ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)  (อ่าน 62787 ครั้ง)

ออฟไลน์ grenjewel

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้รู้สึกชอบมากค่ะ สนุกดี มีตัวละครเยอะมาก 555555555
อ่านแล้วรู้สึกได้ถึงฤดูร้อนจริงๆ ไม่รู้ว่าจะร้อนอะไรขนาดนี้ บางทียังแอบคิดเลยว่านี่เราอาศัยอยู่บนโลกหรือพระอาทิตย์กันแน่  :mew5:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ก็ถ้าอาร์มจะยังทำอย่างนี้หนึ่งคงตัดใจไม่ได้ซะที จะเอาไงแน่ เลือกมาสักทาง
ตรีนี่ร้ายกว่าที่คิด
ชอบคู่หมอตุล เหมาะกันมาก ๆ

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
ก็ว่า หมอภัทรพลกับหมอตุลธร เป็นใคร มาจากไหน
ดูจากแผนภูมิตัวละครที่ยังคงไก่เขี่ย ไม่ยักกะมีชื่อสองคนนี้
ที่จริงก็เป็น cameo นี่เอง

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
สารภาพว่ามีแอบหลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง
แต่พออ่านไปเรื่อยๆ แล้วมันก็จำได้เองค่ะ 555555

น้องภีมลูกกกกก นึกว่าจะเซี้ยวแต่กับคุณพ่อ พอเจอเพื่อนใหม่ก็เซี้ยวด้วยเลยนะ
ไม่เป็นมิตรเลย ถถถถถถถ พี่ชาฮิดเค้าออกจะหล่อ คุณแม่ฟ้าก็ฝากฝังน้องไว้แล้ว
อ่า.. ได้กลิ่นโชตะลอยมาแต่ไกล กร้ากกกกก หอมหวานมากเลยค่ะ

 :hao7:

อีกคู่นี่คืออาร์มหนึ่งที่เรารอคอย โอ้ยยยย หวานมากกก เหมือนเป็นแฟนกันแล้วเลยค่ะ
นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนกัน เราจะคิดว่าคบกันแล้วนะ การกระทำแต่ละอย่างของอาร์ม
ชวนให้เพื่อนหวั่นไหวคิดไปเองมากๆ นี่อาร์มคิดกับหนึ่งแค่เพื่อนจริงดิ? แค่สนิทกันจริงดิ?
เราสงสารหนึ่งนะ T__T ถึงจะชอบโมเม้นท์แบบนี้แต่ก็เถอะ แล้วหนึ่งก็ยอมเพื่อนอยู่เรื่อยเลย ฮืออออ TvT

ตัดมาอีกคู่ที่นัทตรี คือคุณตรียังทำตัวได้หน้าหมั่นไส้เหมือนเดิมเลยค่ะ 5555555555
นี่สารภาพว่าอ่านไปหงุดหงิดแทนทีมงานไป (อินมาก) พี่นัทขอให้สู้ววววววววววววววว
ปราบพยศดูสักทีเถอะะะะะะะะ หมั่นมากกกกกก (#ขอหยิกเนื้อแรงๆ ที)

แต่ตอนนี้คู่ที่หวานที่สุดต้องยกให้คู่คุณหมอล่ะน้าาาาา
น่ารักกกกกกกกกกก >___< 5555555
น้องภัทรมันร้ายยยย

รอติดตามตอนหน้านะคะะะ  :pig4:

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
หมอตุลย์ทำดีมากกกกกกกกกกก
แต่ภัทรอ้อนแบบนี้คืออะไร หมอตุลย์ไม่ค่อยทำการบ้านเหรอ ถถถถถถถถถถถถ

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันครับ ดีใจที่ยังมีคนอ่านอยู่จริงๆ นะ ฮ่าๆ
คราวนี้หายไปไม่นานมาก หวังว่ายังไม่ลืมกันนะ จะพยายามเร่งสปีดอยู่ครับ 555555555
สารภาพว่าตอนที่แล้วจำชื่อตัวละครพลาดไปนิด หมักนานจัดจนลืม 555
เดี๋ยวจะกลับไปแก้นะครับ ต้องขอโทษด้วย คนแต่งยังลืม (อายโคตร ฮ่าๆๆ)
ตอนที่ 6 ยาวเหยียดเหมือนเดิมครับ ฝากไว้อีกตอนนะครับ สุขสันต์วันเสาร์นะครับ ^ ^






ตอนที่ 6



นภมาหยุดยืนที่หน้าร้านอาหารเล็ก ๆ ในย่านสีลม เห็นพนักงานกำลังจัดแจงวางไอศกรีมที่ทำจากพลาสติกแท่งโตที่หน้าร้าน แรงงานหลักดูเหมือนจะเป็นเด็กชายวัยทะโมนสองคนที่กุลีกุจอเป็นเรี่ยวแรงในการติดตั้ง ปรายฟ้าโทรหาเขาในตอนบ่าย ขอร้องแกมบังคับว่าให้มาหาเธอที่ร้านอาหารแห่งนี้ ดูแล้วก็เป็นร้านอาหารปกติค่อนข้างจะธรรมดาจนนภไม่มั่นใจว่าตัวเองมาถูกสถานที่นัดหรือเปล่า เขากดดูแผนที่ในมือถืออีกครั้ง ก่อนจะพบว่าคงไม่มีความจำเป็นอีกแล้วเมื่อหนึ่งในเด็กชายตัวเล็กสองคนเงยหน้าขึ้นมาแล้วมุ่ยหน้าใส่เขา

ลูกของปืนกับน้ำ

"สวัสดีครับน้องธีม คุณแม่อยู่หรือเปล่าครับ"

นอกจากจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว เด็กชายชวิศยังปลิ้นตาแล้วแลบลิ้นใส่เขาก่อนจะวิ่งแจ้นออกไปเล่นกับสุนัขสีดำและขาวสองตัวที่เกลือกกลิ้งไปมาอยู่บริเวณนั้น คนที่ให้คำตอบกลับกลายเป็นเด็กชายผิวสีน้ำผึ้งอีกครั้งที่สูงโปร่งกว่า

"น้าน้ำหรือเปล่าครับ น้าน้ำอยู่ด้านใน"

นภมองเด็กน้อยที่ตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉานแล้วนึกทึ่งในท่าทีนอบน้อม ตากลมโตคู่นั้นเป็นประกายฉายแววฉลาดชัดเจน แต่ก็ดูบริสุทธิ์อ่อนเดียงสานัก เพราะแบบนี้สินะ ใครต่อใครถึงบอกว่าลูกเป็นเหมือนกับโซ่ทองคล้องใจของพ่อและแม่

ฝ่ามือเล็ก ๆ หมุนลูกบิดประตูให้เปิดออกแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน เด็กน้อยพาเขาไปนั่งบนโซฟาสีเชอร์รีที่ตั้งอยู่ริมบานกระจก "ร้านปิดช่วงบ่ายครับ จะเปิดอีกครั้งก็ตอนเย็น ตอนนี้ครัวจะยังเสิร์ฟอาหารไม่ได้นะครับ"

เด็กน้อยพูดอย่างแคล่วคล่อง นภเห็นแววตาของพนักงานที่เป็นผู้ใหญ่ในร้านส่งยิ้มให้กับเจ้าตัวเล็กด้วยสายตาเอ็นดู หนึ่งในนั้นสวมชุดเชฟซึ่งนภเดาว่าคงเป็นแม่ของพนักงานตัวน้อยคนนี้เป็นแน่ เด็กผู้ชายคนนั้นบอกให้รอสักพัก จะรีบไปตามน้าน้ำมาเร็วที่สุด พูดจบก็วิ่งเข้าไปทางด้านหลังของร้าน

แผ่นหลังของชายหนุ่มเอนลงแนบกับเบาะนุ่ม ขณะเดียวกันดวงตาสีเข้มก็ทอดมองไปรอบ ๆ ร้าน หากมองจากภายนอกที่ตีประกอบด้วยไม้ทึบเป็นหลักจะไม่สามารถจินตนาการถึงบรรยากาศในร้านที่ค่อนข้างจะโปร่งสบายได้เลย บรรยากาศง่าย ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้นภนึกถึงสตรีทคาเฟ่ที่พบเห็นได้ทั่วไปในเบอร์ลินหรือเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ๆ ของโลก มีความเป็นกันเอง มีกลิ่นอายที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัว  ร้านพวกนี้มักจะตกแต่งด้วยของจุกจิกน่ารัก มีไอเดียแปลกใหม่ที่คาดไม่ถึง ที่นี่ก็เช่นกัน ถูกประดับตกแต่งด้วยภาพสไตล์วินเทจสลับสับวางไปกับภาพโพลารอยด์ของลูกค้าที่มาทานในร้านแห่งนี้ นภมองรอบ ๆ ร้านอย่างสนอกสนใจอยู่สักพัก คนที่เด็กน้อยตาคมไปตามเมื่อครู่ก็เดินออกมาจากด้านใน

ไม่ใช่ปรายฟ้า หากแต่เป็นปรมะ

"ดื่มอะไรสักหน่อยไหม กาแฟ ชา น้ำอัดลม พวกแอลกอฮอล์ก็มีนะ"

นภส่ายหน้าแล้วตอบว่าไม่เป็นไร

เมื่อความเกรงใจเป็นคำตอบ ปรมะจึงเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ ครู่เดียว เขาก็กลับมาพร้อมแก้วน้ำเย็นในมือ "น้ำอยู่ด้านในน่ะ ยุ่ง ๆ อยู่เพราะนึกเพี้ยนอยากจะเป็นพนักงานชั่วคราวร้านนี้ขึ้นมา"

"ลูกน้ำน่ะเหรอ" นภถามอย่างไม่เชื่อหู และก็ดูเหมือนว่าปืนเองก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกันนัก สังเกตจากสีหน้าที่ดูค่อนข้างจะกังวลอยู่ไม่น้อย

"พอดีรู้จักกับเจ้าของร้านน่ะ ผู้หญิงพอได้คุยกันถูกคออะไร ๆ ก็ดูเป็นเรื่องที่โอเคไปหมด" นิ้วยาว ๆ ของปรมะหมุนแก้วน้ำเย็นบนโต๊ะเล่นเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร หากแต่นภเข้าใจดีว่ามีความรู้สึกมากมายอยู่ในนั้น สักพักคนตรงหน้าก็เงยขึ้น มุมปากหยักวาดเป็นรอยยิ้มชวนมอง "ก็ไม่ใช่อะไรมากมายหรอก หลัก ๆ ก็ดูเครื่องกดไอศกรีมที่เพิ่งลงน่ะ ส่วนที่ไม่หลักแต่จำเป็นต้องทำก็คงจะเป็นดูแลธีมที่เอามาฝึกให้ทำงานที่นี่ในช่วงหน้าร้อน หวังว่าจะไม่ก่อเรื่องอะไรให้ปวดหัวกันอีกนะ"

นภได้แต่นั่งอมยิ้ม พยายามประหยัดถ้อยคำให้มากที่สุดทั้งที่ข้างในมีลมพายุเล็ก ๆ กำลังก่อตัว

เก็บเอาไว้จะดีกว่า นภคิดว่ามันควรแบบนั้น หลังสงกรานต์เขาและฮานส์ก็จะเดินทางกลับไปแฟรงเฟิร์ต เป็นอาจารย์ ทำงานของตัวเองที่มหาวิทยาลัยต่อ นภไม่อยากเจ็บปวดกับเรื่องของความรักอีกแล้ว

"ยังเหมือนเดิมเลยนะ"

"หืม ?"

"ก็มีอะไรอยากจะพูดไม่ใช่เหรอ แต่ไม่พูดออกมา เหมือนเมื่อก่อนเลย" ปรมะยกมือขึ้นเสยผมไปด้านหลัง ดวงตายังนิ่งอยู่จุดเดิม "ทำไมไม่พูดออกมาล่ะ เรื่องที่ในใจอยากจะพูดน่ะ"

ภายในร่างกายของนภ มีประโยคอัดแน่นอยู่มากมาย เรื่องที่อยากจะรู้ เรื่องที่อยากจะบอกออกไป มากมายจนเต็มไปหมด จนเหมือนว่าจะไม่มีที่พอจะเก็บอีกแล้ว ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่สิ่งที่นภทำได้คือเลือกชิ้นส่วนที่งี่เง่าไร้สาระที่สุดขึ้นมาหนึ่งอันแล้วกร่อนให้ออกมาเป็นประโยคที่ดูจะไร้ความหมายสิ้นดี

"เอ่อ...อากาศร้อนเนอะ"

ม่านตาของปรมะเบิกกว้างชั่วครู่ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังลั่น ปืนหัวเราะจนตัวสั่น แต่เพียงเสี้ยววินาที แววตาคู่นั้นก็เหมือนถูกฉาบด้วยความอ่อนโยน รอยยิ้มที่แต่งแต้มตรงริมฝีปากดูคล้ายปุยเมฆนุ่ม ๆ บนท้องฟ้า

"เอ่อ...ขอโทษทีนะ ไม่ดีเลย"

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ร่างสูงใหญ่ก็ยังไม่หยุดหัวเราะคิก ขำจนนภก้มหน้าเขิน เสียงหัวเราะจบลงด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ปรมะเบือนหน้าออกไปทางหน้าต่างมองดูทางเดินที่มีผู้คนโรยรา

"ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ นภน่ะ ทั้งที่อะไร ๆ มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว"

นภนั่งเงียบ จู่ ๆ เสียงที่อยู่มากมายในสมองก็พลันร่วงหล่นจนกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าขึ้นมา

"น้ำก็เหมือนกัน" ปรมะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง "ที่นัดให้มาที่นี่ก็ไม่มีอะไรหรอก คงเจ้ากี้เจ้าการให้พานายไปเที่ยวให้ได้ อาการเอาแต่ใจกำเริบอีกแล้ว เหมือนอะไรก็ตามที่อยากได้ก็ต้องได้ประมาณนั้น นี่ก็เป็นอีกคนที่ไม่เปลี่ยนไปเลย"

"ถ้าแบบนั้น ปืนก็เหมือนกัน ไม่เปลี่ยนไปเลย"

คิ้วเข้มยกตัวขึ้นเหมือนแปลกใจในสิ่งที่ได้ยิน "อย่างนั้นเหรอ"

"ตอนที่พูด ตอนที่ยิ้ม ตอนที่หัวเราะ วิธีการมอง การเดิน ท่าทางเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนที่ขยับตัว ทุก ๆ อย่างยังเหมือนกับเมื่อก่อนเลย"

ปรมะฟังด้วยความเงียบนิ่ง มีเพียงมุมปากที่ค่อย ๆ ขยับตัวเป็นรอยยิ้ม ไม่ใช่แค่ยิ้มแบบที่ผ่าน ๆ มา ยิ้มในครั้งนี้คล้ายจะลามไปถึงดวงตา ฝ่ามือทั้งสองข้าง แขนขา ลามไปทุกกล้ามเนื้อบนร่างกาย

"จำได้ด้วยเหรอ"

เป็นอีกครั้งที่นภก้มหน้าลง อีกแล้วที่ตัวเองพลาดก้าวขาไปสู่พื้นที่อันตราย

"ไปเดินเล่นข้างนอกกันไหม น้ำไม่ออกมาเร็ว ๆ นี้หรอก ยังวุ่นอยู่กับงานด้านหลังร้านน่ะ"




ความอบอ้าวในตอนบ่ายระอุจนน่ากลัว เพียงแค่ไม่กี่ก้าวที่พ้นจากพื้นที่ปรับอากาศในร้าน นภก็รู้สึกถึงเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ไหลซึมลงมาที่ขมับตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาเรื่องทรมานตัวเองแบบนี้ทำไม ทั้งออกมาเจอกับอากาศที่ร้อนเหมือนอยู่กลางเตาเผาแบบนี้ แล้วไหนจะคนข้างตัวเพียงลำพังให้แปลบในใจตัวเองไม่จบไม่สิ้น

"บุหรี่ไหม" ปรมะยื่นซองออกมาให้ นภดึงขึ้นมาหนึ่งมวน เปลวไฟสีแดงวาบขึ้นที่ปลายบุหรี่ในมือของนภ ก่อนที่เจ้าของไฟแช็กจะจุดอีกมวนให้กับตัวเอง

"อยู่กับธีมดูดไม่ได้ ตอนนี้น้ำก็เลิกดูดไปแล้ว"

"ก็ลูกนี่นะ" นภเป่าควันสีเทาขึ้นในอากาศ กลุ่มควันลอยขึ้นก่อนจะจางหายไปกับความว่างเปล่าตรงหน้า

"นึกว่าจะนายเลิกสูบไปแล้ว"

"ที่เมืองนอกอากาศหนาว บุหรี่มันก็พอช่วยให้อุ่นขึ้นได้น่ะ"

ทั้งคู่นั่งลงตรงแผ่นแกรนิตสีเข้มข้างทางที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อมพุ่มไม้เตี้ย ๆ ต้นไม้พวกนี้มีไว้เพื่อตกแต่งหน้าอาคารสำนักงานแห่งนั้น ไม่ได้ให้ประโยชน์ในแง่ความร่มรื่นหรือความงามสักเท่าไรนัก ส่วนมากแล้วจะเป็นที่นั่งสำหรับพนักงานที่อยู่ในอาคารนั้นออกมานั่งฆ่าเวลาเสียมากกว่า ไม่มีใครพูดอะไรอีกสักพัก จนบุหรี่ในมือหมดไป มวนที่สองถูกจุดขึ้นใหม่ ความเงียบยังดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า ผิดกับแสงแดดซึ่งดูเหมือนจะทวีความร้อนขึ้นทีละน้อย เหงื่อกาฬผุดขึ้นทั่วทั้งร่างของนภจนน่ารำคาญ แต่ในใจกลับเย็นลงทีละนิดเหมือนได้กลับมาสู่บ้านที่แท้จริงของมัน

ความเงียบก็ถูกเผาไปพร้อมกับซากชีวิตของบุหรี่มวนที่สอง ปรมะถามขึ้นด้วยเสียงเรียบ ๆ แบบที่มักใช้ประจำเวลาที่มีตะกอนบางอย่างอยู่ในใจ

"มีแฟนหรือยัง"

นภก้มหน้าลงมองเถ้าบุหรี่ที่อยู่ปลายเท้า ครู่เดียวสายลมก็พัดให้มันปลิวหายไปกับความร้อนในยามบ่าย

"ไม่หรอก"

"รอใครอยู่หรือ"

ดวงตาของปรมะเงยขึ้นมองที่เพดานสีครามในตอนทืี่เอ่ยคำถามนั้น สองแขนเท้าบนแผ่นหินแล้วปล่อยให้แสงอาทิตย์ลามเลียไปทั่วร่างกายอย่างไม่เคอะเขิน นภนั่งนิ่ง จังหวะหัวใจเต้นแผ่วลงจนแม้แต่ตัวเองก็ยังแปลกใจ เขาไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร รอใคร หรือไม่ได้รอ ทั้งที่ความจริงนั้นแสนง่ายดาย เพียงแค่เลือกตอบไปข้อใดข้อหนึ่งในนั้นทุกอย่างก็จบ แต่ในบางสถานการณ์ เรื่องง่าย ๆ แบบโยนหัวก้อยก็ไม่ง่ายเอาเสียเลย กระทั่งในตอนนี้ในหัวสมองของนภก็ยังเต็มไปด้วยความลังเล

ดูเหมือนปรมะจะเข้าใจในคำตอบที่แท้จริงที่สุดของนภแล้ว ริมฝีปากนั้นจึงเจือไปด้วยความรู้สึกจาง ๆ คำตอบนั้นเป็นเสี้ยวเล็ก ๆ ในความทรงจำที่เลือนลาง บางสิ่งบางอย่างที่หายไปสิบกว่าปี กระนั้นมันก็แจ่มชัดพอสำหรับคนสองคนที่นั่งอยู่ที่นั่น

"มีคนที่รออยู่จริง ๆ สินะ"

นภหัวเราะกับตัวเอง ความเงียบไม่ใช่อาณาเขตที่เลวร้าย แต่อย่างน้อยเสียงหัวเราะโง่ ๆ ก็พอระบายน้ำหนักที่มากมายให้เบาเท่ากับควันบุหรี่เหล่านั้นได้

"ถ้าวันหนึ่งได้พบกับคนที่รออยู่อีกครั้ง นายจะบอกกับคนคนนั้นว่าอะไร"

นภก้มหน้าลง มองช่องว่างระหว่างปลายรองเท้าสองคู่ที่ขยับเข้ามาจนใกล้กันโดยไม่รู้ตัว

"ประมาณว่า...อากาศร้อนเนอะ ล่ะมั้ง"

ภายใต้ท้องฟ้าสีเข้มเหมือนสีของน้ำทะเล ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนจัดจนเหมือนจะเผาไหม้และกลิ่นบุหรี่ เสียงหัวเราะของผู้ชายสองคนก็ดังขึ้นจากถนนสายเล็ก ๆ ในเมืองที่แออัดไปด้วยผู้คนอย่างกรุงเทพมหานคร







อานนท์ลงจากรถเมล์เหมือนคนหมดพลัง ร่างที่ดูแทบจะไม่ต่างอะไรกับผีดิบเดินเข้าซอยด้วยอาศัยแรงเฉื่อยของพลังงานเฮือกสุดท้าย ตลอดทั้งวันเขาโดนพี่สิงห์เล่นงานจนอ่วม แต่อานนท์ก็ไม่เคยนึกโทษพี่สิงห์แม้แต่น้อย นึกขอบคุณด้วยซ้ำหากบทโหดจะทำให้เขากระตือรือร้นที่จะจดจำข้อมูลต่าง ๆ มากขึ้น อ้อยบอกว่าเขาคงประสาทไปแล้วถึงได้ฟังพี่สิงห์ด่าได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ขณะที่ตูนบอกว่ายังไม่เคยเห็นใครมีความอดทนกับพี่สิงห์ได้แบบนี้มาก่อน ถ้าเป็นคนอื่นคงเผ่นแน่บหรือไม่ก็นั่งร้องไห้โฮไปแล้ว แต่อานนท์กลับยึดพื้นที่ข้าง ๆ พี่สิงห์ได้อย่างคงมั่น

ใครบ้างอยากจะเป็นคนไม่เอาไหน แต่อานนท์ก็ทำได้แค่นี้ เขาอยากเก่งแบบคุณโกวิท ทำงานแบบที่ทุก ๆ อย่างรอบตัวเหมือนเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายได้แบบพี่สิงห์ ใช้คอมพิวเตอร์คล่องแคล่วได้แบบตูน หรือแม้แต่กล้าพูดคุยกับลูกค้าได้อย่างมาลี นั่นคือความฝันที่อานนท์ได้แต่ฝันแล้วฝันอีกว่ามันจะกลายเป็นจริงได้ในสักวัน

แดดในตอนบ่ายแก่ ๆ ยังคงร้อนจัดจนเสื้อยืดเปียกชื้นไปหมดทั้งตัว อานนท์แวะรถเข็นขายหมูปิ้ง ซื้อหมูสามไม้และข้าวเหนียวหนึ่งห่อให้กับตัวเอง ส่วนตับปิ้งอีกหกไม้สำหรับร้อนแฮ่กกับลิ้นห้อย แบ่งกันตัวละสามไม้ ชดเชยให้กับตอนเช้าที่รีบจนไม่มีเวลา ลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กเดินตามเจ้าหนูสองคน แต่พอเห็นเขา พวกมันก็วิ่งแกว่งหางเป็นเฮลิคอปเตอร์มาประจบขอของฝากเต็มที่ ทิ้งเด็กชายตัวน้อยให้ต่อล้อต่อเถียงกันไป

"บอกว่าไม่ต้องมายุ่งกับฉันไง"

"น้าน้ำบอกให้พี่ดูแลธีมนี่นา"

"ไม่ต้อง !"

"ต้องสิ น้องธีมยังไม่คุ้นกับแถวนี้ไม่ใช่เหรอ" เด็กชายที่ตัวสูงกว่าเล็กน้อยจับมือเด็กโมโหร้ายแล้วส่งยิ้มให้

"ปล่อย !"

"ไม่ปล่อยหรอก"

อานนท์มองเด็กทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มกระทั่งเสียงเล็ก ๆ ของทั้งคู่จะเลือนหายไปกับเสียงความขวักไขว่บนท้องถนน เขาเดินต่อไปกระทั่งถึงหน้าร้านอาหารที่มักจะเดินผ่านประจำ ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สะดุดตาอานนท์ก็คือกรวยไอศกรีมขนาดใหญ่วางโชว์อยู่ด้านหน้า มันมาตั้งแต่เมื่อไรนะ นานแล้วหรือเพิ่งมี อานนท์ไม่ทันได้สังเกตเลย

ลังเลอยู่สักพัก ในที่สุด อานนท์ตัดสินใจซื้อหนึ่งโคน นอกจากจะคลายร้อนแล้ว ยังถือว่าเป็นกำลังใจให้กับตัวเองในวันที่เจออะไรแย่ ๆ มาทั้งวัน

พนักงานขายที่ไม่คุ้นหน้าก็กดไอศกรีมใส่กรวยแบบกระท่อนกระแท่น ทุกคนก็ต้องมีช่วงเวลาที่ทำอะไรยังไม่ค่อยได้เสมอสินะ แต่ถ้าถอดใจ ที่ทำไม่เป็นก็จะยังทำไม่เป็นอยู่แบบนั้น อานนท์ยืนให้กำลังใจเธอคนนั้นอยู่เงียบ ๆ ในใจกระทั่งเสียงเข้มที่ได้ยินมาตลอดทั้งบ่ายดังขึ้นที่ด้านหลังชนิดเหนือความคาดฝัน

"เอาหนึ่งถ้วย"

พนักงานสาวสวยยิ้มรับพร้อมกับส่งไอศกรีมรูปร่างพิลึกมาให้อานนท์ (อานนท์คิดว่าเธอคงนั้นคงเป็นคนไม่ได้เรื่องสักอย่างพอ ๆ กับเขา) รับไปแล้ว อานนท์ก็ถอยออกมายืนรอพี่สิงห์อยู่ใกล้ ๆ กลัวจนขยาด แต่ในฐานะที่เป็นคนรู้จักกัน อีกทั้งเป็นเพื่อนข้างห้องกัน อานนท์คิดว่ามันเป็นมารยาทที่สมควรทำ

เพชรกล้าปาดเหงื่อที่อยู่ตามไรผมขณะที่รับถ้วยไอศกรีม (รูปร่างพิลึกพอกัน) อานนท์เห็นเพชรกล้าจ้องไอศกรีมด้วยความตกตะลึงแล้วถอนหายใจหนึ่งครั้ง จากนั้นพอหันมาเจอเขาที่ยังยืนรออยู่ก็ถอนใจอีกรอบ "ยังอยู่อีกเรอะ"

อานนท์พยักหน้าแล้วเดินไปข้าง ๆ ร่างสูงใหญ่ที่ดูบึกบึนอย่างกับหมีป่า "เอ่อ...ขอบคุณมากนะครับที่อดทนสอนผม"

"เปลี่ยนคำพูดเป็นสิบครั้งของนายเป็นการกระทำจะดีกว่า"

คนฟังหน้าชาไปนิดหน่อย แต่ก็ยังยืนยันเจตนาต่อ "ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณอยู่ดี"

"มันเป็นแค่หน้าที่"

อานนท์ยิ้มแหย รูดซิปปากตัวเองด้วยการทานไอศกรีมที่อยู่ในมือไปพลาง ๆ จนกว่าจะถึงหอ โชคดีที่พี่สิงห์ไม่พูดอะไรอีกเลยนับจากนั้น พอถึงหน้าประตูห้อง อานนท์ก็รีบเปิดประตูเข้าห้องไปอย่างโล่งใจ







ตรี พงษ์พิพัฒน์รู้สึกเหมือนกับถูกกระถางต้นไม้ตกใส่หัวกลางถนนฟิฟธ์อเวนิว หมอสักคนที่ดนัยพามาด้วยนั้นถือว่าไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำเอาทีมงานทั้งกองเคลิบเคลิ้มได้ถึงขนาดนี้ เรียกได้ว่าหล่อตามอุดมคติแบบหมอ ๆ ที่ผู้หญิงค่อนประเทศต่างใฝ่ฝัน ผิวขาว สวมแว่น ตัวสูง ดูสุขุมคัมภีรภาพ ที่สำคัญมีรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนเหมือนเครื่องแบบสีขาวของหมอติดอยู่ที่ริมฝีปากตลอดเวลา หักคะแนนในฐานะที่ดูเหมือนคนอายุราวสามสิบต้น ๆ ไปหน่อย ประเมินแล้วเต็มสิบก็ต้องมีอย่างต่ำอยู่ที่ระดับเก้าจุดสองห้าในสายตาของตรี พงษ์พิพัฒน์เลยทีเดียว

"สวัสดีครับ คุณคงเป็นคุณหมอที่จะมาอัดเทปใช่ไหมครับ" ตรี พงษ์พิพัฒน์ทักทายในฐานะเจ้าบ้าน

"สวัสดีครับ แต่ไม่ใช่ผมหรอกครับ คุณทักคนผิดแล้ว เพราะคุณสมบัติของผมยังห่างไกล"

"หรือครับ ?" นอบน้อมถ่อมตน บวกให้อีกศูนย์จุดสองห้า เก้าจุดห้าเลยนะ ใช้ได้ทีเดียว

"ให้คนที่เหมาะสมจะดีกว่าครับ คุณนัทบอกว่าสี่สิบสองแก่ไปสำหรับโจทย์ที่ทางรายการต้องการ" ตุลธรตอบพร้อมรอยยิ้มน่าประทับใจ

ประทับใจถึงขนาดตรี พงษ์พิพัฒน์มองอย่างไม่เชื่อสายตา

สี่สิบสอง ! ไม่จริง !!!

โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เลเซอร์ ร้อยไหม เป็นไปไม่ได้ ! นี่จะต้องเป็นสเตมเซลล์จากรกแกะที่กำลังเป็นกระแสอยู่แน่ ๆ !!! ร้าย...ร้ายกาจมาก

"มองแบบนั้นเดี๋ยวเจ้าของตัวจริงก็ได้กระโดดขย้ำหัวเอาหรอก" เสียงของดนัยลอยล่องขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง เด็ดปีกเทวดาที่แสนงามสง่าให้ร่วงลงเหวโดยพลัน

ตรี พงษ์พิพัฒน์เหลียวกลับไปมองแบบค่อนแคะในใจ ไพล่นึกว่านรกขุมไหนช่างปล่อยมารความสุขตนนี้ออกมาป่วนชีวิตเขา ดนัยเหมือนกับหน้าร้อน มากับเรื่องชวนให้อารมณ์เสียเสมอ แค่พบกันวันเดียว นับจากนั้นชีวิตอันแสนสงบสุขของตรี พงษ์พิพัฒน์ก็วุ่นไปหมด

"นี่คือภัทรพล หมอที่จะอัดรายการร่วมกับคุณในวันนี้ ส่วนคนที่คุณทักด้วยคือคุณหมอตุล แล้วถ้าคุณกำลังคิดอะไรพิเรนทร์ ๆ อยู่ ผมแนะนำว่าให้เลิกความคิดซะ เพราะว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน"

พูดจบดนัยก็ชะงักอึ้ง โดยปกติแล้วเขาไม่ใช่คนประเภทละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวคนอื่น ยิ่งเที่ยวได้ป่าวประกาศเรื่องใครเป็นแฟนใครแบบนี้ ไม่ใช่นิสัยของเขาเลย ทั้งหมดเป็นเพราะอะไรนะ ความรู้สึกหมั่นไส้อาการออกหน้าออกตาแบบปิดไม่มิดของตรี พงษ์พิพัฒน์จอมปัญญาอ่อนแบบนั้นหรือ ? แม้จะนึกตำหนิตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่ดนัยก็ยอมรับว่าใบหน้าที่ช็อกสุดขีดของตรีทำให้เขามีความสุขแบบแปลก ๆ

หารู้ไม่ว่าแฟนหรือไม่ใช้แฟนนั้นไม่ใช่สาระใด ๆ สำหรับตรี พงษ์พิพัฒน์แม้แต่กระผิ ความสมบูรณ์แบบของใบหน้าหมอภัทรพลนั่นต่างหากที่น่ากลัว หมอตุลยังหักคะแนนที่อายุได้ แต่ถ้าเป็นหมอคนนี้จะเอาอะไรมาให้หักคะแนน ถึงไม่หล่อแบบหมอตามอุดมคติ แต่ความหล่อของหมอภัทรพลก็ถูกนิยามได้ว่า "เหนือความคาดหมาย" น่ากลัวไหมล่ะ ?

ไม่ได้ ! ยอมไม่ได้ ! ไม่อย่างนั้นตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้ต้องโดนขโมยซีนแน่ ๆ !

"ผมคิดว่าหมอตุลน่าจะดูตอบโจทย์กว่านะครับ ไม่ใช่ว่าหมอภัทรไม่ดีหรอกนะครับ ทั้งคู่ถือว่าตอบโจทย์ เพียงแต่ว่าเป็นโจทย์คนละแบบ ลุคของหมอภัทรอาจจะดูเหมือนคนในวงการบันเทิงมากไป คุณนัทว่าอย่างไรบ้างครับ" พงษ์พิพัฒน์ส่งยิ้มสมบูรณ์แบบแบบพิธีกรมืออาชีพมาให้ดนัย หวังว่าจนเองจะถูกตามใจแบบทุกครั้ง

ดนัยมองอย่างครุ่นคิด เขาอ่านออกว่านี่คงเป็นอุบายอะไรสักอย่างของตรีแน่ แต่ว่ามันคืออะไร ?

"ผมคิดว่าภัทรก็เหมาะกว่า"

"แต่..."

"ผมพูดในฐานะของสปอนเซอร์" ดนัยจบคำพูดตนเองพร้อมสายตาเฉยเมย

ข้อต่อรองถือเป็นอันสิ้นสุดด้วยความล้มเหลว พงษ์พิพัฒน์มองตาขวางใส่สปอนเซอร์รายใหญ่ทันที

ตรี พงษ์พิพัฒน์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ ความโมโหแล่นริ้วขึ้นมาจากปลายเท้าจนอัดแน่นอยู่ที่คอหอย ไม่เคยมีใครปฏิเสธเขา และก็ไม่เคยมีใครใช้สายตาแบบนั้นมองเขามาก่อน คอยดูเถอะ ตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้จะพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้มีดีแค่หน้าตาหรอกนะ !

ข้อเปรียบเทียบระหว่างคุณหมอทั้งสองคนและตรี พงษ์พิพัฒน์ยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง ทีมงานทุกคนต่างก็พะเน้าพะนอคุณหมอตุลและคุณหมอภัทรเต็มที่ ขณะที่ทุกคนมองพิธีกรเหมือนตัวปัญหา ดนัยมองเห็นทุกอย่างและคอยจับตามองตรีอย่างไม่คลาดสายตา หากแต่ชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉยราวกับสิ่งที่เห็นและได้ยินเป็นเพียงความวุ่นวายที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ

สามสิบนาทีต่อมาหลังจากฝ่ายเทคนิคให้สัญญาณว่าพร้อม ผู้กำกับก็สั่งเดินกล้องทันที ภัทรพลนั่งรออยู่ในฉากก่อนแล้วในตอนที่พิธีกรประจำรายการก้าวออกมาจากด้านหลัง วินาทีนั้น ทุกสายตาต่างหันไปจับจ้องอยู่ที่ผู้มาใหม่เหมือนต้องมนตร์สะกด ความแตกต่างระหว่างคนที่หล่อในฐานะคนธรรมดากับคนที่หล่อในฐานะคนในวงการบันเทิงนั้นต่างกันนัก มีเสน่ห์บางอย่างในตัวของตรี พงษ์พิพัฒน์ที่ทำให้ทุกคนไม่อยากละสายตา หล่อเนี๊ยบจนไม่มีที่ติ ท่วงท่าสุขุมไว้ตัวนิด ๆ เหมือนคุณชายในละครแนวย้อนยุคให้ความรู้สึกเหมือนภาพวาดชวนหลงใหลอย่างประหลาด

"เขาดูดีมากนะครับ" ตุลธรเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

ดนัยไม่ปฏิเสธในคำพูดนั้น อดไม่ได้ที่จะเผลอมองคนที่นั่งอยู่หน้ากล้องด้วยความชื่นชม

ที่จุดรวมของแสงสปอตไลต์ ตรี พงษ์พิพัฒน์กล่าวนำเข้าสู่รายการและแนะนำภัทรพลในฐานะคุณหมอที่จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับการรับมืออากาศที่ร้อนจัดในปีนี้ ผู้กำกับ และตากล้องยิ้มอย่างพอใจในความสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติแบบทุกครั้ง ตัวจริงจะดูสร้างปัญหาแค่ไหน แต่ในบทบาทพิธีกร ตรี พงษ์พิพัฒน์ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง

ดนัยที่ไม่ได้สวมเอียร์มอนิเตอร์ไม่รู้ว่าตรีและภัทร ญาติห่าง ๆ ของตัวเองพูดอะไรบ้างในแสงไฟที่เจิดจ้านั้น แต่สิ่งที่สะดุดตาจนทำให้เริ่มรู้สึกอยู่ไม่สุขก็คือสายตาวิบวับและรอยยิ้มหวานเยิ้มที่ทั้งสองคนในกล้องมอบให้แก่กันตลอดเวลา

"สิ่งที่ควรระวังก็คือโรคลมแดด หรือ ฮีทสโตรกครับ โรคนี้เกิดจากการที่ร่างกายอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงและได้รับความร้อนมากเกินไป ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของสมองในส่วนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายซึ่งจะมีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบประสาท" ภัทรพลหันมายิ้มให้กับคนที่นั่งข้าง ๆ โชคดีที่คุณตรีสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองทำให้เขารู้สึกไม่อึดอัดกับการอยู่ท่ามกลางสายตาคนมากมายแบบนี้จนเกินไปนัก

ตรี พงษ์พิพัฒน์ส่งยิ้มอุ่นอ่อนตอบแต่ในใจกลับกระหยิ่มยิ้มย่อง เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งที่สุดถือว่าไม่เคยเอาท์ ในเมื่อหมอภัทรพลคนนี้รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้แย่ สร้างกระแสคู่จิ้นแบบดาราในวงการชอบทำก็ถือว่าไม่เสียหลาย ถ้าเรตติ้งดีก็ให้มันรู้กันไปสิว่าผู้ใหญ่จะปลดตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้ !

"แบบนี้ถือว่าเป็นโรคที่น่ากลัวไหมครับคุณหมอ" ตรีส่งสายตาหวานเชื่อมไปทางภัทรพล คุณหมอหนุ่มก็ส่งยิ้มตอบ บรรยากาศรอบ ๆ ฉากคล้ายกับถูกเซ็ตอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีชมพูขึ้นมาโดยพลัน

เกินจะทน ดนัยเดินลงฝีเท้าไปที่หน้ามอนิเตอร์แล้วคว้าเอียร์มอนิเตอร์ขึ้นมาสวมหูทันที มองแววตาชื่นชมของพิธีกรหนุ่มที่ใช้มองญาติตัวเองแบบไม่ปิดบัง รายการเล่าข่าวนะตรี พงษ์พิพัฒน์ ไม่ใช่รายการนัดบอด

"ดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆ ก็ชื่นใจดีนะครับ" ตรีหยิบไจแอนท์โคลาขึ้นดื่มแล้วทำหน้าชื่นใจ

"ครับ น้ำหวาน ๆ หรือน้ำผลไม้จะช่วยให้ชื่นใจขึ้น ในวันที่มีอากาศร้อนจัดควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน โปร่ง ไม่หนา น้ำหนักเบา และสามารถระบายอุณหภูมิความร้อนได้ดีครับ หากจำเป็นต้องอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนหรือออกกำลังกลางสภาพอากาศร้อน ควรดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม หรือแม้จะทำงานในที่ร่มก็ควรดื่มน้ำ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วเพื่อป้องกันอาการเพลียแดดครับ" เมื่อภัทรพลพูดจบ ตรีพงษ์พิพั๖น์ก็หันมากล่าวขอบคุณก่อนจะตัดเข้าเบรคโฆษณา

เสียงคัตดังขึ้นพร้อมกับลมหายในที่ร้อนเหมือนแดดของดนัย ครู่เดียวภัทรพลก็เดินเข้ามาลาเขาและทีมงานทุกคนบอกว่ามีธุระสำคัญต้องรีบกลับโดยมีตุลธรยืนส่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ ดนัยไม่คิดจะรั้งคนทั้งคู่ไว้ต่อ เขาตัดบทด้วยคำขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือแล้วนัดทานข้าวด้วยกันช่วงสัปดาห์หน้า ดวงตาคมยังคงจับจ้องอยู่ที่รอยยิ้มเล็ก ๆ ของพิธีกรหนุ่มผู้มีสีหน้าเฉยชา ครู่หนึ่ง ตรี พงษ์พิพัฒน์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินฝ่าทีมงานออกไปท่ามกลางสายตาที่มองแบบชื่นชม ไม่ลาใคร ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ไม่เว้นแม่แต่ดนัยที่ยืนอยู่ตรงนั้น

ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอย่างนั้นหรือ ตรี พงษ์พิพัฒน์ช่างสร้างความน่าหงุดหงิดได้พอ ๆ กับอากาศร้อนของเดือนเมษายนเสียจริง








(ยังมีต่อครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)




ปรายฟ้าและอมริตานั่งมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ ผ่านไปแค่ครึ่งวัน ลูกชายทั้งสองก็ขมุกขมอมมาทั้งตัว อะไรก็ไม่ทำให้ผู้เป็นแม่อย่างอมริตาทุกข์ใจเท่ากับลูกชายที่เกิดมาไม่เคยมีเรื่องชกต่อยกับใครกลับมีแผลบวมช้ำอยู่ที่แก้ม ขณะที่ปรายฟ้าก็คิดหนักที่ชวิศตัวแสบก่อเรื่องอีกแล้ว

"พอรำคาญก็เลยไปต่อยพี่เขาเนี่ยนะ เอาแต่สร้างปัญหาตลอดเลยนะธีม เด็กไม่รู้จักโต"

"พูดแบบนี้ได้ยังไง ผมโตแล้วนะ"

"ตัวเท่าเมี่ยง" ปรายฟ้าหลิ่วตามองเจ้าตัวเปี๊ยกที่พอถูกขัดใจก็เดินเข้ามาประท้วง "นี่อย่ามาดึงเสื้อฉันนะ มันยับหมดแล้วไม่เห็นหรือไง"

"ก็แม่มาพูดแบบนี้ได้ไง โอ๊ยยย..." ธีมลากเสียงยาว มือน้อย ๆ พยายามรั้งแรงจากปลายนิ้วของปรายฟ้าที่หยิกหมับเข้าที่ใบหู

เดิมทีเดียว อมริตาว่าจะไถ่ถามชาฮิดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นับจากลูกชายเธอเดินกลับเข้ามาในร้านแล้วขอน้ำแข็งประคบในห้องครัว ปรายฟ้าที่ผ่านมาเห็นเข้าก็เดินละลิ่วไปดึงหูลูกชายของเธอจากด้านนอกกลับเข้ามาถึงที่นี่ คุณนุชนารถที่เดินมากับมีราก็ถูกดึงเข้ามาเป็นสักขีพยานด้วย

แล้ววิธีสอบถามที่เรียกได้ว่าค่อนข้างแปลกสำหรับคนที่เลี้ยงลูกแบบหัวโบราณอย่างอมริตาก็เริ่มต้นขึ้น โดยรวม ๆ แล้วก็คือชาฮิดได้รับการขอร้องจากปรายฟ้าให้ดูแลธีมที่แสนซุกซน แต่เด็กที่รำคาญอย่างธีมกลับรู้สึกหงุดหงิดที่ชาฮิดดูแลเสียดีจนธีมรู้สึกตัวเองเป็นเด็กผู้หญิง พอคิดได้แบบนี้ก็เลยหาเรื่องชกต่อยลูกชายเธอจนแก้มปูดอย่างที่เห็น

"ไม่ได้เป็นเด็ก ๆ โตแล้ว ไม่ต้องสะเออะมาดูแลเลย" ธีมแหวเสียงดัง แต่ยังไม่จบประโยค ปรายฟ้าก็ดึงแก้มจนโย้ เห็นแล้วเธอและคุณนุชนารถยังรู้สึกเจ็บแทน

ปรายฟ้าค่อนข้างเปิดกว้าง ปล่อยให้น้องธีมได้แสดงออกทุกอย่างเต็มที่จนดูคล้ายกับก้าวร้าวจนหญิงสาวทั้งคู่รู้สึกเป็นห่วง แต่เมื่อพิจารณาอย่างดีก็จะพบว่าวิธีการแปลกแสนแปลกนี้ดูเหมาะกับปรายฟ้าผู้คล่องแคล่วดี อมริตาจึงได้แต่คอยประคบแก้มของชาฮิดแล้วปลอบประโลมตามสมควร ส่วนคุณนุชนารถก็คอยปรามคุณน้ำให้เพลามือลงบ้างแต่คุณน้ำเธอก็มีเหตุผลของเธอที่จะไม่ยอมปล่อยผ่านแม้ว่าตัวชาฮิดเองจะไม่ได้คิดจะเอาเรื่องก็ตาม

"เมื่อคืนเราตกลงแล้วใช่ไหมว่าจะไม่มีการก่อเรื่องอีก" ปรายฟ้าส่งเสียงเข้ม ซึ่งธีมก็ดูจะลอกแบบมาเหมือนทุกกระเบียด

"ก็หมอนี่มันมาวุ่นวายทำไมล่ะ ใครเขาขอให้มาดูแลกัน"

ผู้เป็นแม่ผ่อนลมหายใจ มือของปรายฟ้าตีลงบนตักตัวเองเบา ๆ แล้วพูดอย่างคนเหนื่อยใจ "มานี่สิธีม"

"ไม่ ! ผมโตแล้ว แม่ถือดียังไงมาสั่ง"

จบประโยค ร่างเล็ก ๆ ของเด็กชายชวิศก็ลอยหวือตามแรงของผู้เป็นแม่ทันที สองมือของปรายฟ้าจับตัวลูกชายเธอนอนหมอบราบลงกับตักอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มือข้าซ้ายจะถลกกางเกงโชว์ก้นขาว ๆ ต่อหน้าทุกคน ธีมดิ้นพล่าน ไม่ยอมรับต่อโชคชะตา

"ไม่เอา ๆ ๆ ไม่เอานะแม่ อย่านะ"

เพี๊ยะ !

เนื้อก้นของธีมกระเพื่อมตามแรงปะทะ มีรายกสองมือขึ้นปิดตา ขณะที่ชาฮิดได้แต่ยืนเศร้ามองรอยแดง ๆ ซึ่งผุดขึ้นบนก้นอันกลมกลึงของคนที่ชกหน้าตัวเอง ดูเหมือนผิวที่ค่อนข้างขาวของธีมเป็นรอยแดงง่ายกว่าผิวสีแทนของชาฮิดมาก เพียงครั้งแรกที่สัมผัส ก้นขาว ๆ นั่นก็เห็นเป็นรอยชัดเต็มทั้งสองข้าง...แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับหน้าผู้เป็นเจ้าของที่แดงจัดเหมือนสีของพระอาทิตย์ตอนจะตกดิน

"พอแล้ว ! ไม่เอา ๆ พอเถอะแม่ อายเขานะ"

ปรายฟ้ายอมปล่อยธีมลงจากตักหลังจากที่ถูกตีไปห้าครั้ง เธอยกมือขึ้นไหว้คุณนุชนารถและอมริตาด้วยความรู้สึกจากใจจริง "น้ำกับลูกต้องขอโทษมากนะคะที่ทำให้เกิดเรื่องยุ่ง ๆ ขอรับปากว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกค่ะ ขอโทษหนูด้วยนะจ๊ะมีรา"

สักพักเด็กหน้ามุ่ยดึงกางเกงขึ้นแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้ ชาฮิดมองธีมที่ก้มหน้างุดอย่างเข้าใจ

คล้อยหลังไปไม่นาน อมริตาก็เดินมาหาชาฮิดอีกครั้งหลังจากพามีราไปหลับที่ด้านหลังร้าน "โกรธน้องไหมลูก"

ชาฮิดส่ายหัว นึกโมโหก็พอมีบ้างแต่พอเห็นธีมโดนตีก้นลายต่อหน้าคนทั้งร้านก็อดสงสารไม่ได้

"อย่าโกรธน้องธีมเลยนะ น้าน้ำเล่าให้แม่ฟังว่าธีมเป็นเด็กดี แต่ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าวัย ธีมคงคิดว่าตัวเองดูด้อยกว่าลูกตรงไหนทั้งที่ก็อายุน้อยกว่าแค่ปีเดียว นี่ก็เลยประท้วงผู้ใหญ่แล้วหันมาพาลลูกเข้า"

ชาฮิดพยักหน้าหงึก ๆ รับฟังคำพูดของผู้เป็นแม่อย่างตั้งใจ

"วันนี้ไม่ต้องช่วยที่ร้านเสิร์ฟหรอกนะ แม่ฝากให้ไปดูแลน้องได้ไหม" อมริตาส่งตลับขี้ผึ้งให้กับเด็กชายตัวน้อยแล้วส่งยิ้ม "คิดว่าธีมก็เหมือนมีรา เป็นน้องเราอีกคนนะครับ"

อีกมุมหนึ่งของร้าน ธีมกำลังนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนเบาะ ขยับตัวเป็นลิงอยู่ไม่สุขเพราะก้นที่ยังแสบไม่หาย แต่พอเห็นเงาของชาฮิดที่หลังบานประตูก็แข็งใจนั่งวางท่าเหมือนอาการปวดเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

"ทำไม จะมาเยาะเย้ยหรือไง จะบอกให้นะ แค่นี้ไม่เจ็บหรอก"

ชาฮิดลังเลอยู่สักพัก ตั้งใจว่าจะแอบมองเงียบ ๆ ตามแม่ขอร้องแต่พอถูกจับได้ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ "เจ็บไหม"

"อยากโดนต่อยอีกเหรอไง ! อย่ายุ่งน่า"

ปากพูดแบบนั้นแต่ตัวกลับกระสับกระส่ายจนนั่งได้ไม่เต็มก้น แต่ชาฮิดไม่ได้รู้อะไรนัก ไม่เจ็บก็ไม่เจ็บ เด็กน้อยคิดแบบนั้น เขารู้สึกเบาใจที่ธีมไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่กังวล คำสั่งของแม่ทำให้ชาฮิดมุ่งมั่นดูแลธีมไม่ต่างกับมีรา

"แล้วหิวไหม"

"ไม่ต้องมายุ่ง !"

"นี่...ชอบกินอมยิ้มไหม"

ธีมเงียบกริบ สักพักก็ค่อย ๆ หันมามองตาโต "อร่อยเหรอ"

ดวงตาวิบวับและน้ำเสียงตื่นเต้นของธีมทำให้ชาฮิดยิ้ม "อร่อย รสช็อกโกบานาน่าเลยนะ"

"โห..." ได้ยินแล้ว ธีมก็รู้สึกอยากลองชิมดูสักครั้ง เด็กน้อยกลืนน้ำลายเอื้อก มาดผู้ใหญ่ที่วางท่าเสียโก้ถูกเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงโดยพริบตา ธีมชะเง้อหน้ามองชาฮิดที่กำลังล้วงหาขนมยุกยิก ยิ่งมองก็ยิ่งลุ้น หนักข้อเข้าพอทนไม่ไหวก็ถึงกับยื่นมาทั้งหน้าทั้งตัว "ไหนดูหน่อย อูยยย..."

เนื้อผ้าที่รั้งขึ้นดึงทำให้อาการปวดที่ก้นเต้นตุบ ๆ ใบหน้าของธีมที่บิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัดทำให้ชาฮิดรู้ว่าที่แท้ธีมก็แค่เก็กมาดอยู่

"ถ้าจะกินก็ต้องให้พี่ทายาให้ก่อน"

"ทาทำไม ก็บอกว่าไม่เจ็บ ไม่เจ็บก็ไม่เจ็บสิ อู๊ยยย..." คนไม่เจ็บเผลอส่งเสียงร้องอย่างลืมตัวเมื่อถูกนิ้วชี้ของอีกคนกดเบา ๆ ลงจุดที่โดนหวด

"ทายาให้นะ ไม่แสบหรอก"

"ไม่ต้องมายุ่ง !"

"แลกกับอมยิ้มช็อกโกบานาน่า"

จอมหัวแข็งกลืนน้ำลายอีกเอื๊อก ดวงตาใสเป็นประกายวิบวับขึ้นทันตา

"มา นอนบนตักให้พี่ดูก่อน"

ธีมส่ายหัวทันที เรื่องอะไรจะไปทำอะไรเด็ก ๆ อย่างนั้น

"ช็อกโกบานาน่าเลยนะ" อีกครั้งที่ชาฮิดแกว่งแท่งอมยิ้มในมือพร้อมรอยยิ้ม

ในที่สุดอมยิ้มที่ลอยอยู่ตรงหน้าก็มีพลังเหนือทุกสรรพสิ่ง ธีมค่อย ๆ หมอบลงบนตักของชาฮิด มือเล็ก ๆ ลอกเปลือกพลาสติกสีน้ำตาลสลับเหลืองออกแล้วส่งเข้าปากอย่างรวดเร็ว สมราคาคุยจริง ๆ กลิ่นหอมของกล้วยและรสหวานเข้มของช็อกโกแลตอร่อยเหาะชะมัด ธีมหลับตาพริ้ม พูดเสียงหวานเคลิ้มพร้อมกับอมยิ้มที่ค่อย ๆ ละลายในปาก

"เบา ๆ นะ"

"ได้เลย" นิ้วชี้ของชาฮิดป้ายที่ตลับขี้ผึ้งและแตะลงบนก้นของธีมเบา ๆ







หลังจากกลับเข้ามาในตอนบ่าย แผนขี่จักรยานของหนึ่งก็ยังคงไม่คืบหน้า การอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลานับตั้งแต่ตอนสายแม้จะทำให้อาการประหม่าจะทุเลาลงไปจนเกือบเป็นปกติ ปรับใจกับสภาพความจริงได้มากขึ้น แต่จนแล้วจนรอดหนึ่งก็ยังไม่สามารถขี่จักรยานได้โดยไม่มีอาร์มคอยประคองอยู่ด้านหลังได้อยู่ดี เซไปเซมากระทั่งถึงล้มลงไปนั่งจ้ำเบ้าให้เจ็บก้นเล่นบ้างในบางครั้ง อาร์มก็ยังมีกะใจจะหัวเราะได้ ขณะที่หนึ่งเริ่มจะถอดใจเอาเสียจริง ๆ แล้ว เจ็บตัวยังไม่หนำใจยังต้องเจ็บใจซ้ำอีก ดูเหมือนอาร์มกระตือรือร้นกว่าทุกครั้ง ทริปนี้คงเป็นทริปที่สำคัญมากสำหรับอาร์ม ซึ่งหนึ่งเองก็พอจะเดาออกว่าเพราะอะไร ถ้าพอช่วยได้ก็อยากช่วย หนึ่งคิดแบบนั้น น้อยที่สุดเวลาเห็นอาร์มหัวเราะสบายใจก็น่ามองกว่ามานั่งเหม่อทำหน้าเศร้าเป็นไหน ๆ

ความรู้สึกของตัวเองน่ะหรือ จะเป็นยังไงก็ช่างมันก็แล้วกัน อีกสักพักก็คงจะเริ่มชินไปเอง

พิธานเหลือบมองอริยะที่นอนอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียง ดูเหมือนจะไม่ได้มีความสนใจในความใกล้ชิดเป็นพิเศษของเขาที่นอนอยู่ข้าง ๆ จะว่าไปมันก็จริง ความใกล้ชิดไม่ใช่ครั้งแรก มันเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน เกิดขึ้นซ้ำซาก ทุกวัน ๆ จนไม่มีความแปลกใหม่อะไรไปแล้ว แต่เพราะความรู้สึกใหม่นี่เองต่างหากที่ทำให้ความใกล้ชิดซึ่งไม่เคยมีความสำคัญนี้กลับกลายเป็นสิ่งพิเศษขึ้นมา

พัดลมสามตัวที่จ่ออยู่รอบด้านส่งเสียงครืดคราดเพราะทำงานเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตคงเจียนขาดใจไปแล้วในฤดูร้อนที่เหี้ยมโหดแบบนี้ และแม้จะเปิดเบอร์แรงสุดแล้วแต่ลมที่พัดก็ไม่สามารถยื้อเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ก็ซึมขึ้นที่แผ่นหลังจนชื้นได้เลย ในความร้อนจนเกียจคร้าน พิธานค่อย ๆ เขยิบตัวเองเข้าใกล้ขึ้นอีก ใกล้จนหัวไหล่จนหัวไหล่ ต้นแขนแนบต้นแขน แม้แต่หัวเข่าก็สัมผัสกัน ลอบยิ้มน้อย ๆ กับตัวเองในตอนที่นิ้วก้อยแตะกันเบา ๆ พิธานแอบมองคนที่ใกล้เพียงปลายนิ้ว ในจังหวะหัวใจที่เต้นช้าลงทว่ารุนแรงและหนักแน่นขึ้น คนที่อยู่ในสายตาเพียงยกมือขึ้นซับหยดน้ำเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นมาที่ไรผมแล้วก็นอนอ่านการ์ตูนต่อไป

ลมหายใจที่เต็มไปด้วยความอึดอัดถูกระบายออก ตัวตนที่แสนเอื่อยเฉื่อยดูจะสงวนไว้สำหรับพิธานเท่านั้น ขณะที่อริยะผู้แสนกระตือรือร้นมีไว้สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับระรินเท่านั้น เป็นความน้อยใจเล็ก ๆ ทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มสีชมพูเมื่อใครสักคนพูดถึงระรินให้เจ้าตัวฟัง ขณะที่เขากลับถูกตีค่าแค่อากาศที่มองไม่เห็น ใกล้แค่ไหนก็มองไม่เห็น

ก่อนที่ฤดูร้อนจะแผ่อุณหภูมิลุกลาม ถึงเวลาที่ควรจะหยุดเรื่องบ้า ๆ นี้ได้แล้ว พิธานคิดมาตลอดทั้งวันแล้วว่าพอเสียที ในเมื่อพูดอ้อม ๆ กี่ครั้งก็ไม่เอะใจ เขาก็จะทำให้อริยะเข้าใจเสียที

หนึ่งยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้าขาที่ชันอยู่บนฟูกของอาร์ม เลื่อนลงช้า ๆ จนถึงขอบกางเกงบอลที่ร่นอยู่

"หืม ? มันฝรั่งเหรอ" อริยะละสายตาจากหนังสือการ์ตูน เอื้อมมือไปหยิบถุงมันฝรั่งข้างตัวแล้วส่งให้ จากนั้นก็กลับไปสนใจสิ่งที่อ่านต่อ

หนึ่งชักมือกลับแล้วเอื้อมไปหยิบถุงมันฝรั่ง มองถุงขนมในมือไปรู้สึกแปลบที่อกไป

"คิดว่าทุกวันนี้เราสองคนสนิทกันมากไปไหม ใกล้จนไม่มีพื้นที่ส่วนตัวแบบนี้ หากวันหนึ่ง สมมติว่าเราคิดจะทำอะไรอาร์มขึ้นมานี่ทำได้สบาย ๆ เลยนะ"

"ทำอะไรเหรอ"

"ลวนลาม ข่มขืน"

อริยะหัวเราะคิก ดวงตาทั้งสองข้างยังจับจ้องอยู่ที่หนังสือการ์ตูนเล่มโปรด "โห...น่ากลัวจัง"

"พูดจริงๆ นะ จากนี้ไปต้องเลิกกอด เลิกซบ เลิกมานอนใกล้ ๆ แบบนี้เสียที ห้ามนอนตักด้วยเข้าใจไหม ไม่อย่างนั้นฉันจะปล้ำนาย นี่พูดจริง ๆ"

อริยะลดหนังสือการ์ตูนในมือลงแล้วมองหน้าพิธาน ในแววตาคู่นั้นคือความจริงจังที่แสดงออกอย่างเปิดเผย

"ย้ำอีกครั้งว่าพูดจริง ๆ ถ้ายังไม่เลิกทำแบบนี้ ฉันจะปล้ำนาย"

"ก็เอาสิ"

คนที่อ่านการ์ตูนอยู่วางหนังสือลงที่พื้นแล้วยกสองมือขึ้นหนุนท้ายทอยบนหมอน อริยะสบตาพิธานอย่างตรงไปตรงมา รอยยิ้มน้อย ๆ เผยอออกเหมือนเชื้อเชิญ พริบตานั้นแววตาที่เคยเต็มไปด้วยความขี้เล่นสนุกสนานแปรเปลี่ยนเป็นความยั่วเย้าชวนหลงใหล

"อยากทำอะไรก็ทำ"

"อาร์ม..."

"เดี๋ยวเปลี่ยนใจนะ"

คล้ายกับฤดูร้อนจะร้อนขึ้นอีกสิบองศา หัวใจของพิธานเต้นแรงเหมือนจะระเบิด น้ำลายในคอก็อุ่นจนร้อนวาบ มือที่สั่นนิด ๆ ของพิธานแตะลงไปที่หน้าท้องของอริยะ ค่อย ๆ ดึงเสื้อขึ้นจนเปิดถึงหน้าอก ผิวกายที่อยู่ใต้ฝ่ามือนั้นขาวน่าจับ กล้ามเนื้อได้รูปเพราะออกกำลังกายแน่นและให้ความรู้สึกประหลาด เหงื่อที่ซึมอยู่ทั่วเรือนร่างนั้นให้ความรู้สึกชื้นที่ฝ่ามือ และทุกครั้งที่ปลายนิ้วทั้งห้าลากผ่านส่วนนูนเหล่านั้น ลมหายใจของพิธานก็ดูจะขาดห้วงจนเสียระบบ

แววตาคู่นั้นของอริยะยังคงทอดมองอย่างยั่วเย้า คำเชื้อเชิญที่อยู่ในดวงตาคู่นั้นทำเอาเขาสั่นไปทั้งตัว ขณะที่มือข้างหนึ่งค่อย ๆ ขยับขึ้นไปสัมผัสที่แผ่นอก มืออีกข้างของพิธานก็ค่อย ๆ วางลงตรงหน้าท้องที่ีเปลือยเปล่านั้น ค่อย ๆ ขยับลง ก่อนจะหยุดอยู่ที่ขอบกางเกง

"อาร์ม..."

ดวงคู่นั้นจ้องมองมาที่เขาอย่างท้าทาย มีรอยยิ้มเล็ก ๆ เหนือมุมปากยกขึ้นพร้อมกับต้นขาที่ขยับออกกว้างขึ้นเหมือนปล่อยให้อีกฝ่ายสัมผัสทุกสิ่งบนร่างกายตัวเองได้ตามต้องการ

"จะจับก็ได้นะ"

พิธานกลืนน้ำลายลงคอ...เอื้อกใหญ่ มือที่สั่นไหวค่อย ๆ แทรกเข้าไปด้านในทีละน้อย ลึกขึ้น...และลึกขึ้น อริยะยังคงอยู่นิ่ง ๆ มือทั้งสองข้างยังหนุนที่ศีรษะเหนือหมอน ไม่มีวี่แววของความเคอะเขินกระดาก ความรู้สึกทุกสิ่งเปิดเผยอย่างไม่คิดปิดบังผ่านดวงตาทั้งสองข้างที่ไม่เคยละจากพิธานแม้เสี้ยววินาที คล้ายกับความตรงไปตรงมานั้นมีแรงดึงดูดทีี่มองไม่เห็น พิธานค่อย ๆ โน้มตัวลงมาอย่างเชื่องช้าจนใบหน้าอยู่เรี่ยกับลมหายใจอุ่น ๆ ของคนที่นอนอยู่

ร่างกายร้อนระอุเหมือนสุมด้วยแสงแดดฤดูร้อน เผาไหม้กำแพงแห่งมิตรภาพจนเหลือเพียงความรู้สึกที่เปล่าเปลือยอยู่ด้านใน เม็ดเหงื่อที่อุ่นเท่าอุณหภูมิของหัวใจค่อย ๆ พร่างพราวไปทั่วร่างกายของคนทั้งคู่ ทิ้งตัวเป็นเส้นสายหลอมรวมจนแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร

"จูบได้ไหม"

"อยากจูบเหรอ"

"อืม"

"ก็เอาสิ"

อริยะดันคางของตัวเองขึ้น รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากดั่งคำเชื้อเชิญที่หอมหวาน อากาศดูจะอบอ้าวขึ้นอีก และเหมือนความร้อนทั้งหมดทั่วพื้นที่นั้นจะอัดเข้าสู่หัวใจของพิธานอย่างรวดเร็วจนแทบตั้งรับไม่ไหว พิธานค่อย ๆ กดใบหน้าของตัวเองลง รั้งระยะห่างเพียงเซนติเมตรระหว่างริมฝีปากของทั้งสองคน ปลายคางค่อย ๆ สัมผัสกัน ลมหายใจหมุนวนเหมือนจะกลายเป็นพายุฤดูร้อน พิธานทำอะไรไม่ถูก ชะงักอยู่ด้วยแรงรั้งบางอย่างที่จู่ ๆ ก็มีพละกำลังมากกว่าทุกความกระหายต้องการ

เขาไม่ใช่เพื่อนระริน ไม่มีความสนิทอะไรถึงขนาดจะต้องมาเกรงใจกัน แต่เขาทำไม่ได้ ความรักไม่ควรทำร้ายใคร สามัญสำนึกและความถูกต้องดึงตัวหนึ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ชั่วเวลาขณะนั้น ลมหายใจที่ร้อนผ่าวกลับพร่างพรูไปด้วยความรู้สึกผิด หนึ่งสะบัดหัวไปมาเรียกสติที่ขลาดเขลาให้ออกมายืนอยู่บนพื้นที่ที่มันควรจะเป็นระหว่างคำว่า "เพื่อน"

"บ้าเปล่า" พิธานพ่นลมหายใจฟึดฟัด "กลับบ้านก่อนนะ"

"อ้าว แล้วไม่กินข้าวเย็นด้วยกันเหรอ"

ประตูปิดลงดังปังพร้อมกับเสียงวิ่งที่ค่อย ๆ แผ่วลงไป อริยะขยุ้มหัวตัวเองพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากพลางไหวหัวไปมา

"โธ่...ก็นึกว่าจะแน่จริง"

เจ้าของห้องเอื้อมลงไปหยิบหนังสือการ์ตูนที่วางทิ้งไว้มาอ่านต่อ แต่ยังไม่ทันพลิกไปถึงหน้าที่อ่านค้าง สองมือก็ปิดมันลงแล้วยกขึ้นกุมบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนไปบนร่างกายตัวเอง อริยะถอนหายใจแล้วพูดกับความร้อนวาบที่ยังลอยวนอยู่ในอากาศเหมือนจะไม่ยอมจากไปพร้อมกับพิธาน

"แย่แฮะ แข็งเลย"







เสียงหมาเห่าปลุกอานนท์ให้ตื่นขึ้นด้วยอาการสะลึมสะลือ ชายหนุ่มขยี้ตาสองสามครั้งก็ตื่นเต็มที่ด้วยเสียงร้องโอ๊ยที่ดังลั่นไปทั้งซอย อานนท์ลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูออกไปชะโงกหน้าจากระเบียง ภาพที่เห็นคือผู้ชายตัวสูงใหญ่กำลังวิ่งหนีเข้ามาในหอ ดูอย่างไรนั่นก็คือพี่สิงห์

เสียงลงส้นเท้าดังขึ้นพร้อมอาการหอบเหนื่อยของคนที่ปรากฏตัวขึ้นที่บันได ผมหยักศกของพี่สิงห์ชื้นไปด้วยเหงื่อจนเปียก ทันทีที่เห็นเขา พี่สิงห์ก็ถามเสียงเข้มทันที "พอจะรู้ไหมว่าใครที่เป็นคนเลี้ยงหมาพวกนี้ ทำไมถึงไม่ดูแลให้ดี ปล่อยออกมากัดชาวบ้านแบบนี้ได้ยังไง"

อานนท์กะพริบตาปริบ ๆ ไม่กล้าตอบว่าหมาจรจัดพวกนี้ถูกเลี้ยงดูด้วยลูกหอนี้ซะมาก และหนึ่งในนั้นก็คืออานนท์นั่นเอง

พี่สิงห์เดินกะเผลกมาที่หน้าห้อง สะบัดมือที่ถือถุงอาหารจากร้านสะดวกซื้อ "สรุปว่ารู้ไหม"

"มันเป็นหมาไม่มีเจ้าของครับ" อานนท์หลบสายตา ตอบกลับอย่างไม่เต็มเสียง "เอ่อ...แต่ปกติมันไม่ดุนะครับพี่สิงห์ ค่อนข้างน่ารักทีเดียว เจ้าของหอถึงขนาดทำวัคซีนครบทุกอย่าง มันช่วยเฝ้าบ้านแถวนี้ หอเราก็ด้วย เวลาเห็นคนที่ไม่น่าใจมันถึงจะเห่าครับ"

เหมือนอุณหภูมิรอบ ๆ ตัวจะร้อนขึ้นอีกสิบองศา เพชรกล้ากดลมหายใจตัวเองอย่างเหลืออด "หมายความว่าฉันหน้าตาไม่น่าไว้ใจ ?"

"ปะ..ปะ...เปล่าครับ" อานนท์ถึงกับพูดติดอ่าง รีบยกมือโบกหย็อย ๆ ปฏิเสธพัลวัน

เพชรกล้าไม่คิดจะต่อความ ร่างสูงหมุนลูกบิดเปิดประตูแต่แผลจากที่โดนงับเมื่อครู่ทำให้จับลูกบิดได้ไม่ถนัด

อานนท์ที่เพิ่งสังเกตเห็นจึงถามด้วยความตกใจ "พี่สิงห์โดนกัดที่มือเหรอครับ"

ถามจบก็เห็นอีกฝ่ายหันกลับมามองหน้าไม่พูดอะไร เพชรกล้าดันตัวเองผ่านประตูห้องแต่ก็ทำได้ไม่ถนัด แต่แล้วก็เป็นอานนท์ที่เดินเข้ามาช่วยดันประตูห้องให้ "ผมช่วยทำแผลให้นะครับ"

ในความมัวซัวที่มีแสงไฟจากเสาไฟฟ้าส่องให้พอเห็นเพียงเลือนราง วูบหนึ่งในแววตาอันดุดันตลอดเวลาคู่นั้น อานนท์มองเห็นประกายอุ่น ๆ ในวงกลมสีดำตรงหน้าคู่นั้น เพชรกล้าเบี่ยงตัวพิงขอบประตู เสียงที่คุ้นหูแม้ยังแฝงด้วยความกร้าว กระนั้นในความทุ้มก็มีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เหมือนกับทุกที

"ไม่มียาหรอก" เพชรกล้าพูด

อานนท์ยิ้มให้กับคนตัวสูงที่ยืนเก้อ ผู้ชายตัวโตที่ทำเรื่องยาก ๆ ได้ตั้งหลายอย่าง กลับมาตกม้าตายกับเรื่องพวกนี้นั่นหรือ อานนท์หายกลับไปเข้าไปในห้องของตัวเอง หยิบสำลี แอลกอฮอล์ล้างแผล ทิงเจอร์ไอโอดีน พลาสเตอร์ติดมือไปอีกสองสามชิ้น แล้วครุ่นคิดว่ายังขาดอะไรไปอีก

เพชรกล้าวางถุงอาหารบนโต๊ะแล้วถอดเสื้อยืดวางพาดไว้กับเก้าอี้ เขาสะบัดมือสองสามครั้ง มองดูแผลเล็ก ๆ ที่เกิดจากรอยงับของหมาสีขาวที่อ้วนจ้ำม้ำเหมือนหมู ถ้าไม่ใช่เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินจนเดินเหยียบหางมันเข้าให้คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ เพชรกล้าเงยหน้าขึ้นมาจากแผลที่นิ้วและข้อมือเมื่ออานนท์ก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่ดูจะเยอะเกินความจำเป็น

อีกครั้งที่อานนท์มองภาพที่เห็นตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ความเงียบค่อย ๆ สร้างอุณหภูมิและบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจากทุกครั้ง อานนท์นั่งลงบนเก้าอี้ ห่างจากพี่สิงห์ไปหลายเมตรแล้วก็อยู่เฉย ๆ อย่างนั้นเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองมาเพื่อทำอะไร เพชรกล้าก็ไม่ต่างกัน เขานั่งนิ่ง จู่ ๆ ก็หมดคำพูดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ หน้าอกของคนสองคนขยับขยายตามจังหวะหายใจ กระทั่งชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เป็นฝ่ายเริ่มขยับตัว

"เป็นอะไร" อานนท์ไม่ได้ตอบ ร่างสูงใหญ่จึงลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินมาหยุดยืนตรงหน้าคนที่เอาแต่นั่งเงียบ "ตกลงว่าจะทำแผลไหม"

อานนท์สะดุ้ง ลนลานจนสำลีหล่นบนพื้น เสียงถอนใจอย่างเบื่อหน่ายดังขึ้นที่ด้านบน อานนท์ถึงได้เลิกวุ่นวายเกินความจำเป็นแล้วหยิบขวดแอลกอออล์ขึ้นมาเปิด

สัมผัสแรกเมื่อสำลีชุ่มแอลกอฮอล์แตะลงบนผิว เพชรกล้าก็ยู่หน้า แล้วก็ต้องสะดุ้งจนเผลอดึงมือกลับตอนที่สัมผัสกับทิงเจอร์ไอโอดีน

"แสบ" เพชรกล้าคำรามในลำคอ

อานนท์นึกขำนิด ๆ อยู่ในใจ ตัวก็โตแสนโตดันแพ้ยาทาแผลเสียได้ มือที่บางกว่าค่อย ๆ ซับสำลีกับแผลที่ข้อมือและนิ้วช้าลงจนกระทั่งแปะพลาสเตอร์ให้เรียบร้อย ดูเพชรกล้าจะอ้ำอึ้งไปนิดหน่อยด้วยรู้ว่าเสียมาดหัวหน้าช่างจอมโหดไปเสียแล้ว

"บางทีพวกมันคงแปลกหน้าฉันจริง ๆ เพิ่งย้ายมาใหม่ จะว่าไปก็ไม่แปลกสินะที่พวกมันจะไม่คุ้น" เพชรกล้าวางฟอร์มให้ดูเข้ม "ไม่ได้เพราะเผลอไปทำอะไรที่ทำให้มันไม่ชอบหรอก"

อานนท์พยักหน้า ลึก ๆ แล้วโล่งใจที่ลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กยังไม่น่าจะถึงฆาตเร็ว ๆ นี้

"เอาเถอะ ยังไงฉันก็ไม่ได้มาอยู่ที่นี่นานนักหรอก แค่ชั่วคราวเฉย ๆ ระหว่างที่รอซ่อมบ้านให้เสร็จก็เท่านั้น หลังสงกรานต์ก็น่าจะย้ายออกแล้ว"

ถึงว่า ห้องของพี่สิงห์ถึงดูโล่งนัก เป็นเพราะไม่ได้ตั้งใจจะอยู่นานแบบอานนท์นี่เอง

"ขอบคุณ" เพชรกล้าพูดขึ้นหลังจากทำแผลเสร็จ

อานนท์ยิ้ม เก็บข้าวของต่าง ๆ แล้วตั้งท่าเดินกลับห้อง แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายบางอย่างก็ทำให้เขาแปลกใจ

"อานนท์...กินข้าวเย็นหรือยัง ?" เพชรกล้าถามขึ้นทั้งที่สายตามองไปอีกด้าน อานนท์ลังเลว่าควรจะตอบอย่างไรดี ยังไม่ทันได้พูดอะไร เจ้าของห้องตัวโตก็ถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจากทุกที "กินด้วยกันไหม ?"

เป็นคำถามสั้น ๆ ที่ทำให้คืนฤดูร้อนเหมือนตกอยู่ในความฝันที่ไม่อยากลืมตา







ผ่านไปอีกตอน ถึงตรงนี้ก็ประมาณครึ่งเรื่องแล้วครับ จะพยายามรีบมาต่อไวๆ
เป็นไปได้จะให้จบภายในเดือนนี้ให้ตงได้ ซึ่งก็ไม่รู้จะไหวไหม 55555555
ขอบคุณทุก ๆ คนที่ยังติดตามอ่านกันครับ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าเน้อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-06-2014 01:42:49 โดย Lucea »

ออฟไลน์ schneesturm_fubuki

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
กรี๊ดดดดดดดดดด   ปืน นภ มาแล้วววววววว :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ลุ้นทุกคู่ โดยเฉพาะหนึ่ง อาร์ม แต่ขอสารภาพตามตรงว่าจำตอนเก่าๆไม่ค่อยได้ สงสัยต้องย้อนกลับไปอ่านตอนแรกๆใหม่

แอบงงเล็กน้อย  อิอิ


ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ปืนจะไล่ต้อนนภทำไม รู้แล้วจะทำให้อะไร ๆ เปลี่ยนไปหรือเปล่า
น้องนนท์กับพี่สิงห์ญาติดีกันแล้วเหวย
อาร์มยังจะเล่น ๆ อย่างนี้ไปอีกนานไหม ขอให้หนึ่งเปลี่ยนใจทีเถ๊อะ
ตรียังน่าหมั่นไส้คงเดิม คนอะไรนึกว่าตัวเองเป็นเทวดาหรือไง
รุ่นเล็กน่ารักจังเลยชาฮิดกับธีม นี่มันน้องชายตัวร้ายกับพี่ชายใจดีนี่นา

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
ชอบคู่พิธานกับอริยะเป็นพิเศษแฮะ  :hao7:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lovekimkina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ปืนนภ โฮกกกกกกกกกกกกก ชอบคู่นี้  :o8: เป็นอะไรที่แบบ ฟหกดดวสง ฮ่าๆๆ
น้องธีม น่าหยิกจริงๆ ต้องให้พี่ชาฮิดกำหราบ อิอิ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
อยากจะรู้ว่าตรีจะทำอะไรได้มากกว่านี้มั้ยยย
คือนางดูร้ายแบบไม่ควรจะจบแค่นี้น่ะ 5555
แต่ลุ้นคู่อามหนึ่งมาก นี่นึกว่าจะโดนสำเร็จโทษคู่แรก โถ... ดันหนีกลับก่อนซะได้ แม่ยกเสียใจ นี่บอกเลยย

ออฟไลน์ bew_yunjae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ขอมาเม้นรวดเดียวน่ะค่ะ อ่านตั้งแต่เช้า น่ารักมากๆๆๆเลยค่ะ
-คู่อาร์ม-หนึ่ง อาร์มแกล้งหนึ่งอ่า มีใจให้ก็ไม่บอก บ้าจริงๆๆๆๆ
ทะลึ่งด้วยอ่า หนึ่งหนีกลับบ้านเลย ทำไงล่ะทีนี้
-คู่เพชร-อานนท์ คู่นี้ฮาร์ดคอร์ จริงๆพี่ชาย อานนท์จะช้ำหมดมั้ยนี่
-คู่นัท-ตรี อยากให้นัทฮาร์ดคอร์ตรีเยอะ หึหึ มันช่างน่าหมั่นใส้จริงๆ เคะคนนี้ มาส่งส่งตาหวานเยิ้มใส่ให้น้องภัทรเชอะ!!!
-คู่ปรมะ-นภ อยากจะกรี๊ด ตอนอ่านสเป คะน้าแอบหมั่นใส้นภ แต่ตอนนี้เชียร์นภกับปรมะ เขินเลยอ่า
-คู่ชาฮิด-ภีม มันคริๆ ครุๆ มากๆอ่ะ ชาฮิดได้จิ้มก้มภีมแล้วรับผิดชอบเล้ยย
ครบยังน้าา น่าจะครบแล้วมั้ง??
เชียร์ทุกคู่เลยค่ะ
แอบกลัวคู่อาร์มดราม่า สงสารน้องอาร์มมิชัดเจน >^<

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
ปืนอบอุ่นจัง อ่านคู่นี้แล้วเหมือนจิบโกโก้อุ่นๆตอนอากาศเย็นๆ คิดถึงความทรงจำที่ดีๆที่ผ่านมาเลย ชอบมากก55 o13

คู่นี้ผีสิงจริงๆ พี่สิงห์โหดมาก อานนท์อดทนได้สุดยอด!!
เอ๊ะ!แต่พออ่านอีกตอนรู้สึกว่า พี่สิงห์ชักจะยังไงๆอยู่นาาาา
ขำชื่อหมามากๆ คิดได้ไงลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่ก 5555

คู่ชาฮิด-ภีมชวนจิ้นมากจริงๆ :o8:

ตรีนี่สุดๆละ ดนัยสู้ๆน้าา

คู่อาร์ม-หนึ่ง ทำให้ตกใจจริงจัง คิดว่าจะ......กันซะแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นเสียเพื่อนแหงๆ เห้อกลุ้มแทน :serius2:

รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ ขอบคุณมากๆ ที่ยังติดตามอ่านกันนะครับ จะพยายามมาอัพให้ไวๆ นะครับ




ตอนที่ ๗



ที่โรงพยาบาล ฮานส์นอนซมอยู่บนเตียงสีขาวสะอาดที่ดูจะสบายน้อยกว่าหลายคืนที่ผ่านมาเพียงเล็กน้อย แต่สุขภาพนั้นถือว่าดีกว่าที่ผ่านมามากนัก ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลมาจากความที่อยากสัมผัสถึงแก่นแท้ของความเป็นไทยแบบต้นตำรับ เมื่อวานตอนบ่ายหลังจากพอได้สติขึ้นมาเล็กน้อย เขาก็หอบร่างอันอ่อนแรงออกมาพร้อมกับอาการหิวโซ ผ่านร้านอาหารข้างถนนที่มีคนนั่งกินอยู่เต็มเกือบทุกโต๊ะ ฮานส์ไม่รู้จักว่ามันคือร้านอะไร แต่เหมือนกลิ่นไก่ย่างที่หอมฉุยกำลังกวักมือเรียกพร้อมกับคำโฆษณาชวนเชื่อว่า "ลองดูสิ อร่อยนะ" ลังเลชั่วครู่ ในที่สุดฮานส์ก็ตัดสินใจนั่งลง สั่งไก่ย่างและอาหารแบบคนก่อนหน้าทุกอย่าง ย้ำว่ารสชาติแบบคนไทยแท้ ๆ ไม่ใช่แบบฝรั่งกิน...ซึ่งผลก็เป็นอย่างนี้

มันคืออาหารในตำนานที่ฮานส์ได้ยินชื่อมานานแสนนาน "ส้มตำ" ที่คลุกด้วยปูตัวดำรสชาติเค็ม ๆ และบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับแองโชวีแต่ให้รสและกลิ่นที่แรงกว่ามาก (หมอที่ช่วยดูแลอาการอาหารเป็นพิษบอกว่ามันคืออาหารพื้นบ้านของไทยที่เรียกว่าปลาร้า) สรุปแล้วฮานส์จึงต้องนอนโรงพยาบาลโดยมีสายน้ำเกลือติดอยู่ที่แขนไปอีกหนึ่งคืนเพราะอ่อนเพลียจากการเดินทาง อากาศที่ร้อนจัด แล้วยังป่วยซ้ำด้วยอาหารเป็นพิษอีก

"ต้องร่วมสงกรานต์ให้ได้" หนุ่มตาสีท้องฟ้าพูดกับนภด้วยภาษาไทยที่ไม่ค่อยแข็งแรง

"พักก่อนเถอะ จะได้หายไว ๆ แล้วช่วงนี้ก็อย่าไปกินอะไรรสเข้มอีก" รสเข้มก็คือรสจัดจ้านในภาษาไทย นภจงใจแปลสำนวนพูดบางอย่างจากภาษาเยอรมันที่ฮานส์คุ้นเคยกว่าเพื่อที่คนไม่คล่องภาษาจะได้ไม่งง

เห็นฮานส์ตอบตกลงรับปาก นภก็เดินมาถามอาการโดยรวมกับหมอเจ้าของไข้ที่ด้านนอกอีกครั้ง แต่เมื่อไม่มีอะไรมากกว่าอาการอ่อนเพลียก็รู้สึกเบาใจ

กรุงเทพร้อนจนน่าตกใจ และเหมือนจะร้อนขึ้นในทุก ๆ ปี หน้าหนาวกินระยะเวลาสั้น ๆ อาจเพียงแค่สัปดาห์เศษ และส่วนที่รู้สึกเย็นให้พอระคายผิวได้บ้างอาจจะมีแค่เพียงสองสามวันในหนึ่งปีเท่านั้น เป็นแบบนี้จนคนไทยดูจะชินกับอากาศร้อนไปแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีปีไหนที่ร้อนจัดเท่ากับปีนี้ ร้อนขนาดที่ก้าวพ้นจากโรงพยาบาลออกมาได้แค่สองสามเก้า เนื้อตัวก็ชื้นและเหนียวเหนอะไปด้วยเหงื่อเสียแล้ว แล้วประสาอะไรกับคนแปลกถิ่นแบบเขา

หลายปีที่อยู่ต่างประเทศ นภได้เห็นข่าวเกี่ยวกับกรุงเทพมากมาย ทั้งข่าวการประท้วงทางการเมืองที่กินระยะเวลานาน ข่าวสาวประเภทสองที่ขึ้นประกวดร้องเพลงรายการลิขสิทธิ์จากต่างประเทศจนถูกนำไปออกรายการทีวีหลายประเทศ หรือแม้แต่ข่าวน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบทั้งประเทศเมื่อหลายปีที่ผ่านมา แต่เมื่อได้กลับมายืนที่นี่อีกครั้ง นภถึงได้รู้ว่าตัวหนังสือที่อยู่ในข่าวตามอินเตอร์เน็ตเทียบไม่ได้เลยกับความเป็นจริงของกรุงเทพที่ได้มาเห็นด้วยตา

ข้อความทางไลน์จาก Falling in Love with The Sky...as Always ดังขึ้นพร้อมกับรูปสติ๊กเกอร์ที่เป็นตัวการ์ตูนอมยิ้ม และตัวหนังสือทักทายภาษาไทย

"ตื่นยัง"

นภยิ้มให้กับหน้าจอแล้วค่อย ๆ พิมพ์ภาษาที่ไม่ได้ใช้มานานหลายปีกลับไป

"ตื่นแล้ว สวัสดีครับ"

ข้อความ Read ปรากฏขึ้นที่หน้าจอ สักพักก็มีข้อความตอบกลับมา

"หวัดดี วันนี้อยากไปไหน"

นภอ่านข้อความขณะที่กำลังเดินลงไปสู่ความวุ่นวายที่เดี๋ยวนี้ลามลงไปสู่ใต้พื้นดินของกรุงเทพ เขายืนมองป้ายสถานีต่าง ๆ ที่ไม่คุ้นนัก กรุงเทพทันสมัยขึ้น ร้อนมากขึ้น เต็มไปด้วยบรรยากาศของการแข่งขันเช่นเดียวกับเมืองหลวงของประเทศใหญ่ ๆ เข้าไปทุกที นภหลีกทางให้กับนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่กำลังช่วยคุณยายท่านหนึ่งหยอดเงินค่าโดยสารใส่ตู้กดบัตร มองดูอัธยาศัยท่าทีที่แม้แต่ตัวเองก็ลืมไปแล้ว

ริมฝีปากของคนที่จากกรุงเทพไปนานนั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม นภตัดสินใจพิมพ์ข้อความบางอย่างตอบกลับไป อะไร ๆ ที่นี่อาจเปลี่ยนไปมากแต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่างหรอก

คนกรุงเทพยังน่ารักเหมือนเดิม







"อากาศยังคงร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่าลืมดูแลสุขภาพกันนะครับ ขอบคุณคุณหมอภัทรพลมากครับที่วันนี้ได้มาให้ความรู้กับพวกเรา พบกับสิ่งที่น่าสนใจ แล้วกลับมาพบกับช่วงสุดท้ายของรายการเช้านี้ที่ประเทศไทย สักครู่ครับ"

ชาฮิดละสายตาลงจากหน้าจอโทรทัศน์แล้วเช็ดโต๊ะต่อ อมริตาที่เห็นยิ้มแป้น ๆ ของลูกชายก็อดไม่ได้ที่จะแซว "คนนี้ที่วันก่อนลูกไปเสิร์ฟอาหารให้ใช่ไหมนะ"

"ใช่ครับ พี่เขานั่งที่โต๊ะตัวนี้แหละ" ทั้งที่แก้มบวมตุ่ย เด็กน้อยก็ยังตอบหน้าบาน ถ่ายรูปคู่กันไปทีเดียว ดูเหมือนว่าจะปลื้มพิธีกรรูปหล่อคนนี้นักหนา ดูยิ้มเข้า ยิ้มแบบนั้นไม่เจ็บแก้มเขียว ๆ บ้างหรือไรกัน

คนพี่ปลื้มผู้ใหญ่ ส่วนคนน้องดูจะปลื้มเด็กด้วยกันเสียให้แล้ว อมริตามองไปที่ลูกสาวคนเล็ก มีรากำลังนั่งจ้องธีมคล้ายกับหน้าของเด็กน้อยในตอนที่หลับมีสูตรคูณเขียนอยู่บนนั้น

"มีรา...มานี่เถอะลูก พี่ธีมกำลังนอน" เด็กหญิงตัวเล็กม้วนหน้าแดงแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นมาหาแม่อย่างว่าง่าย "มาช่วยแม่ล้างผักในครัวเถอะ อย่าไปกวนพี่เขากับน้าน้ำรู้ไหม"

อมริตาพามีราเดินเข้าไปด้านหลัง ในส่วนที่เป็นหน้าร้านจึงเหลือเพียงแค่ชาฮิดกับธีมที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาหนังสีเชอร์รี่ เก้าโมงแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มเตรียมร้านสำหรับขายอาหารมื้อเที่ยง เป็นเพราะเรื่องเมื่อวานที่ทำให้เด็กน้อยแก้มบวมตุ่ย หมัดของธีมไม่ได้เจ็บอะไรนักสำหนับชาฮิด แต่มันก็ทำให้เป็นวงช้ำจนเขียวไม่น่ามอง น้าน้ำเลยสั่งให้หน้าที่ยกของเล็ก ๆ น้อย ๆ เสิร์ฟในวันนี้เป็นของธีมที่เอาแต่หลับปุ๋ยตั้งแต่ตอนที่มาถึง

ธีมตื่นขึ้นอีกครั้งช่วงเวลาก่อนร้านเปิดไม่นาน เสียงจอแจที่ฟังไม่รู้เรื่องของคนทั้งร้านทำให้เด็กตัวน้อยลุกขึ้นมานั่งด้วยความงัวเงีย พอจับต้นชนปลายได้ก็รู้ว่าทุกคนกำลังสนอกสนใจอยู่กับวงเล็ก ๆ บนแก้มของชาฮิดที่เปลี่ยนเป็นจ้ำสีเขียว และทันทีที่คนที่ถูกล้อตัวหันกลับมาเห็นก็รีบเดินมาหาเด็กหน้ามุ่ยที่เพิ่งตื่นนอนทันที

"ตื่นแล้วเหรอ พอดีเลยร้านใกล้เปิดแล้ว ไปหาแม่พี่กัน"

ธีมพยักหน้าตอบแล้วลุกขึ้นเดินไปกับชาฮิด "ฉันน่ะ จะไม่ชกต่อยกับใครอีกแล้ว"

ชาฮิดหันกลับมามอง ส่งยิ้มให้คนตัวเล็กกว่า

"แล้วก็...เมื่อวานขอโทษนะ" ธีมมองไปตรงไปข้างหน้าระหว่างที่เดิน เด็กน้อยยืดอกขึ้น ดันตัวให้สูงเทียบเท่ากับชาฮิด แต่ดูเหมือนว่าจะยังน้อยไป ธีมจึงเขย่งเท้าขึ้นอีกนิดแล้วเอื้อมสุดมือขึ้นโอบบ่าคนข้าง ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "เพื่อเป็นการไถ่โทษ นับจากนี้ไป ฉันจะปกป้องนายเอง ถือว่าชดเชยให้ วางใจได้ ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรนายได้"

ชาฮิดสะดุ้งแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มขอบคุณยกมือ แล้วยกมือขึ้นโอบเหนือก้นของธีม

"คำพูดแบบนั้นเขาไว้พูดกับผู้หญิงที่เราอยากปกป้องดูแลนะ"

ธีมชะงักอึ้ง หน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที พอตั้งสติได้ก็ออกฤทธิ์เดชอีกครั้ง เสียงดังผลั่ก ๆ กระหึ่มไปตลอดทาง ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งบอกเองว่าจะปกป้องอยู่แท้ ๆ

"โอ๊ย ! เตะทำไมเนี่ย พี่เจ็บ"

"แล้วจะทำไม เงียบไปเลย !"

ธีมหยุดแผลงฤทธิ์ก็เมื่อเดินเข้ามาในพื้นที่ห้องครัว แม่ของชาฮิดยืนอยู่ในครัวกับน้องสาวที่ชื่อมีราอยู่ในนั้น ทันทีที่เห็นลูกชาย อมริตาก็วานให้ชาฮิดถุงผลไม้ไปให้ปรายฟ้าที่เครื่องทำไอศกรีมที่อยู่ส่วนหน้าของร้าน ผลไม้เหล่านี้เป็นเครื่องท้อปปิงของไอศกรีมนั่นเอง พอเห็นชาฮิดตั้งท่าจะยกของ ธีมเดินรีบเดินเข้ามาแย่งไปถือจนเกือบหมด เหลือทิ้งไว้แค่ถุงมะม่วงสุกสองผลไว้ให้กับชาฮิดแล้วเดินพะรุงพะรังนำหน้าไปหาปรายฟ้าจนอมริตาหรือแม้แต่ชาฮิดเองต่างก็มองด้วยความแปลกใจ

"ไม่หนักเหรอ แบกเยอะขนาดนั้น" ชาฮิดถามระหว่างที่ทั้งคู่เดินมาหน้าร้าน

รวงแก้มของธีมเหมือนถูกแต้มด้วยพู่กันสีชมพููขึ้นมาในพริบตา "แค่นี้่เอง สบายมาก ก็บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวดูแลเอง"

ชาฮิดมองธีมที่ตัวเล็กกว่า อายุก็น้อยกว่าแต่ก็แข็งแรงไม่แพ้กับตัวเอง ที่ผ่านมาชาฮิดคงห่วงธีมมากไปสินะ "นี่...ธีมเป็นอะไรน่ะ แก้มโดนอะไรมาเหรอ"

"ก็บอกว่าให้เงียบไปไง !"

เห็นธีมหน้ามุ่ย ชาฮิดก็เลยไม่เซ้าซี้อะไรอีก พอส่งของให้แม่เสร็จแล้ว ธีมก็จูงมิือชาฮิดเดินมานั่งที่โซฟาซึ่งเมื่อครู่นอนหลับไปหลายชั่วโมง ดูเหมือนหลังจากความง่วงงุนได้สร่างไปแล้ว อาการปวดตุบก็กลับมาวูบวาบที่ก้นอีกครั้ง เรื่องแค่นี้เอง แม่จะตีอะไรนักหนานะ เด็กน้อยบ่นพึมพำกับตัวเอง

"ยังเจ็บอยู่ไหม ให้พี่ทายาให้นะ"

หน้าของธีมแดงจัดเป็นสีของมะเขือเทศก่อนที่เจ้าตัวจะแหกปากโวยวายเสียงดัง "ไม่ต้อง"

"ให้พี่ทาเถอะ จะได้หายไว ๆ ไง เดี๋ยวพี่พาไปกินขนม"

พอได้ยินคำว่าขนม หูของเด็กดื้อก็ผึ่งขึ้นทันที "ก็ได้"

จอมเกเรฟุบลงบนตักของชาฮิด ก่อนที่เจ้าของตักจะดึงกางเกงเปิดแก้มก้นที่ช้ำเป็นรอยนิ้วขึ้นมาทายา ธีมสะดุ้งเล็กน้อยในตอนที่ขี้ผึ้งถูกแตะลงบนก้นแต่ก็กัดฟันทำเป็นเข้มแข็งไม่รู้สึกอะไร จนปรายฟ้าที่ยืนมองดูทุกอย่างแต่แรกเห็นเข้าก็อดหมั่นไส้ลูกชายตัวเองขึ้นมาไม่ได้

"แหม...ธีมแอบชอบชาฮิดล่ะสิ"

"แม่พูดอะไรเนี่ย" ธีมสะดุ้ง หันกลับไปมองก็เห็นแม่ยืนกอดอกอยู่ใกล้ ๆ "แล้วมาแอบดูก้นคนอื่นเขาทำไม !"

"ดูแล้วจะทำไม" ปรายฟ้าดีดปลายนิ้วลงบนก้นของลูกชายตัวเองดังผลั่วะ ธีมสะดุ้ง รีบลุกขึ้นมาสวมกางเกงทันที หญิงสาวหัวเราะสนุกแล้วหลิ่วตามองเด็กตัวน้อยกลับอย่างไม่ละสายตา "แอบหลงรักพี่เขาแล้วใช่ม้าาา..."

ธีมหยุดอาการโวยวายทันควัน จอมดื้อกลับมาเป็นเด็กเรียบร้อยในพริบตา

"แต่ผมเป็นผู้ชายนะครับน้าน้ำ" ชาฮิดถามแบบงง ๆ

ไม่ต้องรอให้น้าน้ำตอบ คนที่นั่งอยู่ข้างตัวก็กระตุกข้อมือของชาฮิดแล้วสวนขึ้นทันที "แล้วไง ? ถ้าชอบแล้วมันผิดหรือไง ?"

"ผิด !"

ไม่ใช่เสียงของชาฮิด แต่เป็นเสียงเล็ก ๆ ของมีราผู้เป็นน้องสาวที่ยื่นหัวโผล่ออกมาจากด้านหลังของเคาน์เตอร์

"อะไรของเธอ" ธีมถามงงงวย

"ก็มีราชอบพี่ธีมนี่"

"อะไรนะ !" ธีมตะโกนเสียงดังไปทั้งร้าน ก่อนจะรีบหันกลับมามองหน้าชาฮิดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รีบปฏิเสธพัลวัน "ไม่ใช่นะชาฮิด ฉันไม่ได้ชอบมีรานะ โอ๊ย...แล้วนี่เธอจะร้องไห้ทำไมเนี่ย หยุดนะ !"

"มีราไม่เป็นไรนะ อย่าร้องไห้" ชาฮิดรีบลุกขึ้นไปปลอบน้องสาวตัวเอง

ธีมที่เห็นชาฮิดลุกหนีก็รีบวิ่งตาม สุดท้ายก็ต่อแถวกันเป็นพรวน มีราเป็นหัวแถว ตามมาด้วยชาฮิด แล้วปิดท้ายด้วยธีม วิ่งวนไปมาเหมือนเล่นงูกินหางอยู่แบบนั้น ปรายฟ้าที่ยืนอยู่ตรงกลางวงกลมของเด็กสามคนมองซ้ายทีขวาที เธอค่อย ๆ ยกมือทาบอกก่อนจะถอนหายใจเหนื่อย

"ลูกชายฉันก่อเรื่องอีกแล้ว"

เสียงเด็กร้องไห้ กับเสียงที่พยายามตะโกนให้ดังกว่าเพื่อปลอบ และเสียงที่ตะโกนให้ดังที่สุดเพื่อเรียกให้คนที่ตะโกนอยู่หันมามอง ทั้งหมดผสานเป็นบทเพลงแห่งความอลหม่านชวนหัวที่ทำให้ฤดูร้อนซึ่งร้อนจัดน่าหงุดหงิดกว่าทุกปีที่ผ่านมา







อริยะวางสายจากระรินด้วยรอยยิ้มขี้เกียจก่อนจะกดรีโมตเปิดเสียงรายการเกมโชว์ที่รีรันตามช่องดาวเทียม มือกว้างหยิบแก้วสเลอปี้ที่วางทิ้งไปหลายวันแล้วเลื่อนไปบนโต๊ะ หยิบแผนที่เส้นทางในการขี่ทริปจักรยานไม่กี่วันข้างหน้าขึ้นมากาง ประตูห้องเปิดขึ้น อริยะหันกลับมามองก็เห็นความเร็วระดับเสียงพุ่งทะยานเข้ามา

"ฮึ่ยย่า !!!"

หน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มหันไปพร้อมกับแรงกระแทกรุนแรงที่ีฟาดเข้าตรงก้านคอจนคะมำตกเก้าอี้ลงไปนอนตาค้างอยู่บนพื้น แว่นกระจายไปอีกด้านของห้อง

"ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าตื่นแล้วให้ปิดแอร์ ไม่ใช่เปิดแช่ไปทั้งวัน !"

"เจ็บ" อริยะน้ำตาซึมขณะมองร่างมัว ๆ ของพี่สาวจอมโหดที่ยืนเท้าสะเอวแล้วเอาเท้าเหยียบก้นเขาไว้ "ถึงกับต้องเตะก้านคอกันเลยเหรอ"

"รู้ไหมว่าค่าไฟเดือนหนึ่งมันกี่บาท ถ้าว่างมากก็หัดเก็บห้อง เอาเสื้อผ้า กางเกงในไปซักบ้างสิยะ ! แล้วนี่น่ะมันอะไร !" แก้วสเลอปี้ลอยล่องมากระแทกหัวให้อีกโป๊กให้ช้ำใจ

อารดาเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของอาร์ม ใคร ๆ ก็ชมว่าพี่อายส์เป็นคนสวย น่ารัก เรียนเก่ง ลุคคุณหนู แถมยังเป็นเชียร์ลีดเดอร์ระดับมหาวิทยาลัย แต่นั่นมันแค่ภาพมายาชัด ๆ ตัวตนที่แท้จริงของพี่สาวเขานั้นช่างแตกต่างจากภาพที่คนอื่นจินตนาการไว้เหลือเกิน ถึงลักษณะภายนอกจะเป็นอย่างนั้น แต่การบ้านการเรือนกลับทำไม่เป็นสักอย่าง ดูมวยปล้ำ ชอบสัตว์แปลก ๆ อย่างสลามันเดอร์ รักหนังฆาตกรรมสยองขวัญ และสะสมตุ๊กตาน่ากลัวเป็นงานอดิเรก ช่างถือเป็นตราบาปสำหรับผู้หญิงทั้งคณะอักษรฯ เสียจริง อาร์มอยากบอกทั้งโลกเหลือเกินว่าพี่สาวไม่ใช่นางฟ้ามาเกิดอย่างเพื่อน ๆ หรือรุ่นพี่คณะเขาเข้าใจแม้แต่น้อย

"เดี๋ยวพี่จะไปต่อยมวย นัดเทรนเนอร์ไว้แล้ว ดูช่างมาล้างแอร์ด้วยนะ แล้วเลิกนอนกลิ้งไปวัน ๆ ลุกขึ้นทำอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง เดี๋ยวสมองก็ฝ่อหมดหรอก" สั่งเสร็จ อารดาก็วางคูปองทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศฟรีบนโต๊ะของน้องชายแล้วเดินผิวปากออกไปจากห้องอย่างมีความสุข

อาร์มลุกขึ้นมานั่งเกาหัวแกรก ๆ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่เขาเกลียดหน้าร้อนเหลือเกิน นอกจากจะร้อนจัดแล้วยังต้องมาเจอหน้าพี่อายส์ที่แสนเหี้ยมโหดเกือบทุกวัน นิ้วทั้งห้าควานแว่นสายตาขึ้นมาแล้วสวมก่อนจะลุกขึ้นมานั่งดูทีวีต่อ

ครึ่งชั่วโมงต่อมาเสียงกริ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตู เจ้าของบ้านเดินลงมาจากชั้นบนแล้วเปิดประตูออก พอเห็นว่าเป็นใคร อริยะก็ยิ้มทักทาย

"ไง" พิธานทักแล้วชูถุงในมือขึ้น "ซื้อสเลอปี้มาฝากด้วย"

"โห...กำลังอยากกินอยู่พอดีเลย รู้ได้ไงเนี่ย ว่าจะออกไปซื้อแต่ก็ร้อนจนขี้เกียจ"

"ก็เห็นกินอยู่บ่อย ๆ แถมยังเคยบอกด้วยว่าหน้าร้อนต้องมีสเลอปี้"

"หา...เคยบอกแบบนั้นด้วยเหรอ จำไม่ได้เลย" อริยะเกาหัวงง ๆ ก่อนจะก้มลงดูดของโปรดแล้วร้องชื่นใจ "อร่อยจังน้าาา...หนึ่งกินด้วยกันไหม"

พิธานส่ายหัวแล้วชูอีกถุงในมือ "ซื้อโคลายี่ห้อใหม่มาลองชิมดูน่ะ เมื่อเช้าดูรายการเล่าข่าวเห็นแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่เคยชิมเลย เคยเห็นไหม"

"เคยเคย เคยเห็นตอนโฆษณาในทีวี สุดยอดเลย เห็นแล้วอยากกินขึ้นมาเลย" อาร์มวางแก้วน้ำแล้วยื่นหน้ามาดูที่ถุงพลาสติกที่หนึ่งถืออยู่ ใบหน้าในระยะใกล้ทำให้หนึ่งสังเกตเห็นรอยช้ำที่เป็นปื้นแดงที่คอกับโหนกแก้มด้านซ้าย

"เดี๋ยว ๆ หน้าไปโดนอะไรมาน่ะ"




(ยังมีต่ออีกครึ่งนะครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-06-2014 22:37:53 โดย Lucea »

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)



คำถามนั้นทำให้เจ้าของบ้านขยับขาแว่นตาแล้วทำหน้าเพลีย "จะอะไรล่ะ ก็พี่อายส์น่ะสิ สุด ๆ ไปเลย เหอ ๆ"

"แต่ใคร ๆ ก็อิจฉานายนะ พี่อายส์น่ารักออก หุ่นดี หน้าอกก็ใหญ่บึ้มไปเลย"

"หน้าอกใหญ่แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะนั่น ไม่รู้เหรอว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นปีศาจ" อริยะทำหน้าเซ็งแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน "วันนี้คงต้องออกไปบ่ายนะ พอดีมีช่างมาล้างแอร์ เพิ่งรู้เมื่อเช้านี้เอง จะโทรไปบอกก็คิดว่าคงออกมาแล้ว โทษทีนะ"

พิธานนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในห้อง ไม่ถือว่าเป็นเรื่องราวใหญ่โตอะไร

"แล้วเมื่อวานทำไมไม่อยู่กินข้าวด้วยกันล่ะ"

นี่สิเรื่องใหญ่ คนฟังชะงักไปเล็กน้อยแล้วปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ "ไม่อยากกิน"

"อย่างนั้นเหรอ แหม...จริง ๆ อยากกินอาร์มล่ะสิ นึกว่าเมื่อวานเราจะได้ตกเป็นของกันและกันไปซะแล้ว" อริยะพูดแล้วหัวเราะสนุก ไม่ทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนบนสีหน้าตลอดจนท่าทางของอีกฝ่ายว่าเป็นเช่นไร และก่อนที่จะรับรู้ เสียงกริ่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คงเป็นช่างที่ทางพี่อายส์ตามแม่แน่ ๆ

"โอ๊ะ มาแล้วแน่ ๆ เลย รอแป๊บนะ"

ที่หน้าประตู ช่างแอร์สองคนกล่าวสวัสดีแล้วแนะนำตัวว่าเป็นช่างที่ได้รับการติดต่อให้มาทำความสะอาด อริยะเปิดประตูให้ทั้งสองคนแล้วเดินนำเข้ามาในบ้าน

"ห้องไหนครับ"

"สามห้องครับ อยู่ด้านบน พี่มาทางนี้เลยครับ" อาร์มหันไปพยักหน้าให้กับหนึ่งเป็นสัญญาณว่าให้ตามขึ้นมาด้านบนด้วย ห้องแรกที่พาช่างไปคือห้องนอนของอาร์มที่หนึ่งมาหลายครั้งจนคุ้นตาไปแล้ว หนึ่งนั่งลงบนเตียง ปล่อยให้อาร์มพูดคุยกับคนที่ดูเป็นหัวหน้า ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินนำอีกคนไปที่ห้องน้ำเพื่อจัดเตรียมน้ำสำหรับทำความสะอาด

มอเตอร์ถูกต่อเข้ากับแอร์ที่ติดอยู่ที่ผนังห้องโดยมีผ้าใบคลุมกันละอองน้ำกระจาย ช่างกดรีโมตเปิดแอร์ ปล่อยให้แรงดันของน้ำผ่านมอเตอร์และแรงลมทำความสะอาดตัวเครื่องปรับอากาศกันเองทีละนิด เสียงครางหึ่ง ๆ ของมอเตอร์ดังขึ้นขณะที่ช่างคนหนึ่งเปิดหน้ากากเครื่องปรับอากาศเพื่อตรวจเช็คความเย็น

"แอร์ยังเย็นอยู่นะครับ คงยังไม่ต้องเติมน้ำยา" พูดจบเขาปลีกตัวไปหาผู้ช่วยที่ยืนงก ๆ เงิ่น ๆ ทำความสะอาดตัวพัดลมระบายอากาศด้านนอก ฉีดน้ำไปก็ชี้ให้ดูชิ้นส่วนแต่ละชิ้น และวิธีในการทำความสะอาดควบคู่กันไป

อาร์มเดินกลับมาด้านในห้องแล้วนั่งแหมะข้าง ๆ กับคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว "หน้าร้อนนี่มาถึงไวเกินไปจริง ๆ นะว่าไหม น่าเบื่อเนอะ พอร้อนจะทำอะไรก็ขี้เกียจไปหมดเลย"

"อย่ามากอดได้ไหม นี่ไม่ได้อยู่กันแค่สองคนนะ ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง" พูดเรื่องหนึ่ง แต่ทีมือไม้ก็อีกเรื่อง หนึ่งโวยวายไม่เต็มเสียง สองมือแกะอ้อมแขนของเจ้าของห้องอย่างยากลำบาก

"ม่ายยย..." อริยะลากเสียงยาวอย่างเกียจคร้าน "นี่ ๆ แล้วปกติหน้าร้อนนี่ทำอะไรบ้างเหรอ"

"ก็ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ไปเรียนพิเศษ ไปเดินห้างบ้าง แต่พอเข้าที่นี่แล้วก็ไม่ต้องเรียนอะไรแล้ว ปล่อยน่า" มือทั้งสองข้างของหนึ่งยังคงไม่ทิ้งความพยายามเดิม แต่พอแกะหลุด มือของอาร์มก็เกี่ยวหมับใหม่ไม่จบไม่สิ้น

"จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วก็อยู่ด้วยกันตลอดเลยสินะ"

"นี่นอนตักเลยเหรอ !"

หนึ่งร้องเสียงหลง นอกจากจะไม่ปล่อยมือแล้ว อาร์มยังซบหน้านอนลงบนตักต่อได้อย่างหน้าตาเฉย หนึ่งออกแรงผลักมากขึ้น แล้วเหมือนหัวของอาร์มจะกลายเป็นหัวมันที่พอฝังลงดินเมื่อไรก็รากงอกจนถอนไม่ออกเมื่อนั้น อาร์มกอดเอวของหนึ่งแน่น (บางทีก็แอบจักจี้) พูดต่อเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา

"นี่ ๆ พอมาคิดดูแล้ว สมมติว่าถ้าหนึ่งเป็นผู้หญิงนะ ซีนนี้มันสุดยอดโรแมนติกเลยนะ เหมือนในฝันมาก สุดยอดไปเลย"

"ก็แล้วทำไมไม่ไปนอนตักริน"

"ได้ที่ไหนล่ะ รินเป็นผู้หญิงนะเฟ้ย"

พิธานนั่งนิ่ง ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าจะได้รับคำตอบประมาณนี้แต่แรก พอได้ยินจริง ๆ ก็รู้สึกว่ายังยากเหลือเกินที่จะไม่รู้สึกอะไร

มันไม่ใช่แค่การแอบรักเพื่อนตัวเองแบบสถานการณ์ปกติทั่วไป มันมากกว่านั้น เพราะเป็นผู้ชาย...จึงมีบางสิ่งที่ทำได้ และบางสิ่งที่ทำไม่ได้ ผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกัน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อหรอก มันมากกว่านั้นเพราะว่าเขาเป็นผู้ชาย มันซับซ้อนและน่ากลัวกว่าที่ใครสักคนซึ่งเป็นผู้หญิงแล้วตัดสินใจบอกรักเพื่อนผู้ชายที่แอบชอบ หรือผู้ชายจะบอกรักเพื่อนร่วมรุ่นที่เป็นผู้หญิง อาร์มเป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานาน อาร์มมีแฟนแล้ว และทั้งคู่ก็ดูเหมาะสมกันดี แต่อาร์มเป็นผู้ชาย ซึ่งมันก็คือเพศเดียวกันกับที่เขา ใครก็ตามที่เจอกับสถานการณ์แบบนี้คงพูดได้แต่ว่าจะเดินหน้าก็เดินต่อไปไม่ไหว จะถอยหลังก็ยังตัดใจไม่ได้

ใครบ้างล่ะที่ไม่อยากมีความสุข ใครบ้างที่สามารถตัดใจได้จากสิ่งที่ทำให้เรายิ้มได้ทั้งวันแบบนั้นได้ง่าย ๆ โทษอาร์มก็ไม่ได้หรอก เพราะสุดท้ายแล้วก็เป็นตัวหนึ่งเองที่กลับมาสู่วงจรเดิมซ้ำ ๆ และในเมื่อทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ ถึงสิ่งที่อาร์มทำถึงแม้จะเหมือนสารเสพติดจำพวกยากล่อมประสาท ให้ผลระยะสั้นแต่ทำลายร่างกายจากภายในไปทีละนิด ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่หนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้แต่ละวันที่ผ่านไปในฤดูร้อนปีนี้น่าจดจำกว่าปีไหน ๆ ที่ผ่านมา

"นี่ ๆ แล้วสงกรานต์จะไปเล่นน้ำไหม"

"คงไม่หรอก ขี้เกียจ" ขี้เกียจจะเจ็บเพิ่ม และทุกวันนี้มันก็น่าจะพอได้แล้ว พิธานหยุดท้ายประโยคที่ไม่มีเสียงไว้เพียงเท่านั้น

"ไปเล่นน้ำที่ข้าวสารกันไหม" อาร์มกระแซะขึ้นอีกนิด เอื้อมมือดึงเศษผมที่ติดอยู่ที่ปลายจมูกของหนึ่งออกมาเป่าเล่น "สองคน ไม่ชวนรินไปหรอก"

"เฮ่ย...จะดีเหรอ"

"บางทีก็อยากอยู่กันสองคนบ้างนะ ไม่ได้หรือไง"

วูบหนึ่งในใจของหนึ่งสั่นไหวประหลาดเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เหมือนมีสปริงนับร้อยเส้นอยู่กลางหน้าอกแล้วทั้งร้อยเส้นนั้นก็พร้อมใจกันกระเด็นกระดอนจนปั่นป่วนไปหมดจากข้างใน ดวงตาที่วูบแกว่งไกวตามร่างสูงกว่าซึ่งลุกขึ้นไปหยิบกีต้าร์ตัวเดิมที่เคยใช้ในตอนการแสดงรับน้องตอนปีหนึ่ง มันถูกวางหมกไว้ที่มุมห้องคล้ายกับไม่ถูกหยิบขึ้นมานานหลายมากแล้ว อาร์มเอาปากเป่าฝุ่นนิดหน่อย ดีดขดลวดเล็ก ๆ ที่ขึ้นสายอยู่บนกีต้าร์แล้วปรับโทนเสียงให้ตรงกับโน๊ตดนตรี

"ร้องเพลงกันเล่นไหม เอาอะไรดี เพลงที่หนึ่งชอบดีไหม มา ๆ"

มันคงเป็นความรัก ที่ทำให้ตัวฉัน ยังยืนอยู่ตรงนี้
มันคงเป็นความรัก ที่ทำให้ใจฉัน ไม่ยอมหยุดเสียที


เสียงของอาร์มดังขึ้น มันเป็นเพลงที่หนึ่งชอบ ทั้งคู่เคยร้องเล่นอยู่เสมอในตอนที่เพลงนี้เพิ่งออกมา หนึ่งชอบแสตมป์ อภิวัชร์ ชอบเกือบทุกเพลงจนถือเป็นศิลปินคนโปรด แล้วมันก็บังเอิญที่อาร์มก็ชอบด้วยเหมือนกัน ยังมีอีกหลาย ๆ อย่างที่เขาและอาร์มชอบทั้งคู่เหมือนเรื่องบังเอิญ เยอะมากจนทำให้กลายเป็นว่าหนึ่งสนิทกับอาร์มกว่าใคร ตัวติดกัน ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน จนใครต่อใครพากันล้อว่าเป็นคู่เกย์ประจำคณะ เพลงนี้...เป็นจุดเริ่มต้นของทุก ๆ อย่าง หลังจากที่ลืมไปแล้ว พอได้ยินอีกครั้งอะไร ๆ มันก็วนกลับมาเหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดเมื่อสัปดาห์ก่อนเท่านั้น

"ร้องต่อสิ"

พ่ายแพ้ต่อน้ำเสียงแบบนั้น หนึ่งจึงค่อย ๆ ร้องคลอเพลงนั้นไปกับอาร์ม ตาที่มองตาเหมือนกับจะถ่ายทอดบางอย่างที่ไม่เคยพูดออกมาไปสู่คนที่กำลังดีดกีต้าร์ ส่งยิ้ม และจับจ้องมาที่เขาพร้อมกับโยกหัวเป็นจังหวะอยู่

แม้ว่าเหมือนไม่มีโอกาส แม้ว่าฉันต้องพลาดไปอีกสักที
แต่ว่าความรัก ก็ยังขอให้ฉันทำแบบนี้

ที่จะให้เธอจนกว่าเธอจะรัก...


"อ้าว...พี่เสร็จแล้วหรือครับ ทางนี้ครับ เดี๋ยวมานะ นอนเล่นไปก่อน" อาร์มวางกีต้าร์ลงทั้งที่เพิ่งร้องไปได้แค่ไม่กี่ท่อน ดูเหมือนว่าช่างจะทำความสะอาดแอร์ที่ห้องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะย้ายไปทำที่ห้องอื่น ๆ ต่อไป

อาร์มเดินนำช่างออกไปที่ห้องอื่นแล้ว ทุกสิ่งรอบ ๆ ตัวเงียบลงอีกครั้ง ไม่มีเสียงมอเตอร์ทำงาน ไม่มีเสียงพูด เสียงร้องเพลงอะไร ลมเย็นสะอาดพัดมากระทบใบหน้าของหนึ่ง อีกไม่นานเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ซึมอยู่คงจะระเหยไปเอง จากทั้งขมับ หลัง...กระทั่งในใจ อีกไม่นานหรอก เวลาจะทำให้ทุกอย่างค่อย ๆ หายไปเอง หนึ่งร้องเพลงนั้นต่อช้า ๆ ท่วงทำนองของกีต้าร์ยังกระหึ่มอยู่ในหัวใจ

แต่ว่าความรัก ก็ขอให้ฉันทำแบบนี้

ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะเลิกชอบเพลงนี้เสียที







เพชรกล้าหยิบกล่องอุปกรณ์ทำความสะอาดและมอเตอร์ออกมาจากบ้าน บ้านนี้เป็นหลังสุดท้ายสำหรับวันนี้แล้ว หลังจากนี้แล้วก็ตรงกลับสู่ที่ทำงานได้เลย เดิมทีเดียวเขาไม่ได้มีหน้าที่ออกมาทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศแบบนี้ แต่ในสภาวะที่ขาดแคลนคนอย่างหนัก หัวหน้าช่างแบบเขาก็จำเป็นต้องออกมาทำเองในบางที ซึ่งหากจะว่าไปแล้ว เพชรกล้ารู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับงานประเภทนี้มากกว่างานอบรมแบบที่ถูกขอร้องแกมบังคับให้ทำมากนัก อย่างไรก็ตาม ในเช้านี้ เห็นได้ชัดว่าตัวปัญหาอย่างอานนท์จำชิ้นส่วนทุกอย่างและเริ่มอธิบายหลักการทำงานคร่าว ๆ ของเครื่องปรับอากาศได้ทั้งหมดแล้ว แม้จะยังไม่คล่องนักแต่ก็ไม่ผิดสักชิ้น

สองวัน ซึ่งถ้าเทียบกับการอบรมปกติที่กินเวลาไม่เกินครึ่งวัน นี่คือผลงานชิ้นเอกที่เพชรกล้าจะไม่มีวันลืมเลือนเลยจริง ๆ

"เห็นแล้วใช่ไหมว่าจุดในการติดตั้งแอร์มีความสำคัญ ที่เราต่างกับที่อื่นตรงที่แผนกช่างมีความชำนาญในการติดตั้ง สามารถคำนวนและแนะนำลูกค้าได้เป็นอย่างดี นี่คือจุดขายหนึ่งของแผนกเครื่องปรับอากาศเรา"

อานนท์พยักหน้ารับคำ จำทุกอย่างได้เป็นมั่นเหมาะ คนตัวเล็กเดินตามร่างสูงใหญ่ตรงหน้าอย่างว่าง่ายกระทั่งมาถึงรถที่จอดเยื้องไปจากรั้วนิดหน่อย

"เอ่อ...ท่าทางเขารักกันน่าดูเลยนะครับ พี่สิงห์คิดว่าเขาเป็นแฟนกันไหมครับ" จู่ ๆ ตัวปัญหาก็ตั้งคำถามใหม่ขึ้นมาให้เพชรกล้าปวดหัวเล่นอีกแล้ว ทั้งที่ใครจะเป็นแฟนใคร ไม่ใช่ธุระอะไรที่เพชรกล้าคิดจะสนใจเลยสักครั้ง

"เป็นตุ๊ดหรือไง เห็นแล้วอยากมีแฟนเป็นผู้ชายบ้างเหรอ"

"เปล่าครับ ผมแค่แปลกใจ" อานนท์ส่ายหัวยิก ตอบตามความจริง "อยู่บ้านนอกไม่มีอะไรแบบนี้นัก ถึงมีก็ไม่ได้เปิดเผยแบบนี้ พอได้มาเห็นจริง ๆ แล้วเลยไม่แน่ใจ"

เพชรกล้าหยิบของวางไว้ท้ายรถกระบะแล้วเปิดประตูรถเดินเข้าไปนั่งทำหน้ายุ่งด้านใน อานนท์ทีี่กำลังเหม่อก็รีบวิ่งตามเข้าไปสมทบก่อนจะถูกทิ้งไว้ข้างทางแบบนี้ พอนั่งลงได้ อานนท์ก็สะดุ้งจนเต้นเหมือนไส้เดือนกลิ้งบนขี้เถ้า รถที่จอดตากแดดไว้นาน ๆ ร้อนจัดเหมือนกับอยู่ในเตาไมโครเวฟไม่มีผิด เบาะหนังสีดำเก่า ๆ ร้อนจัดจนมือแทบพอง แต่เพชรกล้ากลับนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีก็เพียงเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ซึมตามไรผมและคราบชื้นที่ปกเสื้อและแผ่นหลัง

รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้า ๆ ก่อนจะออกสู่ถนนใหญ่ที่เต็มไปด้วยความแออัดยัดเยียด เพชรกล้าไม่ได้เปิดแอร์แต่ลดกระจกลงครึ่งหนึ่งแล้วเท่านั้น ปล่อยให้ลมที่พัดเอื่อย ๆ ข้างทางค่อย ๆ ไล่ความร้อนเหมือนไฟนรกให้เหลือเพียงอุณหภูมิเท่าไอแดดของฤดูร้อนตามหลักการถ่ายเทของอากาศ

"ที่กรุงเทพ ผู้ชายรักกันไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกเหรอครับพี่สิงห์"

เฟชรกล้ากระแทกพวงมาลัยรถแล้วหันมาจ้องหน้าอานนท์อย่างหงุดหงิด เห็นแบบนั้น อานนท์ก็ถอยกรูดกลับไปอยู่ในความเงียบแบบหลายวันที่ผ่านมาทันที

เมื่อคืน เขาคิดว่าอะไร ๆ มันเริ่มจะดีขึ้นแล้ว พี่สิงห์ไม่ได้เป็นคนดุเป็นผีสิงอย่างที่อานนท์เคยตั้งสมญาให้ตอนที่รู้จักใหม่ ๆ หลังจากคลุกคลีรู้จักกันมากขึ้น อานนท์พบว่าพี่สิงห์เป็นคนจริงจังกับงาน ไม่ชอบคนขี้เกียจ คนไม่รับผิดชอบ และจะโมโหทุกครั้งในเวลาที่เห็นใครไม่ทุ่มเทกับงานที่ได้รับมอบหมาย นั่นคือสาเหตุที่พี่สิงห์ดูเป็นคนน่ากลัวจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้ แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลางานนี่นา ไม่สิ มันเป็นเวลางาน แต่งานก็เสร็จแล้ว และตอนนี้ก็ไม่ต้องทำอะไร จะคุยเล่นบ้างไม่ได้เลยหรือ

"พี่สิงห์ครับ ทำไมพี่สิงห์ถึงเลือกทำงานเป็นช่างแบบนี้ล่ะครับ ชอบหรือครับ" ถ้าจริงจังขนาดนั้น อานนท์ยอมชวนคุยเรื่องงานแทนก็ได้ และคราวนี้ อีกฝ่ายก็ยอมตอบแต่โดยดี

"พี่ไม่ชอบงานเอกสาร ชอบทำงานที่ลงมือทำแบบนี้ งานช่างเป็นงานที่พี่ถนัดกว่าอย่างอื่น" เพชรกล้ามองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่เข้าใจ "ตกใจอะไร ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น"

"เปล่าครับ" อานนท์รับคำไปแบบนั้นทั้งที่ในใจตื่นเต้นน่าดู สองสามวันที่ได้รู้จักกันมา ยังไม่เคยเห็นพี่สิงห์แทนตัวเองว่าพี่กับใคร อันที่จริง พี่สิงห์แทบจะไม่พูดกับใครด้วยซ้ำ พอได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้น แล้วก็ท่าทีเรียบง่าย สบาย ๆ แบบนี้ อานนท์คิดว่าคนที่ถูกขนานนามว่าดุเป็นสิงโตดูจะเป็นคนที่มีเสน่ห์ด้วยซ้ำ อย่างน้อยพี่สิงห์ก็เป็นคนจริง นิ่งขรึม ประหยัดคำพูด แต่ก็ดูเข้มแข็ง ไม่ใช่ผู้ชายที่ดูหลุกหลิกหรือเหยาะแหยะแบบเขานั่นแหละ

"ผมว่าพี่สิงห์เป็นคนเท่มากเลยครับ ทำงานก็เก่ง ถึงจะดุแต่ก็ดูเป็นคนตรงไปตรงมาแบบคนบ้านผม ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่นี่ บางทีคนกรุงเทพก็ชอบพูดอ้อมค้อม จะพูดทีก็ต้องมีแง่มุมลึกซึ้ง ฟังดูดี แต่...คือ...พูดตามตรงแล้ว ผมไม่เข้าใจหรอกครับ แต่ถ้าเป็นอย่างพี่สิงห์ โง่ก็บอกมาตรง ๆ เลยว่าโง่ ไม่ได้เรื่องก็พูดตรง ๆ ไปเลย ไม่ได้ใช้คำพูดสวยหรูให้ผมไปตีความต่อ แนวลูกทุ่งแบบนี้อาจจะเหมาะกับผมมากกว่า อย่างน้อยก็ทำให้ผมรู้ว่าควรปรับตรงไหน นี่ผมยังคิด ๆ อยู่เลยคิดว่าจริง ๆ แล้วพี่สิงห์เป็นคนเท่มาก ๆ นะครับ"

เพชรกล้ามองอานนท์ที่พูดไปเรื่อย ๆ เหมือนทุกวัน ไม่เคยรวบรวมความคิดได้ จับประเด็นไม่เป็น พูดแบบไม่คิด พร่างพรูไปเรื่อย ๆ อยากพูดอะไรก็พูด เหมือนหาจุดสิ้นสุดไม่ลง จบจากเรื่องนี้ก็ต่อเรื่องอื่นไปได้อีกไม่จบสิ้น ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็ไม่ได้ดูเป็นคนโง่อะไรนักหนาแบบที่เจ้าตัวมักชอบพูดถึงตัวเองอย่างนั้น อานนท์คล้ายเด็กที่ตื่นตัวกับการเรียนรู้ นัยน์ตาเปิดเผยทุกสิ่งอย่างบริสุทธิ์ ปราศจากจริตปรุงแต่ง หรือแม้แต่แฝงเจตนาประจบใด ๆ แบบคนอื่นที่เพชรกล้าเคยเห็น เป็นเหมือนคนบ้านนอกซื่อ ๆ ที่แสงสีของเมืองกรุงยังไม่สามารถลบความจริงใจที่ติดตัวมาแต่บ้านเกิดเมืองนอนได้

"เหรอ"

อานนท์รีบพยักหน้ารับ "แล้วพี่สิงห์ก็หล่อมาก ๆ ด้วยครับ"

"ทำไม ? สรุปคือแอบชอบฉันงั้นหรือ ?"

พริบตา หน้าตาของอานนท์เหรอหราขึ้นมาทำที และกว่าหลายวินาทีที่คนลนลานอยู่จะพอเริ่มเปล่งสุ้มเสียงติดอ่างออกมาได้ใหม่อีกครั้ง

"เปล่า...เปล่านะครับ" อานนท์ก้มหน้าลงมองหัวเข่าตัวเอง รู้สึกเหมือนแดดกำลังเผาไปทั่วทั้งร่าง "แค่พูดเฉย ๆ เปล่าจริง ๆ นะครับ"

เวลาที่โกหกจะออกอาการแบบนี้ ออกมาทั้งสีหน้า ท่าทาง เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่มีอะไรให้เคลือบแคลงสงสัย เพชรกล้าหันหน้ากลับไปมองถนนที่ติดขัดตลอดเวลา ให้มันได้แบบนี้สิ เด็กแบบนี้จะเอาตัวรอดอยู่ในกรุงเทพได้อย่างไร พนักงานขายเป็นสังคมหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเต็มไปด้วยคนกะล่อน อุบายจัดมากที่สุดในห้างสรรพสินค้า แล้วเด็กเซ่อซ่าแบบอานนท์รอดมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไรกัน

จากหลายวันที่ผ่านมา เพชรกล้าพอจะรู้แล้วว่าทำไมโกวิทถึงพยายามจะเคี่ยวเข็ญเด็กไม่ได้เรื่องคนนี้นัก อานนท์ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ในแผนกขายสักนิด และคงเพราะว่าเห็นว่าเนื้อแท้เป็นอย่างไร โกวิทถึงได้ใช้คำว่า "เคี่ยวเข็ญ" ให้เขาเป็นคนอบรมเองอย่างนี้

เคี่ยวเข็ญหรือ ?

ตลกแล้ว นี่มันสนับสนุนชัด ๆ เพราะรู้ว่าอานนท์เป็นคนแบบนี้ก็เลยออกหน้าจับย้ายแผนกเพื่อกระตุ้นให้เด็กให้มีผลงาน ก็จริง...ที่เพชรกล้ารู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยกับหัวหน้าฝ่ายขาย เดิมที่คิดว่าส่งมาป่วน พอมองในแง่ศีลธรรมแล้วก็ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว แต่อะไร ๆ มันไม่ได้ง่ายนักหรอก สุดท้ายก็คงต้องขึ้นอยู่กับตัวของอานนท์เองว่าทำได้แค่ไหน โกวิทเสี่ยงมากที่มั่นใจในตัวเด็กคนนี้มากขนาดนั้น

"ขอบคุณพี่สิงห์มากนะครับ ที่สอนผมจนเข้าใจเรื่องยาก ๆ แบบนี้ได้ แล้วก็ขอบคุณมาก ๆ ด้วยครับที่พาออกมาในวันนี้เพื่อให้เห็นปัญหาที่ลูกค้าแต่ละบ้านเจอ" อานนท์พนมมือไหว้ขอบคุณ โค้งตัวจนเกือบขนานกับพื้นคอนกรีตที่ร้อนจัดตอนเที่ยงแล้วรีบวิ่งเข้าตัวอาคารอีกฝั่งไป

การอบรมเสร็จสิ้นแล้ว ถือว่าเขาส่งคืนทุกอย่างให้กับแผนกขายเรียบร้อย หมดธุระ ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว เพชรกล้ามองหลังไว ๆ ของคนตัวเล็กจนคล้ายกับเด็กมัธยมต้นตัวโต ๆ หายไปในหมู่คน

"เธอเองก็เป็นคนน่ารักมากนะ" เพชรกล้าเอ่ยขึ้นกับแดดที่ร้อนจัดด้วยเสียงแผ่วเบาจนคล้ายเสียงกระซิบ ก่อนที่ร่างสูงจะเดินหายเข้าไปในตัวอาคารอีกด้านที่เต็มไปด้วยเสียงอุปกรณ์เครื่องจักรและประกายไฟจากการบัดกรี

อานนท์เข้าไปพบคุณโกวิท หัวหน้าฝ่ายขายที่แผนก ซึ่งก็ดูเหมือนว่าคุณโกวิทจะรู้อยู่แล้วว่าการอบรมเสร็จสิ้นเรียบร้อยเป็นอย่างดีแล้ว "เป็นไงบ้างอานนท์ ดูสดชื่นดีนะ"

"ครับ พอดีพี่สิงห์พาออกไปข้างนอก เลยได้เห็นปัญหาที่หน้างานว่าอะไรที่จะเป็นปัญหากับลูกค้าหลังจากซื้อแอร์ไปแล้วบ้าง"

เจ้าของห้องเอนหลังกลับไปพิงเบาะผ้าหนานุ่มแล้วแซว "หน้าร้อนปีนี้เห็นทีว่าพนักงานขายแผนกแอร์จะเจอน้องใหม่ไฟแรงเข้าแล้วสินะ"

"ไม่หรอกครับ อมไม่ค่อยรู้อะไรเลย" อานนท์ยิ้มแหยแบบเจียมเนื้อเจียมตัว

"รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องส่งไปอบรมกับนายเพชรกล้าคนนั้น"

"เพราะว่าพี่สิงห์เป็นคนเก่ง แล้วก็มีประสบการณ์ได้เจอปัญหากับลูกค้าโดยตรง แถมยังรู้เรื่องชิ้นส่วนแล้วก็ระบบการทำงานต่าง ๆ ของแอร์ใช่ไหมครับ เอ่อ...คือผมก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน่าจะแบบนี้"

ท่าดีทีเหลวแบบทุกครั้ง สมกับเป็นอานนท์ที่ไม่เอาถ่านจริง ๆ โกวิทได้แต่พูดกับตัวเองในใจ "มันก็ใช่ แต่เหตุผลไม่ได้มีแค่นี้หรอกนะอานนท์"

"นั่นสินะครับ ยังคิดว่าผมจะไปตอบถูกได้ยังไง แหะ ๆ"

"การแข่งขันมีสูงมาก ทางห้างสรรพสินค้าเราก็ตั้งใจอย่างเต็มที่ เครื่องปรับอากาศเป็นแผนกที่ขายดีที่สุดในหน้าร้อนของทุกปี พนักงานกะละสี่คน เฉลี่ยแล้วตกวันละไม่ต่ำกว่ายี่สิบเครื่ีอง มากสุดคือก่อนสงกรานต์ปีที่แล้วที่ได้ถึงสามสิบห้าเครื่อง พอปีนี้ซึ่งเป็นปีที่ร้อนมากที่สุดในรอบหกสิบปี และก็อย่างที่เห็น เพชรกล้าคนนั้นเป็นคนที่เก่งมาก ๆ นี่คือคนที่เก่งที่สุดที่เรามีในเรื่องเครื่องปรับอากาศแล้ว" คุณโกวิทผ่อนลมหายใจแผ่วเบาแล้วเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะพูดต่ออีกครั้ง

"อานนท์ ฟังให้ดีนะ ถ้าก่อนสงกรานต์นี้คุณไม่สามารถปิดการขายได้สักเครื่อง ทางห้างคงต้องพิจารณาคุณให้ออก"

"สงกรานต์ ?" อานนท์ครางอย่างไม่เชื่อหู

"ผมย้ายให้คุณลงกะบ่ายซึ่งปกติแล้วจะขายได้มากกว่า มีเวลาอีกสองวัน ขอให้โชคดีนะอานนท์ ผมช่วยคุณได้เท่านี้จริง ๆ"







ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ พบกันใหม่ตอนหน้า รีบมารีบไปมาก 55555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-06-2014 23:13:37 โดย Lucea »

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
นี่ก็นั่งรีเพรชรัว ๆ นึกว่าจะมีรีพลายที่ 3 ต่อ กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกก
ตอนนี้หมอตุลย์ไม่ออกเลยยยยยยย คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงง
แต่่คู่อาร์มหนึ่ง นี่แอบหวานแบบซึน ๆ นะ รอลุ้นกันต่อไป
ว่าแต่ซวยแล้ว อานนท์ ขายแอร์อยู่ห้างไหน เดี๋ยวเจ้จะรีบไปอุดหนุน
กลัวไม่ได้อยู่เพาะต้นรักกับพี่สิงห์ไม่ใช่อะไร
หรือออกมาให้ผัวเลี้ยงก็ดีนะลูก แต่อย่างพี่สิงห์นี่น่าจะเลี้ยงด้วยลำแข้งอะค่ะ
วัดจากดีกรีความโหด 555555555555

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ต้องลุ้นน้องนนท์ให้ขายแอร์ได้สักเครื่องละน้อ
ไม่เชียร์อาร์มแล้วนะ
ไปเชียร์ชาฮิดธีมดีกว่า แหม่ ได้ใจป้าไปเต็ม ๆ

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ติดนิยายเรื่องนี้ไปซะแล้วค่ะะ  o13
ภาษาเยี่ยม เค้าโครงดี และเรื่องน่าติดตาม
ขอสมัครเป็นแฟนคลับนะคะ :katai4:
ชอบคู่อาร์มหนึ่งที่สุด ขอเป็นแม่ยกค่ะ ฮิ้วววววววววววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bew_yunjae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ดีใจน้ำตาจะไหล มาเร็วมากกกกกกกก
คู่อาร์ม หนึ่ง ลุ้นจนหืดขึ้นคอ อาร์มอ่ะ ไม่ชัดเจน งื้อๆๆๆ เชียร์คู่นี้สุดใจ :katai1:
ชาฮิด กะ ธีม น่าร๊ากกกกกกกกก ชาฮิดผู้ไร้เดียงสา คริๆ
นภ กำลังอินเลิฟใช่มั้ย ฮ่าๆๆ
แต่คู่พี่สิงห์ กะน้องนนท์ น่าสงสารอ่า ฮืออ อานนท์นายจะไม่ถูกไล่ออก ><
คิดถึงน้องภัทรพล แม้จะโผล่เพียงทีวี >,<
รอๆน่ะ

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
น้องธีมนี่ต้องเอาขนมมาล่อใช่มั้ยคะ?
แอร๊ยยยย มาลูกมาาา พี่มีโตเกียวบานาน่านะะะ เอามั้ยยยย

 :hao7:

เราลุ้นอาร์มหนึ่งจนเหนื่อยเลยค่ะ T_T
บรรยากาศแบบนี้มันคืออะไร สงสารหนึ่ง เข้าใจหนึ่ง แล้วก็อยากจับอาร์มมาเขย่าแรงๆ สักที
ฮืออออออออออออ ถามจริงเหอะะะะ ทำแบบนี้ไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนจริงหรอ?
ขนาดน้องนนท์ยังดูว่าเป็นแฟนกันเลยนะเว้ยยยยยยย โอ้ยยยยยย ปวดร้าววววว

พูดถึงน้องนนท์กับพี่สิงห์แล้ว คำว่าช่างแอร์มันทำให้เราอดนึกถึงช่างแอร์ในตำนานไม่ได้จริงๆ 5555555
ขอโทษค่ะ กร้ากกกกกกกกกกกกก XD

คู่นี้เหมือนจะกำลังไปได้ดี น้องนนท์คนซื่อของพี่ (ของแกอีกแระ กรั่กกกก)
แสนซื่อขนาดนี้อยู่รอดมาได้ถือว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ แต่สงสารจังจะโดนให้ออกแล้วหรอคะ? T_T
โอ้ยยย อุตส่าอยู่ทนให้พี่สิงห์โขกสับอยู่ได้ตั้งนาน ขายให้ได้สักเครื่องนะลูก
หรือถ้าชีวิตมันจะโหดร้ายมันฤดูร้อนจริงๆ ก็ออกมาให้พี่สิงห์เลี้ยงดูนะคะนะ 555555555

รอตอนหน้าาาาาา  :hao3:

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
คู่ปืน-นภเปิดตัวเรียบๆ แต่เราชอบอ่ะ> <~

คู่ชาฮิด-ภีม บอกได้คำเดียวเลย เด็กเดี๋ยวนี้โตเร็วจริงจริ้งงง555

คู่อาร์ม-หนึ่ง รู้สึกขัดใจ...อาร์มไม่ควรมานัวเนียขนาดนี้นะ มีเกินเพื่อนรู้ป่ะ ส่วนหนึ่ง ถ้ารู้ตัวว่าชอบเขาเกินเพื่อนแล้วรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ก็น่าจะถอยห่างออกมานะ เผื่ออาร์มจะได้รู้ซักทีว่าชอบใคร ไม่ต้องค้างคาใจแบบนี้(อินไปหน่อย5555)

คู่พี่สิงห์กับอานนท์ดูมีโมเมนท์มุ้งมิ้งกันด้วยแหะ ว่าแต่ว่า...อานนท์แย่แล้ว พี่สิงห์ช่วยน้องเร้วว55

รอตอนต่อไปค่าา :mew1:

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3

 :sad4:    ไอ้คุณโกวิทอย่ามาไล่น้องนนท์ของเค้าออกนะ


 พี่สิงห์ช่วยน้องนนท์ด้วย     :m5:

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
นี่คือ อาร์มไม่รู้ตัวเหรอ
คือคิดว่านางแกล้งหนึ่งเพราะรู้แล้วหรอกนะ
อะไรคือยั่วเพื่อนที่แอบรักอยู่ตลอดเวลา
อาร์ม นี่แอ๊บใช่ป่ะ พูด!

ออฟไลน์ grenjewel

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
อานนท์สู้ๆนะ เราเชื่อว่านายต้องขายแอร์ได้อยู่แล้ว
คุณโกวิทนี่ก็จะเยอะไปไหนก็ไม่รู้ ส่งอานนท์ไปให้พี่สิงห์อบรมแล้วยังมีข้อบังคับให้ขายแอร์ให้ได้อีก  :katai1:

อาร์มช่วยชัดเจนสักทีเถอะ สงสารหนึ่ง ถ้าไม่คิดจะรักกันก็อย่าทำเหมือนให้ความหวังแบบนี้เลย มันเจ็บนะรู้ป่ะ

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ สปีดตกไปนิดหน่อย จะพยายามให้กระเตื้องขึ้นครับ แผนจะจบภายในเดือนนี้ดูร่อแร่
สงสัยจะต้องยืดไปอีกสักสัปดาห์แน่นอน ยังไงก็ลองพยายามดูครับ หวังว่าจะทำได้ ฮุยเลฮุย ^ ^`
ขอบคุณที่ตามอ่านกันครับ หวังว่าเพื่อนๆ จะจำตัวละครกันได้แล้วเนอะ ครึ่งเรื่องไปแล้ว ฮ่าๆ
+1 สำหรับทุกคอมเมนต์นะครับ ขอบคุณมากๆ ฝากตอนที่ 8 ด้วยครับ ฮูเล่!





ตอนที่ ๘



กิ่งไม้ไกวตามลมจนทำให้แสงอาทิตย์แทงทะลุลงมาที่ผิวสีคล้ามแดดซึ่งยืนอยู่ด่านล่าง เกือบทั้งหมดของร่มเงาบนริมถนนกรุงเทพนั้นคือเสาไฟฟ้ากับสายไฟที่พันกันยุ่งเหยิง ไม่ใช่ต้นไม้เขียวชะอุ่มหรือสิ่งปลูกสร้างทันสมัยแบบประเทศอื่น ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ใครก็ตามที่อยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ต่างก็เร่งรีบเพียงเพื่อหนีความร้อนของแดดที่สุมรอบตัวเหมือนจะให้สุก เห็นจะมีก็แค่พวกเด็กวัยรุ่นนั่นแหละที่แดดกรุงเทพดูจะเจิดจ้าน้อยกว่าความสุขในวัยนั้น

นั่นสิ ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นแบบนี้ ไม่กลัวแดด หน้าร้อนปีนั้น เขาเตะบอลในสนามบ้าบอเกือบทุกเย็นเพื่อจ้องยิงประตูอวดสาวที่เดินผ่านไปมาบริเวณนั้น เคยมีความสุข รู้สึกตื่นเต้นที่เห็นผู้หญิงแอบมองหรือส่งยิ้มให้ เคยมีฝันไร้สาระมากมายที่แทบยัดในหัวไม่พอ แต่พอหลังจากเรื่องยุ่ง ๆ ในตอนนั้น ความรู้สึกพวกนั้นมันก็หายไปเองโดยไม่รู้ตัว ความฝันถูกแทนที่ด้วยความรับผิดชอบ แล้วสักพักมันก็กลายเป็นความดิ้นรนเอาตัวรอดเพื่อชีวิตที่ต้องดูแล ปรมะปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความทรงจำฤดูร้อนของตัวเอง กระทั่งเงาบนแว่นกันแดดสะท้อนให้เห็นคนที่คุ้นตาปรากฎที่หัวมุมถนนก่อนจะมาหยุดยืนตรงหน้าของปรมะเพียงไม่กี่วินาที

"ขอโทษที จำทางกรุงเทพไม่ค่อยได้เลย" นภเอ่ยขึ้นพร้อมกับอาการหอบไอร้อน ท่าทางนั้นจุดหยักยิ้มเล็ก ๆ ของคนที่ฟังอยู่ให้โค้งตัวขึ้น

"ก็หลงเป็นประจำไม่ใช่เหรอ"

นั่นไม่ใช่ความทรงจำที่ดีในความคิดของนภเท่าไรนัก ชายหนุ่มที่ยืนหอบจึงเลื่อกที่จะเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย "พาเที่ยวแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ อันที่จริงไม่ต้องทำตามลูกน้ำขอก็ได้"

ขณะที่มองมา ปืนกลั้วหัวเราะในดวงตาแน่วแน่คู่นั้น ซึ่งนั่นก็มากพอที่จะทำให้อากาศฤดูร้อนในปีนี้ร้อนแรงกว่าปีไหน ๆ ในความทรงจำของนภ กว่าจะได้แต่ละประโยค เสียงของนภมันช่างตะกุกตะกักเหลือเกิน "ช่วงนี้งานเป็นไงบ้าง"

"ก็เหมือนเดิม"

"ก็เหมือนเดิมนี่ยังไง"

"โปรแกรมเมอร์มันก็เหมือน ๆ เดิมน่ะแหละ ต่อให้พัฒนาโปรแกรมใหม่ ๆ ไปกี่ตัว กี่เวอร์ชั่น มันก็คือการพิมพ์โค๊ดคำสั่งแบบเดิม ๆ ไม่แก้ปัญหาก็สร้างบางอย่างขึ้นมาตอบโจทย์ที่ต้องการ อุดข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่เคยเจอในอดีต หรือถ้าแก้ไขได้ก็ยิ่งดี มีอยู่แค่นี้"

คำอธิบายของปืนถือเป็นโลกอันเร้นลับสำหรับนภ เขาไม่เข้าใจกลไกซับซ้อนของคอมพิวเตอร์มาแต่ไหนแต่ไร และก็คงไม่มีวันเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้อย่างแน่นอน หากแต่คำตอบที่ได้ยินนั้นถือเป็นเรื่องสะดุดใจพอสมควร เมื่อในความทรงจำของนภนั้น โปรแกรมเมอร์ถือเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากตัวตนของปืนเหมือนคนละโลกก็ว่าได้ "แล้วที่ว่าจะเปิดเพ็ทช็อปล่ะ ยังจะทำไหม"

ชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินต่อไป ระหว่างที่ปลายเท้าของปรมะเริ่มเคลื่อนตัวไปเบื้องหน้าอีกครั้ง ร่างสูงก็แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีน้ำทะเลเจิดจ้า คล้ายกับแสงแดดกำลังแผดเผาความเดียงสาของผู้ใหญ่จนเหลือเพียงความฝันอันบริสุทธิ์ในวันวาน

เพ็ทช็อปเหรอ ? นั่นสินะ...ก็เคยอยากจะทำอะไรแบบนั้นสักครั้ง เป็นฝันที่เอื้อมอย่างไรก็ไม่ถึง แล้วก็ยังมีอะไรที่ทำไม่ได้เยอะไปหมด ได้แต่คิดว่าสักวันพอเรียนจบคงจะไล่จับมันได้ แต่พอถึงเวลานั้นจริง ๆ ถึงได้รู้ว่าเราก็ยังเอื้อมไม่ถึงความฝันพวกนั้นอยู่ดี ปืนทอดสายตามองคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ แล้วยิ้มเยาะกับตัวเอง

แม้ในตอนนี้ที่สิ่งเหล่านั้นอยู่ตรงหน้า สุดท้ายก็เป็นตัวเองที่ไม่ยอมเอื้อมมือออกไป ชีวิตหลังรั้วมหาวิทยาลัยไม่ใช่การไล่ตามความฝันที่สนุกสนานแบบที่เคยคิดสักนิด มันเป็นการเรียนรู้และทำความเข้าใจโลกของความเป็นจริงที่ต่างคนก็ต้องดิ้นรนอยู่ต่อไปให้ได้ "นายนี่ชอบคิดอะไรง่าย ๆ แบบเมื่อก่อนเลยนะ"

"อย่างนั้นเหรอ" นภหันมามองแววตาของปืนตอนที่พูดประโยคนั้น แต่แว่นกันแดดกลับซ่อนทุถกอย่างเอาไว้ใต้กระจกสีดำ

ภายใต้สิ่งที่เหมือนกับวงกระเพื่อมบนผิวน้ำที่เคลือบอยู่ในดวงตาทั้งคู่ค่อย ๆ คืนกลับสู่ความสงบอีกครั้ง เสียววินาทีต่อมา ทุกอย่างก็กลับเป็นเหมือนเดิม รอยยิ้มของปืนสว่างขึ้น เช่นเดียวกับท้องฟ้าสดใสของฤดูร้อนดังที่ผ่านมา "แล้วที่นั่นเป็นไงบ้าง"

"ก็ดี อย่างน้อยก็เย็นกว่าที่นี่เยอะ"

เสียงหัวเราะปืนดังขึ้นท่ามกลางไอร้อนของแดด

เมื่อหันไปมองรอยยิ้มที่คุ้นตาภาพนั้น นภไม่รู้ว่าตัวเองกำลังยิ้มตาม กำลังทำหน้าเศร้าอยู่ หรือว่ากำบังทุกอย่างไว้ได้แนบเนียน มือกว้างยกขึ้นซับเหงื่อที่ซึมไปทั่วใบหน้าพร้อมครุ่นคิดบางอย่าง ห้าปี สิบปี ไม่สิ...มากกว่านั้น บางสิ่งบางอย่างยังอยู่กับนภตลอดเวลาที่ผ่านมา เขายังจับมันแน่นและไม่คิดจะปล่อย วันนี้ วันพรุ่งนี้ อาทิตย์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า ก็คงจะเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าอะไรมันจะเปลี่ยนไปแล้วแต่นภก็ยังแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ถือเอาไว้ หวงแหนเหมือนของมีค่า โดยไม่สนว่ามูลค่าของมันคือความสุขหรือความทุกข์กันแน่

"อยากจะไปไหน"

นภส่ายหัว ไม่มีอะไรอยุ่ในความคิดแม้แต่น้อย เขาเหมือนกับคนที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นคนกรุงเทพกับนักท่องเที่ยว นภไม่ได้อยากสัมผัสกับความเป็นไทยแบบนักท่องเที่ยวโหยหา ขณะเดียวกันก็ไม่มีสถานที่พิเศษที่อยากไปฆ่าเวลาด้วยกรุงเทพกลายเป็นความทรงจำที่เลือนรางจนไม่อาจจดจำอะไรได้อีกแล้ว

"มีที่แนะนำไหม" นภถาม

นั่นเป็นคำถามที่ตอบได้ยากมากสำหรับปืน กับคนที่ใช้ชีวิตไปกลับระหว่างแค่ห้องตัวเองกับมินิมาร์ทใกล้ ๆ ไม่มีอะไรที่ปืีนรู้จักเท่าไรนัก เขาไม่รู้จักกรุงเทพ ทั้งที่เห็นหน้าและสบตากับสีครามของท้องฟ้าของกรุงเทพทุกวัน

"หัวมุมถนนตรงนั้นมีร้านน้ำแข็งไสเล็ก ๆ อยู่ ที่นั่นมีโต๊ะสองสามตัวให้นั่งได้ ถ้านายจะสนใจ" งี่เง่าดีไหมล่ะ

นภดูจะแปลกใจพอสมควร แต่ก็ยิ้มออกมา "เอาสิ"

ก้าวขาไปอีกไม่กี่สิบก้าวก็ถึงที่ที่ปืนพูด เครื่องน้ำแข็งไสหลายสิบชนิดถูกบรรจุลงในโถแก้วขนาดใหญ่ให้ลูกค้าเลือก เยอะจนนภเลือกไม่ถูก

"เอาอะไรดี" นภกวาดตามองไปที่ลูกชิด ข้าวเหนียวต้ม มะม่วง มะยม พุทราที่เชื่อมจนฉ่ำ มะพร้าวกะทิ ทับทิมกรอบ ลอดช่อง และอีกหลายอย่างที่ไม่ได้กินมานานแสนนาน ความทรงจำเก่า ๆ มันน่าลิ้มรสอีกสักครั้งขนาดนี้เชียวหรือ

"นั่งสิ เดี๋ยวสั่งให้" ปืนพูดขึ้น คล้ายกับว่าจะอ่านใจของคนที่ยืนจ้องถ้วยแก้วแต่ละอย่างจนกว่าจะได้ลิ้มรส

นภสารภาพตามตรงว่าค่อนข้างจะตื่นเต้นกับขนมหวานที่กำลังจะได้กินพอสมควร และหลังจากที่ปืนเดินมานั่งไม่นาน แม่ค้าก็เดินเอาถ้วยขนมที่ฟูไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งสองถ้วยมาวางที่โต๊ะ ปืนเลื่อนถ้วยที่เป็นน้ำแดงราดนมข้นหวานให้นภ ขณะที่ตัวเองไปถ้วยที่เป็นน้ำลำไย

นภไม่คิดว่าน้ำแข็งไสในความทรงจำนั้นจะหวานอร่อยแบบนี้ นภชอบกลิ่นหอมของน้ำแดงและความหวานมันของนมข้นหวานที่ราดบนตัวขนมปัง น้ำแข็งด้านบนจึงพร่องไปอย่างรวดเร็วก่อนที่มือกว้างของคนข้างตัวจะดึงถ้วยขนมสีชมพูนั้นออก นภถือช้อนค้างมองอย่างเสียดาย

"ชอบกินแต่น้ำแดงที่ราดนมใช่ไหม จริง ๆ ชอบน้ำลำไยกว่าหรือเปล่า"

ปืนเลื่อนถ้วยขนมตรงหน้าตัวเองที่เพียงแค่คนให้ทุกอย่างผสมกันเฉย ๆ มาแทนที่ แล้วเอาถ้วยน้ำแดงไปกินเอง "หวังว่าจะยังชอบเครื่องพวกนั้นเหมือนเดิมนะ เพราะถ้วยนี้มีแต่ของที่อยากกินเองทั้งนั้น"

วุ้นมะพร้าว ถั่วแดง ลูกเดือย พุทราเชื่อม แปะก๊วย ทุก ๆ อย่างเป็นของโปรดของนภจริง ๆ

"จะแบ่งถ้วยนี้ไปกินก็ได้นะ อย่าแย่งเฉาก๊วยก็พอ" ปืนยักคิ้วให้พร้อมกับรอยยิ้มอุ่น ๆ

"จำได้ยังไงกัน"

"เมื่อก่อนกินด้วยกันเกือบทุกเย็น ลืมก็บ้าแล้ว" ปืนตอบคำถามนั้นง่าย ๆ ก่อนจะตักเครื่องขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมา "เกาลัดไหม"

นภส่ายหัว จู่ ๆ ก้นึกอยากจะแกล้งใครบางคนขึ้นมา "อยากลองกินเฉาก๊วยบ้าง"

คราวนี้ ร่างสูงหลิ่วตาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ "คิดว่าจะให้ไหมล่ะ"

นภไม่ตอบคำถามนั้นแต่ก้มหน้าลงตักขนมกินต่อแล้วเริ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจ จากหนึ่ง...นับไปได้ถึงสาม เฉาก๊วยก็ถูกวางลงบนเกล็ดน้ำแข็งในถ้วยขนม นภมองวุ้นสี่เหลี่ยมสีดำในถ้วยตัวเองแล้วอมยิ้ม ก่อนที่ข้อมือจะออกแรงยกช้อนสแตนเลสตักสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ชิ้นนั้นเข้าปากในนาทีต่อมา

ปรมะยกแขนขึ้นเท้าคางตัวเอง ลำคอและบ่าที่ตรงตระหง่านตัดมุมฉากกับท้องฟ้าสีสดเบื้องหลัง

"ไง ? ชอบแล้วล่ะสิ"

เสี้ยงทุ้มที่คุ้นหูดังขึ้นเพียงได้ยินกันสองคน นภคนน้ำแข็งในถ้วยอีกรอบหรืออาจจะมากกว่านั้น เพราะว่าทานแล้วชื่นใจหรือเปล่านะ พอถึงหน้าร้อน ใคร ๆ ถึงชอบทานขนมหวานพวกนี้นักหนา นภตักผลไม้เชื่อมของโปรดขึ้นมาจากถ้วย มองไปยังเจ้าของผิวสีแทนที่จับจ้องอยู่อย่างไม่วางตา

"พุทราเชื่อมไหม"

สิ้นคำถาม นภเห็นรอยหยักเล็ก ๆ ที่มุมปากคนตรงหน้าองศาสูงขึ้น วงกลมสีดำในแววตาคู่นั้นคล้ายกับน้ำตาลที่ถูกแดดฤดูร้อนลามเลียจนไหม้







"ไม่เอาอะไรทั้งนั้นแหละ แล้วก็อย่าพูดถึงคนคนนั้นด้วย"

ปรายฟ้าเงยหน้าขึ้นมองลูกชายของเธอที่วิ่งหอบตรงมาที่เธอโดยมีชาฮิดวิ่งตามมาด้านหลัง พ่วงด้วยสุนัขตัวอ้วนอีกสองตัว พอมาถึง ธีมก็คว้าชายเสื้อดึงเต็มกำลัง "แม่น่ะ บอกแล้วไงว่าไม่ให้รับของของคนคนนั้นอีก ชอบมาจุ้นจ้านไม่เลิก"

"แหม...อุตส่าห์เป็นพ่อลูกกันเลยนะ" ปรายฟ้ายิ้มหวาน ดูจะชินเสียแล้วกับฤทธิ์ของลูกชายตัวเอง "ขนมอร่อยไหมคะชาฮิด"

"อร่อยครับ" เด็กน้อยตอบตามความจริง

"ไม่อร่อยสักนิด ! อย่าไปกินขนมของหมอนั่นอีกนะ อยากกินอะไร เดี๋ยวฉันซื้อให้นายเอง !"

"แล้วธีมมีเงินเหรอ" ชาฮิดถาม

"มีแน่นอน !" พูดจบ เด็กชายชวิศหันขวับมาทางผู้เป็นแม่ทันที "แม่ขอเงินหน่อย จะเอาไปซื้อขนม"

ชาฮิดรีบยกมือขึ้นห้าม "เดี๋ยวสิ ที่พี่กินเพราะน้ำน้ำให้ ไม่ได้เพราะอยากกิน แล้วอีกอย่างขนมคุณพ่อก็เหมือนขนมของธีมนี่นา"

"งั้นฉันให้ เธอเอาไปกินให้หมดนะ" ธีมยัดขนมของพ่อที่ได้มาจากชาฮิดใส่มือมีราแล้วจูงมือเด็กชายตัวสูงกว่าวิ่งไปข้างนอกร้านใหม่ มีราเผลอแกะถุงขนมแล้ววิ่งตามออกมาก็ไปไหนต่อไม่ได้เมื่อเจอเจ้าถิ่นอย่างลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กเรียกค่าผ่านทางอยู่ เด็กหญิงได้แต่ทำหน้ามุ่ย จะให้ขนมกับสุนัขตัวอ้วนทั้งสองก็ไม่ได้เพราะนี่เป็นถึงขนมที่พี่ธีมให้กับเธอ แต่จะวิ่งตามไปก็ไม่ได้เพราะโดนล้อมหน้าล้มหลังไปมาอยู่แบบนั้น

ปรายฟ้าเดินมาสมทบกับคุณนุชนารถและอมริตาที่นั่งหัวเราะคิกอยู่แล้วบ่นอย่างนึกอ่อนใจ "ขอโทษด้วยนะคะ ลูกชายทำป่วนไปหมดเลย"

"น่าสนุกดีออกค่ะน้องน้ำ" คุณนุชนารถยิ้มละไม ยังนึกเอ็นดูความน่ารักของเด็กไม่เลิก

"มีราติดน้องธีมมากนะคะ ถึงขั้นประกาศตัวว่าชอบเลย ท่าทางคงจะปลื้มมาก"

"แต่ธีมก็ติดชาฮิดมากนะคะ ท่าทางจะปลื้มเข้าจริง ๆ เมื่อเช้าก็บ่นว่าจะเอาชาฮิดกลับไปบ้านให้ได้ น้ำล่ะกลัวลูกคุณพี่เจอฤทธิ์เดชของธีมจริง ๆ ร้ายหยอกซะที่ไหน ถ้าน่ารักได้อย่างลูกสองคนของคุณพี่ น้ำจะไม่ห่วงเลย" ปรายฟ้าส่ายหัวไปมา

"ก็ไม่ได้น่ารักอะไรหรอกค่ะ เห็นแบบนั้นพอเวลาดื้อก็เอาเรื่องเลยล่ะ" อมริตาพูดพร้อมกับปอกผลไม้ไปด้วย "ครอบครัวของดิฉันไม่ถือว่าสมบูรณ์อะไร ดิฉันหย่ากับสามีแล้วเขาก็กลับไปทำงานอยู่ที่อินเดีย นาน ๆ ทีจะกลับมาเยี่ยมลูก ๆ เด็กทั้งสองคนอยากจะเล่นกับพ่อเหมือนกับคนอื่น ๆ ชาฮิดน่ะปลื้มคุณปืนมาก ถึงบอกว่าหน้าเหมือนดาราที่เขาชอบ พอได้ขนมจากคุณปืนก็เลยทานใหญ่ ส่วนมีราก็ตามพี่ ไหนจะรู้ว่าเป็นของคุณพ่อน้องธีมอีก"

ปรายฟ้ามองมีราที่วิ่งหนีลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กไป กินขนมในมือไป "เป็นเด็กที่น่ารักมากเลยนะคะ โตขึ้นต้องสวยมากแน่ ๆ"

อมริตามองลูกสาวของเธอแล้วอมยิ้ม "อย่าหาว่าพี่จุ้นจ้านเลยนะคะ น้องน้ำจะไม่ลองคิดดูใหม่เหรอคะ ถึงน้องธีมจะทำตัวเหมือนเข้ากับพ่อเขาไม่ได้ แต่ลึก ๆ แล้ว พี่ก็พอดูรู้นะคะ เขาก็รักคุณปืนน่าดู"

ปรายฟ้าเดินออกไปพิงขอบกระจกแล้วมองออกไปสู่แสงที่ร้อนจนแสบตาด้านนอก แววตาที่ดูขี้เล่นตลอดเวลาแฝงไปด้วยประกายแห่งความชื่นชม "ปืนเป็นคนดีมากนะคะ เขาดีเสียจนน้ำไม่อยากให้เขาต้องมาจมอยู่กับผู้หญิงแบบน้ำเลย"

ธีมพาชาฮิดมาหยุดยืนที่หน้าร้านเล็ก ๆ ด้านในของซอย ร้านนี้เป็นผับ จะเปิดให้บริการก็ตอนดึกเป็นต้นไป ธีมหอบแฮ่ก แก้มแดงเพราะอากาศที่ไม่คุ้นเคย ผมสั้นที่เคยเป็นทรงน่ามอง ดูยุ่งไปทั้งหัวเพราะเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ซึมออกมา

"ให้พี่เช็ดให้นะ" ชาฮิดดึงผ้าเช็ดหน้าลายการ์ตูนเบ็นเท็นยอดฮิดในหมู่เด็ก ๆ ขึ้นมาซับเหงื่อให้เด็กที่ตัวเล็กกว่า

"สัญญาก่อน วันหลังอยากกินอะไรให้บอกฉัน เข้าใจไหม นี่...นี่มันเบ็นเท็น !"

"เท่ปะล่ะ ?"

"มากกก...!" ธีมเกาะแขนคนตัวสูงกว่าเหมือนไม่ยอมให้หนีไปไหน ไม่เสียแรงที่ปลื้ม ในสายตาของเด็กน้อย คนคนนี้ดูเท่จริง ๆ

"งั้นก็ต้องนั่งเฉย ๆ ให้พี่เช็ดหน้าให้ก่อน"

เด็กชายชวิศกลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายขึ้นในพริบตา ดวงตาคู่เล็กคอยเหล่ลายการ์ตูนบนผ้าเช็ดหน้าจนหน้าหัน

"น้องธีมยังเจ็บก้นอยู่เปล่า"

"ไม่ ! ไม่เจ็บแล้ว !" คนถูกถามก้มหน้างุด แก้มแดงเหมือนผลไม้ใกล้สุก

"ถ้าโกหกพี่จะไม่สนใจธีมนะ"

มือเล็ก ๆ คว้าหมับเข้าที่ชายเสื้ออีกคนที่นั่งข้าง ๆ ทันที แย่จริงที่ดูเหมืิอนชาฮิดจะจับได้เสียแล้ว "จริง ๆ ก็เจ็บนิดหน่อย"

ชาฮิดยกสองมือปัดกางเกงตัวเองแล้วส่งเสียงเรียก "มานั่งตักพี่แล้วกัน"

"ได้เหรอ" ธีมตาโต

"ก็นั่งบนปูนมันเจ็บใช่ไหมล่ะ"

ธีมลุกขึ้นยืน เหมือนมีใครมือบอกเอาพู่กันจุ่มสีแดงมาแต้มบนแก้มทั้งสองข้าง มองซ้ายมองขวาอยู่สักพัก เด็กน้อยก็ค่อย ๆ กระเถิบก้นขึ้นมานั่งบนตักของอีกคน ธีมโยกตัวอยู่สักพัก ฮัมเพลงบ้า ๆ ที่เพิ่งคิดขึ้นมาสด ๆ แล้วพูดไปตามจังหวะดนตรีที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้นมา "นี่...ฉันจะเลิกทะเลาะกับใครแล้ว จะบอกให้ก็ได้ว่าทั้งหมดก็เพราะนายเลยนะ"

"เพราะพี่เหรอ ? ยังไง ?"

"ก็ไม่ชอบไม่ใช่เหรอ"

ชาฮิดยิ้ม ก่อนจะตอบไปแบบที่ตัวเองคิดไว้ "ไม่ใช่ เพราะเป็นห่วงต่างหาก พี่เคยบอกแล้วไง แถวนี้มีเด็กเกเรเยอะนะ แม่บอกพี่ว่าอย่าไปสนใจพวกเขา"

ฟังแล้วธีมก็เอนตัวไปด้านข้าง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นโอบบ่าเจ้าของตักที่ตัวเองนั่งอยู่ทันที "ไม่เป็นไรนะ ฉันจะปกป้องนายเอง"

คำพูดนั้นดูคล้ายกับจะเรียกรอยยิ้มของคนฟังขึ้นพอดู ชาฮิดซับเหงื่อของธีมเสร็จแล้ว และกำลังนั่งมองคนบนตักกางผ้าเช็ดหน้าดูลายการ์ตูนที่สกรีนไว้บนผ้าออกดูอย่างตื่นเต้น ดูธีมจะทุลักทุเลกับกิจกรรมของตัวเองพอสมควร เพราะมือข้างนั้นยังไม่เลิกโอบบ่าของชาฮิดเอาง่าย ๆ อย่างแน่นอน

เห็นคนบนตักอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ชาฮิดก็ถามเรื่องที่สงสัย "ทำไมถึงไม่ชอบคุณพ่อล่ะ ชอบพูดไม่เพราะ คุณพ่อจะเสียใจนะ"

"ก็ช่างสิ ใครใช้ให้คอยมาตามห่วงดีนัก" ธีมตัวน้อยตอบขึ้นทันควัน "ฉันน่ะโตแล้ว ดูแลแม่ได้ ดูแลนายก็ได้ หรือน้องของนายก็ได้ ดูแลแม่ของนายก็ยังได้เลย ชอบทำเหมือนฉันเป็นเด็กอยู่ได้ ฉันน่ะเก่งจะตายไป"

"แต่พี่ไม่ชอบคนที่ดื้อกับพ่อตัวเอง"

คำพูดของชาฮิดดูจะทำให้คนบนตักเหวอไปไม่น้อย "ก็...จริง ๆ ก็ไม่ได้เกลียดอะไรหมอนั่นหรอกนะ แค่รำคาญเฉย ๆ เท่านั้นแหละ" ธีมยัดผ้าเช็ดหน้าลายเบ็นเท็นกลับเข้ามือชาฮิดแล้วทำท่าขึงขัง "ชาฮิด...จากนี้ไป นายอยู่ในความดูแลของฉันแล้ว เข้าใจไหม ?"

"จะดูแลพี่เหรอ"

"อื้อ..."

คนแก้มแดงเหมือนตุ๊กตาพยักหน้ายิก ๆ สำหรับคนที่คุ้นกับผิวเข้ม ๆ แบบชาฮิดแล้ว ธีมตัวน้อยช่างน่ารักน่าเอ็นดูจริง ๆ "งั้นเดี๋ยวพี่เลี้ยงนม ธีมจะได้แข็งแรง ดูแลพี่ได้"

"จริงเหรออออ..."

พอกะพริบตาแบบนี้ยิ่งดูเหมือนตุ๊กตาที่เคยเห็นในหนังสือเสียจริง "จะเอารสอะไรดีนะ ช็อกโกแลตไหม"

ธีมส่ายหัวยิก ก่อนฝ่ามือเล็ก ๆ จะยกขึ้นป้องข้างหูชาฮิด เสียงกระซิบแบบเขิน ๆ ทำให้ชาฮิดยิ้มแป้น

"สตรอว์เบอร์รี่"

"งั้นต้องกินให้หมดนะ รู้ไหม" ชาฮิดมองตุ๊กตาตัวโตที่นั่งหยักหน้ายิก ๆ อยู่บนตักตัวเอง มือเล็ก ๆ เอื้อมขึ้นไปลูบผมที่ยุ่งเหยิงของธีมเบา ๆ จัดให้มันเป็นทรงแบบที่เขาชอบอีกครั้ง "น่ารักมาก"







(ยังมีต่อนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)




การประชุมในตอนเช้าทำให้ดนัยรู้สึกเครียดพอสมควร มีเดียเอเจนซี่มอนิเตอร์การเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อไจแอนท์โคลาสูงขึ้นถึงสามสิบเท่าเพียงข้ามคืน แต่นั่นก็เพราะกระแสคู่จิ้นบ้าบอที่เกิดขึ้นในรายการเช้านี้ที่ประเทศไทย แน่นอนว่าไม่ได้จิ้นธรรมดา แต่เป็นจิ้นระหว่างตรี พงษ์พิพัฒน์ (คนที่เขาหมั่นไส้นักหนา) กับภัทรพล ญาติห่าง ๆ ของดนัยเอง เว็บไซต์ต่าง ๆ ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กถูกแชร์และกดไลค์กันจนเป็นกระแสอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในแง่ยอดขายกลับกระเตื้องขึ้นไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ทุกคนรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์ที่เขาดูแล แต่สิ่งที่สังคมสนใจคือตรี พงษ์พิพัฒน์ และหมอภัทรพลคือใคร ใครเป็นรุก ใครเป็นรับอะไรวุ่นวาย

งี่เง่าสิ้นดี

แต่นั่นก็ไม่แย่อะไรนักเมื่อเทียบกับการเปิดตัวแคมเปญใหม่ของบริษัทคู่แข่งที่ใช้พรีเซนเตอร์เป็นกลุ่มนักแสดงและนักร้องวัยรุ่นที่มีชื่อเสียงอยู่ในขณะนี้ หรือการที่อีกยี่ห้อที่ทุ่มเม็ดเงินกับโปรแกรมชิงโชคพาเที่ยวต่างประเทศกันเป็นก๊วน บริษัทใหญ่ก็มีงบโฆษณามาก แน่นอนว่ามากกว่าไจแอนท์โคลาเป็นสิบเท่า แทนที่จะได้ใช้เงินทำแคมเปญดี ๆ แต่ดนัยกลับต้องเจียดงบที่มีอยู่น้อยนิดไปลงกับรายการโทรทัศน์แบบนั้นเพียงเพราะว่าผู้ใหญ่รู้จักกัน

ถนนในกรุงเทพยังคงติดขัดตลอดเวลา ดนัยนั่งมองควันสีขาวที่ถูกพ่นออกจากท่อไอเสียมอเตอร์ไซค์คันแล้วคันเล่า ถ้ามองโลกเป็นนิทาน กรุงเทพก็เหมือนดินแดนมหัศจรรย์ที่เด็ก ๆ อาจจินตนาการว่าจะได้พบยูนิคอร์น นางเงือก หรือแม้แต่นางฟ้าที่ซ่อนตัวอยู่ในม่านหมอกสีขาว แต่ถ้ามองแบบคนซึ่งเกิดและเติบโตขึ้นมาที่นี่จะพบว่าในควันพวกนั้นล้วนเต็มไปด้วยคาร์บอนมอนนอกไซด์ ไม่มีเทพธิดาสัตว์วิเศษ จะมีก็แต่เสือสิงห์กระทิงแรด หรืออาจเลวร้ายไปจนถึงปีศาจ ทั้งหมดอยู่ในคราบของคนที่เดินสวนกันตามท้องถนนย่านธุรกิจสำคัญในเมืองซึ่งถูกขนานนามว่า...เมืองแห่งนางฟ้า

รถยนต์ของดนัยเลี้ยวเข้าจอดที่คอนโดหรูหราแห่งหนึ่งในย่านชิดลม พูดประโยคพิลึกพิลั่นกับเจ้าหน้าที่ตรงฟรอนต์เดสก์

"คือผมมา...เอ่อ...มาหานิยามความหล่อสมบูรณ์แบบที่โลกจะต้องจดจำ"

เขาได้รหัสลับนี้ที่มาจากดาน่า (ดนัยถามย้ำไปห้ารอบจนมั่นใจว่าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของรายการล้อกันเล่น) คนประเภทไหนกันที่กล้าตั้งชื่อแบบนั้นให้คนอื่นเรียกตัวเอง  ที่น่าแปลกคือทุกอย่างดูจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของคอนโดแห่งนี้ไปเสียแล้ว ไม่มีใครแสดงออกถึงความตืิ่นเต้นอะไร คนพวกนั้นก็แค่ยกโทรศัพท์ขึ้นไปหาเจ้าของรหัสลับทุเรศ ๆ แบบนั้น จากนั้นก็หยิบคีย์การ์ดแล้วเดินนำเขาขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนเหมือนกิจวัตรปกติ พอถึงหน้าประตูห้องหนึ่งที่ปีกขวา กดกริ่งสามครั้งแล้วขอตัวจากไป ง่าย ๆ แบบนั้นแหละ ดาน่าบอกว่าตรี พงษ์พิพัฒน์มักจะมาช้าเสมอ และรหัสนี้ก็ถูกตั้งขึ้นมาเฉพาะสำหรับทีมงานเพื่อการนั้น

ครู่เดียวประตูก็เปิดออก ร่างโปร่งที่เป็นเจ้าของห้องอยู่ในเสื้อคลุมสีขาว จังหวะการเดินที่เหมือนกับท่วงทำนองดนตรีทำให้ชายเสื้อคลุมแกว่งไกวเหมือนปีกเล็ก ๆ ของเทวดาที่สยายอยู่ท่ามกลางปุยเมฆ ตรี พงษ์พิพัฒน์หมุนตัวกลับแล้วนั่งลงบนเก้าอี้บุผ้าฝ้าย สีเบจหยอกล้อกับผิวที่ขาวสะอาดจนดูคล้ายกับสรวงสวรรค์เล็ก ๆ เหนือท้องฟ้ากรุงเทพ

"มาถึงนี้มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า วันนี้ผมมีอัดบ่ายไม่ใช่เหรอครับ" พงษ์พิพัฒน์หลับตาพริ้ม ใบหน้าเป็นสีทองอร่ามด้วยมาร์ก

"ธุระด่วนน่ะมีแน่นอน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ถ่อมาถึงที่นี่" ดนัยพูดเสียงขรึม

พงษ์พิพัฒน์ลืมตาขึ้นแล้วมองค้าง พอเห็นว่าเป็นใครที่ยืนหน้ามุ่ยอยู่ก็อ้าปากหวอ

"ล้างหน้าก่อนก็ได้ เห็นแล้วนึกถึงพระพุทธรูป อร่ามแสบตามาก ผมพอมีเวลา"

นิยามความหล่อสมบูรณ์แบบที่โลกจะต้องจดจำหุบปากฉับ กว่าจะตั้งสติได้ก็อีกสักพัก "นี่มันมาร์กทองคำบริสุทธิ์จากเคปทาวน์เลยนะ !"

"ผมมีธุระกับคุณ ไม่เกี่ยวกับของแปลก ๆ ที่อยู่บนหน้าคุณหรอกนะ" ดนัยพูดเสียงแข็ง ดวงตาคมกริบจ้องเขม็ง "ทำไมคุณถึงไม่รับโทรศัพท์"

"ไม่เห็นเหรอว่ามาร์กหน้าอยู่"

ดนัยจิ๊ดขึ้นไปถึงสมอง ความโมโหแล่นริ้วไปทั่วทุกตารางนิ้ว "ผมโทรหาคุณเป็นร้อยครั้ง จนต้องไปถามที่อยู่มาจากทีมงาน เพียงเพราะคุณมาร์กหน้าอยู่เนี่ยนะ แล้วนี่มันรหัสมหัศจรรย์อะไรของคุณ ผมถามจริง ๆ เถอะ ไม่อายเจ้าหน้าที่เหรอ"

ตรี พงษ์พิพัฒน์เบิกตาค้าง พูดอะไรไม่ออก หยาบคายมาก คนคนนี้เป็นคนที่หยาบคายที่สุดเท่าที่ตรีเคยรู้จักมา

เห็นอีกฝ่ายเอาแต่อ้าปากหวอ ดนัยก็นิ่วหน้า "ตอบคำถามด้วย"

"ไม่ใช่แค่มาร์กหน้า ผมทำธุระที่สำคัญมาก มากกว่าที่คุณคิดมาก ๆ"

"อะไร"

"สครับบ์" ดนัยตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด "...ด้วยโคลนสีขาวจากตาฮีติ"

"เอาเป็นว่าผมจะไม่เซ้าซี้ก็แล้วกัน" แขกผู้มาเยือนพูดอย่างปลงตกและนั่นก็ดูคล้ายกับจะทำให้อีกฝ่ายถูกใจขึ้นนิดหน่อยถึงได้หลับตาพริ้มอย่างมีความสุข

"เอาละ พูดธุระของคุณมาคุณนัท" ตรี พงษ์พิพัฒน์พูด

ดนัยมองหน้าคนที่นั่งลอยหน้าลอยตาอย่างอดกลั้น นี่เขาจะต้องพูดกับพระพุทธรูปจริง ๆ ใช่ไหม ต้องพนมมือไหว้สามครั้ง กราบเบญจางคประดิษฐ์ก่อนหรือเปล่าถึงจะพอใจ ร่างสูงส่ายหัวไปมาก่อนจะเดินไปนั่งที่อีกมุมหนึ่งของห้องแล้วเริ่มเข้าธุระ

"ผมพอรู้ว่าคุณมีหัวทางการตลาด คุณเองก็เรียนจบมาทางด้านนี้ แล้วเมื่อวานที่ทำไปก็ไม่ถือว่าแย่นัก แต่ผมไม่มีเวลามาก พูดตามตรงผมต้องการกิจกรรมที่แอคทีฟกับคนดูมากกว่านี้ อะไรก็ตามที่ดึงความสนใจจากลูกค้าได้ไม่ใช่แค่พูดแล้วจบ แล้วพอถามทางทีมงาน ทุกคนก็บอกว่ายังไม่เคยทำอะไรประเภทนี้มาก่อน อยากให้มาลองพูดคุยกับคุณที่เป็นคนอยู่หน้ากล้อง" ขณะที่พูด ดวงตาคมกริบจ้องมองคนที่นั่งเอกเขนกอยู่อย่างไม่วางตา ดนัยพยายามพูดช้า ๆ แจกแจงเหตุ อธิบายความน่าจะเป็นต่าง ๆ ในเชิงทฤษฎีทางการตลาด นาทีแล้วนาทีเล่า กระทั่งอดรนทนไม่ไหว

"ช่วยพูดอะไรหน่อยได้ไหม อย่างน้อยก็ให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้พล่ามอยู่คนเดียว"

ตรีส่ายหัวไปมาก่อนจะหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนอะไรยุกยิกแล้วส่งมาให้เขา

ดนัยก้มลงมองดูตัวอักษรในแผ่นกระดาษ แทบจะขยำให้แหลกคามือ "การพูดระหว่างที่มาร์กหน้าอยู่จะทำให้เกิดริ้วรอยง่ายกว่าปกติถึงสิบเท่า อะไรของคุณไม่ทราบ" สีหน้าของนักการตลาดหนุ่มแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างเปิดเผย แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังคงนั่งอย่างมีความสุขไม่ทุกข์ร้อน

ตรี พงษ์พิพัฒน์ยื่นกระดาษอีกแผ่นส่งมาให้ "มันคือวินัยสำหรับคนที่จะอยู่ในวงการบันเทิง โอเค๊ ?"

ดนัยถอนหายใจยาว เข้าใจแล้วว่าทำไมตรี พงษ์พิพัฒน์ถึงเป็นคนที่เป็นคนชี้เป็นชี้ตายสำหรับทุกช่วงของรายการ คนคนนี้ดูจะเป็นคนสร้างปัญหาให้กับทุกฝ่าย สังเกตได้จากการเป็นที่รักยิ่งของทีมงานจนแทบไม่อยากจะมองหน้า ซึ่งแปลว่าถ้าเคลียร์กับพิธีกรสุดงี่เง่าคนนี้ได้ ทุกอย่างก็เป็นอันฉลุย

"ถ้าอย่างนั้นผมจะพูดแผนการถ่ายทำเทปต่อไปทั้งหมด ในฐานะของสปอนเซอร์นี่คือสิ่งที่ผมต้องการและหวังว่าทางรายการจะจัดการให้ได้...โดยไม่มีข้อแม้" ดนัยจงใจเว้นจังหวะคำเพื่อเน้นที่ประโยคหลัง

ตรีลืมตาขึ้นอย่างไม่ชอบใจนัก แบบนี้แล้วใครจะพูดอะไรได้

"และถ้าคุณเงียบ ผมจะถือว่าเป็นอันตกลง...ด้วยความสมัครใจ" ดนัยสรุปเอาง่าย ๆ แบบนั้น

ชายหนุ่มร่ายยาวแผนการถ่ายทำทั้งหมดราวกับติดจรวด ไม่เว้นแม้แต่ช่องจะให้แทรก ไม่มีแม้แต่จังหวะจะให้ถาม ก่อนจะสรุปเอาเองแบบทุกครั้งว่าถือเป็นอันตกลงตามนี้ ร่างสูงมองคนที่นั่งหน้าอร่ามอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง แม้จะอยู่ใต้มาร์กสีทองพิลึกพิลั่น แต่ดนัยค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายกำลังตกผลึกในความคิดอย่างรอบคอบ สังเกตจากริมฝีปากที่เหยียดตรงเป็นไม้บรรทัด และพอเขาพูดจบ ตรี พงษ์พิพัฒน์ก็นั่งหลับตาเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะสะบัดหน้าพรืดแล้วลุกขึ้นไปล้างหน้า

เพราะเป็นแบบนั้น ตรีจึงไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นสายตาแบบแมวที่จ้องจะตะครุบหนูที่อีกฝ่ายใช้มองตัวเองอยู่ตลอดเวลา

เป็นอีกครั้งที่ดนัยรู้สึกว่าการได้แกล้งคนคนนี้ดูเป็นกิจกรรมที่ตัวเองไม่รู้จักหน่าย และไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามสักนิดในการยั่วให้คนเอาแต่ใจคนนั้นโมโห ตลอดระยะเวลาการทำงานในตำแหน่งนี้ ดนัยพบปะผู้คนหน้าตาดี ในวงการบันเทิงก็มาก นอกวงการบันเทิงก็ไม่น้อย แต่ไม่มีสักคนที่ทำให้เขารู้สึกสนใจเท่านี้มาก่อน บางมุมของตรี พงษ์พิพัฒน์ก็ช่างน่าจับมาทึ้งเหลือที่จะกล่าว ขณะที่บางมุม กลับดูเหมือนคนธรรมดาที่พยายามฝืนตัวเองให้เข้มแข็งในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งกัน กึ๋นน่ะมี แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะเลือกใช้เพียงอาวุธพื้นฐานคือหน้าตาและท่วงท่าที่ชวนมองเท่านั้น

เพราะคนเราเดี๋ยวนี้ตัดสินคนแต่ภายนอกใช่ไหม คนแบบตรี พงษ์พิพัฒน์ถึงจงใจจะเลือกใช้คุณสมบัติที่เพียบพร้อมของตัวเองแค่ในด้านที่สามัญธรรมดาที่สุด

ดนัยหวนกลับมาสู่สถานการร์ตรงหน้าอีกครั้งเมื่อตรี พงษ์พิพัฒน์กลับมาพร้อมกลับใบหน้าที่สะอาดใส ผิวขาวละเอียดจนเห็นสีฝาดของเส้นเลือดที่ระเรื่ออยู่บนสองฝั่งแก้ม น่ามอง...แต่ก็น่าเสียดายที่จะให้คนอื่นเห็นเพียงด้านเดียว

"นี่ทำไมคุณยังไม่กลับ" เจ้าของห้องถามอย่างสงสัย

"ถ้าผมกลับคุณจะยังเห็นไหม"

มัวแต่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปจนลืมเวลา แต่ก็ช่างเถอะ ถือว่าเป้าหมายของตัวเองลุล่วงไปแล้ว พอคิดได้แบบนั้น ดนัยก็ไม่อยากจะรุกอีกฝ่ายให้จนแต้มมาก คนอย่างตรี พงษ์พิพัฒน์ต้องปล่อยให้ดิ้น ให้อาละวาด ถึงเวลานั้นแหละ จะเป็นช่วงเวลาที่เปล่งประกายที่สุด

บ้าน่า !

นี่เขาคิดอะไรอยู่ ! ดนัยสะอึกกับความคิดตัวเอง นี่เขาสนุกกับการเล่มเกมกับตรีตั้งแต่เมื่อไร แล้วตั้งแต่ตอนไหนที่เขาหัดสังเกตอากัปกิริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ของมนุษย์ที่แปลกพิลึกคนนั้น เกลียดนักไม่ใช่หรือ ไม่ใช่สเป็กสักนิดนี่นา แล้วทำไมไป ๆ มา ๆ ถึงได้ช่างสรรหาข้ออ้างสารพัดมาคานน้ำหนักกันไม่จบสิ้น

จากคนงี่เง่าปัญญาอ่อนกลายเป็นคนฉลาดน่าสนใจทั้งแต่เมื่อไร ?

ดนัยนิ่วหน้า นับตั้งแต่รู้จักตรี พงษ์พิพัฒน์ก็รู้สึกว่าตัวเองชักแปลกประหลาดขึ้นทุกวัน ซ้ำยังดูจะมีความสุขนักหนาเวลาที่ได้กำราบเจ้าของใบหน้าเชิดรั้นนั่น กระทั่งรู้สึกอิ่มเอิบอารมณ์ดีเวลาที่เห็นแววของความไม่พอใจที่แสดงออกอย่างเปิดเผย กระทั่งริมฝีปากที่ยื่นน้อย ๆ แบบแสนงอนนั่นก็ดูจะกลายเป็นจุดรวมของสายตาเขาโดยไม่รู้ตัวเสียทุกที

"ประสาทแล้ว เป็นพวกโรคจิตถ้ำมองหรือเปล่านะ" ตรี พงษ์พิพัฒน์พึมพำกับตัวเอง

ดนัยละสายตาขึ้นมองเพดานสีฟ้าอ่อน ตอบคำถามตัวเองไม่ได้สักอย่าง ซ้ำยังดูไม่คิดจะหาคำตอบแบบจริงจังด้วยซ้ำ ร่างสูงสูดลมหายใจลึก พยายามดับความรุ่มร้อนแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในอกอย่างไม่คาดฝัน

"ผมเปลี่ยนใจแล้ว อยู่ต่อที่นี่จนถึงเวลาไปอัดเทปรายการเลยก็แล้วกัน"

ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่เขาพูดแบบนั้นออกไป









ดอกเหลืองปรีดียาธรตัดกับสีครามของท้องฟ้าจนดูสดใส ทุก ๆ หน้าร้อน ถนนจะเต็มไปด้วยพุ่มดอกไม้สีเหลืองสะพรั่งเป็นช่อเต็มสองข้างทางเกือบตลอดทั้งหมู่บ้าน ฟังดูเหมือนจะโรแมนติก แต่เปล่าเลย ต้นเดือนเมษายนดอกไม้สวย ๆ พวกนี้จะทยอยร่วงลงมาเกลื่อนเต็มไปหมด แน่นอนว่าไม่เว้นแม้แต่บ้านเขา เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดจะเข้ามาจัดการขยะเหล่านี้สัปดาห์ละสองครั้ง แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบความไม่เป็นระเบียบอย่างพี่อายส์แล้วถือว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ นั่นแปลว่ามันคือหน้าที่ของน้องชายซึ่งถือเป็นบรรดาศักดิ์ที่ต่ำต้อยที่สุดในบ้านในการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย

"อาาา...จะละลายอยู่แล้ว ไม่รู้ว่ามนุษย์กรุงเทพใช้ชีวิตอยู่ในอากาศแบบนี้ได้ยังไงกันนะ" อริยะได้แต่บ่นพึมพำอยู่คนเดียวขณะที่ถือไม้กวาดทางมะพร้าวทำความสะอาดเศษดอกไม้ร่วงไปพลาง ๆ ไม่ใช่แค่ในรั้วบ้าน หน้าที่นี้กินอาณาเขตไปถึงหน้าบ้านด้วย

ทั้งหมดเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น ซาตานที่มาเกิดเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเขา ใครหนอใครบอกให้ปีศาจตนนั้นเปลี่ยนแผนจากไปเรียนต่อยมวยกลับมานอนเล่นอยู่ที่บ้านแบบนี้

"โอ๊ย...เหนื่อยอะไรขนาดนี้เน้อ" อริยะวางไม้กวาดที่ริมกำแพงบ้านก่อนจะละลายลงไปนั่งหอบแฮ่กอยู่ที่พื้น หน้าร้อนนี่มันแสนสาหัสจริง ๆ

"บ่นอะไรยะ เป็นผู้ชายซะเปล่า อากาศร้อนแค่นี้จะเป็นจะตาย เยอะนะ ดัดจริต !" อารดายกเท้าขึ้นเหยียบเก้าอี้หนึ่งข้าง ร่ายคำบ่นชุดใหญ่จนหน้ำใจก่อนจะนวยนาดเข้าบ้านไปในตอนที่หูชาจนไม่รู้เรื่องอะไรไปแล้ว

อริยะถอนหายใจกับตัวเองแล้วบิดตัวไปมาด้วยความเกียจคร้าน พยากรณ์อากาศหลายวันที่ผ่านมาบอกว่าอุณหภูมิจะค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นจนกว่าจะถึงวันที่ 12 เมษายนที่ถือว่าร้อนที่สุดในรอบหกสิบปี เมฆไม่มีสักก้อน ลมก็ไม่มีสักนิด ร้อนอะไรขนาดนี้

อีกสองวันเชียวเหรอ แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว

ขยับตัวแค่นิดหน่อยก็เหมือนกับเพิ่งไปตกน้ำที่ไหนมา มือหนายกขึ้นปาดเม็ดเหงื่อเล็ก ๆ ที่ซึมไปทั่วหน้าผาก เสื้อแขนกุดที่สวมอยู่เหนอะหนะจนเหนียว แดดในเดือนเมษายนไม่ใช่แค่ร้อนจัด มันยังทำให้เหนื่อยจนหมดแรงไม่อยากจะทำอะไร เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น ตั้งใจจะด่าพระอาทิตย์ให้หายแค้น หากแต่สิ่งที่สะดุดตาใต้แสงแดดแผดจ้านั้นคือร่างโปร่งซึ่งนั่งอยู่หลังกรอบหน้าต่างบนชั้นสอง อริยะยิ้มกับภาพที่เห็นนั้นโดยไม่รู้ตัว

หลายนาทีแล้วที่พิธานมองออกไปตรงเส้นขอบฟ้า แต่โฟกัสในสายตานั้นกลับจับจดอยู่ที่เงาสะท้อนของตัวเองในกระจก หนึ่งถามตัวเองหลายครั้งว่ากำลังทำอะไรอยู่ และจะทนกับเรื่องราวซ้ำซากพวกนี้ไปอีกนานแค่ไหน ความกระฉับกระเฉงและทัศนคติในแง่บวกทั้งหมดดูจะถูกเผาด้วยแดดในฤดูร้อนไปเสียแล้ว มีแต่ความเอื่อยเฉื่อยและคำถามที่ว่าเมื่อไรหน้าร้อนที่แสนยุ่งเหยิงนี้จะผ่านไปเสียทีที่อยู่เป็นเพื่อนปลอบโยนกันไม่เว้นแต่ละวัน

"ขอโทษทีน้า ช้าไปหน่อย รอนานเปล่า" อริยะเปิดประตูห้องพร้อมกับเสียงร่าเริงเช่นทุกครั้ง แต่กลับสะดุดใจในท่าทางแปลก ๆ ของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ "เอ๋...เป็นอะไรเหรอ"

"ไม่มีอะไรหรอก"

เสียงที่ขึ้นจมูกทำให้คิ้วเข้มของอาร์มขมวดด้วยความสงสัย หนึ่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นเหรอ จะเป็นอะไรไหมนะ แต่เดี๋ยวก่อน แล้วร้องเรื่องอะไรหว่า ระหว่างที่เกาหัวตัวเองแกรก ๆ ด้วยอาการมึนนั้น หนึ่งก็พูดขึ้น

"จริงสิ เรื่องทริปจักรยานน่ะ เราไม่ไปด้วยได้ไหม ไม่อยากหัดขี่อีกแล้วด้วย หัดไปก็ไม่เป็นหรอก เหนื่อยกันเปล่า ๆ"

"ไปด้วยกันเถอะ"

หนึ่งส่ายหัวช้า ๆ แล้วพูดจริงจัง "ถือว่าขอเถอะนะอาร์ม"

"เอาแบบนั้นเหรอ"

"ขอโทษนะ" หนึ่งพูดอย่างสงบแล้วลุกขึ้น "กลับบ้านก่อนนะ"

เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวสิ เนื้อตัวของอาร์มเหมือนจะแข็งทื่อไปหมด ตั้งแต่รู้จักกันมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่อาร์มเห็นหนึ่งเป็นแบบนี้ และเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน เขาจึงได้แต่ลนลาน ไม่รู้ว่าควรจะปลอบยังไงดี ไม่เอานะ อย่าร้องไห้ กูอยู่ตรงนี้นะโว้ยประมาณนี้เหรอ เวลาแบบนี้มันต้องพูดแนว ๆ ไหนกันนะ

และกว่าที่จะรู้ตัวว่าควรทำแบบไหนดี ประสาทส่วนที่ควบคุมอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายก็ทำหน้าที่ของมันเสียแล้ว

"อย่าเพิ่งกลับเลย" อาร์มพูดขึ้นขณะที่กอดร่างของคนที่กำลังจะเดินออกไปแนบแน่น

อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องปกติแบบทุกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าทำไมคราวนี้หัวใจของเขาถึงได้เต้นแปลกแปร่งกว่าที่ผ่านมานัก คล้ายกับอะดรีนาลีนแห่งความสุขจะหลั่งไหลไปทั่วร่าง แทรกซึมไปทั่วจนรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก อาร์มออกแรงบนสองแขนมากขึ้น กอดคนตรงหน้าเหมือนใส่กุญแจล็อคไว้ไม่ให้หนีไปไหน

"ทำอะไรเนี่ย" หนึ่งถาม

"ไม่รู้...คือ...ก็ไม่รู้นี่นาว่าต้องทำยังไง มีอะไรเหรอ บอกได้นะ เราอยากช่วย หรือถ้ามีปัญหากับใครเดี๋ยวจะไปจัดการให้" ดวงตาทั้งสองคนจ้องมองกันและกันอย่างจริงจัง และไม่มีใครที่จะกะพริบตา "ไปทริปขี่จักรยานกันเถอะนะ ไม่ต้องหัดอีกแล้ว ขี่ไม่เป็นก็ไม่เป็นไร แต่ไปด้วยกัน เดี๋ยวขี่ให้ แค่ซ้อนก็พอ แต่ต้องไปด้วยกัน อะไรก็ไม่รู้ แต่อย่าอยู่คนเดียวเลย มาอยู่กับเราเถอะ แบบว่า...ทำหน้าอย่างนี้มันเหมือนกำลังเจ็บอยู่เลย เหมือนกับ...อืม...ประมาณคนอกหักเลย"

อาร์มพูดอย่างรีบร้อน ก่อนที่ทุกอย่างจะดำดิ่งสู่ความเงียบสงัด หลายวินาทีต่อมา ทั้งเขาและหนึ่งไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลย แล้วความเงียบนั้นก็ทำให้อาร์มเริ่มเอะใจ

"เอ่อ...อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องนี้จริง ๆ"

เสียงถอนหายใจพร้อมกับสันกรามที่กัดแน่นของหนึ่งนั้นดูจะเป็นคำตอบที่ค่อนข้างชัดเจน ดวงตาสีเข้มของอาร์มกะพริบสองสามครั้งด้วยอาการมึน ก่อนจะสูดลมหายใจลึก เงยหน้าขึ้นมองคนที่คิดว่าตัวเองรู้จักทุกสิ่งทุกอย่างชนิดทุกแง่มุมมาเนิ่นนานหลายปี

หนึ่งก็มองกลับมาที่อาร์มเช่นกัน ดวงตาเป็นสีเข้ม แต่กลับไม่แสดงความรู้สึกอะไรเลย

"ใครเหรอ ใครกันที่ไม่ยอมรักหนึ่งวะ เอ่อ...ไม่สิ ไม่ใช่แบบนี้" อาร์มพูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก และรูํ้สึกเหมือนว่าปากคอตัวเองชักจะอยู่ไม่สุขมากขึ้นทุกที "อย่าคิดมากนะ ไม่มีใครแต่นายยังมีเรา ยังไงก็จะอยู่ข้าง ๆ หนึ่งแบบนี้แหละ"

"ประสาท" เสียงหัวเราะเบา ๆ นั้นดังขึ้นที่ข้างหูก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงกระซิบที่แสนนุ่มนวล "แต่ก็ขอบใจนะ"

หนึ่งผละตัวออกไปนั่งนิ่ง ๆ ชั่ววินาทีนั้นราวกับว่าอาร์มจะหายใจไม่ออก แม้กระทั่งขยับตัวก็ดูจะเป็นเรื่องที่งกเงิ่นกว่าควรจะเป็น จู่ ๆ เขาก็รู้สึกไม่มั่นใจว่าควรมองไปทางไหน แกล้งไม่เห็น หรือควรสบตาแบบจริงจัง สองแขนพอปล่อยจากเนื้อตัวของหนึ่งก็ดูจะไม่สามัคคีกันอีกเลย ขาก็สั่นไปหมด

"จริงสิจริงสิ เพิ่งนึกออก ลืมไปเลย มีของที่อยากจะให้น่ะ" อาร์มลุกขึ้น เดินไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา เป็นยางรัดผมสีส้มสองสามเส้น ดูสดใสเหมือนกับสีสันของฤดูร้อน

"เอ่อ..." นั่นเป็นสิ่งที่หนึ่งพอจะจินตนาการเรื่องราวต่อไปได้ และขณะนี้เขากำลังขอให้ความคิดเขานั้นเป็นเรื่องผิดพลาด ได้โปรด...หนึ่งภาวนาแบบนั้นในตอนที่อาร์มเดินกลับมาหาตัวเอง

"มัดแบบนี้ผมจะได้ไม่ตกลงมาทิ่มตานะ เหมาะกับหน้าร้อนออก ต้องมัดแบบนี้ แล้วก็แบบนี้" สองมือขยุกขยุ้มอยู่บนหัว หนึ่งรู้สึกถึงแรงตึงที่เหนือหน้าผากด้านหน้าตัวเอง อาร์มถอยหลังไปช้า ๆ แล้วจ้องหน้าเขาด้วยความตื่นเต้น "น่ารักว่ะ ! โหววว...แบบนี้สุดยอดไปเลย"

ในระยะที่ใกล้เพียงไม่กี่นิ้ว หนึ่งก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาคู่นั้นจัง ๆ อีกแล้ว

"อ้าว...ไม่ชอบเหรอ" อาร์มถาม น้ำเสียงดูจะผิดหวัง

"ไม่ใช่...ไม่ใช่แบบนั้น" หนึ่งพูดในที่สุด ขณะเดียวกันก็พยายามบังคับตัวเองให้ลืมตามองคนตรงหน้า "ขอบใจนะ"

ช่างไม่รู้เลยว่าดวงตาที่มองแบบเขิน ๆ นั้นตรึงอีกฝ่ายไม่ให้ลุกหนีไปไหน มันรู้สึกเหมือนเดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว แล้วเดี๋ยวก็เหมือนโดนฝนตกใส่ รอบ ๆ ตัวเหมือนกับเปลี่ยนวนจนครบทั้งสามฤดูจนหัวสมองมันหมุนเคว้งไปหมด อาจจะดูแปลกที่อาร์มรู้สึกเหมือนว่ามือทั้งสองข้างของตัวเองก็กำลังพันกันด้วยความตื่นเต้น ถ้อยคำมากมายซึ่งถูกขังอยู่ที่คอหอยจึงกลายเป็นเพียงความเงียบที่แสนกระอักกระอ่วน

"จ้องแบบนิ้ เขิน ๆ ยังไงไม่รู้แฮะ" อาร์มพูดด้วยเสียงที่ฟังแล้วไม่เหมือนเสียงตัวเอง

"มัดเหมือนกันสิ"

น้ำลายถูกกลืนลงลำคออย่างฝืดเฝื่อน นั่นเป็นจังหวะที่อาร์มตัดสินใจสบตาของหนึ่งอีกครั้งด้วยความรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงเนื้อผ้าบนเสื้อเสียดสีกัน...นั่นคือความต้องการที่อาร์มหวังให้มันเป็น แต่ในความเป็นจริง ความเงียบกำลังทำให้เขารับรู้ถึงจังหวะแต่ละห้วงของลมหายใจอุ่นที่ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้มันเสียดสีบนหน้าผาก สันจมูก แก้ม ปาก กระทั่งลำคอของกันและกันอย่างไม่มีใครคิดถอยหนี แรงดึงที่บนผมทำให้ศรีษะโคลงไปตามสองมือที่วุ่นวายอยู่บนหัว ชั่วเวลาขณะนั้นเองที่จู่ ๆ อาร์มก็รู้สึกอยากเอื้อมมือออกไปสัมผัสริมฝีปากสีเรื่อที่ลอยอยู่ตรงหน้าเล่นดูสักครั้ง แต่เขาก็ไม่กล้า ได้แต่จับจ้องอยู่แบบนั้นแล้วปล่อยให้หนึ่งเล่นผมของตัวเองไปตามสบาย

"มันจะดูไม่ได้เอาน่ะสิ" อาร์มพูดขึ้นในตอนที่อีกฝ่ายถอยห่างออกไปเพียงคืบ เห็นอีกฝ่ายมองนิ่งอยู่สักพัก แล้วริมฝีปากที่ดูไร้ความรู้สึกนั้นก็ค่อย ๆ เหยียดออกเป็นองศาแบบที่เขาชอบมอง

"ไม่เลย เท่ออก"

"จริงหรือ ?"

ในระยะที่ใกล้จนชิด ดวงตาของหนึ่งคล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้อาร์มอยากเข้าไปค้นหา เสียงหัวใจเหมือนจะเต้นแรงขึ้นในตอนที่เขาค่อย ๆ โน้มตัวเข้าไปสู่อาณาจักรแห่งความเคลือบแคลงนั้น คล้ายกับร่างกายของหนึ่งจะสั่นนิด ๆ แปลกที่ท่าทางหวาด ๆ นั้นกลับเหมือนสารกระตุ้นที่ปลุกเร้าความรู้สึกของอาร์มจนพลุ่งพล่าน

"อะไร ?"

"จริงหรือเปล่า ?"

"อะไรเล่า ?"

"ที่ีว่าเท่"

"ไม่รู้ แต่นี่มันใกล้ไปแล้ว" ฝ่ามือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมารั้งที่หน้าอกของคนตรงหน้า แต่ผิวอุ่น ๆ ที่มีชีวิตชีวาอยู่ภายใต้นิ้วทั้งสิบนั้นคล้ายจะทำให้ทุกอย่างเป็นอัมพาต

"ไม่จริงเลย" อาร์มยกมือขึ้นกุมข้อมือของหนึ่ง ดึงมันออกอย่างนุ่มนวลคล้ายยกมือปัดหยากไย่ที่บางเบา ทีละข้าง...ทีละข้าง... แผ่นหลังกว้างโน้มเข้ามาจนประชิด คงระยะห่างให้ใกล้เทียบเท่าเดิม "ถ้าใกล้ต้องแบบนี้"

ความห่างนั้นถูกบีบให้แคบลงอย่างเชืิ่องช้า ก่อนจะทิ้งช่องว่างเพียงประมาณสองเซนติเมตรระหว่างริมฝีปากอย่างอวดดี ในระยะที่ใกล้ สีแดงเรื่อดูเป็นแม่สีที่ถูกอาบไปด้วยแสงแดดทั้งหมดของฤดูร้อน อิ่มเอิบ และอวลไปด้วยกลิ่นของแดดอุ่น ๆ ซึ่งระอยู่ที่ปลายฟ้า

"บอกได้ไหม...รักใคร"

พิธานหลุบตาลงไปสู่แสงแดดที่ลามเลียอยู่บนพื้นห้อง แล้วไหวหัวช้า ๆ ปล่อยให้ความรู้สึกทั้งหมดสิ้นสุดไปพร้อมกับแดดของวันที่แสนอบอ้าวนี้ ความรักของเขาจะเป็นความลับในฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดกว่าทุกปี และจะกลายเป็นความทรงจำที่ระอุอยู่ในหัวใจอันมอดไหม้ดวงนี้ตลอดกาล

แดดที่ร้อนจัดสาดส่องไปทุกหนแห่งทั่วกรุงเทพ บนท้องถนน ตึกรามบ้านช่อง อาคารสูง แม้แต่ใต้เงาของช่อดอกเหลืองปรีดียาธร ระรินยืนอยู่ที่หน้าปากซอยเล็ก ๆ ของบ้านอริยะ หญิงสาวนิ่งงัน ทำอะไรไม่ถูก ภาพที่ขอบหน้าต่างเมื่อครู่เหมือนฝันร้ายในคืนฤดูร้อน และแม้จะพร่ำบอกตัวเองว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน แต่ความปวดแปลบที่หายใจอยู่ทั่วทั้งร่างกายนั้นกลับหัวเราะเยาะแล้วตะโกนใส่เธออย่างหบ้าคลั่ง

แสงแดดอันร้อนระอุของกรุงเทพ มีผู้หญิงคนหนึ่งทรุดตัวลงนั่งที่ข้างถนน แววตาคู่สวยที่ไหวระริกคู่นั้นคล้ายกับคนหลงทาง เมื่อสิ่งที่เห็น...ทุกอย่างคือความจริง









ผ่านไปอีกหนึ่งตอนแล้ว ฮึ๊บๆ หวังว่าจะยังไม่ถอดใจหน้ามืดกับเรื่องเยอะตัวละครแยะแบบนี้ไปก่อนนะครับ
แต่ละคู่เส้นเรื่องค่อนข้างชัดแล้ว หวังว่าจะทำให้พอจำตัวละครได้มากขึ้นนะครับ ฮ่าๆๆๆ
จะพยายามมาอัพให้ไวๆ ครับ ขอบคุณมากๆ ที่ยังตามอ่านกันครับ พบกันใหม่ตอนหน้านะ ^ ^

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
 ซาฮิดนี่เหมาะกับเพลง "พี่ชายที่แสนดี" มาก ๆ  อบอุ่น ดูแลน้อง

 น้องภีมกินนมสตรอเบอรี่ด้วย หวานแหวว น่าร๊ากอะ


 "นิยามความหล่อสมบูรณ์แบบที่โลกจะต้องจดจำ"      o17    ตรีมันช่างกล้าเนอะ


 อยากจะเบิร์ดกะโหลกตาอาร์ม      :angry2:     รู้ตัวได้แล้ว!!!    สงสารนุ้งหนึ่งอะ

 ระรินนี่จะช่วยให้อาร์มรู้ใจตัวเอง หรือจะมาแนวนังมารร้ายเนี่ยะ  หวั่นใจเหลือเกิน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2014 23:36:53 โดย blanchard »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ปัจจุบันของอาร์มหนึ่งนี่มีส่วนคล้ายอดีตของปืนนภหรือเปล่า แอบรักเพื่อนและต้องเก็บเป็นความลับ
ตรีนี่มันกวนโอ๊ยได้ทุกตอนสิน่า
ชอบคู่ชาฮิดธีมที่สุด รู้สึกว่าอิน้องชายมันจะออกตัวแรงเหลือเกิน แหม่ ๆๆ ตัวแค่นี้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด