วิวาห์ลวงรัก (ตอนที่ ๒๗ : ของกัน) 20/8/14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: วิวาห์ลวงรัก (ตอนที่ ๒๗ : ของกัน) 20/8/14  (อ่าน 40243 ครั้ง)

ออฟไลน์ tensoplata

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

พึ่งเคยสมัครสมาชิกค่ะ แต่อ่านนิยายที่นี้บ่อยมาก นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดจากจินตนาการของคนเขียนล้วนๆเลยค่ะ ฝากติดตามด้วยนะค่ะ
 :mew2:


:::  :::
หลบเข้ามาในห้องนอน กลิ่นน้ำหอมของกันก็ยังคงวนเวียนอยู่ในห้อง ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น มือกุมหน้าอกแน่น ทุบแรงๆ เหมือนระบายอารมณ์...   หัวใจไม่รักดี


++เพลง++
http://www.youtube.com/watch?v=Drus79gNU6g#t=35
http://www.youtube.com/watch?v=l1u2cYFwVlA
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-08-2014 22:19:22 โดย tensoplata »

ออฟไลน์ tensoplata

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: วิวาห์ลวงรัก
«ตอบ #1 เมื่อ20-04-2014 15:27:42 »




ตอนที่ ๑ : เจ้าสาวเปื้อนน้ำตา



            ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากให้ลูกเป็นเกย์ นอกจากความอับอายขายขี้หน้าแล้วยังไม่สามารถมีทายาทสืบสกุล...แต่ความจริงสำหรับคนส่วนใหญ่คงผิดแปลกไปจากคนที่เรียกว่า ‘พ่อ’ ของผมสักหน่อย

            ผมเหม่อมองผู้ชายตรงหน้า ชายหนุ่มร่างสูง ผิวสีแทนเนียน ดวงตาสีดำเข้มสนิท เขามองมาที่ผมเช่นกัน แต่ผมไม่สามารถจะบอกได้ว่า สายตาที่เขามองมานั่นหมายความว่าอะไร

            “ผมจะจัดงานแต่งงานให้เร็วที่สุด” สิ้นเสียงพูด เหมือนกับชีวิตผมถูกกำหนดให้เดินทางนั่นเสียแล้ว ผมก้มหน้านิ่ง อยากบอกปัดปฏิเสธความจริงตรงหน้าไปซะให้พ้น ถ้าไม่ติดคำขู่...นั่น



            “นิ่ม ไปเดินเล่นกับพี่เขาสิลูก” เสียงพูดเมตตา ผมมองผู้พูดด้วยแววตาว่างเปล่า เขาคือพ่อของว่าที่เจ้าบ่าวผม อยากบอกปัดคำพูดนั่นใจแทบขาด แต่สายตาดุดันที่จ้องมองมาทำให้ผมรู้สึกกลัว จำต้องลุกขึ้นเดินตามชายร่างสูง ‘ว่าที่เจ้าบ่าว’

            ผมเดินตามหลังเขาเงียบๆ ไม่อยากพูดอะไร ผมคิดว่าผู้ชายคนนี้คงไม่เตรียมใจจะแต่งงานเหมือนกัน แต่คงปฏิเสธไม่ได้ เพราะมันคือ ‘ธุรกิจ’



            เขาหยุดเดิน ผมหยุดตาม ไม่อยากมองหน้าเขาสักนิด ไม่เข้าใจว่าเขาไม่มีศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเลยหรือไงถึงไม่ปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ แต่พอหวนนึกถึงตัวเองแล้ว...เหตุผลที่ถูกบังคับให้แต่งงานคงไม่ต่างกันนักหรอก คิดได้แบบนี้ใจมันรู้สึกเจ็บหนึบ อยากหนีไปจากที่ตรงนี้เสียให้พ้น

            “นายน่ะ...ไม่เต็มใจจะแต่งงานใช่ไหม” คำถามเรียบง่าย พร้อมกับมือที่หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ

            “ครับ” ผมตอบเขาพร้อมเสียงหัวเราะสมเพชตัวเอง

            ผมนิ่งเงียบหลังจากตอบคำถาม นึกถึงคนอีกคนที่คงเจ็บปวดไม่ต่างกัน เขาคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ? จะเสียใจจนอยากร้องไห้เหมือนผมหรือเปล่า?



            “กลับกันเถอะ” พูดจบ ชายร่างสูงไม่รอช้า หันหลังกลับ ผมมองควันบุหรี่สีขาวขุ่นที่ลอยวนในอากาศ นึกถึงคนที่เป็นที่รัก

            ‘ผมคิดถึงพี่ อาร์ม’

 

                                                                   >W e d d I n g<

 



            และวันแต่งงานของเราก็มาถึง ผมอยู่ในชุดสูทสีขาว บนหัวสวมมงกุฎดอกไม้สีขาว มือถือช่อกุหลาบขาวช่อใหญ่ ข้างกายเป็นคุณพ่อบังเกิดเกล้าที่ยิ้มเยือนต้อนรับแขกเหรื่อ

            “พ่อครับ...ยกเลิกการแต่งงานเถอะ” ผมอ้อนวอนขอเป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าคนที่ได้ชื่อว่าพ่อจะเข้าใจบ้าง

            “หุบปาก...ปั้นหน้ายิ้มซะนิ่ม ไม่งั้นฉันจะส่งไอ้อาร์มไปปารีส” คำขู่จริงจัง หยดน้ำตาเม็ดใสคลอบนใบหน้าผมไม่รู้ตัว

            “พ่อไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ ผมจะเลิกกับพี่อาร์มก็ได้ แต่ทำไมพ่อต้องให้ผมแต่งงานกับคนที่ไม่รักด้วย” ผมตัดพ้อ



            “เพื่อที่จะให้แกกลับไปคบกับพี่ชายตัวเองอีกนะหรอ!?” คำพูดตัดรอน ลึกร้าวเข้าไปในใจ

            ผมมันเป็นคนเลว คนชั่ว รักกับพี่ชายตัวเองก็จริง...แต่ผิดด้วยหรือที่เรารักกันเกินคำว่าพี่น้อง ผิดด้วยหรือที่เรามีรักบริสุทธิ์ที่มอบให้กัน ผิดด้วยหรือที่ผมรักพี่ชายตัวเอง ในเมื่อเขาก็รักผม...ไม่ต่างกัน

            “พวกเรารักกัน” ผมตอบกลับเสียงแผ่ว



            “หึ! ฉันไม่มีทางให้พวกแกคบกันเด็ดขาด สิยะวงศ์ต้องมีทายาทสืบสกุล แกเป็นเกย์ฉันไม่ว่าซ้ำยังช่วยหาผัวให้ แต่ลูกชายคนโตของสิยะวงศ์ต้องมีทายาทสืบสกุล!”

            “พ่อ” ผมครางแผ่ว

            “ขอเชิญคู่บ่าวสาวขึ้นมากล่าวคำสาบาน” เสียงประกาศจากพิธีกร ผู้เป็นพ่อฉุดกระชากผมขึ้นปรัมพิธี

            ชายหนุ่มร่างสูง ผิวสีแทน ว่าที่เจ้าบ่าว...ยังคงเป็นเหมือนเดิม ความเย็นชาที่มีมาแต่ต้นยังไม่เคยเปลี่ยน...เขาอยู่ในชุดเจ้าบ่าวผูกหูกระต่าย แววตาที่มองมาไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกได้

            “เจ้าบ่าวกล่าวคำสาบาน”

            “ผมกิตติรัตน์ ธำรงค์คุณ ขอรับ คุณนิราพันธ์ สิยะวงศ์ เป็นภรรยา นับแต่นี้เป็นต้นไปและขอสัญญาว่า จะถือซื่อสัตย์ต่อคุณ ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ทั้งในเวลาป่วย และเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่อง ให้เกียรติคุณ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ นี่คือคำปฏิญาณและสัญญาที่ผมให้ไว้กับคุณ” คำพูดยาวเหยียดหากใบหน้าเฉยชาไร้ความรู้สึก ผมรู้สึกถึงความร้อนผ่าวตรงขอบตา

            “เจ้าสาวกล่าวคำสาบาน” ผมนิ่งเงียบ น้ำตาค่อยๆไหลผ่านร่องแก้มช้าๆ รู้สึกถึงแรงบีบและคุมคามตรงต้นแขน คุณพ่อบีบแขนผมแน่น ท่านส่งสายตาดุดัน เย็นชาออกคำสั่ง ผมปล่อยให้น้ำตาหยดไหลออกมาโดย ปราศจากเสียงสะอื้น

            “ผม...นิราพันธ์ สิยะวงศ์ ขอรับ คุณกิตติรัตน์ ธำรงค์คุณ เป็นสามี นับ...นับแต่นี้...ฮึก...ขอสัญญาว่า จะถือซื่อสัตย์ต่อคุณ ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ทั้งในเวลาป่วย และเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่อง ให้เกียรติคุณ จนกว่าชีวิตจะหาไม่...” ผมหยุดพูด นึกถึงใบหน้าของใครอีกคนที่ลอยเข้ามาในห้วงความทรงจำ

            “นิ่ม...” แรงบีบที่แขนเหมือนจะบีบแขนผมให้แหลกเหลวคามือ ผมมองเจ้าบ่าวของตัวเองผ่านม่านน้ำตา ตัดสินใจพูดประโยคสุดท้ายให้จบๆ เพื่อยุติเหตุการณ์บ้าๆ ตรงหน้านี้

            “...นี่คือคำปฏิญาณและสัญญาที่ผมให้ไว้กับคุณ”

            จบแล้ว...จบแล้วสินะ

             เหมือนจิตวิญญาณถูกบดให้แหลกสลายอยู่ ณ ที่ตรงนั้น ไม่รู้ตัวอีกเลยว่าตัวเองถูกทำยังไงต่อ พาไปไหนต่อ รู้เพียงว่าพิธีแต่งงานเสร็จสิ้นแล้ว ผมได้กลายเป็นภรรยาของชายแปลกหน้าที่ผมไม่รู้จักชื่อเล่นเขาด้วยซ้ำ

             ...

             ...

            ในตอนนั้น...ถ้าหากผมมีสติกว่านี้อีกสักหน่อย ผมคงได้เห็นใบหน้าของชายคนรัก วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา และพูดคำว่า...

            “ผมขอคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้”

            แต่มันคงสายไปแล้ว...สินะ


                                                                    >W e d d I n g<

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2014 00:27:02 โดย tensoplata »

ออฟไลน์ tensoplata

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: วิวาห์ลวงรัก
«ตอบ #2 เมื่อ20-04-2014 15:32:45 »

ตอนที่ ๒ : ครอบครัว

            ไม่รู้นานเท่าใด ที่น้ำตาถูกปล่อยให้ไหลไม่หยุด ผมนอนร้องไห้บนเตียงนอนขาวสะอาด...เรือนหอ...คงพูดคำนี้ได้เต็มปากเต็มคำ ผมแต่งงานแล้ว...

            “หยุดร้องไห้ได้แล้ว” คำพูดเบาๆ ทว่าหนักแน่น ผมเงยหน้า สบกับนัยน์ตาสีตำมืดคู่นั่น

            ทรมานจะขาดใจ ชายที่อยู่ข้างผมไม่ใช่คนที่ผมรัก แต่เขาเป็นชายแปลกหน้าที่ผมสาบานจะครองคู่ด้วย

            “ผม...ผมไม่รักคุณ” ตัดสินใจพูดคำนั่นออกไปแล้ว คงไม่ผิดอะไรนัก เพราะเขาคงไม่ต่างจากผม

            “นายกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว...นายเป็นภรรยาของฉัน...นิ่ม” คำพูดหนักแน่นและจริงจัง

            คืนนั้นทั้งคืน ผมนอนร้องไห้ ข้างกายคือสามีที่นอนหันหลัง...ไม่มีแม้แต่ความอบอุ่น ห่วงใย มีเพียงความเย็นชาที่มอบให้กัน

            ไม่ต่างกับตายทั้งเป็น...

 

                                                                    >W e d d I n g<

 

            “พี่อาร์ม...นิ่มหนาว...”

             ในฝัน ผมนอนหลับข้างกายพี่ชาย เขาจูบผม กอดผม ปลอบประโลมผมจากฝันร้าย พี่อาร์มห่มผ้าให้ผม กอดผมแนบแน่น กระซิบบอกคำว่ารักข้างหู ความอบอุ่นและความรักอยู่รอบกายเราสองคน

            รู้ว่ามันเป็นเพียงความฝัน...

            แต่ผมไม่อยากตื่นจากฝันเลย...

            “คุณผู้หญิง”

            อ่า...เสียงใครกัน

            “ตื่นเถอะค่ะ คุณผู้หญิง” เสียงเรียกกับการเขย่าเบาๆ ผมค่อยๆ เปิดเปลือกตา

            “อาหารเช้าเตรียมพร้อมแล้วค่ะ” คนปลุกย้ำอีกรอบ ผมตื่นเต็มตา มองหญิงวัยกลางคนที่เข้ามาปลุก

            “เอ่อ...ผม”

            “แปดโมงเช้าแล้วค่ะ คุณผู้ชายให้ขึ้นมาปลุกคุณผู้หญิงลงไปรับประทานอาหารเช้า”

            “คุณผู้หญิง” ผมถามกลับงงๆ

            “ค่ะ รีบอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า เดียวคุณผู้ชายจะรอนาน”

            “เรียกผมว่า นิ่มก็ได้ครับ...ผมเป็นผู้ชาย” ผมบอกเบาๆ

            “เอ่อ...ค่ะ คุณนิ่ม ป้าชื่อ ป้าบัว เป็นพี่เลี้ยงคุณหนู...เอ่อ คุณผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก”

            “ครับป้าบัว ผมขออาบน้ำ เดียวตามลงไป”

            “ค่ะ ถ้ามีอะไรให้รับใช้ เรียกเลยนะค่ะ ยังไงคุณนิ่มก็ถือเป็นครอบครัวเดียวกับคุณผู้ชายแล้ว” รอยยิ้มเมตตานั่นทำผมชะงัก

            ครอบครัว...คำๆ นี้เหมือมีดกรีดใจผม

            ผมเดินลงบันได มองบรรยากาศรอบๆ ตัว บ้านหลังนี้กว้างขวาง ไม่ถึงกับใหญ่โต อาจเป็นเพราะ ‘เขา’ ไม่จำเป็นต้องสร้างบ้านหลังใหญ่ให้ลูกหลานวิ่งเล่น ในเมื่อเราไม่สามารถมีลูกด้วยกันได้

            “คุณนิ่มค่ะ” เสียงป้าบัวเรียกหา ผมสาวเท้าไปยังโต๊ะกินข้าว ชายร่างสูงนั่งจิบกาแฟรออยู่

            “ขอบคุณครับป้า” ผมบอกเบาๆ ป้าบัวคดข้าวให้

            เราสองคนรับประทานอาหารด้วยความเงียบ เขากินข้าวเสร็จ อ่านหนังสือพิมพ์ต่อ ในขณะที่จะลุกขึ้นไปเตรียมตัวทำงาน เสียงห้าวเรียกขัดไว้ก่อน

            “นายทำงานอะไร”

            น่าสมเพชชะมัด...นี่คือคำถามของคนที่เป็นสามี

            “ผมเป็นครูสอนเด็กมหาลัย” ผมตอบเขากลับ ห้วนสั้น

            “ตอนเช้าเราจะตั้งโต๊ะตอนแปดโมง อาหารเย็นตอนทุ่มตรง”

            “อืม ถ้าผมตื่นไม่ทันคุณกินก่อนได้เลย ส่วนตอนเย็นบางครั้งผมอาจกลับดึกเพราะตรวจงานเด็ก”

            “ผมต้องทำงานตอนเก้าโมงเช้า กลับสี่โมงครึ่ง” เขาบอก สายตายังไม่ละจากหนังสือพิมพ์

            “อืม” เหมือนกับการบอกเรื่องทั่วๆ ไปให้ฟัง ผมลุกขึ้น

            “นิ่ม...ถ้าต้องการอะไรบอกป้าบัว”

            “ครับ...ผมไปล่ะ คุณ...กิตติรัตน์”

            แย่จริง...ผมยังไม่รู้จักชื่อเล่นเขาเลยด้วยซ้ำ!

            “กัน ชื่อเล่น” เขาพูดเหมือนล่วงรู้ว่าผมคิดอะไร ผมพยักหน้ารับ ก้าวขาที่หนักอึ้งขึ้นห้องนอน...กัน...สามีของผมเขาไม่ใช่เป็นคนใจร้าย เขาไม่แม้จะแสดงท่าทีไม่พอใจกับการแต่งงาน แต่ว่า...

            แต่ว่า...ทุกการกระทำ...เหมือนกับคนไร้หัวใจ!

 

                                                                  >W e d d I n g<

 

            ผมสอนวิชาประวัติศาสตร์ มันตรงกับสาขาที่ผมเรียนจบมา มันอาจเป็นวิชาที่ใครหลายๆ คนไม่ชอบเพราะต้องจำ แต่ผมชอบมันมากทีเดียว

            “พี่แทน นายพัท เด็กพี่เล่นผมอีกแล้ว” ผมหันเก้าอี้ไปหาชายหนุ่มร่างสูงของเพื่อนร่วมงาน

            “หือ” พี่แทน อาจารย์ร่วมแผนกหันมาหาผมงงๆ

            “กระดาษเปล่า เข้าห้องสอบแต่ส่งกระดาษเปล่า ครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย” ผมบ่น วงกลมคะแนนเลขศูยน์บนหัวกระดาษ

            “ฮะๆ นายพัทนั่นนะ อย่าไปยุ่งเลย ก็เงี้ย เป็นแบบนี้ทุกวิชานะแหละ”

            “แต่วิชานี้เป็นวิชาเอก...” ผมแย้ง ขมวดคิ้ว ยังไงก็ถือว่าเป็นศิษย์คนหนึ่ง

            “จะเอาไงก็เอาเถอะ แต่ถึงเราเรียกมาคุยผลลัพธ์มันก็เหมือนเดิม” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เด็กเกเรียน จะประถม มัธยม มหาลัย ถึงจะเรียนสูงถึงระดับไหน ก็มีเด็กประเภทนี้อยู่หมด

            ตกเย็น ผมนั่งรอเด็กเจ้าปัญหาอยู่ในห้องพักอาจารย์ เวลาล่วงเลยถึงหกโมงเย็น ไม่มีแม้แต่วี่แววของ นายพัท  ประกาศเสียงตามสายเรียกก็แล้ว กำชับเพื่อนก็แล้ว ยังไม่มาอีก...ทำร้ายตัวเองแท้ๆ

            ผมสายหัว เก็บของบนโต๊ะ เตรียมตัวกลับบ้าน...บ้านหลังใหม่ ที่เหมือนกับผมเป็นเพียงส่วนเกิน

            “โอ๊ย!”

            “เฮ้ย!”

            เสียงร้องพร้อมกัน แต่ให้ตายเถอะ ทำไมผมถึงลงไปนั่งจุ่มปุ๊กอยู่กับพื้นได้!

            “เป็นไรเปล่านาย...เฮ้ย! จารย์” เสียงเรียกตกใจหน่อยๆ

            “ไม่เป็นไรหรอก แค่ล้ม” ผมปัดฝุ่นที่มือตัวเอง ยันกายลุกขึ้น  มองเด็กตรงหน้าเต็มตา คงเป็นเด็กในคลาส ที่รู้ว่าผมเป็นอาจารย์ หน้าคุ้นๆแฮะ...

            “ผมไปล่ะ...” คนที่ชนผมบอกอยากรีบร้อน ผละจากไป แต่มันก็สายไปแล้ว ผมดึงข้อมือนั่นไว้

            “นายพัท!?”

            “เอ่อ...แหะๆ จารย์มีไรกับผมเปล่า” นายพัท หันมามองผมหัวเราะเจื่อนๆ โลกนี้มันกลมจริง รอเป็นชั่วโมงไม่เจอ ตอนไม่รอเจอซะงั้น

            “ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ เรื่องเทส...”

            “คราวหน้าได้ไหมครับ ตอนนี้ผมหิวมาก...ก” เสียงยียวน ผมนึกขึ้นมาได้ถึงประวัติของเด็กคนนี้ บ้านจน ต้องทำงานเลี้ยงตัวเอง...เฮ้อ ยุ่งยากชะมัด

            “เดียวผมเลี้ยงข้าวเย็น ตามมา” พูดจบ ผมลากเด็กหนุ่มให้ตามมาทันที อดรู้สึกสงสารหน่อยๆ ไม่ได้

            “เฮ้ย! จริงดิ ฟรีนะจารย์” นายพัทเบิกตากว้างๆ

            “เออ!”

            ผมมาจบที่ร้านเคเอฟซี นั่งมองเด็กหนุ่มตรงหน้าสวาปามข้าวยำไก่แซ่บจานที่สอง...นี่มันคงไม่รู้จักคำว่ามารยาทสินะ

            “โหยจารย์ อิ่มว่ะ ไม่ได้กินแบบนี้มานานแล้วเนี่ย”

            “...” ผมจ้องเขม็ง เคืองกับคำพูดไม่สุภาพ

            “แหะๆ โทษทีครับ ว่าแต่จารย์มีไรเปล่า”

            “เฮ้อ...เรื่องเทสย่อย นายส่งกระดาษเปล่ามา เรียนปีสุดท้ายแล้ว ไม่อยากจบหรือไง”

            “...ผมหลับ” สารภาพผิด

            “หลับ? คุณไม่ห่วงเลยหรือไงว่าจะจบไหม วิชาผมเป็นวิชาเอก คุณก็รู้?”

            “โธ่ จาร์ย กว่าทำงานเสร็จก็เพลียขนาดหนัก แถมจารย์ยังเทสไม่บอกล่วงหน้า...” นายพัทโอดคราญ

            “อ๋อ แสดงว่าผมผิด”

            “เฮ้ย! ไม่ใช่ๆ ผมก็แค่...ผมผิดเองล่ะ” เด็กหนุ่มสารภาพตรงๆ

            “เอาเถอะ...ที่ผมอยากคุยด้วยคือคุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า คุณปรึกษาผมได้นะ ถึงยังไงคุณก็เป็นลูกศิษย์คนหนึ่ง ถึงคุณจะเรียนห่วยมาก และผมไม่ปลื้ม”

            “...” นายพัทเงียบ

            “ผมไม่อยากให้คุณตก นี่ปีสุดท้ายแล้ว พัท” ผมเตือนสติเขา

            “ครับ...ผม”

            และเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง...ผมรับฟังเงียบๆ เท่าที่รู้ตอนนี้ มันดราม่ามาก...นายพัทเป็นเด็กเรียนเก่ง ตอนปีหนึ่งถึงปีสาม ผลการเรียนเขาอยู่ในขั้นดี แต่พอมาปีสี่ ครอบครัวพัทเริ่มมีปัญหา พ่อเขาเป็นมะเร็ง แม่ต้องทำงานหาเงินรักษาพ่อ รวมถึงพัทที่ต้องหาเงินเอง ส่งเสียตัวเองเรียน ทั้งค่าเทอม ค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์เรียน

            ...นี่คงเป็นสาเหตุที่เขาชอบหลับในคาบบ่อยๆ ทำงานทั้งกะดึก กะเช้า

            “เฮ้อ...รู้อะไรไหมนายพัท ถ้านายเอาเรื่องพวกนี้มาปรึกษาอาจารย์ นายคงได้เรียนฟรีนานแล้วล่ะ”    “เรียนฟรี...หมายความว่าจารย์มีวิธีช่วยผม” นายพัทตาโต

            “ใช่....ทุนมหาลัย ทำงานเสร็จแล้วค่อยใช้คืน”

            “ทำไมผมเพิ่งรู้!”

            “ทำไมนายไม่ถามตัวเองล่ะ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ จบแล้วกับการแนะแนวทางเด็ก...ให้ตายเถอะ เสียเวลาจริงๆ

            “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้มาหาครูที่ห้องพัก ครูจะแจกแจงรายละเอียก...อ้อ และกรุณาอย่ามาสาย” ผมบอก ลุกขึ้นจากโต๊ะ

            “จารย์! เดียวก่อน ขอบคุณครับ” นายพัทรั้งไว้ ผมยิ้มบางๆ   

            “ไม่เป็นไร...”

            “เออ จารย์...เลี้ยงข้าวผมอีกจานได้ไหม”

            ???

            ผมส่ายหัวหงุดหงิด...เด็กนี่มันหน้าด้านมาก แต่สุดท้ายก็ยอมควักแบงค์ร้อยจ่ายเงินค่าข้าวให้จนได้...สงสารตัวเองที่ใจดีเกินไปจริงๆ

 

                                                                   >W e d d I n g<

 

              ผมมองนาฬิกาข้อมือ เข็มสั้นกับเข็มยาวชี้ไปที่เลขเจ็ดเหมือนกัน ไม่นึกว่าจะอยู่คุยกับลูกศิษย์นานขนาดนั้น ป่านนี้คนที่ ‘บ้าน’ คงรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว

              ผมไขกุญแจบ้าน ไม่อยากรบกวนป้าบัวให้มาเปิดประตูให้ เดินผ่านสวนหน้าบ้าน มีบ่อปลาเล็กๆ อยู่มุมขวา ผมเพิ่งเคยเห็นเหมือนกัน...มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยชินมากก่อน

            “พี่อาร์ม” ผมหลับตา นึกถึงใบหน้าของคนที่รัก คิดถึงแทบบ้า ทั้งวันทำงานไม่หยุด ก็เพราะไม่อยากนึกถึงเรื่องปวดร้าว

            ป่านนี้พี่อาร์มจะเป็นยังไงบ้างนะ...

            ติ๊ด...ติ๊ด...

            เสียงโทรศัพท์ปลุกผมจากภวังค์ โทรศัทพ์ทัสกรีนมียี่ห้อส่งเสียงดังอยู่หลายหน ผมมองเบอร์คนโทรเข้า ตื่นเต้นระคนดีใจ

            ที่รัก

            “อาร์ม พี่อาร์ม ผมคิดถึงพี่!” ทันทีที่รับสาย ผมไม่รอช้าที่จะส่งความคิดถึงผ่านคำพูด

            “นิ่มอยู่ไหน ตอนนี้นิ่มอยู่ไหน พี่จะไปหานิ่ม เราจะหนีไปด้วยกัน!” ปลายสายร้อนรน เร่งเร้า

            “พี่อาร์ม...” ผมครางเสียงแผ่ว คิดถึงเสียงนี้ใจแทบขาด คำพูดของเขาเหมือนกระแสน้ำเย็นชื่น ทำให้ผมรู้สึกกระปี้กระเป่า

            “พี่หนีพ่อมานิ่ม นิ่มอยู่ไหน พี่คิดถึงนิ่มใจแทบขาด” เสียงของพี่อาร์มอ่อนระโหย ผมบีบโทรศัพท์แน่น

            “นิ่มคิดถึงพี่อาร์ม พี่อาร์มมารับนิ่มที่...”

            วูบ

            สัมผัสเย็นชาตรงไหล่ทำให้ผมสะดุ้งตกใจ เงยหน้ามองคนที่เข้ามาด้วยสายตาตื่นตระหนก กำโทรศัพท์แน่นยิ่งกว่าเดิม

            “นิ่ม! นิ่มได้ยินพี่ไหม...โธ่เว้ย! ตามมาทำไมอีกว่ะ”

            ติ๊ดดด....

            สัญญาณตัดขาดไปแล้ว แต่ผมยิ่งร้อนใจยิ่งกว่า ชายตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีมองผมด้วยสายตานิ่งเฉย มือหนาบีบไหล่ผมแน่นจนรู้สึกเจ็บ

            ผมรอคำด่า การลงมือที่รุนแรง...ผมรู้ว่าเขาคงไม่พอใจ ภรรยาตามกฎหมาย คุยกับใครคนอื่น...เขาคงโมโห

            “ไปกินข้าว” เสียงห้าวบอกเรียบเฉย หันหลังกลับเดินเข้าบ้าน

            ไม่มีคำด่าทอหรือการลงมือรุนแรง มีเพียงคำพูดที่เป็นทางการและเย็นชา ผมละสายตาจากร่างสูง กดหมายเลขที่คุ้นเคยกลับรวดเร็ว

            เสียงติ้ดๆ ดังยาวนาน ใจผมร้อนระอุ...ทำไมพี่อาร์มไม่รับโทรศัพท์ และทำไมพี่อาร์มถึงโทรหาผมได้ ทั้งๆ ที่พ่อน่าจะคุมพี่อาร์มอยู่แต่ในบ้าน

            ทำไม ทำไม ทำไม

            คำๆ นี้วนเวียนอยู่ในหัว ผมร้องไห้ออกมาอย่างอึดอัด เขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งด้วยอารมณ์โมโห กรีดร้องเสียงดังอยู่ในลำคอ ความทรมานอึดอัดอยู่ภายใน คำถามที่สงสัยถูกถามขึ้นมาในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

            ทำไมเรื่องทั้งหมดถึงกลายเป็นนี้!

 

                                                                   >W e d d I n g<

 

ออฟไลน์ tensoplata

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: วิวาห์ลวงรัก
«ตอบ #3 เมื่อ20-04-2014 15:35:39 »


ตอนที่ ๓ : งานเลี้ยง

            แสงสีทองอ่อนๆ แยงเข้าตาจนผมรู้สึกว่าต้องตื่น ทั้งๆ ที่เป็นวันอาทิตย์แท้ๆ ดันหลับต่อไม่ลง ผมเอนหลังพิงกับหัวเตียง ข้างกายเหลือเพียงรอยยับผ้าปูที่นอนยู่ๆ กันคงตื่นนานแล้ว

            ผมลุกขึ้นจากเตียง อาบน้ำ แต่งตัว วันนี้ตั้งใจหยุดผักผ่อนอยู่บ้านเฉยๆ ใจมันรู้สึกเหนื่อย ไม่อยากวุ่นวายกับเรื่องราวหนักหนา

            “ป้าบัว วันนี้มีผลไม้อะไรบ้างครับ”

            “มีแตงโมค่ะ ของโปรดคุณผู้ชาย คุณนิ่มรอเดียว ป้าไปเอามาให้” เสียงอ่อนโยนบอก ก่อนรีบกุลีกุจอไปทางห้องครัว

            ผมนั่งบนโต๊ะอาหาร มองรอบๆ ตัว ไม่เห็นเงาคนที่นอนเคียงข้างสักนิด ผมมาอยู่บ้านหลังนี้ได้ประมาณอาทิตย์หนึ่งในช่วงสองวันแรก ผมยอมรับว่ามีปัญหา ผมไม่ชอบท่าทีเย็นชาไร้ความรู้สึก ไม่รู้จักผูกมิตรกับคนอื่นของกัน แต่ป้าบัวก็อธิบายให้ฟัง สามีในใบสมรสผมเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร

            จากการสังเกต กันเป็นคนพูดน้อย บ้างาน เขาเป็นคนที่อารมณ์เย็นมากถึงมากที่สุด นั้นอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเริ่มรู้สึกวางใจที่จะอยู่กับเขา วางใจว่าการแต่งงานมันก็เป็นเพียงการแต่งงานในนามเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของคุณพ่อและครอบครัวของกัน มันจะไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น

            “แตงโมเหลือง คุณผู้ชายชอบนะค่ะ” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นข้างหลัง ผมมองแตงโมที่ปลอกอยู่ในจาน เนื้อสีเหลืองดูแปลกตา แต่ก็ดูน่ากินทีเดียว

            “ขอบคุณครับ”

            “คุณผู้ชายมาพอดี กินแตงโมไหมค่ะ ป้าเห็นว่าคุณผู้ชายชอบทาน เลยซื้อเก็บไว้” ผมหันไปมอง กันเดินเข้ามาในสภาพชุดสูทเต็มยศ ทั้งๆ ที่เป็นวันอาทิตย์แท้ๆ แต่หมอนี่ต้องไปทำงานอีก

            “อืม” ร่างสูงตอบรับ นั่งตรงข้ามผม

            “วันนี้ต้องไปทำงานอีกหรอครับ” ผมเงยหน้ามองเขา ถามเสียงสงสัย



            “วันนี้มีงานเลี้ยงปลดเกษียณ ต้องไปดูแลงาน” กันตอบ เขามองหน้าผมนิ่งๆ ก่อนยืนการ์ดเชิญสีฟ้าอ่อนมาให้



            ผมรับการ์ดเชิญนั้นขึ้นมาอ่าน งานเลี้ยงปลดเกษียณกรรมการผู้บริหาร ดูท่าคงเป็นงานใหญ่โต อ่านไปเรื่อยๆ เตะตาตรงชื่อของตัวเองในใบสีฟ้าอ่อน...ตอนแรกผมยังแปลกใจ ทำไมถึงต้องเชิญผม ในเมื่อผมไม่ได้ทำงานที่เดียวกับเขา แต่พอนึกถึงสถานะ ‘ภรรยาตามกฎหมาย’ ของนายกิตติรัตน์ ก็เข้าใจได้ทันที

            บริษัทพ่อผม บริษัทกัน ดองด้วยการแต่งงานของผมกับเขา ผมมันก็ไม่ต่างกับสะพาน ที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมให้สองฝ่ายทำงานอย่างไม่มีการคลางแคลงใจ...แค่ต้องการถ่วงดุลประโยชน์ของบริษัทตัวเอง ถึงกับต้องทำร้ายชีวิตของผมอย่างไม่ใยดี...

            ผมชิงชัง...แต่พูดออกมาไม่ได้...

            เพราะตัวผมมันก็ไม่ได้ดีไปกว่า...



            “กี่โมง” ผมถามเขา วางการ์ดลงบนโต๊ะ จิ้มแตงโมสีเหลืองเขาปาก

            “ทุ่มตรง ผมจะมารับ”

            “ผมไปเตรียมตัวล่ะ” อารมณ์ดีๆ หายวับไปหมดแล้ว เหลือเพียงความคุกกรุ่นในใจ

            เพราะมันย้ำถึงสถานะของตนเอง และทำให้ห้วนคิดไปถึงวันที่แต่งงาน ใบหน้าของผู้เป็นบิดาที่มองมาด้วยแววตาเย็นชาวาววับ กับความเฉยชาไม่ยินดียินร้ายของคนที่สมรสด้วย และคนรักที่ต้องห่างไกลกัน

            วาดฝันว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ความจริง ตื่นขึ้นมาจะพบกับร่างกายอุ่นหนาที่นอนหลับเคียงข้าง ไม่ใช่คนเย็นชาไร้หัวใจ...



            “เดียว” เสียงทุ้มรั้งไว้ ผมหันกลับมามองหน้ากัน เลิกคิ้วเป็นเชิงถามไถ่



            “...?”

            “งานเลี้ยง พ่อคุณจะมาด้วย” กันพูด เขามองหน้าผมนิ่งๆ

            “นั่นผมเดาได้อยู่แล้ว” ตอบเขาเสียงห้วน

            “นายอยู่ในสถานะไหน...อย่าลืม” คำพูดที่ออกมาจากปาก ย้ำสถานะผมจนใจรวดร้าว

            เป็นแค่ เมีย ซ้ำยังเป็นผู้ชายด้วยกันอีก ช่วยรักษาหน้าตาฉันด้วย ธุรกิจที่ทำต้องรักษาภาพลักษณ์ อย่าทำตัวงี่เง่า นี่อาจเป็นคำพูดที่อยู่ในหัวของกัน เพียงแค่เขาไม่พูดออกมา...ผมยิ้มข่มขื่น สมเพชตัวเอง

            “ไม่ต้องห่วง ผมไม่ทำให้งานของคุณล่มหรอก วางใจเถอะ”

            ผมร้องไห้...ไม่มีน้ำตาไหลออกมา ความเจ็บปวดมันรวดร้าวอยู่ภายใน และหากน้ำตาไหลออกมาได้ มันคงเป็นสีแดงเข้ม สมกับความทรมานที่ได้รับ

 

                                                                  >W e d d I n g<

 



            ห้องจัดงานเลี้ยงใหญ่มาก ธีมงานสีขาว บนเวทีมีชายหัวล้านภูมิฐานกล่าวพูดอำลาตำแหน่ง ทว่าผมไม่ใส่ใจสักนิด อาจเพราะความสนใจของผมอยู่กับคนที่ได้ชื่อว่าพ่อบังเกิดเกล้า

            พ่อนั่งโต๊ะเดียวกันกับผมและกัน สายตาที่มองมาไม่มีเค้าความใจดีเช่นแต่ก่อน มีเพียงความรังเกียจและ...ขยะแขยง

            “คุณกัน นิ่มเป็นยังไงบ้างครับ” พ่อถามกัน

            “สบายดีครับ” กันตอบพ่อด้วยท่าทีสุภาพและห่างเหิน จากนั้นสายตาของร่างสูงก็หันไปสนใจการกล่าวอำลาตำแหน่งต่อ

            ผมประสานนิ้วที่ตัก บีบนิ้วตัวเองแน่นๆ รู้สึกเหงื่อชื้นๆ ตรงฝ่ามือ ผมมองหน้าพ่อ ตัดใจถามคำถามเสียงเบา แม้ในใจหวาดกลัว

            “พ่อครับ...พี่อาร์ม...”

            “หยุดพูด” พ่อตัดบทประโยคผม เขาวางมือที่แขนผมและจิกนิ้วแรงๆ ย้ำเตือน

            “พ่อ นิ่มเจ็บ”

            “ไอ้อาร์มมันสบายดี แกมีผัวแล้วอย่ามายุ่งกับมันอีก”

            “พ่อทำร้ายผม...พ่อไม่รักนิ่มเลย ทำไม” ผมอดไม่ได้ที่จะตัดพ้อ



            “แกทำร้ายพ่อก่อน สิ่งที่พวกแกทำมันเลวทราม น่าอับอาย!” เสียงที่ถูกกดให้ต่ำในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย

            “นิ่ม” เสียงห้าวฉุดผมจากบรรยากาศน่าอึดอัด กันฉุดแขนผมให้ลุกขึ้น ลากไปยังโต๊ะอีกโต๊ะ ผมตามเขาไปทั้งที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

            “นิ่ม” เสียงของชายร่างสูงดึงรั้งสติผม



            “ครับ?”

            “นี่คุณพิชัย ลูกค้ารายใหญ่ของเรา เพื่อนผม” คำอธิบายของร่างสูง



            ผู้ชายที่กันแนะนำให้รู้จัก เป็นชายหนุ่มรูปร่างใหญ่ ถ้าเรียกแบบหยาบคายหน่อยก็ต้องบอกว่า ‘กอลิล่า’ เขาตัวสูงใหญ่ ผิวคล้ำ ตาคม มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นคนทางตอนใต้ของประเทศไทย จะว่าไปเหมือนจับกอลิล่าใส่สูทเลย

            ความคิดนั่นเรียกรอยยิ้มจากผมได้ดีทีเดียว ยิ่งมองผู้ชายตรงหน้า ผมยิ่งต้องกลั้นขำ เปลี่ยนอารมณ์หมองเศร้าในตอนแรกได้ดีทีเดียว

            “สวัสดีครับ” ผมทักกอลิล่าชุดสูท พยายามกลั้นรอยยิ้มที่หน้าเต็มที่



            “สวัสดี เมียไอ้กันสินะ” นั่น...นอกจากหน้าตาน่ากลัว คำพูดยังแสดงออกว่า ‘เถื่อน’ จริงๆ ผมรับฟังในตอนแรกยอมรับว่าโกรธกับคำพูดไม่สุภาพ แต่เขินมากกว่า แต่...แต่ก็นั่นล่ะ ผมก็ยังขำอยู่ดี คนอะไร หนวดเครารุงรัง แต่ใส่สูท

            “นิ่มนั่งตรงนี้ก่อน ผมไปทำธุระสักครู่ พิช มึงดูแลนิ่มด้วย” ผมไม่รู้ว่ากันจะไปไหนและไม่รู้จุดประสงค์ที่เขาพาผมมานั่งโต๊ะนี่ด้วย จะว่าไป โต๊ะนี่มีแต่นายกอลิล่านั่งอยู่คนเดียวนี่น่ะ

            “เออๆ”

            กันขอตัวไปทำธุระแล้ว เขามองผมเป็นเชิงเตือนให้อยู่เงียบๆ ผมมองหน้าเขาแข็งๆ หมอนั่นถอนหายใจ ก่อนเดินไปทางหลังเวที

            “ว่าแต่เมียกันทำไมวันแต่งถึงเศร้าจังฮึ” คำถามจากชายร่างยักษ์

            “คุณมาด้วยหรอ” ผมถามกลับไปงงๆ

            “มาสิ เพื่อนรักแต่งงานทั้งที่ แถมกับผู้ชายด้วย ก็นะ วันงานแต่งยังกะวันงานศพ เจ้าสาวหน้าเศร้าขนาดนั่น”

            “นั่นสินะ” ผมตอบเขา ระบายรอยยิ้มเศร้าๆ

            “ช่างเถอะ ว่าแต่เมียกันชื่ออะไร จะให้เรียกชื่อจริงไหม จำได้ว่าชื่อ นาๆ อะไรนี่ล่ะ” คำพูดของเขาเหมือนคนสมองสั้น ขนาดกันเรียกชื่อผมไปตั้งหลายครั้ง เขายังจำไม่ได้ แต่ท่าทีดูเป็นกันเองต่างกับขนาดตัวทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

            “ผมชื่อนิ่ม ว่าแต่คุณชื่อ พิช หรอฮะ” ผมถามทวน จำได้ว่ากันเรียกชายตรงหน้าด้วยชื่อนี่ ตลกดี หน้าตาโหดๆ แต่ชื่อเหมือนฝรั่ง

            “ใช่ ไม่ใช่ชื่อฝรั่งหรอก พอดีพ่อเอาตัวอักษรสองตัวแรกมารวมกัน เลยได้ชื่อเล่นนะ ไม่เข้ากับหน้าใช่ม่ะ” เขาพูดพลางถลึงตา มองมา

            “ฮะ ฮะ ไม่เข้ากับหน้าอย่างแรง” ผมหัวเราะ



            “เคยบอกไหม คนที่หัวเราะชื่อไอ้พิช ตายศพไม่สวยสักราย”



            เฮือก!

