ตอนที่ 30“ชงโค...ชงโค เจ็บรึเปล่าลูก...ไม่เป็นไรนะ... พ่ออยู่ตรงนี้แล้วชงโค”เป็นเสียงที่ขาดห้วง แต่กลับอบอุ่นยิ่งกว่าเสียงใดๆ แม้ว่าร่างกายจะโชกไปด้วยเลือด ก็ยังร้องเรียกหาแต่ผม...แม้สติกำลังจะเลือนหายไป แม้ว่ากำลังจะจากโลกนี้ไปตลอดกาล ก็ยังคงกอดตัวผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย...แต่ผมกลับ...จำใบหน้าของเขาไม่ได้เลย...
ผมเกลียดตัวเองที่เป็นอย่างนี้ ความฝัน...วนเวียนอยู่ซ้ำๆ ตามกลับมาหลอกหลอนผมทุกครั้งที่หลับตานอน...แต่การที่ต้องตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบเจอใครอยู่ข้างๆ เลย กลับน่ากลัวยิ่งกว่า...เพราะแม้ว่าผมจะตัวสั่นเทามากแค่ไหน ร้องไห้ทุรนทุรายยังไง...ก็ไม่มีใคร...ให้ผมกอดไว้สักคน
ผมปาดน้ำตาออกจากแก้ม ลุกเดินไปที่หน้าต่าง เฝ้ามองท้องฟ้าในเวลาตีสามครึ่งที่ไร้ซึ่งดวงดาว เมฆฝนคงกำลังก่อตัวอยู่บนนั้น และในไม่ช้าก็คงตกลงมา
ผมมองความมืดมัวบนท้องฟ้า ก่อนจะถอนหายใจออกมากับรรยากาศเหงาๆ ก่อนฝนตก ถ้ามีพี่ทองอยู่ด้วย...คงจะดีกว่านี้ แต่เขาก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ มีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบ...ผมไม่อยากให้เขาเหนื่อยกับคนอย่างผมหรอก...
แต่จะมีวิธีไหน...ทำให้ผมนอนหลับสนิทได้โดยไม่ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างนี้อีก ผมกลัว...ความฝันนั้น แค่คิดมือเท้าก็พลันเกร็งขึ้น ความรู้สึกปั่นป่วนในท้องทำให้อาเจียนออกมา ผมจับขอบหน้าต่างไว้ พยุงตัวไม่ให้ล้ม โก่งคออาเจียนออกนอกหน้าต่าง ก่อนจะทรุดตัวนั่งเมื่อขาไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเอาดื้อๆ
ผม..กำลังจะกลับไปทรมานเหมือนเมื่อหลายปีก่อนอีกแล้ว ...จะทำยังไงดี...ผมจะทำยังดี
ผมคลานไปที่เตียง ยื่นมือไปหยิบมือถือ นิ้วสั่นเทาเริ่มกดพิมพ์ข้อความ
‘เฮีย มาหาผมหน่อย...มาหาได้ไหม ตอนนี้... มาได้ไหม’
ไม่อยากรบกวนเขาเลย แต่ผมอยากเจอ อยากเจอเขามากจริงๆ
‘คิดถึงเหรอครับ หึหึ งอแงอะไรหว่า ทำไมยังไม่นอน ตอนนี้ไปไม่ได้นะ เขียนรายงานอยู่ ไว้พรุ่งนี้ตอนเย็นไปหาดีไหม’
ทำไมถึงดูไม่ทุกข์ร้อนเลย ทั้งๆ ที่ผมกำลังทุรนทุรายอยู่ที่นี่...รู้บ้างไหมครับพี่ รู้บ้างไหมว่าผมกำลังเจอกับอะไร ผมไม่อยากรอ...ไม่อยากรออีกแล้ว
‘ไม่! ต้องมาตอนนี้! ถ้าไม่มาก็เลิกไปเลย เข้าใจไหม! ผมจะหาคนที่เขามาหาผมได้ในตอนที่ผมต้องการ’
พี่ทองไม่เข้าใจเอาซะเลย...เขาอยู่ในโลกที่สว่างเกินไป อบอุ่นเกินไป ไม่เหมือนกับผม...
‘เป็นอะไรไป’
ผมขว้างมือถือไปกระทบกับผนังห้องอย่างหงุดหงิด และด้วยแรงกระทบทำให้มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งแบ็ตและตัวเครื่องอยู่คนละทิศละทาง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจจะประกอบมันกลับเป็นเหมือนเดิม
ผมเดินออกมานอกห้องนอน ก่อนจะเข้ามานั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่น รายการทีวีตอนนี้ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักรายการ เสียงหัวเราะอย่างเสแสร้งของพิธีกรทำให้ผมนึกรำคาญอยู่ในใจ
กริ๊งงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงง
ผมเหลือบมองโทรศัพท์บ้านที่ส่งเสียงร้องด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินไปดึงสายโทรศัพท์ออกเป็นการตัดปัญหา ความจริงโทรศัพท์บ้านสำหรับผมไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด เพราะผมมันเป็นแค่ไอ้ใบ้คนหนึ่ง รับสายก็คงจะพูดตอบโต้กับใครไม่ได้อยู่ดี
ผมกลับมานอนหลับตาอยู่ที่โซฟา กอดตุ๊กตาวัวของพี่ทองที่หยิบติดมือออกมาจากห้องด้วย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้นอนหลับไปจริงๆ ผมยังคงได้ยินเสียงรอบข้าง ได้ยินเสียงพิธีกรรายการจากในโทรทัศน์ ได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถที่ขับเข้ามา ก่อนเสียงตึงตังจากฝีเท้าของใครสักคนจะดังเข้ามาใกล้
“เป็นบ้าไปแล้วหรือไง!” เสียงตวาดดังแต่ผมก็ไม่ได้สะดุ้งสะเทือน กลับค่อยๆ ลืมตามองหน้าผู้บุกรุกยามวิกาล ใบหน้าขาวของเขาขึ้นสีจางๆ ริมฝีปากเม้มตรง ในขณะที่ผมคลี่ยิ้มน้อยๆ
“ไม่ตลกนะชงโค ลองพูดว่าจะเลิกอีกสิ กูจะบีบคอเรียกสติเลยคอยดู!”
ผมยังคงยิ้ม ฉุดแขนของพี่ทองให้นั่งลง ก่อนจะขยับตัวขึ้นไปนั่งบนตักของเขา
‘เอาเลยสิ บีบเลย กล้าทำไหมล่ะ’
“อย่าท้านะ”
‘ไหนๆ ก็มาแล้ว ทำไมต้องหงุดหงิดด้วยล่ะ อยู่กับแฟน ไม่มีความสุขเหรอ’
พี่ทองขบกรามแน่น เขาคงโกรธมากจริงๆ แม้ว่าผมกำลังขยับใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจะจูบเขา เขากลับเบี่ยงหน้าหลบ
“เรียกมาทำไม”
‘แค่อยากเจอ’
พี่ทองมองสำรวจหน้าผม แววตานิ่งๆ ของเขาทำให้ผมยกมือขึ้นแตะที่แก้มเขาเบาๆ “เป็นอะไรไป ทำไมทำตัวไม่มีเหตุผลแบบนี้”
‘อยากเจอ ต้องมีเหตุผลอะไรมากด้วยเหรอ ไหนบอกจะอยู่ข้างๆ แต่พอผมต้องการพี่ก็หายหัว! แบบนี้มันดีแล้วรึไง!’
ผมคงใส่อารมณ์มากไป ในขณะที่ใช้ภาษามือสื่อสาร มือก็เผลอไปฟาดโดนแก้มของพี่ทองเข้า
‘ผมขอโทษ’
พี่ทองไม่พูดอะไรเลย แก้มขาวๆ ของเขาเป็นรอยแดง ผมไล้มือไปมาเบาๆ ก่อนจะกดจูบลงไป เขาไม่ได้หลบ แต่สายตากลับไม่มองมาที่ผมเลย
“พอแล้วใช่ไหม กูจะได้กลับ”
‘ไม่ให้ไป...อยู่กับผมนะ อย่ากลับไปเลยนะพี่’
“ชงโค มีเหตุผลหน่อยได้ไหม งานกูยังไม่เสร็จ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องไปโรงพยาบาล เข้าใจรึเปล่า”
‘ผมไม่อยากอยู่คนเดียว’
“งั้นไปเก็บเสื้อผ้า ถ้าไม่อยากอยู่คนเดียว ก็ไปอยู่กับกู!”
ทำไมต้องตะคอก ผมทำอะไรผิดมากเหรอ...แค่อยากอยู่ด้วย พี่เบื่อผมแล้วใช่ไหม ถึงได้เป็นแบบนี้
ผมซ่อนใบหน้าไว้ใต้ฝ่ามือตัวเอง ขยับลงจากตักของเขา มานั่งตัวงออยู่อีกฟากของโซฟา ตอนเด็กๆ คุณตามักจะเรียกผมว่ากุ้งยักษ์ เพราะเวลาที่ถูกแม่ดุ ผมมักจะ... ไม่...แม่ไม่เคยดุผม พ่อต่างหาก...พ่อที่มักถือไม้เรียวตีผม หยิกผมจนมีแต่รอยช้ำเต็มตัว พ่อไม่รักผมเลย... แม่บอกว่าเพราะพ่อรักคนอื่นแล้ว พ่อถึงไม่รักผมกับแม่...
“ชงโค...เฮียขอโทษ ขอโทษนะ”
ผมเกร็งมือไว้ ขืนตัวออกจากอ้อมกอดของพี่ทอง เขาพยายามดึงแขนผมออก แต่ไม่ได้หรอก...พ่อบอกว่า...ถ้าผมร้องไห้ เขาจะตีผม ...ผมกลัว ผมเจ็บ...แม่ก็ไม่อยู่แล้ว แล้วใครจะปกป้องผม...
“ชงโค ชงโคได้ยินไหม หยุดร้องไห้ นะ...ขอร้อง อย่าเป็นแบบนี้”
ฝ่ามืออุ่นที่สัมผัสลงบนศีรษะของผม ลูบไปมาเบาๆ ทำให้ผมค่อยๆ ลดมือลง มองผ่านม่านน้ำตาไปเห็นแค่เพียงรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นของพี่ทอง แม้ว่าใบหน้าถอดสี มีแต่ความวิตกกังวล แต่เขาก็ยังยิ้มให้ผม
“ขอโทษนะ เฮียไม่ดีเอง ไม่ร้องนะ ขอโทษจริงๆ”
ผมโผตัวเข้าหาอ้อมกอดของพี่ทอง เขากอดผมไว้ ในขณะที่ผมกำเสื้อของเขาไว้แน่น มือเกร็งอย่างไม่ทราบสาเหตุ ปลายเท้าจิกลงบนโซฟา ก่อนจะฝากรอยกัดไว้บนไหล่ของพี่ทอง
“ฮ่าๆ เป็นหมาพันธุ์อะไรเนี่ย ไหนขอเฮียดูหน้าหน่อยซิ”
เพราะเขาใส่เสื้อกล้าม ผิวเนื้อเนียนๆ จึงโดนฟันผมเข้าเต็มๆ มีเลือดไหลซึมออกมาแต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับยิ้มทะเล้นแล้วเช็ดมุมปากให้ผม
“ป่ะ เก็บเสื้อผ้า ไปอยู่ด้วยกัน เอ ว่าแต่อยู่ก่อนแต่งนี่จะดีรึเปล่านะ ม๊าต้องฆ่าเฮียแหงๆ” พี่ทองพูดติดตลก จูงมือผมเดินเข้ามาในห้องนอน เขาเดินไปหากระเป๋ามาให้ ก้าวข้ามเศษซากมือถือ แล้วเดินไปที่หน้าต่าง ปิดประตูหน้าต่างแล้วหันมามองผม
“อาเจียนอีกแล้วใช่ไหม”
ผมหลบตาเขา เดินมาที่ตู้เสื้อผ้า เลือกเสื้อผ้าที่จะใส่กับชุดนิสิตอีกสี่ห้าชุด พี่ทองเดินมากอดผมจากทางด้านหลัง เขางับเข้าที่ใบหูของผม ก่อนจะไซ้ลงมาตามซอกคอ หยุดทำรอยไว้เล็กน้อย แล้วผละออก
“ทำยังไงถึงจะหายดี ต้องรักษายังไง...ชงโคถึงจะเลิกทรมานสักที”
ผมก็ไม่รู้ จะมีหมอเก่งๆ สักคนไหมที่จะช่วยผมได้...หรือผมต้องทรมานอย่างนี้ไปตลอดชีวิต
‘พี่ ถ้าผมไปอยู่ด้วยแล้วพี่โนล่ะ’
“คงต้องเช่าอีกห้อง เรื่องนี้เฮียจัดการเอง ไม่ต้องกังวลหรอก รีบๆ เก็บเสื้อผ้าได้แล้ว”
ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำให้พี่ทองลำบาก รู้สึกเป็นภาระมากกว่าเป็นประโยชน์ คนรักกัน...เขาคงไม่ทำกันอย่างนี้
“ถ้าคิดมากอีก เฮียจะจับข่มขืนจนสมยอม จะให้ชงโคร้องว่าเอาอีก ขออีก แรงอีก ดีไหมนะ หึหึ”
ผมหน้าร้อนวูบ ก่อนจะหัวเราะเมื่อเห็นว่าเขาขยิบตาทำหน้าทะเล้นมาให้ ผมตีไหล่พี่ทองเบาๆ แต่เขาก็ร้องโอดโอยซะเว่อเลย
หัวเราะแล้วน่ารักจัง...น่ามองกว่าตอนโกรธเมื่อกี้ตั้งเยอะ คนบ้าเวลาโกรธนี่น่ากลัวเหลือเกิน ผมคงต้องทำตัวดีๆ แล้วล่ะตอนที่ไปอยู่กับเขา จะได้ไม่โดนข่มขืนจนสมยอม แหะๆ
.
.
.
รับน้องของคณะ จะว่าสนุกก็สนุก จะว่างี่เง่าก็งี่เง่า แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าดี ได้เห็นความสามัคคีของเพื่อนๆ ถึงแม้จะมีปากหมาบางคนล้อผมเรื่องที่พูดไม่ได้ แต่ผมก็ซัดปากมันไปให้เงียบเป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าเจ้ยิ้มจะพยายามห้ามยังไง ผมก็เบื่อเรื่องพวกนี้เต็มทน การคาดหวังว่าคนที่เข้ามหาลัยทุกคนจะรู้จักคิด คงเป็นเรื่องที่ทำให้โลกสวยงามมากเกินไป ผมก็คน มันก็คน เพราะฉะนั้นผมถึงจะไม่ทนหากว่าโดนดูถูกอีก
“เป็นไรไปวะ ดูอารมณ์ขึ้นง่ายนะช่วงนี้” โบหันมาถามผมในขณะที่รุ่นพี่ปล่อยให้พักทานข้าว
ลมทะเลอุ่นๆ พัดมาทำให้รู้สึกว่าผมอาจจะเป็นหมาบ้าขึ้นมาอีกก็ได้หากมีใครมาสะกิดต่อมอยากลองของ ค่ายสองวันหนึ่งคืนนี้คงเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับคนไม่ค่อยทำกิจกรรมอย่างผม แต่ก็ไม่แปลกเท่าไหร่กับการเจอคนบางกลุ่มคว่ำบาตรเพราะผมดันไปต่อยหน้าเพื่อนมันเข้า
