ตอนที่ 30 ข้าวพองไม่อยากรอ แต่มาถึงวินาทีนี้แล้ว หนุ่มตัวเล็กแน่ใจ ว่าสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เกียไม่อยากบอกอะไร ก็เพราะนิสัยใจร้อน และไม่ยอมรับความจริง ถ้าความจริงนั้นขัดกับสิ่งที่อยากให้เป็น
ไทนี่ หว่องคือคนที่เกียไม่ไว้ใจ แต่เพราะที่ผ่านมา นี่คือเพื่อนใหม่ที่ข้าวพองสงสารมากที่สุด เป็นอีกคนที่ข้าวพองไม่อยากหันหลังให้
และไทนี่ หว่องคนนี้ก็ตามติดข้าวพองชนิดไปไหนไปด้วยกันทุกที่ จนกระทั่งงานสวดศพคืนนี้ผ่านไป ส่งเบซซี่ กับไทนี่ หว่องที่บ้าน จนมาถึงบ้านข้าวพองถึงได้มีโอกาสถามอีกครั้ง
“พี่ว่าพี่บอกข้าวพองไปหมดแล้วนะ”
เกียเริ่มกังวลกับความอยากรู้ของข้าวพอง เพราะถ้ารู้แล้วเก็บไว้ในใจอย่างป๋อมก็คงไม่มีปัญหา แต่สำหรับข้าวพอง ถ้าขืนรู้ไม่อยู่เฉยแน่
“พักเรื่องแป๋มไว้ก่อนก็ได้ ตอนนี้อยากรู้เรื่องไทนี่”
เกียเลิกคิ้ว เพราะไม่คิดว่าข้าวพองจะถามเรื่องไทนี่ในเวลานี้
...หนุ่มคนนี้เปลี่ยนความสนใจได้รวดเร็ว มากกว่าทุกคนที่เคยเจอมาในชีวิต...
“เกียสงสัยว่าเขาเอายาให้พองใช่มั้ย” มือขาวๆ ดึงมือเกียให้เข้าไปในห้องนอนที่เคยเป็นของมโหธร แต่ตอนนี้เป็นห้องนอนของเกีย “ก่อนนี้พองได้ยามาจากไอรีน หรือไม่ก็ไอ้ไมเคิล ไม่ใช่ไทนี่ เบซซี่กับเพื่อนเค้าก็ได้ยาจากไมเคิลเหมือนกัน”
คนตัวโตพยักหน้า เดินไปนั่งลงบนเตียง ข้าวพองก็ตามมานั่งข้างๆ
“ถ้าเกียคิดว่าเขาเอายาหยอดในของกินให้พอง ยิ่งยากใหญ่ เพราะคนในแคนทีนเยอะแยะ”
ทั้งที่รู้ว่าเกียสงสัยไทนี่หว่อง แต่ข้าวพองก็อดไม่ได้ที่จะหาเหตุผลให้ไทนี่พ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัย
“สมมุติฐานของข้าวพอง คือ คนที่ทำไม่ใช่ไทนี่หว่อง”
“พูดภาษามนุษย์เป็นมั้ย” หนุ่มตัวเล็กหันมาทำตาขวาง “พองไม่เชื่อว่าไทนี่เป็นคนทำ”
“เพราะอะไร และข้าวพองคิดว่าใคร”
ข้าวพองนิ่งคิด “เพราะอะไรไม่รู้หรอก แต่คนที่ทำอาจเป็นบิ๊กหว่อง หรือไม่ก็เพื่อนๆ ของไอ้ไมเคิลก็ได้”
เกียมองนาฬิกาที่ข้อมือ “สามทุ่มกว่าแล้ว ระหว่างที่ข้าวพองไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ลองคิดทบทวนดูอีกทีว่า ใครคือคนที่มีโอกาสที่จะทำร้ายข้าวพองมากที่สุด และเพราะอะไร”
“ไทนี่จะทำร้ายพองทำไม”
“คำถามเหมือนกับที่เราถามกันว่าไอรีนทำร้ายแป๋มทำไม ถูกมั้ยครับ”
“เกียอ้ะ...”
“พี่ให้เวลา 20 นาที ข้าวพองไปจัดการเรื่องของตัวเองให้เสร็จ แล้วเรามาช่วยกันคิด”
เป็นเวลา 20 นาทีที่ข้าวพองถูกบังคับให้ต้องคิดและเห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทั้งที่ใจไม่อยากยอมรับ
…ก็มันเป็นไปไม่ได้...
ทันทีที่เกียเดินเข้ามาในห้องนอนของข้าวพองในอีก 20 นาทีให้หลัง ข้าวพองก็ถามทันที “ทำไมเกียไม่เคยพูดให้ชัดเจนว่า เกียสงสัยไทนี่”
“ข้อแรก พี่แค่สงสัย ข้อสอง พี่เจอเขาน้อยกว่าข้าวพอง ข้อสาม เขามีส่วนน่าสงสารอยู่มาก จนข้าวพองไม่คิดว่าคนน่าสงสารแบบนั้นจะทำเรื่องร้ายได้”
หนุ่มตัวเล็กนั่งลงบนเตียงแล้วขยับตัวพิงพนัก ทั้งดึงมือให้อีกคนนั่งตามไปด้วย ท่าทางบ่งบอกว่าคราวนี้พร้อมที่จะถาม ฟังแล้วก็หลับไปเลย
“ใครที่ไหนจะกล้าโกหกเรื่องถูกข่มขืน”
“มันคนละเรื่องกับที่ที่สงสัยว่าเขาวางยาข้าวพองนะครับ”
ข้าวพองทำหน้าเหนื่อย ขณะเกาหน้าผากตัวเอง “ทำไมมันซับซ้อนอย่างนี้วะเนี่ย”
“กลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่นะครับ เรามีหลายเรื่องที่เป็นคำถาม พี่ขอให้วางทุกเรื่องให้มันแยกกันไว้ก่อน เพราะคำถามวันนี้คือ ไทนี่หว่องวางยาข้าวพองใช่หรือไม่ พี่ตอบว่าใช่ แต่สาเหตุเพราะอะไรพี่ไม่รู้ นั่นทำให้พี่ยังไม่อยากบอกข้าวพอง”
“ก็.....”
“นั่นเป็นคนละเรื่องกับเรื่องที่ไทนี่บอกกับข้าวพองว่าเขาถูกข่มขืน เพราะในข้อเท็จจริงแล้ว มันคือคำบอกเล่าของไทนี่เพียงฝ่ายเดียว”
“แต่เราเห็นเสื้อผ้านะ”
“หลักฐานเท็จทำได้ไม่ยากหรอกครับ” เกียพาดแขนโอบไหล่บางไว้หลวมๆ ทำเหมือนเรื่องที่คุยกันเป็นนิทานก่อนนอน เตรียมพร้อมสำหรับการทำให้ข้าวพองหลับไปให้เร็วที่สุด “มันคนละเรื่องกับคำถามวันนี้ไงครับ ถ้าข้าวพองเอาทุกอย่างมารวมกัน ข้าวพองก็จะไม่ได้คำตอบอะไรเลย”
“โอเคๆ เรื่องวางยานะ เกียว่าเขาหยอดยายังไง”
เกียตอบอย่างระมัดระวัง “ถ้าดูจากเวลา พี่คิดว่าอาหารกลางวัน แล้วปริมาณไม่มาก อาจเพราะเป็นสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านก็เลยใส่ได้น้อย หรืออาจเจตนาใส่ไม่มากนักเพราะหวังให้ข้าวพองอยู่ในอารมณ์ที่สับสนก็ได้”
“เพื่อ....” ข้าวพองกลับมาที่คำถามเดิมอีกครั้ง
คนตัวโตถอนหายใจแรงๆ แล้วส่ายหน้า เมื่ออีกฝ่ายย้อนคำที่พูดบ่อยๆ
“ไหนสอนว่าอย่ากล่าวหาใครลอยๆ”
“พี่ไม่ได้กล่าวหาลอยๆ แต่เพราะไทนี่ เป็นหนึ่งในกลุ่มที่อยู่ในกลุ่มใช้ หรือ ขายยาเสพติด แล้วก็มีแต่เขาที่ใกล้ชิดข้าวพองที่สุด ซึ่งพี่มั่นใจว่าไม่ใช่ป๋อมหรือแป๋ม เพราะ 2 พี่น้องคู่นี้ไม่ใช้และยังต่อต้านการใช้ยาอย่างเปิดเผยด้วย”
ข้าวพองหันมามองเกียตรงๆ “เขาจะทำอย่างนั้นทำไม”
“ก็นั่นไง สิ่งที่พี่ไม่รู้ ข้าวพองไม่รู้ พี่ถึงยังไม่อยากพูดอะไรที่มันชัดเจนลงไป สิ่งเดียวที่พี่ทำได้ก็คือ แยกข้าวพองให้ห่างจากเขา ข้าวพองรู้ดีว่า เวลาที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมกันกับไทนี่ หรืออาจจะอยู่ด้วยกัน แต่มีป๋อมหรือแป๋มอยู่ด้วย ข้าวพองจะมีอารมณ์ที่แตกต่างกัน”
หนุ่มตัวเล็กยังทำหน้าตาไม่ค่อยอยากเชื่อ “ที่จริงพองก็วุ่นวายอยู่แล้ว”
“ข้าวพองครับ ถ้าข้าวพองไม่ยอมรับความแตกต่างที่เกิดขึ้น ไม่แก้ไขที่จุดเริ่ม เราก็จะทำอะไรไม่ได้เลย”
“โอเค....” ยังคงลากเสียงไม่อยากยอมรับอยู่เหมือนเดิม แล้วก็นึกขึ้นได้ “พองเห็นไทนี่คุยกับบิ๊กหว่อง คุยกับไมเคิลเหมือนกัน พวกคนที่แป๋มไม่ค่อยชอบน่ะแหละ”
ทั้งที่บอกให้วิเคราะห์เรื่องต่างๆ ให้แยกจากกัน แต่ข้าวพองก็เอาทุกคนเข้าไปรวมกันเหมือนเดิม
“แป๋มน่ะเคยทำตาขวางใส่ไมเคิลด้วย.....ไอรีนเอายาให้พอง”
เกียพยักหน้า “ครับ นั่นคือจุดที่ทำให้ทุกคนเกี่ยวข้องกัน”
“ถ้าเราเอายาเสพติดเป็นหัวข้อสำคัญ....” ข้าวพองพูดช้าๆ “ไอรีน ไทนี่ แล้วก็แป๋ม จะเกี่ยวข้องกันทั้งหมด”
“ครับ” เกียพูดเหมือนเดิม “อย่าเพิ่งสรุปเรื่อง เราแค่มองหาจุดร่วมของเรื่องที่เกิดขึ้น”
ขอบตามันร้อนผ่าวขึ้นมาเอง จนต้องหันไปกอดแขนหนาซุกหน้าซ่อนน้ำตา
เกียลูบแผ่นหลังบาง “สัญญานะครับ ว่าข้าวพองจะระมัดระวังตัวเอง และต้องไม่แสดงพิรุธอะไร ถ้าไอรีนกับไทนี่เกี่ยวข้องกันจริงๆ เราก็จะต้องเอาไทนี่เข้าคุกไปด้วย แต่ถ้าเขาไม่เกี่ยวข้องกัน ยังไงพี่ก็ต้องเอาเขาเข้าคุกฐานที่ทำร้ายข้าวพอง และค้ายาเสพติด”
“เขาเป็นแค่วัยรุ่นต่างชาติที่พ่อเอามาทิ้งไว้กรุงเทพฯ แล้วก็หายไปไหนไม่รู้ เขาอาจทำอย่างนี้เพื่อที่จะหาเพื่อนก็ได้”
“เขามีส่วนที่เหมือนข้าวพองใช่มั้ยครับ เป็นความเหมือนที่ข้าวพองเข้าใจเป็นอย่างดี”
ข้าวพองกัดปากแน่น ขณะที่ร้องไห้อยู่กับแขนใหญ่
“เกีย...ไทนี่เขาน่าสงสารนะ”
เกียพูดตรง “เขาไมได้น่าสงสารสำหรับพี่ คนจะดีหรือเลวไม่ใช่เพราะคนอื่น แต่มันอยู่ที่ตัวเราเองต่างหาก”
“เกีย....”
“ข้าวพองกำลังขอให้พี่ยกโทษให้คนที่ทำร้ายข้าวพองนะครับ”
“เปล่าสักหน่อย” ข้าวพองแก้ตัว ทั้งที่กำลังทำอย่างนั้นอยู่ “ทำไมอยู่ดีๆ พองคิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ไม่รู้ น่าจะถามเรื่องแป๋ม...”
เกียเช็ดน้ำตาที่อาบแก้ม
“หนุ่มคนนี้ชอบคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้วุ่นวาย”
“ทำไมไม่คิดว่าทุกคนรอบตัวพองวุ่นวาย” ดวงตากลมมองเหมือนเกียเป็นคนทำให้เรื่องวุ่นวาย
เกียก้มลงจูบแก้มเบาๆ “ดึกมากแล้ว หลับได้แล้วครับ”
คนตอบคำถามตัดจบดื้อ ๆ และข้าวพองก็รู้แล้วว่า ต่อให้ถามไปเรื่อยๆ ก็จะไม่ได้คำตอบอะไรอีก
...แต่ก็ยังมี่เรื่องที่อยากรู้...
“เกียจะไปฟังสอบปากคำไอรีนมั้ย”
“พรุ่งนี้ครับ ส่งข้าวพองเข้าโรงเรียนแล้วพี่ถึงจะไปคุยกับหมวดมานพ”
ข้าวพองพยักหน้ารับรู้ “การที่รู้ว่ามีเพื่อนที่คิดร้ายกับเราเพราะอะไรไม่รู้แบบนี้มันแย่ชะมัด” พูดแล้วข้าวพองก็ทำตาโตอีกรอบ “หรือเขากำลังเอาพองทดลองยาตัวใหม่”
ที่จริงข้าวพองกำลังพูดเล่น แต่เกียคือคนที่ทำหน้าจริงจัง จนข้าวพองใจเสีย
“เมื่อกี้พองพูดมั่วนะ”
พอเกียไม่ตอบ ข้าวพองก็หน้าถอดสี “เกีย....”
“อีกไม่นานเราก็จะรู้ว่าทำไม แต่ตอนนี้พี่อยากให้ข้าวพองมั่นใจว่า เขาจะไม่สามารถทำร้ายข้าวพองได้อีก”
“ทำไง”
“ระมัดระวังตัวเองไงครับ เที่ยงก็ออกมากินข้าวข้างนอกกับพี่อยู่แล้ว ส่วนที่เหลือข้าวพองรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร”
“ก็แค่กลับไปเป็นข้าวพองคนเก่าที่ไม่มีเพื่อน”
“อีกวันสองวันงานศพของแป๋มเสร็จ ป๋อมก็กลับมาแล้ว”
“ป๋อมมันจะโชคร้ายไปด้วยน่ะสิ”
เกียจูบที่ริมฝีปากบาง “หยุดคิดเรื่องเพื่อนได้แล้วครับ ข้าวพองต้องมีสมองที่แจ่มใส เพื่อที่จะป้องกันตัวเอง และสังเกตคนรอบตัวให้มากกว่านี้นะครับ”
ข้าวพองขยับตัวลงนอน มองคนที่ห่มผ้าให้ แล้วก้มลงจูบหน้าผาก
“แม่ส่งพองเข้านอนแบบนี้มาตั้งแต่พองจำความได้ บอกตั้งหลายครั้งว่าพองเป็นหนุ่มแล้ว ไม่ต้องทำก็ได้ แต่แม่บอกว่า แม่อยากทำ แม่มีความสุขที่ทำอย่างนี้ พอวันที่...แม่ไม่อยู่...”
“ให้พี่พาข้าวพองเข้านอนแทนแม่ได้มั้ยครับ ถึงไม่อบอุ่นเท่า แต่พี่ก็อยากทำ”
ข้าวพองยิ้มทั้งน้ำตา
“เดี๋ยวเกียก็ไป เหมือนกับคนอื่นน่ะแหละ”
“พี่จะอยู่ จนกว่าข้าวพองไล่พี่ไป”
ข้าวพองจับมือใหญ่ไว้ “ขอบคุณนะ”
*-*จบตอนที่ 30 *-*
สืบเนื่องมาจากกระทู้แจกหญ้า (อีกแล้ว) จึงมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบว่า สิ่งที่คุณเพิ่งอ่านจบไปคือเรื่องแต่งนะ มันคือเรื่องแต่งจริงๆ นะ ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องของเราเลยนะ คือมันอาจมีอะไรที่เป็น "แนวๆ" แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของเราเลยนะ ขอได้โปรดเชือผม 
เพราะผมไม่มีวันจะซื่อบื้ออย่างข้าวพองแน่ๆ ผมมันคนฉลาด 
อีกไม่เท่าไหร่ก็จะจบแล้ว
พี่ไจฟ์ส่งตอนจบมาแล้ว แต่ "คณะกรรมการ" ไม่ให้ผ่าน เพราะมันแบบ....แบบ...ไจ๊ฟ์ ไจฟ์ มากน่ะ คือเข้าใจไหมครับคือมันไม่หวานเลยสักนิด มันคงสไตล์ แบบทะเลาะกัน ใส่นวม ขึ้นชก ลงมาก็เดินไปกินเย็นตาโฟกันต่อได้น่ะ
แบบ คณะกรรมการเซ็งมากนะฮะ
ตอนต่อไปมาวันอาทิตย์นะครับ
..น้ำชา..
อีกที เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งนะครับ