ปล.ด้วยรักและคิดถึง (นิว-โจ้)#เบื่อแห้ว
“เป็นไงบ้าง คุยกันบ้างหรือเปล่า”
ยังไง
หมายความว่ายังไง คำว่าคุยกันบ้างหรือเปล่า
“ก็ไม่ยังไง ก็คุยอยู่หรอก ถ้ามีอะไรจำเป็นก็คุยอยู่”
โจ้ตอบออกไปแล้ว และยืนมองหน้าของใครบางคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาพักใหญ่
“ไม่ติดต่อเลยเนอะ ใจดำจริงวะตอง”
มันเป็นความบังเอิญ ที่ได้มาเจอหน้าใครบางคนอีกครั้ง
เราอยู่ด้วยกันเสมอ ช่วงที่เรียนด้วยกัน
แล้วอยู่ดีๆ ตองมันก็ย้ายที่เรียน แค่ย้ายไม่พอ ทั้งเบอร์ติดต่อหรือที่อยู่ มันก็ไม่ยอมบอก หายไปแบบเงียบ ๆ เฉย ๆ
เป็นทางนี้ ที่ถึงกับไปไม่เป็น
และมึนงงกับสิ่งที่ตองทำไปพักใหญ่
“ไม่ใจดำไม่ได้ ยิ่งเสน่ห์แรงอยู่ เดี๋ยวมึงก็ไม่ยอมตัดใจจากกู”
เป็นคำพูดหยอกล้อที่ทำให้โจ้ยิ้มออกมาได้
และขยี้เส้นผมของคนที่อยู่ตรงหน้าเหมือนที่เคยทำ
“แล้วให้รักหรือไง”
ไม่ให้หรอก
จะรักได้ยังไง ก็เคยบอกไปตั้งแต่แรกแล้ว ว่าจะไม่คบใครเด็ดขาด เดี๋ยวย่าด่า
เหตุผลฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อ
แต่สำหรับตองมันคือเรื่องจริง
ไม่ว่าใครจะมาชอบหรืออยากคบหาด้วย ยังไงก็ไม่มีทางคบด้วยแน่
“รอรวยก่อน แล้วค่อยมีแฟน ให้ย่าสบายก่อนค่อยคิดเรื่องนี้”
คำตอบยังเป็นเหมือนเดิม
ตองเคยตอบยังไง มันก็ยังตอบแบบนั้นเหมือนเดิม
ยืนยันหนักแน่นในคำพุดของตัวเองเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“แล้วย้ายหนีเนี่ย หนีกูด้วยดิ”
ก็ไม่เชิง
“บังเอิญได้ทุน โอนย้ายหน่วยกิตได้ด้วย มันก็จะได้ทุ่นค่าใช้จ่ายไปอีกหน่อย ก็เลยไป”
แล้วก็ไปแบบไม่บอกกล่าวกันเลยเนอะ
“หลบหน้าสิไม่ว่า”
โจ้มองหน้าของตองแล้วก็ยิ้ม อมยิ้มเล็ก ๆ และตองก็ยิ้มตอบกลับเหมือนเดิม
“ก็ส่วนหนึ่ง ถ้าไม่ทำแบบนี้คนบางคนมันก็ไม่ยอมรู้ใจตัวเอง”
รู้ใจอะไรวะ
ไม่เห็นรู้เรื่อง
ใครจะมารู้ใจใครอะไร งง
“รู้ใจตัวเองตั้งนานแล้ว แต่คนบางคนมันไม่ยอมให้รู้ใจไง ก็เลยไม่รู้จะทำยังไง”
แกล้งตัดพ้อต่อว่า และคราวนี้ตองยิ่งหัวเราะร่วนและจ้องหน้าของโจ้ตรง ๆ
“แล้วใกล้จะรู้หรือยัง”
ยังมั้ง
คิดว่าคงยัง........แล้วนี่พูดเรื่องอะไรเนี่ย
รู้ใจใครวะ งงหนักเข้าไปใหญ่แล้ว
“ไม่เจอกันแค่ไม่นาน เดี๋ยวนี้พูดจายอกย้อนเก่งขึ้นนะ”
ก็นิดหน่อย
“แล้วนี่มอง ๆ ใครอยู่หรือเปล่า”
มองใครเหรอ
ก็...
ใครจะไปยอมพูดกันล่ะ บอกคนที่เคยชอบว่ามีคนที่ชอบคนใหม่แล้วเนี่ยนะ มันจะไม่แปลกหรือไง
“รอตองแหละ”
ไม่ได้รอจริง ๆ ไม่ใช่เหรอ โจ้ฉลาดจะตาย แม้จะทำอะไรตามสัญชาติญาณไปหมดทุกอย่างก็เถอะ
แต่โจ้ฉลาดพอที่จะไม่ทำเรื่องบางอย่างแน่ ๆ
“รอกูหรือรอไอ้ นิว”
เหี้ย
พูดอะไรเรื่อยเปื่อย
ตลกน่า
ไปรอมันทำไมไอ้นิว พูดเรื่องอะไรเนี่ย ชักจะงงไปกันใหญ่แล้ว
“เกี่ยวอะไรกับมัน พูดกันแค่เท่าที่จำเป็นแค่นั้น เดี๋ยวนี้ยิ่งไม่มองหน้ากันด้วยซ้ำ”
เหรอ
“โจ้ไม่มองนิว ..... ก็ใช่....แล้วเคยสังเกตมั้ยว่านิวมองโจ้บ้างหรือเปล่า”
แล้วมันจะมองกูทำไม
ไม่เคยหรอก
มันจะมองทำไม
มันหยิ่งจะตาย ปกติแม่งโคตรหยิ่ง ไม่ลงมาเสวนากับคนอย่างกูหรอก
“ไม่ไหวจะมอง แม่ง ทำตัวอย่างกับเทวดา”
ค่อนขอดกระแนะกระแหน แม้อีกฝ่ายจะไม่อยู่ตรงนี้ แต่โจ้ก็ยังสามารถพูดถึงและทำหน้างี่เง่าได้
“โจ้....ถามจริง ๆ เหอะ นายชอบเราจริง ๆ เหรอ แน่ใจได้ยังไงว่าชอบ ไม่ใช่เพราะใครบางคนมันมีท่าทีกับเราเหรอ นายถึงยอมไม่ได้”
ใคร
ไม่มีหรอก
ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร
แล้วจะให้ใครมาชอบ ไม่ใช่มั้ง
คนที่ชอบมันคนนี้ต่างหาก
ตองต่างหาก
คนที่ชอบมาตลอดน่าจะเป็นตอง
และคนที่ควรชอบในตอนนี้ก็ควรเป็น...........
ไอ้คนที่กำลังคุยโทรศัพท์นั่น
คนที่คุยโทรศัพท์อยู่ตรงนั้น
ไม่ใช่ ไอ้คนที่นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จาอยู่ข้างๆ
เรื่องบางอย่างที่ทำให้โจ้รู้สึกแปลกใจตัวเอง
มันเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
ก่อนหน้าที่จะทำอะไรแปลก ๆ โง่ ๆ ไปเมื่อคราวก่อน
ไม่เคยคิดถึงเรื่องบางอย่างที่ตองเคยพูดเอาไว้
ไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยสักนิด
แต่หลังจากวันนั้น
กลับเริ่มคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
เริ่มสังเกตบางสิ่งบางอย่างที่อยู่รอบตัว
คนบางคนที่เห็นกันจนชิน
แต่เมื่อไม่นานมานี้ โจ้รู้สึกว่าไม่ค่อยชิน เพราะมีบางอย่างที่แปลกตาออกไป
นิวเป็นคนที่มีหน้าตาน่ามองคนหนึ่ง
ไม่เคยมอง แต่ตั้งแต่วันนั้น โจ้ก็เริ่มมอง
เหลือบมองบ้าง มองใบหน้าด้านข้างบ้าง
มองไปมองมาก็เริ่มรู้สึกว่าชักจะเพลินตา
โดยที่ไอ้นิวมันไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด
ขืนรู้แม่งก็ตายห่าดิ
เดี๋ยวมันสวดกูยาวเลย ให้กูคิดเหตุผลร้อยแปดมาตอบแล้วใครจะไปตอบได้วะ ว่ากูจะมองมันไปหาพระแสงของ้าวอะไร
“เจ้าของเขามาทวงแล้ว ชาติหน้าเหอะมึงไม่มีทางได้แอ้มหรอก”
แล้วกูสนมั้ย กูเคยสนหรือไงนิว มึงก็รู้ว่ากูไม่เคยสน
“อกหักอีกแล้วโว้ย”
แกล้งพูดและโจ้ก็เหลือบสายตามองหน้าคนที่แค่นยิ้มอยู่ข้างๆ
คล้ายจะเห็นบางอย่าง
“ตั้งแต่แรกแล้ว มึงเองก็มีสิทธิ์ แล้วทำไมไม่แย่งวะนิว”
หยั่งเชิง
ลองหยั่งเชิง และนิวยิ่งแค่นยิ้มเหมือนกำลังเยาะเย้ยตัวเอง
แย่งเหรอ
นั่นสิ
ทำไมวะ ทำไมไม่แย่งวะ
“ก็กูคนดีไม่ใช่มึง ....สันดาน”
ด่ากูซะงั้น
“แล้วมึงคิดว่ากูจะจบง่าย ๆ หรือไง ไอ้ทางโน้นจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กูอยู่ทางนี้ ใกล้ชิดเห็น ๆ แค่เปิดโอกาส มึงจะตายหรือไงวะ กูอาจจะดีกว่าไอ้หยกอะไรนั่นก็ได้”
เลิกพูดซะทีเหอะ
“รำคาญ มึงหยุดซะทีได้มั้ย กูเหนื่อย”
อ้าว
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกูล่ะ มึงเหนื่อยแล้วไง มึงเหนื่อยมึงก็เลิกเป็นผู้พิทักษ์ห่าอะไรนี่ของมึงซะทีสิ
ง่าย ๆ
แค่มึงเปิดโอกาส
ไม่ได้เลยหรือไง
“นิว”
“..............”
“นิว.....”
“......................”
“ไอ้นิว มึงฟังหน่อยสิ เปิดใจรับเงื่อนไขกูหน่อยไม่ได้เลยหรือไง กูรักจริง ชอบจริง ไม่ทิ้ง แค่ให้โอกาสกูหน่อย”
เงื่อนไขเหี้ยอะไรวะ
กูไม่อยากฟัง
“มึงบอกใคร”
จะบอกใคร
ก็บอกมึงนั่นแหละ
“มึงก็รับเงื่อนไขหน่อยสิ กูรักจริง ชอบจริง ไม่ทิ้ง”
นิวยิ่งขมวดคิ้วมุ่นและหันหน้ามามองคนที่พูดเรื่องบางเรื่องในเวลาที่ไม่ควรพูด
ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และอยากจะเดินหนีไปให้ไกล ๆ
“มึงบอกใคร”
เอ้า ไอ้นี่ กูพูดมึงไม่ฟังเลยหรือไง มึงคิดจะฟังหูซ้ายทะลุหูขวาใช่มั้ย
“กู.........ชื่อโจ้...........กูกำลังบอกมึง.........ไอ้นิว....เปิดโอกาสให้กูหน่อยมั้ย..........กูรักจริง.........ชอบจริง.........ไม่ทิ้ง”
เหี้ยนี่กวนตีนชิบหาย
“มึงบอกใคร”
นี่มึงฟังบ้างมั้ย
“กู.........บอก..........มึง”
เน้นคำให้ชัดเจนขึ้น และคราวนี้นิวถึงกับส่ายหน้าและขมวดคิ้วมุ่นด้วยความเซ็ง
“เลิกพูดเหอะ ไร้สาระว่ะ กูบอกแล้วว่าของเขามีเจ้าของ ทำไมมึงยังหน้าด้าน จะเอาให้ได้วะ”
มันเรื่องของกู
ก็กูจะเอา แล้วมึงจะทำไม
“แล้วจะเอายังไงวะ”
เอายังไงอะไรของมึง
“เลิกยุ่งกับไอ้กัสได้มั้ย กูขอร้อง กูเหนื่อย กูไม่อยากอยู่ใกล้มันมากไปกว่านี้ กูเหนื่อยแล้ว กู.....จะไม่ไหวแล้ว”
นั่นกูรู้แล้ว
โดยนิสัยมึงแล้ว ทนอยู่กับความเจ็บปวดนาน ๆ ไม่ได้
มึงเลี่ยงการเจ็บปวดเสมอ อะไรที่เลี่ยงได้มึงก็เลี่ยงมาตลอด ไอ้คนเจ้าแผนการ ไอ้คนเจ้าความคิด
“กูชื่อโจ้ รักจริง ชอบจริง ไม่ทอดทิ้ง”
เหี้ยน่ารำคาญว่ะโจ้ มึงเพ้อเจ้ออะไรของมึงเนี่ย
“พอ”
ไม่พอ มึงก็ฟังสิ มึงฟังกูบ้างมั้ยเนี่ยนิว
กูพูดทำไมมึงถึงไม่ฟัง มัวคิดแต่เรื่องอะไรของมึง
“กูชื่อโจ้”
เอออออออออออออ
“เหี้ย กูไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ มึงจะย้ำทำไมพร่ำเพื่อ มึงชื่อโจ้แล้วยังไงวะ แม่ง กวนตีนนะมึง กูไม่มีอารมณ์มาพูดอะไรไร้สาระกับมึงนะ”
เอออออออออออออออออ แล้วกูมีอารมณ์มาไร้สาระกับมึงหรือไงวะ
“มึงว่าใครไร้สาระวะ ไอ้นิว”
ถามมาได้ว่าใคร
อย่าโง่ได้ป่าว ปกติมึงก็โง่อยู่แล้ว อย่ามาแกล้งทำเป็นโง่ได้ป่าว กูยิ่งเครียด ๆ อยู่
“กูชื่อโจ้”
ไอ้เหี้ยนี่ไม่เลิก
“กูรู้แล้ว กูชื่อนิว แล้วมึงจะทำไมไอ้เหี้ยโจ้ พอซะทีได้มั้ย”
ไม่ได้
กูไม่พอ
“กูรักจริง ชอบจริง”
ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
“กูไม่ฟังมึงแล้ว”
นิวลุกขึ้น เพราะกำลังรู้สึกว่าตัวเองเริ่มโมโห
เวลาคนเราโมโหมักจะควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้
และถ้าเราควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เราจะอ่านสถานการณ์ไม่ออก
เราจะสูญเสียหนทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาในแต่ละสถานการณ์
เราจะ.....
“คบกันมั้ยวะ สัด……….”
กวนตีนแล้ว แดกตีนกูก่อนมั้ย
“อย่าปัญญาอ่อนไอ้โจ้……..กูบอกแล้วว่าของเขามีเจ้าของ”
ไม่เห็นมี
กูเฝ้ามาพักใหญ่แล้ว
ไม่เห็นมีแม้กระทั่งโทรศัพท์สักกริ๊ง ก็ไม่เห็นมี
ไอ้คนมีเจ้าของ กูพยายามไม่คิดอะไรมาพักใหญ่แล้ว
แต่คนไม่มีเจ้าของ กูเพิ่งเริ่มคิดเมื่อไม่นานมานี้
แต่ไม่ค่อยชัวร์ตัวเอง
จนมาเห็นอะไรบางอย่าง จะจะวันนี้ กูเลยคิดว่า ทำอะไรบางอย่างไปก็เท่านั้น
คนมันเป็นได้แค่เพื่อน
แม่งก็เป็นได้แค่เพื่อนแหละวะ
แต่คนที่ไม่เคยเป็นเพื่อน แต่รู้ทุกอย่างแบบไม่ต้องพูดก็เข้าใจและมันก็อยู่ใกล้แค่นี้
ทำไมไม่ลองพัฒนาดูวะ
ถึงสันดานจะเหี้ยไปหน่อย ตรงที่ชอบเล่นบทคนดีกับคนอื่นไปทั่ว แต่เล่นบทคนเลวกับกูคนเดียว
แต่ก็นั่นแหละ
มีอะไรก็พูดออกมาเลยไม่ต้องเก็บไม่ต้องกั๊ก
มึงไม่คิดจะพัฒนาไปทางอื่นบ้างเหรอวะ
กูก็ไม่ได้ชอบอะไรมึงหรอกนะ แค่....คิดว่า บางทีมันก็เหนื่อยเวลาที่ต้องวิ่งไล่ตามบางอย่าง แต่เหมือนหาไม่เจอไปไม่ถึง
“กูชื่อ...........”
หุบปากไปเลยกูไม่ฟังแล้ว
นิวลุกขึ้นและโจ้ก็ลุกตาม ไม่ใช่แค่ลุกตาม แต่มายืนดักหน้าไม่ให้คนบางคนเดินหนี
“จีบหน่อยไม่ได้หรือไงวะ เหี้ยหยิ่งชิบหายกูไม่อยากแดกแห้วแล้ว มึงไม่เข้าใจหรือไง ว่ากูเอียนแห้วเต็มที”
นั่นมันเรื่องของมึง
“กูบอกว่าของ..........”
ของอะไร
ของใคร
ของอะไรของมึง
“กูไม่อยากแดกแห้ว กูเอียน สันดานหยิ่ง นิสัยเสีย เหี้ย ๆ อย่างมึงแก้ไม่หายง่ายๆ หรอก ให้กูจีบเหอะ จะได้จบ ๆ เรื่องไป”
อ้าวไอ้เหี้ย มึงพูดอะไรเนี่ย
มึงบ้าหรือเปล่า
มึงประสาทหลอนไปแล้วหรือไงไอ้โจ้
เป็นห่าอะไรของมึง
สมองมึงคิดอะไรอยู่
“กูจะพูดอีกคำเดียวนะ กูเบื่อแห้ว ถ้าไม่อยากให้กูต้อนไอ้กัสมึงก็ลอง ๆ ให้กูจีบมึงแทนซะ จบ.......โอเคป่าว”
แม่งบ้าไปแล้ว
“มึงก็รู้กูทำตามอารมณ์ อารมณ์ตอนนี้กูอยากจีบมึง กูอยากจีบจริง ๆ เอาแบบจริง ๆ จัง ๆ ไม่เอาเหมือนคนก่อน ๆ หรือคนอื่น ๆ ลองมั้ย ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ลองเหอะ”
ลอง
ลองเนี่ยนะ
คิดอะไรอยู่เนี่ย
“หรือมึงกลัว”
ห๊ะ
นี่คือการจีบกันเหรอ มึงแน่ใจว่านี่เรียกจีบกัน??????????????
แล้วการท้าทายแบบนี้ หมายความว่ายังไง
หมายความว่าถ้ากูไม่กลัว ก็ลองดูใช่มั้ย
“ปัญญาอ่อน”
โดนด่า และนิวก็ทำหน้าเซ็งโลกใส่คนที่พูดจาไม่รู้เรื่อง เดินหนีเข้าบ้าน แต่สายตาเหลือบมองคนที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่ข้างบ้าน
“อ้าวไอ้เหี้ย แบบนี้เรียกกลัวนี่หว่า มึงไม่กล้าไง ถึงได้เดินหนี ไอ้นิว กลับมาก่อนดิ คุยดี ๆ ตกลงเอายังไง”
เดินตาม
โจ้ก้าวขาเดินตามนิว
แต่สายตาก็ไม่อาจเลี่ยงหนีใครบางคนที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์ได้
“ไม่.....ดื้อ........กัส.....ไม่ดื้อ....กับพี่....หยก...แล้ว”
โห
ตายเลยกู
แม่งอย่างหวาน
มึงคุยกันแม่งอย่างหวาน จนกูไปไม่เป็น
นี่ขนาดเอ๋อ มึงยังพูดกันได้ขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นตอนดี ๆ มึงจะพูดกันขนาดไหนวะ
“แดกแห้วทั้งไร่ ชัดเจนแล้วกู”
โจ้มองคนบางคนที่เดินวนไปวนมา และก็ยิ้มกับตัวเอง
ดีนะที่ไม่เทไปหมดหน้าตัก
เหลือใจเผื่อเอาไว้บ้าง เพราะการพูดบ่นด่า ของไอ้นิวทุกวันแท้ ๆ
โชคยังดี ที่คราวนี้คงถอนตัวไม่ยาก
“แล้วไม่ดื้อกับกูบ้างไม่ได้หรือไงวะ”
เงยหน้าขึ้นและมองไปที่คนที่เดินเข้าไปในบ้าน และโจ้ก็ค่อย ๆ ก้าวขาเดินตาม
ไม่รู้ล่ะ
ลองดู
ลองดูสักตั้งวะ
ไม่มีอะไรจะเสียนี่หว่า
ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
กูมีอะไรจะเสียที่ไหนล่ะ
แค่จีบไอ้นิว...........ของแบบนี้จะให้คิดอะไรมาก
ก็แค่.....ลองจีบดู ชิล ชิล ช่วงอกหักจะได้ไม่เหี่ยวเฉา ดูเหมือนมีอะไรทำดี ไม่ต้องคิดเรื่องอกหักให้มากความ
TBC.