@@รักเกิดในแผนกขนส่งby aoikyosuke ภาคพิเศษวิโรจน์ผู้กอบกู้โลก p.98
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@รักเกิดในแผนกขนส่งby aoikyosuke ภาคพิเศษวิโรจน์ผู้กอบกู้โลก p.98  (อ่าน 754062 ครั้ง)

ออฟไลน์ aa_mm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-2

รักเกิดในแผนกขนส่ง.....ตอน กินไปงั้น ๆ

น้ำหยดจากเส้นผมไหลลงที่ข้างแก้มและหยดลงที่แขนเสื้อ

เมืองมีนยกแขนเสื้อเช็ดน้ำที่ไหลมาจากเส้นผมมากกว่าสามครั้ง

โดยครั้งที่สี่กำลังจะเริ่ม
และนั่นก็เลยทำให้บุ้งที่สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นมาพักใหญ่
ต้องถอดเสื้อพนักงานตัวนอกของตัวเองออก และจัดการวางคลุมหัวของคนที่กำลังนั่งฟังคำอธิบายอย่างตั้งอกตั้งใจทันที

“เช็ดซะ”

มันไม่ได้ดูดีอะไรนักหรอก กับการที่อยู่ดี ๆ พี่บุ้งก็มาทำเสียงดุแล้วก็โยนเสื้อมาคลุมหัวใส่แบบนี้

แต่จะให้ทำยังไง จะบอกว่าไม่ใช้ก็คงไม่ได้ เพราะพี่บุ้งก็.....อุตส่าห์….ถอดเสื้อมาให้เช็ดผมทั้งที

“ขอบคุณครับ”

ก้มหน้าก้มตาเอ่ยขอบคุณเสียงเบา และบุ้งก็เหลือบสายตามองหน้าเด็กฝึกงานที่หน้ามันเคยจ๋อยๆ แล้วก็ซึมๆ ยังไง
จนถึงตอนนี้มันก็ยังเป็นอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

“กลางคืนไม่ได้นอนหรือไงน้อง หน้าอย่างกับคนไม่ได้นอน”

...............

ผมก็นอนปกติ นอนสี่ทุ่มตื่นหกโมงเช้าทุกวัน
หน้าผมคงเหมือนคนง่วงนอนมากเลยสินะ
ผมโดนพูดใส่หน้าแบบนี้บ่อย ๆ จะบอกว่าชินก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

“ขอโทษครับ”

ไอ้น้องเกาหลีนี่มันยังไง ขอโทษทำไมวะ ไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย ถามว่าไม่ได้นอนหรือไง ดันมาตอบว่าขอโทษ มันเข้าใจคำถามมั้ยวะ

บุ้งถึงกับส่ายหัวให้กับวิธีการตอบของเด็กฝึกงาน ที่ตอบได้ไร้ทักษะมาก ตอบแบบขอไปที เรียกง่าย ๆ ว่าไม่อยากตอบคำถามก็เลยขอโทษส่ง ๆ ไปงั้นให้จบ ๆ

“ขอโทษเรื่องอะไรน้อง พี่ถามว่าไม่ได้นอนหรือไง พี่ไม่ได้ด่าน้อง น้องจะขอโทษพี่ทำไมวะ”

บอกออกไปด้วยอารมณ์ที่เริ่มครุกรุ่นขึ้นมาเล็ก ๆ บุ้งรู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดกับท่าทางแปลกๆ ของเด็กฝึกงานอยู่ไม่น้อย

ไอ้น้องนี่มันยังไงวะ ดูเลื่อนลอย มึน ๆ งง ๆ พิกล

“ถามจริง ๆ เหอะ....น้องติดยาเปล่าวะ”

เฮ้ยยยยย

“ผมเนี่ยนะ”

เมืองมีนถึงกับเกิดอาการเหวอแดกขึ้นมากะทันหัน
ชี้นิ้วมาที่หน้าของตัวเอง และรู้สึกตกใจกับสิ่งที่บุ้งถามไม่หาย

โดนว่าอะไรก็ไม่ได้รู้สึกหรอก แต่พี่หาว่าผมติดยา มันใช่แล้วเหรอพี่ พูดแบบนี้ผมก็เสียนะพี่

“เออ ก็น้องนั่นแหละ น้องติดยาเปล่าวะ”

พี่คิดได้ยังไงว่าผมติดยา

“ตรวจฉี่ผมตอนนี้เลยก็ได้”

ไม่ได้อยากจะมีเรื่องมีราวมีปัญหาด้วยหรอก แต่เพราะพี่บุ้งพูดอะไรแปลก ๆ แบบนี้ใส่ มันคงไม่ดีถ้าเกิดอีกฝ่ายไม่ไว้วางใจกัน

“พี่มีน้ำยาตรวจเป็นลัง จับพวกขับรถตรวจทุกอาทิตย์ เดี๋ยวคีย์บิลน้ำมันเสร็จพี่จะพาน้องไปตรวจเลย”

บ้าไปแล้ว

เมืองมีนถึงกับเกิดอาการหน้าตึงขึ้นมาทันทีหลังได้ฟังคำพูดง่าย ๆ ของพี่บุ้งที่กำลังสอนวิธีคีย์บิลน้ำมันให้

หาว่าทำหน้าง่วงนอนตลอดเวลาก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก
แต่มาหาว่าติดยานี่มันอะไรกันวะ

หน้าผมมันเหมือนพวกติดยาขนาดนั้นเลยใช่มั้ย
เออ อยากตรวจก็ตรวจ ตรวจซะพี่จะได้สบายใจไม่หาว่าผมติดยาอีก

รู้สึกไม่ชอบสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

มีนไม่รู้ตัวเองว่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกไปได้ยังไง
แต่มันก็ทำให้คนที่กำลังสอนวิธีคีย์บิลในโปรแกรมหันหน้ามามองและมีนก็ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าทำอะไรลงไป

“มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ มาคีย์บิลน้ำมันให้แผนกพี่อ่ะ”

ไม่ใช่ครับ
ผมไม่ได้รู้สึกแย่ที่ต้องมาคีย์บิลให้พี่ ผมแค่.....ผมแค่คิดอะไรของผมไปตามเรื่องตามราว แล้วก็เผลอถอนหายใจออกมาแค่นั้น

ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องมาคีย์บิลให้แผนกพี่เลย

“อย่างว่าแหละ นั่ง ๆ เดิน ๆในห้องแอร์เย็น ๆ อยู่การเงินมันก็ต้องดีกว่า มานั่งทำงานงก ๆอยู่ในนี้อยู่แล้ว”

นั่นคงเป็นถ้อยคำประชดประชันสินะ

เออ ผมมันไม่สู้งาน ผมมันชอบความสบาย ผมมันชอบเดินไปเดินมาในห้องแอร์เย็น ๆ

ถ้าพี่ตัดสินผมไปแล้วด้วยความคิดของพี่
แล้วพี่จะมัวมาสอนผมคีย์บิลทำไม

“ผมมันดูไม่สู้งานขนาดนั้นเลยเหรอพี่”

ถามออกไปนิ่ง ๆ ไม่ได้มีน้ำเสียงกระโชกโฮกฮากหรือแสดงอารมณ์โกรธ

มีนยังมองไปที่ตัวเลขที่ปรากฏในบิล และกำลังใช้นิ้วกดไปที่ตัวเลขแต่ละตัวเพื่อให้ข้อมูลเข้าไปอยู่ในโปรแกรม

ถามแค่นั้น
พูดแค่นั้น

แต่เป็นการพูดที่ทำให้บุ้งต้องนิ่ง เพื่อฟัง.....

ฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

แต่ยังไม่ได้ฟังอะไรมากมายเสียงสัญญาณจากวิทยุสื่อสารก็เรียกเข้ามา

“.......พี่บุ้ง รถเข้าแล้วพี่.........”

เสียงพูดจากคนที่รออยู่ที่ลานจอดรถทำให้บุ้งต้องหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาพูดตอบกลับไป

“เออ....กำลังไป”

ตอบกลับไปแล้ว และเหลือบสายตามองเด็กฝึกงาน
ที่กำลังมองตัวเลขและกรอกข้อมูลลงไปเรื่อย ๆ
สายตามองหน้าจอ และใช้ดินสอขีดเครื่องหมายถูกในแต่ละบิลที่คีย์เสร็จแล้ว

“....กรอกเสร็จแล้ว เดี๋ยวพี่มาปริ้นให้ ไม่ต้องรีบนะ เรื่อย ๆ แต่ขอชัวร์ ๆ”

สั่งงานเรียบร้อย โดยไม่มองหน้าเด็กฝึกงานที่ยังตีหน้าเฉย และทำทีเหมือนกำลังสนใจอยู่กับการกรอกข้อมูลลงไปเรื่อย ๆ

ในเวลาไม่นานพี่บุ้งก็เปิดประตูออกไป

มองจากตรงนี้ ไม่ยากที่จะมองเห็นกันได้ แค่เปิดม่านปรับแสงที่ปิดไว้ที่ประตูและหน้าต่างกระจกบานเลื่อนใสก็สามารถมองไปถึงที่ลานจอดรถได้

และมีนก็เริ่มรู้สึกว่า หลังจากพี่บุ้งออกไปจากห้อง
เหมือนว่าอากาศที่แทบไม่มีจะหายใจได้กลับมาอีกครั้ง

สูดหายใจเข้าเต็มปอดลึก ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และคนที่มีนไม่คิดว่าจะกลับมา ก็กลับมาฟังเสียงถอนหายใจดัง ๆ ของมีนด้วย

และเมื่อได้ฟังแบบเต็ม ๆ พี่บุ้งก็ชะงักค้างกับอาการถอนหายใจอย่างรุนแรงเฮือกใหญ่ของมีน

“น้อง.....ถ้าผ้าแห้งพอใส่ได้แล้ว น้องกลับขึ้นไปแผนกการเงินเลยก็ได้...บิลกองนั้นไว้งั้นแหละเดี๋ยวพี่กลับมาเคลียร์เอง”

พูดเท่านั้นแล้วพี่บุ้งก็เปิดประตูเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก

มีนไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี
ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรทำยังไง

มองบิลน้ำมันและบิลค่าทางด่วนที่ยังกองพะเนินอยู่ในตะกร้า
แล้วก็ถึงกับต้องนั่งนิ่งเพื่อครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

คำพูดแบบนั้นไม่ต้องให้แปลก็พอเข้าใจ

ความหมายง่าย ๆ ที่แม้แต่เด็กยังรู้

...........ไม่ต้องทำแล้วสินะ..........

แล้ว....แบบนี้ควรทำยังไงต่อไปดีวะ
จะคีย์ต่อให้เสร็จ หรือจะรอให้ผ้าแห้งแล้วเดินขึ้นแผนกการเงินไปซะจะได้จบเรื่อง

“...ซวยจริง ๆ เลยวะ..แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะพี่ แล้วพี่จะให้ผมทำยังไงพี่ถึงจะพอใจ”

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2014 23:25:45 โดย aa_mm »

ออฟไลน์ aa_mm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-2
บ่ายโมงแล้ว

มีนยังเพ่งสายตาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
บิลน้ำมันคีย์ไปได้ไม่เท่าไหร่ ยังเหลืออีกล้นตะกร้า

และมีนก็หยิบบิลปึกถัดไปมาวาง และใช้นิ้วกดตัวเลขลงไปเรื่อย ๆ ในช่องกรอกตัวเลขที่ปรากฏอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

ทำไปเรื่อยจนลืมสนใจนาฬิกาที่ข้างฝา

หยุดคีย์บิลและยกมือขึ้นขยี้ตาเพราะรู้สึกว่าจ้องจอคอมพิวเตอร์นานเกินไปจนตาล้าไปหมด

ขยี้ตาซ้ำ ๆ และจู่ ๆ ประตูออฟฟิศก็ถูกผลักเข้ามาพร้อมกับร่างของใครบางคนที่เดินหิ้วกระติกน้ำเข้ามาพร้อมกับพนักงานขับรถอีกคนที่มีนจำได้ว่าน่าจะชื่อวิเชียร

“ผมก็นึกว่าพี่กินแล้ว ขอโทษนะพี่ ผมลืมสั่งเขาไว้ ผมลืมสนิทเลยจริง ๆ พี่”

ไม่รู้ว่าพี่บุ้งกับวิเชียรทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร
และไม่รู้ว่าทำไมวิเชียรถึงได้ขอโทษไม่หยุดซะขนาดนี้

“เออช่างมันเหอะ กูไม่ได้คิดอะไร กูหาอะไรกินง่ายๆ แถวนี้ก็ได้”

เรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่พี่บุ้งดูจะแสดงท่าทีรำคาญอย่างเห็นได้ชัดที่วิเชียรยังขอโทษซ้ำ ๆ อย่างนั้นไม่เลิก

“ไอ้เชียรอะไรของมึง กูบอกว่ากูหากินอะไรง่ายๆ แถวนี้เอาเองได้ มึงฟังกูพูดรู้เรื่องมั้ย เซ้าซี้จริงวะ”

เพียงเท่านั้น แล้ววิเชียรที่หน้าจ๋อย ก็มีอันต้องถอยฉากทันที
ถอยออกไปจากห้องแล้ว

และบรรยากาศเดิม ๆ ที่มีนรู้สึกเหมือนว่าอากาศหายใจเริ่มน้อยลงไปเรื่อย ๆ ก็กำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง

ทำเป็นไม่เห็น
ทำเป็นไม่สนใจ
ทำเป็นมองบิลและคีย์ข้อมูลไปเรื่อยๆ
แต่มีนก็รู้ว่าพี่บุ้งกำลังมองมา

มองตรงมาและขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมาเสียงดัง

“....น้อง....กินข้าวยังวะเรา”

อ่อ

ไม่ได้ไล่ให้ขึ้นไปแผนกการเงิน แบบนี้ก็พอคุยกันได้อยู่

“ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่พี่”

มันใช่เรื่องมั้ยวะ หิวหรือไม่หิว ยังไงก็ต้องกินนี่มันเลยเวลาพักมานานแล้ว

ที่ไม่กินหมายความว่ายังไง อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะนั่งคีย์บิลให้อยู่

แต่.........ก็น่าจะใช่ เพราะบิลหายไปหลายปึกแล้ว

“พี่ไม่ได้ถามว่าน้องหิวหรือเปล่า พี่ถามว่าน้องกินข้าวหรือยัง”

ผมตอบไม่ตรงคำถามพี่
เออ มันผิดที่ผมเอง ที่ฟังคำถามพี่ไม่รู้เรื่อง ก็เลยตอบไปแบบไม่รู้เรื่อง

“ยังครับ”

สั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ใจความและบุ้งก็เดินมาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคอมพิวเตอร์ที่มีนกำลังคีย์เอกสาร

“หยิบถุงหมูปิ้งโต๊ะข้างหลังให้หน่อย”

ถุง...หมูปิ้งโต๊ะข้างหลัง

ถุงหมูปิ้ง…..

หันไปที่โต๊ะด้านหลังและหยิบถุงหมูปิ้งเพื่อมาส่งให้คนที่บอกให้หยิบของให้

“นี่เหรอพี่”

ส่งให้กับคนที่บอกให้ช่วยหยิบ แล้วพี่บุ้งก็รับมาถือเอาไว้

“หยุดมือแล้วมากินก่อน โรงอาหารปิดแล้ว”

หยุด
แล้วมากิน........ก่อน

หมายถึงให้ผม....กิน..ข้าวเหนียวหมูปิ้งในถุงนั่นอ่ะนะ

“มีข้าวเหนียวสองห่อ มันแข็ง ๆ แล้วป่านนี้ ซื้อมาตั้งแต่เช้าว่าจะกินก็ลืม ห่อนี้ยังพอนิ่ม ๆ อยู่น้องเอาห่อนี้ไปก็แล้วกัน”

พี่บุ้งวางถุงใส่ข้าวเหนียวถุงเล็กๆ ให้มีน ส่วนตัวเอง
ก็หยิบหมูปิ้งออกมาหนึ่งไม้ และก็ยืนกินต่อหน้าต่อตามีนที่กำลังคีย์เอกสาร

พี่.....
เอางี้เลยเหรอวะ
แล้ว....

“น้องมากินเร็ว ๆ บอกให้วางมือก่อน ถึงเวลากิน ก็กินไปซะ เดี๋ยวต้องทำอย่างอื่นต่ออีก”

เอ่อ

เดี๋ยวครับพี่.........อะไร ยังไง

“กินไปก่อน กินส่ง ๆ ไปงั้นกันตาย”

นั่นคือถ้อยคำของคนที่ชวนกินข้าวกลางวันด้วยกันเหรอวะ
ดูแปลกๆ พิกลเกินไปมั้ยพี่

“เออ มัวลีลาอยู่นั่นแหละ เอาอันนี้ไป นี่หมูเยอะ”

มีนไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง
และเมื่อหมูปิ้งหนึ่งไม้ถูกยัดเยียดใส่มือให้ ก็เลยต้องกินไปด้วยความรู้สึกขัดเขินพิกล

“แข็งชิบหาย เคี้ยวทีฟันแทบหลุด”

พี่บุ้งบ่นอะไรบางอย่างพึมพำอยู่คนเดียว บ่นอะไรก็ไม่รู้ที่ดูไม่เข้าท่า แต่แปลกที่มีนรู้สึกขำกับสิ่งที่พี่บุ้งบ่น

หมูมันไม่ได้แข็งขนาดนั้นหรอก มันก็ยังพอกินได้อยู่

แต่พี่บุ้งขยันบ่นไปหน่อย เลยบ่นอะไรก็ไม่รู้

มีนรู้ว่ามันกินได้ และก็กินไปเรื่อยๆ เคี้ยวไปเรื่อย ๆ

“....พรุ่งนี้กินอะไร”

หือ

“หมายถึง........”

เงยหน้ามองคนที่กำลังยืนกินหมูปิ้งอยู่หน้าโต๊ะ และมีนก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“น้องนี่หูไม่ดีเหรอวะ พูดอะไรต้องให้พูดซ้ำสองรอบ”

ไม่ใช่ว่าผมหูไม่ดี แต่ผมคิดว่าตัวเองฟังผิดไป ผมเลยไม่รู้ว่าพี่พูดอะไร

“วิเชียรมันจะขึ้นเบอร์ 12 เดี๋ยวให้มันซื้อปูจ๋ามากินพรุ่งนี้เที่ยง”

ปูจ๋าคืออะไรไม่รู้
แต่ที่รู้แน่ ๆ คือที่เข้าใจว่าตัวเองฟังผิด ตอนนี้มั่นใจแล้วว่าฟังถูกจริง ๆ

“แล้วพี่จะให้ผมทำอะไร”

ถามกวนเนอะ ใครจะไปให้น้องทำอะไรล่ะ ก็ไม่ต้องทำอะไรมากหรอกน้อง

“....ก็ไม่ได้ให้ทำอะไรยุ่งยากหรอก แค่เอาจานเอาช้อนมาจากที่บ้านด้วย เอามาใส่ข้าวกินพรุ่งนี้ ตอนที่ไอ้เชียรมันเอาปูจ๋ามาส่ง เข้าใจมั้ยน้อง น้องมีอะไรสงสัยอีกมั้ย”

ไม่มีครับ

ผมนึกไม่ออกว่าจะถามเอาอะไรกับพี่

“แก้วน้ำไม่ต้องเอามา พี่มีอยู่ในเก๊ะ เอาไปใช้ได้เลย เข้าใจมั้ย”

เข้าใจ

ฟังเงียบๆ แต่ไม่ตอบ ไม่ตอบไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องตอบคำว่าเข้าใจไปทำไม ในเมื่อมันเป็นคำถามที่บ้าบอสิ้นดี

“เกาหลี”

หือ

เงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก และมีนก็ขมวดคิ้วเพราะไม่ชอบในสิ่งที่อีกฝ่ายเรียก

“ผมมีชื่อนะพี่ ไม่ได้ชื่อเกาหลี”

ใบหน้ายุ่งเหยิง และก็ขมวดคิ้วมุ่นเพราะรู้สึกเหมือนกับว่าพี่บุ้งมองหน้าของมีนเหมือนกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง

“ทำหน้าโมโหได้ด้วยเหรอวะ........พี่นึกว่าน้องทำหน้าหมาเหงาได้อย่างเดียว.....”

นี่เรียกว่าอะไรวะ
ชม
แซว
ด่า หรือ ว่า หรืออะไรผมไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจว่าพี่ต้องการจะสื่ออะไรกันกับผมกันแน่ บอกตรงๆ เลยว่าผมไม่เข้าใจ

“กินให้หมดนะ จะได้มีแรง ถ้าเลยเวลาแล้วก็กลับได้เลย ไม่ต้องอยู่ต่อ พรุ่งนี้ค่อยมาคีย์ใหม่ เดี๋ยวพี่จะออกไปส่งของ
ล็อคออฟฟิศด้วย แล้วปิดไฟปิดแอร์ด้วยนะ ห้ามลืม”

อ่อครับ

“มีอะไรงง สงสัย โทรหาพี่ เบอร์นี้..........”

มาเร็วมาไว บอกไว และก็จดเบอร์ให้ไวมาก
และพี่บุ้งมันก็ไปไวมาก

บอก ๆ ๆ สั่ง ๆ ๆ แล้วก็เปิดประตูเดินลิ่วๆ ออกจากออฟฟิศไปแล้ว ทิ้งให้มีนนั่งงง อยู่กับ ข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ยังกินไม่หมดและยังถือค้างอยู่ในมือ

อะไรยังไง ไม่เข้าใจ จะมาก็มา จะไปก็ไป ทำไมช่างเป็นคนที่รวดเร็วฉับไวอะไรขนาดนี้วะพี่

...นี่มันอะไรวะ........อะไรของพี่วะพี่บุ้ง.....บอกตรง ๆ เลยนะ
ว่าตั้งแต่จำใจต้องมาฝึกร่วมกับพี่ ยิ่งอยู่ใกล้ ผมยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ

“อะไรของพี่บุ้งวะ........บอกตรง ๆ ว่าโคตรงง”


TBC.

ออฟไลน์ aa_mm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-2


รักเกิดในแผนกขนส่ง.....ตอน งอน ๆ ง้อ ๆ

หกโมงเย็น

เมืองมีนหันไปมองนาฬิกาที่ฝาผนัง
เย็นป่านนี้แล้ว แต่ยังไม่กลับบ้านเพราะคีย์บิลยังไม่ถึงไหน

สายตาเริ่มพร่า ๆ เลือน ๆ เพราะจ้องจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป

หลับตาพักเพียงครู่เดียว และมีนก็เอนหลังกับพนักเก้าอี้ ขยับร่างกายไปทางซ้ายและขวาสองสามครั้งเพื่อคลายความเมื่อยล้าก่อนจะลุกขึ้นยืน และเดินไปหยิบเสื้อและกางเกงที่แขวนไว้ที่พนักเก้าอี้ที่โต๊ะอีกด้านมาถือเอาไว้

สะบัดสองสามทีและเดินไปล็อคประตูออฟฟิศ

เดินกลับมาและถอดเสื้อมูลนิธิที่พี่บุ้งให้มาใส่ออกและค่อย ๆ ดึงกางเกงที่สวมอยู่ออกจากขา

สะบัดเสื้อนักศึกษาของตัวเองที่มีรอยจุดสีแปลก ๆ แล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น

ฝนมันตกก็แบบนี้ เสื้อเปื้อนหมด ต้องทำใจ

ยืนพิจารณาเสื้อและกางเกงที่แห้งเกือบสนิทแล้วมีนก็ถอนหายใจ
สงสัยต้องกลับไปซัก แช่ไว้ก่อนดีกว่า แต่ถ้าซักไม่ออกขึ้นมาเสียดายแย่

พิจารณาอะไรไปเรื่อยเปื่อย และมีนก็กำลังจะหยิบเสื้อมาสวม


++++++++++++++++++++++++++++++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2014 23:26:20 โดย aa_mm »

ออฟไลน์ aa_mm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-2
หกโมงเย็น

บุ้งที่เพิ่งกลับเข้ามาในโรงงาน กำลังเดินลิ่ว ๆ มาที่ออฟฟิศเพื่อจะเก็บของกลับบ้าน

ป่านนี้ไอ้น้องเกาหลีคงกลับบ้านไปแล้ว ไม่รู้ว่าวันนี้คีย์บิลไปได้เท่าไหร่
แต่ดูแล้วอย่างน้อยก็คงมากกว่าสองสามปึก เห็นกองเอาไว้ สังเกตว่าไม่ค่อยมากเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าต้องมาคีย์เอง

ไม่มีเวลาคีย์ แต่บิลก็ต้องส่ง
เมื่อไหร่แผนกบุคคลจะรับคนเข้ามาทำเรื่องคีย์บิลน้ำมันก็ไม่รู้
ปัญหาของแผนกขนส่งคือหาคนมาคีย์ค่อนข้างยาก

ระบุไปว่าขอเป็นผู้ชาย
อย่าเป็นผู้หญิงเป็นใช้ได้
เพราะรับมาทีไรก็โดนไอ้พวกพนักงานขับรถจีบหมด บางคนก็ทะลึ่งไม่รู้จัก
เวล่ำเวลา ถ้าเห็นก็แล้วไป แต่ถ้าไม่เห็น ผู้หญิงก็เสียหาย

อยู่ได้แป๊บๆ ก็พากันออกไปหมด
ไหนจะเรื่องชู้สาว ไอ้นั่นจีบ ไอ้นี่ก็จะจีบ แย่งกันจีบจนเป็นเรื่องเป็นราว
มีแต่เรื่องชวนปวดหัว

รับเป็นผู้ชายมาซะก็จบปัญหา อย่างไอ้น้องที่เพิ่งออกไป ก็นึกเสียดายอยู่กันมาได้ตั้งสองสามปี ปีนี้เสือกติดทหารซะงั้น
แล้วเวลาจะรับคนใหม่เข้ามา มันก็หายาก

ผู้ชายที่ไหนมันจะอยากมาทำงานกระจุกกระจิกแบบนี้
ปวดหัวตายห่า

ถือว่าช่วยพี่ก่อนแล้วกัน น้องเกาหลี
แผนกพี่มันแดนสนธยา สาวคนไหนมาถ้าไม่โดนจีบคงแปลก
ต่อให้หน้าตายังไง พอมาแผนกพี่ เสร็จไอ้พวกคนขับรถลูกน้องพี่หมด
เลยไม่รู้จะทำยังไงแล้วเนี่ย

บุ้งไม่ได้มีอคติอะไรกับเด็กฝึกงานอย่างเมืองมีนเลย
ไม่มีเลยสักนิด

แต่เพราะตัวเองเป็นคนแบบนี้ พูดจาง่ายๆ สบายๆ ไม่คิดอะไร
โดยที่ลืมคิดไป ว่าเพิ่งรู้จักกับเมืองมีนไม่นาน และเด็กฝึกงานอย่างมีนก็ไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่บุ้งเป็น

มีนไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว ไม่เข้าใจกับคำพูดคำจาที่บุ้งพูดออกมา

เดินมาหยุดที่หน้าประตูออฟฟิศแผนกขนส่ง
และบุ้งก็ปลดกุญแจที่ร้อยไว้ที่หูกางเกงออก เลือกลูกกุญแจไขของประตูออฟฟิศขนส่ง และไขเข้าไป

ไม่คิดอะไรเลยสักนิด
ไม่ได้คิดอะไรเลยตอนที่ไขประตูเข้าไป
ผิวปากอย่างอารมณ์ดี และเมื่อประตูถูกเปิดออก บุ้งก็ถึงกับผงะกับภาพที่เห็นตรงหน้า

“ไอ้ห่า…….ชิบหายแล้ว...”

“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยย พี่”

ไอ้น้องเกาหลีหน้าขาวกำลังยืนแก้ผ้า

ห่าเอ้ยยยยยยยยยยย

บุ้งถึงกับรีบดึงประตูปิดทันที หลังได้ยินเสียงโวยวายจากคนที่อยู่ในห้อง

“เหี้ยเอ้ยยยยยยยย .......... น้อง รีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้เลยนะโว้ยย”

ตะโกนเข้าไปในห้อง
และบุ้งก็รู้สึกเสียสายตากับภาพที่เห็นมาก

ส่ายหน้าด้วยความไม่พอใจ
และส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ

“แม่ง มาแก้ผ้าอะไรในนี้วะน้องงงงงงงงงง”

ตะโกนด่าให้คนในห้องได้ยินอีกครั้ง และเป็นมีนที่ถึงกับเกิดอาการลุกลี้ลุกลน รีบคว้ากางเกงมาสวมและกลัดกระดุมเสื้อด้วยมือที่สั่นเทา

หน้าแดงด้วยความอาย และอาการหน้าซีดด้วยความวิตกจริตก็ตามมาด้วยในเวลาไม่ช้า

โธ่โว้ย
ผมไม่ได้อยากมาแก้ผ้าอะไรในนี้เลยนะ ห้องก็ล็อคแล้วด้วย
แล้วพี่จะให้ผมไปเปลี่ยนชุดที่ไหนวะ ก็พี่บอกเองว่าให้เปลี่ยนในนี้ ไม่ต้องมาทำเป็นอาย

ผมก็ทำตามแล้วนี่ไง
แล้วพี่ไขกุญแจเข้ามาทำไมวะ แถมซ้ำยังมาด่าผมอีก ผมผิดใช่มั้ย
ตกลงผมผิดใช่มั้ยวะพี่บุ้ง

แม่ง.........

