เรื่องของหัวหน้าแผนกจัดซื้อ ไอศูรย์-จุมพล ตอน จุมพลก็คือจุมพล
นี่เห็นเป็นอะไร นึกอยากจะโทรมาขอความช่วยเหลือก็โทร นึกอยากจะเงียบหายก็เงียบไป
หายไปนานหลังจากได้ของล็อตสองไปแล้ว ตอนนี้จุมพลกำลังโทรมาป่วนขอของล็อตสามในราคาเดิมซึ่งคุณไอศูรย์ก็ยังคงยืนยันคำเดิม
“ผมไม่มีหรอกของล็อตสามน่ะ คุณทำไมไม่หาจากเจ้าอื่นดูล่ะ”
เรื่องแค่นี้ก็น่าจะรู้ ทำไมถึงได้ขยันโทรมาทุกครั้งที่มีปัญหา แต่ละครั้งที่โทรมาก็มีสารพัดมุก
ครั้งแรกตีมึน ถึงจะรู้ว่าเป็นคุณไอศูรย์ผิดคนก็ยังดึงดันจะเอาของให้ได้
ครั้งที่สอง มาแบบป่วย ๆ เพลีย ๆ ทำเสียงอ้อแอ้น่าสงสาร
พอได้ของไปแล้วก็เงียบกริบ แต่แค่เพียงสองเดือนผ่านไป จุมพลก็กลับมาอีกแล้ว
มาในรูปแบบใหม่ พูดแบบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ คล้ายจะเกรงใจแต่ก็ไม่ได้เกรงใจ
“ผมขอความช่วยเหลือได้มั้ยครับ ยังไงเราก็ค้าขายกันมานาน”
ค้าขายกันมานานบ้าอะไร ผมเพิ่งส่งของให้บริษัทคุณแค่สองล็อต และสองล็อตนั้นก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้เต็มใจจะส่งให้คุณด้วย
“ผมไม่มีหรอกนะของล็อตสาม เพื่อนผมหาได้แค่นี้ ช่วยได้แค่นี้จริง ๆ”
ไม่ได้อยากจะตัดสัมพันธ์ แต่ถ้าปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยแบบนี้ก็เกินไป เห็นว่าช่วยได้เลยให้ช่วยตลอด เราไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่าเป็นบริษัทคู่แข่งกันนะครับ
“เอาไว้ผมจะลองถาม ๆ เขาดูให้แล้วกันนะ แต่รอบนี้ผมคงบอกได้คำเดียวว่าเป็นไปได้ยาก”
ยากเหรอ ยากเลยเหรอ ยากเลยจริง ๆ เหรอ
“คุณไอศูรย์จะช่วยผมใช่มั้ยครับ”
แล้วทำไมผมต้องช่วยคุณด้วยวะ ไม่เข้าใจ
“ก็จะพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วกันนะครับ แต่โอกาสได้คงน้อยมาก ผมก็ขอให้คุณทำใจแล้วกัน”
ไม่อยากตัดบท แต่ก็ต้องตัด ขืนคุยมากไปกว่านี้มันจะยิ่งไปกันใหญ่
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ นะครับ”
ทำไมต้องทำเสียงเหมือนซาบซึ้งใจขนาดนั้น แค่หาของให้ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นก็ได้
“งั้นแค่นี้นะครับ ผมไม่รบกวนคุณไอศูรย์แล้ว”
เป็นฝ่ายโทรมาและก็เป็นฝ่ายวางสายไปซะเอง และคนที่อยู่ปลายสายก็ถึงกับงงหนัก กับสิ่งที่จุมพลหัวหน้าแผนกจัดซื้อทำ
แบบนี้หมายความว่ายังไง นึกอยากจะมาก็มา นึกอยากจะไปก็ไป มาขอความช่วยเหลือแบบมึน ๆ งง ๆ แล้วก็วางสายไปดื้อ ๆ
ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ ทำไมถึงได้มีนิสัยแบบนี้ ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งคิดยิ่งเริ่มหงุดหงิดขึ้นมานิด ๆ
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะโทรหาเพื่อนที่ทำกิจการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เคมีที่ใช้เป็นส่วนประกอบของสารกำจัดศัตรูพืช
“มีเรื่องจะรบกวนหน่อยว่ะ คืออย่างนี้ รุ่นน้องที่เคยเล่าให้ฟัง ของมันขาดอีกแล้ว......................”
การเจรจาต่อรองเริ่มขึ้น โดยที่คนโทรไม่ได้มีส่วนได้เสียใด ๆ ทั้งสิ้น
ไม่รู้ว่าทำไปทำไม ไม่รู้ว่าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
แต่รู้สึกเหมือนต้องทำ และปล่อยให้พลาดไม่ได้ จุมพลทำงานแบบนี้ ทำไมถึงยังอยู่ได้ บริษัทคู่แข่งนี่มีคนแบบนี้ไว้เพื่ออะไร ถ้าไม่ช่วยเดี๋ยวก็หาว่าไม่มีสปิริตพอ ก็เลยต้องช่วย ยังไงซะเด็กของที่นี่ก็ไปตีหัวคนที่โน่นก่อน ก็ถือว่าเจ๊ากันไปแล้วกัน กับการช่วยเหลือ ไอศูรย์ไม่ได้คิดอะไรไปกว่าการหักกลบลบหนี้เรื่องที่เคยคาใจกัน แต่จุมพลกลับคิดและทำไปคนละอย่าง
“เคมีได้แล้ว ต่อไปก็วัสดุใช่ป่าววะ”
สีหน้าแววตาไม่ได้ช้ำชอกใจอย่างที่ใคร ๆ คิด และปากกาแดงในมือก็ขีดเครื่องหมายถูก เมื่อเห็นผลอยู่แล้วว่าการเจรจาเป็นที่เรียบร้อย
คุณไอศูรย์ไม่ได้รับปาก แต่จากคาดคะเน จุมพลก็เดาได้ไม่ยากว่าของล็อตสามคงพร้อมส่งในอีกไม่กี่วัน
“อันนี้พี่เคลียร์แล้วนะครับ ไม่มีอะไรต้องกังวล ของล็อตสามมาแน่ แค่รอเท่านั้น ราคายังไงก็ถูกกว่าของเจ้าเก่าแน่ ๆ ”
ส่งเอกสารให้หญิงสาวที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องเคมีภัณฑ์และเธอก็ยิ้มออกมาได้ หาราคาที่ถูกที่สุดให้ตรงตามสเป็คไม่ได้
แต่พอยื่นเรื่องส่งให้พี่จุ้ม พี่จุ้มก็จัดการให้เรียบร้อย
พี่จุ้มมีเทคนิคการพูดที่ไม่เหมือนใคร และไม่ว่าใครหน้าไหนก็ต้องยอม
“รู้งี้หนูส่งเรื่องให้พี่จุ้มเคลียร์ตั้งแต่แรกก็ดี ไม่ปล่อยให้ค้างอยู่ตั้งนานหรอก เจ้าเดิมก็ลีลาอยู่นั่นแหละ ยึกยักตลอด เจอไปสามล็อตแบบนี้มีหงายหลังกันบ้างล่ะ คงนึกว่าเราต้องรอของจากเค้าซะเต็มที่ เจอแบบนี้เข้าล่ะเป็นไง หนูล่ะสะใจจริง ๆ พี่จุ้ม”
อย่าไปคิดอย่างนั้นเลย
“อย่าไปคิดจะดัดหลังใคร มันเป็นเรื่องของธุรกิจ เขาก็อยากโก่งราคา เราก็อยากได้ราคาถูก ๆ มันว่ากันไม่ได้ของแบบนี้ แต่บางทีถ้าเรื่องมากนักมันก็ต้องเจอแบบนี้เข้าไปบ้าง”
พูดเปรย ๆ ไปเรื่อย ๆ และหญิงสาวที่รับหน้าที่จัดซื้อเคมีก็ยกมือไหว้ขอบคุณหัวหน้าแผนกที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จัดการได้
จัดการในแบบที่ไม่เคยมีใครจัดการ ทำให้อีกฝ่ายเต็มใจ แบบไม่เต็มใจ
“ขอบคุณค่ะพี่จุ้ม เดี๋ยวหนูไปเคลียร์งานต่อนะคะ”
เธอลุกจากไปแล้ว และจุมพลก็หมุนเก้าอี้เล่นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
บางครั้งมันก็น่าเบื่อเกินไป การต้องรับภาระหน้าที่แบบนี้ มีปัญหาก็ต้องเคลียร์ จะปล่อยให้งานพลาดไม่ได้
ไม่ต้องการให้ใครมาเห็นว่าเป็นคนจริงจังกับงาน ไม่อยากเป็นแบบพี่เกรทที่จริงจังแทบตาย แต่ใคร ๆ ก็ไม่เห็นค่า
วิธีการทำงานของคนเรามันต่างกัน ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนจริงจังก็ได้ ทำให้คนอื่นๆ เห็นว่าเรามันเป็นแค่คนไม่เอาไหน จะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลเวลาที่จะโดนเลื่อยขาเก้าอี้
เปิดเผยแบออกมาหมดแบบนี้ คนอื่นว่าไม่ใช่เรื่องดี แต่สำหรับจุมพลมันไม่ใช่
ทำตัวดี ๆ ไปก็เท่านั้น กดดันตัวเองด้วย แต่ทำตัวแบบนี้จะได้อยู่ต่อไปเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องโดนบีบบังคับหรือคาดหวัง และยังสามารถรักษาสถานะของตัวเองให้คงอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ
ผมไม่ได้บังคับให้คุณหาของให้ผมนะคุณไอศูรย์ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพวกเราเป็นบริษัทคู่แข่งกัน
แต่การที่ผมทำแบบนี้ มันง่ายกว่าการต้องมาตั้งข้อสงสัยหรืออยู่บนข้อแม้กฎเกณฑ์อื่น ๆ ที่ใคร ๆ กำหนด
ผมไม่แคร์ว่าเราจะเป็นบริษัทคู่แข่งกันหรือเปล่า ใช่ที่คุณเป็นคู่แข่งกับแผนกขนส่ง แต่ไม่ได้แปลว่าคุณต้องเป็นคู่แข่งกับผม
สำหรับผมแล้ว ถ้ามีวัตถุดิบที่ถูกและราคาสมเหตุสมผล ขายออกก็ได้กำไรเข้าบริษัท มันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอที่ผมจะเจรจากับคุณ เพียงแต่วิธีการของผมมันต่างจากคนอื่นเล็กน้อยก็เท่านั้น
เรื่องคุณจะเป็นคู่แข่งของใครมันก็เรื่องของคุณ แต่ปัญหาของผมมีไว้ให้เคลียร์ไม่ใช่มีไว้ให้หยิ่งไม่เข้าเรื่อง
ขายของในระบบบริษัท จะมาใช้คำว่าหยิ่งหรือศักดิ์ศรีมันก็ดูจะไร้เหตุผลจนเกินไป ของถูก มีมาตรฐาน ขายออกได้ราคาดี แค่นี้สำหรับผมมันก็จบแล้ว ส่วนใคร ๆ จะไปคิดอะไรต่อ มันเรื่องของเขา ผมไม่แคร์ ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องมาสนใจ
จุมพลหยิบคัสตาร์ดเค้กที่วางเอาไว้บนโต๊ะมาถือเอาไว้ ก่อนจะยืนขึ้นและยืดเส้นยืดสายหลังจากต้องนั่งนิ่งเมื่อยหลังอยู่เป็นเวลานาน ไปแกล้งแปะดีกว่า คลายเครียด
กูเครียด แปะก็ควรจะเครียดกว่า แค่ขโมยคัสตาร์ดมาตอนเผลอไม่ได้แปลว่าจะหายเครียด ต้องไปให้แปะด่าซะหน่อยชีวิตจะได้มีสีสัน
จุมพลอมยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากและเดินถือคัสตาร์ดเข้าไปในห้องที่แบ่งเป็นส่วนของแผนกการเงินที่มีสมาชิกอยู่แค่สองคน
“คัสตาร์ดใครว๊า อร่อยจังเลยยยยยยยย”
เดินยิ้มหน้าระรื่นเข้าไปและคนที่กำลังนั่งหน้าเครียดจนเส้นเลือดที่หัวกำลังจะระเบิดก็เงยหน้าขึ้นมองและอ้าปากค้าง
ชี้นิ้วไปที่คัสตาร์ดในมือของจุมพล ที่บรรจงใช้ฟันแทะขอบถ้วยไปเรียบร้อยและก็ส่งยิ้มมาให้
ทำหน้าใสซื่อเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งที่เป็นคนขโมยไปเองแท้ ๆ
“คัสตาร์ดกู ไอ้เหี้ยจุ้มมมมมมมมมมมมม”
แปะก็เกินไป แบ่งน้องกินแค่นี้ก็ไม่ได้
“เออใช่ ของแปะนั่นแหละ ผมเห็นวางอยู่นึกว่าแปะไม่กินแล้วซะอีก เลยช่วยกิน”
ไอ้จุ้มมมมมมมมม ไอ้เหี้ยจุ้ม ไอ้จุ้มมมมมมมมมมมมมมมม
“ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้ ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้ ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้ ไอ้จุ้ม ไอ้........”
ถึงกับพูดไม่ออก ปากสั่นด้วยความโมโห รีบประมวลผลทางความคิดก่อนจะรัวด่าจุมพลที่ยังคงบรรจงแทะคัสตาร์ดในถ้วยอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
“มีเงินก็เอาไปเลี้ยงผู้หญิงหมด ขนมแค่นี้ซื้อเองไม่ได้ แม่งไอ้พวกนิสัยเสีย เคยคิดกันบ้างมั้ยวะ เคยเห็นใจกูบ้างมั้ย ทำไมถึงได้ทำให้กูประสาทแดกแบบนี้ได้กันหมดทุกคน พวกมึงมันเกินไปแล้ว ทำแบบนี้ มันเกินไป ถ้าวันไหนกูตายเพราะพวกมึงนะ กูจะมาหลอกมาหลอนพวกมึง มึงคอยดูเริ่มจากมึงก่อนเลยไอ้จุ้ม ไอ้จุมพล ไอ้คนไม่มีหัวคิด ไอ้ขโมย ขโมยได้แม้กระทั่งของกินแค่นี้ ปากกาดินสอมึงยืมไปก็ไม่คืน แล้วยังมีหน้ามาขโมยคัสตาร์ดกูอีก มึงนะไอ้จุ้ม มึงมันไม่ใช่คนแล้ว มึงมันเกิน.......................................”
เจี๊ยบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และมองจุมพลที่ยังคงแทะคัสตาร์ดไปเรื่อย ๆ โดยไม่สะทกสะท้านเลยซักนิด
“พอแล้วพี่จุ้ม เดี๋ยวแปะหัวใจวายตาย”
ได้แต่ปรามเอาไว้ และจุมพลก็หัวเราะร่าออกมาก่อนจะยักคิ้วให้กับเกรียงศักดิ์ที่ยังด่าไม่หยุด และหยิบปากกามาเตรียมขว้างใส่หัวของคนที่ขยันเข้ามาป่วนให้ประสาทแดกเป็นบ้าตาย
“อื้มมมมมมมมมม ทำไมถึงได้ปากร้ายกับแฟนได้ขนาดนี้ล่ะ หื้ออออ”
ยื่นมือไปหมายจะหยิกแก้มแต่ก็โดนปัดมือออก
“แปะอย่ามาเล่นตัว คัสตาร์ดแค่ถ้วยเดียวทำเป็นงก”
ทำเป็นงกบ้าอะไร
“มันไม่ใช่แค่คัสตาร์ด มันยังรวมถึงคุกกี้ รวมถึงกาแฟ รวมทั้งไม้บรรทัดปากกาดินสอ แล้วยังไม่รวมยางลบที่มึงเอาไปทำหายรอบก่อนอีกด้วย โอ้ยยยยยยยย กูปวดหัว”
เกรียงศักดิ์ยกมือขึ้นกุมขมับ และคนแกล้งก็ยิ่งหัวเราะร่ายิ่งกว่าเดิม
“มีพวกมึงอยู่รอบตัว อีกไม่นานกูคงต้องตายจริงๆ ปวดหัว ปวดหัว ไม่ไหวแล้ว เจี๊ยบเอาพารามากินสองเม็ดดิ๊”
เฮ่ออออ
เหนื่อยใจ น่าเหนื่อยใจเหลือเกิน คนหนึ่งก็ขยันป่วน อีกคนหนึ่งก็ควบคุมสติตัวเองไม่ค่อยได้
“พี่จุ้ม พอเหอะวะ พี่เกรทเขาจะตายจริง ๆ แล้ว”
เจี๊ยบได้แต่ส่ายหน้าและจุมพลก็พยักหน้ายอมหยุดภารกิจการแกล้งในครั้งนี้ แต่ก็ยังไม่วายวางถ้วยคัสตาร์ดที่แทะกินเฉพาะขอบ ๆ คืนให้เจ้าของตัวจริงที่ซื้อมาแต่ไม่ได้กิน
“แปะ ผมคืนให้แล้วนะ แปะอย่าโกรธเลย นี่คืนให้ครึ่งถ้วย อีกครึ่งถ้วยเดี๋ยวผมจะคายออกมาให้”
ไอ้จุ้ม
“มึงเอาไปเลย มึงไม่ต้องเอามาคืนแล้ว มึงรีบ ๆ ออกไปจากห้องซะทีเหอะจุ้ม กูจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”
แบตของแปะคล้ายจะหมดเรียบร้อยในเวลาเกือบห้าโมงเย็นและจุมพลก็หัวเราะออกมาเสียงเบา
“เห็นอยู่กันสองคน เงียบ ๆ ตลอดทั้งวัน ไหน ๆก็จะกลับบ้านแล้ว ผมเลยเข้ามาสร้างสีสันให้ชีวิตแปะซะหน่อย”
ใครอยากได้สีสันจากมึงไม่ทราบครับไอ้ห่าจุ้ม
“นิสัยอย่างนี้ไงถึงคบใครก็ไม่ยืด”
แปะก็ด่าตรงเกินไป ผมเจ็บปวดเลยนะแปะ
“คนที่ไม่ยืดมันไม่ใช่ผมนะ มันเป็นทางนั้นมากกว่า นี่ผมก็เลิกแล้ว ไม่ได้อะไรแล้ว เหนื่อย ๆ ด้วยแปะ”
เหนื่อยบ้าอะไร
“สมน้ำหน้าโดนไปกี่แสนละคนนี้ กว่าจะเลิกได้ สะใจ คนอย่างมึงนะจุ้มมันต้องเจอแบบนี้แหละ มันถึงจะคู่ควรและเหมาะสม”
จุมพลตั้งใจฟังสิ่งที่เกรียงศักดิ์ด่า
มันเต็มไปด้วยถ้อยคำเย้ยหยัน และไร้ซึ่งคำปลอบโยนใด ๆ ทั้งสิ้น
ไม่มีคำว่าเห็นใจ
ไม่มีคำว่าสงสาร
แต่จุมพลชอบที่ได้ฟังถ้อยคำไร้การปรุงแต่งแบบนั้น
ไม่ต้องการความเห็นใจ และถ้าไม่อยากได้ความเห็นใจก็ต้องมาหาแปะ เพราะนอกจากแปะจะไม่เห็นใจแล้ว แปะยังด่าได้เจ็บแสบ ชนิดที่ว่า คนฟังบางคนคงได้สำลักเลือดตาย แต่ไม่ใช่จุมพล
หลายครั้งที่เริ่มห่างได้ก็เพราะแปะ เพราะว่าแปะด่าตรง ๆ พูดตรง ๆ โดยไม่อ้อมค้อม ไม่เห็นใจ
มันก็เลยทำให้รู้ตัว ว่าตัวเองเป็นคนโง่มากขนาดไหน
“ผมรวย มีตังค์เยอะ หน้าตาดี ไม่เหมือนแปะที่แก่แล้วแก่เลย แถมยังหาเมียไม่ได้ มีเมียก็ต้องหย่า เพราะแปะเอาแต่บ่น บ่น บ่น ใครที่ไหนจะมาทนได้”
มึง ไอ้จุ้ม
“ปัญหาของกู จบไปชาติกว่าแล้ว อย่ามาสาระแนอยากจะขุดคุ้ย ตัวเองเอาให้รอดก่อน ค่อยมาทำเป็นปากดีใส่คนอื่น”
แปะปากร้าย
ด่าขนาดนี้ ไม่เอามีดแทงคอหอยกูซะเลยวะ
“แล้วปัญหาของผมไม่จบตรงไหนวะ ก็เนี่ยเลิกแล้ว เขามาตามจิกหาว่าผมกับไอ้เจี๊ยบเอากัน ประสาทคิดไปได้ ผมก็พยายามเลิกแล้วนี่ไง เดี๋ยวก็เลิกได้เองแหละ”
มึงเลิกไม่ได้หรอก
“รอบที่ร้อย เชื่อก็ควายแล้วแหละวะ เอาไว้เลิกได้แล้วค่อยมาปากดีพูด ไอ้เด็กน้อย ใจไม่แข็งพอ อย่ามาทำเป็นเทียบรุ่น”
จริง พี่เกรทพูดถูกจริง ๆ
ใจไม่แข็งพอเลิกไม่ได้ ก็เลยคาราคาซังอยู่จนถึงป่านนี้ รัก ๆ เลิก ๆ มาเป็นร้อยรอบ หมดเงินไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ก็ยังตัดไม่ขาด
“กลับไปถามตัวเองให้ดี ๆ ว่าเมียมึงรักมึง หรือรักเงินของมึง โง่แล้วยังเสือกอวดฉลาดอีก ไม่ได้ยุนะ แค่อยากเห็นครอบครัวมึงร้าวฉาน เลิกกันได้เมื่อไหร่ กูก็แค่สะใจนิดๆ หน่อย ๆ ”
แปะโหด
“เดี๋ยวก็เลิกได้เองแหละ แปะไม่ต้องมาสะใจอะไรกับครอบครัวผมหรอกน่า”
ทำหน้าระรื่นทั้งที่ใจแป้ว
ผมไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้นหรอกนะแปะ แต่เพราะบางครั้งถ้ายาไม่แรงพอ ผมก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาตั้งสติ
ผมก็รู้ตัวเองดีว่าใจไม่แข็งพอเหมือนแปะ
เห็นแบบนี้แปะทั้งเย็นชา ทั้งใจแข็ง ทั้งไม่เคยสนใจใคร เหมือนจะร้ายกาจ แต่มันมีบางอย่างซ่อนไว้อยู่ในนั้นเสมอ
ความห่วงใยลึก ๆ ที่จุมพลรู้สึก แต่สำหรับคนอื่น คงคิดว่าเราแค่ทะเลาะกันเหมือนทุกวัน
“แล้วจะใจแข็งให้ดู”
พูดเพียงแค่นั้น และจุมพลก็ยักคิ้วส่งให้คนที่หยุดด่าและเริ่มนับเงินสดที่เหลือในวันนี้
“ไปไกล ๆ ไม่อยากฟังพวกดีแต่ปาก”
ครับ ผมมันดีแต่ปากจริง ๆ อย่างที่แปะพูดนั่นแหละ
“ถ้าผมเลิกได้แล้วแปะมาดามใจผมมั้ยล่ะ”
ประสาท
“ไอ้จุ้ม”
เสียงเอ็ดหนัก ๆ ของเกรียงศักดิ์ทำให้จุมพลหัวเราะออกมาได้ ก่อนจะหยิบคัสตาร์ดที่ตัวเองแทะไปเกือบหมดกลับมาถือเอาไว้
และผิวปากเดินจากไปอย่างมีความสุข ทิ้งให้เจี๊ยบได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเซ็ง เพราะต้องทนฟังคนสองคนทะเลาะกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน
“ถ้าไม่ได้ทำให้กูประสาทแดก ไอ้จุ้มมันจะอยู่ไม่ได้ใช่มั้ยวะเจี๊ยบ”
หันไปถามลูกน้องที่กำลังรวบรวมบิลแยกเป็นชุด แล้วเจี๊ยบก็พยักหน้าให้
“ถ้าพี่จุ้มไม่มีพี่เกรท พี่จุ้มคงตายห่าไปนานแล้ว เพราะไม่มีคนลับฝีปากด้วย”
อ้าว ไอ้นี่ แทนที่จะเข้าข้างหัวหน้ามึง เสือกไปเข้าข้างไอ้หัวหน้าแผนกจัดซื้อซะงั้น
“มึงนี่ก็จริง ๆ เลย ลาออกจากแผนกกูแล้วไปสมัครอยู่แผนกไอ้จุ้มเลยไป”
ไปได้ยังไงล่ะพี่เกรท ถ้าไปได้ ผมไปตั้งนานแล้ว
“ก็อยากจะไปเหมือนกันแหละ แต่กลัวพี่เกรทไม่มีใครชงยาหอมให้ตอนที่ลมขึ้น”
ไอ้เจี๊ยบ
“นี่มึงเป็นลูกน้องกูเหรอเนี่ย กูยังไม่เคยต้องกินยาหอมเลยนะ กูยังไม่ได้แก่ถึงขนาดนั้น ห่าเอ้ย มึงนี่ก็อีกคน”
ได้ยินเสียงพี่เกรทบ่นพึมพำอะไรไปเรื่อย ๆ แต่เป็นการบ่นที่ทำให้เจี๊ยบยิ้มได้เหมือนทุกวัน
แปะก็บ่นแบบนี้ตลอด ดีแล้วที่แปะบ่นแบบนี้ เพราะมันหมายความว่าแปะยังเป็นปกติสุขดีอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนไป
รอยยิ้มของเจี๊ยบแม้จะเหงา ๆ ไปบ้าง แต่มันก็เป็นความเหงาที่พร้อมจะเต็มใจให้เป็นแบบนั้น
ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ เจี๊ยบไม่อยากคิดหรือสนใจคำนั้น
สำหรับเจี๊ยบแล้ว แค่อยู่ใกล้ ได้มองไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็พอแล้ว และเจี๊ยบไม่เคยคิดจะยัดเยียดตัวเองเข้าไปในหัวใจของพี่เกรทเลยซักครั้ง แค่หวังว่าเราจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ได้ทำงานด้วยกันไปเรื่อย ๆ แค่นี้เจี๊ยบก็มีความสุขที่สุดแล้ว
TBC.