ท่านหมอหลวงและเลขาคนสนิทมองตามอย่างมีนัยยะแต่ต่างกันตรงที่คนแรกอย่างฉงนกลับอีกคนยิ้มกริ่มอย่างสนุก
“ก่อนหน้าเห็นท่านโรเรเนสเอ่ยว่าองค์ราห์โอมิใคร่จะชอบตนนักแถมที่ข้าเห็นก็เห็นว่าทั้งสองไม่ได้คุยกันเลยแม้แต่น้อย เหตุไฉนวันนี้ถึงดูสนิทสนมกันได้”
“น่าจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนล่ะท่านหมอ”
“ท่านไปรู้อะไรมารึ”
“ก็ไม่มีอะไรมาก ก็เมื่อวานตอนบ่ายองค์ราห์โอเห็นข้าอยู่กับท่านโรเรเนสสองต่อสองก็เกิดริษยาฉุนเฉียวอย่างหนักจนต้องเรียกข้าไปคุย แต่ข้าเองก็ทูลไปว่าเป็นความเข้าใจผิดอีกทั้งท่านโรเรเนสยังกำลังอยู่ในอารมณ์น้อยใจราห์โอด้วยซ้ำที่ไม่ใส่ใจตน พอได้ยินแบบนั้นก็ทรงแปลกใจเป็นอย่างมากและอยากจะปรับความเข้าใจกับท่านโรเรเนสเป็นที่สุดแต่ตอนนั้นยังทรงเกรงว่าฝ่ายนั้นเขาจะกลัวข้าก็เลยทูลไปว่าให้ลองไปรออยู่ที่สวนส่วนพระองค์ดูเพื่อจะดวงดี”
ท่านหมอนิ่งมองเลขาหนุ่มอย่างนึกคิดไม่กี่อึดใจก่อนจะเอ่ยถามต่อ
“เท่ากับว่าไม่ได้มีแต่ข้าใช่ไหมที่คิดว่าทั้งสองฝ่ายสนใจกัน”
“ชัดเจนเสียเพียงนั้นท่านยิ่งองค์ราห์โอนี่ท่านก็เห็นมาแต่ทรงพระเยาว์คงเดาได้ว่าพระองค์คิดอะไร”
“ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าทั้งสองจะได้ไปเจอกันที่สวนนั่น”
“ข้าก็แค่เดา ด้วยเมื่อคืนนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวงหากเท่าทราบ”
“ใช่ กุหลาบจันทราเบ่งบานเมื่อคืนวานอย่างที่ทราบ”
“และข้าก็บอกท่านโรเรเนสไปเช่นนั้น ฝ่ายนั้นดูกระหายใคร่อยากจะเห็นรบเร้าให้ข้าพาไปแต่ข้าก็ปฏิเสธ ข้าจึงคาดเดาไปว่าเขาอาจจะพอมีความซุกซนอยู่มากพอที่จะแอบไปดูดอกกุหลาบคนเดียวในยามค่ำ เช่นนั้นข้าจึงบอกให้ฝ่าบาทไปดักรอไว้และไม่ต้องลงกลอนประตูสวนก็เท่านั้นเอง”
ครานี้หมอหลวงหลิ่วตามมองเด็กหนุ่มอย่างพินิจก่อนจะเบี่ยงสายตาไปจับจ้องสิ่งอื่น
“เจ้าเล่ห์อย่างไรก็เป็นอย่างนั้นแต่เด็กจนโตเลยนะเจ้าเนี่ย”
“แน่น๊อน ข้าถึงเป็นพระสหายได้อย่างไรเล่า”
“หากแต่มันจะราบรื่นสมใจก็คงเป็นมิได้หรอก”
“ทำไมรึมันจะมีปัญหาอันใด...หรือท่านโรเรเนสมิใช่เทพแล้วล่ะท่านก็ไหนท่านบอกแต่แรกว่า...”
“แน่นอนว่าเขาเป็นเทพ แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นหรือไม่ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ก็ไม่มีทางราบรื่นไปได้แน่ ทั้งด้วยอุปนิสัยของทั้งคู่เอง สถานะทางสังคมแล้วไหนจะ....พวกผู้ประสงค์ร้าย”
“นี่อย่าบอกนะว่าท่านก็เชื่อเรื่องที่ท่าน..โยเฮน” ปลายเสียงของเลขาหนุ่มแผ่วลงจนเป็นกระซิบ
“เป็นแค่ลางสังหรณ์...เขาอาจจะเป็นคนดีก็ได้ข้าไม่รู้หรอก แต่คนเขาก็พูดกันเยอะอย่างที่ท่านน่าจะเคยได้ยินว่าขุนนางผู้นี้ไม่ซื่อซักเท่าใด”
“ทั้งข้าและฝ่าบาทก็เคยได้ยินมามากเกี่ยวกับท่านโยเฮนหากแต่ก็ไม่มีหลักฐานใดๆมาพิสูจน์ความทุจริตของเขาอีกทั้งก็เป็นอย่างที่ทราบว่าเหล่าขุนนางมักใส่ร้ายกันเพื่ออำนาจหน้าที่อยู่แล้วฝ่าบาทจึงไม่ทรงสามารถตัดสินใจทำอะไรกับเขาได้ ไม่แน่เขาอาจเป็นคนดีก็ได้นะท่านเพราะก็เห็นว่าท่านโยเฮนขยันขันแข็งถวายงานตั้งแต่ราห์โอองค์ก่อน ความดีความชอบก็มีมากท่านก็เห็นอยู่”
“ใช่ ไม่มีเหตุผลอันใดเลยที่จะตั้งข้อสงสัยในความจงรักษ์ภักดีของชายผู้นั้นเพียงแต่เรื่องอันเชิญเทพในครานี้ เขาออกจะดู....เดือนร้อนมากจนเกินปรกติ”
“อืม....ว่ากันตามตรงข้าก็แปลกใจที่ท่านโยเฮนดูจะไม่ชอบให้มีเทพอยู่ในวังเป็นเอามาก แต่ข้าว่าด้วยปรกติเขาออกตัวชัดเจนว่าไม่เชื่อเรื่องทำนองนี้อยู่แล้วผสมกับที่เป็นคนจริงจังขี้หวาดระแวงท่านโยเฮนก็คงเกรงว่าพวกนักบวชจะมาหลอกลวงฝ่าบาทกระมัง ท่านก็พอทราบอยู่นี่ว่าพักหลังมีประชาชนร้องเรียนเรื่องนักบวชเอาศาสนามาหากินบ่อยๆช่วงนี้ศาสนจักรชื่อเสียมากอยู่”
บทสนทนาเงียบลงไปพร้อมกับความนึกคิดที่เริ่มผุดขึ้นในใจเลขาหนุ่ม....แต่เขามิใช่คนผลีผลาม ยังก่อน มิอาจทำอะไรได้หากไม่มีหลักฐาน ยังก่อน...
--------
เสียงฝีเท้าสาวเร็วไปตามทางเดิมเด็กหนุ่มผมม่วงแก้มระเรื่อด้วยไม่ทราบว่าเหนื่อยจากการเดิมเร็วๆหรือเพราะสิ่งใด
“ท่านจะพาข้าไปที่ไหนน่ะ” อีกฝ่ายไม่ตอบแต่กลับหยุดเดินก่อนจะมองไปรอบๆทางเดินที่ทั้งสองยืนอยู่แล้วหันไปคุยกับเจ้ากีก้าก่อนจะคุยกับคนด้วยซ้ำ
“เรี่ยดิน(ชื่อเล่นที่ฟารันเรียกกีก้า) ไปเล่นที่อื่นไป”
เจ้าหมาน้อยเอียงคอสงสัยพร้อมสงเสียงสูงๆในลำคอ
“ไปขอขนมกินในครัวไป ไปซี่ ไปเร็ว!”
กีก้างุนงงเล็กน้อยแต่ก็เข้าใจได้ว่าเจ้านายไม่อยากให้ตนตามไปประกอบกับพอนึกถึงเรื่องขนมก็เลยยอมวิ่งกลับไปทางเก่า เด็กหนุ่มมองตามหมาน้อยอย่างสิ้นหวังรู้สึกเหมือนไม่ปลอดภัยทันทีที่มันวิ่งหายไป แลเมื่อหันกลับมาก็พบกับแววตาเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจของคนที่ลากเขามา
“คิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้าตอนที่ไอ้หมาเตี้ยมันไม่อยู่งั้นรึ”
“เปล่าเสียหน่อย ข้าไม่ใช่คนคิดอะไรพรรค์นั้นอยู่แล้ว”
“หืม...นี่ว่ากระทบข้างั้นรึ” เจ้าของตาคมช้อนคางอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วจ้องแบบดุๆ แต่เด็กหนุ่มก็ยังดื้อสู้ตาทั้งที่เห็นได้ชัดว่าตนเองค่อนไปทางประหม่า
“หึ ดูท่าจะกล้าขึ้นนะหลังจากโดนจูบท่าจะอยากโดนอีกล่ะสิท่า” ครานี้ตาหวานเม้มปากแน่นแต่ก็ยังมิยอมหลบตา จนอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาหมายจะจูบ
จึงชักหน้าหนีแถมหลับตาปี๋เหมือนเด็กๆ ทว่าฝ่ายนั้นก็เพียงแค่จุมพิตลงบนหน้าผากมนก่อนจะหัวเราะอย่างชอบใจ
“ไม่ได้จะกัดเสียหน่อยกลัวอะไร” ฟารันเอ่ยด้วยหน้าเปื้อนยิ้มแอบรู้สึกหมั่นเขี้ยวคนตัวเล็กที่ทำหน้ามุ่ยค้อนมองตนเป็นอย่างมาก
“ข้ามีอะไรจะให้เจ้าดูน่ะ”
เขาเอ่ยด้วยซุ่มเสียงอ่อนโยนก็จะจูงมืออีกฝ่ายให้เดินไป แม้นจะไม่คุ้นชินแต่เด็กหนุ่มก็จำได้ว่าเป็นทางไปสวนที่ตนแอบมาเมื่อคืน ราห์โอจะให้เขาดูอะไรในสวนกันนะ?
แลเมื่อเดินไปถึงหน้าประตูลับที่ปิดอยู่กษัตริย์หนุ่มก็ดุนหลังเด็กหนุ่มเบาๆให้เดินไปข้างหน้า
“ลองเข้าไปดูให้ทั่วๆสิ ลองสังเกตดูว่ามีอะไรแปลกไปไหม”
ฟารันเอ่ยเสียงเรียบเหมือนจะไม่มีอะไรแต่แววตาของเขาแฝงไปด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด เช่นนี้โรเรเนสก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย จึงเปิดประตูห้องเข้าไปอย่างใคร่รู้
สวนกระจกยามกลางวันนั้นก็งามต่างไปอีกแบบจากตอนกลางคืน บรรยากาศเย็นชื้นแตกต่างกับด้านนอกเป็นอย่างมากซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจด้วยเพราะแม้นจะเห็นอยู่ชัดๆว่าแสงแดดแรงกล้าของยามสายสาดส่องสว่างไสวไปทั่วแต่ก็ไม่มีวี่แววของความร้อนแผ่ลงมาแม้แต่น้อย คงด้วยการออกแบบโดมและน้ำตกกระจกด้านบนเป็นแน่ที่ความคุมอุณหภูมิสวนแห่งนี้เอาไว้
เทพหนุ่มเห็นเหล่าพรรณไม้เขียวขจีมากมายได้เต็มตายิ่งกว่าเคยเมื่อทุกอย่างถูกฉายชัดด้วยแสงตะวัน เสียงน้ำไหล ไอเย็นและกลิ่นสดชื่น มีให้ดื่มด่ำไปเรี่ยทางเหมือนไม่เคยมาที่แห่งนี้มาก่อน จนกระทั่งเดินไปถึง จุดเดิมที่ท้ายสวน ณ พุ่มไม้หนามที่เขาได้แอบลักลอบมาเชยชมเมื่อคืน ความตื่นเต้นประหลาดใจก็ทวีขึ้นมาอย่างประหลาด ตาหวานเบิกกว้างอย่างนึกทึ่งก่อนจะรี่วิ่งเข้าไปหาไม้พุ่มนั้น
“นี่! นี่!มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!” เด็กหนุ่มละล่ำละลักพูดขณะจ้องเป๋งไปที่พุ่มไม้ตรงหน้า องค์ราห์โอที่เดินตามมาไม่ห่างยกยิ้มอย่างอบอุ่นเมื่อเห็นความร่าเริงของอีฝ่าย
“น่าแปลกไหมเล่า ดอกไม้ที่น่าจะบานเพียงคืนเดียวกลับยังอยู่ได้ข้ามวันมาได้ป่านนี้ ข้าพนันเลยว่านี่จะเป็นครั้งแรกบนโลกที่กุหลาบจันทราเบ่งบานได้ใต้แสงตะวัน”
ก็เป็นเช่นนั้นเสียจริงๆ ด้วยดอกกุหลาบที่น่าจะร่วงหล่นไปเมื่อพระจันทร์ลับขอบฟ้ากลับยังชูช่อยู่เหมือนปรกติ เพียงแต่เหลือดอกเดียวเท่านั้นและเป็นดอกที่เทพหนุ่มประทับจุมพิตไปเมื่อคืน
โรเรเนสมองอย่าประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกริ่มอย่างมีชัยแล้วชายตาไปมองอีกคนที่ข้างกันด้วยตาหวานแบบหยอกเย้า
“ไงล่ะ นี่เพราะข้าเป็นเทพอย่างไรเล่าถึงได้เกิดปาฏิหารเช่นนี้ได้” เขาเอ่ยด้วยเสียงใสที่ปนความยโสเหมือนเด็กๆอยู่ในนั้น ทำให้ผู้ฟังรู้สึกหมั่นไส้จนอยากจะกระชากมาหอม ณ เดี๋ยวนั้น แต่ก็เพียงส่งเสียงหัวเราะต่ำๆในลำคอแล้วเหยียดยิ้มให้
“งั้นรึ ถ้าเช่นนั้นองค์เทพความทรงจำของท่านคงกลับมาแล้วสิ?” ฟารันเรียกด้วยสรรพนามใหม่เพื่อเย้าเล่น
“มันเกี่ยวอะไรด้วยเล่า”
“เอ้า ก็เจ้ามีพลังทำให้ไม้ดอกบานเช่นนี่ก็แปลว่าความเป็นเทพลงประทับร่างแล้วสินะเช่นนี้ก็ต้องจำอะไรๆได้ทั้งหมดแล้วสิ”
เทพหนุ่มหน้ามุ่ยแล้วหลบตา เขาคิดทบทวนอยู่เล็กน้อย
“ก็พอจะจำได้อยู่หรอก”
“เช่นอะไร”
“ก็เรื่องบนสวรรค์”
“เรื่องนั้นไม่เอา มนุษย์บนโลกที่ได้อ่านคำภีร์ก็รู้เช่นกัน”
“เรื่องประวัติสปันเทียข้าก็จำได้รางๆ”
“เรื่องนั้นก็ไม่เอา ประวัติสปันเทียใครๆเขาก็รู้”
“เอ้า ถ้างั้นจะให้ข้าพูดถึงเรื่องอะไรท่านถึงจะเชื่อว่าข้าเป็นเทพเล่า”
“ก็....คำขอของข้าไง”
“ท่านขอให้ผลผลิตดีตลอดปีและประชาชนร่มเย็นเป็นสุข”
“เรื่องนั้นมันเดาได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
เด็กหนุ่มส่งเสียงครางในลำคอเหมือนเหมือนขัดใจแล้วค้อนน้อยๆส่งไป
“อะไรกันอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ตอบคำถามข้ามาได้ข้อเดียวข้าจะพอใจทันทีเลยล่ะ”
“?”
“ข้าขออะไรเจ้าในวันนั้น วันที่ข้าอยู่ในตรอกตอนข้าอายุ8ขวบ”
“วันนั้น??...ในตรอก”
เด็กหนุ่มมองตอบไปด้วยดวงตาใสแป๋วอย่างไร้เดียงสา เขาไม่เข้าใจซักนิดว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
ฟารันเห็นความว่างเปล่าในท่าทีของอีกฝ่ายจึงหลุ่บตาลงต่ำเหมือนจะข่มอารมณ์บางอย่างอยู่ในที
แล้วเงียบ
จู่ๆอารมณ์คึกครื้นกึ่งหยอกล้อต่อล้อต่อเถียงนั้นก็ขาดหายไปเหมือนถูกมีดตัด มันหายไปเหมือนตกห้วงและที่เหลืออยู่กลับกลายเป็นบรรยากาศหนักอึ้งน่าประหลาดที่ยากต่อการเข้าใจ ไร้ที่มา เจือปนด้วยความเศร้าที่แผ่กระจายอย่างจางๆ
ฟารันนึกคิดบางอย่างโดยที่อีกฝ่ายไม่กล้าจะถามถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเช่นนี้อยู่ซักพัก ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเรียบเลื่อนลอยเหมือนไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่พูด
“ข้ายอมให้เจ้าลืมทุกอย่างในจักรวาลนี้เพื่อแลกกับการจำเรื่องนี้ได้เรื่องเดียวเลยรู้ไหม”
“มัน...มันสำคัญกับท่านมากสินะ”
“อืม...อาจฟังดูกตัญญูนะแต่ข้าพูดได้เลยว่ามันยิ่งกว่าตอนพ่อแม่ข้าตายอีก”
สวรรค์เรื่องสำคัญแบบนี้ข้าจำไม่ได้ได้อย่างไรกัน โรเรเนสเริ่มรู้สึกผิดที่ตนเองจำเรื่องนี้ไม่ได้จึงเดินเข้าไปใกล้ เหลือบมองใบหน้านิ่งที่ฉาบบางด้วยความเศร้านั้นด้วย ตาหวานอ้อน
“นี่ ข้าสัญญานะว่าข้าจะดูแลต้นไม้ท่านให้ดีๆเลย แล้วพอความทรงจำข้ากลับมาข้าจะตอบคำถามทุกคำถามที่ท่านอยากรู้....แต่ให้เวลาข้าก่อนนะ”
กษัตริย์หนุ่มนิ่งอึ้งมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ แปลกใจกับท่าทีอ่อนหวานอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความจริงใจใสซื่อโดยไม่ได้มีทีท่าหวาดกลัวเหมือนแต่ก่อน มันช่าง.....วูบหนึ่งที่จ้องมองแววตาที่จริงใจนั้น มันช่าง.....มีความสุข
ทว่าอารมณ์หวานหอมอบอุ่นก็โดนช่วงชิงไปโดยรอยยิ้มประหลาดของกษัตริย์หนุ่ม เช่นเดียวกับความคึกครื้นโดนความหนักอึ้งช่วงชิงพื้นที่แห่งห้วงเวลาไปเมื่อครู่ ด้วยเหตุผลบางอย่างฟารันยังมิยอมให้อารมณ์ลึกซึ้งของเขาปรากฎขึ้นต่อหน้าอีกฝ่ายในขณะนี้จึงจงใจเปลี่ยนเรื่องและเปลี่ยนท่าทีเป็นดั่งหนุ่มกระหายหื่นให้ร่งเล็กขวัญเสียขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“หึหึ...เช่นนั้นเราคงต้องใช้วิธีเดิมแล้วกระมัง” หน้าหล่อกระลิ้มกระเหลี่ย สื่อให้รู้ชัดว่าหมายถึงอะไร ตาหวานจึงหน้าบึ้งขึ้นมาอีกแล้วถอยหนีทันที
“ก็หรือไม่จริงเล่า ข้าก็เคยบอกไปแล้วว่าเรื่องสถานะของเจ้ามันปล่อยให้ค้างคาเนิ่นนานไม่ได้”
“.......”
“เงียบทำไมเล่า เช่นนี้ถือว่ายินยอม”
“เมื่อคืนเราคุยเรื่องนี้กันไปแล้วนะ”
“คิดว่าข้าจะผิดสัญญาหรือ ไม่หรอกไม่เชื่อข้าหรือไง?”
“.........”
หน้ามุ่ยหนีไม่ตอบกลับมา ฟารันเห็นแล้วนึกหมั่นเขี้ยวจึงดึงตัวเข้ามากอด
“อะ อะ อย่านะ”
“พอข้าใจดีด้วยหน่อยก็ต่อปากต่อคำเชียวนะ ต้องสั่งสอนกันหน่อยแล้ว”
กระนั้นแล้วริมฝีปากหนาจึงลงประทับบดเบียดอีกฝ่ายก่อนจะล่วงล้ำดูดดื่มอย่างหวานละมุน เสียงครางเบาดังขึ้นแต่ก็ไม่อาจหยุดการกระทำนี้ได้ เกี่ยวกระหวัดตักตวงรสหวานอย่างตั้งใจครู่หนึ่งแล้วผละออก ปล่อยให้เด็กหนุ่มแก้มแดงซ่านที่เรี่ยวแรงถดถอยลงไปทุกขณะหอบกระเส่าน้อยๆอยู่ในอ้อมแขน ก่อนจะบรรจงลงจูบอีกครั้งอย่างเนิบนาบกระตุ้นช้าด้วยปลายลิ้นที่สอดรัด ย้ำจังหวะดูดดื่มซ้ำเป็นระยะช้าๆแล้วถอดออกเมื่อถึงจุดพึงใจ
หากคราวนี้ราห์โอหนุ่มยังมิอาจปล่อยอีกฝ่ายไปได้ง่ายเช่นคราวก่อนแต่กลับจูบลงที่ซอกคอแล้วซุกไซ้ขบเล่นอย่างช่ำชอง
“อ๊ะ อ๊ะ อื้มม ราห์โอ หยุดเถอะ อื้ออ”
แม้นจะเป็นการประท้วงแต่ก็เป็นการเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคลิบเคลิ้มหวานกระเส่าทำให้องค์ราห์โอไม่คิดจะสนใจคำทักท้วงนั้น ตรงข้ามกลับเพิ่มการสัมผัสระหว่างกันจากแค่การซุกไซ้บริเวณคอเพื่อเป็นมือซุกซนที่เริ่มเคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ จนลงไปถึงจุดที่...
“ยะ หยุดน้าาาา อ๊า!!!”
เด็กหนุ่มตกใจตื่นจากภวังค์อันเคลิบเคลิ้มแล้วเริ่มดิ้นอย่างแรง ราห์โอที่ไม่ทันตั้งตัวก็จำต้องปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือไม่อย่างช่วยไม่ได้
“ไหนท่านสัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทำถ้าข้าไม่ยอม คนนิสัยไม่ดีๆ ข้า ข้า .....” ตาหวานที่อยู่อารามตกใจระคนโกรธนิ่งคิดกับตัวเองว่าจะด่าอะไรดี
“ถ้าท่านยังขืนทำแบบนั้นอีกนะข้าจะโกรธท่านแล้วไม่พูดกับท่านอีก แล้วข้าจะแช่งด้วยสาบาญต่อสวรรค์ตรงนี้เลยขอให้ไม่มีลูกไม่มี...”
“อ่าพอๆ ข้ายอมแล้วอภัยข้าเถิด” องค์ราห์โอขัดขึ้นแม้นยังไม่จบประโยค ก่อนจะยิ้มแกมขันให้แทน
“ยิ้มอะไรข้าจริงจังนะ นี่ข้าโกรธท่านะรู้ไหม”
ทว่าแก้มแดงๆตากลมๆพร้อมกับปากที่มุ่ยลงกลับยิ่งทำให้ดูน่ารักเสียมากกว่า
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญาหรอกแต่ว่า....ก็คิดว่าเจ้าจะพึงใจ”
โรเรเนสจ้องตาอีกฝ่ายอึดใจหนึ่งก่อนจะหลุบหนีด้วยตระหนักว่าแท้จริงแล้วเขาก็...พึงใจอยู่กับสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้ หากแต่เขายังมิอาจยอมรับความรู้สึกตนเองได้อีกทั้งยังมิคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้ทั้งขณะที่เป็นเทพและขณะที่เป็นคน จึงยังมิกล้าจะยอมปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ที่ต้องมีการปลุกเร้าและมีการปลดปล่อย ความรู้สึกเขินอายทำให้เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอายที่ไม่ควรให้เกิด จึงปฏิเสธอย่างแข็งขันถึงเพียงนี้
แม้นตนเองจะตระหนักได้ด้วยปัญญาของเทพที่รู้ทันปราถนาของร่างกายมนุษย์และรู้ดีว่าแท้จริงแล้วตนเองต้องการสิ่งใดแต่ด้วยยังมิอาจยอมรับเขาจึงเอื้อนเอ่ยออกไปอย่างไม่เต็มเสียง
“เราข้ามเรื่องนี้ไปเถอะนะ”
“เช่นนั้นก็ได้ แล้วนั่งคุยกันเฉยๆได้ไหม”
เทพหนุ่มพยักหน้ารับน้อยๆ องค์ราห์โอจึงทรุดนั่งอย่างสบายๆลงบนพื้นหญ้าแล้วชักชวนให้ทำตาม บทสนทนาถูกเปิดขึ้นจากผู้เชื้อเชิญ ว่าด้วยเรื่องต้นไม้ใบหญ้าผิวเผินนั้นเหมือนเป็นแค่การสนทนาในเรื่องที่ชายหนุ่มสองคนสนใจหากแต่ต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าในบทสนทนาสบายๆที่มีขึ้นเพื่อให้เด็กหนุ่มคลายตื่นกลัวนั้นเต็มไปด้วยการลองภูมิความรู้เกี่ยวกับพืชที่องค์ราห์โอต้องการทดสอบอีกฝ่ายเสียทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติของแต่ละพันธุ์ วิธีการดูแล รูปลักษณ์ในแต่ละฤดู ซึ่งนอกจากจะเป็นเหล่าพันธุ์ไม้ในโดมนี้ ยังลามไปยังแห่งอื่นที่ไกลแสนไกล แปลกแสนแปลกยากที่จะมีใครรู้จักอย่างถ่องแท้ เช่นเถาว์ไม้เลื้อยชีดาร์กลางทะเลทราย ดอกพาร์รีที่ขึ้นเฉพาะยอดผา กระทั่งต้นส้นสีแดงที่โตอย่างโดดเดี่ยวในเขาสวดมนต์ ซึ่งทั้งไม้ในห้องนี้และพันธุ์ไม้ทั้งหมดทั้งมวลเท่าที่ฟารันจะเอ่ยถึงได้ โรเรเนสก็รู้จักอย่างดีและดีเสียกว่าในหลายสิ่งจนคนฟังเผลอท้วงไปด้วยซ้ำว่าเขาแต่งเรื่อง
“เจ้าไปรู้เรื่องพืชมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร”
“ข้าก็ตอบได้คำเดิมว่าข้าเป็นเทพ”
“แล้วที่เจ้าบอกว่าสวนของข้ามันไม่ถูกต้องนี่เจ้าคิดว่าจริงรึ ทั้งที่มันก็เจริญเติบโตได้ดีเพียงนี้”
“หากเพียงแค่รอดชีวิตไปวันๆท่านก็ทำได้ดีแล้ว แต่หากอยากให้พวกเขาเหล่านี้ออกดอกมาล่ะก็ท่านยังไม่เฉียดเลยด้วยซ้ำ” เด็กหนุ่มพูดอย่างเรียบมิได้ปนน้ำเสียงอวดดีแม้แต่น้อยแก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่คนฟังจะรู้สึกเช่นนั้น
“หึ แล้วเจ้ามีวิธีที่ดีกว่านี้รึ”
“ถ้าเป็นวิธีการแบบมนุษยืข้าไม่แน่ใจว่าตนเองจะทราบอย่างแน่ชัด เพราะปรกติจะใช้เวทย์ของตนเองในการดูแลต้นไม้”
“บนสวรรค์งั้นสิ”
“อื้ม แต่ถ้าจะให้ข้าดูแลก็ได้นะ ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะยอมออกดอกมาทักทายให้ข้าเช่นที่กุหลาบจันทรานั้นทำ”
“เพราะเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์งั้นสิ”
“อื้ม ใช่ต้นไม่มิได้มีความคิดซับซ้อนเช่นมนุษย์แต่พวกเขามีสัมผัสพิเศษ มีสัญชาตญาณและมีหัวใจ บางสิ่งสามารถรับรู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์”
“แขวะข้างั้นสิ”
“อื้ม...อะ เอ่อ ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ”
หนุ่มผมม่วงหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อยเมื่อพลั้งปากพูดโดยไม่คิดออกไป หากแต่ฟารันมิได้ถือโทษจริงจังแต่กลับมองอย่างพินิจแล้วยกยิ้มอย่างเอ็นดู
“ตามปรกติพูดจาแบบนี้คนเขาจะหาว่าสติไม่ดีนะรู้ไหม เอ่ยว่าตัวเองเป็นเทพเป็นตุเป็นตะเช่นนี้”
โรเรเนสก้มหน้าลงมองพื้นหญ้าพลางคิดถึงคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆพร้อมส่งสายตาหวานละห้อยไปให้
“นี่ ข้าถามจริงๆเถอะ”
“ว่าไง”
“ท่าน...ท่านไม่เชื่อข้าซักนิดเลยใช่ไหม”
ตาหวานเศร้าจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ฟารันนิ่งเงียบไร้ท่าทีจะตอบกลับอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
“เด็กบ้าเอ้ย เอาตรงๆเลยหรือไง”
พยักหน้า
เงียบ
ใบหน้าคมสันหันหนีไปทางอื่น แววตาครุ่นคิดด้วยพยายามเรียบเรียงคำพูด เขาหายใจเข้าลึกก่อนจะหันกลับมาสบตาหวานที่ยังจ้องเขม็งหมายจะเอาคำตอบอย่างไม่ลดละนั้นอยู่
“นี่...ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจนะว่าถึงแม้ข้าจะไม่เคร่งในเรื่องวิถีปฏิบัติและตัวข้าเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา หากแต่ในบางเรื่อง บางกรณีที่เป็นเรื่องสำคัญ ความคิดเห็นอย่างส่วนตัวของคนในสถานะเช่นข้านั้น....”
“ข้าเข้าใจดี”
ตาคมเข้มแปรเป็นแปลกใจเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายขัดกลางลำ
“อภัยข้าด้วยที่พูดขึ้นทั้งที่ท่านยังพูดไม่จบ แต่เรื่องสถานะของท่าน และสิ่งที่ต้องทำ ต้องตัดสินใจข้าเข้าใจดีว่าเรื่องนั้นต้องรอบคอบและ และหลายๆอย่าง แต่ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านตัดสินใจไปเป็นอื่น ท่านคิดจะทำอย่างไรกับเรื่องของข้าก็ตามที่สมควร แต่ ณ ตรงนี้ ที่เราอยู่กันแค่สองคน ข้า ข้าแค่ขอ ข้าแค่อยากรู้ อยากรู้เฉยๆแล้วจะไม่ถามอีก.....”
“......”
“ข้าอยากให้ท่านลืมเรื่องการเป็นราห์โอไปเสียขณะหนึ่ง แล้วกรุณาตอบข้าหน่วยว่า ถ้าท่านเป็นแค่ฟารัน ถามจริงๆลึกๆแล้วท่าน ท่านเชื่อข้าบ้างหรือไม่”
มันเป็นช่วงอารมณ์เช่นตอนที่มองหญ้าโบกไหวต้องสายลม หรือบางครั้งก็ดั่งเช่นการจ้องมองเกล็ดหิมะค่อยๆร่วงช้าๆลงแตะพื้น ด้วยมันเรียบง่าย เงียบสงบและชวนให้ติดตาม ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนนั้นนานแค่ไหน สิ่งที่ควรจะตอบได้ง่ายที่สุดกลับใช้เวลาอย่างละเอียดเนิบช้าเช่นการคลี่ออกของกลีบไม้ดอก ในการทบทวนนึกคิด ก่อนจะพูดออกมาท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบเช่นนี้
ฟารันแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นสดใสก่อนจะเอื้อมมือออกไปแตะเรือนผมงามเงานั้นอย่างอ่อนโยน
“เชื่อสิ”
เช่นเดียวกับดอกไม้บานนั่นแหละ เมื่อยามที่ความจริงใจถูกเปิดเผยถูกคลี่ออกมาอย่างละเอียดอ่อนและสวยงาม มันก็บังเกิดให้เห็นเป็นดอกไม้ที่บานฉ่ำอย่างงดงามในแววตาที่หวานลึกนั้น รอยยิ้มผุดผาดขึ้นอย่างสดในเช่นยามเช้าปรากฎขึ้นบนหน้าสวยอย่างมิเคยเป็นมาก่อน เขายิ้มกว้างอย่างน่ารักพร้อมกับตาใสเป็นประกาย ทำเอาคนที่จ้องมองอยู่ถึงกับตะลึงไปเล็กน้อยกับมุมที่ไม่เคยเห็นเช่นนี้ เด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้อย่างกระตือรือล้น มือเรียวทั้งสองยื่นออกมาแตะที่ตักอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเองทันที
“ข้าดีใจที่สุดเลย ที่ท่านเชื่อข้าเช่นนี้”
ท่าทีร่าเริงเช่นนี้ก็น่ารักมากอยู่ แต่ด้วยไม่อยากให้ได้ใจนักกษัตริย์หนุ่มจึงปรามด้วยเสียงดุๆเล็กน้อย
“นี่อย่าทำเป็นเล่นไปนะ ข้าจริงใจกับเจ้าเจ้าก็ต้องจริงใจตอบรู้ไหม สัญญากันก่อนว่าจะไม่ทำร้ายความรู้สึกกันเมื่อข้าเชื่อใจเจ้า เจ้าต้องรักษาสิ่งนี้ไว้เข้าใจไหม”
“อื้ม แน่นอนเลยข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ข้าไม่มีทางทำร้ายความรู้สึกท่านแน่นอนเพราะข้าเป็นเทพอย่างแท้จริงรับรองได้ ไม่ว่าท่านจะพิสูจน์ด้วยวิธีใด....แต่บางวิธีต้องค่อยๆทำนะ แล้วเอ่อ บางวิธีมันก็ใช้เวลามากจริงเช่นเรื่องความทรงจำของข้า แต่ว่า ข้าสัญญาว่าทุกสิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นจริงทุกประการ”
“ข้าเกลียดคนโกหกนะบอกไว้ก่อน หากจับได้ว่าเจ้าฉ้อฉลข้าจะไม่อภัยเจ้าอย่างแน่นอน”
ช่วงแว่บแล่นหนึ่งที่โฉบเข้ามา โรเรเนสเหมือนจะจำได้ลางๆ เหมือนจะรู้สึกได้ว่าในอดีตนั้นชายผู้อยู่ตรงหน้าเขานี้เคยประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายที่ผู้เป็นองค์รัชทายาทไม่ควรจะพบเจอมาก่อน มันเจือจางไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่เขารู้ได้ว่าฟารันฝังใจกับบางสิ่งเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อใจ หากเขาพลาดไปเพียงเล็กน้อย น้อยนิดที่บิดเบือนไปจะด้วยเหตุผลใดใดก็ตาม ชายคนนี้คงมิอาจอภัยให้เขาได้เป็นแน่นอน
เทพหนุ่มเกิดรู้สึกผูกพันอย่างประหลาด อาจเป็นความรู้สึกจากช่วงเวลายามที่เป็นเทพสถิตย์อยู่บนสวรรค์กระมังทำให้เขารู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับชายคนนี้มานาน จึงเอ่ยอย่างจริงจังเพื่อตอกย้ำให้เชื่อมั่นและสงบใจว่าเขาจะไม่มีวันทำร้ายความรู้สึกของคนที่ให้ความไว้วางใจเขาเป็นอันขาด
“ต่อให้ดาวร่วงจากฟ้าข้าก็ไม่มีวันผิดสัญญา”
หน้าหวานยิ้มละมุนขณะจ้องตาอีกฝ่ายในระยะประชิด จึงทำให้อดไม่ได้เลยที่จะยิ้มตอบในลักษณะเดียวกัน
“ข้าจะจำไว้”
เจ้าของตาเข้มคมเอ่ยเบาก่อนจะก้มลงประทับจูบบางๆลงที่หน้าผากของอีกฝ่าย ขวยเขินแต่พยายามยิ่งแล้วเพื่อสงบลง เด็กหนุ่มแก้มแดงน้อยๆเมื่อฝ่ายนั้นละจากหน้าผากตนแล้วจ้องนิ่งอย่างจริงจังพร้อมทั้งส่งยิ้มจางๆที่อบอุ่นมาให้ ฝ่ายนั้นไม่มีทีท่าว่าจะละสายตาไปจากหน้าสวยที่น่าหลงใหลได้เลย จึงเป็นเขาเองที่ต้องเสมองไปทางอื่นแทน ทว่ามิทันไรเครื่องหน้าที่แสดงอาการขวยนั้นก็แปรเป็นแปลกใจเมื่อตนนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้
“ว่าแต่ถ้าท่านเชื่อว่าข้าเป็นเทพเช่นนี้ ไม่กลัวสวรรค์ลงโทษที่กระทำ อ่าม ทำ...เรื่องแบบนี้กับข้ารึ รู้ใช่ไหมว่าทำเช่นนี้กับเทพนั้นไม่ดีเอาเสียเลย” โรเรเนสหันไปถามอย่างใคร่รู้แกมลำบากใจ แต่ราห์โอหนุ่มกับมิได้กังวลใจกับคำถามนี้นัก ซ้ำร้ายกว่านั้นยังบังอาจดึงตัวเทพหนุ่มขึ้นมานั่งบนตักเสียด้วยซ้ำโดยไม่สนเสียงทักท้วงงอแงของอีกฝ่ายเลย
“ไม่เห็นต้องสงสัยอะไร สวรรค์นั้นโปรดข้ายิ่งกว่าใครถึงได้ส่งเจ้ามาให้ข้านี่อย่างไร เชื่อลิขิตสวรร๕เถอะให้ข้ากอดเจ้าเช่นนี้ล่ะดีแล้ว” ว่าแล้วก็แกล้งก้มลงหอมเนื้อแก้มละเอียดขณะที่อีกฝ่ายส่งเสียร้องกระเง้ากระงอนอย่างขัดใจ
คนอะไรคิดเอาแต่ได้….
......แลทั้งสองก็อ้อยอิงอยู่ในสวนนั้นจนโมงยามเลื่อนไหลผ่านไป
ยังไม่ตายนะคะ ไรต์ยังไม่ตายT T แค่หายไปเกิดใหม่ค่ะ ขออภัย ยังมีใครอยู่ที่นี่ไหม ไหม ไหม ไหม (เสียงสะท้อนไปมาในหุบเขา)