ตอนที่ 33 ตามหลักการต้องรอกำลังสมทบ
ตามทฤษฎีต้องรอให้ค่ำลง
ตามประสบการณ์ต้องรอเวลา
ตามคำแนะนำ ที่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ โอกาสที่เหมาะสม
แม้ใจของเกียมันร้อนเกินกว่าจะทำตาม เวลาทุกนาทีที่ผ่านมีแต่ความกังวลว่าคนร้ายอาจลงมือกับข้าวพอง เหมือนที่ไม่ได้ลังเลที่จะลงมือกับป๋อม ทั้งที่เป็นเวลากลางวันแสกๆ และมีรถยนต์มากมายแล่นผ่าน
เกียซุ่มมองความเคลื่อนไหวภายในบ้านอยู่ห่างๆ จนกระทั่งเห็นคนออกมานอกบ้าน กวาดตามองไปทั่ว ทั้งมองผ่านตำแหน่งที่รถของเกียจอดอยู่
ต้องขอบใจกิ่งไม้เหล่านี้ที่ปกคลุมรถ และช่วยพรางตาได้ดี
ชายอีกคนออกจากบ้านมาสมทบ แล้วพากันขึ้นรถขับออกมา เกียแน่ใจคนร้ายต้องรู้ตัวแน่นอนหากเข้ามาใกล้
เสียงมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ดังขึ้นด้านหลัง แล่นตรงเข้ามาหา
ผ่านไป …..
แล้วกลับจอดดื้อๆ คนขับรถก้าวลงจากรถแล้วคลี่แผนที่แผ่นใหญ่ แสดงท่าทางโบกไม้โบกมือให้รถที่แล่นเข้ามาหา
เกียย่อตัวอาศัยพุ่มไม้ข้างทางพรางตัวขณะที่อ้อมไปด้านหลัง
เพราะมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ ทำให้รถที่แล่นสวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจอดรถแล้วก้าวลงมาหาส่งเสียงโวยวายกับฝรั่งที่หลงทางมา
ฝ่ายหนึ่งใช้ภาษาจีน อีกฝ่ายใช้ภาษาอังกฤษ
ยังมีอีกคนที่ยังอยู่ในรถ เกียเปิดประตูรถแล้วใช้ปืนจ่อที่หลังศีรษะ
คนที่กำลังเถียงอยู่กับฝรั่งผมทองหันมามองและทำให้ถูกฟาดจนพับไป พอเกียสั่งคนในรถออกมาฝรั่งผมทองก็ทำแบบเดียวกัน แล้วลากทั้งคู่ไปจับมัดไว้กับต้นไม้ข้างทาง
“มาเร็วมาก”
อีกฝ่ายสรุปสถานการณ์อย่างรวบรัด
“บ่ายวันนี้นิรมลดูกระวนกระวาย กูดูท่าไม่ดีเลยขอแยก ยังไม่พ้นกรุงเทพฯ มึงก็โทรมา กูก็เลยโทรกลับไปหาเพียงแจ้งว่าข้าวพองกับป๋อมหายไป แล้วตามจีพีเอสมึงมาที่นี่แหละ ดีที่รถรุ่นนี้แรงมากเลยใช้เวลาไม่นาน”
“คุณเพียงเชื่อไหม ว่านิรมลเป็นสาย”
“น่าจะเชื่อ”
เกียพยักหน้า ขณะที่แอนดรูพูดต่อ
“หวังแค่ว่าจะไม่ใช่ล่อเราออกมาตามเด็ก แล้วผู้ใหญ่ 2 คนทางนั้นจะโดนจัดการ”
เกียเองก็ระแวงเหมือนกับที่แอนดรูว์บอก แต่น้ำหนักในใจเทมาทางนี้ มากกว่าที่จะกังวลเรื่องผู้ใหญ่ 2 คน
“ในบ้านมีอีกกี่คน”
“ไม่รู้” เกียตอบความจริง “แต่กูไม่รอ”
แอนดรูยักไหล่ “ไม่ขัดใจอยู่แล้ว”
ทั้งคู่ทิ้งคนร้ายที่หมดสติไว้ในพงหญ้าข้างทาง แล้วถอยรถของคนร้ายกลับไปที่บ้านพัก
จอดรถไว้ที่ด้านข้าง แต่ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากภายในบ้าน สันนิษฐานได้อย่างเดียว คือคนที่อยู่ในบ้านรู้ตัว!
