดมานพหยุดภาพไว้ เป็นชุดเดียวกันกับที่ไอรีนใส่ในเย็นวันนั้น เพียงแต่ตอนที่เขาเข้าไปในโรงเรียน ไอรีนใส่เสื้อคลุม แต่ตอนที่เราเห็นเธออยู่กับธีระ เธอไม่ได้ใส่เสื้อคลุม”
ข้าวพองยอมรับ “จริงด้วย”
ในเวลานั้น ข้าวพองไม่ได้สนใจไอรีนเลยสักนิด
“หลักฐานทุกอย่างมันชี้มาที่ไอรีน แต่ยังมีอีกเรื่องป๋อมที่ไม่ได้บอกตำรวจ ว่าแป๋มคุยกับใครสักคนในคืนก่อนหน้า”
อีกฝ่ายเดา “คนนั้นไม่ใช่ไอรีน”
“เบอร์โทรศัพท์ไม่ใช่ครับ” เกียมองผ่านไปที่ศาลา เห็นไทนี่หว่องมองมาเป็นระยะ ขณะที่เบซซี่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ “แต่ไอรีนอาจมีโทรศัพท์หลายเครื่อง ดังนั้นเราจึงยังไม่รู้ว่าแป๋มคุยกับใคร แต่ว่าแป๋มทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน อันนี้ก็เหมือนกัน คือเราไม่รู้ว่าเจตนาหรือลืมจริง แต่ป๋อมมาเจอโทรศัพท์ในวันถัดมา แล้วเมื่อมาไล่เวลาของสายที่โทรออก ที่ตรงกับเวลาที่ป๋อมเล่าให้ฟัง แต่มันเป็นเบอร์ที่ไม่มีชื่อ ป๋อมไม่รู้จัก และพอลองโทรไปก็ไม่มีคนรับสาย”
“แป๋ม... น่าโมโหชะมัด” ข้าวพองหงุดหงิด
เกียยิ้มอ่อนๆ โอบไหล่พาข้าวพองกลับมาที่ศาลา “ใจเย็นๆ ครับ เรื่องทุกอย่างจะคลี่คลายในเร็วๆ นี้เชื่อพี่สิ”
“อย่างกับมีทางเลือกอื่นงั้นแหละ”
ก่อนที่จะเข้าไปใกล้ศาลา ข้าวพองหันมาถาม
“อีกข้อเดียว เป็นไปได้มั้ยที่ไอรีนไม่ได้ทำเรื่องนี้คนเดียว”
เกียจ้องมองดวงตาดื้อรั้น “ทุกข้อสันนิษฐานเป็นไปได้ทั้งนั้น พี่ถึงบอกว่าเราต้องรอฟังเรื่องเล่าของไอรีน เพราะที่สำคัญ ไทนี่ กับเบซซี่เป็นเพื่อนของข้าวพอง ความระแวงอาจทำให้ข้าวพองเสียเพื่อนดีๆ ไป”
“แต่ถ้าเกิดว่าเขาเป็นคนร้ายล่ะ”
“ถ้าเขาเป็นคนร้าย แล้วยังสามารถนั่งอยู่ข้างๆกันได้ในเวลานี้ ก็ต้องนับว่าเป็นคนร้ายที่โหดเหี้ยมมาก”
“งั้น...พองควรทำไง”
“อย่าระแวงเพื่อน แต่ก็ไม่ควรไปไหนโดยไม่มีป๋อม”
*-*จบตอนที่ 29*-*
เฉลยแล้วจริงๆ นะ ส่วนช่องว่างเยอะแยะตาแป๊ะขายก๋วยเตี๋ยวไก่เนี่ยจะค่อยๆ เฉลยออกมา ตอนนี้ก็เฉลยไปอีก 1 แล้วก็อย่าลืมที่การิมบอกไว้ ว่าคนที่อยากได้เพชรที่แท้จริง เป็นหญิงลึกลับ 
คล้ายว่าสปอล์ย จะไม่ได้ช่วยอะไรอีกตามเคย 
ตอนต่อไปมาวันพฤหัสฯ นะครับ
อีกไม่ถึง 10 ตอนก็จะจบแล้วนะเออ....
.น้ำชา.