ตอนพิเศษ ฝืน (โบ+แมว) (END)ในหลายๆ วันที่ผ่านมา การได้มานั่งคิดทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันทำให้ผมเข้าใจว่ากับความรักที่ล้มเหลวในครั้งนี้ไม่ได้มีใครผิดเลย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากจะเจอสองคนนั้นอีก มันคงเป็นกลไกปกป้องตัวเองของมนุษย์ที่หากว่าอะไรทำให้เจ็บปวดก็มักจะหลีกเลี่ยง เพราะฉะนั้นผมถึงได้หลบหน้าพวกเขา แม้ว่าแมวจะพยายามโทรหา หรือมาที่บ้านก็ตามที แต่ผมก็ไม่ได้รับสายหรือเปิดประตูต้อนรับเลยสักครั้ง ส่วนไอ้หลิน ผมคงไม่มีอะไรจะพูดกับมัน ถึงมันจะเคยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด แต่ผมก็ยังไม่พร้อมจะพูดคุย
จนเมื่องานศพของพ่อชงโค ผมไม่สามารถหลบเลี่ยงพวกมันได้อีกต่อไป ...มันทรมานจริงๆ นะครับกับการที่ต้องเห็นคนที่เคยอยู่เคียงข้างเรามาตลอดหลายปีกลับกลายไปเป็นคนของคนอื่นแทน แต่คงไม่เป็นไร เพราะอีกไม่นานผมก็ไม่ต้องทนเห็นภาพบาดตาแล้ว
“โบ...” เสียงแผ่วเบากับสัมผัสจากมือเล็กๆ ที่มือของผมทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อย ผมเพิ่งวางดอกไม้จันเสร็จ เดินลงจากเมรุมาแล้วก็มาหาที่ยืนสงบใจรวมกับคนอื่นๆ แต่ใครจะไปคิดว่าแมวจะมายืนอยู่ข้างหลังได้
ผมดึงมือตัวเองออกและไม่ได้หันไปมอง เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วกับเสียงเรียกของแมวในตอนนี้
“ฟังกันก่อนได้ไหม”
“...”
“ขอร้อง”
น้ำเสียงสั่นเครือไม่ได้ทำให้ผมใจอ่อนแต่อย่างใด มันกลับมีแต่ความคิดทุเรศๆ ที่ว่าแมวคงจะใช้น้ำตามาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอีกตามเคย
“พอเถอะ เพราะถึงแมวจะพูดอะไร โบก็คิดว่ามันเป็นแค่คำแก้ตัว มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วล่ะ เราจบกันแล้วนะ ต่างคนต่างอยู่น่าจะดีกว่า”
ผมพูดแค่นั้นก็เดินหนีมาทางที่เห็นว่าเณรชงโคกำลังยืนอยู่ ชงโคบวชหน้าไฟให้กับพ่อ เพราะคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ชงโคจะทำให้พ่อได้ แล้วมันก็คงดีนะถ้าหากว่าในวันที่ผมจะจากไป มีใครสักคนทำแบบนี้เพื่อผมบ้าง
“เณรว่า..จะไปได้ไกลถึงสวรรค์รึเปล่านะ ควันนั่นน่ะ”
ควันที่ลอยขึ้นบนฟ้า ผมไม่รู้ว่าลอยไปไกลแค่ไหน แล้วบนนั้นจะมีสวรรค์อยู่จริงหรือไม่ ก็คงเป็นแค่คำถามเพ้อเจ้อของเด็กๆ แต่ผมก็ยังหวังว่าสวรรค์...จะมีอยู่จริง
“ต้องถึงอยู่แล้ว” เณรตอบผมด้วยวาจาและท่าทางสำรวม แต่รอยยิ้มเศร้าๆ นั่นคงสร้างความเป็นห่วงให้กับเฮียทองที่ยืนมองอยู่จากอีกมุมไม่น้อยเลย
“สวรรค์จะเป็นยังไงนะ...อยากรู้จัง ไม่เคยมีใครกลับมาบอกด้วย”
เพราะไม่เคยมีใครกลับมาบอกได้ มันถึงได้สร้างความกลัวให้กับผม ไม่รู้ว่าจะต้องไปไหน ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร หรือถ้าหากตายไปแล้วจะยังคงรูปร่างอยู่ในรูปแบบไหน ไม่มีใครรู้เลย...
“เลิกกันแล้วเหรอ” เป็นคำถามที่ไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะต้องตอบ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะไม่ตอบเหมือนกัน
“อืม”
“เจ็บไหม”
ผมหันมองเสี้ยวหน้าของเณรที่ยังคงเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้าแล้วก็ให้คำตอบเบาๆ ว่า
“อืม”
“แล้วทำไมถึงปล่อยไป”
“เขามีสิทธิ์ที่จะเจอคนที่ดูแลเขาได้ ไม่เกี่ยวกับว่าผมจะปล่อยหรือไม่ปล่อย”
ใช่...ไม่เกี่ยวหรอกว่าผมจะอยากปล่อยรึเปล่า ในเมื่อใจของแมวเลือกแล้วว่าควรจะวางไว้ที่ใคร
“ไม่รักแล้วเหรอ”
“อืม”
“โกหกคนที่นุ่งผ้าเหลืองน่ะบาปกว่าเดิมหลายเท่านะ”
ถึงจะบาป แต่ผมก็อยากให้คิดว่าเป็นเพราะผมเองที่ทำให้แมวเปลี่ยนใจ ผมรู้ว่าผมทำตัวไม่ดี ผมรู้แก่ใจว่าดูแลได้ไม่เท่าหลิน รู้ว่าเอาใจไม่เก่ง ผมก็มีแค่ความรู้สึกรัก แต่ไม่มีเซอร์วิสอะไรให้ ก็ถูกแล้วที่แมวจะต้องไป...เพราะอย่างนั้นผมจะไม่บอกเณรหรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ผมแค่ไม่รู้ว่าจะได้อยู่มองท้องฟ้าสีสวยๆ นี้ไปได้อีกนานแค่ไหน ผมกำลังจะตาบอด และอีกไม่นานก็คงจำใครไม่ได้ ผมเคยเห็นแก่ตัวมากกว่านี้ และไม่อยากทำตัวเป็นพระเอกเลย แต่การที่ต้องให้ใครสักคนมาทนอยู่กับคนที่ไม่มีอนาคตอย่างผม คงจะเป็นบาปมากเกินไป”
“ป่วยเหรอ”
“ผมเหมือนคนป่วยเหรอครับ”
“บอกมาเถอะ มีหมอเก่งๆ ที่รู้จักอยู่หลายคน เขาอาจจะช่วยได้”
“หมอเจ้าของไข้ยังบอกผมไม่ได้เลยว่ารักษาแล้วจะหาย มันอยู่ในจุดที่อันตรายเกินไป แล้วนับวันก็ยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้ของผม เริ่มใช้การไม่ได้แล้ว อีกไม่นานก็คงต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย ผมอยู่มาได้เกือบปี แต่ไม่รู้ว่าจะยังโชคดีอยู่ต่อไปได้อีกสักกี่เดือน”
ผมก็หวังให้มีปาฏิหาริย์เหมือนกัน แต่นับวันเนื้องอกก็ยิ่งโตขึ้น หมอบอกผมว่าคงอีกไม่นานที่มันจะโตไปทับส่วนสำคัญจนทำให้ผมพิการหรือตายไปในที่สุด
“ผมแค่อยากจะบอกใครสักคนก่อนที่ผมจะพูดไม่ได้ เณรเป็นเพื่อนที่ผมสนิทด้วยที่สุดในคณะ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เพราะฉะนั้น ช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้ด้วย อย่างน้อยในวันที่ผมจากไป ผมก็หวังจะให้มีใครสักคนส่งผม แมวอาจจะร้องไห้บ้าง แต่คงไม่มากเท่าในวันที่เขายังรักผมอยู่หรอก”
“บอกคนรักหน่อยไม่ดีกว่าเหรอ”
คำว่าคนรักทำให้ใจผมกระตุกวูบไปเหมือนกำลังดิ่งลงเหวลึก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังยิ้มให้กับเณรแล้วให้คำตอบของเหตุผลที่ผมมีก่อนที่จะรู้ว่าถูกหักหลัง
“ยังไงเขาก็ต้องรู้อยู่แล้ว ผมปิดไม่ได้ตลอดหรอก แต่ตอนนี้ผมไม่อยากให้แมวเอาความสงสารมาปนกับความรัก ผมกับแมวคบกันมานาน นานจนเราไม่รู้ว่า มันคือความเคยชินที่มีกัน หรือระหว่างเรายังคงมีความรักอยู่กันแน่ แล้วในเมื่อตอนนี้มีผู้ท้าชิงขึ้นมาแล้ว ผมก็อยากให้แมวได้เลือก สุดท้ายคนที่อยู่ข้างแมวจะไม่ใช่ผมก็ไม่เป็นไร เพราะผมก็เป็นแบบนี้ เณรอย่าทำหน้ากังวลใจกับเรื่องของผมเลย ทุกอย่างมันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น แม้กระทั่งชีวิตมีเกิดก็ต้องมีดับสูญ ช่วงนี้ผมอ่านหนังสือธรรมะบ่อยๆ น่ะ ช่วยให้จิตใจดีขึ้นเยอะ”
ไม่ใช่ผม...ก็ไม่เป็นไรงั้นเหรอ...นั่นมัน...โกหกทั้งเพเลย ผมคงบาปเป็นร้อยเป็นพันเท่าได้แล้วที่เผลอพูดอะไรเท่ๆ ออกไป ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ตรงกับที่หัวใจต้องการเลยสักนิดเดียว
“ผมพูดมากใช่ไหม...พูดเผื่อไว้ ในวันที่ผมจะพูดไม่ได้อีก แต่วันนี้ผมพูดมันออกมาจนหมดแล้ว คงไม่มีอะไรติดค้าง”
“โยมเพื่อนยังมีเรื่องที่ติดค้างไม่ได้บอกกับคนสำคัญของโยมนะ”
“คำว่ารักของผม...คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ”
เพราะเณรหันไปมองตามสายตาของผมถึงได้ไม่พูดแย้งอะไรขึ้นมาอีก ผมชอบที่จะอยู่กับเณรนะ คงเป็นเพราะอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่ถามเซ้าซี้ในเรื่องที่ผมไม่อยากให้รู้ แค่รับฟังและก็หาทางช่วยเหลือ ผมถึงอยากจะบอกทุกๆ เรื่องก่อนที่ผมจะเป็นอะไรไปให้เขาฟัง
“รู้จักหมอที่เก่งมากๆ คนหนึ่ง เขาคงมีเพื่อนที่เชี่ยวชาญที่จะช่วยโยมเพื่อนได้ แต่เขาบอกว่าจะไม่กลับมาเมืองไทยอีกจนกว่าจะครบปี เพราะฉะนั้น...ต้องไปหาเขานะ ไปให้เขารักษา แล้วกลับมา สร้างความทรงจำดีๆ ด้วยกันเหมือนเดิม”
มีจริงๆ น่ะเหรอหมอที่ว่า...มีจริงๆ ใช่ไหม แล้วถ้าผมไป ผมจะหายจริงๆ รึเปล่า...ความตื่นเต้นนี่มันคืออะไรผมก็ไม่แน่ใจ อาจเป็นเพราะความหวังที่จะมีชีวิตอยู่มันผุดขึ้นมาตรงหน้าก็เป็นได้
“ผมควรจะไปใช่ไหม ความจริงผมกลัวความตายมากเลยนะ ผมกลัวที่จะต้องไปในที่ที่ผมไม่รู้จัก ถ้ามันพอจะมีทางรักษา...ผมก็จะไป”
“ส่งประวัติการรักษาของโยมเพื่อนไปให้เขา เขาจะช่วยได้”
รอยยิ้มของเณรทำให้ผมสบายใจ มันเป็นรอยยิ้มที่บอกได้ว่า ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว
และในวันนั้น ผมกลับถึงบ้านก็รีบติดต่อหมอที่เณรได้บอกไว้ไปทันที ผมเข้าเว็บไซต์ส่วนตัวของหมอ สมัครเป็นสมาชิกและ PM ไปบอกเล่าอาการของผมโดยทันที ไม่นานหมอก็ตอบกลับมา เขาบอกให้ผมส่งประวัติการรักษาของผมไปให้โดยเร็วที่สุด ตามที่อยู่ที่เขาได้แจ้งไว้ให้
TheTenth: คุณควรมาที่นี่ให้เร็วที่สุดนะ มาตอนที่ร่างกายของคุณยังพอที่จะเดินทางไหวดีกว่า เพื่อนผมจะเป็นคนรักษาคุณเอง ตอนนี้เขาอยู่ในระหว่างพักร้อน แต่เขารับปากว่าจะกลับมาทันทีหากว่าคุณมาถึงที่นี่
BoBo: ถ้าอย่างนั้นผมจะรีบไป ขอบคุณมากครับ ขอบคุณจริงๆ
TheTenth: ไว้หายดีค่อยขอบคุณเพื่อนผมละกัน แต่ผมก็อยากให้คุณเตรียมใจไว้บ้างนะ เพราะว่าไม่มีการรักษาไหนที่ไม่มีความเสี่ยง
BoBo: ครับ เรื่องนี้ผมเตรียมใจไว้แล้ว ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับหมอ
TheTenth: OK
ผมคงต้องจัดการทุกอย่างให้พร้อมก่อนไป อันดับแรกคงต้องบอกพ่อกับแม่ เพราะผมคงไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ด้วยตัวคนเดียว ผมต้องการเงินในการรักษา ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าตั๋วเครื่องบิน ผมต้องบอกกับพวกท่าน ถึงแม้ว่าสองคนนั้นจะงานยุ่งแค่ไหนก็ตาม แต่อย่างน้อยก็คงจะพอมีเวลาอยู่ฟังเรื่องของผมบ้างล่ะมั้ง
.
.
.
“โชคดีนะโบ ผมอยู่ทางนี้จะช่วยภาวนาให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีเอง”
ชงโคเป็นเพียงคนเดียวที่มาส่งผมขึ้นเครื่อง ส่วนคนอื่นๆ ผมไม่ได้บอก ที่จริงผมแค่คิดว่าไม่มีใครจำเป็นต้องรู้หรอกว่าผมกำลังจะไปที่ไหนและไปเพราะอะไร
ผมบอกเรื่องอาการป่วยกับพ่อแม่แล้ว พวกท่านตกใจกันมาก แม่ผมถึงกับร้องไห้ออกมา และท่านตัดสินใจวางงานทุกอย่างเพื่อบินไปอยู่กับผม นั่นคงเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าแม่เป็นแม่ของผมจริงๆ มันตลกดีเหมือนกันที่จู่ๆ ผมก็รู้สึกอยากร้องไห้ตามแม่ขึ้นมา ส่วนพ่อ ถึงแม้ว่าจะงานยุ่งมากหลังจากที่ไม่มีแม่คอยช่วยงานแต่ก็ยังไม่ทิ้งให้ผมกับแม่ต้องเผชิญกับปัญหากันตามลำพัง ตอนนี้พวกท่านล่วงหน้าไปก่อนผม ไปจัดเตรียมที่พักและจัดการเรื่องอะไรหลายๆ อย่างให้ ผมดีใจที่สุดท้ายแล้วก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
“แล้วเจอกันใหม่ ผมสัญญาว่าจะกลับมา”
“สัญญาแล้วนะ รีบไปเถอะ ถึงเวลาแล้วล่ะ”
ผมยิ้มให้กับชงโคเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินเข้าเกจ ในใจได้แต่ภาวนาว่าขอให้ครั้งนี้อย่าเป็นครั้งสุดท้ายเลยที่ผมจะได้เห็นใบหน้าของเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม
.
.
.
Short Inside: แมว นราทร “ชงโค โบไปไหนเหรอ”
“หืม?”
“แมวรู้ว่าชงโคไปส่งโบ แต่ไม่รู้ว่าโบไปที่ไหน ชงโคบอกแมวได้ไหมจ้ะ”
เห็นชงโคทำหน้าลำบากใจแล้วผมก็ไม่อยากเซ้าซี้ถาม ชงโคสนิทกับโบมากกว่าผม และคงยากเกินไปที่จะถามในเรื่องที่โบคงสั่งห้ามไม่ให้บอก
“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าหรอกน่า เดี๋ยวโบมันก็กลับมา” ชงโคโยกหัวผมไปมา และคงเพราะผมตัวเตี้ยกว่าเพื่อนถึงได้โดนกอดโดนฟัดอยู่บ่อยๆ
“แต่...” ผมอยากรู้ว่าเขาไปไหน ทำไมถึงกับต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย ก็แค่อยากรู้...ก็แค่เป็นห่วง
“ระวังหลินรู้เข้า จะน้อยใจเอานะ ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกที่ชอบให้แฟนตัวเองถามถึงแฟนเก่า ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
“...”
“เลือกจะเดินไปข้างหน้าแล้ว...ก็ไปด้วยรอยยิ้มเถอะนะ โบมันไม่เป็นไรหรอก เชื่อผมสิ”
ถ้าชงโคบอกว่าโบไม่เป็นไร งั้นฝากถามโบได้ไหมว่าทำยังไงผมถึงจะไม่เป็นไรบ้าง เพราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ผมเสียทุกๆ อย่างไป ความรักตลอดระยะเวลาสิบกว่าปี ความผูกพันธ์ที่ทำให้ผมกับโบเป็นเหมือนคนในครอบครัว ความเชื่อใจที่โบมีให้ ความหวังที่เราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ความสุขในอนาคตที่วาดฝันไว้ ทุกความทรงจำที่เคยได้ทำร่วมกันมา และหวังจะสร้างร่วมกันต่อ...พังทลายลงแค่ไม่กี่วินาที ทำให้ในตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรเลย
เราเลิกกัน นั่นคือความเป็นจริง...แต่ผมกลับไม่เคยยอมรับได้เลยว่าความสัมพันธ์ของผมกับโบมันจบลงไปแล้ว และไม่สามารถเริ่มต้นใหม่กับหลินได้อีก ในเมื่อภาพที่ผมเห็นหรือได้ยิน ทั้งรอยยิ้มของหลิน ทั้งเสียงหัวเราะของหลิน ผมกลับหวังจะให้มันเป็นของโบ โบที่เป็นคนรักของผมมาสิบกว่าปี แต่ผมกลับ...ทำเรื่องแย่ๆ ลงไป
“แมวเหมียวงอแงอีกแล้วเหรอ ไหนๆ เป็นอะไร ขอดูหน้าคนขี้แยหน่อยได้ไหมครับ” หลินเพิ่งเดินกลับมาที่โต๊ะ เขาขอตัวไปเข้าห้องน้ำเมื่อครู่ แล้วตอนนี้ก็นั่งลงข้างๆ ผม
“ไม่ได้งอแงซะหน่อย ปล่อยเลยๆ มือไปจับอะไรมาก็ไม่รู้”
“ก็ไปจับ...”
“ทะลึ่ง!”
“ฮ่าๆๆ แมวเหมียวต่างหากทะลึ่ง คิดไปไกลเลยดิ” นิ้วที่จิ้มแก้มผมทำให้ผมต้องหันไปมองค้อนเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาชงโคที่นั่งจิบเบียร์สูบบุหรี่อยู่เงียบๆ
“ชงโคจ๋า เฮียทองบอกว่าถ้าสูบบุหรี่จะโดนลงโทษนะจ้ะ”
“ก็อย่าไปบอกสิ”
“แต่ถ้าเฮียทองถามล่ะ”
“แมวก็โกหกไปสิ ไม่เห็นยากเลย ผมรู้ว่าแมวทำได้แน่ๆ เพราะแมวเก่ง” ชงโคพูดพลางหัวเราะเบาๆ แต่ผมกลับหัวเราะไม่ออก ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ตอบกลับไป
ชงโคคงไม่ได้หมายความอย่างที่ผมคิดหรอก แต่คนที่เคยทำไม่ดีอย่างผมกลับรู้สึกแย่เอามากๆ
“เป็นอะไรไป รู้สึกไม่สบายเหรอ” ชงโคถามด้วยความเป็นห่วง แต่ผมก็ส่ายหัวแล้วเข้าไปกอดแขนชงโคไว้
“เปล่าหรอก แค่มึนๆ หัวนิดหน่อย”
“ดีแล้ว ไม่สบายไปจะแย่เอา หลินมันรู้จักวิธีเช็ดตัวคนป่วยรึเปล่าก็ไม่รู้ ยิ่งโง่ๆ อยู่ด้วย”
“ชงโคแรงว่ะ เดี๋ยวมีต่อย” หลินโวยวายทันที แต่ก็คงแค่ขำๆ เพราะผมรู้ว่าหลินไม่กล้าต่อยชงโคหรอก
“แลกกันคนละหมัดนะ เอาไหมล่ะ หึหึ”
“ไม่เอา ไม่ชอบใช้กำลัง แมวเหมียวมานี่เลย กอดคนอื่นต่อหน้าแฟนมันใช้ได้ที่ไหนหืออออ”
แฟน...แฟนเหรอ...ผม...ตกลงเป็นแฟนหลินตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ผมไม่ได้บอกหลินไปเหรอว่า ผมลืมโบไม่ได้ หรือหลินไม่ได้สนใจฟังคำพูดของผมเลยกันแน่
แต่จะโทษหลินฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะผมก็ให้ความหวังเขาเหมือนกัน หลินเข้ามาในวันที่ความรักของผมกับโบทำท่าว่าจะไปกันไม่ไหว หลายครั้งที่ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่ได้เป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับโบ ผมเป็นคนรักแต่ไม่เคยได้รู้อะไรก่อนคนอื่น เป็นคนรักแต่ไม่เคยได้พูดคุยกันเหมือนอย่างที่โบกับชงโคคุยกันได้เลย เป็นคนรักที่ไม่เหมือนคนรัก และในบางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแปลกหน้าที่แค่มาอยู่ผิดที่ผิดทางในโลกของโบก็เท่านั้น
มันทรมานกับการที่ถูกเมินเฉยจากคนที่เรารัก มันน่าน้อยใจมากจริงๆ กับการที่เขาไม่เคยพูดหรืออธิบายอะไรให้ชัดเจน ผมรู้ว่าความรักต้องการความเชื่อใจ ผมรู้เรื่องนี้ดีก็เพราะเราคบกันมาสิบกว่าปี แต่ในสถานการณ์ที่ผมเป็นอยู่นั้นผมทำใจเชื่อไม่ลง โบคุยกับผิงไม่เหมือนที่คุยกับผม ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้ง แล้วจะให้ผมใจเย็นยังไงไหว ถ้าแค่บอกไม่มีอะไรแล้วทุกอย่างจบ ผมก็คงไม่ต้องทะเลาะกับเขาหรอก ต่างจากหลินที่เขาเห็นค่าของผม เช็ดน้ำตาให้ผมทุกครั้งเวลาที่ผมร้องไห้เพราะเรื่องของโบ อยู่เคียงข้างผมเสมอเวลาที่ผมต้องการใครสักคนมานั่งข้างๆ มันเลยทำให้ผมคิดว่า...ถ้าเป็นหลิน...ผมก็คงจะมีความสุข
จนมาตอนนี้...ผมรู้แล้วว่าความรู้สึกดีกับความรู้สึกรักมันเทียบกันไม่ได้เลย ในวันที่ผมทรยศโบ จะด้วยความเมาหรือเหตุผลอะไรก็คงฟังไม่ขึ้นแล้ว เพราะผมทำลงไปจริงๆ แววตาเจ็บปวดและผิดหวังของโบยืนยันกับผมได้เป็นอย่างดีว่าอนาคตของผมกับโบต่อจากนี้จะไม่มีร่วมกันอีกแล้ว
ตั้งแต่วันนั้น...น่าแปลกที่ความรู้สึกดีกับหลินเลือนหายไปหมด แทนที่ด้วยความทรมานเพราะความสัมพันธ์ที่จบลง และความอึดอัดใจกับความสัมพันธ์ใหม่ที่หลินพยายามเริ่มต้นมันขึ้น
ผมติดอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นอยู่นานเลยทีเดียว ได้แต่หวังว่าหลินจะเปลี่ยนใจไปจากผมและผมจะสามารถติดต่อโบได้ ได้แต่รอ...รอ...และรอเท่านั้น จนเมื่อพวกเราได้เจอกับลูกพี่ลูกน้องของเฮียทอง จากสายตาและท่าทางแสดงความสนใจในตัวหลินมันทำให้ผมรู้สึกดีใจมากจริงๆ ผมรู้ว่าผมมีความคิดทุเรศแค่ไหนที่อยากให้มีใครสักคนมาพาหลินไปจากผม และสุดท้ายมันก็สำเร็จพร้อมๆ กับที่ชงโคยอมใจอ่อนให้ผมได้เห็นข้อความสนทนาระหว่างโบกับชงโคในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ผมขอกับชงโคมาตลอดแต่ชงโคไม่เคยใจอ่อนให้เลย
‘ขอโทษที่หายไปนาน ก็อย่างที่ชงโคคงได้รู้จากหมอแล้วว่าอาการของผมไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมโอเคแล้ว ถึงจะยังไม่ได้ผ่าตัด แต่ผมก็ดีขึ้นมาก แล้วค่อยคุยกันนะ ผมต้องไปทำกายภาพก่อน’
จากบทสนทนาของโบกับชงโคทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าโบกำลังป่วยหนัก แค่ได้รู้ว่าเขาไม่สบาย เขาป่วยมาตลอดแต่ไม่ยอมบอกผมมันก็ทำให้หัวใจผมเจ็บแปลบอย่างห้ามไม่อยู่
ผมเห็นรูปถ่ายที่โบส่งมาให้ชงโค เห็นใบหน้าของคนที่ผมคิดถึงอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมา เขาผอมมาก สีหน้าซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังยิ้มให้กับกล้อง ข้างๆ เขามีคุณแม่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง เขาบอกว่ารูปนี้พ่อเป็นคนถ่ายให้ก่อนเขาเข้าห้องผ่าตัด ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาเมื่อสามเดือนที่แล้ว จากนั้นข้อความจากโบก็หายไประยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะกลับมาอีกครั้ง มันเป็นข้อความล่าสุดที่ชงโคได้รับ ผมแน่ใจว่าชงโคต้องยิ้มเมื่อได้อ่าน ทว่าสำหรับผม...ผมดีใจก็จริงแต่กลับยิ้มไม่ออกเลย
‘ผมดีใจที่ได้กลับมาคุยกับชงโคอีกครั้ง เพื่อนหมอเท็นเก่งมากจริงๆ ผมคิดว่าอีกไม่นานผมคงจะหายเป็นปกติแล้วล่ะ อ้อ อีกอย่างนะชงโค ผม...คิดว่าผมกำลังจะเริ่มต้นใหม่กับคนๆ หนึ่ง ^^’
เป็นประโยคที่คนพิมพ์คงจะกำลังมีความสุข และคนรับก็คงร่วมยินดีไปด้วย แต่คนอ่านอย่างผม...กำลังร้องไห้แทบจะขาดใจ
เขาส่งรูปคู่กับผู้ชายคนหนึ่งมาให้ ทั้งรอยยิ้มที่ผมคุ้นตา ทั้งสีหน้าที่บ่งบอกว่ากำลังมีความสุขทำให้น้ำตาที่หยุดไหลไปเมื่อครู่กลับมาไหลอีกครั้ง
‘เขาชื่อฟา น่ารักใช่ไหม เขาอาจจะดูเพี้ยนๆ นะ แต่เราเข้ากันได้ดีทีเดียว เออ ที่จริงเขาบอกว่าชงโคเรียกเขาว่าบีสองก็ได้ จะได้คุ้นเคย เพราะอยู่ที่นี่เขากับหมอเท็นก็ยังเป็นบีหนึ่งบีสองเหมือนเดิม ผมก็ไม่รู้เหตุผลหรอกว่าทำไม ถามหมอเท็นทีไรก็โดนด่าทุกที ผู้ชายอินดี้แบบนั้นผมไม่เข้าใจ’
ในข้อความของโบไม่เคยมีสักครั้งที่จะเอ่ยถึงชื่อผม ไม่เคยมีสักประโยคเลยที่จะพูดถึง ...ลืมผมไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม ทำได้ยังไงกัน...
ผมคืนมือถือให้ชงโคที่มองมาอย่างเป็นห่วง ผมคิดว่าที่ชงโคตัดสินใจให้ผมได้อ่านบทสนทนาของเขากับโบคงเป็นเพราะอาการป่วยของโบกำลังจะหายเป็นปกติแล้ว แต่มันก็มีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายที่ผมได้รับรู้...
.
.
.
‘โบ นี่แมวเองนะ แมวรู้เรื่องที่โบป่วยแล้วล่ะ ทำไมถึงไม่บอกกันบ้างเลย’
‘วันนี้เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างรึเปล่า’
‘ขอให้หายเร็วๆ นะ’
‘วันนี้ที่เมืองไทยอากาศดีมาก ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง หนาวรึเปล่าโบ ถ้าอากาศเย็นก็ใส่เสื้อผ้าหนาๆ นะ จะได้อุ่น’
‘กินอะไรบ้างรึยังจ้ะ อย่าลืมกินด้วยนะ เป็นห่วง’
ผมรู้ว่าเป็นการกระทำที่หน้าด้านมากขนาดไหนแต่ผมก็ยังทำ ผมส่งข้อความไปหาเขาทุกวัน หวังแค่สักครั้งที่โบจะตอบกลับ แต่ก็ไม่มีสักข้อความ ถึงยังนั้นผมก็ยังจะส่งไปทุกวัน เพราะผมก็แค่...อยากทำก็เท่านั้น
นี่มันก็หลายวันมาแล้วนับตั้งแต่ที่ผมได้เบอร์ติดต่อและไอดีไลน์ของโบมา แต่ก็เป็นหลายวันเหมือนกันที่ไม่ได้รับการติดต่อกลับเลย ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมท้อหรอก เพราะผมไม่ได้หวังอะไรไปมากกว่าให้โบตอบกลับมาสักครั้ง และในที่สุดหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่ผมเพียรส่งข้อความผ่านไลน์ไปทุกๆ วันติดต่อกันตลอดหนึ่งเดือน โบก็ตอบกลับมาสั้นๆ เพียงแค่ว่า
‘สบายดี’
เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมร้องตะโกนลั่นบ้านด้วยความดีใจ
‘โบ ขอบคุณที่ตอบกลับมานะ แมวดีใจมากเลย’
‘อืม’
‘โบ แมวแค่อยากบอกโบว่าแมวขอโทษ ขอโทษที่ทำให้โบเจ็บ ถึงเรื่องมันจะผ่านมานานแล้วแต่แมวก็อยากจะขอโทษ ไม่ได้ขอให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมหรอกนะ แค่เพื่อนก็ได้...เราเป็นเพื่อนกันได้ไหมโบ’
ผมอาจจะขอโบมากเกินไป เพราะสิ่งที่ผมทำลงไปคงไม่สามารถให้อภัยได้ แต่ผมก็ยังอยากจะมีตัวตนในสายตาของโบบ้าง ให้เป็นอะไรก็ได้ แค่โบพูดคุยกับผมเหมือนอย่างที่คุยกับคนอื่นๆ ผมก็ยอมทั้งนั้น
‘อืม ที่จริงแมวก็เป็นเพื่อนคนแรกในชีวิตผมอยู่แล้ว’
นั่นก็เพราะว่าพวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่จำความได้ โบเป็นทั้งเพื่อนคนแรกและแฟนคนแรกของผม ในขณะที่ผมก็เป็นเพื่อนคนแรกและแฟนคนแรกของโบเช่นกัน...แต่มันแย่จริงๆ ที่ผมไม่ได้เป็นแฟนคนสุดท้ายของโบ
‘ขอบคุณนะโบ ขอบคุณจริงๆ’
‘อืม งั้นไว้ค่อยคุยกันนะ ผมต้องไปตรวจร่างกายแล้วล่ะ’
‘จ้า ผลเป็นยังไงบอกแมวด้วยนะ เอาใจช่วยให้หายเร็วๆ’
‘อืม’
แค่นี้ก็ทำให้ผมดีใจจนแทบบ้า พอแล้ว...ได้แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ
ผมกดเข้าไปหน้าไทม์ไลน์ของโบ รูปคู่ของเขากับคนที่เขากำลังคบด้วยทำให้ผมต้องยกมือปาดน้ำตาออกจากแก้ม ก่อนจะค่อยๆ พิมพ์แสดงความคิดเห็นพร้อมกับกดไลค์ใต้รูป
‘ขอให้มีความสุขมากๆ นะ ดีใจด้วยจ้าโบ ^_^’
สำหรับคนอย่างผมคงมีแต่ความยินดีที่โบได้เริ่มต้นใหม่เท่านั้น...ความเสียใจและน้ำตาของผมจะไม่ให้ไปรบกวนความสุขของโบอีก แค่ในทุกๆ วันต่อจากนี้ ผมยังคงได้พูดคุยกับโบก็พอแล้ว...จะในฐานะเพื่อนก็ไม่เป็นไร และแม้ว่าจะต้องหลอกคนทั้งโลกว่าผมไม่ได้เสียใจ...ผมก็จะทำ
....................................................End Special...........................................
โบแมวจบลงแล้วค่ะ ส่วนตัวแล้วคิดว่าพวกเขาผิดกันทั้งคู่ หลายอย่างหลายสาเหตุทำให้ความรักครั้งนี้ต้องถึงกับสานต่อด้วยกันอีกไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังได้เป็นเพื่อนกัน แมวน้อยก็ดีใจแล้ว น้องแมวโอเคกับทุกอย่างนะคะ ถ้าจำไม่ได้ย้อนกลับไปอ่านช่วงๆท้ายๆ ของเนื้อเรื่องหลักที่ชงโคได้กล่าวถึงโบกับแมวไว้ ทั้งสองคนยังคงคุยกันแทบทุกวันแต่เป็นในฐานะเพื่อนนะคะ