พวกเราชาวคณะมาถึงที่ทะเลกันตอนแปดโมงนิดๆ ล้อหมุนตอนตีห้า พี่ทองเป็นคนขับรถมาส่งผม เห็นรุ่นพี่ผู้หญิงหลายคนเมียงมองมาเหมือนกัน คงสงสัยในสถานะระหว่างผมกับพี่ทอง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาถาม พี่ทองขับรถมาส่งผมตั้งแต่ตีสี่ ใส่เสื้อกล้ามกางเกงนอนบ่งบอกว่าเพิ่งตื่น พร้อมกับลากแตะมาด้วย แต่ก็ทำให้เจ้ยิ้มกรี๊ดได้อยู่ดี เพราะเขาน่าฟัดมาก ขนาดผมก่อนลงจากรถยังแลกลิ้นกับเขาอยู่นานสองนาน
‘อากาศมันร้อน ต่อมบ้าเลยทำงาน’
“ทำงานบ้างก็ดี เพราะถึงมึงไม่ซัด กูก็จะถีบมันเอง” เพราะระดับความสนิทที่เพิ่มเลเวลขึ้น เมื่อแมวไม่อยู่โบก็จะคุยกับผมเฉกเช่นชายหนุ่มสองคนคุยกัน ไม่ต้องสุภาพและมีพิธีรีตองอะไร ซึ่งผมโอเคกว่าตอนที่ต้องพูดภาษาดอกไม้ใส่กันซะอีก
“ข้าวกล่องรสชาติหมาไม่แดกจริงๆ ว่าแต่มึงเถอะ ไม่กินสักหน่อยรึไง” โบวางข้าวกล่องของตัวเองลงข้างตัว ก่อนจะหันมาถามผมที่ไม่ได้แตะข้าวในกล่องของตัวเองสักเม็ดเดียว
‘กินแซนวิชที่เจ้ยิ้มเอามาให้แล้ว อิ่ม’ ผมพิมพ์ข้อความก่อนจะยื่นให้โบอ่าน
“อภิสิทธิ์ชนว่ะ เจ้ยิ้มต้องหลงรักมึงแหงๆ กูเห็นปรนนิบัติพัดวีมึงโคตรดีอ่ะ”
‘เพราะผมเป็นหลานรหัสต่างหาก เจ้จะมาหลงรักผมได้ไง ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าผมมีแฟนแล้ว’
“ความรักมันห้ามกันได้ที่ไหนล่ะ”
‘เหมือนอย่างโบที่กำลังจะทิ้งแมวน่ะเหรอ’
โบจังเงียบไปทันที ผมเห็นหน้ามึนๆ ของเขาขรึมลงเล็กน้อย ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเพื่อนคนนี้กำลังทำอะไร ก็เพราะอยู่คณะเดียวกัน และว่างเจอกันมากกว่าแมวที่ช่วงนี้เรียนหนักแถมยังทำกิจกรรมตลอด จากที่ช่วงแรกๆ ว่างมากินข้าวด้วยตอนกลางวัน หรือบางวันก็มานั่งเล่นนั่งคุย แต่ช่วงนี้ก็ค่อยๆ หายไป คงเพราะอยู่คนละคณะ และแมวก็มีกลุ่มเพื่อนของตัวเองแล้วเลยไม่ค่อยได้มาหา แต่กับผมแมวก็ติดต่อมาตลอดนะ เมื่อวานตอนเย็นก็ยังไปเดินห้างซื้อของด้วยกันอยู่เลย
“ไม่ได้ทิ้ง”
‘แต่โบก็คุยกับคนอื่นด้วยนี่ แมวรู้รึเปล่าเรื่องนี้’
ผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรมาก เพราะไม่อยากก้าวก่าย แต่ก็เห็นว่าโบกับดาวคณะผมสนิทกันมากผิดปกติ อย่างเมื่อกี้ก็เดินเอาข้าวกล่องกับน้ำมาให้โบ
“เพื่อนกัน ไม่มีอะไรเกินกว่านั้นหรอก ไปเถอะ รุ่นพี่เรียกรวมแล้ว”
มันเกิดปัญหาขึ้นเพราะความห่างเหินด้วยรึเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมก็ไม่อยากเห็นแมวเสียใจจริงๆ แมวตัวน้อยๆ เหมาะกับรอยยิ้มมากที่สุด ผมคิดว่าโบก็รู้เรื่องนี้ดี แต่การแสดงออกของโบ...มันกำลังจะทำให้แมวเสียใจ
ความสนิทสนมที่มากเกินไป...มันจะทำให้ใครคนหนึ่งหวั่นไหวขึ้นมาบ้างรึเปล่านะ ผม...ไม่อยากจะวางความเสี่ยงนี้ไว้ให้แมวเผชิญอยู่คนเดียวเลย
‘ไม่มีใครจะอดทนได้ไปตลอดหรอกนะ ถ้าวันหนึ่ง ของตายที่โบไม่เห็นค่าเกิดมีคนมาชุบชีวิตมันขึ้นมาแล้วพาหนีไป โบจะเป็นคนที่เสียใจที่สุด’
“ก็ถ้ามีคนทำได้จริงๆ ก็พร้อมจะให้ไป”
‘ไม่เสียดาย?’
“คงไม่...แต่คงเจ็บแทบตายเลยล่ะ”
‘งั้นก็ดูแลให้ดีสิ ถ้ารู้ว่าตัวเองจะเจ็บแทบตายตอนที่เสียไป ก็ดูแลให้ดี เพราะถ้าโบทำไม่ได้ ถึงวันที่แมวขอไป แม้แต่ผมก็จะไม่อยู่ข้างโบหรอกนะ’
“อืม”
ผมตบไหล่โบสองสามที ก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ที่กำลังถูกรุ่นพี่สั่งให้เรียงแถวตอนลึกสี่แถวอยู่
สำหรับชีวิตของคนอื่น ผมทำได้แค่เตือนเท่านั้น...ก็หวังว่าโบจะรู้สึกตัวขึ้นมาเสียที กับความรักที่มีมานานหลายปีและกำลังจะจืดจางลงอย่างนี้ มันไม่ดีเลย...แต่ความสำคัญของมันอาจจะยังคงอยู่เท่าเดิม แค่มีหลายๆ อย่างบังมันเอาไว้
.
.
.
ค่ายรับน้องผ่านไปด้วยดี มีพิธีบายศรี ผูกข้อมือรับเป็นรุ่นน้องอย่างเป็นทางการ มีหลายคนร้องไห้เพราะตลอดหนึ่งวันเต็มๆ ถูกรุ่นพี่รุมแกล้งสารพัด สภาพผมก็ไม่ได้ต่างจากคนบ้าเลยแม้แต่น้อย ถูกมัดผมหลายจุก หน้าก็ถูกทาแป้งขาว มีลิปสติกสีแดงทารอบปาก หน้าผากก็ถูกแต้มสี จะผ่านแต่ละฐานได้ก็แทบกระอัก บางคนถูกมอมเหล้าขาวจนเดินเป๋ แต่ผมก็ชิวๆ เพราะผมกินเหล้าแล้วไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่กับเบียร์นี่แค่สองแก้วสติก็ไม่อยู่แล้ว ตกค่ำ ก็มีเลี้ยงสังสรรค์ แต่อนิจจาเหลิงกันได้ไม่นานก็ถูกสั่งให้กลิ้งทราย ผมกลิ้งตกทะเลไปด้วยความมึน มีโบจังนอนแผ่หมดสภาพอยู่ข้างๆ ไอ้นี่เมาหนักเลย สภาพเหมือนหมาเมายากันยุง ลำบากผมกับเจ้ยิ้มช่วยกันพยุงมันไปนอนพัก กว่ามันจะสร่างก็เริ่มพิธีบายศรีพอดี มันก็ซึ้งดีล่ะครับ หากไม่ติดว่ามีรุ่นพี่คนหนึ่งเมาแล้วพยายามจะปล้ำจูบผม ผมเลยถีบมันเข้าให้ แต่เพื่อนๆ พี่เขาก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไรเพราะรู้ว่าเพื่อนตัวเองเมา เสร็จจากพิธีบายศรีก็มีงานเลี้ยงโต้รุ่ง แต่ผมปลีกตัวมานั่งเฝ้าโบจังที่สะลึมสะลือไม่ได้สติ ปากก็ร้องเรียกหาแต่ชื่อแฟนตัวเอง ในขณะที่ผมก็ไลน์ไปคุยกับพี่ทอง คืนนี้คงไม่ได้นอนล่ะครับ เพราะการไม่มีพี่ทองอยู่ข้างๆ มันทำให้ผมกลัวเหลือเกินที่จะนอนหลับไปแล้วฝันร้ายเหมือนสองสามคืนที่ผ่านมา
ผมนั่งมองทะเลจนเช้า รู้สึกง่วงนิดหน่อย แต่ก็ได้กาแฟร้อนๆ จากเจ้ยิ้มมาเสริมสติ เลยอยู่รอดมาจนถึงขากลับ แวะซื้อของฝากกันแล้วก็ตรงกลับมอ มาถึงกันเกือบเที่ยง แต่ผมไม่ได้บอกพี่ทองว่าจะกลับกี่โมง ตอนนี้เลยยืนเคว้งเพราะไม่รู้จะกลับยังไง
“ไม่ต้องไลน์บอกแฟนหรอก เดี๋ยวแมวมารับ ให้มันไปส่ง” โบบอกพลางทำหน้าอึนๆ มึนๆ ท่าทางทรมานคงเพราะแฮงค์ หน้าซีดเซียวเหมือนพร้อมจะอาเจียนออกมาได้ทุกเมื่อ
ยืนรอกันอยู่สักพัก แมวก็ขับรถมารับ หน้าตาแจ่มใสเหมือนทุกที แต่พอเห็นหน้าตาซีดๆ ของโบจังก็รีบเข้ามาคลอเคลียด้วยความเป็นห่วง
“ดื่มหนักเลยเหรอ รู้ว่าไม่ดีแล้วจะดื่มทำไม โบจังคนบ้า”
“อย่าเสียงดังได้ป่ะ ปวดหัว รำคาญ”
“ขอโทษ ก็แมวเป็นห่วง” เห็นแมวหน้าเจื่อนลงไปแล้ว ผมก็อดจะตบหลังโบไม่ได้ ไอ้นี่สติมันไม่ดีหรือไง ทำไมถึงชอบทำร้ายจิตใจแฟนตัวเองนัก
“โบ ผิงกลับก่อนนะ แล้วจะโทรหา”
ผิงหรือขนมผิง ดาวคณะคนสวยตะโกนมาพร้อมกับโบกมือให้ ทำมือโทรศัพท์อย่างน่ารัก แต่โบไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ถึงอย่างนั้นแมวก็หน้าซีดและเหมือนจะตัวหดเล็กลงกว่าเดิม
“หมายความว่ายังไงเหรอ” แมวถามเสียงแผ่ว
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น ขึ้นรถได้แล้ว”
ตากลมโตของแมวคลอไปด้วยน้ำตา แต่ก็ยอมขึ้นรถตามที่โบจังบอก ผมเดินเข้าไปนั่งบนเบาะหลัง ในขณะที่แมวนั่งประจำที่คนขับ
“ออกรถดิ นั่งนิ่งอยู่ทำไม”
“แมวอยากรู้”
“ก็บอกว่าไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรได้ยังไง! เขาพูดออกมาอย่างนั้น แล้วจะไม่ให้ถามเหรอ! บ้ารึเปล่าวะ!”
“แมว! อย่าขึ้นเสียงนะ!”
เฮ้ๆ จะทะเลาะกันหรือไง ผมหันมองแมวที โบจังที คนหนึ่งร้องไห้ แต่อีกคนทำหน้านิ่งเฉย
“แมวขอโทษ กลับบ้านกันเถอะนะ”
ดีแล้วเหรออย่างนี้...
เพราะคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ผมถึงได้เปิดประตูลงจากรถ แล้วเดินไปฝั่งคนขับ เปิดประตูแล้วดึงแมวลงมา
ถ้าหากไม่มีคนพาเดินออกไป โบก็จะไม่รู้หรอกว่า ใครสำคัญ เพราะแมวเอาแต่ยอม เอาแต่ขอโทษทั้งๆ ที่ไม่ได้ผิดอะไร มันถึงได้เคยตัว
‘กลับบ้านไปก่อน ผมจะพาแมวไปเที่ยว’ ผมยื่นมือถือที่พิมพ์ข้อความเสร็จแล้วส่งไปให้โบ มันมองหน้าผมนิ่งๆ ยักไหล่แล้วไม่พูดอะไร
‘ไปเที่ยวกัน’
แมวพยักหน้า ก่อนจะเดินตามผมมา เราเดินออกมาจนถึงถนนใหญ่ โบกเรียกแท็กซี่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะไปที่ไหน แมวก็นั่งเงียบ ผมเลยพิมพ์ข้อความแล้วยื่นให้คนขับอ่าน
เวลาที่ผมไม่สบายใจ...ผมมักจะหาที่ระบายความเครียดของตัวเอง แต่มันก็นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ทำแบบนี้ ผมเคยเจาะหูอยู่หลายรู เจาะลิ้น เจาะสะดือ แต่เพราะทางโรงเรียนสั่งห้าม ผมถึงได้ไม่ใส่เครื่องประดับอะไร จนรูมันปิดไปเอง แต่วันนี้ทำสักหน่อยคงจะดี เผื่อว่าความเครียดที่สะสมมานานจะหายไปบ้าง
ผมพาแมวมาถึงร้านที่ผมเคยมาตั้งแต่มอต้น ไม่รู้ว่าพี่เจ้าของร้านจะยังจำผมได้หรือเปล่า แต่พอเข้าไปในร้าน ก็ปรากฎว่าเขายังจำผมได้ครับ แม้ว่าจะไม่ได้มานานหลายปีแล้วก็ตาม
“ชงโคจะเจาะหูเหรอ” แมวถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ เล็กน้อย คนเรียนพยาบาลจะมากลัวกับเรื่องแค่นี้ได้ยังไง ผมยิ้มแล้วลูบหัวแมวเบาๆ
วันนี้ผมตั้งใจจะเจาะลิ้นกับหูข้างซ้ายสองรูและเจาะสะดือ เลยพิมพ์ข้อความบอกให้แมวช่วยเลือกจิวให้ แมวมองหน้าผมอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ขัดใจอะไร
ผมปล่อยให้แมวเลือกจิวให้ ในขณะที่ตัวเองก็เดินตามพี่เจ้าของร้านเข้ามาในห้อง ร้านนี้สะอาด ไว้ใจได้ครับ เพราะพี่เจ้าของร้านเป็นหมอ แต่เขามีความชอบทางด้านนี้ถึงมาเปิดร้าน ที่จริงเรียกว่าพี่คงไม่ได้เท่าไหร่เพราะเขาแก่กว่าผมหลายปีมาก เกือบสิบห้าปีได้มั้ง และแม้ว่าคนจะมองพวกที่เจาะหู เจาะลิ้น เป็นคนไม่ดี แต่ผมกลับเห็นต่างออกไป ผมว่ามันเป็นรสนิยมของแต่ละคนว่าชอบหรือไม่ชอบสิ่งไหน ก็เหมือนกับพวกที่มีรอยสักที่ก็ไม่ใช่คนไม่ดีเสมอไป มันขึ้นอยู่ที่การกระทำมากกว่า ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก
แล้วการเจาะก็ไม่เจ็บเลย เทียบกับโดนของแข็งแทงเข้ามาที่ช่องทางด้านหลังแล้วมันคนละเลเวลกัน อันนั้นน่ะเจ็บสุดๆ เจ็บจนร้องไห้ แต่อันนี้แค่คันๆ ครับ เหมือนโดนมดกัด แมวเลือกจิวเสร็จ ก็เดินมาสะกิดผมบอกว่าอยากเจาะสะดือ แมวเรียนพยาบาล ให้เจาะหูคงจะไม่ดีเท่าไหร่ แล้วคงเห็นว่าผมดูสบายๆ ชิวๆ ไม่ได้เจ็บอะไรเลยอยากลองบ้าง
กว่าจะเสร็จธุระก็เกือบสี่โมงเย็น เพราะผมกับแมวแวะร้านทำผมกันด้วย จากนั้นผมก็นั่งแท็กซี่ไปส่งแมว ก่อนจะวนกลับไปยังหอพักของพี่ทอง ผมมีกุญแจแล้ว สองสามวันที่ผ่านมาพี่โนนอนห้องแฟนไปก่อน วันนี้พี่ทองบอกว่าจะย้ายไปอยู่ห้องข้างๆ เพราะจะให้พี่โนไปนอนห้องแฟนตลอดไม่ได้เลยเช่าไว้อีกห้อง ผมจ่ายค่าแท็กซี่ที่มิเตอร์พุ่งขึ้นไปเกือบพันห้า ก็ต้องขอบคุณที่ลุงเขายอมขับมาส่งให้ บางคันถ้ารู้ว่ามาไกลเขาไม่มาหรอกครับ อ้างอย่างเดียวว่าจะรีบไปเติมแก๊ส =_=
ผมสะพายเป้ขึ้นลิฟธ์มาชั้นห้า เดินเลี้ยวหัวมุมนับไปอีกสองห้องก็ถึง ได้ยินเสียงพี่โนคุยกับพี่ทองอยู่ในห้อง กับเสียงขนย้ายของดังโครมคราม คงกำลังช่วยกันย้ายของอยู่
ผมผลักประตูเปิดเข้าไป เห็นพี่ทองกำลังย้ายตู้หนังสือไปชิดมุม พี่โนหันมาพอดี ผมเลยยกมือไหว้
“เฮ้ ไปทำอะไรมาชงโค แจ่มโคตร!” เสียงของพี่โนทำให้พี่ทองหันมามองผม ก่อนตาคมกริบนั้นจะกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า
ผมแค่ไปตัดผมแล้วทำสีมา ทำสีน้ำเงินเข้ม ไม่ได้อยู่กลางแดดก็จะเห็นเหมือนสีดำ แต่ถ้ามีแสงหน่อยก็จะเห็นเป็นสีน้ำเงิน อีกอย่างคราวนี้ผมตัดผมเปิดหู เพราะไหนๆ ก็เจาะหูมาแล้ว ช่างทำผมบอกว่าถ้าตัดหน้าม้าด้วยจะแจ่มมาก ก็เลยลอง ผลปรากฎคือคนมองตั้งแต่เดินออกจากร้านมาเลย แมวก็ชมไม่หยุดว่าสวยมาก แต่ผมว่ามันก็ธรรมดา ไม่ได้เปลี่ยนตรงไหน
“อ้าปาก!” พี่ทองไม่ได้ยิ้มเหมือนพี่โน เขาเดินมาจับไหล่ผมทั้งสองข้าง ทำหน้าดุๆ พลางออกคำสั่ง
ผมอ้าปากให้ดู ก่อนจะโดนเขาตีเข้าที่ไหล่เต็มๆ แรง
“ถอดออกซะ ไม่งั้นได้เห็นดีกันแน่”
“เฮ้ย ไอ้ทอง ใจเย็นๆ น่า”
“ก็มึงดูมันทำดิ ใครสอนให้ทำอย่างนี้วะ ไอ้เด็กบ้านี่! เป็นน้องเป็นนุ่งกูจะจับตีให้น่องลายเลย!”
‘ผมพอใจจะทำ ถ้าพี่รับไม่ได้ ก็พูดมาคำเดียว แล้วผมจะไป’
“เอะอะก็จะไป มึงเป็นไรไปแล้ววะ อยากเลิกกันจริงๆ รึไง!”
ผมจ้องหน้าพี่ทองที่ทำหน้าไม่พอใจสุดๆ พี่โนเดินเข้ามาดึงแขนพี่ทองไว้
“ไอ้ทอง น้องยังเด็กนะ”
“ไม่เด็กแล้วเว้ย โตขนาดนี้แล้ว ทำอะไรไม่ปรึกษากูสักคำ”
ทำไมผมต้องถามความเห็นเขาล่ะ ในเมื่อตัวก็ตัวผม ร่างกายนี้เป็นของผม ผมจำเป็นต้องขออนุญาตใครด้วยเหรอ?
“ชงโค เอาของไปเก็บก่อนไป แล้วมาช่วยกันย้ายของนะ” พี่โนหันมาบอกผม ก่อนจะดึงพี่ทองออกไปคุยที่ระเบียง ผมมองตามพร้อมกับถอนหายใจออกมา
ผมเอาของไปเก็บอีกห้อง ก่อนจะเดินมาช่วยย้ายของจากห้องพี่โนไปยังห้องใหม่ พี่ทองไม่หันมาพูดกับผมเลย ไม่ยอมมองด้วย จนย้ายของเสร็จ เขาก็ยังทำมึนตึงใส่ พี่โนส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ ก่อนจะขอตัวไปรับพี่ยิมเพื่อไปกินข้าวเย็น พอพี่โนออกไปแล้ว ทั้งห้องเลยเหลือแค่ผมกับพี่ทอง ผมเดินเข้าไปกอดเขาจากข้างหลัง แต่พี่ทองก็ยังยืนเฉย ผมเดินอ้อมไปยืนตรงหน้า เขาก็เบือนหน้าไปทางอื่น
‘ผมควรจะโกรธนะ ที่พี่ไม่ไปรอรับผมที่มอ’
สีหน้าแข็งกระด้างของพี่ทองอ่อนลงเล็กน้อย ก่อนเขาจะยอมถามผมกลับว่า “มาถึงกี่โมง”
‘สิบเอ็ดครึ่ง’
“ไม่ไลน์มาบอก?”
‘เพื่อนจะมาส่ง เลยไม่ได้บอก’
“อืม”
‘โกรธมากเลยเหรอ’
“มาก ทำไมต้องไปเจาะ ไม่เจ็บหรือไง”
ผมส่ายหน้า ‘เจ็บน้อยกว่าโดนของพี่เยอะ’
“เด็กบ้า”
พี่ทองหลุดยิ้มออกมา เขาผลักหัวผมแล้วดึงไปกอดไว้ “ทำมาแล้วก็ช่างมัน แต่อย่าไปทำอีก แล้วนี่จะกินข้าวได้ไหม”
‘สองสามวันแรกก็กินอะไรอ่อนๆ ไปก่อน’
“ลำบากชีวิตไปป่ะ แล้วนี่เฮียจะจูบได้เหรอ”
‘ไม่ได้ ลิ้นยังเจ็บอยู่’
“นั่นไง ลำบากชีวิตเฮียอีก ไม่เห็นจะดีเลย แล้วนอกจากเจาะลิ้นแล้วทำอะไรไปอีกบ้าง”
ผมชี้ไปที่หู ก่อนจะเลิกเสื้อขึ้นให้เขาดูว่าผมเจาะที่สะดือด้วย พี่ทองเกือบจะตีผม แต่ผมก็จับมือเขาไว้ได้ทัน เลยโดนเขาก้มลงกัดยอดอกแทน
“ไม่เจาะจมูกไปด้วยเลยล่ะ จะได้เป็นแม่เดซี่เต็มตัว”
‘ให้เจาะได้เหรอ’
“กูประชด -*-”
ผมหัวเราะเบาๆ เลยโดนพี่ทองเอาหนวดแข็งๆ มาไซ้ซอกคอ ทำให้ยิ่งจั๊กจี้ขึ้นไปอีก
‘ยอมแพ้ ผมไม่สู้’
“อย่ามาทำน่ารักใส่นะ เด็กดื้อต้องโดนลงโทษ”
‘ผมไม่ดื้อซะหน่อย’
พี่ทองก้มลงกัดจมูกผม เขาทรุดตัวนั่งลงบนปลายเตียง ก่อนจะดึงผมให้นั่งตัก ผมคล้องแขนรอบคอเขาไว้ ก่อนจะกดริมฝีปากลงไปบนแก้มของเขา
“เฮ้อ ทำให้แปลกใจอยู่เรื่อยเลย หรือเฮียแก่เกินไป ถึงตามวัยรุ่นไม่ทันวะ”
‘พี่แก่นั่นแหละ ถูกแล้ว’
“เดี๋ยวจะโดน”
พี่ทองทำท่าจะเข้ามากัด ผมเลยรีบใช้มือยันใบหน้าเขาไว้ พี่ทองคลี่ยิ้ม ตวัดลิ้นเลียนิ้วมือผม ก่อนจะมองมาด้วยสายตาเจ้าชู้
ผมดึงมือออกจากใบหน้าเขา พลางแลบลิ้นให้ดู ตอนนี้มันคงบวมอยู่ แต่อีกสองสามวันก็คงดีขึ้น ผมเคยเจาะมาแล้ว เรื่องรักษาความสะอาดจึงไม่มีอะไรน่าห่วง
‘ลิ้นผมยาว เจาะแล้วโอเคเลยนะ ถ้าไม่เชื่อ...ไว้หายดีแล้ว ผมจะลองทำให้ พี่จะได้รู้ว่ามันโอเคแค่ไหน’
“แล้วถ้าบอกว่าไม่โอเค?”
‘ผมรู้ว่ายังไงต้องโอเค ไม่มีคำว่าไม่หรอก’
“ยั่วเก่ง งั้นตอนนี้ให้เฮียทำให้ชงโคโอเคก่อนดีไหม หืม?”
ผมหัวเราะออกมา เอียงคอเล็กน้อยให้ใบหน้าของพี่ทองซุกไซ้ลงไปได้ถนัด
อ่า...สำหรับพี่...ผมโอเคอยู่แล้วล่ะ
.........................................To be continue..................................................
ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ ให้มันลึกซึ้ง นอกจากคำว่า ขอบคุณ และขอบคุณที่ติดตาม อ่า เราลงถี่ไปสินะคะ เพราะฉะนั้นเบรกค่ะ เจอกันอีกทีวัน พุธ หรือวันพฤหัสดี?? ไม่อยากเห็นคนอ่านบ้าพลัง ฮี่ๆๆ
ปมเรื่องพ่อแม่น้อง อีกไม่นานจะเผยออกมา มันไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกค่ะ นี่เราอ่านจากมุมของชงโคนะคะ เด็กดื้อคนนี้น่าตีจังเลยยยย
http://ask.fm/TCHONG_K << เชิญถาม ^^