เมื่อรู้ตัวแล้วก็ต้องไปตามน้ำ เกียแนบลำตัวกับผนังบ้านแล้ว เคาะประตู
ในบ้านยังเงียบ
คราวนี้มั่นใจได้เต็มร้อย ว่าคนในบ้านรู้ตัวแล้ว!!
แอนดรูว์และเกียแนบตัวข้างประตู เกียยื่นมือไปบิดลูกบิดประตูแล้วเปิดออก
ยังไม่มีเสียงจากด้านในเกียโผล่หน้าออกมามอง ชายชาวจีนคนหนึ่งยืนขวางประตูพร้อมอาวุธปืนในมือที่เล็งมาหา ที่มองทะลุเข้าไปด้านหลังคือ ข้าวพองที่ถูกมัดอยู่กับเก้าอี้ และวัยรุ่นชาวจีนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ทำไมต้องรีบขนาดนี้ อย่างไรเราก็ต้องติดต่อไปอยู่แล้ว” ภาษาอังกฤษสำเนียงจีนจากคนที่ยืนขวางประตูอยู่
เกียยังเกร็งมือที่ถือปืนอยู่
“ต้องการอะไร”
ชายชาวจีนแค่นหัวเราะ “เราต้องการเพชร”
เกียถ่วงเวลา “ไปคุยกับคุณเพียง ไม่ใช่เอาตัวเด็กมาเป็นตัวประกันแบบนี้”
ชายชาวจีนออกท่าทางเหนื่อยใจ “ถ้าเขาคุยรู้เรื่อง เราจะต้องเอาเด็กมาต่อรองทำไม” ยักไหล่อีกทีแล้วพูดต่อ “แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นออกคำสั่ง “วางปืนลง!”
เกียมองผ่านไปหาข้าวพองที่อยู่ด้านหลัง แม้จะมีปืนจ่ออยู่ที่ขมับแต่ข้าวพองก็ยังดูเตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้!
“ข้าวพอง”
“พองไม่เป็นไร”
เมื่ออีกฝ่ายตอบมาด้วยความมั่นใจ เกียก็พร้อมที่จะลงมือ
คนตัวโตย่อตัวลงเพื่อวางปืนข้างตัว แต่ชายชาวจีนถามหาปืนอีกกระบอก
เกียส่ายหน้า “มีแค่นี้แหละ”
อีกฝ่ายทำหน้าตาไม่เชื่อ แต่ยังไม่เดินเข้ามาใกล้ เกียก็ยกมือประสานไว้ท้ายทอย แต่ดวงตายังมองอยู่ที่ข้าวพองเหมือนเดิม ชายชาวจีนดูลังเล แต่ก็ยังเดินเข้ามาใกล้
“ตำรวจที่ไหนพกปืนกระบอกเดียว”
“ฉันไม่ใช่ตำรวจแล้ว”
ข้าวพองโล่งใจที่อย่างน้อยตอนนื้ทุกคนใช้ภาษาอังกฤษคุยกัน จากที่ต้องฟัง 2 พ่อลูกพูดภาษาจีนที่ไม่เข้าใจเลยสักคำ
พอเห็นพ่อของไทนี่ ก้าวช้าๆ เข้าไปหาเกีย ข้าวพองก็เบี่ยงเบนความสนใจด้วยการหันมาหาไทนี่ “ให้กูโทรหาพี่เพียงเลยมั้ย”
“ต้องถามพ่อ”
จังหวะที่ไทนี่หันมาตอบข้าวพอง คือจังหวะเดียวกันกับที่เกียคว้าข้อมือของชายชาวจีนแล้วจับล็อคไว้ และกลายเป็นตัวประกันที่ต่อรองกับไทนี่
“แก้มัดข้าวพอง” เกียกลับเป็นฝ่ายออกคำสั่ง
มือหนึ่งล็อคแขน อีกมือถือปืนจ่อที่ข้างศีรษะของชายชาวจีน
แอนดรูว์ก้าวเข้ามาหยิบปืนของเกียจากพื้น แต่ยังไม่ทันที่ก้าวข้ามประตูอีกชั้น ไทนี่ก็กลับออกคำสั่ง
“ถอยออกไป”
มีเสียงรถดังใกล้เข้ามา ทั้งไทนี่ และชายชาวจีนต่างมีสีหน้าดีขึ้น
แอนดรูว์ถาม “เพื่อนหรือ”
“พวกแกไม่รอดแน่” ชายชาวจีนตอบ
“เราต้องการแค่พาข้าวพองกลับไป ส่วนเรื่องอื่นเป็นเรื่องรอง” แอนดรูว์บอก
“งั้นก็อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน” ชายชาวจีนยังคงเป็นฝ่ายพูด
“ไม่ละ ขอบใจมาก” เกียตอบแล้วหันไปออกคำสั่งกับไทนี่ “แก้มัดข้าวพอง เธอรู้ดีว่า เราพร้อมที่จะแลกทุกอย่างเพื่อพาข้าวพองกลับไป”
“ไม่” แม้จะมีพวกมาสมทบ และกำลังจ่อปืนอยู่ที่ข้าวพอง แต่พวกก็ยังไม่ขึ้นบันไดมาสักที ซ้ำพ่อยังถูกเกียจับล็อคไว้อีก
“อยู่ข้างนอกห้องนั่นแหละ” ไทนี่ย้ำ
“ถ้าเธอต้องการเพชร เธอต้องรู้จักต่อรอง เพราะถ้าทำแบบนี้มีสถานการณ์ที่ดีที่สุดคือเธอกับพ่อจะตายทั้งคู่ ส่วนเราได้ข้าวพองกลับไป” เกียบอก
“และถ้าแย่ที่สุด ก็คือเราตายกันทั้งหมด พวกแกทั้งคู่ก็ยังไม่ได้เพชรอยู่ดี” แอนดรูว์บอกพลางใช้คางชี้ไปทางด้านหลัง “เพื่อนของพวกของแกมาถึงนานแล้ว แต่ทำไมยังไม่ขึ้นมาสักที รู้ใช่ไหมว่า สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นแก้มัดให้ข้าวพองแล้วพวกเราออกไปด้วยกัน”
ไทนี่มองสีหน้าของพ่อเพื่อดูว่าสิ่งที่แอนดรูว์พูดจริงหรือไม่
แต่เมื่อพ่อมีท่าทางเป็นกังล ทั้งตัวเองก็ค่อนไปทางเห็นด้วยว่าทางรอดของตัวเองกับพ่อแทบไม่มี ต่อให้นอกบ้านไม่มีใครอยู่ แต่เพราะหน้าต่างทุกบานปิดหมด ประตูห้องก็มีผู้ชาย 2 คนนี้ยืนขวางทั้งจับล็อคพ่ออยู่
....ปล่อยข้าวพองออกมาก่อน แล้วไปเสี่ยงอีกครั้งที่นอกบ้าน
แต่ว่า...
“ปล่อยพ่อก่อน ฉันถึงจะปล่อยข้าวพอง”
“ไม่ เราจะแลกคนกัน ปล่อยข้าวพองมาแลกกับพ่อของเธอ” เกียบอก
ไทนี่หันมามองข้าวพองแล้วแก้เชือกให้ แต่ยังจ่อปืนไว้ที่ด้านหลังท้ายทอย
“ข้าวพองช่วยกูด้วย” ไทนี่กระซิบ “กูมีเหตุจำเป็นที่ต้องทำอย่างนี้ 2 คนนั่นต้องไม่ปล่อยกูไปแน่”
ทั้งที่ไม่อยากเชื่ออะไรไทนี่อีกแล้ว แต่ข้าวพองก็ยังคงเป็นข้าวพองที่ใจดีกับเพื่อนคนนี้เสมอ
เมื่อไทนี่จับแขนให้ลุกขึ้นข้าวพองก็บอก “เกีย อย่ายิงนะ”
แค่ประโยคสั้นๆ ของข้าวพอง เกียก็รู้แล้วว่าข้าวพองจะไม่ยอมแก้สถานการณ์นี้ด้วยตัวเอง
จะไม่พยายามลดความเสี่ยงของตัวเอง
และยิ่งไม่มีทางที่จะสู้กับไทนี่แน่ๆ
ที่ฝึก ที่สอนไปในช่วงหลายเดือนมานี้กลายเป็นศูนย์จริงๆ หรือนี่
ข้าวพองแสดงสีหน้าเต็มที่ไม่ให้เกียกับแอนดรูทำอะไรไทนี่
“ถอย” ไทนี่ออกคำสั่งให้ 3 คนที่ยืนขวางประตูก้าวถอยออกไปเรื่อย จนกระทั่งออกมาพ้นประตูบ้าน
ที่ด้านนอก ยังมีรถตำรวจจอดอยู่คันหนึ่ง ตำรวจไทย 2 นายกับผู้หญิงต่างชาติที่ถือปืนอยู่ในมือ กับมีพรรคพวก 3 คนที่ถูกใส่กุญแจมือนอนเรียงกันอยู่ท้ายรถกระบะ
“พอง ช่วยกูก่อนนะ” ไทนี่กระซิบอีกครั้ง ที่ด้านหลังศีรษะของข้าวพอง
“ทำยังไง” อีกคนกระซิบตอบ
“ไปที่รถ กูจะให้พ่อขับรถให้ แล้วกูจะปล่อยมึงลงกลางทาง มึงหาทางกลับเองได้ใช่มั้ย”
“แล้วมึงล่ะ”
“ตำรวจจับลูกน้องพ่อกูไปหมดแล้ว กูไม่ได้อยากทำอย่างนี้ ช่วยกูอีกนิดเดียวเท่านั้นข้าวพอง”
คำพูดของไทนี่ยังก้องในหู
“กูแซ่เหลียง และพ่อกูมีลูกพี่ลูกน้องอยู่ในแก๊งค์ค้ายาที่ลอนดอน เขาถูกตำรวจยิงตาย พ่อกูเคยหาว่าใครยิงเขาตาย แต่พวกนั้นไม่รู้ชื่อ แต่รู้ว่าตำรวจคนนั้นเจ็บหนัก” ....
.....“พ่อกูเกลียดตำรวจโดยเฉพาะตำรวจอังกฤษ และไม่ว่าเขาจะเกี่ยวกับเรื่องลูกพี่ลูกน้องของพ่อกูหรือไม่ กูไม่คิดว่าพ่อกูจะคุยกับเกียและเพื่อนของเขารู้เรื่อง”เกีย แอนดรูว์ และพ่อของไทนี่ก้าวลงบันไดจนถึงพื้นดินด้านล่างแล้วหยุดยืน แต่ละก้าวผ่านไปอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้ไทนี่ที่จับแขนข้าวพองไว้แน่น พาเดินไปที่รถ
ตำรวจทุกคนที่อยู่ด้านล่างยังคงเกร็งแขนพร้อมยิง
“ปล่อยพ่อ”
เกียตอบทันที “แลกกัน”
“ไม่” ไทนี่บอก “ถ้าแลก พวกแกจะยิงเราทั้งคู่ทันที เพราะฉะนั้น ส่งพ่อมา”
เกียพยักหน้าช้าๆ ให้แอนดรูว์ปล่อยพ่อของไทนี่
“กุญแจรถ” พ่อของไทนี่หันไปหาแอนดรูว์ กับเกีย
แอนดรูว์ท่าทางหงุดหงิดขณะส่งกุญแจรถให้
พ่อของไทนี่ก้าวไปที่รถ แต่ขณะที่เปิดประตูรถ
ไทนี่งอข้อศอก ทำให้ปืนในมือลดระดับลง ข้าวพองหันไปคว้าข้อมือไทนี่กดปืนในมือของไทนี่ให้ต่ำลงอีก
แต่ช้ากว่าปลายนิ้วของไทนี่ที่กดไกปืน
กระสุน 1 นัดจากมือของไทนี่ และอีกหลายนัดที่ดังขึ้นแทบจะในวินาทีเดียวกัน
แรงจากกระสุนปืนกระแทกที่เข้าไหล่ ข้าวพองหงายตัวลงกระแทกพื้น ภาพรอบตัวสับสน ยิ่งพาลมึนงง สับสนไปด้วยเสียงปืน เสียงฝีเท้า และเสียงตะโกน
ภาพของคนตัวโตที่พุ่งเข้ามาหา
และไทนี่ ที่ทรุดตัวลงพิงกับประตูรถ.........
*-*จบตอนที่ 33*-*
อุ กะ รีสสสสสสสสสสสสส คุณผู้อ่านชอบเกีย กะ รีสสสสสสสสสสๆ
ดีใจๆๆๆๆ 
ไทนี่ยังไม่ใช่ศพสุดท้าย เรืองนี้มันช่างนองเลือดผิดวิสัย ไม่รู้คนเขียนเขาจะโหดไปไหน แค้นใครมาไม่รู้
กินข้าวเหนียวหมูทอดกัน
มาอีกทีวันอาทิตย์นะครับ
Ps.พี่นาตาลี แก้ไขแล้ว นะครับ
.น้ำชา.