            เสียงขู่โหดๆ กับสายตาจริงจัง ผมเริ่มเบ้หน้า เริ่มกลัวจริงๆ

            “โทษ โทษ” ผมขอโทษ อยากยกมือไหว้ซะด้วยซ้ำ



            “ฮะ ฮะ ขวัญอ่อนจริง หนูนิ่ม” เขาตบไหล่ผมเบาๆ ความจริงผมต้องย้ำว่ามัน ‘แรง’ มากๆ เหมือนผู้ชายชื่อฝรั่งคนนี้หลุดมาจากบ้านป่าเมืองเถื่อนจริงๆ

            เราคุยไปสักพัก พิชยังทำหน้าโหดแต่คำพูดชวนหัวเราะเหมือนเดิม

            “คุณนี่ตลกดีนะ ถ้าโกนหนวดหน่อย คงดูดี” ตอนนี่ผมกับเขาพูดเรื่องหน้าตาครับ เขาว่าผมชอบทำหน้าเศร้า ผมก็ว่าเขาชอบทำหน้าโหด



            “หน้าตาไม่ดี แต่จิตใจดี พอม่ะ?” นั่นละครับ ผมหัวเราะกร๊ากเลย หลงตัวเองจริงๆ

            “ฮ่า ฮ่า...ให้ตายเหอะ นายนี่มันตลกดีอ่ะ” ผมพูดพลางตบไหล่พิชแรงๆ



            “เฮ้ย! ไอ้กัน เมียมึงหัวเราะแล้วน่ารักว่ะ” คำพูดโพลงพลางสมกับเป็นผู้ชายที่ชื่อพิชดี ว่าแต่เขาพูดถึงกัน เอ๊ะ? มาตอนไหนเนี่ย

            “ไปนิ่ม กลับบ้าน” เขาพูดกับผมเสียงนิ่งๆ เหมือนเคย

            “โหยๆ หวงเมียนี่หว่า นิ่มกลับบ้านซะกลับไปก็เป็นเด็กดีของไอ้กันซะนะ ยิ้มบ่อยๆด้วย” พิชบอก ตบไหล่ผมป๊าบๆ

            “อะ อืม” ผมหน้าร้อน ไม่ชินกับการถูกล้อ

            กันพาผมไปที่รถ เขาไม่ได้ลาพ่อผม อันที่จริงผมก็อยากให้มันเป็นแบบนั่น บรรยากาศระหว่างเราก็เหมือนเดิม ต่างคนต่างเงียบ ปกติผมคงอกแตกตาย แต่ตอนนี้ชินเสียแล้ว

            “แวะเซเว่นหน่อยได้ไหม อยากซื้อขนม” ผมบอกเขา

            “พิชมันเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มได้ก็ดี” คำตอบของร่างสูงสวนกับประโยคผมเลย กันขับรถเลี้ยวเข้าเซเว่น ผมพิจารณาคำพูดของเขา ไม่มีน้ำเสียงแดกดันอะไรเลย มีเพียงน้ำเสียงเรียบๆเท่านั้น

            “ขอบคุณครับ”

            อ่า...ไม่รู้ว่าผมขอบคุณเขาทำไม...แต่ว่าเขาเป็นคนทำให้ผมยิ้มได้ ก็เขาพาผมไปนั่งคุยกับพิชนี่เนอะ

            ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า...กรอบบางๆ ที่คนข้างๆกั้นไว้ เริ่มละลายออกมาแล้ว

            เฮ้อ...คิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย

 

                                                                    >W e d d I n g<

ออฟไลน์ PoPuAr

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
Re: วิวาห์ลวงรัก
«ตอบ #4 เมื่อ20-04-2014 15:37:07 »

ต้อนรับเรื่องใหม่
กลิ่นมาม่าโชยมาแต่ไกล เนื้อเรื่องดูน่าสนใจดีนะคะ
โอย...รักต้องห้ามสินะ รักกับพี่ชายแท้ๆของตัวเอง

แล้วจะยังโดนบีบบังคับให้แต่งงานกับใครก็ไม่รู้อีก (จะใช่พระเอกมั้ย)
ตอนเข้าหอละ  :hao6: :hao6: จะเป็นยังไงหนอ


คำว่า "ปฏิเสธ"  <<  ต้องเขียนแบบนี้ค่ะ

ออฟไลน์ Satang_P

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
Re: วิวาห์ลวงรัก
«ตอบ #5 เมื่อ20-04-2014 15:52:40 »

ติดตามๆ :katai2-1:

ออฟไลน์ tensoplata

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: วิวาห์ลวงรัก
«ตอบ #6 เมื่อ20-04-2014 16:31:47 »

ตอนที่ ๔ : ฮันนีมูน



            อากาศตอนเช้าสดชื่นจริงๆ ผมตื่นมาตั้งแต่หกโมงเช้า และก็เหมือนเดิม คนข้างกายลุกจากเตียงไปนานแล้ว ผมบิดขี้เกียจ ลุกขึ้นไปอาบน้ำ ลงไปข้างล่าง วันนี้เป็นวันหยุดนักขัตกฤษ์ครับ ผมเลยสบายนิดหน่อย ได้หยุดด้วย

            แต่ไม่เหมือนคนบางคน ต้องไปทำงานอีก...คิดแล้วก็ต้องส่ายหัว หลังจากกลับจากงานเลี้ยง กันก็บ้างานหนักขึ้นกว่าเดิม บางวันกลับบ้านดึกดื่น ข้าวมากินไม่ทัน จนผมอดห่วงไม่ได้

            อย่างน้อยเราก็อยู่บ้านเดียวกัน จดทะเบียนสมรสกัน ถึงแม้เราจะไม่ได้รักกันเลยก็ตาม

            “กัน” ผมเผลอเรียก เมื่อเห็นใบหน้าคุ้นตาเดินเข้ามา

            “...”

            เขาเดินเข้ามาใกล้ วางนมอุ่นๆ ไว้ตรงหน้าผม ว่าแต่...ให้ผม?

            “ขอบคุณครับ” กินนมอุ่นๆ ตอนเช้าก็ไม่เลวนักหรอก

            “...”

            บรรยากาศยังคงเป็นเหมือนเคย เงียบสงบ แต่...ทำไมผมรู้สึกได้ถึงสายตาคนจ้องกันนะ ผมเงยหน้าจากนมถ้วยอุ่นๆ ปะทะกับดวงตาคมเข้มที่จ้องมองมา

            “มีอะไรหรือเปล่า”

            “นมเลอะปาก” คำตอบสั้นๆ ผมยกมือเช็ดคราบนมริมฝีปาก อดรู้สึกอายไม่ได้ โตจนมีงานมีการทำแล้ว แต่ยังกินเลอะเทอะ

            “อะ อืม”

            “ไปฮันนีมูนกัน”



            พะ...พรวด!



            “แค่ก แค่ก” ให้ตายเหอะ! นมมันไหลผ่านจมูกผม น้ำนมไหลผ่านจมูก ทั้งๆ ที่ผมกินมันทางปาก บ้าจริง แสบจมูกชะมัด

            ผมคว้านหากระดาษทิชชู่ ซับนมขาวๆ ออกจากปากและจมูก หันไปมองคนตรงข้ามที่ตีหน้านิ่งเหมือนเดิม

            “พ่อนายให้บัตรพักรีสอร์ทที่ภูเก็ตมา ท่านบอกว่าเรายังไม่ได้ฮันนีมูน” คำอธิบายจากคนตัวโต ผมชะงักเมื่อได้ยินชื่อพ่อของตัวเอง

            “นี่ กัน ผมพูดตรงๆ นะ คุณไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของพ่อผมหรอก คุณก็รู้ การแต่งงานของเรามันเกิดขึ้นเพราะ...”

            “ผมจะทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด” ร่างสูงพูดตัดประโยค ผมนิ่งฟัง หน้าที่ของกัน...ไม่เข้าใจว่าทำไมคำพูดสั้นๆ มันทำให้ในอกผมรู้สึกปวดแปลบ

            หน้าที่ของสามีหรือเปล่า...คำนั้น ที่เขาตั้งใจจะบอก

 

                                                                   >W e d d I n g<

 

            ครับ...จนแล้วจนรอดผมก็ทนสายตาที่จ้องมองมาไม่ไหว บวกคำยุยงของป้าบัวนิดๆ กระเป๋าเดินทางสำหรับหนึ่งวันก็ถูกจัดเสร็จภายในเวลาเก้าโมงเช้า

            ตอนนี้สิบโมงเช้าครับ และแน่นอน เราจองตัวเครื่องบินไปภูเก็ตเสร็จเรียบร้อยและกำลังขึ้นเครื่อง ผมไม่ทราบได้ว่าเวลากะทันหันแบบนี้กันเตรียมทุกอย่างพร้อมได้ยังไง แต่ถึงให้อยากรู้ผมคงไม่กล้าถาม

            เอาเป็นว่า ทริปลุยเดี่ยวหรรษากับก้อนหินเดินได้

            เฮ้อออออออออ...



            “เฮ้ย!” ผมคว้านหาโทรศัพท์ครับ กะเอามาเช็คเวลา เพราะตอนนี้เราอยู่ภูเก็ตแล้ว

            “มีอะไร”

            “โทรศัพท์ ผมหาไม่เจอ”

            “ช่างเถอะ มันไม่สำคัญนักหรอก” คำพูดตัดบทเหมือนเรื่องไร้สาระ

            “คุณก็พูดได้นิ คุณไม่ใช้ผมที่บ้ารอพี่อาร์มโทร...” เผลอหลุดปากพูดไปแล้ว

            นับจากวันที่พี่อาร์มโทรมาหา ผมก็ติดโทรศัพท์มากยิ่งขึ้น เผื่อว่าจะมีสักวันหนึ่งที่เขาโทรหา ผมมันคงบ้า แต่ก็บ้าเพราะรัก

            “ไปจ้องโรงแรมกัน” คำพูดตัดประโยค เอาแต่ใจ ร่างสูงลากผมไปขึ้นแท็กซี่

            “เราไม่ได้ค้างซักหน่อย คุณจะจ้องโรงแรมทำไม” ผมถาม

            “เราค้าง สองวัน” คำตอบยังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม



            “เฮ้ย! พรุ่งนี้ผมมีสอนนะกัน”

            “...”

            ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก



            “กัน!” ผมขึ้นเสียงครับ

            “...”

            ร่างสูงยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิม และมันคงเหมือนคำประกาศิต

            “ค้างก็ได้...ว่ะ”

            จบคำพูด คนข้างกายยกยิ้มมุมปาก...ยิ้มครับ กันยิ้ม...เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขายิ้ม เป็นครั้งแรกที่มนุษย์เย็นชาคนนั้นยิ้ม...

            ว่าแต่...ผมเพิ่งสังเกตนะครับว่ากันหล่อ...

            ...เฮ้อ คิดได้แบบนี้ก็ต้องถอนหายใจ กันหล่อแต่ยังไงก็หล่อสู้พี่อาร์มไม่ได้หรอก



            ‘พี่อาร์มหล่อ เดียวโตเป็นผู้ใหญ่ต้องมีผู้หญิงติดเยอะแน่ๆ’



            ‘ไม่หรอกครับ พี่มีนิ่มคนเดียว’



            ผมนึกถึงอดีต...นึกถึงปัจจุบัน

            ความสัมพันธ์ผมกับกัน ดีขึ้นมากในความรู้สึกผม แต่มันไม่มีอะไรเกินเลยกว่านั้น เพราะผมยังคงรักและรอพี่อาร์ม คนเดียว

            ตอนที่ผมเห็นรอยยิ้มของกันครั้งแรก...ผมคิดแบบนั้นจริงๆ

 

                                                                   >W e d d I n g<

 

            โรงแรมขนาดใหญ่มาก...ก มีสระว่ายน้ำในตัว มีอาคารสามหลัง ตั้งเรียงเป็นรูปตัวยู ตรงกลางเป็นสระว่ายน้ำกับโต๊ะนั่ง สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ พวกผมเดินเข้ามาข้างใน ตรงไปยังเคาท์เตอร์

            “ห้องสวีท” กันพูดพร้อมยื่นบัตรพักที่ได้จากคุณพ่อให้พนักงาน

            “ค่ะ เบอร์ 1286” พนักงานต้อนรับยิ้มพร้อมยืนกุญแจให้



            “ห้องสวีท?” ผมไม่รู้สึกแปลกอะไรนักหรอกนะ เพราะปกติก็นอนกับกันอยู่แล้ว นอนหันหลังให้กันทุกคืน

            “มีปัญหาหรอ” ครับ...ผมเงียบครับ

            ทำไมรู้สึกว่าช่วงนี้ก้อนน้ำแข็งเดินได้พูดบ่อยจัง??

            “กัน ผมจะลงไปเล่นน้ำนะ คุณไปด้วยไหม”

            ห้องพักของที่นี้สวยมากครับ เตียงนอนขนาดใหญ่ บรรยากาศดูคลาสสิคหรูหรา เมื่อมาถึงห้อง ผมไม่รอช้าที่จะเข้าห้องน้ำจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้า บล็อกเซอร์กับเสื้อยืดตัวบางๆ ตั้งใจเต็มที่ว่าจะแช่น้ำให้สนุก

            “รอผมแปป” พูดจบร่างสูงก็จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้า ตรงหน้าผมเลยครับ...ผมหันหลังหลบ รู้สึกอาย แต่น้ำแข็งเดินได้อย่างหมอนั่นคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอก

            และแล้วเราก็ลงมาข้างล่าง กันอยู่ในชุดบล็อกเซอร์ตัวเดียว เปลือยท่อนบน ผมไม่อยากขัดอะไรหรอกนะ แต่หมอนี่เอาความมั่นใจที่จะโชว์รูปร่างตัวเองให้คนอื่นเห็นมาจากไหน

            “ผมเล่นน้ำนะ” ผมบอกกัน ก่อนลงสระ ว่ายน้ำเล่นคนเดียว ความจริงมันก็เหงาอยู่เหมือนกัน ถือซะว่ามาผักผ่อน

            สระที่นี้ไม่ค่อยมีคนหรอก มีไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะมาเที่ยวทะเลเลยไปเล่นน้ำทะเลกันหมด มีแต่ผมนี่ละที่บ้ามาเล่นน้ำในสระ แต่ผมกลัวทะเลนี่ครับ ตอนเด็กๆ จำได้ว่าเคยเกือบจม แต่พี่อาร์มมาช่วยไว้

            ผมนอนลอยตัว สายลมที่พัดมาทำให้รู้สึกดีจริงๆ เหมือนผมจะลืมใครบางคนไป...ตอนนี้กันนั่งจิบเบียร์อยู่ตรงเคาท์เตอร์กลางแจ้ง บรรยากาศดูเงียบสงบเหมือนมาพักผ่อนจริงๆ



            โป้ก!

            “แค่ก แค่ก”

            และแล้ว...เหตุการ์ณไม่คากฝันก็เกิดขึ้น แรงกระแทกตรงหัว ผมตกใจ พลิกตัวกะทันหัน แน่นอนครับ ผมลอยตัวอยู่บนน้ำ เหตุการณ์ต่อมาคือน้ำเข้าจมูก ดีที่สระนี่ผมยังพอหยั่งขาถึง ไม่งั้นมีว่ายท่าหมาตกน้ำ



            “เฮ้ คุณ” ผมที่กำลังสำลักน้ำอยู่ก็เงยหน้ามองคู่กรณีแวบหนึ่ง ไม่สนใจอะไรมาก เพราะน้ำมันเข้าจมูกจนแสบไปหมดเลย

            “ผมไม่เป็นไร แค่ก แค่ก” ผมบอกพร้อมถดตัวหนี กลับขึ้นฝั่ง ตรงไปหากันที่เคาท์เตอร์บาร์

            “นิ่ม” กันพูดชื่อผม น้ำเสียงเหมือนตกใจหน่อยๆ ผมรู้ตัวว่าสภาพมันแย่มาก เพราะผมกลืนน้ำคอลีนไปด้วย แสบจมูกไปหมด อยากฮัดเช้ย อยากร้องไห้ปนๆ กันไป

            “ผมขึ้นห้องก่อนนะ” ผมบอก ทำท่าจะผละไป แต่กันจับแขนผมไว้ก่อน

            “เดียวผมไปส่ง” กันบอก ผมขืนตัวหนีจากการจับข้อมือ บอกเขาพร้อมรอยยิ้มทั้งๆ ที่ยังแสบจมูก

            “ไม่ต้อง คุณมาผักผ่อนนะกัน ตามสบาย ผมจะขึ้นไปอาบน้ำ หมดอารมณ์เลยจริงๆ” หลังๆผมแอบบ่นพึมพัมเองคนเดียว

            “เดียวผมไปส่ง” คำพูดซ้ำเหมือนเดิม พร้อมแรงบีบตรงข้อมือ ผมอยากปฏิเสธ แต่ร่างสูงกลับลากผมไปซะแล้ว

            รู้สึกผิด เหมือนตัวเองทำเรื่องยุ่งยากให้กันยังไงไม่รู้

            ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น           

           

                                                                   >W e d d I n g<





ความจริงนิยายเรื่องนี้เขียนไว้เยอะแล้ว แต่ตอนที่เอามาลงคือตอนที่ตรวจคำผิดแล้ว เพราะของเก่าคำผิดเยอะแยะมากมาย (แต่ถ้ามีคำผิดอีกขอโทษด้วยน้า )


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2014 01:42:04 โดย tensoplata »

ออฟไลน์ tensoplata

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: วิวาห์ลวงรัก
«ตอบ #7 เมื่อ20-04-2014 16:53:20 »

ตอนที่ ๕ : ความสัมพันธ์

            ผมรู้สึกมึนหัวนิดๆ หลังขึ้นจากสระน้ำ ผมที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จล้มตัวลงนอนไปเลย ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว แถมยังรู้สึกหนักๆ ที่หัว

            “หลับนานเลยแหะ” ผมมองดูนาฬิกาในห้องพัก ก่อนสะดุดตาผ้าชุบน้ำ กับร่างใหญ่ที่นั่งคุดคู้อยู่ข้างเตียง

            “กัน” ผมเรียกเขา เขย่าตัวร่างสูงเบาๆ ไม่นานคนที่เพิ่งจะพล่อยหลับไปก็ตื่นเต็มตา

            “นายมีไข้”

            กันบอก เขาเอื้อมมือแตะบนหน้าผากผม ใบหน้าเราใกล้กันมาก ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ถ้าเป็นปกติผมคงผลักเขาให้พ้นไปแล้ว แต่ดวงตาที่ห่วงใยกับท่าทางจริงจังทำให้ผมไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้เลย

            “อืม” ผมตอบเขาเบาๆ กันพยักหน้ารับรู้ เขาหยิบพารามาให้พร้อมน้ำเปล่า

            “กินซะ แล้วนอนต่อ”  ผมทำตามอย่างว่าง่าย ล้มตัวลงนอนต่อ ยังมีอาการมึนๆ หัวอยู่ แต่เห็นคนตัวโตยังนั่งอยู่ที่เดิมก็อดที่สะกิดเรียกไม่ได้

            “กันก็นอนด้วยสิ” ผมบอกเขา กันพยักหน้าน้อยๆ คำพูดของผมมันไม่มีอะไรแอบแฝง เพราะเราสองคนนอนด้วยกันทุกคืนอยู่แล้ว

            “...”

            บรรยากาศเงียบสงบเริ่มกลับมา ผมลืมตาโพล่งในความมืด รู้สึกได้ถึงเสียงลมหายใจที่ดูขัดๆ ไม่ประติดประต่อ กันยังไม่หลับ เหมือนกับผม

            “นายรักผู้ชายคนนั้น...คนที่ชื่ออาร์ม”

            “ใช่” ผมตอบคนข้างกายแผ่วเบา ทว่าชัดเจน

            เราสองคนนอนลืมตาโพล่งในความมืด เสียงลมหายใจแผ่วๆ มือผมสัมผัสกับมือกันโดยบังเอิญ ความรู้สึกในแวบแรกมันช่างเยียบเย็นจนน่ากลัว

            “แต่งงานทำไม” สัมผัสเย็นเชียบบีบข้อมือผมแน่น ผมรู้สึกแย่มากเมื่อคิดถึงคืนวันที่ตัวเองนอนร้องไห้แทบตาย

            ผมถูกบังคับให้แต่งงานเพราะพ่อต้องการขัดขวางความรัก

            ผมถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้ชายด้วยกันทั้งๆ ที่ผมไม่เคยรักผู้ชายด้วยกันนอกจากพี่อาร์ม

            ผมถูกบังคับให้กล่าวคำสาบานต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า

            ทำไม ทำไม คำถามแบบนั้นสมควรเป็นผมที่ถามสิ ถึงจะถูก

            ทำไมโชคชะตาถึงเล่นตลก

            “คำถามแบบนั้น ผมควรจะถามคุณมากกว่า แต่งงานกับผมทำไม” ผมตอบเขา รู้สึกหายใจลำบาก

            เราต่างคนต่างเงียบ เสียงแอร์ร้องเบาๆ ในความมืด ความเย็นตรงมือจากไปแล้ว ผมจิกนิ้วลงกับฝูก รู้สึกอยากร้องไห้ อาจเป็นเพราะอาการไข้ขึ้น มันเลยทำให้ผมพาลรู้สึกโกรธและเกลียดผู้ชายคนข้างๆ นี้จับใจ

            ถ้าไม่ใช่เพราะเขาตกลงเรื่องแต่งงาน

            ถ้าเขา...

            “นอนเถอะ”

            คำพูดตัดบทสั้นๆ กันพลิกตัวหันหลังให้ผม จากตอนแรกที่รู้สึกอยากร้องไห้ฝูมฝาย ความรู้สึกนั้นสงบลงอย่างน่าประหลาด ผมเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆ ก่อนทำเหมือนกับเขา

            ผมไม่เคยรู้ สิ่งที่กันคิด และผมไม่เคยเข้าใจเขา

            ตอนนี้...ผมเพียงแค่รอ...รอเวลาที่จะได้เจอพี่อาร์มอีกครั้ง

            เพราะนี้ไม่ใช้บทบาทในนิยาย...เจอกันสักพัก ตกหลุมรัก บังคับข่มขืน...ความรักที่ผมมอบให้พี่อาร์มไม่ใช้เรื่องล้อเล่น ผมรักเขาถึงขนาดยอมตัดเรื่องสายเลือดเดียวกัน

            คุณว่าความรักของผมกับพี่อาร์ม...มันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน...

 

                                                                    >W e d d I n g<

 

            การฮันนีมูนของเราจบลงแบบไม่สวยสักเท่าไหร่ หลังจากคืนวันที่ผมไม่สบาย กันก็พาผมกลับทันที ถึงบ้านป้าบัวยังถามด้วยซ้ำว่าทำไมกลับเร็ว

            ไม่รู้เวลาผ่านไปช้าหรือเร็ว สำหรับผมมันเหมือนกับเข็มนาฬิกามันตายด้าน กว่าจะหมุนครบวัน ช่างยาวนาน สภาพของผมกับกันตอนนี้นะเหรอ...ก็ดี

            บางทีนี้อาจจะดีสำหรับผมแล้วก็ได้ แต่จะว่าไปก็สงสารกัน เขาต้องแต่งงานกับผม แทนที่จะได้จดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงดีๆ เพียบพร้อม อย่างเช่น...คุณไอรยา

            โต๊ะกินข้าวที่เงียบเหงา ที่มีคนเพียงสองคนนั่งรับประทานอาหารเงียบๆ ตอนนี้กลับดูสนุกสนานผ่อนคลายด้วยเสียงหัวเราะรื่นเริงของผู้หญิงอีกคน

            ไอรยา เธอเป็นผู้หญิงสวยมาก นัยน์ตากลมโต เส้นผมเล็กละเอียด รูปร่างสมส่วน เธอเป็นเพื่อนของกัน เพิ่งกลับมาจากสหรัฐฯ ริมฝีปากเธอทาลิปสติกสีแดงเข้ม แต่กลับดูไม่น่าเกลียดเหมือนนางมารร้ายเลยสักนิด

            ผู้หญิงคนนี้ เป็นเพื่อนสนิทของกัน...และเคยเป็นแฟนเก่า

            ผมเพิ่งรู้ เมื่อไม่นานนี้เอง

            “นิ่มสอนเด็กเป็นยังไงบ้าง เด็กมหาลัยดื้อมากไหม” เธอถามผม

            “เด็กมหาลัยโตแล้ว มีแค่ไม่กี่คนที่งี่เง่า นิดหน่อย” ผมตอบ พลางนึกไปถึงลูกศิษย์อีกคนที่ช่วงนี้เข้ามากวนใจผมบ่อยๆ

            “ไอเรียนมหาลัยที่เยล ไม่ได้เรียนที่ไทย เสียดายอยู่เหมือนกัน ไปอยู่ที่นั่นมีแต่พวกฝรั่งมังค่า ดีนะที่กันเรียนที่เดียวด้วย ไม่งั้นไอลืมภาษาไทยแล้วแหงๆ”

            อ้อ...ผมเพิ่งรู้ว่าพวกเขาเคยเรียนมหาลัยเดียวกัน

            “ผมเคยศึกษางานที่เยล ที่นั่นเป็นมหาลัยเก่าแก่ ระบบการเรียนการสอนดีทีเดียว” ผมตอบพลางนึกถึงตอนไปศึกษาดูงาน หรือจะเรียกว่าไปเที่ยวกับพี่อาร์มดี?

            เราคุยกันไปเรื่อยๆ ไอรยาเล่าประสบการณ์ตอนมหาลัย กับเรื่องโก๊ะๆ ของกันให้ฟัง เธอเล่าให้ฟังว่ามีครั้งหนึ่งกันเข้าห้องน้ำผิดด้วย เขามองสัญลักษณ์ผิด พอเข้าไปปุ๊บก็กลับออกมาพร้อมรอยนิ้วห้านิ้วแดงเถือก ผมหัวเราะ คิดสภาพกันแบบนั้นคงน่าตลก

            ผมคิดว่ากันกับไอรยาคงสนิทกันมาก เหมือนเขารู้เรื่องของกันทุกอย่าง

            ตอนนั้นผมคิดว่าน่าเสียดายมากๆ ถ้ากันได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ชีวิตของเขาคงดี กว่านี้

            “ไอกลับแล้วล่ะ นี่ นิ่มไปส่งไอได้ไหม” ผมหันไปมองหน้ากัน เขาพยักหน้า ผมเลยเดินไปส่งไอรยาที่รถ ทั้งที่ผมคิดว่าหน้าที่นี้ควรเป็นของกันด้วยซ้ำ

            “แปลกใจสินะทำไมไอชวนนิ่มให้ออกมาส่ง” เธอถาม ใบหน้าเปื้อนยิ้ม

            “นิดหน่อยครับ”

            “ไอเคยเป็นแฟนกัน ตอนกลับมาไทยรู้ว่ากันแต่งงานแล้ว ไอเซอร์ไพรซ์มากๆเลย ยิ่งแต่งงานกับผู้ชายด้วยแล้ว แบบว่า มันเกิดขึ้นได้ยังไง กันไม่ใช่พวกเบี่ยงเบน...”

            ผมสะอึกกับคำพูดของเธอ รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าหลายสิบครั้ง คำพูดเอื่อยๆ ของเธอกระตุ้นความคิดผมดี เธอพูดถูก เท่าที่ผมรู้ กันตกลงแต่งงานกับผมเพราะธุรกิจของพ่อด้วยส่วนหนึ่ง

            “ความจริงไอก็ไม่อยากเป็นนางมารร้ายหรอกนะ แค่ดูก็รู้ว่านิ่มไม่ได้รักกัน ถามจริงๆ แต่งงานกับกันทำไมค่ะ” ไอรยาจ้องหน้าผม

            “ผมถูกบังคับ” ผมตอบเธอไปตามตรง

            “ว่าล่ะ! งั้นเอางี้ ในเมื่อนิ่มไม่รักกัน ไอขอดูแลกันเหมือนเดิมได้ไหม”

            ผมจ้องหน้าผู้หญิงตรงหน้าอย่างตะลึง เธอพูดด้วยความมั่นใจ เหมือนเธอกำลังขอขนมชิ้นหนึ่ง ทั้งๆที่ของที่เธอขอเขาเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม

            ...ผมไม่ได้รักกัน และมันคงดีสำหรับกันด้วย แต่...

            “กันไม่ใช่ของผม ผมให้เขาไม่ได้หรอก ถ้าคุณไอรยาอยากมาที่บ้าน ดูแลกัน ผมไม่ขัดข้อง ดีซะอีก...ผมไม่ได้ประชดนะ ผมกับกัน เราไม่ได้มีอะไรกัน” ผมกับไอรยาเล่นจ้องตากันสักพัก จนในที่สุด เธอก็ฉีกยิ้มจนเห็นฝันขาวที่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ

            “นิ่มน่ารักจริงๆ ไอขอบคุณนิ่มนะ ที่ไอกล้าขอก็เพราะไอรู้ว่านิ่มไม่ได้รักกัน ถึงจะแต่งงานกันก็เถอะ พรุ่งนี้ไอจะมาใหม่ ไปล่ะ” ไอรยายิ้มหวานครับ เธอจูบแก้มผมเบาๆ แล้วขึ้นรถของเธอกลับไป

            ผมยืนนิ่งค้าง ถูแก้มตัวเองเบาๆ ไอรยาหอมแก้มผม มันคงเป็นธรรมเนียมต่างชาติ แต่ผมเป็นคนไทย ไม่ผิดใช่ไหมที่ผมจะเขิน? แถมไอรยายังเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ เลยด้วย

            “นิ่มไม่ได้นอกใจพี่อาร์มนะ แค่เขินนิดหน่อย” ผมบอกคนอีกคนในห้วงความคิด

            ผมเดินเข้าบ้าน ยังรู้สึกร้อนตรงแก้ม กันยืนจังกล้าอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ผมรู้สึกถึงบรรยากาศมึนตึงของเราเล็กน้อย ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ผมไม่อยากทะเลาะ

            จะว่าไปผมก็ไม่เคยทะเลาะกับกันหรอกนะ

            “ไอบอกอะไรคุณบ้าง” กันถามผม

            “เขาขอดูแลคุณ” ผมตอบไปตามตรง เดินผ่านเขาไปเปิดตู้เย็นหาน้ำกิน

            “ผมกับไอเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”

            “ไม่ต้องห่วงกัน ถ้าคุณจะคบกับคุณไอรยาผมไม่ว่าหรอก คุณก็รู้ เรื่องระหว่างเรา...”

            “ผมไม่เคยผิดคำสัญญา...ในวันแต่งงาน ผมกล่าวคำสาบาน”

            คำตอบของกัน มันชัดเจนอยู่แล้ว ความรู้สึกผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกายผม มันเป็นความรู้สึกเสียวแปลบที่ข้อมือ มันปวดจนน้ำตาจะไหล...ผมเป็นอะไรไป

            ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นๆ ที่โอบรอบตัวผม ผมยืนนิ่งแข็ง กันไม่เคยเป็นแบบนี้ เขากอดผมเบาๆ ความรู้สึกในตอนนั้นประมาณว่า ช็อค ไม่เข้าใจ

            “จะซื่อสัตย์กับคุณ...ตลอดชีวิต”

            ...

            ...

            ...

            “ขอโทษนะ กัน”

            ผมตอบเขาด้วยเสียงแผ่วเบา...

            แย่...ความรู้สึกมันแย่มากจริงๆ

            น้ำตาพาลจะไหล มันจะอะไรหนักหนา

            ชีวิต...ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

            ผมไม่รู้ว่ากันทำแบบนั้นเพราะอะไร

            ผมไม่รู้ใจของกัน

            แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือใจตัวเอง

            ‘นิ่มรักพี่อาร์ม’

 

ออฟไลน์ tensoplata

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: วิวาห์ลวงรัก
«ตอบ #8 เมื่อ20-04-2014 17:23:18 »

http://www.youtube.com/watch?v=Drus79gNU6g

ตอนที่ ๖ : ลักลอบ [ตอนต้น]


            หลังจากวันนั้น ทุกอย่างเหมือนเดิม เปลี่ยนไปแค่เล็กน้อย เพราะตอนนี้ ผมกับไอรยาสนิทกันมากทีเดียว เธอเป็นคนเฟรนด์ลี่ แต่ข้อเสียของไอรยาคือชอบกรอกหูผมเรื่องกันอย่างนู่นอย่างนี้

            “นิ่มดูสิ กันชอบเค้กดาร์กช็อกโกแลตแล้วก็วานิลา เลือกไม่ถูกอ่ะ นิ่มเลือกให้หน่อย”

            ตอนนี้ผมกับไอรยาสนิทกันมาก...ก และวันนี้เรามาเลือกเค้กครับ พรุ่งนี้เป็นวันเกิดกัน พวกผมจัดแผนเซอร์ไพรซ์

            “งั้นเอาเค้กวานิลา แต่ท๊อปปิ้งดาร์กชอกโกแลต” ผมชี้เค้กอีกก้อน รสวานิลา ข้างบนเป็นท๊อปปิ้งดาร์กชอกโกแลต

            “โหย คิดได้ไง” ไอรยาฉีกยิ้มกว้าง เธอลูบหัวผมแรงๆ

            “เธอคิดไม่ถึงละสิ แต่เราคิดถึงน่ะ”

            อ้วกกกก...ก

            ไอรยาทำหน้าประมาณว่า เล่นมุขนี้เลยหรอ ผมหัวเราะคิกคักเดินไปจ่ายเงิน

            “เอาเค้กเก็บไว้กับไอก่อน พรุ่งนี้ไปเซอร์ไพรซ์ นิ่มก็กักตัวกันออกจากห้องทำงานด้วยล่ะ หมอนี่วันๆ เอาแต่ทำงาน น่าเบื่อจริงๆ” ไอรยาบ่นไปเรื่อย ผมฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง

            พวกผมกำลังจะกลับ แต่สายตาผมดันเหลือบไปเห็นร่างสูงคุ้นตา เขาอยู่ท่ามกลางคนชุดดำมากมาย ผมจำโครงสร้างร่างกายที่คุ้นเคยนั้นได้ดี

            ทันทีที่ผมมองเห็นเขา สายตาเราสบกัน ผมเบิกตากว้าง เช่นเดียวกันกับเขา

            วินาทีนั้นมันเหมือนความทรมานทั้งหมดมันหายวับ อยากปาเค้กที่ถือไว้ในมือทิ้งแล้ววิ่งไปหาผู้ชายคนนั้น

            ‘พี่อาร์มของนิ่ม’

            เขาเห็นผม สายตาของเราสบกัน รู้สึกน้ำตามันรื้นออกมา พี่อาร์มหันซ้ายหันขวา การ์ดพวกนั้นคงเป็นคนของพ่อ ผมอยากจะถลาไปหา กอดคนรัก ทว่าสายตาที่จ้องมองมาห้ามปรามไว้

            พี่อาร์มอาจบ้าในบ้างครั้งเมื่อทนไม่ไหว แต่ปกติเขาเป็นคนรอบคอบ สุขุม ผมรู้จักนิสัย ‘คนรัก’ ผมดี ผมยืนนิ่ง รู้สึกถึงแรงสะกิดของไอรยา ความสนใจผมจับจ้องเพียงร่างสูงคุ้นตาเท่านั้น

            พี่อาร์มหยิบกระดาษโน้ตเล็กๆ ออกมาจากเสื้อ เขาจดข้อความขยุกขยิก แล้วขย้ำเป็นก้อนกลมๆ ก่อนโยนมันทิ้งลงถังขยะ การ์ดที่อยู่รอบตัวพี่อาร์มทำท่าสงสัย แต่คงไม่มีใครกล้าถาม ไม่นานร่างนั้นก็หายลับไปจากตาผม

            ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นนานทีเดียว เราสองคนยืนอยู่ไม่ห่างกัน เดินไปแค่ไม่กี่ก้าวก็สามารถโอบกอดกันได้แล้ว แต่ความจริงมันทำไม่ได้...

            “นิ่ม! นิ่ม!”

            “หะ หือ อ้อ โทษทีไอ”

            “ป่ะ เรากลับกันเถอะ เมื่อกี้เป็นไรอ่ะ เหม่อนานเชียว” ผมไม่ตอบ สายตาจ้องถังขยะ ผมส่งถุงเค้กในมือให้ไอรยา

            “ไอกลับไปก่อนนะ นิ่มมีธุระ” ผมบอกเธอ ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

            “อะไรกันเนี่ย”

            “โทษจริงๆ เดียวนิ่มไปส่งที่รถ” ผมดุนหลังไอรยา พาเธอไปส่งที่รถ

            ไอรยาทำหน้างง แต่เหมือนเห็นท่าทางผมรีบๆ เลยไม่ซักถามอะไรมาก ส่งไอรยาเสร็จ ผมก็รีบไปหาของที่พี่อาร์มโยนทิ้งไว้

            ในตอนนั้น ผมวิ่งเข้าห้างเหมือนคนบ้า หูอื้อตาลาย มันเป็นสภาพที่แบบว่า ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ สิ่งที่ทำให้ผมช็อคยิ่งกว่านั้นก็คือถุงขยะมันหายไปแล้ว ผมเจอแค่ถุงยะอันใหม่

            ผมทรุดนั่งลงกับพื้น หมดแรง  เหมือนชีวิตมันเหนื่อย จนเกินทานทน

            เหนื่อยจริงๆ

            แต่...ถ้าเพื่อคนที่ผมรัก ผมจะสู้

            ผมลุกขึ้น...ปัดคราบน้ำตาออก รู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมา คงเห็นของแปลก นั่งร้องไห้ข้างถังขยะในห้าง ผมไม่สนสายตาคนอื่น...ผมไม่เคยแคร์ว่าใครจะมองผมเป็นเกย์ ชอบเพศเดียวกัน สิ่งที่ผมแคร์มีเพียงแค่พี่อาร์ม ต่อให้คนทั้งโลกเกลียด ขอแค่เพียงเรารักกัน เท่านั้นก็เพียงพอสำหรับผม

            “พี่ครับ พวกแม่บ้านที่ทำความสะอาดเขาอยู่ตรงไหน” ผมถามพนักงานแถวนั้น เขาบอกผม ไม่รอช้าผมก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องของพวกแม่บ้าน

            “โทษครับ เมื่อกี้มีใครเก็บขยะจากชั้น 4 มาบ้าง” ผมถามแม่บ้าน

            “เพิ่งเอาไปทิ้งเมื่อกี้เองจ๊ะ มีอะไรหรือเปล่า”

            “ผมเผลอทิ้งของสำคัญไปนะครับ”

            “ป้าเอาไปรวมกับขยะกองอื่นแล้ว...เอ่อ งั้นเดียวป้าพาไปดูละกัน แต่ไม่รู้นะว่าถุงไหน มันเยอะ” แม่บ้านบอก ผมพยักหน้าตกลงทันที

            แม่บ้านพาผมมาลานทิ้งขยะ กลิ่นมันเหม็นแทบอ้วก ขยะถุงดำๆ กองบนเป

            “ป้าเพิ่งเอามาทิ้งเมื่อกี้นะ คงอยู่แถวๆ กองเนี่ย ไอ้ถุงขยะชั้นสี่” แม่บ้านชี้มาที่กองขยะที่เพิ่งถูกทิ้งรวมกันไว้

            ผมขอบคุณ ส่งรอยยิ้มฝืนๆ ให้แม่บ้าน เธอมองแปลกๆ ผมไม่รอช้ารีบเทขยะออก รื้อหาเศษกระดาษนั่นทันที ถ้าหากเป็นนิ่มคนก่อนที่มีพี่อาร์มคอยปกป้อง ผมคงเป็นคุณหนู ไม่หยิบจับสิ่งพวกนี้ แต่เวลามันขัดเกลาชีวิตเรา

            “พ่อหนุ่มเอ้ย พอเถอะ ห้างจะปิดแล้ว” เสียงของป้าแม่บ้าน ผมหันกลับไปยิ้มฝืนๆ รู้สึกได้ถึงกลิ่นเหม็นตามเสื้อผ้า

            “ผมขอเวลาอีกสิบนาที ถ้าผมหาไม่เจอพรุ่งนี้ผมขอมาหาใหม่ได้ไหม”

            “คงเป็นของสำคัญ ของคนรักหรือ...” ป้าแม่บ้านพูด น้ำเสียงแกเหมือนสงสาร

            “แค่กระดาษแผ่นเดียว แต่มันมีค่ากับผมมากที่สุด”

            ผมตอบ ป้าแม่บ้านกลับไปเก็บของแล้ว ผมพยายามหา ไม่ปริปากบ่น กลิ่นเหม็นพวกนี้ผมทนได้เป็นชั่วโมง แต่ถ้าต้องทนเจ็บปวดเจียนตายเหมือนที่ผ่านมา ผมไม่ยอม

            “กลับเถอะ ป้าจะกลับแล้ว” เสียงของป้าแม่บ้านฉุดผมขึ้นจากกองขยะ ผมลุกขึ้นยืน ขาสั่นๆ คงเป็นเพราะคุกเข่านานเกินไป

            “พรุ่งนี้ผมจะมาหาใหม่”

            “ได้ แต่รถขยะมันมาเก้าโมงนะ”

            “ครับ”

            ตุบ!

            “กุญแจหล่นครับ” ผมก้มลงหยิบของให้ป้าแม่บ้าน รู้สึกปวดขาตุบๆ

            “ขอบใจจ๊ะ พ่อหนุ่มนี่เป็นคนดีจริงๆ กระดาษแค่แผ่นเดียว หาได้เป็นชั่วโมง นั่น อาจเป็นกระดาษแผ่นนั่นก็ได้นะ” ป้าแกยิ้ม พูดเหมือนล้อเล่นขำๆ ผมหันไปมองไม่จริงจังอะไรนัก เพราะทั้งวันผมผิดหวังมามากเกินพอ

            แผ่นกระดาษเล็กๆ ติดอยู่ตรงเหล็กกั้นท่อระบายของเสีย ผมก้มลงไปหยิบ คลี่กระดาษแผ่นนั่นออกมาดู

            พรุ่งนี้ ห้าทุ่ม สวนกลางเมือง

            รักนุ่มนิ่ม

            ข้อความสั้นๆ สองบรรทัด ผมปล่อยโฮทันทีเมื่ออ่านจบ น้ำตาไหลทะลักเหมือนทำนบแตก คว้าตัวป้าแม่บ้านมากอด พร่ำพูดขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า

            วินาทีนั่น ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับนัดตอนห้าทุ่ม สวนกลางเมืองอีกแล้ว

 
                                                               >W e d d I n g<

ตอนที่ ๖ : ลักลอบ [ตอนกลาง]

            อาหารทะเลหลากหลายชนิด กุ้งเผา ปลาหมึกย่าง ปูผัดผงกระหรี่ ถูกจัดเรียงบนโต๊ะเยอะแยะสวยงาม ส่วนหนึ่งเป็นฝีมือทำอาหารของป้าบัว ผมหยิบจาน จัดเรียงกุ้งตัวโตๆ ใส่จาน เพิ่งรู้จากไอรยาว่ากันชอบอาหารทะเล วันเกิดเขาเราจึงทำอาหารเลี้ยงกันเองในบ้าน

            “ป้าบัวๆ นิ่มยกไปสวนเลยนะ” ผมพูดพร้อมหยิบจานกุ้งเผากับปลาหมึกย่าง พวกเราตกลงว่าจะกินเลี้ยงกันในสวน ประมาณทุ่มกว่าๆ มีคนร่วมงานไม่กี่คน เพราะกันเพื่อนน้อยมาก

            “ถือระวังๆ นะค่ะคุณนิ่ม...นานๆ ป้าจะเห็นคุณนิ่มอารมณ์ดีแบบนี้ สงสัยว่าเป็นวันเกิดคุณผู้ชาย คุณนิ่มถึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ” เสียงป้าบัวพูดไปเรื่อย

            “ฮะ ฮะ” ผมหัวเราะเจื่อนๆ วูบหนึ่งความรู้สึกผิดคับแน่นเต็มอก

            ผมอารมณ์ดี เพราะจะได้เจอพี่อาร์ม แต่ถึงไม่มีเหตุการณ์นั่นแทรกเข้ามา ผมก็คิดว่า วันเกิดกันผมก็จะยิ้มอย่างมีความสุขให้เขาอยู่ดี อาจแปลกแค่ผมยิ้มกว้างกว่าปกติ ร่าเริงกว่าเดิม

            ผมผิดด้วยเหรอ?

            บนโต๊ะในสวนมีชายร่างยักษ์นั่งรออยู่ก่อน ผมยิ้มกว้าง คิดว่าวันนี้เป็นวันดีจริงๆ กอลิล่าชุดสูทตอนนี้เปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์นั่งอ้าขาอ้าซ่า กระดกเหล้าเข้าปากเอาเป็นเอาตาย

            “ดื่มขนาดนี่ กลัวคนอื่นไม่รู้เหรอไงว่าเมา” ผมเย้าคนตัวโต พิชหันมายิ้มให้ตาเยิ้ม กอลิล่าตัวโตเริ่มเลื้อยเป็นปลาหมึก เอาหัวมาซบไหล่ผม แต่ตานี้จ้องกุ้งตัวโตๆ ที่ผมยกมาตาเป็นมัน

            “ไม่กลัวคร้าบ เมาไม่กลับ หลับสนิทห้องเมียเพื่อนคร้าบ...บ”

            “ฮะ ฮะ” ผมหัวเราะ พร้อมๆ กับร่างสูงของกันโผล่มา

            ผมสลัดตัวออกจากพิชเล็กน้อยให้ไม่น่าเกลียด วางจานกุ้งเผากับปลาหมึกไว้ ไม่นานไอรยาก็มาถึงครับ เธออยู่ในชุดสีแดง เป็นเดรสตัวเดียว สั้นเลยเข่า ชุดของเธอแหวกอกจนเห็นเนินอกขาวอวบอิ่ม ผิวขาวๆ ยิ่งถูกขับเน้นเมื่อเจอเพชรเม็ดเล็กบนคอระหง

            ไอรยาสวยมาก ขนาดผมมีคนรักเป็นตัวเป็นตนยังเผลอมองเธอตาค้าง

            “...” แรงบีบแน่นตรงไหล่ ผมละสายตาจากไอรยา มองคนตัวโตที่จับไหล่ ส่งสายตาปรามๆ มาให้ ผมหัวเราะแหะๆ กันหน้าตามึนตึง

            ผมคงจ้องไอรยามากเกินไป แฟนตัวจริงของเธอถึงได้ออกอาการ

            “มาช้าจัง” ผมทักไอรยา

            “แต่ก็มาทันใช่ปะละ...ปะ นิ่ม ไปเอาของ นี่กัน...เดียวไอมานะ” เธอส่งยิ้มหวานให้กัน แล้วลากผมไปครับ

            ไอรยาพาผมมาที่รถเธอ มีเค้กกล่องใหญ่วางไว้อยู่ ไอรยาดูตั้งใจและมีความสุขมาก เธอตั้งใจปักเทียนแต่ละเล่ม ผมมองไอรยาแล้วนึกถึงตัวเอง ผมรู้แล้วว่าไอรยานิสัยเหมือนใคร...เธอก็เหมือนผม ถ้าเพื่อคนรัก ทุกสิ่งที่ทำต่อให้ลำบากแค่ใน ก็สุขใจ...

            “วันนี้ไอขอค้างที่นี้ได้ไหม” ไอรยาถามผม ขณะจุดเทียน

            “หือ มีอะไรหรือเปล่า”

            “เฮ้อ...กระดากปากไงไม่รู้ นิ่มเป็นภรรยากัน จะให้พูดแบบนี้มัน...เอาเป็นว่า ไออยากอยู่กับกันเป็นคนสุดท้ายในวันเกิดเขา”

            “ได้สิ เดียวนิ่มจะออกไปข้างนอกพอดี” ผมตอบรับง่ายดาย ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร

            “ไม่ๆ ไอไม่ได้ตั้งใจไล่นิ่มออกจากบ้านนะ...ทำเหมือนไอเป็นตัวร้ายไปได้” ไอรยาห่อปาก

            “นิ่มมีธุระพอดี คงกลับมาดึกๆ”

            “ธุระวันนี้เนี่ยนะ?”

            “อ่าฮะ...นี่เปิดทางให้สุดๆ เลยนะ ถ้าเป็นคนอื่นขออยู่กับสามีตัวเองแบบนี้โดนตบล้างน้ำไปหลายรอบล่ะ” ผมบอกไอรยาอย่างอารมณ์ดี

            “โหย ใจกว้างอ่ะ” เธอกอดคอผม ยิ้มกว้าง

            เราสองคนพากันเข้าไปในบ้าน คนยกเค้กเป็นไอรยาครับ กันทำหน้าตกใจนิดหน่อย ผมกับกันเราสมตากับหน่อยหนึ่ง ผมหลบตากัน ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ก้มหน้ามองเค้ก

            การเป่าเค้กจบลงด้วยดี ผมเหลือบตามองนาฬิกาเป็นระยะๆ ตอนนี้พวกเราสี่คนนั่งกินกับแกล้มคุยเรื่องสับเพเหระ ไอรยานั่งอยู่หัวโต๊ะกับกัน เธอคอยเอาอกเอาใจเขา ทั้งตักทั้งป้อน ใบหน้าแย้มเยื้อนมีความสุข

            เห็นคู่นั่นมีความสุขแล้วทุกข์ใจจัง...

            เป็นผมเองซะอีกที่ต้องติดแหงกอยู่กับกอลิล่าหน้าโหดเนี่ย

            “น้องจ๊ะ แกะกุ้งอะเป็นไหม ทำเร็วๆ สิน้อง เดียวพี่ให้ติ๊บ”

            เขาว่าคนเราเมาแล้วมีสภาพเหมือนหมา

            ปวดใจจริงๆ เพราะตอนนี้ไอ้คุณพิชัยมันกลายเป็นหมาไปแล้ว

            เกาะแข้งเกาะขา อ้อนนู่นอ้อนนี่ จะโมโหก็โมโหไม่ลง

            “พี่แกะเป็นก็เกะเองสิครับ ผมไม่ใช่เมียพี่นะครับ” พูดจบผมอดใจไม่ไหว ยัดกุ้งใส่ปากไอ้ลิงตัวโต

            “ใช่ซี้ๆ สามีเจ้านั่งป้อสาวอยู่นู่น ไอ้เรามันก็ตัวสำรอง กระซิก...กระซิก” ปากพูดทั้งๆ ที่มีกุ้งอยู่ในปาก

            เห็นไหม...ใครจะโกรธหมอนี่ลง ผมเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง เข็มสั้นชี้เลขสิบ นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มแล้ว หัวใจผมพองโต

            ผมจะได้เจอพี่อาร์มแล้ว

            ผมผละจากวงข้างล่าง ขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว ผมใส่ชุดมิดชิด กางเกงขายาวแบบหลวมๆ แต่ก่อนผมเป็นพวกชอบใส่กางเกงขาสั้น แต่พี่อาร์มบอกว่าหวง ตั้งแต่นั้นผมก็ใส่กางเกงขายาวมาตลอด น้ำหอมกลิ่นโปรดของผมก็เป็นกลิ่นขนมหวานเลี่ยนๆ ผมชอบกลิ่นนี้ เพราะพี่อาร์มอีกนั่นแหละ พี่อาร์มบอกว่าเวลาได้กลิ่นนี้จากตัวผมที่ไรเป็นอยากกินทุกที

            ชีวิตนี้ผมมีแต่พี่อาร์มจริงๆ

            ระยะเวลาขับรถไปสวนกลางเมืองใช้เวลาสิบนาทีกว่าๆ ดึกแล้วคนใช้ถนนเลยไม่เยอะ ผมลงมาจากห้อง ไม่อยากจะโม้ว่าวันนี้แต่งตัวซะหล่อเชียว เห็นทุกคนยังนั่งกินเหล้ากันอยู่เหมือนเดิมเลยไม่อยากเข้าไปขัด ผมเดินไปเปิดประตูบ้าน

            “ไปไหน” เสียงเข้มดังขึ้นด้านหลัง ผมชะงักมือที่กำลังเปิดประตูรถ

            “...ผมมีธุระ”

            สายตาที่จ้องมองมาวาววับ ความรู้สึกผิดแล่นพล่านในอก นี่ไม่ใช่บทในหนังที่ภรรยาแอบมีชู้ สวมเขาให้สามี แต่ถึงจะไม่ใช่ละครหรือหนัง บทบาทมันก็ไม่เปลี่ยนไปมากนัก ผมโกหกกัน และเขาก็เชื่อ...

            “ดึกแล้ว...กลับดึกไหม” ผมฟังจากประโยคที่ถูกตัดจนสั้น กันเป็นคนพูดน้อยมาก ระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมา ทำให้ผมพอเข้าใจว่า เขากำลังเป็นห่วงผมอยู่ เพราะนี้มันสี่ทุ่มครึ่งแล้ว

            “เอ่อ...ไม่มั้ง”

            “จะรอ”

            คำพูดสั้นๆ กันหมุนตัวเดินกลับไปแล้ว ผมมองแผ่นหลังเดินจากออกไปด้วยความหวาดวิตก กันจะรอผมกลับมา...ผมไม่รู้ว่าจะได้กลับมาไหม ไม่รู้ว่าพี่อาร์มจะเอายังไง ‘เรื่องของเรา’ เราสองคนอาจหนีไปด้วยกัน

            แต่...กัน...

            ผมสลัดเรื่องไรสาระออกจากหัว ตอนนี้ในหัวมีเพียงใบหน้าหล่อเหลาของพี่ชายในสายเลือด ถ้าหากเราเจอกัน มันจะเป็นยังไงนะ...

            ที่แน่ๆ ผมคงกอดพี่อาร์มแน่นๆ

            บอกเขาว่าผมรักเขา และคิดถึงเขา

            ผมเตรียมประโยคต่างๆ ไว้มากมาย รู้ตัวอีกที ร่างกายมันก็หยุดอยู่ตรงม้าหินอ่อนสวนสาธารณะเสียแล้ว ผมจ้องนาฬิกา ไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวัน เพ่งมองแล้วมองอีก

            “นิ่ม”

            สัมผัสอ่อนโยนที่ผมเฝ้าหามาตลอด กลิ่นน้ำหอมเคยคุ้น ร่างกายอุ่นหนา ไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ว่าชายคนรักกำลังกอดผมอยู่

            ความร้อนไหลแตะตรงไหล่ พี่อาร์มกำลังร้องไห้ แรงกอดรัดจากด้านหลังแนบแน่นกว่าเดิมเมื่อร่างสูงกำลังปล่อยน้ำตาให้ไหลรินออกมา

            “นิ่มอยู่ตรงนี้นะครับ อย่าร้องไห้ ที่รัก” ผมอยากร้องไห้ ทำใจแข็งฝืนปลอบคนตัวโต พี่อาร์มอยู่กับพ่อตลอดคงต้องทนเจอคำพูดเสียดสีต่างๆ นาๆ

            พี่อาร์มเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อคงทนรับมันเอาไว้อย่างเงียบๆ แต่คนตรงหน้าผม เป็นคนที่ผมรัก คนที่ผมรู้จักมาทั้งชีวิต เขาคงคิดเหมือนผม เขาถึงปล่อยน้ำตาที่อดกลั้นออกมา...แบบนี้

            “พี่ไม่อยากทนแล้ว พี่เกลียดพ่อ พี่รักนิ่มคนเดียว พ่อไม่เคยเข้าใจเราสองคน” เสียงพูดเบาๆ ข้างหู ผมหันหน้ากลับไป มองใบหน้าพี่อาร์มร้องไห้

            “นิ่มรักพี่อาร์ม”

            ผมบอกเขา คำพูดแรกที่ตั้งใจจะพูดกับพี่อาร์ม เราสบตา สัมผัสร่างกายของอีกฝ่ายอย่างห่วงแหน จากนั้น ริมฝีปากผมสัมผัสกับริมฝีปากเขา เราจูบกัน

            ร่างกายตอบสนองอย่างเคยคุ้น ริมฝีปากของผมเป็นของพี่อาร์มคนเดียว เหมือนกับที่เขาเป็นของผมเพียงคนเดียว ความร้อนจากการถูกสัมผัส ร่างกายตอบสนองโดยอัตโนมัติ ผมเอื้อมมือคล้องคอร่างสูงแกร่ง บดเบียดริมฝีปากแนบชิดกว่าเดิม เรียวลิ้นอุ่นภายในเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อ ผมถดตัวถอยจากสัมผัสดังกล่าว

            กลัว...กลัวว่าผมจะปล่อยตัวปล่อยใจ ให้พี่อาร์มสัมผัสตัวเองตามใจชอบ...ไม่ใช่ไม่ต้องการ...ทว่าบางสิ่งบางอย่างคอยกระตุ้นเตือนอยู่เสมอว่าการกระทำแบบนี้มันไม่สมควรเกิดขึ้น

            ผมไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร...แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

            เราได้สบตากัน

            เราได้โอบกอดกัน

            เราได้จูบกัน

            นั่นคือความปรารถนาของผม

            “อย่าร้องไห้สิค่ะ เด็กดี” ผมเงยหน้ามองร่างสูงให้เต็มตา พี่อาร์มที่กลับมาเข้มแข็งคนเก่า ในขณะที่ผมกำลังปล่อยให้น้ำตาร่วงหล่น

            “นิ่มหาทางออกไม่เจอแล้ว พี่อาร์มรู้ไหมพ่อให้นิ่มแต่งงาน...แต่งงานกับผู้ชาย! พี่อาร์มรู้ไหม!” ผมถามเขาเสียงดัง มือทุบอกเขา ระบายความคับแค้นใจ

            “รู้สิค่ะ นิ่มรู้ไหมวันนั้นนิ่มสวยมาก สวยจนพี่ตะลึงไปเลย”

            “แต่ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่พี่อาร์ม! พี่อาร์มไม่หึงนิ่มบ้างหรอ”

            “หึงทำไมคะ...ตรงนี้ของเรา เป็นของพี่ไม่ใช่หรอคะ”

            พี่อาร์มชี้ไปที่หน้าอกของผม โอบตัวผมไว้อีกครั้ง และมอบสัมผัสเล็กๆ ตรงริมฝีปากอีกหน ผมอาจบ้า คำพูดเพียงไม่กี่คำของเขาทำให้ผมรู้สึกเขินอาย มุดหน้าลงกับอกแข็งแกร่ง มือโอบกอดรอบตัวร่างสูงไว้แน่น พี่อาร์มสูงกว่าผมมาก เมื่อผมได้โอบกอดเขา จึงรู้สึกเหมือนได้รับการปกป้อง

            “พี่อาร์มดูจะไว้ใจนิ่มจังน่ะ” ผมล้อเขา

            “พี่ไว้ใจคนที่รัก แต่ถ้าวันหนึ่งนิ่มเปลี่ยนไป พี่คง...”

            “แค่นั่นก็พอแล้วครับ” ผมพูดแทรกประโยคต่อมา

            แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

            ผมพยายามย้ำเตือนหัวใจของตัวเอง ด้วยคำพูดนั้น

 

                                                                   >W e d d I n g<

ตอนที่ ๖ : ลักลอบ [ตอนจบ]

            วีออสสีเทาขับแล่นท่ามกลางความมืดอันเงียบสงบ เสียงเครื่องยนต์ครางเบาๆ ต่างกับใจอันระทึกของคนขับ ผมกำพวงมาลัยแน่น หวนนึกถึงร่างกายอบอุ่นของคนรัก และคำพูดเหมือนดังคำสั่งกลายๆ

            ‘หย่ากับผู้ชายคนนั้นให้ได้ภายในครึ่งปีนี้ ส่วนพี่จะทำงานเก็บเงินให้มากที่สุด เราจะหนีไปต่างประเทศด้วยกัน’

            ยอมรับว่าได้ยินคำพูดของพี่อาร์ม แวบแรกที่นึกถึงคือใบหน้าคมกร้านของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี คนที่นอนเคียงข้างมาตลอดเดือน ใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ทว่าการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ผู้ได้รับ รับรู้ถึงความรู้สึกห่วงใย

            บ่วงบางอย่างเริ่มพันธนาการร่างกายตัวเองไว้

            หัวใจ...ทั้งหมด...มอบให้ชายคนรัก ทว่าร่างกาย...ตามกฎหมาย...กลับเป็นของผู้ชายอีกคน

            เสียงในหัวใจย้ำเตือนสถานภาพของตัวเอง

            การทำแบบนั้น ไม่ต่างกับการสวมเขาให้สามี...แต่ว่า...กันมีไอรยาแล้ว

            ทั้งที่ควรจะดีใจ...มีความสุข...ทำไมถึงรู้สึกเจ็บปวด...มาก...ขนาดนี้

            ผมคิดว่าควรจะบอกเรื่องทั้งหมดให้กันรู้หรือเปล่า หากบอกไปก็รู้สึกกลัว...กลัวคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี...การแสดงออกของกันมากขึ้นเรื่อยๆ แม้เพียงเล็กน้อย...

            กันเริ่มรักผม

            เพราะผมคือคนที่เขาแต่งงานด้วย ส่วนผมมองเขาเป็นเพียงตัวขัดขวางความสุข มองเขาเป็นเพียงอุปสรรคความรัก คิดได้แบบนี้ เริ่มรู้สึกถึงความผิดชอบชั่วดี

            “ป่านนี้แล้วยังไม่กลับบ้านกันอีกหรอเนี่ย” ผมบ่น เมื่อเห็นแสงสว่างจากหลอดไฟในสวน

            เวลาตอนนี้ประมาณตีหนึ่งกว่าๆ คิดว่าทุกคนคงหลับหมด จึงพกกุญแจบ้านติดตัวไปด้วย ที่ไหนได้ กลับมาถึง ประตูหน้าบ้านเปิดอาซ่า ไฟทั้งหลังยังสว่างจ้า

            ผมแวะไปสวนก่อน ไม่มีใครนั่งอยู่ มีเพียงซากจานถูกทิ้งไว้ ผมขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกไม่พอใจนิดๆ

            “ให้ตายเหอะ”

            ปกติผมเป็นคนเจ้าระเบียบ ตามนิสัยครูทั่วๆ ไป จะปล่อยทิ้งไว้ก็ดูน่าเกลียด เก็บจาน เทขยะทิ้ง ดูเวลาปาเข้าไปตีสอง จานกองพะเนินยังไม่ได้ล้าง อยากล้างเสียตอนนี้ แต่หนังตาเริ่มปิด กองจานแยกไว้เป็นสัดส่วน พรุ่งนี้ป้าบัวตื่นมาคงเป็นคนล้าง

            ผมล้างมือ เดินไปห้องรับแขก เสียงโฆษณาทีวีดังแว่วออกมา ผมส่ายหัว เดินไปปิดทีวี พร้อมกันนั้น ผมเห็นสามีตัวเองนั่งถือแก้วเหล้าอยู่ตรงนั่น

            ตกใจ...กลัว

            ความรู้สึกหวาดหวั่นแล่นพล่าน

            “ไอ...ไอรายากลับไปแล้วเหรอ” ผมถามกันเสียงตะกุกตะกัก

            “ให้กลับไปนานแล้ว” เสียงที่ตอบกลับมาไม่เหมือนคนเมาสักนิด ทั้งๆ ที่ผมเห็นขวดเหล้าหมดไปเกือบขวด ผมเดินเลี่ยงไปปิดประตูบ้าน กลับมาอีกทีกันยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มีเพียงสายตาที่จ้องเขม็งมา

            “นอนก่อนนะ” ผมบอกเขา

            “ธุระ สำคัญมากหรือไง” น้ำเสียงที่ถามไม่ต่างกับเวลาพูดปกติ ผมไม่หันกลับไปมอง เดินเลยร่างสูงไป

            “ก็มากอยู่”

            “ทางไปยุงคงเยอะ รอยแดงเต็มคอ”

            ผมชะงักเท้า ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด หยุดนิ่งอยู่บนทางขึ้นบันได ก้มมองลำคอ รอยตีตราเป็นเจ้าของเด่นชัดเจน ผมลูบร่องรอยบนลำคอ ไม่กล้าหันไปเผชิญหน้ากับคนตัวโตบนโชฟา

            “นะ นั่นสิ...”

            “คราวหลังทายากันยุงด้วย” ผมรู้สึกอยากหัวเราะ อยากร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน เสียงของกันราบเรียบเสมอ ไม่รู้ว่าเขากำลังประชดหรือพูดจริง

            “ผมไปนอนก่อนนะ” ผมบอกเขา สาวเท้าขึ้นบันได หลบเลี่ยงการเผชิญหน้า

            ผมอาบน้ำลวกๆ เปลี่ยนเป็นชุดนอน ล้มนอนลงบนเตียง พยายามข่มตาหลับ แต่เสียงเปิดประตูทำให้ผมสะดุ้ง กลิ่นเหล้าคละคุ้งโชยเข้ามากระทบจมูก กันเดินไปโต๊ะเครื่องแป้ง เขาค้นหาของในนั้นสักครู่ ผมมองท่าทางเขาด้วยความมึนงง

           “เจ็บไหม” เสียงถามแผ่วเบา กันทรุดลงนั่งคุกเข่าข้างเตียง มือหนาไล้เบาๆ บนรอยแดงบนลำคอ

           “ไม่ ไม่เจ็บ” ผมตอบเขาเสียงสั่น

           “ทายา” พูดจบ กันบีบครีมในมือทาบนลำคอให้ มองเสี้ยวหน้าคมเข้มก้มทายาบนลำคออย่างตั้งใจ

          ผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดี

          กันกำลังประชด...หรือผมกลัวจนคิดมากไปเอง

          “ดึกแล้ว นอนเถอะ” เขาพูด พลางลุกขึ้นไปปิดไฟ กลิ่นเหล้ายังคงโชยออกมาจากร่างสูง ผมพยายามข่มตาให้หลับ เตียงอีกด้านยุบลงไปพร้อมกับร่างสูงที่นอนลง

          ความรู้สึกเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัว ณ ตอนนี้ คือ ความรู้สึกผิด ต่อผู้ชายที่ชื่อ กัน

 

                                                                  >W e d d I n g<

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2014 01:38:33 โดย tensoplata »

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
โอ้ยยย สงสาร ถ้านิ้มรักกันขึ้นมา แล้วอาร์มหล่ะ สงสัยคงต้องให้พ่อยักษ์  :mew4: :mew4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: วิวาห์ลวงรัก (ตอนที่ ๖ : ลักลอบ)
« ตอบ #9 เมื่อ: 20-04-2014 18:56:30 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ andear

  • ยาราไนก๊ะ ??
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-1
 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ PoPuAr

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
เมียจะลักลอบเล่นชู้ กันก็ยังใจเย็นอยู่ได้ น่าสงสารกันนะ คงรักนิ่มมาก แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้
เพราะตัวอยู่กับเขา แต่ใจอยู่กับอีกคน

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
สงสารทุกคนเลย T.T

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
โอ๊ยตายยยย
ดราม่าลงตับบบบบ
T T
สงสารกัน สงสารนิ่ม สงสารอาร์ม

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
สงสารกันอะ


พ่อใจร้ายคนที่ต้องเจ็บปวดหลายคน



รออ่านตอนต่อไปค้าบ

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
ชอบมากๆๆๆๆ
ชอบการดำเนินเรื่อง
ชอบภาษา
ชอบกัน ที่ซื่อสัตย์และรักษาสัญญา การวางตัว บุคลิกโดยเฉพาะตอนหึง
ชอบนิ่ม ที่ยังรักมั่นคง รู้ว่าตนทำผิดและมีความละอายใจ
ชอบพิช เป็นเพื่อนที่ดี
ชอบไอ  จริงใจ ซื่อตรง

ชอบที่สุดคือ คนเขียนเรื่องนี้  :L2:
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ เอาไว้เป็นยาคลายเครียด


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :เฮ้อ: ใครผิด?

ออฟไลน์ tensoplata

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่ ๘ : คำสารภาพ

                บางครั้งผมรู้สึกสนุกสนานเวลาหนังหรือละครฉายตอนที่พระเอกกับนางเอกกำลังแอบลอบพบกัน มันเป็นความรู้สึกตื่นเต้น เร้าใจ หากความเป็นจริงมันตรงกันข้าม มีเพียงความหวาดกลัว หวาดหวั่น

                “เหม่ออีกแล้ว” คำพูดเบาๆ พร้อมรอยยิ้มอบอุ่น ผบแนบแก้มกับฝ่ามือใหญ่

                “พ่อจะรู้ไหม” ผมถามชายร่างสูงข้างกาย

                “รู้ไปก็เท่านั้น พี่ทำให้พ่อได้แค่นี้ ที่ผ่านมาพี่อดทนมากแค่ไหน นิ่มก็รู้” เสียงถอนหายใจจากคนข้างกาย

                พี่อาร์มใช้กำปั้นทุบแรงๆ ตรงคอนโซลรถ เสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิด ก่อนหน้าที่เราจะแอบออกมาด้วยกัน ผมฝากกระดาษเปล่าข้อความให้ประชาสัมพันธ์ข้างล่าง พร้อมยัดเงินนิดหน่อย ข้อความข้างในเป็นรหัสตัวเลขภาษาอังกฤษแบบกลับด้าน อาจจะง่ายมากๆ ถ้าจะถอดข้อความ แต่สำหรับคนอื่นมันคงไม่มีความหมายอะไร

                พี่อาร์มรู้ว่าไม่สามารถไปไหนมาไหนโดยปราศจากการติดตามของการ์ด เขาจึงตอบตกลงเลี้ยงดินเนอร์ผู้หญิงที่พ่อเลือกมาให้ พ่อปล่อยให้พี่อาร์มมา แม้จะแปลกใจ แต่ก็นั่นแหละ การเลี้ยงดินเนอร์จบลงอย่างรวดเร็ว พี่อาร์มปลีกตัวมาหาผม เรามีเวลาให้กันไม่เกินเที่ยงคืน เพราะพี่อาร์มต้องกลับบ้าน แต่เท่านั้นก็เพียงพอสำหรับเรา

                “ไอศกรีมน่ากินนะ” คำพูดจากผู้ชายร่างสูง เรานั่งกินไอศกรีมกัน ร้านคาเฟ่เล็กๆ บรรยากาศสบายๆ

                “ของตัวเองก็มี”

                “แต่อยากกินของนิ่ม อร่อยกว่านี่ค่ะ” ผมแพ้คำพูดค่ะๆ ของพี่อาร์มจริงๆ ยิ่งเคยชินกับมันเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกเขินอายมากขึ้นเท่านั่น

                ผมมองพี่อาร์มลุกขึ้นมานั่งข้างผม เราเลือกที่นั่งแถบมุมๆ ตรงข้ามหน้าผมเป็นกำแพง ด้านหลังเป็นโต๊ะนั่ง และผมพอเข้าใจว่าพี่อาร์มต้องการอะไร เขาอุ้มผมให้นั่งบนตัก เราสองคนนั่งเบียดเกาอี้ตัวเดียวกัน ผมหันไปจ้องพี่อาร์ม รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว เขาเลียไอศกรีมแถวริมฝีปากผม อาจใช้คำว่าเรากำลังจูบกัน แต่ความจริงพี่อาร์มกำลังกินไอศกรีมอยู่ต่างหาก

                “ไอศกรีมรสกาแฟนี่หวานดีนะ”

                ผมงุดหน้ากับอกแกร่ง ลมหายใจขาดห้วง เขินอายกับการกระทำกลางที่สาธารณะ ถึงคนอื่นจะไม่เห็น แต่ผมเห็นนี่

                “กินนี่ให้หมดด้วย อร่อยดีนัก” ผมยื่นแก้วไอศกรีมที่เหลือให้พี่อาร์ม เขาหัวเราะ

                “ไอศกรีมในถ้วยธรรมดาๆนี้ จะอร่อยสู้ไอศกรีมที่พี่กินเมื่อกี้ได้ยังไง”

                เรานั่งกินไอศกรีมพลางหยอกล้อ ผมรู้สึกเหมือนเราย้อนกลับไปวันวาน วันคืนที่เรารักกันอย่างหวานชื่น มีเพียงเรา และความรักของเรา
                 กินไอศกรีมเสร็จพี่อาร์มชวนผมไปเดท

                “นิ่ม อยู่นิ่งๆ” เสียงห้าวหยุดไว้ ผมหันหลังกลับไป มองพี่อาร์ม เขาทรุดตัวลงกับพื้น เข่าข้างหนึ่งแตะพื้นปูนซีเมนต์ มือหนาเอื้อมมาจัดระเบียบขากางเกงที่หลุดลุ่ย

                “ขอบคุณครับ”

                “ขากางเกงลากพื้นหมดแล้ว โตมีงานมีการทำยังทำตัวเหมือนเด็กๆ” ร่างสูงเขกหัวผมเบาๆ

                “นิ่มเป็นเด็กกับพี่อาร์มคนเดียวเท่านั้นหรอก”

                เรารู้จักกับมาตั้งแต่จำความได้ เราเริ่มต้นด้วยความรักของพี่น้อง คอยห่วงใยกันและกัน จนเริ่มถลำลึกมาเป็นความรักฉันท์ชายหญิง ผมรักผู้ชายคนนี้

                คนที่พร้อมจะดูแลผมตลอดเวลา

                เพียะ!

                “อยู่นิ่งๆ สิพี่อาร์ม” ผมดุพี่อาร์มเสียงเข้มกับมือปลาหมึก

                “ที่รัก...ยั่วแบบนี้เดียวจบที่เตียงนะคร้าบ”

                ผมหัวเราะ เบียดตัวเองชิดอกแกร่ง ได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคย เงยหน้ามองพลุหลากสีบนท้องฟ้า เสียงเพลงรื่นเริงจากงานวัดดังสนั่นหวั่นไหว ตลกไหมกับการมาเดทที่งานวัด สำหรับผมเฉยๆ เพราะพี่อาร์มมักมีเรื่องเซอร์ไพร์ซบ่อยๆ อย่างคราวที่แล้วเราไปเดทกันฟาร์มจระเข้ เชื่อผมเถอะ คนที่กำลังกอดผมอยู่เนี่ย ไม่มีเซนต์เรื่องการเที่ยวกับแฟนเลย

                “คิดอะไรอยู่คะ” คำถามพร้อมแรงกอดรัด

                “เดทครั้งที่แล้ว พี่อาร์มพานิ่มไปดูคุณอัลลิเกเตอร์ แถมยังซื้อเปลือกไข่ไอ้เข้มาโชว์ไว้ในห้องอีก ตัวทำเขาอยากบ้า”

                “นึกว่าชอบอ่ะ เห็นมองมันบ่อยๆ”

                “มองเพราะกลัวต่างหาก” ผมตอบเขาเสียงสะบัด นั่งมองดูพลุที่จุดต่อเนื่องอย่างคึกคัก

                มีความสุขจัง...

                “...นิ่ม”

                “อือ”

               “ผู้ชายคนนั้น เขาเป็นยังไง” คำถามขัดกับบรรยากาศ ผมหยุดชะงัก พี่อาร์มอยากรู้เรื่องของกัน

               “ก็ดีนะ เขามีแฟนแล้วล่ะ”

               ผมพูดปด...อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจของพี่อาร์มและตัวผมเอง

              “ แต่เขายอมแต่งงาน...” เสียงถามคาดคั้นสงสัย

              “เรื่องธุรกิจไง พี่อาร์มอย่าคิดมากนะ นิ่มจะทำตามสัญญา เอาใบหย่าจากเขาให้ได้ภายในครึ่งปี”

              “...”

              “อย่าทำหน้าเครียดสิ เอางี้ ถ้าเขาไม่ยอมหย่า นิ่มฟ้องศาลเลยดีมะ”

              จบคำพูด พี่อาร์มเริ่มยิ้มออก ผมมองรอยยิ้มเขา ใจเต้นตึกตัก เห็นกี่ที่ก็ยังไม่ชินอยู่ดี ผมเอื้อมมือจับใบหน้าของพี่ชาย สัมผัสริมฝีปากพี่อาร์มอย่างอดใจไม่ไหว

              “ยั่วพี่เหรอครับ”

              “เปล่ายั่วนะ นิ่มแค่อยากจูบ” ผมตอบพี่อาร์ม ยิ้มเขิน

              “งั้นตาพี่จูบบ้าง เอ้า หลับตา...เจ้าชายกำลังมอบจุมพิตแสนหวานแล้ว”

              “ฮะๆ ตลก...อื้อ” เสียงพูดถูกกลื่นหายไปในลำคอด้วยริมฝีปากร้อนผ่าวที่ทาบทับเอาไว้ มีเพียงเสียงลมหายใจดังระรัว แข่งกับเสียงเต้นตึกตักของหัวใจ

 

                                                                >W e d d I n g<

 

                เที่ยงคืนสิบห้านาที

                ผมมองแสงไฟในบ้านสว่างจ้า ใจเริ่มเต้นระทึกด้วยความกลัว...

                ประตูบ้านไม่ได้ล็อค คนในบ้านยังไม่นอน...

                “คุณนิ่ม! หายไปไหนมาค่ะ คุณผู้ชายกังวลแทบแย่ ป้าอยากจะบ้า”

                “เอ่อ...นิ่มไปทำธุระนะครับป้าบัว” ผมตอบ ป้าบัวมองมาตรงผมด้วยสีหน้าห่วงใย เหมือนกับผู้ชายอีกคนไม่ผิด

                “โธ่ อย่างน้อยก็รับโทรศัพท์บ้างสิค่ะ”

                “นิ่มขอโทษ นิ่มปิดเสียงโทรศัพท์ไว้นะ”

                “ป้าบัวไปนอนก่อนเถอะครับ” ไม่ใช่ผมพูด แต่เป็นชายร่างสูงผิวแทนสามีตามกฎหมาย

                ป้าบัวทำหน้าอิดออด แต่ก็ยอมผละไป นี่ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว คงไม่หลับไม่นอนเพราะเป็นห่วงผมแน่ๆ

                “เป็นห่วง รู้บ้างไหม” คำถามเรียบนิ่งจากกัน

                “ขอโทษ...ผมมีธุระ”

                กึก...

                ผมได้ยินเสียงแปลกๆ จากชายร่างสูง กันขบฟันแน่นจนเป็นสันนูน นัยน์ตาวาววับขึ้นมาในทันที แต่ไม่นานมันก็อ่อนแสงลง เขาหันหลัง ขึ้นไปบนห้อง ใช้เวลาเพียงไม่กี่วิก็ลงมาพร้อมครีมกระปุกใหญ่

                “รอยช้ำตรงนี้ เจ็บมากไหม...คราวที่แล้วทายาให้ยังไม่หายอีกหรอ” คำพูดยาวๆ พร้อมกับมือหนาถูแรงๆ ที่ลำคอผม

                โอเค...มันไม่สนุกเลยสักนิด ท่าทางของกันทำให้ผมเป็นบ้าแล้วจริงๆ เขาโง่หรอ? รอยคิสมาร์กพวกนี้…

                “กัน! ผมเจ็บ” ผมบอกเขา มือหนาถูรอยช้ำแรงเกินไป

                “ขะ ขอโทษ” 

                “ผมง่วง” ผมบอกเขาเสียงห้วน เดินขึ้นบันได อาบน้ำแต่งตัว ล้มตัวลงนอนบนเตียง เช่นเดียวกับชายร่างสูง ผมพยายามข่มตาให้หลับ

                มีเรื่องมากมายให้คิด

                ผมอาจเป็นคนเลว...เพราะผมตัดสินใจจะบอกเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง...ตอนนั้นผมตัดสินใจโดยไม่ยั้งคิด

                “ธุระของผม...ผมไปเจอพี่อาร์มมา คนที่ผมรัก...กัน...ผมอึดอัดนะกับสภาพของเราตอนนี้ คุณเปลี่ยนไปจากวันแรกที่เจอ คุณห่วงผมมากขึ้น อาจถูกว่าผมเป็นภรรยาคุณตามกฎหมาย แต่คุณก็รู้ว่าใจผมนะเป็นของพี่อาร์ม...คุณมีไอรยา ผมมีพี่อาร์ม...เรามาจบเรื่องนี้ดีไหม...กัน” ผมถามเสียงแผ่ว รอคำตอบจากเขา

                เงียบ...มีเพียงความเงียบที่ปกคลุม

                เขย่าร่างสูงเบาๆ เปิดไฟตรงหัวเตียง...

                กันหลับแล้ว...

                ผมถอนหายใจออกมาดังเฮือก รู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ปิดไฟหัวเตียง ซบหน้าลงกับหมอน เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนผมยังมีความสุข หัวเราะร่าเริง แต่ตอนนี้มันเศร้าจนอยากร้องไห้ นอนร้องไห้เสียงแผ่วในความมืด ระบายความเศร้าให้ออกมาด้วยน้ำตาเม็ดสีใส...

                ...ไม่ต่างกับใครอีกคนที่นอนอยู่ข้างกาย


 

                                                               >W e d d I n g<


บางครั้งคนเราก็ยอมโง่ เพื่อรักษาคนรักไว้ข้างกาย

ออฟไลน์ tensoplata

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่ ๙ : คำโกหกกับคนแกล้งโง่

            ครั้งหนึ่งในคลาสเรียน ผมสอนประวัติศาสตร์ของอเล็กซานเดอร์มหาราช มีนักเรียนถามว่า อเล็กซานเดอร์อายไหมที่คนรุ่นหลังรู้ว่าเขาเป็นเกย์ ทั้งๆ ที่เป็นกษัตริย์ชาตินักรบ

            ผมคิดอยู่ครู่ ตอบคำถามนั้นด้วยรอยยิ้มละไม ‘ไม่อาย เพราะความรักไม่จำกัดเพศ วัย สถานะ คนรอบข้าง คำนินทา ดูถูก มันไม่สำคัญเท่าความรักที่อเล็กซานเดอร์มีต่อเฮพาเอสเซียน ความรักเป็นเรื่องหัวใจของคนสองคน’

            ความรัก ประกอบด้วยคนสองคน ผูกพันจนเป็นความรู้สึกที่เรียกว่ารัก และพัธนาการเป็นโซ่คล้องกาย เรียกว่าความห่วงใย

            พันธนาการคนสองคนไว้

            ยิ่งอยากหลุดพ้น โซ่ยิ่งรัดแน่น

            เสียดสี เป็นแผล จนเจ็บปวด

            “ตกลงเอาไง สีไหนว่ามา...นิ่ม?”

            “อ๊ะ อืม..สีเขียว” ผมตอบ แล้วมองนักกีฬาสองสีแข่งกันฉุดกระชากเชือกเส้นหนึ่ง

            วันนี้เป็นงานกีฬา คล้ายๆ กับกิจกรรมรับน้องไปในตัว พวกรุ่นพี่แบ่งรุ่นน้องออกเป็นสี่กลุ่ม เขียว แดง ฟ้า เหลือง ไม่แบ่งแยกเป็นคณะ ใครจับได้สีไหนก็อยู่สีนั่น

            “งั้นพี่ลงสีเหลือง ใครแพ้เคเอฟซีชุดสุดคุ้ม” คนที่พูดอยู่กับผมเป็นเพื่อนร่วมงาน ค่อนข้างสนิทมากทีเดียว เขาชื่อแทน เป็นรุ่นพี่ผมสองปี

            นักกีฬาสองสีฉุดกระชากเชือกไปมา ผมเลือกสีเขียวเพราะดูท่าว่าจะแรงเยอะกว่า...แต่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ไม่นานสีเหลืองก็เป็นฝ่ายชนะ ผมเบะปากหน่อยๆ

            การพนันเป็นสิ่งไม่ดี ถ้าชนะก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าแพ้นี้สิ

           “ชุดสุดคุ้ม 399 นะ โอเคไหม ฮ่าๆ” เสียงพี่แทนหัวเราะน่าเกลียดมาก

           “199 ก็พอแล้วมั้ง...ตะกละ”

            ปึ๊ก!

           เสียงมือกระทบหัว ผมแทบหน้าคะมำ พี่แทนแรงควายจริงๆ ตบมาได้

           “เจ็บนะพี่” ผมบ่นนิดหน่อย ลูบหัวตัวเอง

           ผมพาพี่แทนมาเลี้ยงเคเอฟซี มองเงินในกระเป๋าแล้วเสียดายจริงๆ

            “นั่งหน้ามุ่ยเป็นตูด บ้านรวยไม่ใช่หรอเรานะ” ผมมองเพื่อนร่วมงานกินไก่ ไม่เกรงใจคนจ่ายเงิน

            “บ้านนิ่มรวย แต่นิ่มจนหนิ”

            “งั้นบ้านสามี ได้ข่าวเป็นเจ้าของบริษัท”

            “นั่นของเขา ไม่ใช่ของนิ่มสักหน่อย”

            ผมตอบ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คนอื่นรู้ว่าผมกับกันแต่งงานกับกัน มันก็คงเป็นเรื่องแปลก ผู้ชายสองคนแต่งงานกัน

            “เงินสามีถ้าไม่คุมให้ดี หลุดไปถึงมืออีหนูไม่รู้ด้วยนะ”

            “นั่นก็เรื่องของเขาอีกนั่นแหละ” ตอนตอบคำถามผมใส่อารมณ์ในน้ำเสียงเล็กน้อย

            “ใจกว้างจริง นิ่มเอ้ย...ถามจริง คนที่แต่งงานด้วยเนี่ย รักจริงหรือเปล่า ตอนพี่รู้ข่าวยังงงๆ ไปตกลงปลงใจกันท่าไหน” พี่แทนถามสีหน้าจริงจัง

            “ท่าปกติครับ พ่อสั่งให้แต่ง”

            “กวนละเรา”

            “เฮ้อ...” ผมถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน

            “คนไม่รักกัน อยู่ด้วยกันมันไปไม่รอดหรอกนิ่ม พี่ไม่รู้ว่าคนอย่างพวกนิ่มนะ ใช้ชีวิตกันแบบไหน แต่พี่ขอเตือนด้วยความหวังดี อย่าฝืน อะไรที่มันควรจะปล่อยวางก็ปล่อยซะ” คำพูดยาวเหยียดจากพี่แทน ผมนั่งฟัง เขี่ยหลอดในแก้วไปมา

            คนอย่างพวกผม...เกย์...พี่แทนใช้คำพูดได้ถนอมน้ำใจสุดๆ

            “มันเป็นสิ่งที่ผิดพลาด...ถ้าวันนั้นพ่อไม่เข้ามาเห็นผม...”

            กับพี่อาร์มจูบกัน...ผมย้อนนึกไปถึงวันที่พ่อรู้ว่าผมกับมีอาร์มมีอะไรเกินเลยพี่น้อง พ่อรับฟังพวกเราอธิบายความรักผิดจารีตด้วยใบหน้าถมึงทึง

            พ่อโกรธมาก...โกรธมากที่สุดในชีวิต พ่อตบหน้าพี่อาร์ม แต่ตอนหันมาเล่นงานผม พ่อชะงักมือ...แล้วร้องไห้ น้ำตาของพ่อไหล พ่อคุกเข่าลงต่อหน้าผม ขอร้องให้โกหกว่ามันเป็นเรื่องไม่จริง...ตอนนั้นผมถือทิฐิตะโกนใส่หน้าพ่อ บอกว่าเรารักกัน นั้นคือความจริง พ่อเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้

            ...และพ่อก็เปลี่ยนไป พ่อจับผมแยกกับพี่อาร์ม ผมรู้มาบ้างว่าตอนนั่นพ่อซ้อมพี่อาร์มด้วย พี่อาร์มเป็นคนไม่ยอมใคร ปกติเขาต้องสู้ แต่เป็นพ่อแท้ๆ พี่อาร์มถึงยอม

            เหตุการณ์นั่นทำให้ชีวิตผมต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ผู้ชายที่ชื่อ กัน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวงโคจรชีวิต...ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ข้างกายผม มักจะมีเขาอยู่ข้างๆ เสมอ...

            “นิ่มกลับบ้านก่อนนะพี่ เย็นแล้ว” ผมบอก เก็บข้าวของบนโต๊ะ

            “เฮ้ย นิ่ม...เดียว...” เสียงพี่แทนตะโกนพร้อมอาหารในปาก ผมเดินออกจากร้าน เปิดประตูวีออสสีเทา และเหยียบคันเร่ง

            จอดรถนิ่งๆ หน้าบ้าน ไม่นานประตูถูกเปิดออก ผมเดินเข้าบ้าน ถอดรองเท้า เข้าไปในห้องนั่งเล่น กันนั่งอยู่ตรงนั้น เขาดูทีวี ในมือถือดัมเบลล์ยกน้ำหนัก

            “วันนี้กลับเร็วนะค่ะคุณนิ่ม”

            “สวัสดีครับป้าบัว” ผมยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า

            “เห็นคุณผู้ชายพูดถึงอยู่”

            “ครับ?” ผมขึ้นเสียงสูงเชิงคำถาม

            “ป้าบัว ผมอยากกิกเต้าทึง” เสียงพูดเรียบเฉย ผมเงยหน้า มองกันเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา

            “เดียวป้าเอามาให้ รอสักครูนะคะ” ป้าบัวกุลีกุจรเข้าห้องครัว

            ผมมองผู้ชายตรงหน้า เขามองผมนิ่มๆ ไม่นานร่างสูงก็สัมผัสเบาๆ ตรงฝ่ามือ กันจูงมือผมไปนั่งโต๊ะรับแขก ผมทรุดตัวลงนั่ง ผละมือออก

            “พ่อกับแม่อยากเจอนิ่ม”

            “ผม? พ่อแม่คุณอยากเจอผมหรอ” ผมถามกลับอย่างมึนงง นึกถึงชายสูงวัยผู้มีรอยยิ้มใจดี พ่อของกัน

            “อืม...ท่านอยากรับขวัญลูกสะใภ้”

            “...วันไหน” ผมถาม ไม่ขัดข้องอะไรกับการเจอญาติผู้ใหญ่

            “เช้าวันเสาร์-อาทิตย์ เชียงใหม่” ผมพยักหน้ารับรู้ คงต้องไปเตรียมตัวเก็บเสื้อผ้า

             -ก็มันเหงา....ใจเหลือเกิน หัวใจก็ดวงเท่าเดิม แต่เหมือนอะไรมันขาดหายไป—

            ริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้น พร้อมๆ กับที่ป้าบัวยกเต้าทึงมา ผมมองชื่อคนโทรเข้า /sweet heart/ ผมหัวเราะเบาๆ กับชื่อที่เมมไว้ พี่อาร์มซื้อซิมใหม่ อย่างน้อยพ่อก็ไม่รู้ว่าเราแอบติดต่อกัน ผมลุก เดินเลี่ยงไปทางสวนหลังบ้าน

            “ว่างจากลูกคุณหญิงนิรดาแล้วหรือไง ถึงได้โทรมา” ผมล้อคนปลาย

            ‘หึ...กว่าจะหลบออกมาได้ พี่เกือบเสียตัวให้แม่นั่นหลายรอบแล้ว’ พี่อาร์มตอบ น้ำเสียงหงุดหงิด

           “แล้วเสียหรือเปล่าล่ะ” ผมย้อมกลับเสียงใส 

           ‘แค่เกือบครับ...แต่กับคนที่คุยด้วยเนี่ย เสียทั้งตัว เสียทั้งใจ’ ผมอมยิ้มกับคำหยอด

          “โทรมามีอะไร” ผมพูดเสียงดุหน่อยๆ

          ‘เสียงดุเป็นแม่เสือ เมียใครว่ะ’

          ผมหัวเราะ จริงอยู่ที่เราเป็นพี่น้อง แต่สำหรับผมกับพี่อาร์ม สถานะของเราคือคนรัก ผมอาจหึงพี่อาร์ม ดุพี่อาร์ม ตามประสาคู่รักทั่วๆ ไป มันก็คือเรื่องปกติ

          “เมียใคร อย่าให้ตอบ เดียวงอนนิ่มอีก”

          ‘แล้วตกลงเมียใคร’ น่าน เริ่มขึ้นเสียงแล้ว เอาแต่ใจจริงๆ

          “เมียใครไม่รู้ แต่รักคนคุยด้วย”

          ‘รักมากไหมคะ’

         “พอๆ โทรมาหานิ่มมีอะไรหรือเปล่า” ผมขัดคนปลายสาย โทรคุยแบบนี้ อีกชั่วโมงก็คงไม่จบ พาออกนอกทะเลเรื่อย

         ‘เสาร์นี้ไปเที่ยวกันนะครับ พ่อไปดูงานที่สิงค์โปร’ วันเสาร์ ผมเงียบไปครู่ วันเดียวกับที่กันจะพาผมไปเชียงใหม่...

         “พี่อาร์ม นิ่มต้องขึ้นเหนือไปหาพ่อแม่กันวันเสาร์-อาทิตย์นี้” ผมกลั้นใจพูด

         ‘...ไม่ให้ไป!’ พี่อาร์มเข้าโหมดจริงจังแล้ว ผมถอนหายใจเอื้อมๆ

        “แต่...”

        ‘พี่ไม่ให้นิ่มไป ใครจะปล่อยคนรักตัวเองไปเที่ยวกับชู้!’

        “พูดเบาๆก็ได้! นิ่มก็ไม่อยากไปเท่าไหร่ แต่มันน่าเกลียด ถ้าปฏิเสธ”

        ‘ถ้าเกิดมันทำอะไรนิ่ม...’ ปากหาเรื่องอีกแล้วที่รักผม

        “นิ่มว่าเราคุยเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้วนะ ถ้ากันจะทำอะไรนิ่มเขาทำไปตั้งนานแล้วหรอก พี่อาร์มบ้า!” ผมตวาดเบาๆ

        “...เฮ้อ แต่พี่อยากเจอนิ่มนี่ครับ” คนปลายสายตอบเสียงอ่อน ผมถอนหายใจ

        “เดียวนิ่มคิดดูก่อน”

        ‘คิดถึงนะ’

        “อือ เดียวโทรกลับ” ผมตอบ กดตัดสาย

        พี่อาร์มงี่เง่ามากๆ เวลาหึง แถมยังเจ้าอารมณ์เหมือนคุณชายอารมณ์ร้อน ผมส่ายหัวหวืด รู้สึกปวดหัวตุบๆ

        “อ๊ะ กัน!” ผมอุทานเมื่อเห็นชายร่างสูงถือแก้วเต้าทึง ผมเดินไปหากัน

        “...” มีเพียงความเงียบ

        “วันเสาร์คุณไปเหนือตอนเช้าใช่ไหม” ผมเริ่มบทสนทนา

        “อืม”

        “เราแยกกันไปได้ไหม ผมจะไปไฟท์ตอนเย็นๆ เดียวผมจองตั๋วเอง”

        “ทำไม?” ผมรู้สึกหวั่นกับน้ำเสียงที่ถาม

       “เอ่อ...งานด่วนนะ” ตอบเสียงตะกุกตะกัก เลี่ยงการสบตา

       ...ผมโกหก

       “จะรอรับที่สนามบิน” กันเดินกลับเข้าบ้าน

       ผมมองแผ่นหลังหนากว้างเดินจากไปเงียบๆ...

       มันเป็นความรู้สึกแย่...

       บางครั้ง รู้สึกผิดกับการกระทำหน้าไหว้หลังหลอก...

       แต่...มันไม่มีทางเลือกให้ผมมากนัก...

       ถ้าเลือกได้ ผมคงไม่ทำ...แบบนี้   

        …และ...ถึงจะมีทางเลือก...ผมก็ยังคงเลือกที่จะทิ้งสิ่งของที่สำคัญน้อยกว่า เพื่อรักษาสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับตัวเองเอาไว้...

 

 

                                                                  >W e d d I n g<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2014 01:43:16 โดย tensoplata »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: วิวาห์ลวงรัก (ตอนที่ ๖ : ลักลอบ)
« ตอบ #19 เมื่อ: 21-04-2014 01:04:29 »





ออฟไลน์ tensoplata

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่ ๑๐ : สัมผัสเบาๆ

            ย้ายไฟท์บินไปเชียงใหม่เร็วกว่ากำหนด ในอกหนักอึ้งกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทั้งที่อุสส่าห์ได้เจอ แต่ต้องมาทะเลาะด้วยเรื่องไร้สาระ

            มองข้อความถูกส่งมาเรื่อยๆ ง้องอนตามประสาคู่รักทั่วไป แต่มันอดจะโมโหไม่ได้

            เวลาอยู่ด้วยกัน ต้องแอบพบ ลักลอบ แทนที่จะมีความสุข กลับทุกข์

            และมาทะเลาะกันด้วยเรื่องที่ว่า ‘นิ่มเปลี่ยนไป’

            ทั้งๆ ที่คำว่าเปลี่ยนของไอ้บ้างี่เง่านั้นก็คือ ผมไม่ยอมให้มันกินเหล้า เพราะกลัวขับรถไม่ไหว

            ไอ้งี่เง่า...ด่าในใจจนไม่รู้จะด่าอะไร

            /ที่รักครับ ขอโทษนะๆ คืนดีกันเถอะนะเด็กดี/

            /อย่างอนมากได้ไหมครับ คนง้อใจไม่ดี/

            หลายๆ ข้อความถูกส่งและถูกลบทิ้งไปรวดเร็วพอๆ กับอ่าน

            ลำพังแค่ว่านิ่มเปลี่ยนไปยังพอว่า ที่โกรธสุดๆ คือไอ้คำพูดปากไม่มีหูรูด หลงมันแล้วหรือไง ฟังไปทีนี้เจ็บจนกระอัก

            ไอ้พี่อาร์มบ้าบอปัญญาอ่อน

            หยิบมือถือกดส่งข้อความกลับไป จะงอนแล้วหนีหายไปเฉยๆ ก็อดเป็นห่วงคนรักไม่ได้ ยิ่งขี้หึง เหมือนหมาบ้า!

            /สำนึกผิดซะ นิ่มจะไม่รับโทรศัพท์จนกว่าตัวจะสำนึกผิดได้จริงๆ ถ้าโทรมา โกรธ!/ ข้อความไม่ถึงบรรทัด จริงจังและอัดแน่นด้วยอารมณ์โมโห

            ไอ้พี่อาร์มมันบ้า...โตจนมีงานมีการทำ ไม่ใช่เด็กมหาลัย ยังหึงมืดฟ้ามัวดิน อะไรนิดหน่อยเป็นค่อนแคะ อยากด่าให้หายแค้น

            ...แต่มุมปากกลับยกยิ้มขึ้นบางๆ

            ...โกรธไม่ลง...

            เครื่องบินเป็นยานพาหนะที่รวดเร็วที่สุดในตอนนี้ และมันก็พาผมมาถึงเชียงใหม่ได้เร็ว พอๆกับความคิดวุ่นวายไร้สาระ

            ผมโทรบอกให้กันมารับ นั่งรอไม่เกินครึ่งชั่วโมง ร่างสูงของเขาก็ปรากฏ วันนี้กันใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนต์ขายาว เป็นลุกค์สปอตแมน

            ผู้ชายคนนั้น...สามีของผม เขาเด่นจริงๆ ผู้หญิงหลายคนเหลียวมองจนน่าเกลียด แต่คงเป็นเพราะบรรยากาศรอบตัวดูอึมครึม ถึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เท่าไหร่

            “ขึ้นรถสิ”

            เราพูดกันไม่กี่คำ ผมตามเขาขึ้นรถ กันไม่ถามว่าทำไมมาเร็วกว่ากำหนด ส่วนอารมณ์ผมค่อนข้างคงทีแล้ว อาจกังวลนิดหน่อยกับการเจอพ่อแม่ของกัน วันแต่งงาน...ผมแทบไม่ได้คุยกับพวกเขา...นี่อาจเป็นการพบกันแบบเป็นทางการในฐานะ ลูกสะใภ้

            ผม...รู้สึกรังเกียจ คำจำกัดความแบบนั้น ไม่ใช่ไม่รู้ว่าพฤติกรรมของตัวเอง...น่ารังเกียจ...แต่...ตอนแรก...กันก็ไม่ได้แต่งงานกับผมเพราะความรัก...เพราะงาน เพราะเงิน...นั่นคือสิ่งที่ผมรู้

            เราแต่งงานกันในนาม...

            ไม่มีความสัมพันธ์ทางร่างกาย...

            นั่นคือ...ความจริง

            “มาแล้วหรือจ๊ะ หนูนิ่ม” เสียงเรียกอ่อนโยน ผมมองแม่กันเต็มตา เธอเป็นหญิงสูงอายุที่มีความสง่างาม และยังมีเค้าความเมตตาเต็มเปี่ยม

            “สวัสดีครับ คุณหญิง” ผมยกมือไหว้

            “เรียกแม่เถอะจ๊ะ โตขึ้นเยอะเลยนะหนูนิ่ม น่ารักเหมือนตอนเด็กไม่มีผิด” ผมรับฟังอย่างมึนงง

            “เอ่อ”

            “เรื่องมันนานมาแล้ว หนูนิ่มจำไม่ได้หรอกคุณ คราวที่แล้วที่เจอ นิ่มยังจำพ่อไม่ได้เลย” เสียงห้าวเข้มจากอีกคน...พ่อของกัน คนที่มีรอยยิ้มใจดีที่ผมเจอในวันงานแต่ง

            “เราเคยเจอกันมาก่อนหรือครับ” ผมถาม พลางมองชายหนุ่มข้างกาย

            ผมจำไม่ได้ เคยเจอพวกเขาที่ไหน

            “จ๊ะ ตอนนั้นนิ่มอายุสักแปดขวบได้ แม่ไปหาพ่อของหนูคุยธุระนิดหน่อย ตากันก็ไปด้วย ตอนนั้นตากันอายุสักสิบสี่ ป้าก็นึกไม่ถึง จะได้หนูนิ่มเป็นลูกสะใภ้” ผมรู้สึกผิดไม่น้อย คนพวกนี้ไม่รังเกียจที่ลูกตัวเองแต่งงานกับผู้ชาย...กลับดีใจด้วยซ้ำ

            “แม่ครับ ขนมที่แม่ทำไว้อยู่ไหน ผมจะเอามาให้นิ่มชิม” เสียงห้าวหยุดบทสนทนาไว้

            “จริงซิ แม่ทำบราวนี่ไว้ หนูนิ่มรออยู่ตรงนี้ก่อนนะจ๊ะ ตากันไปช่วยแม่ถือของหน่อย” หญิงสูงวัยผละไปแล้ว

            ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ พ่อของกันก็นั่งอยู่ ผมค่อนข้างอึดอัด ไม่มีอะไรจะคุย

            “ชิมชาดูไหม ชาสี่ฤดู พ่อเพิ่งซื้อมา รสชาติขมหน่อย แต่กลิ่นหอม” ผมรับแก้วชาใบเล็กๆ

            “ค แค่ก” เพียงแค่จิบคำแรกก็รู้ว่าค่อนข้างข่ม แต่กลิ่นหอมมากเลยทีเดียว

            “ค่อยๆ ชิม”

            “เอ่อ...ชาหอมมากเลยครับ” ผมตอบ พ่อกันยิ้มรับ ฝ่ามืออุ่นของคนสูงวัยวางทาบทับที่ศีรษะ รอยยิ้มแลดูอ่อนโยน

            “อยู่กับเจ้ากันแล้วมีความสุขไหม หนูนิ่ม” ผมมองรอยยิ้มอ่อนโยน เสหลบสายตาที่จ้องมองมา

            “ครับ” รับคำเสียงแผ่ว

            ความสุข...ผมกับกัน...จะให้ตอบยังไง?

            “เจ้ากันมันคนพูดน้อย รักใครรักจริง มันไม่ชอบพูดแต่ชอบแสดงออกผ่านการกระทำ หนูนิ่มรู้ใช่ไหม นิสัยของมันนะ” ผมพยักหน้าเบาๆ เชิงตอบรับ

            “คนอื่นอาจมองว่าพ่อแปลก ให้ลูกชายตัวเองแต่งงานกับผู้ชายด้วยกัน แต่หนูนิ่มรู้ไหม...พ่อไม่รังเกียจลูกชายที่เป็นแบบนี้ กันมันรักลูกมากนะ หนูนิ่ม”

            กันรักผม...ใช่...เขารักผม...ตั้งแต่เมื่อไหร่...

            นั่นไม่จำเป็นต้องรู้...เพียงแต่ การกระทำของผม...ที่ทำต่อเขา

            โกหก หลอกลวง ไม่สัตย์ซื่อ

            ผมแค่กำลังเถียงกับตัวเอง...ไม่เข้าใจ...ผมทำอะไรผิด

            ผู้ชายคนนั้น เดินเข้ามาในชีวิต...โดยที่ผมไม่ต้องการ

            เข้ามาในวันที่ผมเจ็บปวด-ที่สุด

            เขามีสถานะที่สามารถเรียกร้องสิทธิทุกอย่างจากผม แต่ก็ไม่ทำ มีเพียงการกระทำที่อ่อนโยน การกระทำเพียงเล็กน้อยที่ทำให้ผมรู้ว่าเขาห่วงใย

            ผมเจ็บปวดเหลือเกิน

            ถ้าหาก...กันรักผมมาก เขาจะรู้สึกยังไง เขาจะเจ็บปวดมากไหม เหมือนที่ผมทรมานเมื่อต้องแยกกับพี่อาร์มหรือเปล่า

            ผมไม่รู้...ตอนนี้ ผมหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอ...สักทาง

            “ลองชิมดูซิจ๊ะ” น้ำเสียงเมตตาเอ่ยขึ้นเบาๆ ผมยื่นมือรับขนมไว้ในมือ กัดชิมคำเล็กๆ ไม่กล้าสบตาคนที่เดินเข้ามาด้วย

            “อร่อยมากครับ” ตอบไปทั้งๆ ที่ไม่รับรู้รสชาติของมันสักนิด ในหัว คิดแต่เรื่องของตัวเอง วนเวียนเต็มไปหมด

            จะทำยังไง

            จะทนได้สักแค่ไหน

            “นี่ก็เย็นแล้ว กันพาหนูนิ่มไปดินเล่นซิจ๊ะ อากาศตอนเย็นบนดอยเนี่ย เย็นสบายทีเดียว” ผงกหัวรับคำอย่างเลื่อนลอย

            ในตอนนั้น...รู้สึกเพียงสัมผัสอุ่นร้อนที่จับจูงไม่ปล่อยห่าง มือของเขา ร้อน...แต่ก็ไม่ร้อนเหมือนแผดเผา มันอุ่น สัมผัสเบาๆ บีบกระชับแนบแน่น ความรู้สึกที่ส่งผ่านมืออุ่นคู่นี้ มันดูหนักแน่น และเข้มแข็ง

            ความเงียบครอบคลุม กันหยุดเดิน ผมหยุดเดิน เขาหันหน้ากลับมา ผมมองใบหน้าคมกร้านที่คุ้นเคยมาเกือบเดือนกว่าๆ คนที่นอนด้วยกัน คนที่กินข้าวเย็นด้วยกันทุกมื้อ...พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม ผมแทบไม่สนใจบรรยากาศรอบตัว เพราะใบหน้าของผมถูกมือหนาสัมผัสไว้

            กันจับแก้มผมเบาๆ บังคับให้จ้องมองไปที่ตาของเขา ผมสบกับนัยน์ตาสีดำคู่นั่น

            “...จูบกัน” คำขอ...ผมไม่ได้ปฏิเสธและตอบรับ

            สัมผัสเบาๆ ตรงริมฝีปาก ไม่มีการล่วงล้ำเข้ามาข้างใน มันแทบไม่เรียกว่าจูบ เพราะเป็นเพียงแค่การสัมผัสริมฝีปากเท่านั้น แต่...แต่ถึงจะพูดแบบนั่น มันก็ร้อน ร้อนจนรู้สึกแปลกในอก

            เบือนหน้าหลบ สัมผัสตรงเรียวปากจึงตกไปที่แก้ม ผมไม่โวยวาย ทั้งที่ควรจะทำ แต่นั่นก็เพราะ ผมกำลังรู้สึกผิดอยู่ต่างหาก

            ผมยอม ถ้ากันจะทำแบบนั้น จะจูบ หรือ กอด ถ้ามันทำให้ความรู้สึกผิดที่อยู่ในอกบรรเทาลง

            ผมจะยอม

            แต่ถ้าหาก เขาเรียกร้อง ขอในสิ่งที่ผมให้ไม่ได้

            ผมคงไม่มีทางเลือก...นอกจากจบเรื่องทุกอย่าง โดยการเดินออกไปจากชีวิตของเขาเร็วกว่าเดิม

            “ทำไมทำแบบนี้”

            “บางคำถาม...มันก็หาคำตอบไม่เจอหรอก”

            คำตอบ

           ผมจะเดินออกไปจากชีวิตเขา ก่อนที่ตัวผม หัวใจผม จะถูกเขาแย่งชิงไปครอบครอง...

 

                                                                  >W e d d I n g<


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2014 01:44:52 โดย tensoplata »

ออฟไลน์ ลิงน้อยสุดเอ๋อ

  • ถึงจะเหงา แต่ไม่ได้ง่าย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-2
    • Fanpage
เฮ้อ  ถ้าถามว่าใครผิด  ก็ต้องโทษพ่อที่จับนิ่มแต่งงาน
แต่ถามว่าพ่อผิดอะไร  ก็คงตอบได้แค่ว่า  พ่อคงไม่อยากให้ลูกชายทั้งสองรักกันในเชิงชู้สาว
แต่ก็รู้สึกสงสารกันน่ะ

ว่าแต่เหมือนเรื่องนี้เคยอ่านเลย 555+

ออฟไลน์ tensoplata

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่ ๑๑ : คำพูด

            บ้านของกัน เปิดรีสอร์ทขนาดกลาง กันบอกว่านี้เป็นกิจการของแม่ แม่เป็นคนดูแลทั้งหมด รีสอร์ทที่มีทั้งห้องพัก สถานที่กางเตนท์

            “ไฟไม่ติด” ผมร้องเรียกร่างสูงเบาๆ กันกำลังกางเตนท์อยู่

            “เดียวดูให้” พูดจบก็หันมาดูแก๊ซ ปิดๆ เปิดๆ ไม่นานไฟก็ลุก ผมมองหม้อสแตนเลสในมือ นึกเวียนหัวขึ้นมาดื้อๆ แทนที่จะได้นอนห้องอุ่นๆ มีอาหารอร่อยๆ ให้ทานกลับต้องมาตกระกำลำบาก เพราะปากแท้ๆ

            อาหารยังต้องทำกินเอง แต่คงไม่ลำบากมาก ก็แค่ต้มมาม่า

            ตอนกลับจากเดินเล่น ผมเปรยๆ ว่าถ้าได้นอนสูดอากาศเย็นๆ คงรู้สึกดีไม่น้อย แม่ของกันเลยคะยั้นคะยอให้ผมมานอนที่ลานลานชมวิว กางเตนท์นอน หาอาหารกินเอง ห้องน้ำก็มี แต่เดินไกลหน่อย

            เหมือนมาตกระกำลำบากยังไงไม่รู้

            “นิ่ม จับตรงนี้หน่อย”ผมละจากหม้อต้มน้ำ ช่วยกันกางเตท์ ค่อนข้างลำบากทีเดียว แสงไฟสลัวๆ ทำให้มองสภาพรอบกายไม่ชัดนัก

            “แม่คุณเหมือนวัยรุ่นจริง” ผมอดบ่นออกมาไม่ได้ อีกฝ่ายทำเพียงกระตุกมุมปาก

            เรากางเต็นท์กันเสร็จแล้ว กันเข้าไปจัดที่นอนข้างใน ผ้านวมหลายพื้นถูกเตรียมมาอย่างดี กันกางเตนท์เสร็จก็พอดีกับที่ผมทำมาม่าเสร็จพอดี ข้างใต้เต็นท์ถูกปูด้วยผ้ายางแผ่นหนา

            ผมว่าบรรยากาศค่อนข้างรันทนมากทีเดียว แต่...มันก็เป็นความรู้สึกแบบใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

            “ผมล้างจานเอง กันไปอาบน้ำก่อนไหม” ผมเริ่มบทสนทนา

            “อืม” เสียงตอบรับดังขึ้นเบาๆ ผมผละไปที่รถ ค้นพวกสบู่ อุปกรณ์อาบน้ำมาครับ แล้วมาเอาให้กัน เขารับไปเงียบๆ พร้อมรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก

            จานถูกล้างเสร็จเรียบร้อย กันโผล่มาในชุดนอนตัวหนาๆ ผมพยักหน้าเมื่อเห็นร่างสูง ก่อนเปิดรถรื้อเสื้อผ้าออกมา แย่หน่อยตรงที่เสื้อที่ผมเตรียมมามีแต่ตัวบางๆ

            “ไปอาบน้ำก่อนนะ” ผมบอก กันพยักหน้ารับ

            ห้องน้ำคนไม่เยอะ อาจเพราะตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาล คนเลยน้อย ผมเริ่มขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกแปลกๆ และเมื่อหันไปด้านหลัง ร่างหนาของคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จก็ยืนอยู่ตรงนั้น

            “มีอะไรหรือเปล่า” ผมถาม

            “มันมืด” คำตอบ พร้อมรอยยิ้มมุมปากเช่นเคย

            “อะ อื้อ” ตอบรับ พลางเดินเข้าไปในห้องน้ำ

            อาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายด้วยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สายตามองเห็นรองเท้าที่ลอดผ่านจากช่องลมด้านล่างทำให้รู้ชายร่างสูงเจ้าของใบทะเบียนสมรสไม่ได้จากไปไหน กันยื่นนิ่งๆ อยู่ข้างหน้าประตูห้องน้ำ

            ช่วงเวลาที่ทำความสะอาดร่างกายรู้สึกเชื่องช้าไปหมด จะหยิบจับอะไรดูเก้งกาง เหมือนห้องอาบน้ำนี้ไม่มีประตูปิดกั้น รู้สึกเหมือนถูกจับจ้องด้วยดวงตาคมกริบคู่นั่น ความอับอายแล่นพล่าน ยิ่งสถานะของคนที่ยืนเฝ้าประตูอยู่คือสามี...สามีที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของเรือนร่างตามกฎหมาย ตามศีลธรรมจรรยา

            ร่างกายร้อนผ่าว...มือลากไล้ผ้าเช็ดตัวเช็ดน้ำออกจากร่างกาย โรยแป้งฝุ่นเบาๆ มองตัวเองในกระจก ผิวขาวๆ ขึ้นสีเรื่อเพราะไอร้อนจากน้ำอุ่น

            “เสร็จแล้ว” ทันทีที่เปิดประตู สายตาก็ปะทะกับนัยน์ตาคมกริบคู่นั่น สายตาที่แสดงออกถึงความต้องการอย่างโจ่งแจ้งแบบนั้น

            “อืม” กันรับคำในลำคอ สายตาที่จ้องมองมา แม้จะกวาดผ่านนิ่งๆ ก็รู้ว่าเขากำลังจับจ้องอยู่ตรงส่วนไหน สายตาที่จ้องมองมาตรงคอเสื้อบางๆ

            บ้า! …ผมไม่ใช่เด็กสามขวบที่จะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

            กันอดทนได้ดีมาตลอด...เขาเป็นแบบนั้นเสมอมา

            แต่ตอนนี้ ผมชักไม่แน่ใจ

            ผู้ชายตรงหน้า คนที่ใช้ความนิ่งเงียบเป็นเครื่องมือ แต่สายตากลับลุกล้ำอุกอาจ

            เร่งฝีเท้าเพื่อให้พ้นจากร่างสูงข้างกาย ก็เหมือนหนีเงาตัวเอง ไปไม่พ้น หยุดหอบแฮ่กอยู่ตรงหน้าเตนท์ ระยะทางไปห้องน้ำไม่ไกลมาก แต่ก็ใช่ว่าจะใกล้ เสียงหัวเราะเบาๆ จากคนข้างกาย ผมหันขวับ ไม่ต่างกับตอนเห็นกันยิ้มครั้งแรก

            “นอนเถอะ” คำพูดสั้นห้วนเหมือนเดิม

            มือหนาจับจูงชักชวนเข้าเตนท์ ผมรับคำ มุดตัวเข้าเตนท์ หยิบโทรศัพท์ เอามาตั้งนาฬิกาปลุก แต่มีมิสคอลสิบกว่าสายที่ไม่ได้รับ ชื่อของคนที่โทรเข้าทำผมชะงักนานที่เดียว

            ไอรยา

            ผมชั่งใจ นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่ม ตอนนี้ไอรยาคงยังไม่นอน ผมกดโทรกลับ กันหันมาจ้อง ผมไม่สนใจนั่งฟังเสียงรอสาย

            ‘โทรไปตั้งหลายสาย ทำไมไม่รับเลยนิ่ม’ เสียงไอรยาโวยวายหน่อยๆ

            “ขอโทษๆ ไอมีธุระหรือเปล่า” ผมขอโทษ ขอโพย

            ‘…โทษทีนิ่ม ไอหงุดหงิดไปหน่อย เรื่องงานนะ พอดีไอโทรหากันไม่ติด เลขากันบอกว่าเขาไปเยี่ยมพ่อแม่กับนิ่ม’ ผมฟังไอรยาพูด เสียงที่ลงตอนท้ายดูแปลกพิกล

            “อ้อ คุยไหม กันก็อยู่ ยังไม่นอน”

            ‘ขอบคุณ’ เสียงตอบรับดูแผ่วบาง ผมยื่นโทรศัพท์ให้กัน บอกชื่อคนโทรมา เขาชักสีหน้าเล็กน้อย แต่ก็รับโทรศัพท์ไปคุย ความจริงผมไม่อยากเสียมารยาทฟังคนเขาคุยกัน แต่นี่มันก็มืดแล้ว แถมอากาศข้างนอกก็เย็นเชียบ

            กันรับโทรศัพท์ไปคุย ไม่นานเขาก็ส่งมันกลับมา ถ้าผมฟังไม่ผิด ผมได้ยินแค่เสียง อือ อือ รู้แล้ว วนไปวนมาไม่มีอะไรนอกจากนี่

            ฟุบ...

            “เฮ้ย”

            ผมทรงตัวไม่อยู่ เมื่อมีมือปริศนากระชากลงให้ล้มตัวลงนอน ผมหันขวับ ถลึงตาใส่คนข้างกาย ใบหน้าคมกร้านยิ้มนิดๆ มือหนากวาดไปตรงเอวผม ก่อนดันให้แนบชิด

           “ปล่อย อึดอัด” ผมบอกตามตรง

           "นอนด้วยกัน” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมกลายเป็นคนที่ไม่กล้าขัดคำสั่งของกัน ผมล้มตัวลงนอน ข้างในเตนท์ยังมีไอของความอบอุ่นเพราะผ้านวมพื้นหนา เสียงลมหายใจของเราสอดคล้องในความมืด

           ตี๊ด...

           เสียงโทรศัพท์ ไม่ใช่เสียงโทรเข้า แต่เป็นข้อความที่ถูกส่งเข้ามา ผมมองชื่อคนส่งข้อความ ที่รัก..พี่อาร์ม มือที่จับชะงักงัน หันไปมองคนข้างกาย เตนท์นี้แคบยิ่งกว่าเตียงนอน เห็นดวงตาที่เบิกโพล่งอยู่ในความมืด

           สายตาแบบนั้น...มันทำให้ผมรู้สึกผิด...สะเทือนใจ

          “นิ่ม...” กันเรียกชื่อผม เขาพูดเสียงแผ่วในลำคอ ทว่าผมก็ยังคงได้ยินในสิ่งที่เขาพูดชัดเจน มือกำโทรศัพท์แน่น คำพูดแผ่วเบานั้นมันเหมือนมือหนาได้ตบเพี้ยะลงบนหน้าผม

         คำพูดเพียงคำเดียว

         “ความซื่อสัตย์”

         เสียงแผ่วเบาดุจเสียงกระซิบกระซาบจากสายลม

         ทว่าเนื้อความคมกริบเหมือนมีดเฉือนเนื้อ

         กันกำลังฆ่าผม ด้วยคำพูดคำเดียว

         คำ...ที่ไม่ใช่คำด่า...ผมตีความหมายของมันไปเอง

         แค่คิดถึงตรงนั้น คำqหนึ่งก็แล่นวาบเข้ามาในหัว

         ‘เล่นชู้’

                                                               >W e d d I n g<



*นิยาายเรื่องนี้เคยลงที่เด็กดีมาก่อนคะ (แต่งไว้ตั้งแต่ปีก่อนแต่ก็หยุดแต่งไปนานเหมือนกันเพราะ...ติดเกมส์ = =) ละก็เอามาลงที่นี้ด้วย แต่งไว้หลายตอนแล้วเหมือนกัน แต่ทยอยเอาลงคือตอนที่ตรวจคำผิดไปค่อนข้างจะเรียบร้อยแล้ว ยังไงฝากอ่านต่อด้วยน้า 
:mew1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เจ็บกันทุกคน

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
สนุก แต่แบบดราม่าอ่ะ สงสารกัน

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
 :mew1:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
อ่านแล้วหน่วงงง มันปวดใจแทนง

ออฟไลน์ ~l3aml3ery~

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
ติดตามเรื่องนี้ด้วยคน ให้กำลังใจคนเขียนจ้า

ออฟไลน์ Pupay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-1
อ่านแล้วรู้สึกหน่วงจริงๆ สงสารทุกคนอดคิดแทนนิ่มไม่ได้ว่าจะแก้ปัญหาทั้งหลายยังไง
แต่อยากบอกว่าชอบผู้ชายแบบกันมากกว่าอาร์ม -///- คือแบยชอบคนเย็นชาพูดน้อยแอบเป็นห่วง แต่ปากหนักอะไรแบบนี้ :mew3:
คนแต่งส่งอารมณ์มาให้ได้ดีจริงๆเลยค่ะ คือแบบคิดว่าตัวเองเป็นนิ่ม นิ่มจะทำไงดี!?! (มโน)
รอติดตามอ่านตอนต่อไปนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
ชอบกันอ่ะ
อยากจะเชียร์นะ
แต่ก็สงสารอาร์มแฮะ

เฮ้อ~ปวดหัวใจ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด