ผมออกมารออยู่ตรงล็อบบี้โรงแรมอย่างสบายอกสบายใจ ไอ้เรื่องแกล้งเจ้าของงานได้ก็พอใจในระดับหนึ่ง แต่ที่ทำให้ยิ้มอยู่ตอนนี้ก็เพราะใบหน้าหล่อใสของสกายหลังจากได้ยินที่ผมกระซิบเมื่อกี้น่ะสิ
‘มันเขินผม’
ไม่ได้คิดไปเองนะ มันเขิน ผมรู้ และผมก็พอใจมากๆ ที่มันเขิน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม หรืออาจจะเป็นเพราะแอลกอล์ฮอล์ในร่างกายเริ่มเกินลิมิตก็เลยเคลิ้ม
อีกสักพักแขกก็ทยอยออกมาและพูดคุยกันเรื่องที่ไอ้ชนเผ่าทนไม่ไหวแล้วไล่ตะเพิดนักเต้นสามคนออกจากงานและด่าออกาไนซ์เซอร์ถึงเรื่องนี้ด้วยคำพูดที่หยาบคาย ก็ช่วยไม่ได้นะ ที่โดนด่าก็สมควรแล้ว อยากสะเพร่าไม่เช็คให้ดี แต่ก็นั่นแหละ ถือเป็นคราวซวยด้วยที่มาเจอคนอย่างผม ก็จะมีตัวแทนบริษัทคู่ค้าที่ไหนเค้าจะแกล้งพังงานแบบนี้ล่ะ จริงมั้ย
“แทนที่จะรีบกลับแต่มานั่งรอตีนอยู่ปลายจมูกเขาเนี่ยนะ” เสียงสกายดังขึ้นด้านหลัง ผมจึงหันไปมอง ตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดเดิมที่ใส่เมื่อเช้าแล้ว หน้าก็ล้างเครื่องสำอางออกจนหมดจด มีเพียงแค่ทรงผมเท่านั้นที่ยังแน่นอยู่ ก็..ดูดีไปอีกแบบล่ะนะ
ผมยักคิ้วแล้วยิ้มกวนตีนใส่ “ไม่ได้นั่งรอตีน นั่งรอมึงแหละ”
“หือ..กลิ่นเหล้าหึ่ง” มันผงะหน้าหนีทันที “ยังมีหน้ามายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีกนะ ไปเร็วๆ เดี๋ยวนักข่าวตาม” ผมลุกจากโซฟาตามการเร่ง แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว
“นั่นไงๆ อยู่ด้วยกันจริงๆ ด้วย” กลุ่มนักข่าวประมาณหกเจ็ดชีวิตวิ่งกรูเข้ามาและประชิดตัวเราสองคนในเวลาอันรวดเร็ว
นี่มันนักข่าวหรือนั่งวิ่งลมกรดกันแน่วะเนี่ย
“ขอสัมภาษณ์หน่อยค่ะน้องดินน้องสกาย” พี่นักข่าวสาวใหญ่พูดพร้อมกับยื่นเครื่องบันทึกเสียงอันจิ๋วมาตรงหน้า
สกายมองหน้าผมแล้วหันไปยิ้มแห้งๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ แต่ผมน่ะยิ้มกริ่มรอเวลาแบบนี้มานานแล้วล่ะ
“งานในวันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่น้องทั้งสองเจอกันใช่มั้ยคะ”
ผมเลิกคิ้วยิ้มอย่างเป็นมิตร “บังเอิญสิครับ พึ่งรู้นี่แหละว่าหมอนี่มางานนี่ด้วย” ผมว่า
“แต่สายข่าวรายงานว่าเมื่อเช้าก็กินข้าวร้านเดียวกัน ตอนเที่ยงก็หอบหิ้วกับข้าวเข้ามากินด้วยกันไม่ใช่เหรอคะ รูปว่อนเน็ตเลยค่ะ” รู้ลึกรู้จริงสินะ
“แล้วกันสิ รู้ซะละเอียดเลย” ผมตอบพลางลูบท้ายทอยทำท่าเหมือนโดนจับได้ “จริงๆ ก็บังเอิญเมื่อเช้าเจอกันหน้าร้านอาหารก็เลยบอกว่าจะเลี้ยงคืนตอนเที่ยงเท่านั้นเองล่ะครับ” ผมโกหกขาวนะ โกหกเพื่อช่วยสกาย ให้มันหลุดพ้นจากสัญญาทาส เพราะฉะนั้น ไม่บาป คึคึ
“แหม ไม่ค่อยเนียนเลยนะคะ” พี่นักข่าวยิ้มล้อ “แล้วตอนที่ไปยืนกระซิบอยู่ข้างแคทวอล์ค พูดอะไรเหรอคะ บอกได้รึเปล่า”
“ใช่ๆ บอกได้มั้ยคะ ว่าเมื่อกี้กระซิบอะไรกับน้องสกาย” นักข่าวอีกคนผสมโรง
“ให้น้องตอบดีกว่าครับ” ผมยิ้มแล้วพยักพเยิดไปทางสกาย
“อร้ายยย เรียกว่าน้องด้วยอะ กรี๊ดดดด” เสียงกรี๊ดเบาๆ ของทุกคนพอรวมกันแล้วก็ดังจนคนที่เดินอยู่แล้วนั้นพากันเข้ามามุงมากขึ้น
ใบหน้าหล่อใสดูตึงขึ้น สีระเรื่อของเลือดฝาดปรากฏชัดจนทุกคนสังเกตเห็น “น้องเขินแล้วค่ะ อร้ายย ดูสิ หูแดงหน้าแดงด้วย” ทุกคนพากันฟินกับสิ่งที่ได้เห็น ผมเองก็เช่นกัน ทำไมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่ได้เขินหรอกครับ แค่ร้อนนิดหน่อยน่ะ” สกายพยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียง ยังดีที่มันเป็นคนนิ่งๆ จึงมองไม่ค่อยออกว่าเขินจริงหรือบังเอิญกันแน่
“ได้ค่ะๆ ร้อนก็ร้อน” พวกนักข่าวเออออแต่ใบหน้าล้อเลียนนั้นสวนทางอย่างเห็นได้ชัด “แล้วสรุปว่าพี่ดินเค้ากระซิบว่าอะไรเหรอคะ” ผู้หญิงคนเดิมยังคงไม่ทิ้งประเด็น
สกายเม้มปากเล็กน้อยแล้วทำหน้าเหมือนพูดลำบาก “....ก็แค่บอกว่า.....หล่อน่ะครับ”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด” คราวนี้ไม่มีเก็บอาการกันเลยซักคน เดี๋ยวนี้นักข่าวเค้าเป็นหนุ่มสาววายกันหมดแล้วหรือไงนะ “กรี๊ดดด มีแอบกระซิบชมน้องว่าหล่อด้วย โอ้ยตายยย ฉันฟิน แกฉันฟิน”
กว่าจะปรับอารมณ์ให้เป็นปกติกันได้ก็ใช้เวลาร่วมนาที “แล้วตอนนี้ยังไงคะ รอกลับด้วยกันเหรอ” สมกับเป็นนักข่าว หูไวตาไวและเฉียบแหลมมาก
“วันนี้น้องไม่ได้เอารถมาน่ะครับ เดี๋ยวผมจะแวะไปส่ง” เสียงงื้อง้าด้วยความฟินดังขึ้นอีกครั้ง “ถ้างั้นเราขอตัวกลับเลยนะครับ น้องคงอยากพักผ่อนแล้วล่ะ พวกพี่พี่ก็กลับดีดีนะครับ บายยย” ผมตัดบทแล้วยกมือไหว้ลาก่อนจะสะกิดสกายให้เดินตาม สกายก็ยกมือไหว้แล้วเดินตามมาติดๆ
“จากนี้ไปผมจะเชื่ออะไรคุณได้บ้างเนี่ย” สกายพูดเบาๆ เมื่อเร่งฝีเท้ามาเดินข้างผมแล้ว
“ฮ่าๆ ก็เพื่อใครล่ะ ที่จริงมึงต้องพากูไปสารภาพบาปด้วยซ้ำ” ผมว่า
ตอนนี้เราเดินจนมาถึงประตูทางออกอัตโนมัติเมื่อมันกำลังเปิดออกและเราสองคนก็กำลังจะก้าวข้ามไป
แต่แล้ว...
“เดี๋ยวค่ะ! น้องดินน้องสกาย!!” เสียงเรียกจากกลุ่มนักข่าวทำให้เราต้องหันกลับไปมอง ทั้งหมดกำลังมุงดูอะไรบางอย่างบนมือถือของคนที่เรียกเรา
ผมกับสกายทำหน้าสงสัยแล้วเดินเข้าไปหา “ได้เห็นคลิปนี้รึยังคะ” นักข่าวทั้งหมดเดินเข้ามาสมทบกับเราแล้วยื่นโทรศัพท์มาให้ดู
เราสองคนก้มมองดูหน้าจอโทรศัพท์ตรงหน้า “คลิปนี้พึ่งหลุดมาเมื่อชั่วโมงก่อน คอลัมน์หมวยนรกก็เขียนถึงแล้วเหมือนกัน บอกว่าดูจากรอยตำหนิบนตัวต้องเป็นคู่จิ้นคู่ใหม่ของวงการนายแบบแน่ๆ ตอบหน่อยค่ะว่าเป็นน้องดินกับน้องสกายรึเปล่าคะ” ทุกคนยื่นอุปกรณ์บันทึกเสียงของตนเข้ามาใกล้ปากเราสองคนมากขึ้นอีก
ผมทำหน้าเหรอหราปฏิเสธกลับไป “โอ้ย ไม่ใช่หรอกครับ”
“แต่ไฝที่สะโพกด้านหลังของคนนี้มันตรงกับไฝของน้องสกายเลยนะคะ ไม่เชื่อดูรูปเปรียบเทียบที่หมวยนรกทำสิคะ” เธอจิ้มหน้าจออยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นให้ดู เป็นรูปที่สกายดึงกางเกงในลงตอนวันเดินแบบนาฬิกาของป๋า ส่วนรูปทางด้านขวาก็เป็นรูปที่แคปจากคลิป ซึ่งไฝเม็ดเล็กตรงสะโพกชัดเจนและตำแหน่งก็ตรงกันเป๊ะ “ยังมีอีกนะคะ” เธอสไลด์หน้าจอสองครั้งก็เห็นรูปเปรียบเทียบอีกรูปซึ่งเป็นรูปที่ผมถ่ายแบบ ตรงหัวไหล่ไปจนถึงท่อนแขนมีรอยแผลเป็นยาวที่เกิดจากการถูกกลั่นแกล้งตอนเด็กๆ
“น่าจะบังเอิญนะครับ รอยของผมมันใหญ่กว่าในคลิปเยอะเลยนะครับ ดูสิ” ผมถลกแขนเสื้อให้ทุกคนดู แกล้งพูดเบี่ยงเบนให้ทุกคนคล้อยตาม
สกายไม่ตอบ มันคงไม่ชอบโกหกตอแหลเท่าไหร่ ไม่เหมือนผม
เอ๊ะ เหมือนกำลังด่าตัวเองยังไงไม่รู้แฮะ
“ผมว่าเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่าครับ เราสองคนไม่ได้มีซัมติงลึกซึ้งอะไรถึงขั้นนั้นหรอก ผมผู้ชายทั้งแท่ง” ผมออกตัว “อ้อ แล้วอีกอย่างนะ ถ้าผมจะชอบผู้ชายจริงๆ ผมต้องอยู่ข้างบนสิครับ หรือพี่ๆ ว่าไง” สาวๆ มองหน้ากันแล้วกรี๊ดแบบไม่มีเสียง
“แสดงว่ามีเปอร์เซ็นต์จะเป็นไปได้ใช่มั้ยคะ ถ้าน้องดินเป็นฝ่ายอยู่ข้างบน งั้นต้องเป็นฝ่ายจีบน้องสิ จีบเลยมั้ยคะ หรือจีบไปแล้ว อร้ายยย ต้องใช่แน่ๆ โอ้ยย ฟินตัวแตก” ชงซะเข้มเลย บ้านพี่ขายกาแฟเหรอครับ แต่แบบนี้ก็เข้าทางเลยนะ จิ้นกันให้เยอะๆ ลงข่าวกันทุกฉบับ ทุกวันเลยยิ่งดี ค่าตัวผมกับสกายจะได้พุ่งพรวดจนถึงขั้นต่อรองกับพี่ดอทได้
“ผมไม่ได้พูดซะหน่อย พี่ๆ ก็จิ้นกันเป็นเรื่องเป็นราวเลย ฮ่าๆๆ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ” ว่าแล้วก็ไหว้ลาอีกครั้ง ส่วนสกายก็ไหว้และตามมาเช่นกัน
ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเชื่อว่าคนในคลิปไม่ใช่เราสองคน แต่มันไม่ใช่ปัญหาหรอกเพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการน่ะสิ
เราสองคนเดินมาเรื่อยๆ ตอนนี้เกือบตีหนึ่งแล้ว ย่านนี้จะเป็นร้านอาหารและช็อปเสื้อผ้าเล็กๆ เวลาแบบนี้จึงพร้อมใจกันปิดหมดทุกร้านทำให้บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ
เมื่อมาถึงรถซึ่งจอดไว้ในซอยที่ผมมากินอาหารเช้ามันค่อนข้างมืดและปลอดคนมากทีเดียว แทนที่จะได้กลับบ้านก็ดันเจอไอ้ชนเผ่ายืนพิงกระโปรงรถรออยู่
“ฝีมือมึงใช่มั้ย!!” เมื่อเห็นหน้าผม มันก็ผรุสวาทใส่ทันที
“เรื่อง?” ผมทำเป็นไก๋ไม่รู้ไม่ชี้
“อย่ามาทำหน้าโง่ กูไปขอดูกกล้องวงจรปิดหมดแล้ว! เห็นตั้งแต่มึงลงทะเบียน คุยกับอากาไนซ์ และเห็นด้วยว่าอยู่ในงานตลอด!!” มันตวาด
“อ้าว ใครกันแน่ที่หน้าโง่ ก็มึงรู้แล้วเสือกมาถามอีกทำไมวะ” ทำหน้ากวนตีนใส่
“คิดว่ามึงแน่นักเหรอ คิดว่ามึงเป็นใครถึงกล้าลองดีกับกู!!” ไอ้ชนเผ่ากัดกรามแน่น
“ทำไมต้องคิด กูก็เป็นกูเนี่ยแหละ จะคิดให้ปวดหัวทำไม บ้าปะ” ไอ้ชนเผ่าทำท่าทางฮึดฮัด มันคงรู้สึกอยากอัดส้นตีนใส่หน้าผมวินาทีละหลายสิบครั้งเลยล่ะ
เมื่อเห็นท่าไม่ดี สกายจึงเข้ามาห้ามทัพ “ใจเย็นๆ เถอะคุณเผ่า ถ้าคุณมีหลักฐาน ก็ค่อยจัดการตามกฎหมายก็แล้วกัน คืนนี้ผมเหนื่อย อยากกลับไปพักผ่อน” สกายคงเห็นเหมือนที่ผมเห็น ไอ้ชนเผ่าไม่ได้มาคนเดียว มีคนชุดดำสี่ห้าคนอยู่ตรงมุมตึกฝั่งโน้น มันก็เลยอยากจบการสนทนาตรงนี้และแยกย้ายให้เร็วที่สุดก่อนจะได้กินยำรวมตีน
“คนแบบนี้ไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตา” ไอ้ชนเผ่าพูดกับสกายด้วยน้ำเสียงปกติแต่หันมาตวาดใส่ผมด้วยเสียงแข็งกร้าว “กูจะจัดการมึงทั้งศาลเตี้ยศาลสูงนั่นแหละไอ้ลูกเมียน้อย!” สัตว์นรก! คำนี้อีกแล้วนะมึง ได้ยินแล้วแทบจะพุ่งไปอัดหน้าแต่ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ไว้ กล้องวงจรปิดตรงมุมตึกจะเป็นหลักฐานให้ผมโดนอีกกระทงแน่ถ้ามันแจ้งตำรวจจริงๆ
ผมยักไหล่ ดันลิ้นไปตามกระพุ้งแก้มเพื่อเพิ่มความกวนตีนให้ใบหน้า “มึงรู้มั้ยว่าอะไรที่น่ารำคาญกว่าคนที่น่ารำคาญ” มันมองถมึงทึงและไม่มีทีท่าว่าจะตอบ ผมจึงเฉลยเอง “ก็คนที่น่ารำคาญมันไม่ฉลาดพอจะรู้ว่ามันน่ารำคาญแล้วยิ่งทำตัวน่ารำคาญมากขึ้จนน่าถีบมากกว่าน่ารำคาญไง ได้แต่เห่าให้รำคาญนี่มันตัวอะไรน้า” ร่างสูงใหญ่พุ่งเข้าหาผมทันที หมัดรุ่นๆ ของไอ้ชนเผ่าแหวกอากาศตรงเข้ามาหมายให้โดนใบหน้าผมเต็มแรง แต่ขอโทษเถอะ ความเร็วของมันยังอ่อนชั้นไปหน่อย ผมหลบและสวนหมัดฮุกเข้าที่ท้องจนมันตัวงอเป็นกุ้งเผา
สกายทำหน้าตื่นตระหนกแล้วรีบมาดึงแขนเมื่อผมถลาเข้าไปจะซ้ำมัน “นี่คุณ! พอแล้ว ไปกันเถอะ!!” จังหวะเดียวกันนี้ไอ้พวกที่แอบอยู่ฝั่งตรงข้ามก็วิ่งเข้ามาสมทบแล้วเข้ามารุมพร้อมกันโดยคงนัดหมายกันไว้อย่างดีแล้ว ยังดีว่าพวกมันไม่มีอาวุธ ไม่อย่างนั้นคงรับมือลำบาก
ผมไม่ได้อ่อนด้อยเรื่องเชิงต่อยตีแบบนี้หรอกนะ อยากให้รู้ว่าผมเนี่ยแชมป์แทบจะทุกประเภทกีฬา ทั้งยูโด มวยไทย เทควันโด ปีนเขา เป่ากบ แถมยังฟิตร่างกายเป็นประจำ แต่ถึงอย่างนั้นก็หืดขึ้นคอทีเดียวเพราะไอ้พวกนี้ก็ไม่ใช่กระจอก คงเป็นการ์ดมืออาชีพที่ถูกจ้างมาด้วยราคาไม่น้อยเลย
สกายทำท่าจะเข้ามาช่วยแต่ผมผลักมันออกไป “อย่ามายุ่ง!! ถ้ามึงมีแม้แต่แผลเดียวบนร่างกาย กูจะเพิ่มแผลให้มึงอีกสิบเท่า!!” รู้ได้เลยว่าสีหน้าและแววตาของผมคงไม่ต่างจากปีศาจร้ายเท่าใดนักเพราะสกายถึงกับตกตะลึงและไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการตะลุมบอนนี้เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกหวงแหนใบหน้าใสใสของมัน กลัวว่าถ้ามีรอยฟกช้ำแม้แต่นิดเดียว ผมเนี่ยแหละที่จะรู้สึกช้ำใจซะเอง
ใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่พวกนั้นจะหมอบกระแตและหมดแรงที่จะลุกมาไฝว้ต่อ ไอ้ชนเผ่าทำท่าเดือดจัดที่คนของมันทำได้เพียงสร้างรอยฟกช้ำเล็กน้อยให้กับใบหน้าและร่างกายของผม จะมีก็แต่มุมปากสองข้างที่มีเลือดไหลซึมลงมาเพียงเล็กน้อย โดยแผลฉกรรจ์ที่สุดก็เป็นหมัดทั้งสองข้างที่แตกจนแสบไปหมด “เอาไว้ค่อยมาซ้อมมือกันใหม่นะโว้ย” ผมบอกแล้วลากสกายที่ยืนอึ้งยัดเข้าไปในรถก่อนที่ไอ้ชนเผ่าจะตามพวกมาอีกแล้วจบลงที่ผมนอนจมกองเลือดไปอีกคน
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง รับรองมึงไม่ตายดีแน่!!” ไอ้ชนกลุ่มน้อยด้อยอารยะ มึงวอนตีนกูจังเลยนะ!
“สู้ไม่ได้เล่นรุม รุมไม่ชนะ ขู่ฆ่าเหรอไอ้สัด!! มึงมันหน้าตัวเมีย!!” ผมตวาดเสียงดัง เกลียดมากผู้ชายสันดานแบบนี้
ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นรถแล้วถลันเข้าประชิดตัวมันก่อนจะอัดเปรี้ยงเข้าที่กกหู ถึงแม้ว่ามันพยายามจะหลบแต่ก็ไม่พ้นจึงโดนเข้าไปแบบเต็มๆ อันที่จริงมันก็แกร่งพอตัวอยู่นะเพราะถ้าเป็นคนอื่นเจอผมชาร์ตระดับนี้ต้องสลบเหมือดไปแล้วแต่ไอ้นี่แค่เซแล้วเสียหลักล้มลง มันชี้หน้าผมก่อนจะตะโกนใส่ “มึงมันปีศาจ!”
“หึ” ผมหัวเราะเบาๆ กับความคิดเด็กๆ ของมัน
และก่อนจะก้าวขาขึ้นไปบนรถผมจึงหันไปพูดกับมันอีกครั้ง “จะบอกไว้เอาบุญ..ปีศาจตัวที่เหี้ยที่สุดยังเรียกกูว่าพ่อ จำไว้!”
********************