Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559  (อ่าน 69634 ครั้ง)

ออฟไลน์ Deery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ทำไมฟารันปากแข็งแบบนี้
สงสารจัง
บวดเป็ดให้แล้วนะ :L2:

ออฟไลน์ LoveYoukissme

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ฟารันใจร้าย  :fire: :fire: :angry2: :angry2:

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0


              แสงจันทร์นวลผ่องสาดฟุ้งไปทั่วผืนฟ้า ยามเมื่อมันกระทบยอดเมฆก็เกิดสะท้อนเห็นเป็นขอบสีขาวเรืองๆดูแปลกตา คืนจันทร์เพ็ญนั้นแปลกนักด้วยเหมือนมันจะมีเวทย์มนต์อยู่ในตัวเอง ดวงจิตดวงใจทุกดวงภายใต้แสงเดือนมักจะไม่เป็นปรกติอย่างที่เป็น เมื่อเคยทุกข์กลับสุขได้และเมื่อเคยสงบก็กลับว้าวุ่นได้เช่นกัน เป็นเพราะจันทร์หรือเป็นเพราะสิ่งใดหรือเพราะเสียงหวูดหวิวของสายลมนั่นปะไรที่บาดใจอยู่

เหตุใดใจดวงน้อยถึงกลัดกลุ้มและสับสนถึงเพียงนี้

โรเรเนสนอนพลิกตัวไปมาอยู่หลายครั้ง ไม่แน่ใจว่าเวลานี้นั้นมันกี่ยามแล้วแต่ไม่ว่าจะข่มตาเพียงไรก็ไม่อาจจะหลับลงได้ ด้วยเพราะเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ที่ได้เจอไป ทั้งทุกข์ สับสน และไม่เข้าใจ

เขาทุกข์เป็นอย่างหนักที่รับรู้ว่าฟารันเกลียดเขา จะด้วยเพราะประชดที่ช่วงแรกเขาหนีหน้าหรือเพราะอะไรก็ตามแต่เขามั่นใจว่าฝ่ายนั้นต้องกำลังโกรธเขามากเป็นแน่ไม่เช่นนั้นจะทำเย็นชาใส่เขาไปทำไมกัน

เขาสับสนว่าตัวเองควรทำอย่างไรดี ในเมื่อฝ่ายนั้นนิ่งมาเขาก็ควรจะนิ่งตอบทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นดีหรือไม่ ไม่ต้องใส่ใจไม่ต้องคุยกันไปเลยก็น่าจะดีหรือเขาจะรวบรวมความกล้าแล้วไปจัดการเรื่องนี้เองโดยตรง เขาอาจเข้าไปขอโทษที่ทำตัวไร้มารยาทในช่วงแรกสารภาพไปว่าที่เขาหนีหน้านั้นเป็นสิ่งไม่ดีแล้วถ้าหากทำเช่นนั้นแล้ว แล้วฟารันยังมีปฏิกิริยาเย็นชาอยู่เช่นเดิมเขาก็คงต้องยอมรับ

แต่ในขณะนี้เขาก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจตัวเองอย่างมากที่สุด เขารู้ตัวว่าทั้งอารมณ์ความคิดและการกระทำหลายอย่างของเขานั้นมันช่างโง่เง่าเป็นที่สุด

 ข้อแรกเขาเป็นเทพแต่ทำไมต้องออกอาการเกรงกลัวต่อมนุษย์ธรรมดาอย่างฟารันด้วย แม้นจะเตือนตัวเองอยู่หลายครั้งว่าถ้าเจอให้เชิดหน้าไว้แต่เอาเข้าจริงเขาก็ลืมตัว ทำไม่ได้เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองอีกฝ่าย

ข้อสอง ทำไมเขาต้องใส่ใจปฏิกิริยาของอีกฝ่ายด้วย อันที่จริงเขาก็ออกจะสบายใจที่ฟารันไม่เข้ามายุ่งกับชีวิตของเขาเพราะอยู่ใกล้ทีไรก็รู้สึกอึดอัดขัดเขินตลอดๆ แต่พอฟารันห่างออกไปจริงๆก็เกิดเสียใจขึ้นมาแทนเอาแต่น้อยใจเหมือนเด็กๆ เจ็บใจตัวเองที่ทำตัวไม่ดีใส่อีกฝ่ายในตอนแรกจนทำให้กลายเป็นแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันแบบสุดขั้วและไม่มีทีท่าว่าเขาจะเข้าใจตัวเองได้ในเร็ววัน

เขาพลิกตัวอย่างแรงอีกครั้งพร้อมกับหน้ามุ่ยๆและคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแสงจันทร์สาดพาดเรือนผมสีม่วงจางและเลยออกไปยันปลายเท้า

พรุ่งนี้ต้องคุยให้ได้

เขาคิดกับตัวเองด้วยสายตามุ่งมั่น ยามนี้ตัวเขาเองไม่อาจทราบได้ว่าอะไรเป็นอะไรแม้แต่เรื่องของตัวเองยังจำมิได้นับประสาอะไรกับความเป็นมนุษย์ที่เขากำลังเป็นอยู่ เขาก็คงตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับใจตัวเองเพียงแต่ว่าตอนนี้ เขาคิดได้แค่ว่าเมื่อมีปัญหาก็ต้องพูดคุย พรุ่งนี้เขาจะต้องพบกับฟารันให้ได้และจัดการปัญหาให้หมดไปเพื่อให้ไม่ต้องทุกข์ใจอีกต่อไป หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง หลายครั้งที่ผ่านมาเขาอาจควบคุมจิตใจและการกระทำตัวเองไม่ได้ แต่พรุ่งนี้เขาต้องทำให้ได้เขาต้องคุยกับฟารันให้ได้

แพขนตาหนากระพริบถี่สองสามครั้งก่อนจะปิดลงแล้วนิ่งไป ตัดสินใจได้แล้ว  สบายใจ นอน....

แลเมฆก็เคลื่อนคล้อยผ่านไปเกิดเป็นเงาจางเลื่อนผ่านบรรดาข้าวของเครื่องใช้ในห้องเรื่อยๆไปจนแล้วจนเล่า ผ่านไปเหมือนมากมายไม่สิ้นสุด

เขาลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่ง

หลับไม่ได้เสียแล้ว ช่วงเวลาที่เขาจะต้องหลับได้ผ่านพ้นไปแล้วยามเมื่อคนเราตาตื่นจนเลยเวลาง่วงปรกติไปแล้วนั้นก็เป็นการยากที่จะข่มตาลงอีก อีกเรื่องแปลกๆแสนยุ่งยากของร่างกายมนุษย์ โรเรเนสถอนหายใจกับตัวเองอย่างเหนื่อยหน่ายแต่ฉับพลันความคิดบางอย่างก็แล่นขึ้นมาก่อนหน่วยตาที่เต็มไปด้วยความเบื่อจะแปรเป็นวาวโรจน์ร่าเริง หน้าหวานหันไปมองพระจันทร์ดวงโตนอกหน้าต่างแล้วก็อมยิ้มให้กับตัวเอง

----

                  พระราชวังยามค่ำคืนนั้นงดงามไม่แพ้ยามกลางวัน หากแต่อุณหภูมินั้นหนาวเย็นกว่ากันมากจนเขาต้องกอดกระชับเสื้อคลุมตัวหนาของตนเอาไว้เมื่อยามก้าวเดินและโชคดีที่พื้นกระเบื้องหินเย็นเยียบไม่อาจสัมผัสแผ่นเท้าบางที่สวมรองเท้าผ้ากำมะหยี่ได้ โรเรเนสย่างผ่านโถงทางเดินที่เงียบเชียบไปเหมือนแมวขโมยที่ระวังรอบตัวกลัวใครจะมาเห็น แสงไฟจากโคมที่แขวนไว้รายทางวูบไหวเล็กน้อยตามแรงลมแผ่นที่ผ่านไป ก้าวอย่างรวดเร็วแต่แผ่วเบาผ่านบานประตูไม้สลักลายมากมายไป

จนพ้นทางเดินเขาก็หลุดมาอยู่ ณ โถงกว้างโปร่งสบายที่มีเสาหินใหญ่เรียงรายอยู่โดยรอบ โถงนี้ถูกตกแต่งด้วยไม้นานาพันุ์หลายจุดและเต็มไปด้วยที่นั่งหย่อนใจ แต่นี่ก็มิใช่จุดหมายหรอกเพราะเขาวิ่งผ่านที่โล่งนี้ไปยังอีกฟากของห้องแล้วหายไปกับทางเดินเล็กๆอีกสาย มุ่งตรงไปยังจุดที่เขาภาวนาว่ามันจะถูกต้อง และแล้วเมื่อมาจนสุดทางเดินเขาก็เจอสิ่งที่อยากเจอพอดี

 บันไดวนสู่สวนกระจกที่ปีกขวา

เขายิ้มกับตัวเองแล้วเดินตรงเข้าไปผลักบานประตูลูกกรงสีเงินให้เปิดออกมันไม่ได้ลงกลอนอย่างที่เขาหวังไว้จึงเป็นการง่ายที่เขาจะเดินขึ้นไปด้านบน  วนขึ้นสูงขึ้นไปจนเริ่มได้ยินเสียงน้ำตกแว่วมาแต่ไกลๆ

 ทว่าจนเมื่อเดินขึ้นมาถึงจุดสูงสุดเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อพบตัวเองยืนอยู่กลางห้องโล่งๆไร้เครื่องเรือน มันเป็นห้องที่ถูกปูด้วยอิฐตั้งแต่พื้นไปยังเพดาน มีช่องให้ลมเข้าเป็นช่องเล็กๆเรียงไปตามกำแพงพอแสงจันทร์ส่องลอดช่องลมเข้ามาก็จะเห็นเป็นเส้นยาวๆหลายเส้นพาดอยู่กับพื้นและผนังฝั่งตรงข้าม นอกนั้นก็เป็นแค่พื้นที่โล่งๆไม่มีแม้นแต่คบเพลิง

ทว่าเสียงน้ำตกกลับชัดเจนอยู่ใกล้ๆ

เขาหรี่ตามองไปรอบๆอย่างตั้งใจไม่คิดว่าตัวเองจะโดนหลอก แต่ก็ไม่คิดว่าลากลอซจะบอกข้อมูลเกี่ยวกับสวนกระจกทั้งหมดให้แก่เขาเพราะตอนนั้นก็คงไม่คิดว่าเขาจะแอบมาที่สวนคนเดียวแบบนี้ แลเมื่อไตร่ตรองและพิศมองไปรอบๆตัว เขาก็ตัดสินใจเดินไปที่ผนังแน่นทึบที่อยู่ใกล้ๆแนบหูลงกับอิฐที่เย็นเฉียบแล้วตั้งใจฟังก่อนจะเริ่มไล่คลำและออกแรงกดไปตามแนวผนังจนในที่สุดส่วนหนึ่งของผนังก็เหมือนจะขยับจมลงไป

นั่นปะไร

เขาออกแรงผลักให้ส่วนนั้นของผนังจมลงไปทีละน้อยแรงเสียดส่งเสียงดังครืดๆเสียดหู จนเมื่อมันหยุดเขาก็พบว่าตัวเองได้เปิดบานประตูลับสำเร็จแล้วเพียงแค่แรงดันอีกเล็กน้อยบานประตูอิฐพอดีตัวก็เปิดออกเผยให้เห็นห้องที่ซ่อนอยู่ด้านใน


อากาศชื้นเย็นโชยปะทะหน้าให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างไม่เคยเจอมาก่อน กลิ่นชื้นหอบเอากลิ่นหญ้าและกลิ่นหอมแปลกๆออกมาด้วย เสียงซู่ซ่าของน้ำตกดังขึ้นชัดเจนทันทีที่ประตูเปิดกว้างจนสุดแล้วโรเรเนสก็ต้องตกตะลึงกับภาพสวนขจีตรงหน้า เขาค่อยๆเดินผ่านประตูนั้นเข้าไปเมื่อเข้าไปถึงก็ยิ่งตื่นตามากขึ้นไปอีกเพราะสวนแห่งนี้ถูกเนรมิตขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์

พื้นนิ่มปูด้วยหญ้าและตกแต่งด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ส่วนใหญ่เป็นไม้พุ่ม ไม้เลื้อย และไม้ยืนต้นขนาดกลาง พวกมันไม่ได้ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบนักแต่ก็สวยงามมากตามธรรมชาติของมัน มีทางเดินบางจุดที่ปูด้วยแผ่นหินศิลา มีลำธารสายเล็กๆไหลผ่านจากฝั่งหนึ่งของห้องไปยังอีกฝั่ง

แต่ที่น่าทึ่งที่สุดก็คงเป็นโดมน้ำตกกระจกที่สูงขึ้นไปหลายเมตร แม้นจะอยู่สูงขนาดนั้นก็ยังสามารถมองเห็นสายน้ำที่ไหลผ่านผิวกระจกได้อย่างดีทำให้เมื่อยามแสงจันทร์ส่องผ่านแผ่นกระจกเคลือบน้ำนี้เข้ามาที่พื้นสวนด้านล่างจะปรากฏเป็นเงาลายน้ำเคลื่อนไปมาเหมือนอยู่ใต้ทะเล ส่วนผนังทั้งซ้ายขวานั้นก่อด้วยอิฐศิลาแต่ถูกเจาะช่องทั้งสองฝั่งให้มีซุ้มประตูโค้งเรียงยาวไปทั้งผนังตรงซุ้มโค้งที่ถูกเจาะนี้เองที่ได้เห็นม่านน้ำตกซึ่งเป็นน้ำทีไหลลงมาจากหลังคา แม้นจะยืนห่างออกมามากแต่ไอน้ำที่เกิดจากการกระทบพื้นของม่านน้ำตกทั้งส่องฝั่งก็ยังฟุ้งมาไล้เลียผิวหน้าขาวให้รู้สึกเย็นชื้นขึ้นได้อยู่ดี ส่วนผนังท้ายสวนซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับทางเข้านั้นเป็นกระจกใสเช่นเดียวกับหลังคาโดมซึ่งส่วนด้านล่างนั้นมีประตูกระจกเปิดโล่งออกสู่ระเบียงด้านนอกได้

ช่างเป็นสวนที่สวยงามและพิสดารอย่างที่สุด เรียกได้ว่าน่าจะเป็นสวนในร่มที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นเลยก็เป็นได้ ตัวห้องนั้นเงียบเชียบมีแต่เสียงน้ำตกเท่านั้นที่ดังชัดอยู่ในความมืด ไร้แสงใดๆจากโคมไฟมีเพียงแสงจันทร์เพ็ญดวงโตที่สาดจ้าลงมาถึงพื้นหญ้า ความมืดเย็นและบรรยากาศอันแสนสงบทำให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในป่า

โรเรเนสถอดรองเท้าผ้าออกปล่อยให้ฝ่าเท้าสัมผัสหญ้านุ่มเมื่อย่างลงไปในสวน  เขาเดินลัดผ่านลำธารสายเล็กและพุ่มไม้เตี้ยๆไป แหวกฝ่าม่านของพืชตระกูลเคราฤษี เดินเรื่อยไปจนเกือบจะถึงท้ายสวน แล้วเขาก็หยุดยืนบริเวณท้ายสวนตรงนั้นเองที่ได้เห็นพุ่มไม้หนามมีก้านสีดำสนิท


กุหลาบจันทราชูช่อมากมายอยู่เหนือก้านหนามและใบสีเขียวเข้มของมัน งดงามอย่างน่าหลงใหลกลีบของมันมีสีนวลสะอาดตาเมื่อยามเงาเมฆเคลื่อนมาบัง แต่เมื่อยามต้องแสงจันทร์ผิวกลีบสีมุกของมันก็สะท้อนแสงเกิดเป็นวงรัศมีรอบๆดอกของมันจริงๆ

เด็กหนุ่มเกศม่วงเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ลืมเสียสิ้นทุกสิ่งไม่แม้นจะสังเกตใดใดรอบตัว ลืมแม้กระทั่งอุณหภูมิที่เย็นต่ำกว่าปรกติของห้องนี้ เขาถึงกับถอดเสื้อคลุมตัวโคร่งแสนเกะกะทิ้งลงพื้นแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างๆพุ่งไม้หนาม ค่อยๆเอื้อมมือที่สั่นระริกด้วยความตื่นเต้นเข้าไปสัมผัสกลีบบางอย่างแผ่วเบา มันละเอียดนุ่มอย่างไม่อาจบรรยายแต่ก็เรียบลื่นยิ่งกว่าผ้าไหมเนื้อดีผืนใดๆในโลก   กลิ่นของมันรัญจวนใจอย่างลุ่มลึก เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆที่ฟุ้งจางอยู่รอบๆ หากแม้นพยายามสูดดมอย่างจริงจังจะไม่รู้สึกว่ามีอยู่ตรงนั้น แต่เมื่อปล่อยให้ร่างกายผ่อนคลายแล้วหายใจอย่างปรกติกลิ่นหอมของมันก็จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  เขายิ้มให้แก่ดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าและรู้สึกสนุกขึ้นมากับประสบการณ์ใหม่นี้

ลูบไล้ไปทั่วตั้งแต่ตัวกลีบ ใบ หรือแม้นแต่ก้านหนามของมัน ดอมดมและเพ่งพิศสีสันที่แปรไปของดอกไม้ประหลาดนี้อย่างกระตือรือร้นและแล้วเขาก็ตัดสินใจทำบางอย่าง