“เสร็จยังวะ น้องจะสนิมสร้อยอ้อยอิ่งไปถึงไหนวะ แค่ใส่เสื้อผ้าแค่นี้เองนะโว้ย”

ไม่ได้สนิมสร้อยอ้อยอิ่งอะไรทั้งนั้นแหละ
รีบจนมือเป็นระวิงขนาดนี้แล้ว พี่ยังจะหาว่าผมอ้อยอิ่งอีกหรือไงวะ

“เฮ้ย เร็วสิ เสร็จยังวะ”

ได้ยินเสียงตะโกนเร่งมาจากด้านนอก และมีนก็เลยต้องตะโกนตอบกลับไป

“เสร็จแล้ว ผมแต่งตัวเสร็จแล้ว”

ได้ยินเสียงที่ดังออกมาและคนที่อยู่ด้านนอกก็ผลักประตูเข้ามาในห้อง

บุ้งกำลังหน้าบึ้ง
เข้ามายืนทำหน้าบึ้งด้วยความไม่พอใจ
และมีนก็รู้ว่าพี่บุ้งไม่พอใจเรื่องอะไร

“ทำอะไรวะ คิดอะไรมาแก้ผ้าในนี้ ทำไมไม่หัดล็อคประตูวะน้อง”

นั่นมันใช่ที่ไหน ผมล็อคเรียบร้อยแล้ว ผมไม่ได้เป็นบ้าโรคจิตที่จะมาแก้ผ้าแก้ผ่อนเพราะอยากโชว์นะครับ

“ผมล็อคแล้ว พี่แหละไขเข้ามาทำไม”

ห๊ะ

ถูกพูดใส่หน้า และไอ้น้องเกาหลีหน้าขาวที่พูดใส่หน้าบุ้ง ก็ก้มหน้าก้มตาทำหน้างอใส่ ผิวแก้มขาว ๆ ขึ้นสีแดงเรื่อ

เห็นแบบนี้ก็คงไม่ต้องเดา น้องมันคงอาย

“เออว่ะ จริงด้วย”

ก็ใช่ไงพี่
มันความผิดของผมเหรอ ก็พี่เปิดประตูเข้ามาเอง แล้วพี่ก็มาโกรธผม แล้วก็ด่าผมไม่หยุด

“แล้วพี่จะรู้ได้ไงวะว่าน้องแก้ผ้าอยู่”

ก็ใช่ไงพี่
ที่พี่พูดผมก็คิดเหมือนกันไง

“แล้วผมจะรู้มั้ยว่าพี่จะไขประตูเข้ามา”

เออว่ะ

มันก็...........จริง อย่างที่น้องมันว่า...... นั่นแหละ

เนอะ……..

กลายเป็นบุ้งที่เหมือนเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้
น้องมันก็พูดถูกนะ กูไขของกูเข้ามาเอง น้องมันจะไปรู้ได้ยังไง

เออว่ะ ก็จริง.........

บุ้งที่ปกติทำได้หน้าเดียวคือหน้าดุ กับหน้าเฉย ตอนนี้สามารถทำหน้าเซ่อได้แล้ว

และมีนที่ก้มหน้าก้มตาตอกกลับคนที่พูดไม่คิด ก็ได้แต่ขบริมฝีปากแน่น

ไม่ใช่อะไรหรอก
ผมไม่ได้เป็นบ้าที่เที่ยวแก้ผ้าให้ใครดูไปทั่วนะพี่
ถึงจะผู้ชายเหมือนกัน แต่แบบนี้ผมว่ามันก็ไม่ใช่ ผมหน้าไม่ด้านพอที่จะเที่ยวมาแก้ผ้าให้ผู้ชายด้วยกันดู

“เอ้อ.....”

อะไรพี่
พี่ไม่ต้องเอ้อต้องอ้า อะไรทั้งนั้นแหละ

“บิลน้ำมันเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาคีย์ต่อ ผมเอาไม้บรรทัดคั่นไว้แล้ว กลับแหละพี่ หวัดดีครับ”

ยกมือไหว้คนที่ยังยืนหน้าเซ่อไม่หาย และมีนก็เดินลิ่ว ๆ จากไปทันที
ไม่รอฟังอะไรทั้งนั้น

ยอมรับว่าอาย และรู้สึกทุเรศตัวเองมาก

ก้าวขาเดินลิ่ว ๆ ไปที่หน้าป้อมยาม ดึงบัตรพนักงานของตัวเองออกมาและก็สอดเข้าไปในเครื่องตอกบัตรก่อนจะใส่คืนไว้ที่เดิม

พี่บุ้งแม่งบ้า
เป็นบ้าแน่ ๆ
อยู่ดีๆ ก็ไขประตูเข้ามา ไขเข้ามาแล้วก็ด่า
ด่าทำไมวะ ในเมื่อไม่ใช่ความผิดของผมซักหน่อย
ทำไมพี่ไม่โทษตัวเองบ้าง ทำไมพี่ไม่ด่าตัวเองบ้าง

พี่บุ้ง หัวหน้าแผนกขนส่ง ผมจะจำไว้เลย ว่าพี่เป็นคนยังไง
ผิดแล้วไม่ขอโทษ ไม่ขอโทษไม่ว่า ยังมาชี้หน้าด่าอีก

หัวหน้างานแบบนี้ แม่งรับไม่ได้ว่ะ
พี่บุ้งสุดยอดมาก ผมยอมรับเลยนะว่าพี่บุ้งเป็นคนที่เหลือเกินจริง ๆ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ออฟไลน์ aa_mm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-2
มีนเดินไปคิดไป

เดินไปบ่นพึมพำกับตัวเองไปตลอดทาง
ก้าวขาเดินให้เร็วขึ้น เพื่อจะได้เดินไปที่ถนนใหญ่ที่ไกลออกไป

ไอ้เพียรกลับไปนานแล้ว
ก่อนกลับมันยังมาชวนให้กลับพร้อมกัน แต่เพราะติดพันอยู่กับบิลเลยยังไม่กลับ

ที่จริงถ้ากลับไปพร้อมไอ้เพียรซะ ก็คงไม่ต้องมาเจอเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ แบบนี้

เพราะไม่ยอมกลับไปพร้อมไอ้เพียรไง ถึงได้เป็นแบบนี้

บ้าบอคอแตกที่สุด

เรื่องบ้า ๆ บอ ๆ อะไรก็ไม่รู้

ไม่อยากจะคิดต่อให้ปวดหัว เดินไปเรื่อย ๆ และมีนก็บ่นพึมพำกับตัวเองไปเรื่อย

บ่นไปตลอดทาง จนใครบางคนขับรถมอร์เตอร์ไซด์เข้ามาใกล้ และเรียกให้มีนหันไปหา

“น้อง.........”

ไอ้พี่บุ้ง

“น้อง”

ผมไม่ได้ยินหรอก ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

“น้องเกาหลี ไม่ต้องมาทำหูทวนลมแกล้งไม่ได้ยิน”

มีนหยุดเดินแล้ว และไม่ได้หันไปมองคนที่ชะลอมอร์เตอร์ไซด์มาจอดอยู่ข้าง ๆ

“ไปด้วยกัน เดินอีกตั้งไกล”

แล้วผมอยากไปมั้ย

“ไม่ต้องมาทำเงียบ เป็นตุ๊ดหรือไง ทำมาอาย โดนเห็นแค่นี้”

ผมไม่ได้โกรธที่พี่เข้ามาเห็นตอนที่ผมแก้ผ้า
แต่ผมโกรธที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พี่มาด่าผมปาว ๆ

สรุปว่าผมผิดว่างั้น

มีนไม่พูด ไม่ตอบ ไม่อะไรด้วยทั้งนั้น หยุดยืนฟังเงียบ ๆ
ก้มหน้าก้มตาฟัง แต่ไม่พูด

ไม่ตอบโต้
และคนที่ทนไม่ไหวกลายเป็นบุ้งซะเอง ที่ถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

กลุ้มเลยกู

นี่พี่เป็นหัวหน้างานน้องแล้วนะตอนนี้ แต่พี่ต้องมาง้อน้องเหรอวะ
มันใช่เรื่องมั้ยวะเนี่ย

“เกาหลี”

เกาหลีบ้าอะไร

ผมมีชื่อ พี่ไม่เคยสนใจจะถามชื่อผมเลย เรียกแต่อะไรก็ไม่รู้ ชื่อบ้อ ๆ บอ ๆ ถามผมยังว่าผมอยากให้เรียกแบบนี้หรือเปล่า

มีนยังคงไม่พูด

ยืนนิ่ง ยืนฟังนิ่ง ๆ ก้มหน้าก้มตาฟัง แต่ใบหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอใจ

“เฮ่อออออออออ”

พี่ไม่ต้องถอนหายใจหรอก ผมต่างหากที่อยากถอนหายใจมากกว่าพี่อีก

คิดแต่ไม่พูด

มีนคิดอยู่ในใจคนเดียว แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ไม่ได้พูดอะไรเลย

สุดท้าย บุ้งก็เลยต้องเป็นฝ่ายพูดแทน

“น้องมีน.......”

เรียก

และมีนที่ยืนก้มหน้าไม่ยอมพูด ก็เงยหน้าขึ้นมามองคนที่ยังอยู่บนมอร์เตอร์ไซด์ และมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด

“ถนนใหญ่มันไกล ........พี่ไปส่ง”

พูดแค่นั้น
ไม่ได้พูดอะไรมาก

และคนที่ยืนก้มหน้าก้มตาเฉย ๆ ในคราวแรก ก็มองหน้าของบุ้งตรง ๆ
มองและคนที่ถูกมองก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไง

“ป่ะ”

พยักหน้าเรียก และมีนก็เลยยอมก้าวขาขึ้นซ้อนท้ายมอร์เตอร์ไซด์ของบุ้ง

คนขับไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
พอ ๆ กับที่คนซ้อนก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไร

ระหว่างทางที่ไม่ไกลมากนัก
คนสองคนไม่พูดคุยอะไรกันเลย

มีนมองไปที่ข้างทาง
และบุ้งก็เหลือบสายตามองไปที่กระจกรถ มองหน้าคนซ้อนท้ายเป็นพัก ๆ
และไอ้น้องเกาหลี ก็ทำหน้าเหมือนคนเบื่อโลกอีกแล้ว

หันกลับมาสนใจกับถนน

และขับมาจนถึงถนนใหญ่
จอดรถที่ศาลาพักผู้โดยสาร และมีนก็ลงจากรถเรียบร้อย
ยกมือไหว้คนที่มาส่ง แม้จะก้มหน้าก้มตาไหว้ แต่มีนก็รู้ว่าคนเราต้องมีมารยาท
ยังไงก็อาศัยให้พี่บุ้งมาส่ง จะไม่ไหว้ก็ยังไง

และบุ้งก็พยักหน้ารับ
พยักหน้ารับและเหมือนคิดอะไรบางอย่างก่อนจะพูดออกมา

“พรุ่งนี้อย่าลืมเอาจานกับช้อนมาด้วยนะ จะได้มีจานกินข้าว วิเชียรมันจะซื้อปูจ๋ามาให้กินตอนกลางวัน”

ปูจ๋าคืออะไรไม่รู้
แต่ที่มีนรู้ คือยังไงก็ต้องเอาจานกับช้อนมา ห้ามลืมเด็ดขาด
เพราะพี่บุ้งมันย้ำนักย้ำหนา ขืนลืมเอามา เดี๋ยวมันก็หาว่าไม่รู้จักจำ จะยิ่งซวย

“ครับ”

พยักหน้ารับคำ และบุ้งก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อไป
บอกตรงๆ นะน้อง พี่ไม่รู้จะทำยังไงดี
น้องถึงจะ ………หายงอน..........

“กลับบ้านดี ๆ นะ”

พูดอะไรบางอย่างที่ดูจะไม่เข้าท่าเท่าไหร่ และมีนก็พยักหน้ารับสิ่งที่บุ้งพูด

“แล้ว.........พรุ่งนี้เจ็ดโมงครึ่งน้องมารอพี่ตรงนี้นะ จะได้เข้าไปพร้อมกันเดินเข้าไปมันไกลรู้มั้ย”

ผมรู้

แต่นั่นมันใช่หรือเปล่า
ผมมาเองกลับเองทุกวัน ไม่ต้องให้พี่ลำบากขนาดนั้นหรอก

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเพื่อนผมมารับ ผมเข้าไปพร้อมมันทุกวัน”

ปฏิเสธกันหน้าเฉย
และบุ้งก็รู้สึกเหมือนโดนต่อยเสยปลายคางเข้าอย่างจัง โทษฐานที่ห่วงใยโดยใช่เหตุ

“เหรอ.....เออ งั้นก็ตามใจ”

ตอบเสร็จเรียบร้อยแล้วบุ้งก็บิดมอร์เตอร์ไซด์จากไปทันที

บิดมอร์เตอร์ไซด์จากไป โดยมีสายตาของเมืองมีนมองตามไล่หลังและบ่นพึมพูดกับตัวเองเสียงเบา

“.........ให้ผมเข้าไปพร้อมพี่ ผมเดินเข้าไปเองยังดีกว่า ให้ตายผมก็ไม่เข้าไปพร้อมพี่หรอก.....พี่บุ้งแม่ง....โคตรบ้า”


TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-05-2014 23:38:18 โดย aa_mm »

ออฟไลน์ akiko

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
เพิ่งเห็นว่า คุณaoikyosuke มีเรื่องใหม่ เลยเข้ามาตามอ่านคะ

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
น้องมีนติสมาก

อั๊ยยะ ชอบจัง

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mapreaw

  • เคยคิดว่า "รักแท้มีอยู่จริง"
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 615
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
อุ๋ย!! เพิ่งเห็นนิยายคุณเท็น ติดตามค่า น้องมีนกับพี่บุ้งน่ารักมาก ว่าแต่จะคุยกันรู้เรื่องมั้ยนิ555

ออฟไลน์ kuankao

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ๊ากกก ชอบๆ ต่างกันคนต่างได้แต่คิดแต่ไม่พูด แล้วมันจะเข้าใจกันไหมม

ชอบที่มาต่อบ่อยๆมากก *กอดคนแต่ง* :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aa_mm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-2

รักเกิดในแผนกขนส่ง.....ตอน  การพนัน

บุ้งคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ทั้งโง่ ทั้งซื่อบื้อและเซ่อที่สุดในโลก

“เคยเข้าใจอะไรบ้างป่ะ หนูทนไม่ไหวแล้ว พี่บุ้งจะเป็นคนดีก็ดีไป แต่มันทำให้หนูดูแย่ลงเรื่อย ๆ”

ยืนหน้าเซ่อ ไปไม่เป็น เมื่อแฟนที่คบกันมาหลายปีวันนี้ก็มาพูดอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมันเป็นแค่ผู้ชายห่วย ๆ คนหนึ่งซึ่งไม่คู่ควรกับเธอเลย

“พี่บุ้งรู้ตัวป่ะ พี่บุ้งช่วยคนนั้นคนนี้ ใครมีอะไรให้ช่วยพี่บุ้งก็ช่วยไปหมด หนูรู้แล้วว่าพี่บุ้งดีกับคนอื่นไปทั่ว แต่พี่บุ้งเคยฟังกันบ้างป่ะ สนใจแต่คนอื่น เคยสนใจหนูบ้างมั้ย เคยมีเวลาให้หนูบ้างมั้ย”

มันคงเป็นความเหลืออดของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในสภาวะจำยอมมานานหลายปี

“ห่าง ๆ กันไปแบบนี้แหละดีแล้วพี่ บอกตรง ๆ หนูเหนื่อย”

ได้แต่นั่งนิ่ง
รู้ดีทุกอย่าง ว่าทำไมเธอพูดแบบนี้
แต่เพราะรัก ถึงยอมมาตลอดโดยไม่เคยพูดว่ารู้เรื่องราวอะไรมาบ้าง

“ให้โอกาสพี่อีกครั้งได้มั้ย”

เราไม่ได้เพิ่งคบกัน เธอคงจะโกรธ เธอคงจะโมโห เธอคงจะไม่พอใจ บุ้งแค่หลอกตัวเองว่าคงเป็นเพราะความโมโหและน้อยใจรวม ๆ กันของเธอ

ทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่เต็มอก ว่าที่จริงไม่ใช่
โอกาสมีให้ตลอด แต่บุ้งแค่ไม่อยากยอมรับความจริงว่าเธอหมดใจ

หมดใจมาได้พักใหญ่แล้ว

“พอเถอะ พี่เป็นคนดี หนูขอให้พี่ไปเจอคนที่ดีกว่าหนูเถอะ”

คำพูดสวยหรู แต่จริง ๆ ก็แค่ประโยคบอกเลิก ที่ถึงดูดีแค่ไหนสุดท้ายมันก็ทำร้ายจิตใจคนฟังอยู่ดี

ที่จริงเธอคงอยากพูดตรง ๆ ว่าขอให้ไปเจอคนที่ทนนิสัยช่วยคนอื่นไปทั่ว โดยไม่สนใจแฟน ไม่มีเวลาให้แฟน จะดีกว่า

“พี่เลวมากเลยเหรอ”

ไม่ใช่พี่บุ้ง
ไม่ใช่เรื่องดีหรือเลว
ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าพี่บุ้งไม่ดี
ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไข

แต่มันเป็นเรื่องของหัวใจ เรื่องความรู้สึกที่จืดจางลง แต่เธอไม่รู้จะใช้เหตุผลอะไรในการขอจากไป

“พี่บุ้ง หนูรักพี่นะ ตอนนี้หนูก็ยังรัก แต่ถ้าเราไปด้วยกันไม่ได้ เราก็ถอยกันคนละก้าวเถอะ”

ถอยกันคนละก้าว
ความหมายตรงๆ ก็คือ เราเลิกกันเถอะ เมื่อเธอยืนยันขนาดนั้นจะให้พูดอะไร จะให้บอกอะไร บุ้งก็ทำได้แต่นิ่งฟัง

ได้แต่ทนฟังไปเท่านั้น

“เอาไว้เราค่อยคุยกันใหม่นะพี่ เดี๋ยวหนูต้องไปธุระต่อ นี่ลาเขามาแป๊บเดียว พี่ไม่ต้องไปส่งหรอก หนูมากับเพื่อน พอดีเพื่อนแวะมาทางนี้หนูเลยขอติดรถเขามาด้วย”

ทำไมมันง่ายดายขนาดนั้น
บุ้งรู้สึกว่าขอบตาเริ่มร้อนผ่าว ภายในอกเหมือนมีหินก้อนใหญ่ยักษ์หล่นลงมาทับอย่างรุนแรง

จะลุกขึ้นยืนก็ยืนไม่ได้ จะทำอะไรต่อไปก็ทำไม่ได้

ได้แต่นั่งนิ่ง ไม่มีแม้แต่แรงจะลุก ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะรั้ง

พี่ดีเกินไป ไม่ใช่เหตุผล
เธอมีคนใหม่ นั่นเป็นเหตุผลที่ใช่กว่า
และบุ้งก็รู้มาได้พักใหญ่แล้ว แต่แค่หลอกตัวเอง และหวังว่าเธอจะกลับมา

หวังว่าเธอ........ยังคงรัก ยังคงรอ ทั้งที่จริง ๆ แล้วเธอห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ

จนในที่สุด ก็รั้งเธอไว้ไม่ได้อีก

รั้งไม่ได้อีกต่อไป เมื่อเธอเดินจากไปต่อหน้าต่อตา เดินจากไปขึ้นรถเก๋งคันใหญ่ที่เลี้ยวเข้ามาจอดที่ร้านอาหารเล็กๆ ที่เธอนัดมาคุยด้วย

รถคันที่บุ้งรู้ และจำหมายเลขทะเบียนได้
รู้หมดทุกอย่าง รู้ทุกสิ่งทุกอย่างว่าเจ้าของรถเป็นใคร

ทั้งที่รู้มานานแล้ว

แต่ก็ได้แค่มอง และไม่มีปัญญาทำอะไรได้

.....แฟนใหม่เธอเป็นนายตำรวจใหญ่ มีเกียรติ มีฐานะ....
แล้วคนอย่างบุ้งจะเอาปัญญาอะไรไปสู้

แค่นยิ้มให้กับตัวเอง
สมเพชตัวเองอย่างถึงที่สุด

ขนาดแฟนตัวเองทั้งคนยังไม่มีปัญญารักษาเอาไว้
ขนาดแฟนตัวเองทั้งคนยังไม่มีปัญญาจะเหนี่ยวรั้งเอาไว้

บุ้งได้แต่คิด
ได้แต่ครุ่นคิดอยู่คนเดียวอย่างนั้น

ช่วยคนอื่นได้ทุกเรื่อง ทำอะไรได้ทุกอย่าง
แต่มันน่าสมเพช และน่าหัวเราะเยาะ
ที่พอถึงเวลาเรื่องของตัวเอง กลับไม่มีปัญญาจะแก้ไข หรือทำอะไรได้เลย

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2014 23:28:35 โดย aa_mm »

ออฟไลน์ aa_mm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-2
หกโมงครึ่ง

เมืองมีนยืนนิ่ง
ชะงักค้างเล็กน้อย เมื่อผลักประตูออฟฟิศแผนกขนส่งเข้ามาแล้วพบกว่ามีใครบางคนเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ทำงาน

และคน ๆ นั้นก็หรี่ปรือตาขึ้นมามอง ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้งและไม่ได้พูดอะไรออกมา

และมีนคิดว่า พี่บุ้งคงไม่ได้หลับจริง คงนั่งหลับตาเฉย ๆ มากกว่า

“หวัดดีครับพี่”

ทักทายก่อน เพราะว่าเด็กกว่า มีนรู้ว่ามารยาทที่ดีควรทำยังไง

และพี่บุ้งก็ปรือตาขึ้นมามองอีกครั้ง

“หวัดดีครับ”

คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานขานรับแค่นั้น และมีนก็เลยได้แต่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ เพราะพี่บุ้งยึดโต๊ะคอมพิวเตอร์และเก้าอี้ไปเรียบร้อยแล้ว

“กินข้าวมายังล่ะเรา”

ข้าวเหรอ
ที่จริงก็คือว่ายัง
รีบมา
ออกมาตั้งแต่เช้า เพราะไอ้เพียรบอกว่าวันนี้พี่มันจะขับรถมาส่ง
เลยเกรงใจมัน ไม่อยากรบกวน

อันที่จริงคือเมื่อคืนนอนคิดเรื่องที่พี่บุ้งด่าทั้งคืนจนนอนไม่หลับ

ก็เลยตื่นตั้งแต่ตีห้าและอาบน้ำแต่งตัวมาทำงาน

หกโมงครึ่ง เช้าเกินไป
ไม่รู้ว่ามาทำไม แต่ก็มา

เดินเข้ามาเรื่อย ๆ

และเจอคนที่มาเช้ากว่า

“ยังครับ”

ตอบกลับไปและมือก็จับสายกระเป๋าเป้เอาไว้ เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟาตัวเล็ก หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์

นั่งบื้อไม่รู้จะทำอะไรดี

“อือ”

ได้ยินเสียงตอบกลับของคนที่นั่งหลับตา และมีนก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์เดิม ๆ อากาศหายใจภายในห้องเริ่มลดน้อยลงอีกแล้ว

“มีโกโก้ซอง แล้วก็กาแฟ พี่ใส่ตะกร้าไว้ข้างกระติกน้ำร้อน ชงเอานะ”

อ่า

ชงเอาคือ.....

“เออใช่ ไม่มีแก้วนี่หว่า เอาแก้วพี่ไปใช้ อันนี้ล้างแล้ว พอดี มันแถมมากับกาแฟ ที่บ้านมีอีกเยอะ”

คนที่นั่งหลับตาปรือตาตื่นขึ้นและเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักโต๊ะ หยิบแก้วกระเบื้องที่มีโลโก้กาแฟยี่ห้อหนึ่งออกมา และวางไว้บนโต๊ะ

“น้อง....พี่ฝากชงให้พี่แก้ว......ใส่น้ำตาลกับครีมอย่างละช้อน น้ำไม่ต้องเยอะ”

อ่อ ที่ให้แก้ว เพราะว่าจะใช้ให้ชงกาแฟว่างั้น

มีนวางกระเป๋าเป้ของตัวเองไว้บนโซฟา และลุกขึ้นมาหยิบแก้วสองใบ

เดินไปที่โต๊ะวางกระติกน้ำร้อน
และจัดการฉีกซองโกโก้และกาแฟใส่ลงไปในแก้ว
เติมน้ำตาลและครีมอย่างที่พี่บุ้งบอก กดน้ำร้อนใส่ลงไปและถือแก้วสองใบเดินออกมา

“น้องเอาไว้นั่นแหละ เดี๋ยวให้มันเย็นก่อน”

และมีนก็ถึงได้รู้ ว่าบางทีพี่บุ้งที่เหมือนจะหลับ แต่จริง ๆ ไม่ได้หลับ และเฝ้ามองทุกการกระทำของมีนตลอดเวลา

แต่ก็ช่างมัน
จะจับผิดหรืออะไรก็ช่างมัน

แม้ไม่อยากจะคิด แม้ไม่อยากจะรู้สึก แต่วันนี้มีนคิดว่าพี่บุ้งดูแปลก ๆ

แปลกออกไปจากเมื่อวาน

ดูนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่

มีนไม่รู้และไม่กล้าถามว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร
ไม่กล้าก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว ไม่กล้ายุ่งเรื่องส่วนตัว
เป็นแค่เด็กฝึกงาน ก็ฝึกแค่งานอย่างเดียวพอ

ไม่ควรไปยุ่งอะไรกับเรื่องส่วนตัวของหัวหน้างาน

“น้อง อีกสิบนาทีปลุกพี่ด้วย”

ปลุกเหรอ
มีนกำลังยกแก้วโกโก้ขึ้นเป่า และเหลือบสายตามองหน้าของคนที่นั่งเอนหลังหลับตาอยู่บนเก้าอี้

“ครับ”

ขานรับกลับไป และเป่าเบา ๆ ให้โกโก้ที่ชงคลายความร้อนลงบ้าง

ยกข้อมือขึ้นดูเวลา
และจำไว้ว่าเข็มยาวควรเดินไปถึงเลขอะไรแล้วค่อยปลุก

ผมว่าวันนี้พี่ดูแปลก ๆ ไปนะ
ดูซึม ๆ เศร้า ๆ พิกล

เศร้ามาก

จนไม่เหมือนพี่บุ้งคนก่อน ที่ผมรู้จักเลย

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ออฟไลน์ aa_mm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-2
“พี่ครับ สิบนาทีแล้ว”

เมืองมีนเดินไปเรียกคนที่หลับอยู่บนเก้าอี้
และบุ้งก็หรี่ปรือตาขึ้นมอง ก่อนจะหลับลงอีกครั้ง

“อือ”

ขานตอบกลับแค่นั้น และมีนก็ถอยห่างออกมา

เรียกแล้วนะ พี่หลับต่อผมไม่รู้ด้วยนะ

เอายังไงพี่ จะนอนต่อหรือจะตื่นก็แล้วแต่พี่แล้วกัน

เดินกลับมานั่งที่โซฟาเหมือนเดิมแล้ว
และมีนก็มองคนที่นั่งหลับตาอยู่ว่าจะทำยังไงต่อไป

ในเวลาถัดจากนั้นไม่นาน พี่บุ้งปรือตาขึ้นอีกครั้ง และค่อย ๆ ขยับนั่งตัวตรง

แล้ว........พี่จะถอนหายใจขนาดนั้นไปทำไม

ผมไม่รู้นะว่าพี่ถอนหายใจทำไม แต่ที่ผมรู้ พี่คงมีเรื่องอะไรให้คิดอยู่แน่ ๆ

เรื่องบางอย่างที่ทำให้ไม่สบายใจ จนต้องถอนหายใจ
เรื่องที่มีนรู้ว่าไม่เกี่ยวกับมีนเลย

น่าจะเรื่องส่วนตัว
ปัญหาส่วนตัว

ซึ่งไม่ใช่เรื่องของมีนที่จะรู้ว่ามันคืออะไร

“ยังไม่ถึงเวลางานเลย น้องนั่ง ๆ ไปก่อนก็ได้ เดี๋ยววันนี้คีย์สองปึกนี่ก่อนแล้วกันนะ เมื่อเช้าพี่ตรวจแล้ว มีผิดอยู่หลายที่เหมือนกัน น้องค่อย ๆ คีย์ไม่ต้องรีบ ยิ่งรีบมันยิ่งผิด ค่อย ๆ ดู อันไหนไม่ชัดเก็บไว้ถามพี่ เดี๋ยวพี่มาบอก”

สั่งงานเรียบร้อย
คว้าเสื้อทำงานตัวนอกมาคลุมทับเสื้อยืดที่ใส่อยู่

และลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปหยิบแก้วกาแฟที่เย็นลงแล้วมาถือเอาไว้

ยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด และวางกลับลงที่เดิม

“เดี๋ยวเที่ยงพี่เข้ามา รถเริ่มเข้าแล้ว ฝากล้างแก้วด้วยแล้วกัน แล้วเอาจานกับช้อนมาหรือเปล่า”

จานกับช้อนเหรอพี่

“เอามาครับ”

ตอบกลับไปเรียบร้อย และบุ้งก็พยักหน้าให้

“เออดีแล้ว เดี๋ยวกลางวันรอวิเชียรเอาข้าวมาส่งนะ ซักแปดโมงกว่าค่อยเปิดแอร์ก็ได้ ถ้าน้องไปไหนก็อย่าลืมปิดแอร์ปิดไฟด้วย ห้ามลืมเด็ดขาด”

พี่บุ้งสั่งเรื่องที่มีนควรรู้และปฏิบัติตามเรียบร้อย
และก็ผลักประตูเดินออกไปจากออฟฟิศ

สิ่งที่มีนสังเกตเห็นได้ชัด คือดวงตาที่มีแววหม่นหมองลงของพี่บุ้ง

ผมก็ไม่ใช่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบพี่หรอกนะ

ไม่ว่าพี่บุ้งคนไหน ก็ทำให้อากาศหายใจลดน้อยลงได้เรื่อย ๆ พอ ๆ กัน

เอาตรง ๆ ผมก็ไม่ชอบพี่บุ้งที่ด่าผมเท่าไหร่
แต่ผมว่า..........อย่างน้อยมันก็ดีกว่าพี่บุ้งคนนี้

พี่บุ้งคนนี้ไม่เหมือนพี่บุ้งคนนั้น
พี่บุ้งคนนี้ดูซึมเศร้า และไม่มีชีวิตชีวา

ที่จริง จากความรู้สึกผมเองเลยนะ ผมว่า………ผมรู้สึก........

ไม่ชอบพี่บุ้งคนที่เงียบ ๆ เฉย ๆ ซึม ๆ คนนี้เลย

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ออฟไลน์ aa_mm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-2
“เกาหลี เกาหลี พี่บุ้งบอกว่าให้เกาหลีแกะข้าวกินได้เลย เที่ยงแล้ว”

มีนเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินพรวดพราดเข้ามาพร้อมกับถุงใส่ข้าวถุงใหญ่

พี่วิเชียรเป็นลูกน้องพี่บุ้ง ดูแล้วคงสนิทสนมกันดี เพราะเห็นบางทีพี่วิเชียรโดนพี่บุ้งด่าก็ไม่เห็นโกรธอะไร

แถมซ้ำยังหัวเราะชอบใจซะอีก

“ขอบคุณครับพี่วิเชียร”

ยกมือไหว้ขอบคุณคนที่เอาข้าวมาส่งเรียบร้อย และมีนก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบธบบัตรและเหรียญออกมานับ

“เท่าไหร่ครับพี่”

ถามราคาค่าข้าว และพี่วิเชียรก็โบกไม้โบกมือบอกว่าไม่ต้องจ่าย

“พี่บุ้งเขาให้ซื้อมาเผื่อเกาหลีด้วย นี่เขาจ่ายตังค์แล้ว”

อ้าว

...........เหรอครับ

ชะงักมือด้วยความงุนงง
และพี่วิเชียรที่เอาข้าวมาส่งก็เริ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“นาน ๆ จะมีคนทนอยู่นี่ได้ ข้างนอกเขาพนันกันว่าเกาหลีจะอยู่ไม่เกินสามวัน แต่พี่ว่าเกินสามวัน เกาหลีอยู่ให้เกินสามวันก่อนนะ พี่เล่นข้างเกาหลีไว้เยอะ”

ห๊ะ

อะไรนะพี่

พวกพี่เล่นอะไรกันวะ เอาผมไปพนันว่าจะอยู่ได้กี่วันเนี่ยนะ
พวกพี่คิดกันได้ไง

“แล้วทำไมผมถึงจะอยู่ไม่เกินสามวันล่ะพี่”

ก็ไม่ทำไมหรอก

“ก็เห็นมากี่คน อยู่ได้ไม่ถึงสามวันก็ออก แล้วแบบเกาหลีนี่ดูท่าแล้วไม่น่าจะทนงาน ยิ่งเจอพี่บุ้งด้วย ยิ่งไม่น่าจะเกินสามวัน”

เฮ้ยยยยยย
หน้าผมมันดูไม่สู้งานขนาดนั้นเลยเหรอพี่

“ผมดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอพี่”

มันก็ไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้นหรอก

“ก็ไม่ใช่อะไร ขนาดคนที่เหมือนจะทน ๆ ได้ยังออกเลย นี่เกาหลีเหมือนคนไม่เคยทำงาน เหมือนพวกหล่อ ๆ ทำงานไม่เป็น แค่หน้าตา เกาหลีก็ไม่ผ่านแล้ว ไม่ควรมาทำงานแผนกนี้”

ขนาดนั้นเลยเหรอพี่

“แต่นี่เกาหลีมาได้จะสามวันแล้ว อยู่ให้เกินสามวันนะ พี่เล่นข้างเกาหลีไว้เยอะจริง ๆ”

พูดมาทั้งหมดเพื่อการนี้เลยหรือไงพี่วิเชียร

“ช่วยพี่หน่อยนะเกาหลีนะ”

ช่วยอยู่ให้ครบสามวันเนี่ยนะ สุดยอดไปเลยพี่

“ครับ ๆ อยู่ให้ครบก็อยู่ให้ครบ”

ตอบรับกลับไปเสียงเบา และมีนก็นึกอยากจะขำและหัวเราะออกมาเสียงดังๆ ให้รู้แล้วรู้รอด

พี่วิเชียรเปิดประตูเดินจากไปแล้ว เหลือแค่มีนที่นั่งเบ้หน้าอยู่คนเดียวในห้อง

นี่เล่นกันถึงขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย
มิน่าล่ะไอ้พี่บุ้งมันถึงได้ด่าเช้า ด่าเย็น
แล้วอยู่ดีๆ วันนี้เกิดซึมเศร้าขึ้นมาซะงั้น

ที่แท้........ สงสัยคงจะเล่นข้างที่กูจะออกจากงานก่อนสามวันไว้เยอะนี่เอง



TBC.

ออฟไลน์ aa_mm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-2

รักเกิดในแผนกขนส่ง.....ตอน  อคติ


บ่ายโมงกว่าแล้ว

และพี่บุ้งก็เพิ่งผลักประตูออฟฟิศเปิดเข้ามา

มีนเงยหน้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ และก้มลงมาสนใจกับการคีย์บิลต่อ

“น้อง กินข้าวยัง”

กินแล้ว

“ผมกินแล้ว”

ตอบกลับเรียบ ๆ และมีนก็ยังก้มหน้าก้มตาคีย์บิลต่อไป ทำเหมือนไม่สนใจคนที่กำลังยืนมองถุงข้าวที่วางไว้บนโต๊ะและเริ่มขมวดคิ้วมุ่น

“แล้วทำไมมีข้าวสองถุง”

ก็มีสองถุงสิ
ผมไม่ได้กินข้าวที่พี่ซื้อให้ มันก็ต้องเหลือสองถุง

“ผมไปกินกับเพื่อนที่โรงอาหารมา”

กินกับเพื่อนที่โรงอาหาร........

“แล้วปูจ๋าในถุงอ่ะ ทำไมไม่กิน”

ก็ผมไม่อยากกิน

“ผมไม่ค่อยหิว”

ถามอย่างตอบไปอีกอย่าง ตอบว่าไม่หิวแต่ว่าไปกินข้าวกับเพื่อนที่โรงอาหาร หมายความว่ายังไงวะ

บุ้งกำลังมองหน้าเด็กฝึกงานที่มีท่าทีนิ่งเฉย แต่ดูออกไม่ยาก ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่างแน่ ๆ

“เป็นอะไร”

ผมไม่ได้เป็นอะไร
พี่แหละเป็นอะไร

“ไม่ได้เป็น ผมคีย์บิลน้ำมันให้พี่อยู่”

แบบนี้มันเป็นชัด ๆ

“ไหนวางมือมาคุยกันก่อนซิน้อง”

เมืองมีนหยุดมือที่กำลังพิมพ์ หยุดและใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยก็เริ่มตึงขึ้น

ไม่ใช่คนไม่สู้คน
ใครทำอะไรไว้ ก็ควรได้รับอย่างนั้น จะให้ยอมคนทุกอย่างไปหมดทุกเรื่องมีนก็ทำไม่ได้
ยอมเฉพาะเรื่องที่สมควรยอม เรื่องไม่สมควรยอม มีนไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะต้องยอม

“เป็นอะไร ไหนพูดมาซิ”

พี่จะให้ผมพูดอะไร ในเมื่อผมไม่มีอะไรจะพูด คนที่ควรจะพูดมันเป็นพี่ไม่ใช่เหรอ

“ไม่มี”

ไม่มีได้ยังไงวะ ก็เห็นอยู่ว่ามี

“พูด”

ผมไม่พูด พี่จะทำไมผม
พี่เป็นแค่หัวหน้างาน ผมไม่ได้กลัวพี่เลยซักนิด ถ้ามันฝึกไม่ผ่านผมก็แค่ออก ผมก็ไม่ได้อยากจะมาฝึกงานเท่าไหร่หรอก

ถ้าแม่ไม่ขอร้องให้สึกออกมา แล้วมาฝึกงาน มาเรียนให้จบ
ผมก็ไม่ได้อยากออกมา

“....................”

เมืองมีนยังนั่งเงียบ แต่ใบหน้าที่ขึ้นสีเรื่อ ก็แสดงให้รู้ชัดว่ากำลังโกรธไม่ต่างกัน

“เป็นอะไร พูดดี ๆ อย่าให้พี่ด่า”

พี่ก็ด่าผมอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ ถ้าพี่จะด่าอีกผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่แล้ว

“.............”

ไม่ตอบ ไม่พูด และยังคงขบริมฝีปากแน่น และนั่งนิ่ง
และในเวลานี้กลายเป็นบุ้งที่รู้สึกปวดหัวจี๊ด ๆ ขึ้นสมอง

เรื่องส่วนตัวก็จะบ้าแล้ว
ไหนจะเรื่องงาน เรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วยังเรื่องไอ้น้องฝึกงานที่ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆ เกิดเป็นอะไรบ้าอะไรขึ้นมาอีก

“น้องเมืองมีน......คุยกันแบบคนโตแล้ว น้องมีอะไรไม่พอใจพี่ น้องพูดมาเลยครับ มีอะไรเราจะได้หาทางช่วยกันแก้ไข พี่ยังอยากให้น้องทำงานอยู่กับพี่ไปอีกนาน ๆ”

อยากให้ทำงานอยู่กับพี่ไปอีกนานๆ เหรอครับ
แล้วที่พี่เอาผมไปพนันกับลูกน้องพี่ พี่นึกว่าผมไม่รู้หรือไง

“อยากให้ผมทำงานกับพี่นาน ๆ แล้วพี่เอาผมไปพนันทำไม”

พนัน
พนันห่าอะไรวะ
พนันเรื่องอะไร
ยังไง

บุ้งขมวดคิ้วมุ่น สิ่งที่มีนพูด บุ้งไม่เข้าใจเลยสักนิด
พนันบ้าอะไรวะ พนันบ้อบอคอแตกอะไร พนันเรื่องอะไร
ไอ้น้องนี่มันเอาอะไรมาพูด

“พนันเรื่องอะไรน้อง พี่จะเอาอะไรไปพนัน หรือน้องคิดว่าพี่พนันเรื่องน้องเนี่ยนะ น้องเป็นอะไรมากป่าว คิดไปเองหรือเปล่าน้อง น้องมีอะไรให้พี่ต้องพนัน”

เออใช่
คนมันจะไม่ยอมรับ มันก็ไม่ยอมรับอยู่วันยังค่ำแหละ
ยิ่งพี่บุ้งเป็นหัวหน้างานด้วยนะ.

ไอ้เรื่องที่จะมายอมรับว่าพนันเรื่องเด็กฝึกงานอยู่หรืออยู่ไม่ถึงสามวัน เป็นใครจะยอมรับว่าพนันจริง เดี๋ยวก็เสียชื่อหัวหน้างานหมด

“ผมจะอยู่ให้ได้เกินสามวัน”

ก็ดีแล้วไงน้อง

“แล้วน้องมีปัญหาอะไรถึงจะอยู่ไม่เกินสามวัน”

ยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีก มองหน้าของเด็กฝึกงานแล้วบุ้งก็ยิ่งสงสัยว่าตกลงไอ้น้องคนนี้มันเป็นอะไรกันแน่

“พี่นั่นแหละจะมีปัญหา ถ้าผมอยู่ไม่ถึงสามวันพี่ก็อดได้เงินที่พี่พนันไว้กับลูกน้องพี่ไง”

ห๊ะ

พนันไว้กับลูกน้องพี่
พนันกับลูกน้องพี่เนี่ยนะ
บ้าเปล่าวะ

กูจะทำอย่างนั้นไปเพื่อ……..
คนคีย์บิลแผนกขนส่งยิ่งหายาก ๆ อยู่ กูจะทำอย่างนั้นไปทำเพื่ออะไรวะ บ้าแล้วววววววววว

“ไอ้เชียรใช่มั้ย”

เริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาลาง ๆ
งานนี้ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้เลยว่าใครเป็นตัวต้นเรื่อง

“ไม่เกี่ยวกับพี่วิเชียร”

ชัดแหละงานนี้ บอกว่าไม่เกี่ยว แต่กูรู้เลยว่าเกี่ยวแน่ ๆ
เกี่ยวแบบชัด ๆ

บุ้งผลักประตูออกไปแล้ว และตะโกนจากหน้าประตูออฟฟิศแผนกขนส่งไปถึงลานรับสินค้าเสียงดังลั่น

“ไอ้เชียรรรรรรรรรรรรร ไอ้วิเชียร มึงมานี่เลย ไอ้เหี้ยยยยย มึงมาเคลียร์กับกูเดี๋ยวนี้”

มีนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร
แต่ที่แน่ ๆ มีนรู้ว่าพี่บุ้งกำลังโกรธจัด
โกรธมาก
โกรธสุด ๆ และตะโกนเรียกพี่วิเชียรที่อยู่ที่ลานจอดรถให้มาหาในเวลานั้นทันที

“ไอ้เชียรรรรรรรรรมึงมาหากูเดี๋ยวนี้”

ถึงกับสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนซ้ำอีกครั้ง และในเวลาไม่นานพี่วิเชียรก็วิ่งมา

วิ่งมาหา

และพี่บุ้งก็ยืนท้าวเอวมองพี่วิเชียรด้วยสีหน้าโกรธจัด

“มึงใช่มั้ย มึงกับลูกน้องมึงพนันกันใช่มั้ย”

พนันเหรอ
ผมเปล่าครับพี่ ผมเปล่า

“ไม่มีพี่บุ้ง ไม่ได้พนันเลย ที่น้องเกาหลีมันจะอยู่ถึงหรือไม่ถึงสามวัน พวกผมไม่ได้พนันกันเลย”

ชัดเจน

“ตกลงมึงอยากพักงานใช่มั้ย”

เปล่าพี่
ผมไม่ได้อยากพัก
ผมเปล่าพนันเลยพี่
ผมเปล่า

“มึงรู้มั้ย น้องมันเข้าใจว่ากูไปพนันกับพวกมึงด้วย น้องมันหาว่ากูไม่อยากให้มันทำงานด้วย มึงจะให้กูทำยังไง มึงพูดมาวิเชียร มึงพูดมา มึงคิดว่าคนคีย์บิลแผนกนี้หาง่ายนักหรือไง ถึงได้พนันเหี้ยๆ กันแบบนี้ ถ้าพวกมึงอยากให้น้องมันไปนัก พวกมึงมาคีย์บิลกันเองเลยมั้ย ไอ้พวกเหี้ย มีคนช่วยงานดี ๆ ไม่ชอบ เสือกหาเรื่องให้เขาออก กูซวยตลอดก็เพราะพวกมึงนี่แหละ เคยสำนึกกันบ้างมั้ยวะ ไอ้เหี้ยเชียร”

เสียงพี่บุ้งตะคอกด่าพี่วิเชียรดังลั่น
และมีนก็ขมวดคิ้วมุ่นเพราะความไม่ชอบใจ

ทำไมต้องตะคอกขนาดนั้น ทำไมต้องด่าขนาดนั้น
พูดกันดี ๆ ไม่ได้หรือไง

ทำไมพี่บุ้งต้องไปตะคอกพี่วิเชียรขนาดนั้นด้วย

แบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือไง

“มึงจะสำนึกมั้ยวิเชียร มึงจะหัดสำนึกบ้างได้มั้ย”

สำนึกสิพี่
ผมสำนึกแล้ว

“ผมขอโทษจริง ๆ พี่ ผมขอโทษ”

พี่วิเชียรยกมือไหว้พี่บุ้งสองสามครั้ง และพี่บุ้งที่เหมือนกำลังโมโหจัด ๆ ก็ถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาจนแทบไม่อยากจะด่าจะว่า เพราะถึงด่าไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

ด่าไปก็เท่านั้น

“เมื่อไหร่มึงจะเลิกพนัน ที่จะซุกหัวนอนตอนนี้มึงยังแทบจะไม่มี เมียมึงหอบลูกหนีไปกี่รอบแล้ว กูพูดกี่ครั้งแล้ววะเชียร เมื่อไหร่มึงจะสำนึก เมื่อไหร่มึงจะคิดได้ เมื่อไหร่มึงจะเลิกวะ กูพูดไปมึงเคยฟังกูมั่งป่าววะ มึงไปถามคนอื่นเหอะเชียร เป็นคนอื่นยังจะมีใครเอามึงเก็บไว้มั้ย นี่กูเห็นแก่หน้าลูกมึง ถ้าไม่เพราะว่าลูกมึงยังต้องกินนมกระป๋องอยู่ มึงคิดว่ากูจะเก็บมึงไว้มั้ย มึงทำตัวแบบนี้มากี่รอบแล้ววิเชียร”

บุ้งไม่รู้จะทำยังไง
ไม่รู้จะจัดการยังไงกับลูกน้องที่อาการเกินเยียวยา

ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง และส่ายหน้าด้วยความกลุ้ม

“พี่บุ้ง....ผมขอโทษพี่”

พี่วิเชียรยกมือไหว้ คราวนี้ไม่ใช่แค่ไหว้ แต่ไหว้พร้อมน้ำตา

มีนเห็น

เห็นชัดเพราะออกมายืนดูด้วย

“มึงอย่าให้กูต้องทำอะไรไม่ดีเลยเชียร กูก็รับตัวเองแบบนั้นไม่ค่อยได้หรอก”

ผมรู้พี่
ผมรู้

“ผมขอโทษพี่บุ้ง ผมขอโทษ ต่อไปผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ผมขอโทษจริง ๆ พี่ ผมขอโทษ”

พี่วิเชียรยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา และยกมือไหว้พี่บุ้งซ้ำ ๆ กันอีกหลายครั้ง

“ครั้งสุดท้ายนะเชียร ไม่มีครั้งอื่นแล้วนะ”

ครั้งสุดท้ายจริงๆ พี่ ครั้งสุดท้าย
ผมสัญญาต่อไปนี้ผมจะไม่พนันอะไรแบบนี้อีกแล้ว

“มึงไปขอโทษน้องมันก่อนไป เกิดมันไม่ยอมอยู่ขึ้นมา เราจะลำบากต้องมานั่งคีย์บิลกันเองหมด”

เอ่ยบอก และพี่วิเชียรก็เดินมาหยุดยืนตรงหน้ามีน

ยืนและยกมือไหว้ จนมีนรีบรับไหว้แทบไม่ทัน

“น้องพี่ขอโทษ พี่บุ้งเขาไม่ได้พนันอะไรกับพี่นะน้อง พี่บุ้งเขาไม่เกี่ยว น้องอย่าเพิ่งไปเลยนะ”

พี่วิเชียร….

ผม........ผมก็ไม่ได้....จะ.....อะไรขนาดนั้นหรอกพี่
ผมไม่ได้........

“อย่าไปโกรธพี่บุ้งเขานะ พี่พนันกันเองแหละ เขาไม่เกี่ยว”

พี่วิเชียรยังพูดอะไรบางอย่างซ้ำ ๆ ด้วยใบหน้าเซื่องซึม และมีนก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี นอกจากพูดว่าไม่เป็นไร

“ไม่เป็นไรพี่ ไม่เกี่ยวกับพี่หรอก ผมเข้าใจของผมผิดไปเองคนเดียว ผมรู้แล้วว่าพี่บุ้งไม่เกี่ยว ผมขอโทษพี่เหมือนกันที่ดึงพี่มาเกี่ยวด้วย”

เมืองมีนกำลังรู้สึกผิด
รู้สึกผิดที่ทำอะไรไปโดยไม่หัดคิด
ไม่คิดและไม่ถามถึงที่มาที่ไปของปัญหา คิดเองเออเองคนเดียวเสร็จสรรพ จนทำให้มีคนต้องถูกเข้าใจผิด

และถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น พี่บุ้งคงถูกเข้าใจผิดไปอีกยาว

“ไปทำงานมึงก่อนเหอะ รถเข้าแล้ว เดี๋ยวกูขอกินข้าวแป๊บนึงก่อน เดี๋ยวกูตามไป”

สั่งลูกน้องให้ไปทำงานได้แล้ว และบุ้งก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

กลุ้มใจ
มีแต่เรื่องให้กลุ้มใจ เรื่องเล็ก ๆ ที่น่ากลุ้มใจ
และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะแก้ปัญหาได้หมดทุกเรื่อง

มองหน้าของเด็กฝึกงานที่ยืนนิ่ง ทำหน้าจ๋อย แล้วก็นึกสงสารขึ้นมา

“น้องไม่ต้องคิดอะไรนะ ไปทำงานเหอะ พี่เจอแบบนี้บ่อย ชินแล้ว”

ชินแล้วเหรอ
ชินแล้วที่ว่า หมายความว่า..........โดนเข้าใจผิดแบบนี้บ่อย ๆ จนชินแล้ว..........ใช่หรือเปล่า

โดนเข้าใจผิดแบบนี้บ่อย ๆ ใช่มั้ยพี่

“ผมขอโทษพี่”

ยกมือไหว้หัวหน้างาน และมีนก็เดินคอตกไปนั่งบนเก้าอี้ มองไปที่บิลปึกใหญ่ และก็เริ่มหยิบบิลแต่ละใบมาเปิด ลงมือคีย์งาน และแอบลอบมองคนที่แกะถุงข้าวออกและนั่งกินข้าวคนเดียวเงียบ ๆ

ปูจ๋า เป็นยังไงมีนก็ยังไม่รู้

แต่ที่รู้พี่บุ้งนั่งกินข้าวคนเดียวเงียบ ๆ อยู่บนโซฟาหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์

กินคนเดียวเงียบ ๆ เงียบจนมีนรู้สึกว่าอากาศหายใจภายในห้องเริ่มลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ อีกครั้ง

ลดน้อยลงไป
ลดลงไป

ลดลงจนหายใจแทบไม่ออก
อึดอัด

รู้สึกอึดอัดใจในความเงียบงันแบบนั้น

จนกระทั่งพี่บุ้งกินข้าวเสร็จ และถือจานข้าวที่กินแล้วเอาไว้ในมือและหันกลับมาพูดอะไรบางอย่าง ให้มีน ได้คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปมันแย่และไม่ควรทำ

มีนรู้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองคิดกับคนตรงหน้ามันเต็มไปด้วยอคติ

อคติที่ไม่ดี

“ปูจ๋าอร่อยนะ แต่กินหมดสองห่อพี่ก็กินไม่ไหว พี่อิ่มแล้ว ถ้ายังไงน้องก็หิ้วเอากลับไปกินที่บ้านด้วยก็ได้ หรือไม่ก็เก็บไว้กินตอนบ่าย ........ถ้าน้องหิวก็แกะข้าวกินอีกรอบก็ได้นะ พี่ไม่ว่าอะไร”



TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2014 23:28:06 โดย aa_mm »

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
กรี๊ดอ่ะ จีบแบบนี้ไม่ไหวนะ........ใจสั่น....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2014 09:49:36 โดย ka[ze]na »

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
สงสารพี่บุ้งอ่ะ  งือ  น้องมีนจ๋ารักพี่บุ้งเร็วๆนะ

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
พี่บุ้งที่น่าสงสาร~~!!!!
มีเรื่องเข้ามาไม่หยุด
แต่ทั้งพี่บุ้ง แระ มีน ก้อน่าจะพูดเรื่องที่ควรพูดกันบ้างนะ
ไม่งั้นก้อเข้าใจไปคนละทางอย่างนี้ตลอดเวลา =_=

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
พี่บุ้งน่ารักเกินไปแล้ว  :mew1:
การไม่พูด ไม่แสดงออกทางความคิด มักจะนำมาซึ่งปัญหาเสมอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จุกๆเจ็บๆ สงสารพี่บุ้ง

ออฟไลน์ hibatsumoe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ชอบพี่บุ้ง แกดูเป็นคนดีอ่ะ แบบดีเกิน 555

แต่ดันมีเรื่องให้เข้าใจคนละทางกะน้องมีนซะงั้น

ชอบชื่อน้องเกาหลี น่ารักมาก >///<
ขอรอลุ้นด้วยคนนะคะ

ออฟไลน์ Pumpkin

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
บีบหัวใจ....แต่ความรู้สึกก็ไม่ได้ลบไปซะหมดหรอกนะคะ ยังมีบวกอยู่บ้าง
คนเพิ่งมาเจอกันได้อยู่ ได้ทำงานร่วมกันใหม่ๆก็อย่างนี้แหละเนอะ ยังจูนเข้ากันไม่สนิท
เหมือนสองคนนี้จะพูดคนละภาษา จนถึงตอนล่าสุดก็ยังรู้สึกว่า สองคนนี้ยังพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องนัก ฮ่าๆๆๆ

ออฟไลน์ ceylon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
เข้าใจกันไปคนละทางตลอด :เฮ้อ:

แต่น้องเกาหลีเริ่มจะมองพี่บุ้งดีขึ้นแล้ว ลุ้นตอนต่อไป

ออฟไลน์ aa_mm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-2

รักเกิดในแผนกขนส่ง.....ตอน   อากาศ

“อ้าว นี่ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ เลิกงานก็กลับบ้าน ได้แค่ไหนแค่นั้น เดี๋ยวที่เหลือพี่จัดการเอง”

ก็ว่าจะกลับอยู่หรอกพี่
พอดีมันเหลืออีกไม่กี่ใบแล้ว

“อีกหกใบพี่ เดี๋ยวไป”

ตอบกลับแล้วและมีนก็ใช้ดินสอขีดไปที่บิลที่คีย์เสร็จเรียบร้อย

หกใบใช้เวลาไม่เท่าไหร่หรอก พอเริ่มรู้ว่าจะทำจากตรงไหน
เริ่มชินกับโปรแกรม ตอนนี้ก็สบาย ไม่กังวลใจเหมือนวันแรกที่เริ่มคีย์แล้วเกิดอาการงง

“แล้วเพื่อนล่ะ กลับพร้อมเพื่อนใช่ป่ะวันนี้ นี่มันหกโมงครึ่งแล้วเพื่อนยังรออยู่อีกเหรอ”

ใครมันจะรอล่ะพี่
ช่วงนี้ไม่ได้กลับพร้อมไอ้เพียรหรอก พี่ชายมันมารับเกือบทุกวัน ทั้งมารับมาส่ง จะให้อาศัยเพื่อนตลอดก็ใช่ที่
ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันขนาดนั้น
เรียนอยู่ที่เดียวกันก็จริง แต่คนละสาขาเลย ไม่เคยเห็นหน้ากันด้วยซ้ำ

เพิ่งมารู้จักกันตอนฝึกงานนี่แหละ
แถมฝึกกันคนละแผนกอีก
ยังดีมันยังชวนไปกินข้าว ไม่งั้นผมคงเหวอแดกมากกว่านี้

เวลาทำงานจริง ๆ ก็ไม่แปลกหรอกที่จะแยกกัน
ถ้าผมเดินอยู่แล้วไอ้เพียรมันเจอ มันก็รับกลับด้วย
แต่ถ้าไม่เจอก็บอกมันแล้วว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องรอ จะได้ไม่ต้องรอกันไปรอกันมา

อีกอย่างไม่ใช่ธุระของมันด้วย

รบกวนมันมาก ๆ มีแต่จะต้องเกรงใจ

“น้องกินข้าวไปหรือยัง”

ข้าวเหรอพี่

“ยังพี่ ผมวางไว้ข้างกระติกน้ำร้อน”

เหรอ

“พี่หิวข้าวว่ะ น้องจะด่าพี่มั้ยเนี่ย บอกให้เอากลับไปกินแล้วเสือกมาทวงคืน”

โหพี่
ผมไม่ใช่คนแบบนั้น
ข้าวพี่ ไม่ใช่ข้าวผม คนจ่ายตังค์ก็คือพี่ไม่ใช่ผม

มีนไม่ตอบ
แค่อมยิ้มเล็ก ๆ

บางเรื่องไม่จำเป็นต้องตอบก็รู้อยู่แล้ว ว่าอะไรเป็นอะไร

บุ้งเดินไปหยิบถุงข้าวเย็นชืดที่ตั้งวางทิ้งไว้มาแกะห่อออก
และนำมาเทใส่จานข้าว

วางจานเอาไว้บนโต๊ะหน้าโซฟาและใช้ช้อนตักกิน

กินไปเรื่อย
ไม่ได้คิดอะไร

ไม่ได้คิด
เพราะไม่รู้จะคิดไปทำไม
คิดมากไปก็เท่านั้น ประสาทแดกตายห่า ขืนคิดไปหมดทุกเรื่อง คงเป็นบ้าตาย

“พี่ นี่เลขอะไร”

ได้ยินเสียงเรียกแล้วบุ้งก็ลุกขึ้นไปยืนข้างเมืองมีนที่กำลังสงสัยกับตัวเลขที่ไม่รู้ว่าคือเลขอะไร

“เลขเก้าหรือเลขศูนย์ เหมือนมันจะมีหัวป่ะ หรือมันเลขศูนย์อ่ะพี่”

เลขอะไรเหรอ
ไหนมาดูซิ
บุ้งหยิบบิลใบที่ว่าขึ้นมาดู
เพ่งสายตามองแล้วก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้

“เอามาบวกกันซิ ถ้าได้ตามนี้ก็นี่แหละเลขศูนย์”

บวกกันเหรอ

“เนี่ยเอาเครื่องคิดเลขคิด”

พี่บุ้งเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักโต๊ะ ในโต๊ะนอกจากจะมีเครื่องคิดเลขมีปากกา มีดินสอ และพวกอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงานแล้วยังมี..........

หวีกับกระจกอันเล็ก ๆ ลายการ์ตูนหมีพูห์

ซึ่ง.........ดูน่ารักมาก และไม่เข้ากับพี่บุ้งเลย

ของพี่เหรอวะนั่น

มีนไม่ได้คิดอะไร แค่อมยิ้ม ไม่ได้คิดจริง ๆ ก็แค่ยิ้มและคิดเอาว่า พี่บุ้งมันก็มีมุมแบ๊วบ้างเหมือนกันใช่มั้ยวะ

“ยิ้มอะไรน้อง”

ยิ้มอะไรเหรอ
ก็.....ไม่มีอะไรครับพี่

“เปล่าครับ”

เปล่าอะไร ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ายิ้ม

“ไอ้เนี่ยอ่ะนะ”

บุ้งชี้ไปที่หวีและกระจกลายหมีพูห์อันเล็กที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะแล้วก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เฮ้ยไม่ได้นะอันนี้ นี่ของหมั้นพี่เลย สาวเอามาหมั้นพี่เลยอันนี้ต้องเก็บรักษาอย่างดี”

สาว.....
สาวเอามาหมั้นเนี่ยนะ
เอามาหมั้น.......กระจกกับหวีลายหมีพูห์เนี่ยนะ

สาวคนไหนมันช่างคิดวะ คิดได้ยังไงเนี่ย
เอากระจกกับหวีมาหมั้น

พี่อำผมเล่นเปล่าเนี่ย

“ลูกสาวไอ้นี่ไง คนที่มาลงข้าวอ่ะ ไอ้ตัวเล็ก ๆ มันชื่ออะไรวะ”

ลูกสาวคนลงข้าวเหรอ
ลูกสาวคนลงข้าว...........

“น้องที่แม่มันถักเปียให้สองข้างตัวเล็ก ๆ เหรอพี่”

ใช่ คนนั้นแหละ
บุ้งพยักหน้ารับ และหัวเราะไม่หยุด

“นั่นแฟนพี่เอง มันมาจีบพี่นะนั่น อยู่อนุบาลสองแล้วนะ
พอดีแหละอีกสิบกว่าปี พี่ก็แก่พอดี มันก็หาผัวได้พอดี.........ซึ่งคงไม่ใช่พี่.....โห่ เสียใจเลย”

มีนกำลังขำ
ขำกับสิ่งที่พี่บุ้งพูด

“หมั้นพี่ด้วยหวีกับกระจกลายหมีพูห์เหรอพี่”

เออใช่ไง

“นี่แม่มันบอกว่ามันไปยืนเลือกที่ตลาดนัดเลยนะ ขอตังค์แม่มันไปซื้อ ไปยืนเลือกเองกับมือเลย”

โห
เด็กสมัยนี้
สุดยอดจริง ๆ

“แล้วนี่พี่รับหมั้นแล้วเอาอะไรไปหมั้นคืนอ่ะ”

อ๋อ

“ซื้อไอ้นี่ไง ตุ๊กตาอะไรอ่ะ บาร์บี้อะไรอ่ะ แต่บาร์บี้ปลอมนะ ของจริงแพง ไม่ไหว ไม่มีปัญญาซื้อ”

พี่บุ้ง
พี่ก็สุดยอดมากเหมือนกันนะ

มีนยังคงยิ้ม ยิ้มและส่ายหน้ากับคำตอบที่ได้รับ

ลิ้นชักโต๊ะปิดแล้ว และมีนก็กำลังใช้เครื่องคิดเลขคิดจำนวนที่ปรากฏอยู่ที่หน้าบิล

“ได้สามพันถ้วน เลขศูนย์พี่”

อ๋อ
เออนั่นแหละ

“ถ้ามันมองไม่ชัด วันหลังเอาเครื่องคิดเลขคิดก็ได้ บางทีบิลมันเก็บไว้นาน ตัวเลขมันจะจาง ๆ”

ได้รับคำอธิบาย และพี่บุ้งก็เดินกลับไปกินข้าวที่วางทิ้งเอาไว้ต่อ

“นี่ขนาดมันเย็นแล้วนะ ยังอร่อยเลย น้องไม่ยอมกินวะ ตอนกลางวัน”

ทำไมผมไม่กินเหรอพี่....
ก็........ผมมันงี่เง่าไง
ก็เลยไม่กิน

“เรื่องเมื่อตอนกลางวันอ่ะพี่”

เออ
ทำไมวะ

บุ้งเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังคีย์บิลอยู่และก็เลิกคิ้วขึ้นสูงเหมือนเป็นการถาม

“อ๋อ ช่างมันเห้อะ คิดไรมาก คิดมาก ๆ ประสาทแดกตายห่า น้องก็ไม่ต้องคิดอะไรหรอก ไม่มีอะไรแล้ว”

ก็ไม่อยากจะคิดอะไรหรอกนะ
แต่ผมมันคิดไง
คิดเองเออเองเสร็จสรรพ
แล้วก็เป็นความคิดที่ไม่ดีซะด้วย

“เฮ้ย น้อง กินป่ะเนี่ย อร่อยนะ”

เหรอครับ

ไม่ได้ตอบ ไม่ได้แสดงความคิดเห็น แต่พี่บุ้งลุกขึ้นและถือจานข้าวมาหามีนแล้ว

“ลองชิมดิ๊”

คนที่ยืนข้างๆ ยื่นจานข้าวมาให้ และมีนก็เห็นว่าปูจ๋าที่ว่ามันคืออะไร

ข้าวสวย
น้ำพริกอะไรซักอย่าง หมูชิ้นน่าจะใส่กระเทียมหรือพริกไทย
และไข่ต้ม

มันเรียกปูจ๋าเหรอพี่
ที่พี่กำลังกินอยู่เนี่ย

“เนี่ยอ่ะนะ ปูจ๋า”

ใช่นี่แหละ

“ทำไมอ่ะ คิดว่ามันเป็นปูใช่ป่ะ”

ใช่ดิพี่
ก็มันชื่อปูจ๋าอ่ะ มันก็ต้องเป็นปูสิวะ แล้วมาข้าวกับน้ำพริกอะไรเนี่ย โห นี่มันใช่เหรอพี่

“ปูจ๋าอ่ะมันเป็นชื่อร้าน คนตั้งมันตั้งชื่อให้น่าสนใจไง จริง ๆ มันร้านขายข้าวธรรมดานี่แหละ แต่มันทำอร่อยไง คนเลยกินกันเยอะ”

โหพี่
ผมก็คิดว่ามันคือปูอะไรซักอย่าง ปูผัดผงกระหรี่อะไรก็ว่าไป
นี่ร้านมันชื่อ ปูจ๋าเนี่ยนะ

คิดด้ายยยยยยยยย

“ฮาหน้าน้องว่ะ เออมันคือชื่อร้าน ไม่ใช่ชื่ออาหาร”

เห้ออออออออ
เอาเหอะพี่
กินเลย
ตามสบาย

“จะกินป่าววะเนี่ย อุตส่าห์เอาเดินมาให้ชิมถึงที่”

ถ้าพี่จะพูดขนาดนี้ผมก็ต้องกินใช่มั้ยล่ะ

มีนหยิบช้อนมาตักข้าวในจานเข้าปาก

ข้าวเย็น ๆ กับน้ำพริกชืด ๆ
กินไปแค่คำเดียว และก็เคี้ยว ๆ ไปงั้น ๆ

มันก็อร่อยอย่างที่พี่บุ้งว่านั่นแหละ
แต่มันเย็นแล้วรสชาติมันก็เลยชืด ๆ ไปหน่อย

“อร่อยป่ะ”

ก็ใช้ได้นะพี่

“อืม อร่อยดีพี่”

ตอบกลับไป และมีนก็กำลังหยิบบิลใบที่สองมาคีย์
คีย์ไปดูหน้าจอไป

โดยมีหัวหน้างานมายืนกินข้าวและมองหน้าจอไปด้วย

“เออคีย์เร็วใช้ได้เหมือนกันนี่หว่า”

ใช่ไงพี่

“ระดับไหนแล้ว”

อย่ามาทำเป็นคุยหน่อยเลยน้อง ชมหน่อยนี่เอาเลยนะ

“ระดับไหนแล้ว ผิดแล้ววววว ระดับไหนก็คีย์ผิดแล้ววววว”

โดนล้อเลียน
และมีนก็ก้มลงไปมองที่บิลอีกครั้ง
ผิดตรงไหนวะ

ไม่ได้ผิดซะหน่อย.........อ๋อ.....เนี่ยเหรอ

“ผิดก็แก้แล้ววววววววววว”

แกล้งล้อเลียนกลับ และหัวเราะออกมาเสียงเบา

“แล้วทำเป็นคุย ผิดเลยเห็น ๆ”

ก็ผิดดิ

“ก็พี่ชวนคุยอ่ะ ผมก็คีย์ผิดสิ”

อ่อ

โยนความผิดให้กูซะงั้น

“ผิดแล้วไม่รู้จักยอมรับผิด”

ได้ยินเสียงบ่นแล้วมีนก็หัวเราะชอบใจ

“ไปดีกว่า ขี้เกียจเถียงด้วย เดี๋ยวมาโทษอีก ซวยเลย”

พี่บุ้งเดินกลับไปนั่งบนโซฟาแล้ว และตักข้าวเข้าปากเคี้ยวๆ กิน

กินไปเรื่อย ๆ
กินข้าวรอมีนไปเรื่อย ๆ

กินข้าวจนหมดจานแล้วก็เอ่ยบอกคนที่กำลังคีย์บิลใบสุดท้าย

“เดี๋ยวพี่ไปล้างจานก่อนนะ ที่เหลือไว้ทำพรุ่งนี้ต่อ กลับบ้านเหอะ หกโมงกว่าแล้วเนี่ย”

ได้ครับ

“ใบเดียวพี่”

บุ้งพยักหน้ารับ และกำลังจะลุกขึ้นเอาจานไปล้าง

“น้องไม่ต้องเดินออกนะ เดี๋ยวไปพร้อมกัน พี่ไปส่ง”

ไปส่งเหรอ
คำพูดง่าย ๆ ที่มีนไม่เคยคิดจะใส่ใจ แต่อยู่ดี ๆ กับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา

.....พี่ไปส่ง....
ไปพร้อมพี่บุ้ง เพราะพี่บุ้งจะไปส่ง ถ้าเป็นวันก่อนคงหาทางปฏิเสธแทบตาย คิดเหตุผลมาเป็นร้อยเพราะความอคติ

แต่พอถึงวันนี้ มีนคิดว่าตัวเองรู้แล้วว่าควรตอบออกไปยังไง

“ครับ”

ตอบกลับไปแล้ว และพี่บุ้งก็เปิดประตูเดินออกจากห้องไปล้างจาน

มีนกำลังยิ้ม
ยิ้มเรื่อย ๆ ด้วยความรู้สึกสบายใจ

บิลใบสุดท้ายคีย์เสร็จเรียบร้อยและมีนก็เซฟงานที่คีย์เอาไว้
ปิดคอมพิวเตอร์เรียบร้อย ยกกระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นสะพายและมานั่งรอพี่บุ้งอยู่บนโซฟา

รอคนที่ไปล้างจาน
รอกลับบ้านพร้อมกัน

รอ........โดยที่ไม่ทันได้รู้ตัวว่าอากาศภายในห้องที่มีนคิดว่าเหลือน้อยเหลือเกินเวลาที่พี่บุ้งเข้ามาอยู่ด้วย

อากาศที่เคยเหลือน้อยจนแทบหายใจไม่ออกในเวลานี้ อากาศหายใจมีมากกว่าทุกวัน

มากซะจน มีนรู้สึกว่า .......... สิ่งที่เคยคิดมาตลอดมันช่างโง่เง่าสิ้นดี

มีหรือไม่มีอากาศหายใจในห้อง

ที่แท้แล้วมีนก็แค่คิดไปเองคนเดียวมาตลอดนั่นเอง



TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2014 23:27:34 โดย aa_mm »

ออฟไลน์ aa_mm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-2

รักเกิดในแผนกขนส่ง.....ตอน แฟนเก่าพี่บุ้ง แต่แฟนใหม่มีน

“เกาหลี ไปลงเล่มให้หน่อย พี่จะขึ้นรถ คนไม่พอ”

พี่วิเชียรเปิดประตูเข้ามาบอก และมีนที่กำลังคีย์บิลก็เงยหน้าขึ้นมอง และรีบวางมือจากบิลที่กำลังคีย์ทันที

“นานป่าวพี่วิเชียร ถ้านาน ผมจะได้ปิดคอมเลย”

“สงสัยจะทั้งวัน”

อ่อ ได้ ........ชัดเจน

มีนเซฟงานและใช้ไม้บรรทัดคั่นบิลเอาไว้ เซฟงานเรียบร้อยและเดินไปปิดไฟปิดแอร์ และเดินตามพี่วิเชียรไปที่ลานจอดรถ

เดินตรงไปหาคนที่กำลังจดอะไรบางอย่างใส่กระดาน

“ให้ผมทำอะไรมั่ง”

เอ่ยถามพี่บุ้งที่กำลังจดเลขรถเข้า และคนที่ถูกถามก็เงยหน้าขึ้นมอง

“อ้าว ตกลงให้เราจดเหรอ”

ไม่รู้เหมือนกันก็พี่วิเชียรไปตามผมมา

“ใช่ป่าวล่ะพี่ ผมก็ไม่รู้ ผมตามพี่วิเชียรมา”

เออ สงสัยจะใช่มั้ง

“น้องเอานี่ไป แล้วพอรถเข้าน้องจดเลยนะ ลงเวลาด้วย เข้าตอนไหนออกตอนไหน จะได้ส่งให้ซัพได้ถูก”

พี่บุ้งส่งกระดานสำหรับจดให้เรียบร้อยและมีนก็เพ่งมองข้อมูลในกระดานว่าให้ลงเลขตรงไหนลงเวลาตรงไหน

“ลงเวลาตรงนี้ป่ะพี่”

ยื่นกระดานส่งให้อีกฝ่ายดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ และบุ้งก็พยักหน้ารับก่อนจะชี้นิ้วไปที่กระดานอีกครั้งในช่องถัดไป

“ตรงนี้ไม่ต้องลงนะ เดี๋ยวพี่มารวมเวลาเอง”

อ่อ ได้

“แค่จดเวลาใช่ป่ะพี่”

ถามซ้ำอีกครั้ง และบุ้งก็พยักหน้าก่อนจะเดินไปอีกทาง และหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาวอ. เรียกรถคันถัดไปให้เข้ามาจอดภายในบริเวณลานจอดรถ

“ปล่อยรถส่งข้าวเข้ามาลงของบล็อก 3 เลย”

มีแต่ความสับสนวุ่นวายอลหม่าน

อากาศร้อน   เสียงดัง  ปัญหาจุกจิกเยอะ  ต้องทำงานแข่งกับเวลา ความกดดันสูง

มีนเริ่มมองภาพออกว่าแผนกขนส่งมีอะไรที่ให้ทำและต้องทำบ้าง

มองเห็นหมดทุกอย่าง และสายตาก็เริ่มมองไปที่คนที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน

พี่บุ้งกำลังยุ่ง
การทำงานที่ยุ่งเหยิง อากาศก็ร้อน แต่พี่บุ้งก็รับมือกับปัญหาและแก้ไขได้หมด

ทำได้ทุกอย่าง ควบคุมได้ทุกอย่าง จนมีนอดรู้สึกชื่นชมคน ๆ ไม่ได้

“แม่งโคตรเท่ห์เลยว่ะ”

มองและคิด
คิดและพูด ก่อนจะก้มหน้าลงมามองกระดาน และจดหมายเลขรถที่เข้ามาและเขียนเวลาลงไป

เพิ่งรู้ว่าข้างนอกเขาทำงานกันยังไง มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ต้องทำอะไรขนาดนี้

มิน่าล่ะพี่บุ้งถึงได้บอกว่า ฝ่ายการเงินเดินกันสบาย อยู่แต่ในห้องแอร์เย็น ๆ

และก็ไม่แปลกใจเลยที่คนที่จะมาคีย์บิลให้แผนกนี้หายากเหลือเกิน

เพราะมันเป็นงานจับฉ่ายแบบนี้นี่เอง ไม่ใช่แค่คีย์บิลอย่างเดียว แต่ต้องมาช่วยเสริมเวลาที่คนไม่พอด้วย

ถ้าคนไม่เข้าใจ ก็คงไม่มีใครอยากมาทำ  มีนเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาลาง ๆ แล้ว

เสียงตะโกนโหวกเหวกระหว่างคนขับรถกับคนเรียกเข้าจอดที่มีนได้ยิน

มีนเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่บุ้งถึงเป็นคนเสียงดัง

เพราะต้องตะโกนแข่งกับเสียงรถ เสียงเครื่องยนต์นี่เอง ขืนพูดจาเสียงเบา ๆ ก็คงไม่มีใครได้ยิน

คนอื่นๆ ที่ไม่ได้ทำตรงนี้คงไม่มีวันเข้าใจ

เคยได้ยินมาบ้างเรื่องการว่าร้ายนินทากันลับหลัง เคยได้ยินพี่ ๆ บางคนในแผนกการเงินพูด ว่าพี่บุ้งชอบทำเสียงดัง

มาแค่นี้ ทำไม ต้องตะโกน ใกล้กันแค่นี้ทำไมต้องตะคอก

ก่อนหน้านั้นมีนไม่เข้าใจ

แต่ตอนนี้มีนเข้าใจแล้วว่าทำไม ....... มันเป็นเพราะความเคยชิน ความเคยชินที่ไม่รู้ตัว บางครั้งปรับตัวไม่ทัน

พี่บุ้งปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นไม่ทัน และถูกว่าลับหลังอยู่บ่อย ๆ

......อยู่นี่อย่าคิดมาก คิดไปก็เท่านั้น ประสาทแดกตายห่า......

มันก็จริง มีนคิดว่ามันก็จริง ตอนนี้เข้าใจแล้ว เข้าใจชัดเจนหมดแล้ว เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและยืนมองพี่บุ้งที่เดินไปที่ข้างรถบรรทุกที่มาส่งข้าว เห็นพี่บุ้งยื่นแขนขึ้นไปที่ข้างประตูรถ และกำลังรับอะไรบางอย่างลงมาจากบนรถ

เด็กผู้หญิงผมเปียตัวเล็กถูกส่งลงมา

และพี่บุ้งก็อุ้มเด็กคนนั้นเอาไว้ อุ้มแล้วก็หัวเราะเหมือนถูกใจอะไรซักอย่าง ไม่ใช่แค่อุ้มอย่างเดียว แต่อุ้มแล้วเดินมาหามีน

“น้อง ๆ นี่ไงแฟนพี่ เป็นไง แฟนพี่ สวยป่าว”

พี่บุ้งพาเด็กหญิงมาหา และแนะนำให้มีนรู้จัก

“แฟนพี่บุ้งชื่ออะไรครับ ไหนบอกพี่เกาหลีดิ๊”

เด็กหญิงไม่ยอมตอบแต่ดูดนิ้วโป้งและเมินหน้าหนีไปอีกทาง เมินไปซบอยู่ที่ไหล่ของพี่บุ้ง

“เขิน ๆ โอยยยยยยยย ตาย ๆ ยังไม่ทันแต่งกันเลย แป้งจะมีกิ๊กซะแล้วววววววว”

มีนกำลังงง
เด็กผู้หญิงที่พี่บุ้งอุ้มมา ไม่ยอมมองหน้ามีน แต่หันหนีไปอีกทาง ถ้าสิ่งที่คิดในคราวแรก มีนคงคิดว่าเด็กเกลียด แต่ในเวลานี้ มีนเริ่มคิดบางอย่างออกแล้ว

“เขินจริงดิพี่”

ก็จริงสิวะ

“มึงหล่อไง น้องแป้งมันเลยเขิน”

มันเป็นคำชมหรือคำแซวก็ไม่รู้ แต่ก็ทำให้มีนยิ้มได้ และขออุ้มเด็กหญิงด้วย

“โห เขินไรพี่เนี่ย เขินเหรอน้อง ไหนมานี่ดิ๊”

เรียกให้เด็กหญิงหันมาหา แต่เธอก็ไม่ยอมหัน ไม่ยอมหันมาหา แต่เมื่อบุ้งส่งเธอให้กับมีน เธอก็ยอมมาด้วยง่าย ๆ

“ใจง่ายจริงวะ ได้ใหม่ลืมเก่าเหรอห๊ะ”

เธอยังคงดูดนิ้ว แต่คราวนี้เธอยิ้มออกมา และมีนก็คิดว่ารอยยิ้มของเด็กหญิงมันน่ารักเต็มทน จนต้องหอมแก้มเธอหนัก ๆ ติดกันสองที

“ไอ้มีนนนนนนนน ไปทำมัน เด็กมันเขิน เดี๋ยวน้องแป้งมันถอนหมั้น พี่ อุตส่าห์กะจะเลี้ยงต้อยนะเฮ้ย”

เลี้ยงต้อยอะไรล่ะพี่ แล้วนี่น้องมันเขินจริงเหรอ จริงดิ เขินจริง ๆ เหรอเนี่ย เออแต่สงสัยจะจริง สงสัยจะเขินจริง

“ชื่อไรคับ”

แกล้งถาม และเด็กหญิงก็ยังยิ้มเอียงอายไม่เลิก

“ไม่เอาดิ ไม่ดูดนิ้วดิ สกปรก คุยกับพี่มีนก่อน ชื่อไรคับ”

ชื่ออะไรก็รู้อยู่ แต่ก็อยากจะคุยด้วย และเด็กหญิงก็ตอบออกมาด้วยท่าทีเอียงอายเมื่อถูกถามชื่อ

“น้องแป้ง”

เสียงเล็ก ๆ ที่เอ่ยบอกทำให้มีนยิ้ม

“โห ชื่อน่ารักด้วย โตขึ้นสวยเลยนะเนี่ย”

เอ่ยชมเธอ และเด็กหญิงก็กอดคอมีนเอาไว้แน่น และยิ้มด้วยท่าทางเอียงอาย

“แม่งชอบมึงแล้ว”

ได้ยินเสียงบ่น เหมือนพี่บุ้งจะน้อยใจ แต่มีนก็ไม่ได้รู้สึกเห็นใจ

“แม่งบ้าเกาหลีกันหมดแหละ ผู้หญิงสมัยนี้”

เฮ้ย มันไม่ใช่ความผิดเด็กนะพี่

“ก็พี่หน้าไม่อยู่ในเทรนส์ ไปว่าเด็กได้ไง”

โห ไอ้มีน เดี๋ยวมึงจะโดน

“เออ ไอ้หน้าเกาหลี มึงมันเกาหลี มึงมันหล่อ”

แล้วมาลงที่ผมได้ไงพี่ ใช่ความผิดผมมั้ยเนี่ย
มีนกำลังหัวเราะ หัวเราะเพราะถูกด่า และพอด่าเสร็จพี่บุ้งก็หันไปมองที่รถบรรทุกที่มาส่งข้าว

“เออ ฝากดูด้วย พี่จะไปเช็คข้าว อย่าให้ออกไปวิ่งเล่น มันอันตราย”

ได้ครับพี่

“เดี๋ยวผมดูให้ แล้วเขาจะมารับตอนไหนอ่ะ”

ตอนไหนเหรอ

“เดี๋ยวลงข้าวเสร็จแม่มันมารับ ดูให้ก่อน”

ครับ ๆ

มีนมีเพื่อนแล้ว ไม่ใช่เพื่อนหรอก แต่เป็น..........

“โตขึ้นแต่งงานกับพี่มีนป่าว”

เธอไม่ตอบ แต่อมยิ้มด้วยท่าทางขวยเขินน่ารัก และมีนก็รู้สึกว่าเธอน่ารัก เด็กหญิงวัยอนุบาลที่มากับรถส่งข้าวเธอเป็นเด็กน่ารัก

“มึงไปขอมันแต่งส่งเดช เด็กมันจำนะทำเล่นไป”

อ้าวเหรอ

“งั้นไม่แต่ง”

ไม่แต่งได้ไง

“มึงจะพามันหนีหรือไง ลูกเขามีพ่อมีแม่”

นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ แล้วให้ทำไงล่ะพี่

“แล้วตกลงจะให้แต่งหรือไม่แต่งเนี่ย”

มึงก็คิดเอาเองสิวะ

“แล้วแต่มึง เคลียร์กันเอาเอง”

พี่บุ้งไม่ยอมบอกว่ามีนควรทำยังไง และมีนก็ยังงง ว่าตัวเองควรทำยังไง

พี่บุ้งเดินไปแล้ว

และมีนก็หันมาสนใจกับเด็กหญิงที่อยู่ในอ้อมแขน

ส่งยิ้มให้เธอ และเธอก็ยิ้มตอบ

ยิ้มตอบพร้อมกับเสียงเล็ก ๆ ที่เอ่ยบอกที่ข้างหูมีนเบา ๆ

“พี่มีนหล่อจัง”

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2014 23:26:59 โดย aa_mm »

ออฟไลน์ aa_mm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-2
“ได้แฟนแล้วลืมพี่ลืมเชื้อ”

มันเป็นคำพูดลอย ๆ ที่มีนที่กำลังใช้ตะเกียบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากต้องเงยหน้าขึ้นมอง

มองแล้วก็ยิ้ม

ยิ้มและก็หัวเราะออกมาเสียงเบา

“ผมหล่อไงพี่”

เอออออออ

มึงหล่อ

“เอ้อออออ ใช่สิ มึงหล่อไง”

พี่บุ้งกำลังบ่นใส่มีน บ่นเรื่องไม่เป็นเรื่อง บ่นเรื่องที่ทำให้มีนยิ้ม

“จำไว้เลย ไอ้น้องแป้งนะ มาคราวหน้ากูจะไม่อุ้มเลย คอยดู”

น้อยใจเด็กซะงั้น
เป็นการน้อยใจที่มีนได้แต่ส่ายหน้า และหัวเราะด้วยความขำ

ใช้ตะเกียบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก และก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวที่พี่วิเชียรซื้อมาให้จากข้างนอก

โดยไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ฝั่งตรงข้าม กำลังมองหน้ามีน

มองแล้วก็ยิ้ม

ยิ้มแล้วก็คีบลูกชิ้นใส่มาให้ในชามก๋วยเตี๋ยวของมีน

“ยกให้ บำรุงเยอะ ๆ จะได้หล่อขึ้น หล่อขึ้นแล้วจะได้มาเรียกคะแนนความนิยมให้แผนกขนส่งบ้าง”

นั่นมันคือเหตุผลในการให้ลูกชิ้นเหรอพี่

“พี่ไม่กินอ่ะ”

เงยหน้าขึ้นมองพี่บุ้งและมีนก็ถามด้วยความสงสัย
ยกให้ผมทำไม พี่ไม่กินเองล่ะ

“เอาเหอะ กิน ๆ ไป ลูกชิ้นเค้าอร่อยเจ้านี้”

อืมมม

“ขอบคุณครับ”

มันเป็นช่วงบ่ายที่เพิ่งได้พัก
ไม่เคยได้กินข้าวตรงเวลา มีเวลาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับพัก เวลาได้พักก็ต้องรีบกอบโกยให้มากที่สุด ก่อนที่รถจะเข้ามาอีกรอบ

“มีนเสื้อเปื้อนแล้ว”

ก้มลงมองที่เสื้อนักศึกษาของตัวเอง และก็เห็นว่ามันเปื้อนจริง ๆ อย่างที่พี่บุ้งบอก

เปื้อนเป็นจุด ๆ สีส้ม เพราะน้ำก๋วยเตี๋ยวกระเด็นใส่

“จะซักออกป่าววะเนี่ย”

ที่จริงถ้าซักมันก็คงซักออกอยู่ แต่เซ็งเวลาที่กินก๋วยเตี๋ยวทีไรน้ำก๋วยเตี๋ยวกระเด็นใส่เสื้อทุกที

“พี่ว่า จะให้มีนเปลี่ยนใส่เสื้อพนักงาน ใส่ชุดนักศึกษาบางทีคนมันไม่เกรง นึกว่ามาฝึกงาน มันก็ไม่ค่อยเชื่อเวลาบอกอะไร”

จะดีเหรอพี่

“แต่ผมมาฝึกงาน แล้วเขาจะคิดยังไงล่ะพี่”

มาฝึกงานเหรอ

“แต่มึงทำได้ดีกว่าพนักงานประจำบางคนป่าววะ”

โห
นี่เรียกว่าชมกันซึ่งๆ หน้าเลยใช่มั้ย

“อีกอย่างพี่ไปขอให้ลงมา แล้วก็ให้ค่าแรง ถ้าทำงานแล้วได้ค่าแรงมันก็พนักงานดี ๆ นี่เอง จะบอกว่าฝึกงานได้ไง”

มันก็จริง
แต่จะเอาอย่างนั้นเลยเหรอพี่

“ผมกลัวคนอื่นคิด”

ก็ช่างคนอื่นเหอะ

“เฉพาะคนที่ควรรู้ พี่ก็ต้องบอกให้รู้ ส่วนคนไม่จำเป็นต้องรู้ ไม่เห็นจำเป็นต้องไปนั่งอธิบาย จะคิดยังไงจะพูดยังไงก็ช่าง งานเราใช้ได้เป็นพอ”

สุดยอดครับ

คมจริงๆ ลูกพี่กู

“พี่พูดจนผมดูดีเลยนะเนี่ย”

มันก็จริงไม่ใช่เหรอวะ

“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้นะ มึงอย่าฝันว่ากูจะพูดแบบนี้”

โห..............
เขามีแต่ตบหัวแล้วลูบหลัง นี่มีด้วยเหรอวะ ลูบหลังแล้วตบหัว ถ้าจะย้อนอดีตกันขนาดนี้นะพี่

“หน้าแม่งอย่างกะคนป่วยใกล้ตาย”

ก็หน้าผมมันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด พี่จะให้ผมทำยังไง
อีกอย่างนะ ตอนที่ผมมา ผมก็แค่คิดว่ามาทำส่ง ๆ ไปงั้น เด็กฝึกงานจะมีอะไรมาก ก็แค่ถ่ายเอกสารไปวันๆ ใครใช้ทำอะไรก็ทำไป หมดสามเดือนก็กลับไปเรียนต่อให้จบๆ

ผมคิดแค่นั้นจริง ๆ นะ
ผมคิดแค่นั้นเองจริง ๆ

“ก็ผมเซ็ง มาก็ไม่ได้ทำอะไร ถ่ายเอกสารไปวัน ๆ”

มิน่าล่ะ หน้ามึงถึงได้เซ็งโลกเหลือเกิน

“แล้วถ้าเป็นตอนนี้ หน้าผมยิ้ม ๆ แบบนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วพี่จะให้ผมผ่านมั้ย”

แกล้งอ้อน และมีนก็เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้กับหัวหน้างานที่เมื่อมองกลับก็ถึงกับสำลักน้ำก๋วยเตี๋ยวที่กำลังซดอยู่

“แค่ก แค่ก ไอ้เหี้ยมีน แอ่ก แอ่ก แค่ก มึงนี่เล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา”

อะไรล่ะพี่

ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ

มีนรีบคว้ากระติกน้ำประจำตัวของพี่บุ้งมายื่นส่งให้
และบุ้งก็รีบเปิดฝากระติกออก จัดการยกขึ้นซดทันทีก่อนจะวางกระติกน้ำลงบนโต๊ะและมองหน้ามีนก่อนจะส่ายหน้าด้วยความกลุ้มใจ

“มึงยังจะยิ้มอีกนะแม่ง..... ”

อ้าว อะไรวะ ผมยิ้มผมผิดเหรอพี่
ผิดได้ไง ผมไม่เข้าใจ

“พี่บุ้งไม่มีเหตุผลว่ะ”

เออ ไม่มีเหตุผล กูมันไม่มีเหตุผลหรอก ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้นแหละ

“ใช่ไงกูมันไม่มีเหตุผล แล้วกูก็ใช้มึงได้แบบไม่มีเหตุผลด้วย ยิ้มดีนักนะ ยิ้มดีนัก เอาชามก๋วยเตี๋ยวไปล้างเลยนะมึง กวนตีนจริง ๆ ไอ้เด็กฝึกงานเวร”



TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2014 17:09:11 โดย aa_mm »

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
นัองมีนน่ารักพี่บุ้งก็นะ ปากร้ายใจดี

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
น้องมีนยิ้มเก่งขึ้น พี่บุ้งก็ชอบมองหน้ามากขึ้น

แล้วพี่บุ้งก็จะกลายเป็นคนชอบเกาหลีไปอีกคน :laugh:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด