ตอนที่ 17กลางดึกคืนนี้อากาศกำลังดี ผมยืนสูดหายใจรับออกซิเจนเข้าเต็มปอดแล้วผ่อนลมหายใจออกมา ระเบียงห้องนอนของพี่ทองคงเป็นระเบียงที่กว้างที่สุดของเรือนไทยหลังนี้ คงสร้างตามบัญชาของอาม่าที่รักพี่ทองอย่างสุดใจขาดดิ้น อาม่าคงรู้นิสัยของหลานตัวเองดีว่าคงอยากมีพื้นที่กว้างๆ ไว้วิ่งเล่น คนอย่างพี่ทองน่ะปล่อยไว้ในที่แคบๆ ไม่ได้หรอกครับ เพราะไม่งั้นจะเพ้อเจ้อ ไร้สติเข้าไปใหญ่
ผมกวาดตามองไปรอบๆ ที่นี่เป็นที่ที่ดี ดีทั้งสถานที่และจิตใจของผู้คน ให้ทั้งความร่มเย็นและความอบอุ่นใจ เมื่อเย็นผมยังกังวลอยู่เลยว่าจะต้องทำตัวยังไงในระหว่างที่นั่งร่วมกินข้าวกับคนในครอบครัวของพี่ทองโดยไม่มีพี่ทองอยู่ด้วย เป็นครอบครัวใหญ่ที่นั่งกินข้าวทีโต๊ะกินข้าวตัวยาวก็ไม่เหลือที่ว่าง ทั้งอากู๋ อาแปะ ที่ผมเพิ่งได้ทำความรู้จักก็มากันพร้อมหน้า ผมเกร็งมากนะ เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองมาอยู่ผิดที่ผิดทาง แต่พอมื้ออาหารดำเนินไปแค่เพียงไม่นาน บรรยากาศก็ผ่อนคลายลง ญาติๆ ของพี่ทองถึงจะเสียงดังกันไปหน่อยแต่ก็ใจดีทุกคน พวกเขาทำเหมือนผมเป็นคนในครอบครัว และที่น่าแปลกใจคือไม่มีใครถามสักคนว่าผมเข้ามามีส่วนร่วมกับครอบครัวพวกเขาในฐานะอะไร
หรือเพราะน้องพลอยเอาแต่เรียกผมว่าอาซ้อๆ พวกเขาเลยไม่ต้องถามกันรึเปล่านะ -_-
“อากง ชีวิตผมทั้งชีวิตเลยนะ ให้ผมขึ้นไปก่อนกงค่อยปล่อยมือ โอเคนะ” เสียงคุ้นหูของใครสักคนดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล ผมหันมองซ้ายขวาก็ไม่เจอใคร แต่พอก้มลงมองข้างล่างก็เห็นพี่ทองกับอากงของเขาช่วยกันแบกบันไดลิงเดินใกล้เข้ามา ทั้งๆ ที่เหมือนกับการลักปีนขึ้นบ้าน แต่ทั้งพี่ทองและอากงกลับเดินอาดๆ ท้าแสงไฟที่ยังส่องสว่างอยู่ตามสวน
อืม...ก็ถ้าไม่กลัวใครจะมาเจอแล้วพี่จะลำบากปีนขึ้นมาทำไม ไม่เข้ามาทางประตูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ
“ไม่รู้เว้ย ดวงใครดวงมัน ถ้าดวงลื้อจะร่วงมันก็คือร่วง ไม่เกี่ยวกับอั๊ว”
“พูดแบบไม่รับผิดชอบชีวิตผมอย่างนี้ ผมจะฟ้องม่า!”
“โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังขี้ฟ้องอีก รีบๆ ปีนขึ้นไปเลย อั๊วง่วง พรุ่งนี้ต้องเข้ากรมแต่เช้า ไม่มีเวลามาไร้สาระกับลื้อ”
“บ่นๆ ผมโตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว กงยังบ่นผมไม่เลิก ไม่เบื่อบ้างรึไง ฟอด! ฝากหอมแก้มม่าด้วย”
เป็นภาพที่จะว่าน่ารักก็น่ารัก จะว่าตลกก็ตลก เพราะอากงถึงกับไปไม่เป็นเมื่อโดนพี่ทองหอมแก้ม ทำหน้าเหมือนจะหัวเราะก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่เชิง
“กง อย่ามัวแต่เขินสิ มาจับบันไดได้แล้ว ผมจะขึ้นไปแล้วนะ”
“ใครเขิน!! อั๊วไม่เขินคนอย่างลื้อให้เสียเส้นหรอก”
“จะเสียไม่เสียก็รีบๆ ดีกว่า เดี๋ยวม๊ามาเห็นเข้าล่ะเป็นเรื่อง”
“เออๆ ว่าแต่ลื้อบอกอาชงโคให้มารอเปิดประตูให้รึยัง”
“ยังอ่ะ ผมกะทำให้ชงโคตกใจ หึหึ”
“อีหลับไปแล้วรึเปล่า ไฟในห้องไม่เห็นเปิด”
ใช่ครับ ผมไม่ได้เปิดไฟในห้อง แถมยังมายืนหลบมุมอยู่หลังรูปปั้นวัวจำลองที่มีน้ำไหลออกมาจากปากอีกต่างหาก เพราะอย่างนั้นพี่ทองกับอากงถึงไม่เห็นว่าผมมองอยู่
“ไม่เป็นไร ถ้าหลับไปแล้วเดี๋ยวผมงัดประตูเข้าไปเอง กงไม่ต้องห่วง”
“ใครจะห่วงคนอย่างลื้อ รีบๆ ไปได้ละ อั๊วอยากไปนอนกอดเมียแล้ว”
“งั้นกงก็จับไว้แน่นๆ ผมไปละ ขอบคุณนะครับกง แต่เรื่องที่กงส่งดอกไม้ให้น้องจิ๋วเด็กบาร์อ่ะ ผมบอกม่าไปเมื่อวานแล้ว ฮี่ๆๆๆ”
“ไอ้ ไอ้ ไอ้หลานทรยศ!! นี่หลอกใช้กันฟรีๆ เรอะ”
ผมเห็นอากงกำลังทำการสั่นบันไดลิง แต่ไม่ทันซะแล้วเพราะพี่ทองปีนขึ้นมาอยู่บนระเบียงห้องเป็นที่เรียบร้อย
“ไม่ได้หลอกซะหน่อย กงต่างหากที่คิดไปเองว่าถ้าช่วยผมแล้ว ผมจะยอมเก็บเรื่องน้องจิ๋วเป็นความลับ อิอิ ไปก่อนนะคร้าบ กงก็ฝันดีนะ แล้วก็หวังว่าอาม่าจะยอมให้กอดนะครับ โฮะๆๆ”
พี่ทองนี่เป็นหลานที่ใช้ไม่ได้จริงๆ อากงท่านก็แก่แล้ว ยังจะไปกวนโมโหให้เสี่ยงความดันขึ้นอีก ผมได้แต่ปลงเมื่อเห็นอากงเอาแต่ถีบบันไดลิงให้ล้มไปข้างหลัง ก่อนจะกระทืบๆ ราวกับว่าบนบันไดนั้นยังมีพี่ทองเกาะติดอยู่ก็ไม่ปาน
“ชงโคจ๋า...เฮียมาแล้วจ้า” ได้ยินเสียงลั้ลลาของพี่ทองแล้วผมก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา เขาแทบจะล่องลอยเข้าไปในห้องอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่ากำลังพยายามเปิดประตูด้วยวิธีโง่ๆ อยู่
เอ่อ...พี่ครับ ประตูตรงระเบียงน่ะ ผมไม่ได้ล็อค แต่ที่มันเปิดไม่ออก เพราะพี่เอาแต่ผลักมันอยู่นั่นแหละทั้งๆ ที่มันเป็นประตูที่ต้องเลื่อนไปข้างๆ ต่างหาก เฮ้อ คนติ๊งต๊องนี่แม้แต่ห้องตัวเองก็ยังทำให้เป็นปัญหาได้เหรอครับ
“ชงโค ล็อคประตูทำไมเนี่ย ก็น่าจะรู้นี่นาว่าคืนนี้ยังไงก็ต้องมาหา เด็กบ้านี่ไม่รู้ใจเฮียเอาซะเลย”
ได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ ผมก็เลยยอมเดินออกจากมุมมืดเพื่อเข้าไปหาพี่ทองที่หันกลับมาทำหน้าเหวอใส่ทันที แต่ผมไม่ให้เขาเหวอได้นานหรอก ขอดึงแก้มให้หายหมั่นไส้สักหน่อย
“โอ้ยยย เอียเอ็บบบบ” พี่ทองร้องพร้อมกับเอียงหัวมาทางที่แก้มของเขาถูกดึง จนเมื่อผมพอใจกับการได้เห็นความเจ็บปวดของเขาแล้ว ผมถึงปล่อยมือแล้วทำการเลื่อนประตูให้เปิดออก
‘คราวหน้าก็ติดป้ายคำว่า ‘เลื่อน’ ไว้ที่ประตูนะครับ จะได้ไม่มีใครมาด่าว่าโง่’
“แรงอ่ะ แค่ลืมไม่ได้แปลว่าโง่นะ แล้วแค่รู้ว่าประตูมันต้องเลื่อนก็ไม่ได้แปลว่าฉลาดด้วย”
ผมเดินมาเปิดไฟตรงหัวเตียง ก่อนจะหันไปหาพี่ทอง
‘งั้นก็คงเป็นแค่เรื่องสมองมีปัญหา’
“โวะ เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องว่ากัน” พี่ทองหน้าบึ้ง มองมาทางผมอย่างตัดพ้อ ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง มาอีหรอบนี้ต้องง้อเหรอ? หรือไม่ต้องทำอะไรแค่ปล่อยให้เขาหายเองเหมือนอย่างเคย?
สรุปกับตัวเองในใจแล้วผมก็เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ในตู้เสื้อผ้าพร้อมกับชุดนอนสีเทาลายตารางก่อนจะเอามายื่นให้พี่ทอง เขาเงยหน้าขึ้นมองหน้าผมพลางเลื่อนสายตามายังของในมือ
“ไม่อาบได้ป่ะ เหนื่อยแล้ว อยากนอน”
ผมวางผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนลงบนตักของพี่ทองแล้วนั่งลงข้างๆ เขา พี่ทองเอนหัวมาพิงกับไหล่ของผม สองมือก็ยกโอบรอบเอวของผมไว้
“แต่ถ้ามึงอาบให้ กูก็โอเค” น้ำเสียงออดอ้อนเหมือนเด็กๆ ทำให้ผมต้องยกมือขึ้นดึงแก้มเขาเบาๆ
“ดอกกกก อาบน้ำให้หน่อย”
เฮ้ย เดี๋ยว อะไรคือดอก ดอกคืออะไร!
“ทำหน้าไม่พอใจอีก เรียกดอกน่ารักดีออก ก็ดอกชงโคมันยาวไป ขอย่อสั้นๆ เหลือแค่ดอกก็พอ”
ยัง...ยังมีหน้ามายิ้ม เขาคิดว่ามันจะดูน่ารักแอ๊บแบ๊วอย่างงั้นเหรอ
‘ชื่อผมไม่มีคำว่าดอกสักคำ พี่จะย่อให้เหลือแค่ดอกได้ยังไง’
“งั้นเป็นชื่อแทนตัวก็ได้ ก็นี่ไง คนที่คบกันอ่ะ เขาก็มีชื่อแทนตัวไม่ใช่เหรอ อย่างเรียกไอ้อ้วนนี่ก็ดูแอ๊บแบ๊วน่ารักดี ตัวอ้วน ตัวผอม ตัวเล็ก ตัวโต เงี้ย ฟังดูโรแมนติกไหมล่ะ”
=_= แล้วที่พี่เรียกผมว่าดอกนี่...โรแมนติกมากนักเหรอ
‘ผมกับพี่ยังไม่ใช่คนที่คบกัน เพราะฉะนั้นเรียกชื่อผมก็พอ’
พี่ทองหน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิม เขาคงอุตส่าห์คิดมาแทบตายว่าจะเรียกผมยังไงให้ฟังดูน่ารัก แต่แทนด้วยคำว่าดอกนี่มันเกินไปหน่อยนะ ถ้าเป็นคำอื่นผมก็จะรับไว้อยู่หรอก แต่ไม่ใช่ว่าดอกไม่ดีหรอกนะครับ แค่ถ้ามีคนมาเติมอีข้างหน้าล่ะมันจะกลายเป็นคำด่าขึ้นมาทันทีเลยน่ะสิ -*-
“ใจร้าย ใจจืด ใจดำ เด็กบ้านี่ไม่น่ารักเอาซะเลย!”
เออ ฟาดหัวฟาดหางไปเถอะ
ผมเลิกสนใจพี่ทอง ไม่อาบก็ช่างเขาเถอะครับ ผมไม่อยากเสียเวลาแล้ว ตอนนี้ควรเข้านอนสักทีเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า อาทิตย์ที่จะถึงนี้ทั้งอาทิตย์ก็ต้องเข้าห้องเชียร์ทุกเย็น ฉะนั้นผมเก็บแรงไว้ดีกว่าครับ
พอรู้ว่าไม่ได้รับความสนใจ พี่ทองก็ยอมเข้าไปอาบน้ำแต่โดยดี ถึงอย่างนั้นก็ยังบ่นให้ได้ฟังไม่หยุด ผมเลยมุดทั้งตัวทั้งหน้าเข้าไปใต้ผ้าห่ม
อืม...รู้สึกสบายจริงๆ ผมชอบเวลาที่นอนเปิดแอร์เย็นๆ แล้วได้ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแบบนี้ ผมบิดขี้เกียจไปมาสองสามที กำลังจะบิดเป็นครั้งที่สี่ ผ้าห่มก็ถูกดึงออกไป
“เดี๋ยวก็หายใจไม่ออก นอนดีๆ” พี่ทองบอกพลางใช้เท้าเขี่ยแข้งผมแล้วเอาผ้าห่มที่ดึงออกไปมาคลุมเราสองคนไว้
‘อาบเสร็จแล้วไง เร็วจริงๆ’
“วันนี้ไม่ได้ว่าว เลยไม่นาน”
‘พูดออกมาได้ไม่อายปาก’
“เรื่องธรรมชาติ อายทำไม” พี่ทองยิ้มกริ่ม นิ้วก็ไล้อยู่บนแก้มของผมเบาๆ
ขะ...ขนลุกอ่ะ รู้สึกหนาวๆ ชอบกล
ผมมองหน้าพี่ทองที่ขยับมาหนุนหมอนใบเดียวกัน สังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าพี่ทองจะชอบทำแบบนี้ ไม่ว่าจะครั้งไหน เราสองคนก็จะไม่เคยนอนหมอนคนละใบกันเลย ถึงตื่นเช้ามาจะนอนกันอยู่คนละฟากเตียงก็เถอะครับ
จากนิ้วที่ไล้อยู่บนแก้มกำลังเปลี่ยนทิศและเริ่มไล่ต่ำลงมาเรื่อยๆ ผมแทบกลั้นหายใจเมื่อมันลากผ่านช่วงอกลงไปจนถึงสะดือ เสื้อนอนเนื้อผ้าบางกำลังทำให้ผิวเนื้อของผมสัมผัสเข้ากับความเย็นจากปลายนิ้วของพี่ทองเข้าเต็มๆ รอยยิ้มพราวระยับจากใบหน้าขาวดูดีกำลังทำให้ผมตาพร่า อีกทั้งริมฝีปากอุ่นนุ่มก็กำลังทำให้ความต้องการที่ถูกเก็บซ่อนไว้ลึกๆ ผุดพรายออกมา เขาจูบผมอย่างอ่อนโยน ไล่ตั้งแต่หน้าผากจรดปลายคาง ทั้งๆ ที่ไม่ยอมเบี่ยงหน้าหลบแต่มือของผมก็ยังยันหน้าอกเขาไว้...รู้ทั้งรู้ว่าแรงดึงดันนั้นมีน้อยนิด แต่อย่างน้อยก็คงทำให้เขารู้ว่าผมก็ไม่ได้คล้อยตามไปซะหมด
“ชงโค...” เสียงของพี่ทองแหบพร่าอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน แววตาที่มีแต่ความต้องการของเขากำลังสะกดผมไม่ให้ต่อต้าน จากมือที่เคยยันอกเขาไว้ก็เปลี่ยนเป็นโอบรอบต้นคออย่างเต็มใจ พี่ทองยิ้มแล้วโน้มใบหน้าลงต่ำ สองมือเลิกเสื้อนอนของผมขึ้น ก่อนที่ปลายลิ้นของเขาจะแตะลงบนปลายยอดอกของผมเบาๆ
“อ้ะ...” ผมหลุดเสียงแปลกๆ ออกไปเสียแล้ว รู้สึกได้ว่าตอนนี้ใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว ยิ่งได้เห็นสายตาที่มองมาของพี่ทองก็ยิ่งอยากหายตัวไปซะเดี๋ยวนี้
“ขอชิมแค่นิดเดียว...จะไม่มากกว่านี้หรอก เฮียสัญญา” เสียงนุ่มๆ ของพี่ทองกับสัมผัสจากริมฝีปากของเขาทำให้ผมคล้อยตามได้ตลอด
“อ้ะ...อื้อออ...อ้ะ” นี่มันแปลกมากไปแล้ว....ผมไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อนเลย พี่ทองใช้เวทมนต์อะไรกัน แค่เพียงปลายลิ้นที่สัมผัส แรงดูดเบาๆ กับแรงขบจากฟันก็ทำให้ผมเหมือนลอยอยู่บนที่สูงด้วยบอลลูนยักษ์ ปลายนิ้วเย็นๆ ที่ขยี้ยอดอกของผมอีกข้างก็สร้างความเสียหายให้กับสติของผมได้ไม่น้อยไปกว่าริมฝีปากเลย
“ชงโคของเฮีย...”
พี่ทองกำลังจะทำให้ผมเป็นบ้า...ตอนนี้ผมไม่เหลือแม้แต่กางเกงในสักตัว นอนตัวแดงให้เขาจ้องมองอยู่อย่างนั้น ถึงจะยกแขนขึ้นปิดตาตัวเองไว้ ผมก็ยังรู้สึกอายแทบตายอยู่ดี ในขณะที่เสื้อผ้าของพี่ทองยังอยู่ครบทุกชิ้น
มัน...เลยเถิดมาถึงขั้นนี้ได้ยังไงกันนะ...ผมแพ้ให้กับความใคร่ของตัวเองใช่ไหม
ผมไม่กล้ามองหน้าพี่ทองเลยไม่รู้ว่าตอนนี้เขาทำหน้ายังไง รู้แค่เพียงสัมผัสที่แผ่วเบาจากเขา ผมหลับตา จินตนาการถึงสิ่งที่เขากำลังทำ แต่ความรู้สึกจริงที่กำลังเกิดขึ้นนอกเหนือจินตนาการนี้กำลังทำให้หัวใจผมทำงานหนัก ที่เขาบอกว่าขอชิม...เขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ผมห้ามเขาไว้ ทั้งส่ายหน้าและขยับตัวหนี ก็มันสกปรก...ไม่ใช่ของที่จะเอาปากมาสัมผัสได้ ทำไมถึงยังทำ...
เคยเห็นในหนังโป๊ หนังเรทอาร์ แต่ก็ไม่เคยรู้สักทีว่ามันจะรู้สึกยังไงหากว่าโดนสัมผัสเข้า ผมเป็นคนหนึ่งที่แม้แต่ช่วยตัวเองก็ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอาย ผมคงคิดไปเองว่ามีแต่คนหมกมุ่นเท่านั้นที่ทำ แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า...มันจะทำให้รู้สึกดีขนาดนี้ รู้สึกดีจนต้องร้องครวญครางออกมา รู้สึกดีจนต้องแอ่นกายรับกับสัมผัส ...มือของผมที่กำลังดึงทึ้งเส้นผมของพี่ทองคงบอกได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้อารมณ์ของผมมันบิดเบี้ยวไปมากขนาดไหน แต่เมื่ออารมณ์ที่กำลังพุ่งขึ้นสูงจนจะแตะขีดสูงสุด เสียงเรียกเข้ามือถือของพี่ทองก็ดังขึ้น ทุกอย่างหยุดชะงักจนน่าหงุดหงิดใจ
ผมมองหน้าพี่ทองที่ตอนนี้ถอนริมฝีปากออกจากกลางลำตัวของผม เขายื่นมือไปหยิบมือถือที่วางอยู่ข้างโต๊ะหัวเตียงฝั่งของเขา มองหน้าจอด้วยสีหน้าที่คาดเดาได้ยาก
เสียงเรียกเข้ายังคงดังอยู่สักพักก่อนจะเงียบไป พี่ทองวางมือถือลงที่เดิม
‘ใครโทรมา แล้วทำไมไม่รับ’
“คนที่มึงก็รู้ว่าใคร”
‘เมียพี่สินะ’
“อย่าหงุดหงิดไปเลยน่า มาต่อนะ...อย่าให้ใครมาทำให้เสียอารมณ์เลย”
‘พอแล้วล่ะ ผมง่วง จะนอนแล้ว’
แค่นึกถึงหน้าพี่นิล ไม่รู้ทำไมอารมณ์ที่มีแทบจะแตะสวรรค์ได้เมื่อกี้มันก็หายไปหมด ผมไม่ได้เกลียดอะไรพี่เขาหรอกนะ...แต่มีความรู้สึกว่า...เป็นไปได้ก็อย่ามาเจอะมาเจอกันเลยดีกว่า
ได้ยินเสียงพี่ทองถอนหายใจเบาๆ เขายอมปิดไฟนอนแต่โดยดี และถึงแม้ว่าผมจะนอนหันหลังให้ แต่เขาก็ยังโอบกอดผมไว้จากข้างหลัง ริมฝีปากที่สัมผัสเบาๆ ที่หัวไหล่พร้อมกับเสียงพึมพำขอโทษเบาๆ ทำให้ผมต้องพลิกตัวยอมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเต็มใจ
“ฝันดีนะ ชงโคของเฮีย”
ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกดีสุดๆ เวลาที่ได้ยินเขาเรียกแบบนี้... คงเพราะเขาบอกว่าผม...เป็นของเขาล่ะมั้ง ^^
.
.
.
‘ตั้งใจเรียนนะ ดื้อไม่ได้รู้ไหม มีลูกมีผัวแล้วนะ’
เกือบดีอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่มีประโยคที่ว่า ‘มีลูกมีผัวแล้วนะ’ ต่อท้ายมาด้วยเนี่ย ขนาดแมวที่ชะโงกหน้ามาอ่านด้วยยังหัวเราะก๊ากออกมาเลย
ตอนนี้พวกผมกำลังกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารคณะ วันนี้เป็นวันที่โบจังต้องมากินข้าวที่โรงอาหารของคณะพยาบาลเพราะตกลงกับแมวไว้แล้วว่าจะสลับกัน ถึงมันจะลำบากอยู่มากในเมื่อคณะของพวกผมกับคณะของแมวไม่ได้ใกล้กัน แต่เพื่อพลังแห่งรักโบจังยอมได้ ถึงผมจะคิดว่าเป็นเพราะแมวมันทั้งบ่นทั้งตัดพ้อใส่ประมาณสามชั่วโมงกว่าโบจังจะยอมทำตามใจก็เถอะ
ผมดูดเป๊บซี่พลางพิมพ์ข้อความตอบกลับพี่ทองไปด้วย เมื่อเช้าเขาขับจุ๊บแจงมาส่งผมที่หน้าตึกคณะ และจุ๊บแจงกับเดซี่ก็ยังเรียกความสนใจได้เหมือนเดิม ลำพังพี่ทองที่วันนี้แต่งกายเฉกเช่นนักศึกษาปกติก็ไม่เด่นอะไรมากหรอกครับ แค่อาจจะมีหญิงแท้หญิงเทียมเมียงมองมาอยู่บ้าง แต่ก็มิได้นำพา อาจเป็นเพราะเขาต้องไปรายงานตัวที่โรงพยาบาลที่กำลังจะไปฝึกงานอยู่ก็เป็นได้ และก็นี่แหละครับ สาเหตุที่บอกว่าจะเริ่มไม่ว่าง ลืมไปได้ไงว่าเขาเรียนคณะสัตวแพทย์ที่เรียนหนักไม่ต่างจากแพทย์เลยสักนิด
‘ได้กินข้าวบ้างหรือยัง’
ผมส่งข้อความกลับไปเพียงแค่ไม่กี่วินาที พี่ทองก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
‘เรียบร้อย ไปกินกับคนที่ฟาร์ม เมื่อกี้ไปออกตรวจ ได้ล้วงตูดวัวด้วยอ่ะ เดซี่ก็ดีใจที่ได้เจอเพื่อนๆ เยอะ’
ผมแทบสำลักเป๊บซี่เมื่อได้อ่านที่เขาพิมพ์มา ก่อนสติ๊กเกอร์รูปหมีเขินอายจะปรากฎมาให้เห็น ผมกำลังจะพิมพ์ตอบกลับไปก็พอดีกับที่ได้เห็นเดือนมหาลัยเดินผ่านมาซะก่อน
“อ้าว พวกคุณ มากินข้าวที่นี่กันเหรอ” เดือนมหาลัยที่ผมจำชื่อไม่ได้ถามขึ้น
โบจังพยักหน้าเนิบๆ ในขณะที่แมวยิ้มดี๊ด๊าเพราะได้เจอเดือนมหาลัยตัวจริงเสียงจริงเข้า เสียงคุยจ้อของแมวเลยเป็นเสียงเดียวที่ดังอยู่ระหว่างพวกผมในขณะนี้
“จำผมได้ไหม” จู่ๆ ก็หันมาตั้งคำถามกับผมที่กำลังส่งสติ๊กเกอร์หมีตกใจไปให้พี่ทองอยู่ ในระหว่างที่รอพี่ทองตอบกลับมา ผมจึงหันไปส่ายหน้าให้คำตอบกับเจ้าของคำถาม
“อ้าว ซะงั้นเลย ผมชื่อหลินนะ นายชื่อชงโคใช่ไหม”
ผมพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะพิมพ์ข้อความคุยกับพี่ทองต่อ
“เหมือนว่าชงโคจะไม่อยากคุยกับผมนะครับ แหะๆ งั้นผมขอตัวก่อนนะ พอดีนัดเพื่อนไว้”
แมวทำหน้าเสียดายนิดหน่อย แต่ก็ยอมปล่อยให้หลินเดินไปหาเพื่อนของเขา
“ชงโคไม่ยอมคุยกับหลินเลย น่าสงสารเขานะ แมวเห็นเขาพยายามชวนชงโคคุย แต่ชงโคก็ไม่สนใจเขา ใจร้ายจังเลย” แมวนี่ถ้าเป็นเรื่องของคนหล่อๆ ล่ะก็ทำเหมือนกับเป็นเรื่องของตัวเองไปซะหมด
‘ผมพูดไม่ได้ แล้วจะให้ผมคุยกับเขาได้ยังไง’ ผมส่งไลน์ไปให้แมวอ่าน แต่คนตัวเล็กกว่าก็ยังทำหน้ากระเง้ากระงอดใส่อยู่ดี
“พูดไม่ได้ไม่ได้หมายความว่าชงโคจะถูกห้ามไม่ให้เป็นเพื่อนกับคนอื่นซะหน่อย แมวน่ะอยากให้ชงโคมีเพื่อนเยอะๆ จะได้ไม่เหงา”
‘แค่มีแมวคนเดียว ผมก็เหมือนมีเพื่อนเป็นสิบ’
พอได้อ่านข้อความที่ผมส่งไป แมวก็กลับมายิ้มร่าทันที ก่อนจะหุบยิ้มลงในทันทีเหมือนกัน เมื่อข้อความที่ผมส่งต่อจากนั้นก็คือ ‘เพราะแมวพูดมาก’
“โบจังงงงงง ชงโคว่าแมวพูดมากอ่ะ โบจังต้องจัดการนะ!” หันไปฟ้องโบจังที่ทำหน้ามึนๆ ชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อย แต่พอได้ยินเสียงแฟนตัวดีมางุ้งงิ้งอยู่ใกล้ๆ โบจังก็ยอมหันกลับมาสนใจ
“แล้วชงโคว่าผิดตรงไหนล่ะ” เหอๆ โบจังก็คิดเหมือนผม และเพราะอย่างนั้นแมวถึงได้งอนเราสองคน นั่งทำแก้มป่องจนน่าจิ้มให้แตก
“กลับคณะตัวเองไปเลยนะ พวกคนนิสัยไม่ดี”
“งั้นป่ะ...กลับกันเถอะชงโค เดี๋ยวพวกเรามีเรียนดรออิ้ง ไปละนะ”
ง่ายๆ อย่างนี้เลยครับ โบจังเป็นมนุษย์ที่แยกไม่ค่อยออกหรอกว่าอันไหนประชดอันไหนพูดจริง แมวเลยทำหน้าเก้ออยู่บ่อยๆ
ผมเดินตามหลังโบจังออกมา กดข้อความส่งบอกพี่ทองว่าผมกำลังจะไปเรียนแล้วไปด้วย ก่อนจะต้องหยุดเมื่อหลินเดินมาดักข้างหน้า ในมือมีขนมเค้กชิ้นใหญ่ที่คงซื้อจากร้านกาแฟที่อยู่มุมสุดของโรงอาหาร
“ผมให้ ครั้งหน้าเจอกัน...อย่าลืมผมนะ ผมชื่อหลิน ช่วยจำไว้ด้วยนะชงโค”
ผมไม่รู้จะทำยังไง เลยได้แต่รับเค้กมาจากหลินอย่างงงๆ ในขณะที่หลินยิ้มให้พลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอย
“แล้วเจอกันนะ” พูดแค่นั้นก็วิ่งออกไป ผมมองตาม ก่อนจะหันกลับมามองเค้กในมือตัวเอง
‘โบ ชอบเค้กไหม’ พิมพ์ข้อความใส่มือถือแล้วยกให้โบจังอ่าน
“ผมไม่ชอบของหวาน” ผมก็ไม่ค่อยกินเหมือนกัน...งั้นเก็บไว้ให้พี่ทองดีกว่านะครับ
ถ่ายรูปเค้กส่งไปให้พี่ทองดู
‘ตอนเย็นผมจะเอาไปให้นะ’
‘ซื้อให้เหรอ’
‘เปล่า มีคนให้มาอีกที’
‘ใคร! -*-’
‘หลิน’
‘กูไม่รู้จัก’
‘เขาเป็นเดือนมหาลัยปีนี้’
‘แล้วรับมาทำไม’
‘ก็ยังงงๆ อยู่’
‘เดี๋ยวจับจูบให้หายงงซะเลยนี่ นิสัยเสียว่ะ ทำไมไม่บอกอย่างที่กูสอน’
‘ผมพูดได้ที่ไหน’
‘ข้ออ้างอ่ะ ข้ออ้างทั้งนั้น’
‘แล้วจะกินไหม เค้กนี่อ่ะ ไม่กินผมกินนะ’
‘ห้ามนะ ถ้ากินมีโกรธ’
‘ไม่ง้อ ^^’
‘เออ กูหายเองก็ได้ ชงโคแม่ง เด็กนิสัยไม่ดี -*-’
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะส่งหัวใจไปให้พี่ทอง และทั้งๆ ที่สถานะมันขึ้นว่าอ่านแล้วแต่พี่ทองก็ยังไม่ตอบกลับมา ผมเลยคิดว่าเขาคงจะไม่คุยแล้ว แต่พอกำลังจะเก็บโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋าเป้ มือถือที่ไม่เคยมีใครโทรเข้าก็สั่นขึ้นมา
‘คนเลี้ยงวัว’
ผมกดรับสายในขณะที่โบจังที่เดินอยู่ข้างหน้าหันกลับมามองแค่ไม่กี่วินาที ก่อนจะชมนกชมไม้ของเขาต่อไป
(นี่...ตั้งใจเรียนนะครับ ชงโคของเฮีย ไว้สี่ทุ่มเฮียไปหานะ รอด้วยล่ะ) เพิ่งเคยได้ยินเสียงของพี่ทองผ่านทางโทรศัพท์เป็นครั้งแรก...เสียงหล่อจัง... และทั้งๆ ที่เขาวางสายไปแล้วผมก็ยังคงถือมือถือค้างไว้อยู่อย่างนั้น
“ชงโค อีกก้าวเดียวตกท่อนะ ระวังด้วย” เพราะเสียงของโบจังทำให้ผมหยุดก้าวอย่างฉับพลัน ก่อนจะมองทางข้างหน้าที่มีท่อระบายน้ำถูกเปิดฝาทิ้งไว้อยู่
อ่า...เกือบไปแล้วไหมล่ะ...โชคดีจริงๆ ที่ไม่ตกลงไป แต่...ตกหลุมที่พี่ทองหยอดไว้นี่...คงไม่ถือว่าโชคร้ายหรอกนะ
.....................................To be continue.........................................
ไว้อาลัยแด่สัญญาณอินเตอร์เน็ต วันไหนเกิดฝนตกฟ้าร้อง วันนั้นมันจะหมุนไม่หยุด ขอโทษนะคะที่มาข้ามวันเลย T_T

พรุ่งนี้ถ้าไม่มีอะไรขัดข้องก็ยังจะมาค่ะ ถ้าเป็นเหมือนเช่นวันนี้ก็คงข้ามวันอย่างนี้
ขอบคุณทุกความคิดเห็นค่ะ ขอบคุณคนที่ติดตามแบบไม่ทิ้งกันไปไหน