“เจ้างามมากจริงๆจนข้าอดใจไม่ไหว เช่นนี้แล้ว....อภัยให้ข้าเถอะนะ” พูดจบเขาก็ก้มลงไปจุมพิตที่กลีบดอกอย่างแผ่วเบาแต่ก็เนิ่นนานเสมือนดั่งผีเสื้อโผลงมาเกาะเกสร  คราวนี้เมื่อแสงจันทร์ต้องกระทบทั้งเนื้อหน้าและผิวดอกก็ยากจะบอกได้ว่าสิ่งใดงดงามกว่ากันเมื่ออยู่ใต้เดือนเพ็ญ กุหลาบหรือคนล้วนงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
แลถึงจุดนี้ผู้ที่เร้นกายเพื่อลอบมองภาพที่งดงามที่สุดก็จำต้องปรากฏกายออกมา
“ผู้ชายดีๆเขาไม่ขโมยจูบหญิงสาวแบบที่เจ้าทำหรอกนะ” 

เจ้าของหน้าสวยสะดุ้งหนีจากดอกกุหลาบก่อนจะหันไปมองต้นเสียงอย่างตื่นตระหนก แล้วก็ได้พบว่าที่ข้างตัวมีบุรุษผู้หนึ่งได้มายืนอยู่ใกล้ๆตั้งแต่เมือใดไม่ทราบได้ เขาผู้นั้นสวมชุดเหลือบทองปักลายอร่ามตัดพอดีตัวยาวเรื่อยลงไปถึงหน้าแข้งพ้นชายเสื้อลงไปก็เป็นบูทหนังสีน้ำตาลเข้ากับชุด ส่วนด้านบนคอปกตั้งแต่ตัวเสื้อกลับผ่าลึกลงไปจนถึงหน้าอก ช่วงเอวคาดด้วยเข้มขัดสีทองทั้งหมดทั้งมวลบ่งบอกฐานันดรศักดิ์ได้อย่างครบถ้วน

“ราห์โอ!”  โรเรเนสโพล่งขึ้นและตั้งใจจะลุกหนีแต่อีกฝ่ายลงมาจับแขนเขาไว้ก่อน

“อย่ากลัวเลยข้าสัญญาว่าจะไม่ทำแบบวันนั้นอีก”

เด็กหนุ่มผู้ยังไม่ไว้ใจพยายามดึงมือให้หลุดและเขยิบตัวหนียามที่อีกฝ่ายย่อตัวลงมานั่งใกล้ๆ เมื่อร่างสูงเห็นอาการตระหนกเช่นนั้นก็ยอมปล่อยมือแล้วค่อยๆนั่งลงช้าๆโดยไม่ผลีผลามทำสิ่งใด เหมือนเวลาที่เจ้าของพยายามเข้าใกล้สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ที่ยังไม่เชื่อง

แล้วต่างฝ่ายต่างก็นิ่งกันไปเหมือนรอบางสิ่ง
เงาเมฆเคลื่อนคล้อย เสียงน้ำตกไหลดังอยู่รอบตัวหากแต่มีเพียงเท่านั้นในทั้งหมดของสรรพเสียงเมื่อทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ปริปากพูดอันใดออกมา จนเมื่อเงาสลัวเลื่อนไปให้แสงเดือนสาดพาดวงหน้างามที่ระเรื่อแดงเทียมริมฝีปากและเห็นชัดถึงแววตาคมปราบดุจเหยี่ยวของบุรุษเกศดำได้ชัดขึ้น  ยามนั้นตาหวานเศร้าก็หลุบหนีอีกฝ่ายจนเหลือให้เห็นเพียงการกระพริบสองสามครั้งของแพขนตา

ต้องไม่หนีอีก บอกตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่หนีอีก

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวคนตัวเล็ก อีกอึดใจหนึ่งเขาจึงยอมจ้องตาคนตรงข้ามอีกคราก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยท่าทีที่ยังประหม่าเล็กน้อย
“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่”

“หนึ่งเดือนมีเพียงคืนเดียวที่กุหลาบจะบานคิดว่าข้าจะพลาดรึ”
เขาพูดทั้งที่ตายังจ้องเขม็งไปที่คนตัวเล็กอย่างไม่ไหวติง โรเรเนสพยายามฝืนมองใบหน้าคมเข้มนั้นอยู่ซักพักแต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องก้มหนีลงไปอีก ความรู้สึกแปลกวูบวาบขึ้นอีกครั้งเมื่อต้องมองหน้ากับชายคนนี้ เป็นอะไรไปนะ?

“เจ้าหน้าแดง”  ผู้ที่จ้องมองสังเกตเห็นอาการนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปนขำพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“เปล่านะ” คนตัวเล็กออกอาการคัดค้านอย่างจริงจังแต่นั่นยิ่งทำให้ดูไม่น่าเชื่อยิ่งขึ้นไปอีก

“จริงสิ นี่ยิ่งแดงใหญ่แล้ว”

“ไม่จริงเสียหน่อย นี่มันกลางคืนท่านเห็นไม่ชัดหรอก”

“งั้นหรอ จะว่าข้าตาไม่ดีงั้นสิถ้างั้นต้องเข้าไปดูให้ชัดๆหรือเปล่าถึงจะเชื่อถือได้”

จบคำฟารันก็ยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆอย่างกระชั้นชิดจนคนร่างเล็กออกอาการผงะ ระยะที่ห่างกันไม่กี่กระเบียดทำให้รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงลมหายใจของกันและกัน ตาคมพิศมองผิวแก้มเนียนที่แดงซ่านเพื่อพิสูจน์คำพูดตนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นไปจ้องตาอีกฝ่าย

แล้วสองตาก็ประสบมอง
แล้วเวลาเหมือนหยุดนิ่ง
เป็นเพียงช่วงเวลาแค่อึดใจแต่เหมือนเนิ่นนานกับครั้งแรกที่ได้มองเห็นอีกฝ่ายกันอย่างเต็มตา
ตาเศร้าคู่นั้นกับแพขนตาที่เรียงตัวลากลงไปยังหางตาตกๆ ปรือมองตอบมาอย่างขัดเขิน
ใบหน้าแดงซ่านแบบเด็กแรกรุ่นเช่นเดียวกับริมฝีปากบางที่เชิดขึ้นเล็กน้อยเหมือนเด็กๆพาให้ความรู้สึกที่พยายามข่มกดไว้มานานล้นขึ้นมาในใจ มากขึ้น มากขึ้น จนแรงปรารถนาถูกฉายชัดในแววตาอย่างมิอาจปกปิด

เช่นนี้เทพหนุ่มที่ถูกจ้องก็มิอาจทานทนได้อีกแล้วกับตาคมเข้มที่มองลึกดุจเหยี่ยวเพ่งเหยื่อของอีกฝ่าย ความรู้สึกซ่านร้อนเมื่อยามใกล้ชายคนนี้นั้นมากขึ้นเรื่อยๆ  หัวใจเขาเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะและการจ้องมองนี้ก็เหมือนจะทำให้เขาละลายลงไปให้ได้ เขาขบริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยแล้วเบือนหน้าหนีไป

พลันตาคมที่ออกอาการวาวโรจน์ก็แปรไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายหนีหน้า เขามองหน้าหวานด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะพูดเสียงแผ่วคล้ายกระซิบด้วยน้ำเสียงเรียบเศร้า

“เกลียดข้าหรือเปล่า” 

แต่เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินคำถามเขาจึงหันกลับมาด้วยสีหน้าสับสนก่อนจะพูดสวนไปอย่างไม่แน่ใจ

“ข้าต่างหากที่อยากจะถามท่านเช่นนั้น”  ราห์โอหนุ่มถอยกลับไปพร้อมสีหน้าประหลาดใจ

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”

“ก็...ก็ท่าน เย็นชาแล้วก็ไม่ยอมคุยกับข้าเลย”

“ก็เจ้าหนีหน้าข้า อย่าปฏิเสธนะข้ารู้อยู่ว่าเมื่อต้นเดือนก่อนเจ้าพยายามหนีข้า”

พอได้ยินแบบนั้นโรเรเนสก็มองตอบด้วยสีหน้าสำนึกผิด
“โกรธหรอ” 

ฟารันมองคนตัวเล็กด้วยสายตาเอ็นดูเมื่อเห็นกิริยาหงอยๆแบบนั้นก่อนจะพูดต่ออย่างเรียบๆ
“ไม่ใช่ หากแต่ข้าคิดว่าเจ้าเกลียดข้าถึงได้หนีหน้าข้าแบบนั้น ข้าเลยไม่อยากทำให้เจ้าลำบากใจเลยคิดว่าถ้าห่างกันไปแบบนั้นเจ้าจะสบายใจกว่า อีกอย่างทุกครั้งที่เราเจอกันเจ้าก็เหมือนไม่อยากจะเจอ”

“จริงหรอ”

“จริงสิ ก็เจ้าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา”

“เปล่านะ”

“เจ้าไม่เห็นหน้าตัวเองล่ะสิ อย่างเมื่อตอนกลางวันนั่นก็อีกแค่เจอหน้าข้าก็น้ำตาคลอแล้ว แล้วไหนจะวันก่อนๆอีกขนาดมองหน้าข้าตรงๆยังไม่อยากจะมองเลยไม่ใช่หรอ”

“ก็ ก็นั่นมันเพราะ...มันแปลกๆ ข้าไม่ได้เกลียดท่านนะมันแค่แปลกๆข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันข้าเลยทนอยู่ใกล้ท่านไม่ได้ แล้วส่วนเรื่องเมื่อตอนกลางวันนั่นมันก็เพราะท่านนั่นแหละทำหน้าเศร้าแปลกๆจนข้ารู้สึกแย่ตาม”

“หืม?ที่ว่าแปลกๆยังไงกัน”

“ก็ มันน่าอึดอัดแล้วในตัวข้าก็ร้อนๆ แล้วก็ใจเต้นแรงมากเลยตั้งแต่ที่ท่านทำแบบนั้นวันนั้น มัน มันทำให้ข้าอึดอัดแล้วก็หายใจไม่สะดวก ข้ากลัวว่าถ้าเป็นแบบนี้ข้าจะหน้ามืดเหมือนวันนั้นอีก”

แต่พอได้ยินจนจบคำฟารันพยักหน้ารับคำด้วยสายตากรุ้มกริ้มและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
 “อ่อ....อื้ม”   

“อะ  อะไรหรอ”

“ไม่แปลกหรอก สาวๆหลายคนที่เจอข้าก็เป็นแบบเจ้าเหมือนกัน” 

“ไม่ใช่นะ! ข้าไม่ได้ ข้าไม่ได้รุ้สึกกับท่านแบบนั้นเหมือนที่พวกผุ้หญิงเป็นนั่นท่านเข้าใจผิดไปแล้วนะ ข้าว่านี่มันเป็นเพราะหัวใจข้ายังไม่แข็งแรงต่างหาก”

 “อ้อ งั้นหรอ ถ้างั้นบอกข้าหน่อยว่าตอนนี้สุขภาพเจ้าเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“ก็ดีขึ้นบ้าง”

“โอ้ ถ้าอย่างนั้น”

ฟารันขยับตัวเหมือนจะเข้าหา แต่โรเรเนสก็รีบเขยิบหนีก่อนจะโพล่งออกไปอย่างฉับพลันด้วยสีหน้าประท้วงอย่างสุดฤทธิ์
“แต่นั่นไม่ได้แปลว่าข้าจะทำเรื่องแบบนั้นได้แล้วนะ!” 

คนตัวเล็กระแวดระวังอย่างเต็มที่กับทุกท่าทีของอีกฝ่ายโดยการจับยึดเสื้อผ้าตัวเองไว้อย่างแน่นเหนียว กษัตริย์หนุ่มที่เห็นอาการขัดขืนแสนน่ารักแบบนั้นก็เผลอหลุดขำออกมาอย่างทนไม่ได้ แต่โรเรเนสออกจะไม่ชอบใจที่โดนหัวเราะจึงลุกหนีแล้วไปหยิบเสื้อคลุมที่ตนทิ้งไว้มาสวมให้กระชับก่อนจะยืนมองอีกคนด้วยสายตาค้อนน้อยๆ

ฟารันพยายามสงบสติอารมณ์แล้วจึงยืนขึ้นก่อนจะยื่นมือออกไปหาเด็กหนุ่ม
“ข้าว่าเรื่องนี้เราน่าจะออกไปคุยกันข้างนอกนะ” 

โรเรเนสยังมองมือข้างนั้นอย่างไม่ไว้ใจ ฟารันจึงพูดต่อด้วยซุ่มเสียงที่อ่อนโยนขึ้น

“ข้าสัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทำแบบวันนั้นอีก มาเถอะ” 


ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
อย่างละล้าละลังและไม่แน่ใจ นิ้วเรียวก็โผล่พ้นแขนเสื้อตัวยาวออกมาเล็กน้อยก่อนจะเคลื่อนออกไปแตะกับปลายนิ้วอีกฝ่าย ฟารันจูงมือเด็กหนุ่มให้เดินตามออกไปที่ระเบียงด้านนอก ซึ่งถูกขวางกั้นเอาไว้เพียงแผ่นกระจกบาง พวกเขาเดินพ้นออกจากสวนมาสู่ระเบียงโล่งกว้างด้านนอกที่มีเพียงม้านั่งตัวยาวเพียงตัวเดียวที่ตั้งอยู่ ดาวบนฟ้าดูถนัดชัดมากขึ้นเมื่ออยู่ด้านนอกพอๆกับลมที่พัดโชยมาปะทะคนตัวเล็กกระชับเสื้อคลุมให้มิดชิดมากขึ้นเมื่อพบว่าอากาศนั้นเย็นกว่าที่คิดไว้มาก

“ยามกลางวันก็จะร้อนมาก ส่วนยามกลางคืนก็เย็นเยือกเป็นเช่นนี้เสมอในสปันเทีย” 

 โรเรเนสยื่นหน้าออกไปมองนอกระเบียงแลเห็นแสงไฟอยู่เป็นบางจุดจากบ้านเมืองอันแสนศิวิไลด้านล่าง
“ช่างต่างกันอย่างน่าประหลาด”

“ใช่ต่างกันมาก”

ลมแรงพัดมาอีกระลอกจนเด็กหนุ่มต้องกอดตัวเองไว้เมื่อลมหนาวผ่านไปเขาถึงกับจามออกมาด้วยร่างกายไม่เคยชิน ตามปรกติเวลาแบบนี้เขาคงนอนหลับสนิทอยู่บนที่นอนแล้วไม่เคยเลยซักครั้งที่จะออกมาตากลมอย่างที่เป็นอยู่ ฟารันเห็นเช่นนั้นก็มองอย่างเฉยเมยทว่าจู่ๆก็ดึงคนตัวเล็กเข้าไปกอดเสียอย่างนั้น แต่โรเรเนสยันกายให้ห่างตามสัญชาติญาณ แต่แล้วก็นิ่งไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแค่กอดตนเพื่อให้อุ่นเฉยๆมิได้ทำไปมากกว่านั้น

“สัญญาก็คือสัญญาราห์โอตรัสแล้วไม่คืนคำหรอก”  กษัตริย์หนุ่มก้มลงไปยิ้มให้กับอีกคนที่สูงแค่คาง แม้นฝ่ายนั้นไม่ได้เงยมามองตอบแต่ก็เห็นแล้วว่าหน้าแดงๆดั่งลูกตำลึงนั้นกำลังบ่ายหนีแผงอกแน่นอย่างเอียงอาย

“เจ้าจะซุกหน้าลงไปกับไหล่ข้าเลยก็ได้นะจมูกจะได้อุ่นขึ้นด้วย”

“มะ ไม่”

“ตามใจ”

...........

ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อรู้สึกว่านานเกินไปตาหวานจึงเหลือบมองคนตรงหน้าอย่างสงสัยแต่ก็เห็นเพียงใบหน้าเรียบเฉยที่มองออกไปยังเมืองเบื้องล่างเหมือนลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังกอดคนอื่ยอยู่ เขาจึงเอ่ยปากทักท้วงขึ้นมา

“เอิ่ม ข้าไม่เป็นไรแล้วท่านปล่อยข้าเถอะ”

“หืม ปล่อยทำไมล่ะ”

“ก็ข้าไม่หนาวแล้วไง”

“คิดว่าข้ากอดเจ้าเพราะเห็นว่าเจ้าหนาวหรือไร”

“เช่นนั้นกอดข้าทำไมเล่า”

“อยากทำ” 

“ฮื่ออออ” ร่างเล็กส่งเสียงครางหงุดหงิดในลำคอออกมาเหมือนเด็กถูกขัดใจ แล้วจึงตามด้วยการถอนหายใจแบบเซ็งๆ 

แต่องค์ราห์โอไม่ถือสากลับลอบยิ้มให้กับกิริยาเหล่านั้นแทนก่อนเปลี่ยนเรื่องเพื่อพูดต่อ
“ว่าแต่พูดถึงเรื่องที่เราสองเข้าใจผิดกันไปเอง สรุปว่าเจ้าไม่ได้เกลียดข้าแต่ที่หนีหน้าในตอนแรกเพราะเชินใช่ไหม”

“อ่า ข้าไม่ได้เกลียดท่านแต่ข้าไม่ได้เขินนะบอกแล้วว่ามันแปลกเฉยๆ”

“แล้วแต่จะเรียก ว่าแต่ได้รู้แบบนี้เจ้ารู้สึกดีขึ้นหรือยัง”

“ไม่รู้สิ....”

   ตาเศร้าก้มหน้างุดด้วยอาการเย็นชาที่อีกฝ่ายกระทำใส่ตอนก่อนหน้ายังติดตรึง การจะบอกว่าตอนนี้สบายดีหายน้อยใจทันทีที่ได้คุยก็คงจะยังไม่ใช่  ร่างสูงลอบมองใบหน้าหงอยอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่างออกมาด้วยเสียงที่อ่อนโยน

“ข้าขอโทษ”

คำพูดแผ่วเบาหลุดออกมาจากปากคนที่ไม่น่าจะยอมโอนอ่อนให้ใครทำให้ผู้ฟังถึงกลับเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความประหลาดใจ เขาจึงต้องย้ำให้แน่ชัดอีกครั้งด้วยคำพูดเดิม

“ข้าขอโทษ ข้าไม่น่าทำกับเจ้าแบบนั้นเลยอันที่จริงข้าน่าจะคุยกับเจ้าให้รู้เรื่องมากกว่าจะหลีกหนีไปเช่นนั้น”

“อย่าพูดแบบนั้นเลย ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษมันเป็นเพราะข้าเองที่ทำให้ท่านเข้าใจผิด”

กษัตริย์หนุ่มสบตาอีกฝ่ายนิ่งอึดใจหนึ่งแล้วจึงพยักหน้ารับช้าๆ

“อืม..ถ้าเข้าใจกันแบบนี้ก็ ถือว่าเราดีกันแล้วใช่ไหม”

“ก็หากท่านไม่ทำตัวเย็นชาอีกมันก็คงไม่มีอะไร”

“แน่นอน”

 “อ่อแต่ติดอยู่นิดนึง”

“อะไร?”

“ท่านยังไม่ยอมปล่อยข้า”

รอยยิ้มอันอ่อนโยนแปรไปเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางน่ารักแบบนั้น มันกลายเป็นรอยยิ้มที่เอ็นดูปนขี้แกล้งเหมือนจะหมั่นเขี้ยว แต่นั่นก็เป็นเพียงวูบหนึ่งเท่านั้นก่อนเจ้าของตาคมจะดึงสีหน้าให้กลับไปเรียบเฉยเหมือนแกล้งไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับคำท้วงของอีกฝ่าย
“อยู่แบบนี้ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนิ”

“ก็มันแปลกๆ”

“แปลกอะไรผู้ชายกอดกันไม่เป็นไรหรอก ถ้าเจ้าเป็นผู้หญิงสิถึงจะดูไม่งาม”

“มันไม่ดีต่อสุขภาพหัวใจข้านะ ท่านกอดข้าแบบนี้ใจข้าเต้นแรงมากเลย”

“จะบอกว่าเดี๋ยวเจ้าจะหัวใจวายตายเพราะข้ากอดงั้นรึ ไม่จริงล่ะม้างข้าก็ยังเห็นเจ้าสบายดีอยู่”

“ม่ายหรอก” โรเรเนสพูดตอบด้วยเสียงอ่อยๆ

   คนขี้โกง...........

“ว่าแต่น่าคิดเหมือนกันนะว่าข้าทำได้แค่ไหน”

“หา?” คราวนี้เด็กหนุ่มเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ

“ก็สุขภาพหัวใจเจ้ายังไม่พร้อมจะให้ข้าเค้นAngel syrupใช่ไหมเล่า แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าพร้อมแล้วล่ะ”

“อ่าม...เอ่อ..เดี๋ยวท่านหมอก็บอกท่านเองกระมัง”

“แล้วข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่ปฏิเสธข้า เจ้ารับปากหรือไม่ว่าหากท่านหมอกล่าวว่าเจ้าหายดีแล้วเจ้าจะยอมข้าแต่โดยดี”

“.............”

“หรือหากเจ้าล้มลงไปอย่างครั้งนั้นอีก ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะตายจริงๆหรือแสร้งทำเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสจากข้า”

คนตัวเล็กนิ่งคิดอยู่นิดนึงก่อนจะตอบออกไป

“ถ้าท่านไม่เชื่อใจข้าเช่นนี้   งั้น....ถ้าข้าพร้อมข้าจะเป็นคนบอกท่านเอง”

แต่อีกฝ่ายที่ได้ฟังไม่สนใจในท้ายประโยคเขายังกอดเด็กหนุ่มไว้แล้วพูดต่อ
“เป็นคำตอบที่ดี แต่ยังไม่ดีที่สุด”

“หา?”

“ข้ายังไม่รู้นี่ว่าเจ้าจะพร้อมเมื่อใด สัปดาห์ เดือน ปี ข้าปล่อยให้คนแปลกหน้าอาศัยอยู่ในบ้านโดยไม่มีสถานะชัดเจนนานขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะ ถ้าพิสูจน์ได้เร็วๆว่าเจ้าเป็นเทพจริงจะได้จัดการทุกอย่างให้เป็นเรื่องเป็นราว”

หากมองในมุมของฟารันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องนี้โรเรเนสเข้าใจได้ดีเพราะกษัตริย์ต้องฟังคำรอบข้างและตัดสินทุกอย่าง อย่างมีหลักฐาน เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่นหากแม้นองค์ราห์โอยังซื่อสัตย์ไม่ได้การที่จะหวังให้คนอื่นทำบ้างก็คงจะยาก เช่นนั้นการที่เขาจะขอให้ฟารันเชื่อเขาโดยไม่ต้องพิสูจน์เรื่องAngel syrupก็คงเป็นไปไม่ได้ หากแต่ตัวเขาเองก็ไม่กล้าพอจะให้อีกฝ่ายสัมผัสตัวเช่นนั้น เขาเองก็ไม่กล้ารับปากจริงๆว่าถึงเวลาที่ท่านหมออนุญาตให้ทำได้เขาจะยอมอีกฝ่ายหรือไม่

“ถ้าแบบนั้นท่านจะให้ข้าทำอย่างไรล่ะ แต่ว่าถ้าจู่ๆจะมาทำแบบนั้นข้าก็ ก็ กลัวว่า...” 

“ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าไม่ทำอะไรอุกอาจแบบคราวนั้นอีกแล้วแต่ว่าต้องมีการทดสอบเพื่อที่ข้าจะได้รู้ว่าเจ้าพร้อมไหม”

“ท่านจะทดสอบข้าอย่างไร?”

ผู้ที่ได้ฟังคำถามทำเป็นเคร่งขรึมครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะพูดอย่างเรียบๆ

 “ก็อย่างเช่น.... ถ้าข้ากอดแบบนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” พูดจบเจ้าของอ้อมกอดก็กอดกระชับให้แน่นขึ้นอีก จนรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของคนตัวเล็กที่ค่อยๆสูบฉีดมากขึ้นจนใบหน้าเริ่มแดงหนักขึ้นกว่าเก่า

“ข้าไม่รู้ แต่ แต่มันร้อนๆ” 

องค์ราห์โอลอบยิ้มก่อนจะก้มลงกระซิบเบาๆที่หูของอีกฝ่าย

“ข้าถึงถามในตอนแรกไงว่าข้าทำได้แค่ไหน ถ้าการกอดยังไม่ทำให้เจ้าหัวใจวายตายงั้นก็ถือว่าไม่เป็นไรใช่ไหม”

“.............”

“แล้วถ้าแบบนี้ล่ะจะตายไหม”

ฟารันจุมพิตลงที่พวงแก้มของเด็กหนุ่มซึ่งอายจนต้องร้องประท้วงออกมาแล้วอิดออดขอให้ร่างสูงปล่อยตน

“ระ ราห์โอปล่อยข้าเถอะ”

หากแต่ไม่แม้นจะฟังคำท้วงเขาก้มลงไปประทับปากตนกับผิวแก้มแดงอีกครั้ง แม้ฝ่ายนั้นจะบ่ายหนีแต่ก็ไม่พ้นโดนหอมจนได้

“ราห์โอ”

“มีเหตุผลหน่อยสิ ถ้าข้าไม่ทดสอบจะรู้ได้ไงว่าหัวใจเจ้ารับได้แค่ไหน”

 แต่ร่างเล็กไม่อาจทานรับความรู้สึกวาบหวามนี้ได้มากนัก เรี่ยวแรงเขาน้อยลงเรื่อยๆและลมหายใจก็เหมือนจะหลุดลอยหายไปเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของชายคนนี้ อันที่จริงอย่าว่าแต่กอดเลยแค่ให้เขามองหน้าฟารันเฉยๆก็จะละลายอยู่แล้ว เขาจึงมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเว้าวอนก่อนจะขอร้องออกไปด้วยเสียงที่เริ่มสั่นน้อยๆ

“ดะ ได้แค่นี้ล่ะ ได้โปรดเถิดหัวใจข้า มัน....” 

แต่จู่ๆคำพูดก็กลืนหายไปเหลือเพียงตาหวานๆที่มองส่งไปอย่างอ้อนวอน ริมฝีปากบางเม้มลงอย่างประหม่า หากแต่ทั้งหมดนั้นน่ารักเกินกว่าจะทนไหว เช่นนั้นแค่ชั่วอึดใจของการประสานตาจึงตามมาด้วยการประกบกันของริมฝีปาก
ร่างสูงโน้มตัวลงไปจูบโดยไม่แม้นจะชั่งใจ เด็กหนุ่มสะดุ้งน้อยด้วยความกลัวและพยายามขัดขืน

“อื้อออ!”

เขาร้องตกใจหากแต่อีกฝ่ายก็กระทำลงไปอย่างอ่อนโยนเนิบช้าและแนบแน่น ความดูดดื่มซาบซ่านที่เริ่มก่อตัวสูบเอาพลังทั้งหมดให้หายไป ทีละน้อย ทีละน้อยจนความผวาค่อยๆคลายตัว ลิ้นสากสอดเข้าไปเก็บเกี่ยวรสหวานนุ่มจากอีกฝ่ายดั่งผึ้งดูดน้ำหวานที่ละน้อย ทีละน้อย อย่างนุ่มนวล

“อือ อืมมม”

เสียงประท้วงพลันเปลี่ยนเป็นเสียงครางอย่างคล้อยตามพร้อมกับลมหายใจขาดห้วง สองมือกำสาบเสื้อคนร่างสูงไว้แน่นแล้วเมื่อหัวใจดวงน้อยพลันหล่นหายแลหลงลืมไปกับการกระทำอันซ่านร้อนแต่หอมหวาน นิ้วเรียวยาวเหล่านั้นก็คลายออกก่อนจะเริ่มเคลื่อนขึ้นไปโอบรอบคอคนที่สูงกว่าเอาไว้

 จังหวะซ้ำๆถูกส่งจากผู้นำสู่ผู้ตามเหมือนพร่ำสอน จนเมื่อเครื่องโอฐหวานนิ่มของเด็กหนุ่มเรียนรู้ที่จะคล้อยตามอย่างถูกต้องกิจกรรมนี้ก็เป็นไปอย่างลื่นไหลเพลิดเพลินเช่นการเต้นรำ ทีละน้อย ทีละน้อย....

 และยามที่ทุกอย่างถึงจุดที่เหมาะสมพลันระดับของความร้อนก็ทวีเป็นหนักหน่วงยิ่งขึ้นเช่นการไล่เสียงของตัวโน๊ต มันเริ่มไล่ขึ้นเป็นความเร่าร้อนปลุกปั่นจนระทวย แรงขึ้นและแรงขึ้น ทว่าก่อนจะถึงจุดที่เต็มอิ่มนั้น.....

ฉับพลันเจ้าของตาคมก็ถอนปากออกกะทันหันเหมือนกลั่นแกล้ง ปล่อยให้ริมฝีปากบางเผยอค้างอย่างปรารถนา สายตาเว้าวอนปนสงสัยถูกส่งออกมาจากดวงตาหวานเศร้านั้นโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยอารมณ์ที่คั่งค้างทำให้ชั่วแวบหนึ่งเขาหวังให้อีกฝ่ายการะทำต่อ  หากแต่สติที่หลงเหลือฉุดให้เขาเข้าใจได้ว่ากำลังโดนทดสอบเทพหนุ่มเลยรู้สึกเขินอายต่อปฏิกิริยาของตนเป็นอันมาก เขาจึงออกอาการเหนียมและทำหน้าเหมือนโดนจับได้ว่ากระทำผิด ก่อนจะซุกหน้าลงกับบ่ากว้างของอีกฝ่ายคล้ายอยากจะหายไป ร่างสูงลอบมองกิริยานั้นอย่างเอ็นดูแล้วก็พูดกระเซ้าเล่นด้วยซุ่มเสียงอ่อนโยน

“สอนง่ายเหมือนกันนะเรา”

แต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมตอบอะไรได้แต่ซบหน้านิ่งเหมือนเด็กๆ องค์ราห์โอไม่จึงไม่เย้าต่อซ้ำยังปรารถนาให้อยู่อย่างนี้ไปนานๆ ท้ายแล้วทั้งสองจึงยืนกอดกันอย่างนิ่งเงียบท่ามกลางหมู่ดาวนับล้านที่พยายามสู้แสงจันทร์


 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

จบไปอีกตอนขอบพระคุณที่มาอ่านกันนะคะ หวังว่าจะสนุกนะคะ เอิ๊ก ใสๆหวานๆเตรียมไว้ก่อนจะเลือดพุ่ง เอิ๊ก

ออฟไลน์ Deery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มาจิ้มๆก่อนนะ
บวดเป็ดให้แล้ว
เป็นกำลังใจให้นะ ชอบเรื่องนี้มากเลย :mew1:

ออฟไลน์ Deery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อุ้ย! จูบกันแล้ว
สงสัยจะมีบททดสอบใหญเร็วๆนี้ กิกิ

ออฟไลน์ padloms

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โรเรเนส น่ารัก :กอด1: :กอด1:
:pig4:

ออฟไลน์ plengpit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
 :-[ โอ้ย เขิน น่ารักกกก

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ราโอนี้ร้ายจริงๆ นายเอกผมยิ่งไร้เดียงสายุ หวังว่าราโอจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ เดียวบอกคนแต่งมห้เปลี่ยนพระเอกเลยนิ

ออฟไลน์ pare_140

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






@Lucifer_Prince@

  • บุคคลทั่วไป
เขินนนนนนนนนน
 :o8:  :-[  :impress2:

ออฟไลน์ jamlovenami

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 639
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ดีกันไม่ทันไร ก็หวานใส่เลยนะฟารัน  :hao7:

ออฟไลน์ oilzii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
แม้นสวนกระจกยามราตรีของพระราชวังแห่งสปันเทียจะอบอวลไปด้วยความหอมหวาน หากแต่ในเวลาเดียวกันเบื้องล่างลงไปชีวิตหลังตะวันลับของเมืองหลวงกลับพลุกพล่านวุ่นวายไปด้วยเสียงอึกทึกของบรรดาชายหญิงที่รักสนุก โดยเฉพาะย่านนางโลมที่ไม่เคยหลับไหล เสียงเฮฮาของนักเที่ยวและนางคณิกาคละเคล้าปนกับเสียงต่อยตีของคนเมา หลายผู้สุขล้นหลายผู้บอบช้ำหลากหลายมั่วซั่วกันไปในย่านอาไคอา แห่งนี้

ภายในอาคารที่ตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยเหล่าผ้าม่านมากมายและโคมไฟหลากสีที่ส่องสว่าง เมื่อเดินผ่านเข้าไปในซุ้มประตูก็จะพบห้องโถงที่เต็มไปด้วยสาวงามร้องเรียกหาลูกค้ากันเซ็งแซ่ แม่เล้าตัวอ้วนยิ้มร่าอย่างเป็นมิตรทักทายบุรุษทั้งหลายอย่างคุ้นเคยด้วยส่วนมากเป็นลูกค้าประจำ เหล่าแขกเหรื่อมากหน้าจับจองหญิงงามนุ่งน้อยหุ่มน้อยเป็นของตนเองมากได้เท่าที่จะจ่ายไหว บ้างก็มาเพื่อหาที่สังสรรค์กับเพื่อน บ้างก็ตั้งใจมาเที่ยวหญิงอย่างจริงจัง และมีบางครั้งที่บางคนใช้ที่อโคจรมาเป็นที่ซื้อขายและวางแผนทำการชั่ว

โยเฮนขุนนางสูงวัยหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์ไวน์อยู่ในห้องรับรองส่วนตัว  เขาหัวร่องอหายอยู่กับสาวๆที่นั่งขนาบข้างหยิบอาหารมากมายเข้าปากและหันไปพูดคุยกับสหายอีกสองคนที่อยู่ในสภาพเดียวกัน เหล่าขุนนางวัยกลางคนดูระรื่นสุขอุราจนน่าทุเรศกับกิริยาตะกละตะกลามที่แสดงออกมา พวกเขาดื่ม กินมาหลายชั่วโมงจนท้ายสุดเมื่อถึงเวลานัดหมายก็ต้องเชิญบรรดาหญิงบริการทั้งหลายให้ออกไปก่อนด้วยอ้างว่าต้องคุยเรื่องสำคัญ  หากแต่ผู้ที่จะพูดเรื่องสำคัญนั้นไม่ใช่ขุนนางทั้งสามในห้อง แต่เป็นผู้ที่มาใหม่อย่างไม่ให้ซุ่มเสียงและไม่ทันตั้งตัว

“สภาพอุบาทว์เหมือนเดิม”

 เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางหน้าต่างแต่เมื่อทั้งสามหันไปก็พบเพียงผ้าม่านที่โบกไสว โยเฮนคิ้วขมวดด้วยความงุนงงเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาก็พบว่าเจ้าของเสียงได้มายืนอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องเสียแล้ว

ผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มร่างเปรียวผมสีเงินเขาแต่งกายด้วยชุดที่แลดูทะมัดทแมงสีดำสนิท สองข้างเอวมีอาวุธประเภทมีดสั้นเหน็บอยู่ บริเวณลำคอตั้งแต่ส่วนที่อยู่ใต้ปกเสื้อมีแถบผ้าสีดำพัดรอบไล่ขึ้นไปถึงจมูกทำให้เห็นใบหน้านั้นได้เพียงครึ่งเดียวจุดรวมสายตาจึงเป็นม่านตาสีเทาที่แลดูเย็นชาและไร้ความรู้สึกเป็นที่สุด

“นักฆ่าเงาข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามาไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงแบบนี้” 

โยเฮนออกเสียงดุแต่อีกฝ่ายไปสนใจเอาแต่จ้องพิศพวกขุนนางด้วยสายตารังเกียจ โดยหนึ่งในนั้นที่มีรูปร่างอ้วนแลดูกลัดมันเอ่ยทักทายอีกฝ่ายขึ้น

“สวัสดีท่านนักฆ่าเงาข้ามีนามว่าคาฮูม ข้าได้ยินกิติศัพท์ของท่านมามากแล้วขอบอกว่าประทับใจในความสามารถของท่านจริงๆได้ข่าวว่าท่านไม่เคยทำงานพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว” 

ผู้ถูกเกล่าถึงไม่ได้สนใจแม้จะมอง แต่โยเฮนกลับหัวเราะในลำคอกับแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหยียด

“ไม่ถูกนักหรอกคาฮูมเพื่อนรัก หากจะพลาดก็มีครั้งหนึ่งก็ตอนที่เขาคนนี้นี่ล่ะปล่อยให้เจ้าเทพหัวม่วงนั่นรอดมาได้จนพวกเราต้องมาลำบากตามล้างตามเช็ดกันอยู่นี่ไง” 

คราวนี้ปรากฎแววโรจน์โกรธขึ้นในแววตาที่เย็นชานั้นเขาตอบโต้กลับไปด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“ครานั้นท่านสั่งให้ข้าซุ่มสังหารเทพสตรีที่จะลงมาแต่ที่ลงมากลับเป็นเทพบุรุษ ข้าไม่ทำก็ถูกแล้วเพราะนั่นถือว่าท่านไม่ได้สั่ง การที่ข้าอุตส่าห์ไปบอกเจ้าหัวหน้ายามคนของท่านก็บุญแค่ไหนแล้ว ไปโทษไอ้แก่หื่นที่เห็นแก่กามราคะนั่นเถอะที่ทำให้แผนท่านเสีย”

“ปากดีเหมือนเดิมนะไอ้เด็กเวร จะพุดอะไรก็พูดไปเถอะยังไงข้าก้ยังเป็นลูกค้าของเจ้าอยู่คราวนี้พาคนที่ข้าต้องการจะพบมาด้วยหรือไม่”

“พามา แต่เห็นสภาพของพวกท่านแล้วเริ่มไม่อยากให้เจอแล้ว”

“โฮ่ นี่เห็นว่าข้าต้อยต่ำขนาดไม่คู่ควรจะพบท่านพ่อมดคาราซัสผู้ยิ่งใหญ่สหายเจ้านักหรือไง”

“เปล่าหรอกเขาหวงข้าเฉยๆ”

เสียงใสๆดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออกหนุ่มน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งเดิมเข้ามา เขาสวมเสื้อคลุมที่ยาวลงไปถึงเท้าและมีกระเป๋าหนังใบใหญ่อยู่ในมือ ดวงตาสีฟ้าสดใสและผมสีทองสว่างบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นคนมาจากทางเหนือ หน้าตาเริงร่าของเขาเหมือนเด็กที่กำลังจะได้เล่นของสนุก หากพิจราณาโดยคร่าวๆเหมือนเป็นเด็กอายุแค่12-13 ปีเท่านั้น 
ขุนนางรุ่นลุงทั้งสามมองเด็กน้อยอย่างงงวยก่อนจะสบตากันไปมา โยเฮนเห็นแบบนี้ก็ต่อว่าอย่างฉุนเฉียว

“ไหนเจ้าว่าจะพาท่านพ่อมดมายังไง ไหงพาเด็กมาแทน”  เจ้าของตาฟ้ายกยิ้มแล้วตอบกลับไป

“ลุงเอ๋ย แก่แล้วยังตาไม่ถึงอีกข้านี่แหละพ่อมดคาราซัสผู้โด่งดัง” 
โยเฮนมองเด็กน้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วสถบออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“ปัญญาอ่อน! จะให้ข้าเชื่อรึว่าเด็กเพี้ยนแบบนี้เป็นพ่อมด!” 

ฟ้าววววว ฉึก 

เสียงมีดสั้นวิ่งผ่านอากาศตัดปลายเส้นผมของขุนนางปากเสียไปเล็กน้อยก่อนจะปักลงที่อีกฟากหนึ่งของกำแพงบรรยากาศทั้งมวลตกอยุ่ในความยะเยือกทันที ผู้ที่ขว้างมันออกไปเอ่ยด้วยเสียงเรียบแต่จริงจังดังขึ้นในความเงียบทั้งมวลนั้น

“หากเจ้าพูดจาสามหาวเช่นนั้นกับข้าและท่านพ่อมดอีกมันจะไม่แค่ตัดเส้นผมเท่านั้น”

เช่นนี้การเจรจาธุรกิจจึงเป็นไปได้อย่างราบรื่น หลายนาทีต่อมาขุนนางแก่ทั้งสามจึงนั่งล้อมวงกันอย่างเรียบร้อยพลางพลัดเปลี่ยนกันดูสินค้าที่เป็นขวดเล็กๆบรรจุน้ำสีใสอย่างสนอกสนใจพร้อมกับฟังพ่อมดตัวน้อยบรรยายสรรพคุณของสิ่งที่อยู่ในขวดไปด้วย

“ตัวยามีลักษณะเหนียวเหมือนน้ำเชื่อมและมีรสหวาน แต่ไร้สีไร้กลิ่นระยเวลาการออกฤทธิ์คือ1หยดต่อ1วัน ขวดนึงมี100หยดก้ออกฤทธิ์ได้100วันอย่างที่รู้ ถ้าซื้อตอนนี้มีโปรโมชั่นซื้อ2ขวดแถมน้ำยาฟ้าเหลืองขนาดทดลองให้อีกขวด หรือจะเลือกเป็นแพคเก็จก็ได้ถ้าอยากซื้อแค่ขวดเดียวจ่ายเพิ่มเป็นเหรียญทองอีก100เหรียญนักฆ่าเงาจะบริการฆ่าเมียเก่าให้โดยคิดครึ่งราคา แต่โปรโมชั่นนี้จะไม่สามารถใช้ได้ถ้าท่านขอให้ข้าทดสอบสิ้นค้าให้ดู”

คาฮูมตาแก่อ้วนมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาชื่นชมแบบกระหายหิว
“ขายเองทำเองเก่งจริงนะหนูเอ้ย!ท่าน...พ่อมด”

“แหงล่ะข้าไม่ได้น่ารักอย่างเดียวเสียหน่อย” 
พ่อมดน้อยเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจแล้วก็ยิ้มเล่นหูเล่นตาตามนิสัยแก่แดดแก่ลมของเขา

“ถ้าไม่ทดสอบสินค้าพวกข้าจะรุ้ได้อย่างไรว่าน้ำยาวิเศษของท่านเปลี่ยนพวกที่มีangel syrupให้เป็นคนธรรมดาได้”
 โยเฮนถามขึ้นขณะที่เขามองขวดแก้วใสในมือ ผู้ถูกถามจึงหันควับมาขยายความ

“ไม่ๆท่านเข้าใจผิดแล้วยาของข้ามีฤทธิ์เพียงแค่เปลี่ยนน้ำพิสุจน์สีใสให้กลายเป็นสีขาวขุ่นเหมือนมนุษย์ปรกติเท่านั้นไม่ได้เปลี่ยนให้คนที่กินกลายเป็นคนธรรมดาขึ้นมาได้ หากเทพความจำเสื่อมคนที่ท่านว่าดื่มยานี่เข้าไปน้ำกามของเขาก็แค่จะเปลี่ยนสีเป็นสีขาวแบบทั่วๆไปแค่นั้น มันไม่ได้มีผลต่อความจำหรือสถานะเทพของเขา”

“ว่าแต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันจะได้ผล มันไม่ได้มีพวกเทพจำแลงหรือพวกมนุษย์ครึ่งเทพอยู่แถวนี้เสียหน่อย”
พ่อมดคาราซัสเงียบลงไปเล็กน้อยก่อนจะเหยียดยิ้มเหมือนมีเลศนัยตรงข้ามกับนักฆ่าเงาที่ดูไม่สบอารมณ์ไม่อย่างมาก

“งั้นดูนี่ให้ดีๆ....นี่พวกท่านโชคดีมากเลยนะที่จะได้เห็นตามปรกติข้าไม่ยอมทำแบบนี้ให้ใครดูหรอกนะ...เว้นซะแต่เงินถึงจริงๆ”

พูดจบเจ้าหนูพ่อมดก็ถลกเสื้อคลุมตัวยาวขึ้นแล้วเปลื้องผ้าส่วนล่างให้หลุดออกไปเผยให้เห็นทุกส่วนสัดที่ขาวชมพูของเด็กน้อยที่ย่างเข้าช่วงวัยรุ่นได้ถนัดถนี่ หากนี่ยังสร้างความแตกตื่นแก่ลุงๆในห้องไม่มากพอล่ะก็ไม่ต้องห่วงเพราะทันทีที่ผ้านุ่งหลุดลงไปมือน้อยๆก็กอบกำส่วนเนื้อสีชมพูของตัวเองแล้วคลึงเล่นอย่างชินมือพร้อมทั้งส่งเสียงหวานกระเส่าออกไปเหมือนยั่วเย้า

“อื้มมม.... ฮ่าห์..... อ๊ะ”

ขุนนางทั้งสามอึ้งมองส่วนนั้นด้วยอารมณ์ที่ยากจะบรรยาย เสียงครางดังอยู่ระยะหนึ่งพร้อมท่อนเนื้อน้อยๆที่เป่งแดงขึ้นมาทว่าขณะที่การแสดงกำลังดำเนินไปไม่นานนักนั้นเสียงประท้วงก็ดังขึ้น

“พอแล้วไอ้บ้า!”  นักฆ่าเงาตะคอกก่อนจะเดินเข้ามาใกล้พ่อมดตัวน้อย ฝ่ายนั้นตวัดค้อนใส่แล้วพูดอย่างกระฟัดกระเฟียด

“จะมาห้ามทำไม คนเขาขายของอยู่”

“ก็มัวแต่เล่นไร้สาระอยู่นั่นแหละชอบโชว์นักหรือไง มานี่!”  เขาคว้าเอวเด็กน้อยไปแล้วจับมานั่งตักที่เบาะใกล้ๆ ก่อนจะใช้สองมือล่วงล้ำลงไปยังส่วนล่าง มือหนึ่งจับต้นขาให้ยกขึ้นอีกมือกำแก่นกายน้อยๆไว้แล้วรูดขึ้นลงอย่างรุนแรง จนผู้ถูกกระทำสะดุ้งตัว

 “รีบๆทำให้มันเสร็จๆไปซะ ไม่ใช่มัวแต่เล่น”

“อ๊ะ เดี๋ยว!”  ส่วนนั้นทวีความพองแดงขึ้นทันตาและเสียงกระทบเปียกก็ดังชัดเจนรับรู้ได้ถึงความคล่องแคล่วชำนาญของผู้ที่กำลังใช้มืออยู่ จนเมื่อผ่านไปไม่ถึงนาทีอาการของคนตัวเล็กก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เสียงร้องแหลมของเด็กที่ยังไม่ถึงวัยเสียงแตกดังหวานไปทั่วห้อง

“อ๊ะ อ๊ะ อ๊า มะ มัน อ้า” เด็กน้อยจิกมือทั้งสองเข้ากับเสื้อของคนด้านหลัง เขาเหงื่อแตกกาฬไปทั่วตัวโดยเฉพาะบริเวณต้นขาขาวที่เห็นหยาดเหงื่อผุดไหลอยู่หลายจุด

เสียงครางสลับเสียงหอบดั่งวนเวียนไม่มีจังหวะเว้นด้วยถูกกระทำอย่างไม่ยั้งจนส่วนแดงๆนั้นโยกไหวตามแรงกระแทกของกำมือ

 “ไม่ อ๊า!!!” ร่างเล็กสะดุ้งเกร็งเมื่อนิ้วโป้งเลื่อนขึ้นมากดคลึงวนส่วนยอดที่เป็นศูนย์รวมประสาทอย่างถี่ๆก่อนจะกลับไปออกแรงเค้นดึงตั้งแต่ส่วนโคนขึ้นไปถึงปลายขึ้นลงเป็นจังหวะอีกครั้ง ทั้งสองอย่างถูกทำซ้ำอย่างหนักหน่วงรวดเร็ว

“ฮะ อ๊า อ๊า  อื้อ อ๊ะ อ๊าาาาา!” ร่างเล็กๆก็เริ่มบิดเกร็งมากขึ้นพร้อมกลับส่งเสียงร้องที่ทำให้ผู้มีประสบการณ์ทั้งหลายในห้องรู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายแท่งหยุ่นสีแดงก็สุดจะทานทนไหวจึงฉีดน้ำสีใสออกมาให้เห็น บรรดาขุนนางแก่ที่มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกระหายก็พลันหลุดออกจากภวังค์เมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้มีangel syrup

“พ่อมดคาราซัสเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ ไม่แปลกใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมเขาถึงเชี่ยวชาญศาสตร์เวทย์ตั้งแต่เด็ก”
 นักฆ่าเงาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยและแววตาไร้อารมณ์เช่นเดิมเหมือนไม่ได้รู้สึกเลยว่ามีเด็กนอนหอบไร้แรงอยู่บนตักตัวเอง เขาเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าหนังที่อยู่ใกล้ๆแล้วหยิบยาขวดใสมากรอกปากเด็กและเทส่วนหนึ่งลงที่ปลายนิ้วตน

“จะ จะทำอะไรน่ะ” พ่อมดตัวน้อยที่ยังหอบอยู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับหน้าแดงๆที่ชุ่มเหงื่อ

“รอบแรกเสร็จช้าไปหน่อย เลยจะทำให้ไวขึ้น”  ว่าแล้วนักฆ่าหนุ่มก็ใช้นิ้วที่โชกไปด้วยน้ำยาสอดลึกเข้าไปในร่างกายของเด็กน้อย ก่อนะจะละเลงเล่นอย่างชำนาญพร้อมมืออีกข้างที่จัดการกับแท่งเนื้อส่วนหน้า

“อ๊าาาาา!”  เสียงหวานดังขึ้นอีกคราคราวนี้หนักหนาไปกว่าเดิมทั้งท่าทางร่างกายที่บิดเร่าและเสียงครางออดอ้อนขยี้ใจ ความรู้สึกเสียวซ่านปวดหนึบริ้วแล่นไปทั้งร่างเมื่อนิ้วกร้านเบียดสีกับผิวในอ่อนนุ่ม คราแรกเขากระตุกน้อยๆเมื่อรู้สึกถึงนิ้วที่เริ่มสอดเข้ามาจดเมื่อมันเข้าลึกจนมิดจนแน่นอาการเกร็งก็เริ่มหายไปตอนที่นิ้วนั้นเริ่มขยับ อย่างช้าๆบดเบียดอย่างช่ำชองซ้ำแล้วซ้ำเล่าและค่อยๆถี่ขึ้น

สิ่งนี้ดำเนินไปซักพักจนผ่านไปไม่กี่ลมหายใจสายน้ำสีขาวขุ่นก็พ่นพุ่งออกมาอย่างมิอาจกลั้น

เหล่าขุนนางแก่ที่ลืมหายใจเป็นครั้งที่สองก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งกับผลลัพธ์ที่ได้มาอย่างว่องไว แลเจ้าของสายตาว่างเปล่าผู้ชอบรังแกเด็กเอ่ยขึ้นอย่างห้วนๆแบบไม่ใส่ใจ

“เห็นชัดแล้วใช่ไหมว่ายานี่ทำให้น้ำกามเปลี่ยนจากangle syrup เป็นน้ำสีขาวขุ่นแบบคนธรรมดาได้ ทีนี่จะซื้อหรือไม่ซื้อก็รีบตอบมาพวกข้าจะรีบไปแล้ว”


                 -----


        อีกนิดก็จะเช้าแม้นมองไม่เห็นแสงที่ปลายขอบฟ้าก็ยังรู้สึกได้ พ่อมดตัวน้อยยืนมองหอนางโลมที่ตนเพิ่งออกมาอยู่บนดาดฟ้าของอาคารอีกฟาก ฮูดเสื้อถูกดึงขึ้นมาสวมเพื่อปกปิดบางส่วนของใบหน้าให้เห็นได้ลำบากหากถูกมองขึ้นมา แต่สำหรับคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกลับเห็นสายตาหม่นของเขาได้เป็นอย่างดีด้วยในหัวเล็กๆนั้นยังคงวนเวียนไปด้วยคำถามที่โยเฮนเอ่นถามเขาก่อนจะจากมา

ข้าถามหน่อยได้ไหมว่าทำไมท่านถึงเกลียดเทพนักทั้งที่ท่านก็เป็นมนุษย์ครึ่งเทพแท้ๆ

ทำไมนะรึ?  ไม่จำเป็นต้องตอบหรอกแค่รู้ไว้ว่าพวกเทพน่ะ อยู่แค่บนสวรรค์นั่นแหละดีแล้วไม่ควรสลอดสอดเสือกลงมายุ่งกับมนุษย์หรอก
นั่นแหละที่ควรจะรู้ ส่วนเหตุผลที่เหลือเป็นเรื่องที่ขี้เกียจจะพูดและไม่ใช่กงการของใครทั้งนั้น

“พวกนั้นเหมาไปจนหมดก็ดีแล้วนี่ เจ้ายังมีอะไรที่ให้อารมณ์เสียอีกรึคาจิ?”  นักฆ่าเงาเอ่ยเรียกเด็กน้อยด้วยชื่อเล่นอย่างสนิทสนมเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สบายใจ หากแต่คาจิตอบคำถามด้วยคำถามอีกข้ออย่างไม่ได้สนใจหัวข้อสนทนาเลย

“นี่ไซรัส ตอบข้าหน่อยว่าถ้าองค์ราห์โอรู้ว่าเทพองค์นั้นไม่มีangle syrupจะเป็นอย่างไร”

“หากไม่มีangle syrupก็ไม่ถือว่าเป็นเทพ เช่นนี้ก็จะถูกข้อหาหลอกลวงกษัตริย์มีโทษถึงตาย ซึ่งเจ้าก็ต้องการแบบนั้นมิใช่รึ”

“ใช่...นั่นดีแล้ว เขาจะต้องขอบคุณข้าแน่ถ้ารู้ว่าข้าช่วยเขากลับสวรรค์”

“..........”

“..........”

“ไม่กลัวโดนสวรรค์ลงโทษหรือไงคาจิ”

“เจ้าก็ไม่เห็นกลัว”

“นี่ไม่ใช่ศาสนาของข้า”

“เจ้ามีศาสนาด้วยหรอ”

“ไม่มีและไม่สน ไม่เคยมีเทพช่วยอะไรข้าอยู่แล้ว”

“ใช่ ถูกแล้ว พวกเทพน่ะมันช่วยอะไรไม่ได้หรอก”

ความเงียบได้เข้ามาแทนบทสนทนาอีกคราก่อนบรรยากาศอึมครึมจะเปลี่ยนไปเมื่อคาจิเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ว่าแต่....วันนี้เจ้าน่ะทำให้ข้าหงุดหงิดยิ่งว่าพวกเทพบ้าบออะไรนั่นอีกนะ”

“โกรธข้าทำไม ไม่มีอะไรน่าโกรธ”

พอได้ยินดังนั้นเด็กน้อยก็หันควับมาค้อนก่อนจะเปลี่ยนท่าทีจากนิ่งๆเป็นเกรี้ยวกราดขึ้นมาบัดดล

“ก็เจ้าน่ะมันคนบ้า! คนโรคจิตทำไมต้องทำอะไรรุนแรงขนาดนั้นด้วยเล่า”


“เรื่องอะไร?”
“ยังมีหน้าจะมาถาม ก็ที่เจ้ารีดน้ำข้านั่นไง โรคจิต!”

“อ่อถ้าเป็นเรื่องนั้นก็ต้องถามกลับว่าใครกันแน่ที่โรคจิต เจ้าอยากจะทำช้าๆให้พวกนั้นมันดูนานๆหรือไง ข้าช่วยรีบๆทำให้มันเสร็จๆก็ดีแล้วไม่ใช่รึ หรืออันที่จริงอยากโชว์”

 เด็กน้อยเหวี่ยงแขนตีอีกฝ่ายอย่างรุนแรงก่อนจะตะคอกเสียงดัง
“คนงี่เง่า ถ้ามันถลอกขึ้นมาจะทำยังไงข้ายังไม่ทันโตเลยนะ”

“รู้ตัวด้วยหรอว่ายังเด็กอยู่ ถ้างั้นเรื่องแรดก็ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ”

“ไอ้บ้า! ไซรัสไอ้คนบ้า!คอยดูเถอะถ้าข้าโตข้าจะจับเจ้าทำเมีย”

“หึ รอไปอีกสิบชาติเถอะพอเจ้าโตข้าก็ทิ้งเจ้าแล้ว”

“ไม่จริงหรอกเจ้าอยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีข้า อีกอย่างเรายังไม่เคยมีอะไรกันจริงๆเลย ข้ารู้เจ้ารอข้าโตกว่านี้ใช่ไหมล่ะแล้วถึงจะทำแบบนั้นใช่ไหมล่ะ มันไม่มีทางหรอกนะที่เจ้าจะไม่คิดอะไรกับเด็กน่ารักอย่างข้า ใช่ไหมๆๆๆ” 
 เขาดึงชายเสื้ออีกคนอย่างคะยั้นคะยอจะเอาคำตอบ อีกฝ่ายจึงยกยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะเดินหนี

“แรดแล้วยังพูดมากอีกนะ”

“ว่าไงนะ!”  ขาเล็กๆวิ่งตามไปติดๆก่อนจะโดนฝ่ายนั้นอุ้มแล้วโฉบหายไปกับฟ้ามืด

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

เรื่อย เรื่อย มาเรียง เรียง นกบินเฉียง อยากตาย.....

ขอบคุณที่มาอ่านนะคะ ก็มาๆหายๆแบบนี้ล่ะค่ะ อภัยด้วย

อยากเขียนได้ถี่ๆจัง....

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-09-2014 21:45:44 โดย Donna Nod »

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
อ่านรวดเดียวเลย สนุกค่ะชอบๆๆๆ
อันที่จริงบท nc ลงที่เล้าเป็ดได้เลยนะคะ
ไม่ต้องเซ็นเซอร์ก็ได้ค่ะ ลงไปเลยจะดีกว่านะ^^

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
มีเรื่องที่คาดไม่ถึงอยู่เรื่อยๆ เลย

ออฟไลน์ Deery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มีปมซับซ้อนให้ติดตาม
มาอัพอีกนะ
บวกเป็ด

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
เฮ้อดูยุ้งๆนะเรื่องนี้ ซับซ้อนเกิน

ออฟไลน์ sasa

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1008
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
สนุกมากจ้า o13

@Lucifer_Prince@

  • บุคคลทั่วไป
อิสองคู่หูนี่มันเป็นอะไรกันแน่นะ  ทำไมคาจิถึงเกลียดเทพ  แล้วเจ้าไซรัสอีก
ขอให้พวกขุนนางชั่วทำไม่ได้ตามแผนเถิ้ดดด
รีบมาต่ออีกนะคัฟฟฟฟ
 :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ plengpit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
น่ารักซะจริงๆ-.... - :hao7:

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ตอนที่โรเรเนสตื่นขึ้นก็เลยไปช่วงสายแล้วแต่ก็ไม่มีใครมาปลุกจนกระทั่งลืมตาขึ้นมานั่นแหละถึงรู้ตัวว่าวันนี้ตื่นเลยเวลาปรกติ หากแต่ก็เข้าใจได้เพราะเมื่อคืนเขาเข้านอนดึกมาก อีกทั้งกว่าจะข่มตาหลับได้ก็กินเวลายืดออกไปอีก ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นค่อนข้างรบกวนจิตใจเขาเป็นอย่างมาก เขาครุ่นคิดถึงมันจนผล็อยหลับและยังนึกถึงมันอยู่ในขณะนี้ที่เขานอนนิ่งทั้งลืมตาไม่แม้นแต่คิดจะลุกจากที่นอนในช่วงสายอันแสนสบายนี้ แพขนตากระพริบช้าๆสองสามครั้งพร้อมสายตาที่เหม่อลอยมองจ้องขึ้นไปที่เพดาน

จูบนั่น...

ใช่มันวนเวียนแม้นจะอยู่ในฝันจนตอนนี้ที่รู้สึกตัวเขาก็ยังคิดถึงมันอย่างไม่อาจปฎิเสธได้ เป็นทั้งสิ่งที่น่าอายและน่าประหลาดใจ  แต่ที่รบกวนเขาไปมากกว่านั้นคือเขาค้นพบว่ารสจูบแสนพิศดารที่มั่นใจว่าแม้ตอนอยู่บนสวรรค์ตนก็ยังมิเคยเจอนั้น

...มันดีมาก

พวงแก้มเริ่มแต้มสีเลือดระเรื่อขึ้นเมื่อระลึกได้ถึงข้อนี้ อันที่จริงเขาคิดว่ามันดี ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับเพราะรู้สึกละอายเกินไปก็ตาม

ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มนั้นยังหลอกหลอนอีกทั้งริมฝีปากที่ประทับดูดดึงนั้นก็ยังชัดเจนสว่างในความคิดแม้กระทั่งตอนนี้ เทพหนุ่มขบริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยก่อนจะพลิกตัวม้วนหนีด้วยอายตัวเองกับความทรงจำวาบหวามนั้น

เรานี่มันแย่ที่สุด ไร้ยางอายเป็นที่สุด

ช่วงจังหวะที่กำลังพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านให้หมดไปเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนแปลง ตอนแรกเมื่อช่วงตื่นเขายังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นแต่พอพลิกตัวมาตะแคงข้างถึงได้รู้สึกว่ามีบางสิ่งเปียกๆอยู่ที่หว่างขา

หรือว่า!!!

โรเรเนสกระเด้งตัวขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน เขาดึงผ้าห่มออกและก้มดูใต้ร่มผ้าของตนก็รู้ได้ว่าสิ่งที่ฟารันทำแก่เขาก่อนนอนส่งผลไปถึงตอนหลับฝันของเขาด้วย จึงเป็นเหตุให้แก่นกายของเขาขับน้ำออกมาในตอนค่ำคืน แน่นอนว่ามันใสราวกับน้ำเชื่อม

“นี่ข้าเป็นพวกมักมากในกามไปแล้วหรอเนี่ย”

ถูกเอ่ยขึ้นด้วยเสียงละห้อยและคอที่ตกเหมือนลูกหมา แต่ทว่าฉับพลันโรเรเนสก็เริ่มคิดว่าควรจะเอาไปให้ฟารันดูไหมเรื่องจะได้จบ
อาจจะไม่...

เพราะคนอย่างฟารันต้องอยากเห็นด้วยตาตัวเองแน่และเมื่อฟารันรู้เรื่องนี้ ตัวเขาเองก็คงจะไม่พ้นตกเป็นเหยื่อการกระทำอันอุกอาจน่าอายเช่นที่ผ่านมามิหนำซ้ำคงยิ่งกว่าที่เคยเจอ สิ่งที่คาดเดาได้ว่าจะเกิดคือเมื่อกษัตริย์หนุ่มเห็นว่าเขาเกิดอาการ ฝันเปียก ก็คงจะพูดทำนองว่า

“เจ้าไม่ได้แกล้งเอาน้ำเชื่อมมาหยอดเล่นใช่ไหม?” หรือไม่ก็

“ข้าขอพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาตัวเองก่อนเถอะ”

และฟารันก็คงจะ...

ทำนั่น....

ทำนี่....

ซึ่งจะทำให้เขารู้สึก....

ชอบ? ..... เหมือนเมื่อคืน....

ไม่นะ!!!!!

เจ้าของตาหวานดึงผ้าห่มมาคลุมโปงตัวเองก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอย่างแรงแล้วดิ้นกระฟัดกระเฟียดไปมาเหมือนเด็กโดนขัดใจ ด้วยหงุดหงิดตัวเองที่ไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกที่ร่างกายนี้ได้รับได้

“ข้าเกลียดร่างนี้! ข้าเกลียดร่างนี้!”

ใช่ร่างกายมนุษย์นี้น่ารังเกียจด้วยมิอาจปิดบังความรู้สึกใดใดได้อีกทั้งยังทำให้จิตใจไขว้เขวไปในทางเสื่อม ต้องเป็นเพราะกายหยาบนี่ล่ะที่ทำให้เขากลายเป็นคน มักมากในกาม อย่างที่ตัวเองคิด...ช่างน่าละอายยิ่งนักโรเรเนสเอ๋ย

แต่กิริยาหงุดหงิดงอแงเหมือนเด็กๆก็ต้องหยุดลงเมื่อมีเสียงเรียกพร้อมเคาะประตูดังมาให้ได้ยิน คงจะเป็นกลุ่มหญิงรับใช้ที่ทำหน้าที่ประจำในการดูแลเขา แต่ไม่สำคัญว่าจะเป็นใครเพราะอย่างไรเขาก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นพวกมักมากในกามได้ เทพหนุ่มผู้ไม่ประสีประสาต่อทุกอย่างในโลกมนุษย์จึงเทน้ำดื่มในเหยือกลงที่จุดเกิดเหตุให้คราบใสถูกชะหายไปจากผืนผ้า ก่อนจะเอ่ยปากอนุญาตให้พวกนางเข้ามา แน่นอนว่าพวกนางเข้าใจผิดในคราแรกว่าน้ำที่เลอะเทอะบนเตียงนั้นเป็นสิ่งอื่นแต่ก่อนที่จะคิดไปไกลกว่านั้นบุรุษผู้นั่งทำหน้าเหนียมอยู่บนเตียงก็พูดขึ้นก่อน

“อภัยในความซุ่มซ่ามของข้าด้วยพอดีจะดื่มน้ำแต่กลับทำหลุดมือ”

เมื่อเข้าใจถึงเหตุสีหน้าแปลกใจจึงคลายกลายเป็นเป็นห่วง ด้วยพวกนางรู้ว่าชายคนนี้เป็นผู้ป่วยซึ่งเป็นสหายขององค์ราห์โอที่เดินทางมาสปันเทียเพื่อมารักษาตัวกับท่านหมอหลวงจึงอาจมีบ้างที่ผู้ป่วยจะพลาดพลังมือไม้อ่อนหรือเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยตามประสาผู้อ่อนแอ นางข้ารับใช้จึงรีบเข้ามาประคับประคองเขาห่วงใยก่อนทุกคนจะเริ่มทำหน้าที่ปรกติโดยผลัดเปลี่ยนผ้าปูเตียงขณะที่เขารับประทานอาหารเช้าในส่วนห้องรับแขกด้านนอก ซึ่งคราวนี้เป็นที่น่าแปลกใจเพราะผู้ที่นำอาหารเสิร์ฟนั้นไม่ใช่ชาช่าหญิงรับใช้คนสนิทของตน จุดนี้เขาจึงต้องเอ่ยถามออกไปด้วยเพราะเพื่อความปลอดภัยของเขาท่านหมอหลวงไม่ยอมให้ใครนำอาหารมาเสิร์ฟให้เขานอกเหนือจากชาช่าเลย

“ชาช่าไปไหนเสียเล่า”  หญิงรับใช้ที่อยู่ข้างกายหันมายิ้มให้ก่อนจะตอบ

“ชาช่าไม่สบายตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้หัวหน้าคนใช้จึงให้นางพักเจ้าค่ะ”

“งั้นรึ นางเป็นอะไรมากไหม”

“ท้องร่วงนิดหน่อย เดี๋ยวก็หายท่านไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”

“แปลกจริงปรกตินางเป็นคนแข็งแรงมากแถมยังกินได้สารพัดอีก”

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบว่านางไปกินอะไรแผลงมา แต่ว่าคงไม่มีอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ”

โรเรเนสมองอาหารเช้าในสำหรับอย่างครุ่นกิน ก่อนจะเริ่มลงมือกินไปอย่างไม่ใส่ใจหญิงรับใช้หน้าใหม่ที่เป็นผู้เสิร์ฟอาหารยังเฝ้าอยู่อย่างใจจดใจจ่อ แม้นเขาจะชวนคุยและถามชื่อเพื่อให้นางคลายความเกร็งแต่นางผู้ไม่คุ้นหน้าก็ยังมีอาการตื่นๆอย่างอธิบายไม่ถูกอยู่ดี

จนกระทั่งเขาหยิบแก้วนมขึ้นมาดื่มแล้วก็เอะใจบางอย่างจนถึงกับผละหน้าออกมา
“นมนี่มัน!”

“อะ อะไรเจ้าคะ นะ นมมันทำไมเจ้าคะ” หญิงรับใช้ผู้เป็นคนเสิร์ฟออกอาการลุกลี้ลุกลนทันทีที่เห็นหน้าตื่นตระหนกของผู้เป็นนาย โรเรเนสมองดูแก้วนมอย่างตกใจก่อนจะพูดต่อ

“ทำไมมันหวานได้?ปรกติไม่ใช่รสนี้นี่”

นางผู้นั้นอึกอักตอบไม่ถูก หญิงรับใช้คนอื่นที่อยู่ด้วยก็เห็นผิดสังเกตเช่นกันจึงหันมามองนางเป็นตาเดียวทว่า...

“อร่อยดีนะ ข้าชอบ”

 แล้วเขาก็ซัดโฮกที่เดียวหมดแก้วโดยไม่สงสัยอะไรเลย บรรยากาศทั้งมวลเมื่อครู่จึงมลายไปกลายเป็นปรกติทุกอย่างและหลังจากที่เด็กหนุ่มอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าเรียบร้อยก็ถึงคราวท่านหมอหลวงเข้ามาตรวจอาการ ครั้นเมื่อสั่งให้หญิงรับใช้ทั้งหมดออกไปเพื่อทำการตรวจ โรเรเนสก็ตัดสินใจปรึกษาบางอย่างกับอีกฝ่าย

“ท่านหมอ...ข้ามีเรื่องจะถาม” ตาเศร้าพูดเสียงอ่อยอย่างอึดอัด หมอหลวงพยักหน้ารับอย่างสนใจแล้วรอรับฟัง

“คือว่า ท่านจำเรื่องที่ท่านบอกข้าได้ไหมว่าปรกติแล้วร่างกายของมนุษย์  อ่าม...ที่เป็นผู้ชายวัยเจริญพันธุ์ มัน ตอนเช้าตรงนั้นมันจะ จะตื่นตัวอย่างที่ท่านบอกว่า ว่ามันปรกติ”

“ใช่แล้ว มีอะไรรึท่านยังกังวลเรื่องนี้อยู่อีกหรือ”

“มิใช่หรอกแต่ว่า...ข้าสงสัยถ้ามันมีอะไรมากกว่านั้นจะถือว่าผิดปรกติไหมท่าน”

ท่านหมอมองหน้าอีกฝ่ายอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะเริ่มขำออกมาเบาๆ แต่นั่นยิ่งกลับทำให้เด็กหนุ่มร้อนใจไปยิ่งกว่าเดิม ตาหวานๆละห้อยน้อยเหมือนลูกหมาก่อนเขาจะเปลี่ยงเสียงกึ่งอู้อี้ออกมา

“ท่านหมอ....อย่าขำสิ ข้าจริงจังนะ”

“มันมีน้ำข้นๆใสๆออกมาใช่ไหม?”

“ช่าย....มันแย่มากไหม”

“ไม่ต้องห่วงหรอกท่านมนุษย์เพศชายที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์นั้นเป็นกันได้ ยิ่งโดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นตอนต้นๆ ถึงแม้ร่างกายท่านจะไม่ใช่เด็กแรกรุ่นขนาดนั้นแต่ก็ถือเป็นร่างกายที่ใหม่กำลังปรับตัวสู่การเป็นมนุษย์ก็เป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา”

“ข้าไม่ได้เป็นพวกมักมากในกามใช่ไหม นี่ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”

“ฮ่าๆๆๆ ไม่จำเป็นต้องหนักใจไปไม่ถือว่าแปลกอะไร ต้องยินดีด้วยซ้ำว่าตอนนี้ท่านแข็งแรงดีและสุขภาพสมบูรณ์ดีแล้ว”

เด็กหนุ่มที่ยังแก้มแดงถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังเช่นนั้น

“แต่ว่า มันไม่ใช่จู่ๆจะเป็นแบบนี้ขึ้นมาหรอก ถ้าเป็นเด็กอายุ11-13ก็เป็นไปได้ที่ร่างกายมันจะขับน้ำออกมาเองโดยเจ้าตัวไม่ได้รับการกระตุ้นจากสิ่งอื่น แต่ถ้าโตกว่านั้น....ก็ต้องดูว่าเมื่อคืนนี้ไปทำอะไรมาหรือว่าฝันถึงอะไรอยู่”

คราวนี้ตาหวานหลุบหนีเหมือนถูกจับได้ว่าทำผิดหมอหลวงเห็นดังนั้นก็ยิ้มให้อย่างเอ็นดูแต่ก็ไม่สาวความต่อ ด้านโรเรเนสที่รู้สึกอึดอัดใจก็พยายามคิดเรื่องพูดเรื่องอื่นจนกระทั่งฉุกคิดได้ว่าท่านหมอพูดอะไรออกมาก่อนหน้านี้

“เอ..ว่าแต่เมื่อครู่ท่านบอกว่าข้าแข็งแรงดีแล้ว”

“อ้าใช่ ท่านหายดีแล้ว”

“หะ? ยังไงนะท่านหายคือ?”

“จากการที่ข้าตรวจท่านและการที่ร่างกายท่านขับน้ำนั้นออกมาได้ตามธรรมชาตินั้นบอกได้ว่าท่านแข็งแรงสมบุณณ์ดีแล้วรวมทั้งหัวใจท่านด้วย พูดง่ายๆก็คือ...มันถงเวลาที่ท่านต้องให้องคืราหืโอพิสูจน์ความเป็นเทพของท่านแล้ว”

“ไม่นะ!”

“หืม...ทำไมกัน มิใช่ว่าท่านอยากให้มันจบๆไปหรืออย่างไรเสียท่านก็มีangel syrupอยู่แล้วนี่หลังจากนี้สถานะความเป็นเทพของท่านจะได้ไม่อยู่ในความสงสัยอีกต่อไป”

“ตะ...แต่..แต่ ข้ายังไม่พร้อมนะ”

“ร่างกายท่านพร้อมแล้ว”

“แต่หัวใจข้ายังไม่พร้อม”

“หัวใจท่านพร้อมแล้ว”

“ไม่ข้าหมายถึงสภาพจิตใจน่ะ”

“อ่อ”

“เช่นนั้น ข้าอยากจะขอเวลาซักหน่อยท่านอย่างเพิ่งบอกฟารันนะ”

“จะให้ข้ากล่าวเท็จกับราห์โอเห็นทีจะไม่ควร”

“โธ่ นะเรื่องนี้เมื่อข้าพร้อมข้าจะเป็นคนบอกเขาเองไม่นานหรอกนะ”

“โอ้ นี่ข้าถูกเทพขอร้องให้โกหกหรือเนี่ยหึๆ”

“อภัยข้าเถอะท่านหมอ ท่านก็ถ้าฟารันรู้เขาต้องไม่หยุดแค่พิสูจน์สถานะเทพของข้าแน่ๆ”

“หืม นี่ท่านกำลังจะบอกว่าองค์ราห์โอจะ...”

“ใช่ๆ ฟารันเขาจะ จะต้อง...”

โฮ่ง!
เสียงลั่นกังวานของหมาน้อยกีก้าดังเข้ามาจากหน้าประตู มันวิ่งแผล็วเขามาในห้องก่อนจะกระโจนเข้าใส่เทพหนุ่มอย่างร่างเริง

“กีก้า?” โรเรเนสก้มลงขยี้หัวสุนัขอย่างเอ็นดู พวงหางสีขาวเทากระดิกดีใจพร้อมกับอาการตะกายอย่างตื่นเต้นของเจ้าหมา

“หืม แปลกจริงปรกติบริเวณนี้มันเข้าไม่ได้นี่นาเว้นเสียแต่ว่า”
ข้อสังเกตของท่านหมอยังไม่ถูกเอ่ยออกมาแต่ก็ไม่ผิดจากที่เขาคาดเมื่อเจ้าของสุนัขเดินย่างเข้ามาในห้องพร้อมคนสนิท

 “ข้าพามันมาเองล่ะท่านหมอ หวังว่าจะไม่เป็นอะไรนะ” 

“ถวายบังคมฝ่าบาท”
 หมอหลวงโค้งคำนับกษัตริย์หนุ่มอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะเริ่มพูดคุยโดยทั้งสองเหมือนจะไม่ได้สังเกตอาการของเด็กหนุ่มที่ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นๆเล็กน้อยพร้อมกลับก้มหน้าก้มตาซ่อนแก้มแดงระเรื่อของตนไว้

“วันนี้ทรงดูสดชื่นเป็นพิเศษ”

“งั้นรึ ข้าไม่ยักสังเกตตัวเอง” 

“ข้าจะทูลถามได้หรือไม่ว่ามีเรื่องพิเศษอันใด”

ฟารันเหยียดยิ้มเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรแต่สายตากลับเปลี่ยนไปมองที่เทพหัวม่วงที่อยู่ข้างกันแทน เมื่อเป็นเช่นนี้ลากลอซก็เอ่ยตอบขึ้นมาแบบหยอกๆ

“โฮ่!ท่านหมออย่างต้องถามให้เหนื่อยหรอกก็เรื่องที่ท่านเดาได้นั่นแหละ” 
หมอหลวงมองหน้าเลขาสนิทด้วยนึกคิดก่อนอีกฝ่ายจะพยักหน้าให้อย่างรู้กันเขาจึงหันไปมองคนไข้ตนที่ยืนเจี๋ยมอยู่ข้างๆ แล้ววกไปมององค์ราห์โอก็จึงได้ถึงบางอ้อ

โรเรเนสเห็นว่าทุกคนเงียบไปแลรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้อง จึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองทุกคนอย่างช้าๆ จนเมื่อได้สบตาคมที่ฉายแววอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเช่นนั้นเลือดลมเขาก็กลับฉีดพล่านขึ้นมาอีก ร่างสูงยิ้มเอ็นดูในหน้าหวานก่อนจะเอ่ยทัก
“สวัสดี”

“สวัสดี”
ตาเชื่อมเอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วอย่างประหม่า ก็แน่ล่ะเขาไม่ค่อยแน่ใจว่าหลังจากปฏิกิริยาของเขาเมื่อคืนที่มีต่อการจูบจะทำให้ฟารันทำอะไรเขาบ้างในวันนี้
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้างล่ะวันนี้”

“ก็สบายดี”

ฟารันหลิ่วตามองอีกฝ่ายอย่างมีเลสนัยก่อนจะหันไปคุยกับท่านหมอแทน

“ท่านหมอคนไข้ของท่านหายดีรึยังล่ะ”

คราวนี้โรเรเนสถึงกลับขนลุกเกรียว เขาหันไปมองท่านหมอด้วยสายตาอ้อนวอน...อย่าบอกเขานะ
“อ่ามก็....”

“อย่างไรเล่าท่าน”

“แข็งแรงดีกระหม่อม”

          ไม่นะ

 “แต่ว่าหลังจากนี้ ข้าคิดว่ายังต้องดูอาการอีกซักพักข้ายังมิอาจฟันธงอะไรได้จริงจัง”

               เฮ้อ...

“โอ้งั้นรึ ก็ถือว่าดีถ้าข้าพาไปเดินเล่นก็พอจะได้ใช่ไหม”

“ได้สิฝ่าบาทเขาใช้ชีวิตปรกติได้เหมือนคนอื่นแล้วไม่ต้องประคบประหงมมาก เว้นแต่เรื่องนั้นที่ยังต้องขอเวลาอีกซักหน่อย”

“ดีถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอยืมตัวคนไข้ท่านไปเสียหน่อยเรามีเรื่องต้องคุยกันน่ะ”

“หา?”  หน้าหวานร้องเสียงหลงอย่างลืมตัวแต่คนอื่นก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเขาเลย

“ได้เลยฝ่าบาทเชิญตามสบาย”

แล้วกษัตริย์หนุ่มก็คว้าแขนเทพน้อยแล้วเดินออกไปทันทีโดยมีหมาเตี้ยวิ่งไล่ตามไปเป็นกำลังใจ

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

เดี๋ยวมาต่อคับ ขอบคุณที่อุตส่าห์อ่านนะฮะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-09-2014 01:21:08 โดย Donna Nod »

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
เวลาใกล้ตายของโรเรเนสใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสิ

ออฟไลน์ pare_140

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-6

ออฟไลน์ plengpit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
ลุ้น โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย :katai1:

ออฟไลน์ ammamooty

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1056
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-2
อ๊ากกกเพิ่งมีเวลาว่างอ่าน สนุกมากเลยแหละ
ไอ้พวกขุนนางพวกนี้นี่นะ ฮึ่ยยย เมื่อไหร่จะถูกจับได้ซักทีเนี่ย
เดี๋ยวถ้าโรเรเนสกินไอ้ยานั่นเรื่อยๆประจวบเหมาะกับการพิสูจน์ของฟารันพอดี
ดีไม่ดีดราม่าจะบังเกิด กรี๊ดดดดด(อินี่มันบ้า) อยากอ่านต่อๆ>

ออฟไลน์ Deery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มาต่อไวไวนะ :katai4:

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
โฮ่ๆ   สนุกมากเฝย :hao6:

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ท่านหมอหลวงและเลขาคนสนิทมองตามอย่างมีนัยยะแต่ต่างกันตรงที่คนแรกอย่างฉงนกลับอีกคนยิ้มกริ่มอย่างสนุก

“ก่อนหน้าเห็นท่านโรเรเนสเอ่ยว่าองค์ราห์โอมิใคร่จะชอบตนนักแถมที่ข้าเห็นก็เห็นว่าทั้งสองไม่ได้คุยกันเลยแม้แต่น้อย เหตุไฉนวันนี้ถึงดูสนิทสนมกันได้”

“น่าจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนล่ะท่านหมอ”

“ท่านไปรู้อะไรมารึ”

“ก็ไม่มีอะไรมาก ก็เมื่อวานตอนบ่ายองค์ราห์โอเห็นข้าอยู่กับท่านโรเรเนสสองต่อสองก็เกิดริษยาฉุนเฉียวอย่างหนักจนต้องเรียกข้าไปคุย แต่ข้าเองก็ทูลไปว่าเป็นความเข้าใจผิดอีกทั้งท่านโรเรเนสยังกำลังอยู่ในอารมณ์น้อยใจราห์โอด้วยซ้ำที่ไม่ใส่ใจตน  พอได้ยินแบบนั้นก็ทรงแปลกใจเป็นอย่างมากและอยากจะปรับความเข้าใจกับท่านโรเรเนสเป็นที่สุดแต่ตอนนั้นยังทรงเกรงว่าฝ่ายนั้นเขาจะกลัวข้าก็เลยทูลไปว่าให้ลองไปรออยู่ที่สวนส่วนพระองค์ดูเพื่อจะดวงดี”

             ท่านหมอนิ่งมองเลขาหนุ่มอย่างนึกคิดไม่กี่อึดใจก่อนจะเอ่ยถามต่อ

“เท่ากับว่าไม่ได้มีแต่ข้าใช่ไหมที่คิดว่าทั้งสองฝ่ายสนใจกัน”

“ชัดเจนเสียเพียงนั้นท่านยิ่งองค์ราห์โอนี่ท่านก็เห็นมาแต่ทรงพระเยาว์คงเดาได้ว่าพระองค์คิดอะไร”

“ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าทั้งสองจะได้ไปเจอกันที่สวนนั่น”

“ข้าก็แค่เดา ด้วยเมื่อคืนนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวงหากเท่าทราบ”

“ใช่ กุหลาบจันทราเบ่งบานเมื่อคืนวานอย่างที่ทราบ”

“และข้าก็บอกท่านโรเรเนสไปเช่นนั้น ฝ่ายนั้นดูกระหายใคร่อยากจะเห็นรบเร้าให้ข้าพาไปแต่ข้าก็ปฏิเสธ ข้าจึงคาดเดาไปว่าเขาอาจจะพอมีความซุกซนอยู่มากพอที่จะแอบไปดูดอกกุหลาบคนเดียวในยามค่ำ เช่นนั้นข้าจึงบอกให้ฝ่าบาทไปดักรอไว้และไม่ต้องลงกลอนประตูสวนก็เท่านั้นเอง”

              ครานี้หมอหลวงหลิ่วตามมองเด็กหนุ่มอย่างพินิจก่อนจะเบี่ยงสายตาไปจับจ้องสิ่งอื่น

“เจ้าเล่ห์อย่างไรก็เป็นอย่างนั้นแต่เด็กจนโตเลยนะเจ้าเนี่ย”

“แน่น๊อน ข้าถึงเป็นพระสหายได้อย่างไรเล่า”

“หากแต่มันจะราบรื่นสมใจก็คงเป็นมิได้หรอก”

“ทำไมรึมันจะมีปัญหาอันใด...หรือท่านโรเรเนสมิใช่เทพแล้วล่ะท่านก็ไหนท่านบอกแต่แรกว่า...”

“แน่นอนว่าเขาเป็นเทพ แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นหรือไม่ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ก็ไม่มีทางราบรื่นไปได้แน่ ทั้งด้วยอุปนิสัยของทั้งคู่เอง สถานะทางสังคมแล้วไหนจะ....พวกผู้ประสงค์ร้าย”

“นี่อย่าบอกนะว่าท่านก็เชื่อเรื่องที่ท่าน..โยเฮน” ปลายเสียงของเลขาหนุ่มแผ่วลงจนเป็นกระซิบ

“เป็นแค่ลางสังหรณ์...เขาอาจจะเป็นคนดีก็ได้ข้าไม่รู้หรอก แต่คนเขาก็พูดกันเยอะอย่างที่ท่านน่าจะเคยได้ยินว่าขุนนางผู้นี้ไม่ซื่อซักเท่าใด”

“ทั้งข้าและฝ่าบาทก็เคยได้ยินมามากเกี่ยวกับท่านโยเฮนหากแต่ก็ไม่มีหลักฐานใดๆมาพิสูจน์ความทุจริตของเขาอีกทั้งก็เป็นอย่างที่ทราบว่าเหล่าขุนนางมักใส่ร้ายกันเพื่ออำนาจหน้าที่อยู่แล้วฝ่าบาทจึงไม่ทรงสามารถตัดสินใจทำอะไรกับเขาได้ ไม่แน่เขาอาจเป็นคนดีก็ได้นะท่านเพราะก็เห็นว่าท่านโยเฮนขยันขันแข็งถวายงานตั้งแต่ราห์โอองค์ก่อน ความดีความชอบก็มีมากท่านก็เห็นอยู่”

“ใช่ ไม่มีเหตุผลอันใดเลยที่จะตั้งข้อสงสัยในความจงรักษ์ภักดีของชายผู้นั้นเพียงแต่เรื่องอันเชิญเทพในครานี้ เขาออกจะดู....เดือนร้อนมากจนเกินปรกติ”

“อืม....ว่ากันตามตรงข้าก็แปลกใจที่ท่านโยเฮนดูจะไม่ชอบให้มีเทพอยู่ในวังเป็นเอามาก แต่ข้าว่าด้วยปรกติเขาออกตัวชัดเจนว่าไม่เชื่อเรื่องทำนองนี้อยู่แล้วผสมกับที่เป็นคนจริงจังขี้หวาดระแวงท่านโยเฮนก็คงเกรงว่าพวกนักบวชจะมาหลอกลวงฝ่าบาทกระมัง ท่านก็พอทราบอยู่นี่ว่าพักหลังมีประชาชนร้องเรียนเรื่องนักบวชเอาศาสนามาหากินบ่อยๆช่วงนี้ศาสนจักรชื่อเสียมากอยู่”

                บทสนทนาเงียบลงไปพร้อมกับความนึกคิดที่เริ่มผุดขึ้นในใจเลขาหนุ่ม....แต่เขามิใช่คนผลีผลาม ยังก่อน มิอาจทำอะไรได้หากไม่มีหลักฐาน ยังก่อน...

--------

                เสียงฝีเท้าสาวเร็วไปตามทางเดิมเด็กหนุ่มผมม่วงแก้มระเรื่อด้วยไม่ทราบว่าเหนื่อยจากการเดิมเร็วๆหรือเพราะสิ่งใด

“ท่านจะพาข้าไปที่ไหนน่ะ” อีกฝ่ายไม่ตอบแต่กลับหยุดเดินก่อนจะมองไปรอบๆทางเดินที่ทั้งสองยืนอยู่แล้วหันไปคุยกับเจ้ากีก้าก่อนจะคุยกับคนด้วยซ้ำ

“เรี่ยดิน(ชื่อเล่นที่ฟารันเรียกกีก้า) ไปเล่นที่อื่นไป”

เจ้าหมาน้อยเอียงคอสงสัยพร้อมสงเสียงสูงๆในลำคอ

“ไปขอขนมกินในครัวไป ไปซี่ ไปเร็ว!”

            กีก้างุนงงเล็กน้อยแต่ก็เข้าใจได้ว่าเจ้านายไม่อยากให้ตนตามไปประกอบกับพอนึกถึงเรื่องขนมก็เลยยอมวิ่งกลับไปทางเก่า  เด็กหนุ่มมองตามหมาน้อยอย่างสิ้นหวังรู้สึกเหมือนไม่ปลอดภัยทันทีที่มันวิ่งหายไป แลเมื่อหันกลับมาก็พบกับแววตาเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจของคนที่ลากเขามา

“คิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้าตอนที่ไอ้หมาเตี้ยมันไม่อยู่งั้นรึ”

“เปล่าเสียหน่อย ข้าไม่ใช่คนคิดอะไรพรรค์นั้นอยู่แล้ว”

“หืม...นี่ว่ากระทบข้างั้นรึ” เจ้าของตาคมช้อนคางอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วจ้องแบบดุๆ แต่เด็กหนุ่มก็ยังดื้อสู้ตาทั้งที่เห็นได้ชัดว่าตนเองค่อนไปทางประหม่า

“หึ ดูท่าจะกล้าขึ้นนะหลังจากโดนจูบท่าจะอยากโดนอีกล่ะสิท่า”  ครานี้ตาหวานเม้มปากแน่นแต่ก็ยังมิยอมหลบตา จนอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาหมายจะจูบ

จึงชักหน้าหนีแถมหลับตาปี๋เหมือนเด็กๆ ทว่าฝ่ายนั้นก็เพียงแค่จุมพิตลงบนหน้าผากมนก่อนจะหัวเราะอย่างชอบใจ

“ไม่ได้จะกัดเสียหน่อยกลัวอะไร” ฟารันเอ่ยด้วยหน้าเปื้อนยิ้มแอบรู้สึกหมั่นเขี้ยวคนตัวเล็กที่ทำหน้ามุ่ยค้อนมองตนเป็นอย่างมาก

 “ข้ามีอะไรจะให้เจ้าดูน่ะ”

              เขาเอ่ยด้วยซุ่มเสียงอ่อนโยนก็จะจูงมืออีกฝ่ายให้เดินไป แม้นจะไม่คุ้นชินแต่เด็กหนุ่มก็จำได้ว่าเป็นทางไปสวนที่ตนแอบมาเมื่อคืน ราห์โอจะให้เขาดูอะไรในสวนกันนะ?

แลเมื่อเดินไปถึงหน้าประตูลับที่ปิดอยู่กษัตริย์หนุ่มก็ดุนหลังเด็กหนุ่มเบาๆให้เดินไปข้างหน้า

“ลองเข้าไปดูให้ทั่วๆสิ ลองสังเกตดูว่ามีอะไรแปลกไปไหม”

          ฟารันเอ่ยเสียงเรียบเหมือนจะไม่มีอะไรแต่แววตาของเขาแฝงไปด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด เช่นนี้โรเรเนสก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย  จึงเปิดประตูห้องเข้าไปอย่างใคร่รู้

สวนกระจกยามกลางวันนั้นก็งามต่างไปอีกแบบจากตอนกลางคืน บรรยากาศเย็นชื้นแตกต่างกับด้านนอกเป็นอย่างมากซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจด้วยเพราะแม้นจะเห็นอยู่ชัดๆว่าแสงแดดแรงกล้าของยามสายสาดส่องสว่างไสวไปทั่วแต่ก็ไม่มีวี่แววของความร้อนแผ่ลงมาแม้แต่น้อย คงด้วยการออกแบบโดมและน้ำตกกระจกด้านบนเป็นแน่ที่ความคุมอุณหภูมิสวนแห่งนี้เอาไว้
เทพหนุ่มเห็นเหล่าพรรณไม้เขียวขจีมากมายได้เต็มตายิ่งกว่าเคยเมื่อทุกอย่างถูกฉายชัดด้วยแสงตะวัน เสียงน้ำไหล ไอเย็นและกลิ่นสดชื่น มีให้ดื่มด่ำไปเรี่ยทางเหมือนไม่เคยมาที่แห่งนี้มาก่อน จนกระทั่งเดินไปถึง จุดเดิมที่ท้ายสวน ณ พุ่มไม้หนามที่เขาได้แอบลักลอบมาเชยชมเมื่อคืน ความตื่นเต้นประหลาดใจก็ทวีขึ้นมาอย่างประหลาด ตาหวานเบิกกว้างอย่างนึกทึ่งก่อนจะรี่วิ่งเข้าไปหาไม้พุ่มนั้น

“นี่! นี่!มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!” เด็กหนุ่มละล่ำละลักพูดขณะจ้องเป๋งไปที่พุ่มไม้ตรงหน้า องค์ราห์โอที่เดินตามมาไม่ห่างยกยิ้มอย่างอบอุ่นเมื่อเห็นความร่าเริงของอีฝ่าย

“น่าแปลกไหมเล่า ดอกไม้ที่น่าจะบานเพียงคืนเดียวกลับยังอยู่ได้ข้ามวันมาได้ป่านนี้ ข้าพนันเลยว่านี่จะเป็นครั้งแรกบนโลกที่กุหลาบจันทราเบ่งบานได้ใต้แสงตะวัน”

            ก็เป็นเช่นนั้นเสียจริงๆ ด้วยดอกกุหลาบที่น่าจะร่วงหล่นไปเมื่อพระจันทร์ลับขอบฟ้ากลับยังชูช่อยู่เหมือนปรกติ เพียงแต่เหลือดอกเดียวเท่านั้นและเป็นดอกที่เทพหนุ่มประทับจุมพิตไปเมื่อคืน

โรเรเนสมองอย่าประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกริ่มอย่างมีชัยแล้วชายตาไปมองอีกคนที่ข้างกันด้วยตาหวานแบบหยอกเย้า

“ไงล่ะ นี่เพราะข้าเป็นเทพอย่างไรเล่าถึงได้เกิดปาฏิหารเช่นนี้ได้” เขาเอ่ยด้วยเสียงใสที่ปนความยโสเหมือนเด็กๆอยู่ในนั้น  ทำให้ผู้ฟังรู้สึกหมั่นไส้จนอยากจะกระชากมาหอม ณ เดี๋ยวนั้น แต่ก็เพียงส่งเสียงหัวเราะต่ำๆในลำคอแล้วเหยียดยิ้มให้

“งั้นรึ ถ้าเช่นนั้นองค์เทพความทรงจำของท่านคงกลับมาแล้วสิ?”  ฟารันเรียกด้วยสรรพนามใหม่เพื่อเย้าเล่น

“มันเกี่ยวอะไรด้วยเล่า”

“เอ้า ก็เจ้ามีพลังทำให้ไม้ดอกบานเช่นนี่ก็แปลว่าความเป็นเทพลงประทับร่างแล้วสินะเช่นนี้ก็ต้องจำอะไรๆได้ทั้งหมดแล้วสิ”

เทพหนุ่มหน้ามุ่ยแล้วหลบตา เขาคิดทบทวนอยู่เล็กน้อย
“ก็พอจะจำได้อยู่หรอก”

“เช่นอะไร”

“ก็เรื่องบนสวรรค์”

“เรื่องนั้นไม่เอา มนุษย์บนโลกที่ได้อ่านคำภีร์ก็รู้เช่นกัน”

“เรื่องประวัติสปันเทียข้าก็จำได้รางๆ”

“เรื่องนั้นก็ไม่เอา ประวัติสปันเทียใครๆเขาก็รู้”

“เอ้า ถ้างั้นจะให้ข้าพูดถึงเรื่องอะไรท่านถึงจะเชื่อว่าข้าเป็นเทพเล่า”

“ก็....คำขอของข้าไง”

“ท่านขอให้ผลผลิตดีตลอดปีและประชาชนร่มเย็นเป็นสุข”

“เรื่องนั้นมันเดาได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

เด็กหนุ่มส่งเสียงครางในลำคอเหมือนเหมือนขัดใจแล้วค้อนน้อยๆส่งไป

“อะไรกันอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ตอบคำถามข้ามาได้ข้อเดียวข้าจะพอใจทันทีเลยล่ะ”

“?”

“ข้าขออะไรเจ้าในวันนั้น วันที่ข้าอยู่ในตรอกตอนข้าอายุ8ขวบ”

“วันนั้น??...ในตรอก”

             เด็กหนุ่มมองตอบไปด้วยดวงตาใสแป๋วอย่างไร้เดียงสา เขาไม่เข้าใจซักนิดว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
ฟารันเห็นความว่างเปล่าในท่าทีของอีกฝ่ายจึงหลุ่บตาลงต่ำเหมือนจะข่มอารมณ์บางอย่างอยู่ในที 

แล้วเงียบ

จู่ๆอารมณ์คึกครื้นกึ่งหยอกล้อต่อล้อต่อเถียงนั้นก็ขาดหายไปเหมือนถูกมีดตัด มันหายไปเหมือนตกห้วงและที่เหลืออยู่กลับกลายเป็นบรรยากาศหนักอึ้งน่าประหลาดที่ยากต่อการเข้าใจ ไร้ที่มา เจือปนด้วยความเศร้าที่แผ่กระจายอย่างจางๆ
ฟารันนึกคิดบางอย่างโดยที่อีกฝ่ายไม่กล้าจะถามถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเช่นนี้อยู่ซักพัก ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเรียบเลื่อนลอยเหมือนไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่พูด

“ข้ายอมให้เจ้าลืมทุกอย่างในจักรวาลนี้เพื่อแลกกับการจำเรื่องนี้ได้เรื่องเดียวเลยรู้ไหม”
“มัน...มันสำคัญกับท่านมากสินะ”

“อืม...อาจฟังดูกตัญญูนะแต่ข้าพูดได้เลยว่ามันยิ่งกว่าตอนพ่อแม่ข้าตายอีก”

สวรรค์เรื่องสำคัญแบบนี้ข้าจำไม่ได้ได้อย่างไรกัน

          โรเรเนสเริ่มรู้สึกผิดที่ตนเองจำเรื่องนี้ไม่ได้จึงเดินเข้าไปใกล้ เหลือบมองใบหน้านิ่งที่ฉาบบางด้วยความเศร้านั้นด้วย      ตาหวานอ้อน

“นี่ ข้าสัญญานะว่าข้าจะดูแลต้นไม้ท่านให้ดีๆเลย แล้วพอความทรงจำข้ากลับมาข้าจะตอบคำถามทุกคำถามที่ท่านอยากรู้....แต่ให้เวลาข้าก่อนนะ”


            กษัตริย์หนุ่มนิ่งอึ้งมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ แปลกใจกับท่าทีอ่อนหวานอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความจริงใจใสซื่อโดยไม่ได้มีทีท่าหวาดกลัวเหมือนแต่ก่อน มันช่าง.....วูบหนึ่งที่จ้องมองแววตาที่จริงใจนั้น มันช่าง.....มีความสุข

ทว่าอารมณ์หวานหอมอบอุ่นก็โดนช่วงชิงไปโดยรอยยิ้มประหลาดของกษัตริย์หนุ่ม เช่นเดียวกับความคึกครื้นโดนความหนักอึ้งช่วงชิงพื้นที่แห่งห้วงเวลาไปเมื่อครู่ ด้วยเหตุผลบางอย่างฟารันยังมิยอมให้อารมณ์ลึกซึ้งของเขาปรากฎขึ้นต่อหน้าอีกฝ่ายในขณะนี้จึงจงใจเปลี่ยนเรื่องและเปลี่ยนท่าทีเป็นดั่งหนุ่มกระหายหื่นให้ร่งเล็กขวัญเสียขึ้นมาเสียอย่างนั้น

 “หึหึ...เช่นนั้นเราคงต้องใช้วิธีเดิมแล้วกระมัง”  หน้าหล่อกระลิ้มกระเหลี่ย สื่อให้รู้ชัดว่าหมายถึงอะไร ตาหวานจึงหน้าบึ้งขึ้นมาอีกแล้วถอยหนีทันที

“ก็หรือไม่จริงเล่า ข้าก็เคยบอกไปแล้วว่าเรื่องสถานะของเจ้ามันปล่อยให้ค้างคาเนิ่นนานไม่ได้”

“.......”

“เงียบทำไมเล่า เช่นนี้ถือว่ายินยอม”

“เมื่อคืนเราคุยเรื่องนี้กันไปแล้วนะ”

“คิดว่าข้าจะผิดสัญญาหรือ ไม่หรอกไม่เชื่อข้าหรือไง?”

“.........”

หน้ามุ่ยหนีไม่ตอบกลับมา ฟารันเห็นแล้วนึกหมั่นเขี้ยวจึงดึงตัวเข้ามากอด
“อะ อะ อย่านะ”

“พอข้าใจดีด้วยหน่อยก็ต่อปากต่อคำเชียวนะ ต้องสั่งสอนกันหน่อยแล้ว” 

           กระนั้นแล้วริมฝีปากหนาจึงลงประทับบดเบียดอีกฝ่ายก่อนจะล่วงล้ำดูดดื่มอย่างหวานละมุน เสียงครางเบาดังขึ้นแต่ก็ไม่อาจหยุดการกระทำนี้ได้  เกี่ยวกระหวัดตักตวงรสหวานอย่างตั้งใจครู่หนึ่งแล้วผละออก ปล่อยให้เด็กหนุ่มแก้มแดงซ่านที่เรี่ยวแรงถดถอยลงไปทุกขณะหอบกระเส่าน้อยๆอยู่ในอ้อมแขน ก่อนจะบรรจงลงจูบอีกครั้งอย่างเนิบนาบกระตุ้นช้าด้วยปลายลิ้นที่สอดรัด ย้ำจังหวะดูดดื่มซ้ำเป็นระยะช้าๆแล้วถอดออกเมื่อถึงจุดพึงใจ

หากคราวนี้ราห์โอหนุ่มยังมิอาจปล่อยอีกฝ่ายไปได้ง่ายเช่นคราวก่อนแต่กลับจูบลงที่ซอกคอแล้วซุกไซ้ขบเล่นอย่างช่ำชอง
“อ๊ะ อ๊ะ อื้มม ราห์โอ หยุดเถอะ อื้ออ”

แม้นจะเป็นการประท้วงแต่ก็เป็นการเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคลิบเคลิ้มหวานกระเส่าทำให้องค์ราห์โอไม่คิดจะสนใจคำทักท้วงนั้น ตรงข้ามกลับเพิ่มการสัมผัสระหว่างกันจากแค่การซุกไซ้บริเวณคอเพื่อเป็นมือซุกซนที่เริ่มเคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ จนลงไปถึงจุดที่...

“ยะ หยุดน้าาาา อ๊า!!!”
 เด็กหนุ่มตกใจตื่นจากภวังค์อันเคลิบเคลิ้มแล้วเริ่มดิ้นอย่างแรง ราห์โอที่ไม่ทันตั้งตัวก็จำต้องปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือไม่อย่างช่วยไม่ได้

“ไหนท่านสัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทำถ้าข้าไม่ยอม คนนิสัยไม่ดีๆ ข้า ข้า .....”  ตาหวานที่อยู่อารามตกใจระคนโกรธนิ่งคิดกับตัวเองว่าจะด่าอะไรดี

“ถ้าท่านยังขืนทำแบบนั้นอีกนะข้าจะโกรธท่านแล้วไม่พูดกับท่านอีก แล้วข้าจะแช่งด้วยสาบาญต่อสวรรค์ตรงนี้เลยขอให้ไม่มีลูกไม่มี...”

“อ่าพอๆ ข้ายอมแล้วอภัยข้าเถิด” องค์ราห์โอขัดขึ้นแม้นยังไม่จบประโยค  ก่อนจะยิ้มแกมขันให้แทน

“ยิ้มอะไรข้าจริงจังนะ นี่ข้าโกรธท่านะรู้ไหม”

 ทว่าแก้มแดงๆตากลมๆพร้อมกับปากที่มุ่ยลงกลับยิ่งทำให้ดูน่ารักเสียมากกว่า

“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญาหรอกแต่ว่า....ก็คิดว่าเจ้าจะพึงใจ”

โรเรเนสจ้องตาอีกฝ่ายอึดใจหนึ่งก่อนจะหลุบหนีด้วยตระหนักว่าแท้จริงแล้วเขาก็...พึงใจอยู่กับสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้ หากแต่เขายังมิอาจยอมรับความรู้สึกตนเองได้อีกทั้งยังมิคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้ทั้งขณะที่เป็นเทพและขณะที่เป็นคน จึงยังมิกล้าจะยอมปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ที่ต้องมีการปลุกเร้าและมีการปลดปล่อย ความรู้สึกเขินอายทำให้เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอายที่ไม่ควรให้เกิด จึงปฏิเสธอย่างแข็งขันถึงเพียงนี้

 แม้นตนเองจะตระหนักได้ด้วยปัญญาของเทพที่รู้ทันปราถนาของร่างกายมนุษย์และรู้ดีว่าแท้จริงแล้วตนเองต้องการสิ่งใดแต่ด้วยยังมิอาจยอมรับเขาจึงเอื้อนเอ่ยออกไปอย่างไม่เต็มเสียง

“เราข้ามเรื่องนี้ไปเถอะนะ”

“เช่นนั้นก็ได้ แล้วนั่งคุยกันเฉยๆได้ไหม”

เทพหนุ่มพยักหน้ารับน้อยๆ องค์ราห์โอจึงทรุดนั่งอย่างสบายๆลงบนพื้นหญ้าแล้วชักชวนให้ทำตาม บทสนทนาถูกเปิดขึ้นจากผู้เชื้อเชิญ ว่าด้วยเรื่องต้นไม้ใบหญ้าผิวเผินนั้นเหมือนเป็นแค่การสนทนาในเรื่องที่ชายหนุ่มสองคนสนใจหากแต่ต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าในบทสนทนาสบายๆที่มีขึ้นเพื่อให้เด็กหนุ่มคลายตื่นกลัวนั้นเต็มไปด้วยการลองภูมิความรู้เกี่ยวกับพืชที่องค์ราห์โอต้องการทดสอบอีกฝ่ายเสียทั้งนั้น

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติของแต่ละพันธุ์ วิธีการดูแล รูปลักษณ์ในแต่ละฤดู ซึ่งนอกจากจะเป็นเหล่าพันธุ์ไม้ในโดมนี้ ยังลามไปยังแห่งอื่นที่ไกลแสนไกล แปลกแสนแปลกยากที่จะมีใครรู้จักอย่างถ่องแท้ เช่นเถาว์ไม้เลื้อยชีดาร์กลางทะเลทราย ดอกพาร์รีที่ขึ้นเฉพาะยอดผา กระทั่งต้นส้นสีแดงที่โตอย่างโดดเดี่ยวในเขาสวดมนต์ ซึ่งทั้งไม้ในห้องนี้และพันธุ์ไม้ทั้งหมดทั้งมวลเท่าที่ฟารันจะเอ่ยถึงได้ โรเรเนสก็รู้จักอย่างดีและดีเสียกว่าในหลายสิ่งจนคนฟังเผลอท้วงไปด้วยซ้ำว่าเขาแต่งเรื่อง

“เจ้าไปรู้เรื่องพืชมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร”

“ข้าก็ตอบได้คำเดิมว่าข้าเป็นเทพ”

“แล้วที่เจ้าบอกว่าสวนของข้ามันไม่ถูกต้องนี่เจ้าคิดว่าจริงรึ ทั้งที่มันก็เจริญเติบโตได้ดีเพียงนี้”

“หากเพียงแค่รอดชีวิตไปวันๆท่านก็ทำได้ดีแล้ว แต่หากอยากให้พวกเขาเหล่านี้ออกดอกมาล่ะก็ท่านยังไม่เฉียดเลยด้วยซ้ำ” เด็กหนุ่มพูดอย่างเรียบมิได้ปนน้ำเสียงอวดดีแม้แต่น้อยแก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่คนฟังจะรู้สึกเช่นนั้น

“หึ แล้วเจ้ามีวิธีที่ดีกว่านี้รึ”

“ถ้าเป็นวิธีการแบบมนุษยืข้าไม่แน่ใจว่าตนเองจะทราบอย่างแน่ชัด เพราะปรกติจะใช้เวทย์ของตนเองในการดูแลต้นไม้”

“บนสวรรค์งั้นสิ”

“อื้ม แต่ถ้าจะให้ข้าดูแลก็ได้นะ ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะยอมออกดอกมาทักทายให้ข้าเช่นที่กุหลาบจันทรานั้นทำ”

“เพราะเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์งั้นสิ”

“อื้ม ใช่ต้นไม่มิได้มีความคิดซับซ้อนเช่นมนุษย์แต่พวกเขามีสัมผัสพิเศษ มีสัญชาตญาณและมีหัวใจ บางสิ่งสามารถรับรู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์”

“แขวะข้างั้นสิ”

“อื้ม...อะ เอ่อ ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ”

หนุ่มผมม่วงหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อยเมื่อพลั้งปากพูดโดยไม่คิดออกไป หากแต่ฟารันมิได้ถือโทษจริงจังแต่กลับมองอย่างพินิจแล้วยกยิ้มอย่างเอ็นดู

“ตามปรกติพูดจาแบบนี้คนเขาจะหาว่าสติไม่ดีนะรู้ไหม เอ่ยว่าตัวเองเป็นเทพเป็นตุเป็นตะเช่นนี้” 

โรเรเนสก้มหน้าลงมองพื้นหญ้าพลางคิดถึงคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆพร้อมส่งสายตาหวานละห้อยไปให้

“นี่ ข้าถามจริงๆเถอะ”

“ว่าไง”

“ท่าน...ท่านไม่เชื่อข้าซักนิดเลยใช่ไหม”

ตาหวานเศร้าจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ฟารันนิ่งเงียบไร้ท่าทีจะตอบกลับอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

“เด็กบ้าเอ้ย เอาตรงๆเลยหรือไง”

พยักหน้า

เงียบ

ใบหน้าคมสันหันหนีไปทางอื่น แววตาครุ่นคิดด้วยพยายามเรียบเรียงคำพูด เขาหายใจเข้าลึกก่อนจะหันกลับมาสบตาหวานที่ยังจ้องเขม็งหมายจะเอาคำตอบอย่างไม่ลดละนั้นอยู่

“นี่...ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจนะว่าถึงแม้ข้าจะไม่เคร่งในเรื่องวิถีปฏิบัติและตัวข้าเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา หากแต่ในบางเรื่อง บางกรณีที่เป็นเรื่องสำคัญ ความคิดเห็นอย่างส่วนตัวของคนในสถานะเช่นข้านั้น....”

“ข้าเข้าใจดี”

 ตาคมเข้มแปรเป็นแปลกใจเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายขัดกลางลำ

“อภัยข้าด้วยที่พูดขึ้นทั้งที่ท่านยังพูดไม่จบ แต่เรื่องสถานะของท่าน และสิ่งที่ต้องทำ ต้องตัดสินใจข้าเข้าใจดีว่าเรื่องนั้นต้องรอบคอบและ และหลายๆอย่าง แต่ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านตัดสินใจไปเป็นอื่น ท่านคิดจะทำอย่างไรกับเรื่องของข้าก็ตามที่สมควร แต่ ณ ตรงนี้ ที่เราอยู่กันแค่สองคน ข้า ข้าแค่ขอ ข้าแค่อยากรู้ อยากรู้เฉยๆแล้วจะไม่ถามอีก.....”

“......”

“ข้าอยากให้ท่านลืมเรื่องการเป็นราห์โอไปเสียขณะหนึ่ง แล้วกรุณาตอบข้าหน่วยว่า ถ้าท่านเป็นแค่ฟารัน ถามจริงๆลึกๆแล้วท่าน ท่านเชื่อข้าบ้างหรือไม่”

มันเป็นช่วงอารมณ์เช่นตอนที่มองหญ้าโบกไหวต้องสายลม หรือบางครั้งก็ดั่งเช่นการจ้องมองเกล็ดหิมะค่อยๆร่วงช้าๆลงแตะพื้น ด้วยมันเรียบง่าย เงียบสงบและชวนให้ติดตาม ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนนั้นนานแค่ไหน สิ่งที่ควรจะตอบได้ง่ายที่สุดกลับใช้เวลาอย่างละเอียดเนิบช้าเช่นการคลี่ออกของกลีบไม้ดอก ในการทบทวนนึกคิด ก่อนจะพูดออกมาท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบเช่นนี้

ฟารันแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นสดใสก่อนจะเอื้อมมือออกไปแตะเรือนผมงามเงานั้นอย่างอ่อนโยน

“เชื่อสิ”

เช่นเดียวกับดอกไม้บานนั่นแหละ เมื่อยามที่ความจริงใจถูกเปิดเผยถูกคลี่ออกมาอย่างละเอียดอ่อนและสวยงาม มันก็บังเกิดให้เห็นเป็นดอกไม้ที่บานฉ่ำอย่างงดงามในแววตาที่หวานลึกนั้น รอยยิ้มผุดผาดขึ้นอย่างสดในเช่นยามเช้าปรากฎขึ้นบนหน้าสวยอย่างมิเคยเป็นมาก่อน เขายิ้มกว้างอย่างน่ารักพร้อมกับตาใสเป็นประกาย ทำเอาคนที่จ้องมองอยู่ถึงกับตะลึงไปเล็กน้อยกับมุมที่ไม่เคยเห็นเช่นนี้  เด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้อย่างกระตือรือล้น มือเรียวทั้งสองยื่นออกมาแตะที่ตักอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเองทันที

“ข้าดีใจที่สุดเลย ที่ท่านเชื่อข้าเช่นนี้”

ท่าทีร่าเริงเช่นนี้ก็น่ารักมากอยู่ แต่ด้วยไม่อยากให้ได้ใจนักกษัตริย์หนุ่มจึงปรามด้วยเสียงดุๆเล็กน้อย
“นี่อย่าทำเป็นเล่นไปนะ ข้าจริงใจกับเจ้าเจ้าก็ต้องจริงใจตอบรู้ไหม สัญญากันก่อนว่าจะไม่ทำร้ายความรู้สึกกันเมื่อข้าเชื่อใจเจ้า เจ้าต้องรักษาสิ่งนี้ไว้เข้าใจไหม”

“อื้ม แน่นอนเลยข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ข้าไม่มีทางทำร้ายความรู้สึกท่านแน่นอนเพราะข้าเป็นเทพอย่างแท้จริงรับรองได้ ไม่ว่าท่านจะพิสูจน์ด้วยวิธีใด....แต่บางวิธีต้องค่อยๆทำนะ แล้วเอ่อ บางวิธีมันก็ใช้เวลามากจริงเช่นเรื่องความทรงจำของข้า  แต่ว่า ข้าสัญญาว่าทุกสิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นจริงทุกประการ”

“ข้าเกลียดคนโกหกนะบอกไว้ก่อน หากจับได้ว่าเจ้าฉ้อฉลข้าจะไม่อภัยเจ้าอย่างแน่นอน”

ช่วงแว่บแล่นหนึ่งที่โฉบเข้ามา โรเรเนสเหมือนจะจำได้ลางๆ เหมือนจะรู้สึกได้ว่าในอดีตนั้นชายผู้อยู่ตรงหน้าเขานี้เคยประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายที่ผู้เป็นองค์รัชทายาทไม่ควรจะพบเจอมาก่อน มันเจือจางไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่เขารู้ได้ว่าฟารันฝังใจกับบางสิ่งเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อใจ หากเขาพลาดไปเพียงเล็กน้อย น้อยนิดที่บิดเบือนไปจะด้วยเหตุผลใดใดก็ตาม ชายคนนี้คงมิอาจอภัยให้เขาได้เป็นแน่นอน

เทพหนุ่มเกิดรู้สึกผูกพันอย่างประหลาด อาจเป็นความรู้สึกจากช่วงเวลายามที่เป็นเทพสถิตย์อยู่บนสวรรค์กระมังทำให้เขารู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับชายคนนี้มานาน จึงเอ่ยอย่างจริงจังเพื่อตอกย้ำให้เชื่อมั่นและสงบใจว่าเขาจะไม่มีวันทำร้ายความรู้สึกของคนที่ให้ความไว้วางใจเขาเป็นอันขาด

“ต่อให้ดาวร่วงจากฟ้าข้าก็ไม่มีวันผิดสัญญา”

หน้าหวานยิ้มละมุนขณะจ้องตาอีกฝ่ายในระยะประชิด จึงทำให้อดไม่ได้เลยที่จะยิ้มตอบในลักษณะเดียวกัน

“ข้าจะจำไว้”

เจ้าของตาเข้มคมเอ่ยเบาก่อนจะก้มลงประทับจูบบางๆลงที่หน้าผากของอีกฝ่าย  ขวยเขินแต่พยายามยิ่งแล้วเพื่อสงบลง เด็กหนุ่มแก้มแดงน้อยๆเมื่อฝ่ายนั้นละจากหน้าผากตนแล้วจ้องนิ่งอย่างจริงจังพร้อมทั้งส่งยิ้มจางๆที่อบอุ่นมาให้ ฝ่ายนั้นไม่มีทีท่าว่าจะละสายตาไปจากหน้าสวยที่น่าหลงใหลได้เลย จึงเป็นเขาเองที่ต้องเสมองไปทางอื่นแทน ทว่ามิทันไรเครื่องหน้าที่แสดงอาการขวยนั้นก็แปรเป็นแปลกใจเมื่อตนนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้

“ว่าแต่ถ้าท่านเชื่อว่าข้าเป็นเทพเช่นนี้ ไม่กลัวสวรรค์ลงโทษที่กระทำ อ่าม ทำ...เรื่องแบบนี้กับข้ารึ รู้ใช่ไหมว่าทำเช่นนี้กับเทพนั้นไม่ดีเอาเสียเลย” โรเรเนสหันไปถามอย่างใคร่รู้แกมลำบากใจ แต่ราห์โอหนุ่มกับมิได้กังวลใจกับคำถามนี้นัก ซ้ำร้ายกว่านั้นยังบังอาจดึงตัวเทพหนุ่มขึ้นมานั่งบนตักเสียด้วยซ้ำโดยไม่สนเสียงทักท้วงงอแงของอีกฝ่ายเลย

“ไม่เห็นต้องสงสัยอะไร สวรรค์นั้นโปรดข้ายิ่งกว่าใครถึงได้ส่งเจ้ามาให้ข้านี่อย่างไร เชื่อลิขิตสวรร๕เถอะให้ข้ากอดเจ้าเช่นนี้ล่ะดีแล้ว”  ว่าแล้วก็แกล้งก้มลงหอมเนื้อแก้มละเอียดขณะที่อีกฝ่ายส่งเสียร้องกระเง้ากระงอนอย่างขัดใจ

คนอะไรคิดเอาแต่ได้….

......แลทั้งสองก็อ้อยอิงอยู่ในสวนนั้นจนโมงยามเลื่อนไหลผ่านไป

 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

ยังไม่ตายนะคะ ไรต์ยังไม่ตายT T แค่หายไปเกิดใหม่ค่ะ ขออภัย ยังมีใครอยู่ที่นี่ไหม ไหม ไหม ไหม (เสียงสะท้อนไปมาในหุบเขา)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2015 23:35:10 โดย Donna Nod »

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
เค้ารอเรืีองนี้มานานมากกกกกกกก ดีใจที่มาต่อค่ะ :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด