ตอนที่ 37รู้สึกละอายใจที่ได้ทำเรื่องโง่เง่าลงไป แม้ตอนที่ตื่นขึ้นมาผมจะรู้สึกมึนงง เรียบเรียงเหตุการณ์ได้ยังไม่ดีนัก แต่ทว่าภาพในแต่ละเหตุการณ์ในความทรงจำก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ความทรงจำในวัยเด็กอาจจะลางเลือน เวลาผ่านมานานหลายปีอาจจะทำให้ลบลืมมันไป แต่คงยกเว้นเหตุการณ์ที่จำฝังใจ ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนก็ลืมไม่ลง
ทั้งแม่ของผม...ทั้งผู้ชายที่แม่พยายามบังคับผมให้เรียกเขาว่าพ่อหลายต่อหลายครั้ง และ...พ่อที่ผมรัก แม้ตอนนี้จะรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่พ่อแท้ๆ แต่ความรักที่มีให้ก็ไม่ได้ลดลงเลย เหมือนอย่างที่เขาไม่เคยลดความรัก ความห่วงใย ความเอาใจใส่ที่มีให้กับผมเช่นกัน
มันทำให้รู้สึกปวดใจและเกลียดตัวเองมากจริงๆ ที่ผมเคยเกลียดเขามาหลายปี ผมไม่เคยทำตัวเป็นลูกที่ดีให้กับเขาเลย เขาที่ต้องทุกข์ทรมานกับความรักที่มีให้แม่แล้ว ยังต้องมาทุกข์ทรมานเพราะผมอีก...
ผมรู้ว่าเรื่องที่ผ่านมา หวนนึกถึงได้ แต่ก็ย้อนกลับไปแก้ไขมันไม่ได้ แต่ใจก็ยังรู้สึกเหนื่อยและเป็นกังวล
ทว่า...ตอนนี้ผมรู้ รู้ว่าตัวเองโง่แค่ไหนที่สงสัยในความรักที่พ่อมีให้ ผมระแวงไปเองว่าเขาจะไม่รักผมเหมือนเดิม...
ผมทั้งโง่เง่า และเห็นแก่ตัว เกือบทำเรื่องแย่ๆ กับตัวเองและคนรอบข้าง...แต่ตอนที่พี่ทองบอกให้มองที่เขา มองไปที่คนที่ผมรัก นึกถึงคนที่คอยเป็นกำลังใจและคอยเป็นห่วงผม ...มันช่วยเตือนสติผมได้
อยากขอโทษเขาเป็นล้านๆ ครั้ง ขอโทษที่ผมลืมนึกถึงเขา ลืมความสำคัญและเรื่องราวของเรา ผมเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ
จะทำให้เขาต้องเจ็บปวดไปถึงเมื่อไหร่กันนะ... แล้วนับจากนี้ผมจะเป็นคนรักที่ดีขึ้นมาได้รึเปล่า...ก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน แต่นับจากนี้ไป...ผมสัญญาว่าจะพยายามทำให้เต็มที่ ให้สมกับความรักที่เขามีให้
เรื่องราวในวันนั้น ผ่านเลยไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดมันขึ้นมาอีก ในแต่ละวัน...รอบๆ ตัวผม จะมีคนที่สร้างเสียงหัวเราะ สร้างรอยยิ้ม สร้างความสุข ไม่มีใครเลยสักคนที่จะกล่าวโทษผมในเรื่องที่ผมจะทิ้งพวกเขาไป
อ่า...ที่จริงมันก็ไม่ได้จบลงอย่างสวยหรูโดยที่ผมได้รับการปลอบใจอยู่ในอ้อมกอดของคนที่รักหรอก ผมถูกตบหน้าแรงๆ ไปหนึ่งทีด้วยฝีมือของผู้ชายที่เป็นแฟน ถูกตัดพ้อต่อว่า...แต่ผมไม่โทษเขาหรอก ผมรู้ว่าเขาเสียใจและน้อยใจมากแค่ไหน ถึงได้ยอมอยู่นิ่งๆ รับฟังโดยไม่โต้เถียงอะไรสักคำ พูดแค่คำว่าขอโทษ แค่นั้นเขาก็คว้าตัวผมไปกอดไว้พร้อมกับพูดติดตลกว่า
‘อายุ 19 ก็ถือว่ายังเด็ก เด็กน่ะเป็นอนาคตของชาติ แล้วเด็กคนนี้ก็เป็นอนาคตของเฮียด้วย อย่าทำให้เป็นห่วงอีกนะ’
เวลาล่วงเลยมาเกือบเดือน ผมทำ ECT ไปแปดครั้ง หมอเพี้ยนหกตาก็บอกด้วยสีหน้าเลื่อนลอยว่าผมไม่ต้องทำอีกแล้ว เพราะสภาพจิตใจของผมอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเกือบถึงดีมาก ความทรงจำเลวร้ายที่หลังจากทำ ECT ครั้งแรกมันชัดเจนมาก แต่มาจนถึงตอนนี้มันลางเลือนเต็มที แม้จะรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ภาพน่าสยดสยองเหล่านั้นก็ไม่ติดตาและตามไปรบกวนผมในความฝันอีก
ถึงอย่างนั้นหมอก็บอกว่าหลังจากที่ผมออกจากโรงพยาบาลก็ต้องมาพบจิตแพทย์ของศูนย์การแพทย์ผู้ป่วยจิตเวชของโรงพยาบาลของพ่อพี่ปลื้มทุกเดือน โดยประวัติการรักษาอย่างละเอียดของผม หมอเพี้ยนทั้งสองคนได้ส่งต่อให้กับจิตแพทย์ที่เชื่อใจได้เป็นเจ้าของไข้ของผมต่อ เพราะพวกเขาทั้งสองคนจำเป็นต้องกลับไปทำวิจัยกันต่อ โดยที่ผมรู้ทีหลังว่าหมอสไปเดอร์แมนน่ะที่จริงเขาไม่ได้เรียนเฉพาะทางด้านจิตเวช มีเพียงหมอเพี้ยนหกตาเท่านั้นที่เรียกว่าเป็นจิตแพทย์ ส่วนหมอสไปเดอร์เขาเป็นศัลยแพทย์ทรวงอกอัจฉริยะที่เรียนต่อเฉพาะทางจบแล้วกำลังสนใจในสาขาวิชานี้ เขาเลยร่วมทำวิจัยกับหมอเพี้ยนหกตาโดยใช้โค้ดลับเรียกกันว่าบีหนึ่งบีสอง และด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทั้งสองคนไม่ได้เปิดเผยชื่อจริงและประวัติของตัวเองให้ใครรู้ แต่ก่อนที่เขาจะไป เขาก็ได้เขียนชื่อตัวอักษรภาษาอังกฤษกลับด้านไว้หลังเสื้อผู้ป่วยของผม เมื่อให้พี่ทองช่วยอ่านจากในกระจกก็พบว่าเป็นคำว่า
‘TheTenth’
ผมยิ้มออกมาทันทีเพราะจำได้ว่าชื่อนี้...คล้ายกับชื่อของใคร แอคเค้าท์ของเพื่อนในเว็บบอร์ดของผม เพื่อนที่ผมมักจะนำเรื่องไม่สบายใจไปปรึกษาเขาเสมอ เขารู้ได้ยังไงกันนะ...หรือจะเป็นแค่ความบังเอิญที่เกิดขึ้นได้เฉพาะบนโลกกลมๆ ใบนี้ เหมือนที่ความบังเอิญ...ทำให้ผมได้เจอคนดีๆ อีกหลายคน คนดีๆ ที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกัน
คนดีๆ อย่าง...พี่ทอง
(จะกลับไปอยู่บ้านก่อนเหรอ แล้วใครจะมารับ)
ผมกำลังคุยโทรศัพท์กับพี่ทองในขณะที่มืออีกข้างก็เก็บของเยี่ยมใส่ลงในลังที่พี่กระแตเอามาให้เมื่อเย็นวานไปด้วย ผมกำลังจะออกจากโรงพยาบาลแล้วครับ เมื่อเช้าพี่ปลื้ม พี่หมอโปรดและลุงหมอก็มาเยี่ยม เอาดอกไม้มาแสดงความยินดีด้วย แล้ววันนี้พ่อกับบิ้วก็จะมารับผมกลับบ้าน พ่อกับผมเข้าใจกันแล้วว่าแม่ของบิ้วไม่ใช่คู่แต่งงานใหม่ของพ่อ แต่เป็นภรรยาของพ่อแท้ๆ ของผม เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจเท่าไหร่และไม่ได้ตกใจที่จู่ๆ ก็มีพี่น้องต่างแม่โผล่ขึ้นมาบนโลก เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่รับได้ยากซะหน่อยนี่ครับ ดีซะอีก...จะได้มีครอบครัวเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน สงสารก็แต่พ่อ...ที่ต้องมาแบกรับภาระที่ตัวเองไม่ได้ก่อ แต่พ่อก็บอกว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างที่ทำไปพ่อเต็มใจทั้งนั้น
แม้คุณน้าจะดูไม่เต็มใจนับญาติกับผมเลยก็ตาม
“พ่อกับบิ้ว”
(แล้วคิดจะลาออกจริงๆ ใช่ไหม)
“ครับ”
(อืม ถ้าคิดดีแล้วเฮียก็ไม่ว่าหรอก ไว้ปีหน้าเริ่มต้นใหม่ก็ได้)
ผมกำลังคิดจะลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วปีหน้าถึงจะเริ่มสอบแอดมิชชั่นใหม่อีกครั้ง ตอนนี้ผมมีความฝันที่อยากจะเป็น มีคณะที่อยากจะเรียนจริงๆ แล้ว ผมอยากช่วยงานพ่อ อยากแบ่งเบาภาระท่าน ก็คิดว่าจะแอดมิชชั่นคณะบริหารธุรกิจในปีหน้า ยอมเสียเวลาไปหนึ่งปีดีกว่าครับ อีกอย่างผมก็เข้าเรียนไม่ถึงสองเดือน ไม่ได้เข้าสอบกลางภาค แถมตอนนี้ปลายภาคก็กำลังจะเริ่มแล้วด้วย คิดว่ายังไงก็คงเรียนไม่ทันเพื่อนๆ อยู่ดี มีเวลาคิดทบทวนตัวเองสักปีคงจะดีกว่า
“ครับ แล้วเย็นนี้เฮียจะมาหาผมรึเปล่า หรือจะให้ไปหา”
(อยากเจอเหรอ)
“อืม”
(อาจารย์หมอให้เข้าดูผ่าตัดใหญ่ ผ่ากันหลายชั่วโมง คงเสร็จราวๆ เที่ยงคืน ไว้พรุ่งนี้ค่อยเจอกันดีกว่าไหม)
“อือ ตามใจเฮีย”
(ไม่น้อยใจนะ ห้ามโกรธด้วย)
“ครับ”
(งั้นเฮียวางก่อนนะ จะรีบไปเอาผลเลือด)
“โอเค”
วันนี้ก็ไม่ได้เจออีกแล้ว ช่วงนี้พี่ทองยุ่งตลอดเลยนะครับ ปลีกตัวมาหาผมไม่ค่อยได้ เดี๋ยวงานนู้นงานนี้เข้าตลอด คงเพราะตั้งแต่เขาโดดเวรมาวันนั้นเลยถูกยำเละ เขาบอกว่าโดนอาจารย์เรียกพบแล้วสวดให้ฟังเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง เขาซึมไปพักใหญ่เลยครับ เพราะโดนว่าว่าไร้ความรับผิดชอบ มันคงเป็นคำต้องห้ามที่ไม่ควรพูดกับเขาจริงๆ
เสียงประตูถูกเปิดเข้ามา ผมหันไปมองก็เห็นลุงพิภพ พี่ตั้ม อากง และพ่อ กำลังทยอยเดินเข้ามา อ่า...คงมาคุยเรื่องคดีของแม่
“อาชงโค ลื้อกำลังจะออกจากโรงพยาบาลวันนี้แล้วสินะ อั๊วดีใจจริงๆ” อากงบอกด้วยท่าทางมาดเข้มเช่นเคย แต่ดวงตาของท่านก็อบอุ่นไม่แพ้หลานชาย
“ขอบคุณครับ แล้ววันนี้มากันพร้อมหน้าเลย มาคุยเรื่องของแม่ใช่ไหมครับ”
เห็นแต่ละคนหันมองหน้ากันด้วยท่าทางอึดอัดเล็กน้อย ก่อนลุงพิภพจะเป็นคนพยักหน้าให้คำตอบ
“ผมบอกพวกคุณแล้วนะว่า ให้ลูกของผมแข็งแรงกว่านี้ แล้วอยากจะถามอะไรก็ถาม แล้วผมก็จะพูดทุกอย่างเมื่อลูกพร้อมเท่านั้น!” พ่อดูโกรธขึ้นมาทันที
“ไม่เป็นไรหรอกครับพ่อ ตอนนี้ก็ได้”
“แต่...”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”
เพราะเหตุนั้นผมจึงต้องหยุดการเก็บของแล้วเดินมานั่งที่โซฟาตัวเดียวกับพ่อ ในขณะที่พี่ตั้มนั่งอยู่ทางฝั่งซ้าย มีสมุดและปากกาอยู่ในมือ ส่วนฝั่งขวามีอากงกับลุงพิภพนั่งอยู่บนโซฟาคนละตัว
“ความจริงคดีนี้มันมีอีกสองคดีที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คดีแรกคือคดีแจ้งความคนหาย คดีที่สองคือคดีการตายของจิตแพทย์เจ้าของไข้ของอาชงโค คดีแจ้งความคนหาย เจ้าทุกข์คือภรรยาของพี่ชายฝาแฝดของคุณ และอีกคดีที่ไม่น่าจะมีความเกี่ยวเนื่องกัน แต่เราก็พบจุดเชื่อมที่น่าแปลกใจ ก่อนเกิดเหตุไม่กี่ชั่วโมง คุณไปพบกับจิตแพทย์เจ้าของไข้ของลูกชายใช่ไหมครับ”
ผมหันมองพ่อเล็กน้อย ยื่นมือไปจับมือท่านไว้
“ใช่ครับ”
“แล้วคุณรู้เห็นในการหายตัวไปของพี่ชายฝาแฝดของคุณหรือไม่”
“ผมคิดว่าผมควรจะตอบเรื่องนี้ในศาลครับ”
“คุณลุงควรให้ข้อมูลกับเรานะครับ เรากำลังพยายามจะช่วย” พี่ตั้มบอก
“พ่อ...บอกพวกเขาไปเถอะครับ ผมก็จะเล่าเท่าที่ผมจำได้เหมือนกัน แล้วเรื่องสู้คดี...ก็ให้เป็นหน้าที่ของทนายที่จะไปช่วยพ่อในศาล นะครับ”
เพราะอย่างนั้นผมถึงได้เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดเท่าที่ผมจำได้ พี่ชายฝาแฝดของพ่อที่หายไป ทั้งสาเหตุที่ทำให้แม่ตาย ผมรู้ว่าคนสองคนนี้ได้จากไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนั้น...ศพของพ่อแท้ๆ ของผม ถูกนำไปไว้ที่ไหน แล้วเมื่อได้ฟังคำให้การของพ่อ ผมก็ตกใจเล็กน้อย ที่ศพของพ่อแท้ๆ ถูกฝังไว้ใกล้ๆ เรือนไทยที่ผมอยู่ ใต้ต้นชงโคที่พ่อแท้ๆ ปลูกไว้ให้แม่
“ลุงพิภพต้องช่วยพ่อด้วยนะครับ มันเป็นอุบัติเหตุ พ่อไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าแม่เลย” ผมมองไปทางลุงพิภพที่พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เรื่องนี้ลุงจะช่วยเต็มที่ครับ ความผิดอาจจะเบาลงบ้าง เพราะคุณตั้งใจอำพรางคดีไว้ การปกปิดความผิดของผู้อื่นก็ไม่ต่างอะไรจากการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แต่ในกรณีการตายของจิตแพทย์...เรื่องนี้มันคงจะยาก”
“สารเลวอย่างนั้นมันก็สมควรตายแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
ผมบีบมือพ่ออีกครั้ง ท่านหันมามองแล้วยกมือลูบหัวผม “มันก็ไม่ต่างจากฆาตกร ใช้วิชาชีพในทางที่ผิด ถ้าเกิดลูกชายของผมเป็นอะไรไป ทั้งชีวิตของมันก็ยังไม่พอ”
“ไม่ว่าจะเป็นใคร เราก็ไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์ไปตัดสินว่าเขาควรตายหรือไม่ควรตาย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่” อากงพูดขึ้น “เขามีความผิดจริง แต่คุณก็น่าจะปล่อยให้กฎหมายจัดการกับเขา”
“ผมให้อภัยมันไม่ได้หรอกครับ”
ผมไม่ได้รู้สึกกลัวพ่อเลย แม้จะรู้ว่าพ่อใจร้ายถึงขนาดคร่าชีวิตใครได้ แต่นั่น...ก็ไม่ใช่เพราะความคึกคะนอง เหตุผลคงมีอยู่เต็มไปหมด แต่คงมีไม่เพียงพอสำหรับหลักมนุษยธรรม พ่อคงให้อภัยจิตแพทย์คนนั้นไม่ได้จริงๆ ...ผมรู้ว่าผิดที่พรากชีวิตไปจากคนอื่น แต่ผมก็ยังรู้สึกรักและเคารพเขาเหมือนเดิม
“เอาเป็นว่า...ตามหลักแล้วถ้ารับสารภาพก็คงจะลดหย่อนโทษได้ และผมก็จะช่วยคุณสู้คดีให้โทษหนักกลายเป็นเบา และอีกเรื่องที่พวกเราสืบรู้ว่าเรื่องการปรับเปลี่ยนความทรงจำของคุณชงโค มีคนที่อยู่เบื้องหลัง” ลุงพิภพพูด
“พวกเราสงสัยเจ้าทุกข์ที่แจ้งความว่าสามีเธอหายตัวไปน่ะครับ เธอเคยมาคุยกับพ่อเรื่องการตายของคุณน้า เธอบอกว่าคุณลุงโกหกเธอว่าสามีเธอหนีไปกับคุณน้า คุณลุงโกหกเธอจริงรึเปล่าครับ”
“จริง”
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ภรรยาของพ่อแท้ๆ คงเกลียดผมมาก และคงเกลียดพ่อมากด้วย เธอคงไม่ให้อภัยพวกเรา แล้วบิ้วล่ะ...บิ้วรู้เรื่องนี้ไหม แล้วถ้ารู้บิ้วจะเกลียดผมเหมือนที่แม่ของบิ้วเกลียดรึเปล่า...
พวกเราจะยัง...เป็นครอบครัวที่ดีต่อกันได้ไหมนะ
“เราจะสู้คดีกันนะครับ คุณไว้ใจผมได้ เพราะตอนนี้เจ้าทุกข์ หรือก็คือภรรยาของพี่ชายฝาแฝดของคุณเขาเริ่มดำเนินเรื่องแล้ว...”
“ผมรู้ครับว่าเธอเป็นคนทำ เพราะเมื่อปลายเดือนก่อน...เธอให้คนขุดศพของพี่ชายผมไปทำพิธีทางศาสนาเรียบร้อยแล้ว และเธอบอกว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ก็ทำเท่าที่ทำได้เถอะครับ ให้เป็นไปตามที่มันสมควรจะเป็น ผมยอมรับทุกอย่าง ขอบคุณที่จะช่วยเป็นธุระให้นะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ต้องขอโทษคุณด้วยที่เข้าใจผิดคุณมาหลายปี คอยกีดกันคุณหลายทาง บอกให้คุณชงโคออกห่างจากคุณเพื่อความปลอดภัย...ผมละอายใจจริงๆ ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ”
ทั้งพ่อและลุงพิภพจับมือกัน ผมหันมองอากงที่ได้แต่ยักคิ้วมาให้ด้วยมาดนิ่งๆ
“คนที่ทำผิดไม่ว่าจะเป็นใครก็หนีกฎหมายบ้านเมืองไปไม่พ้น ผิดน้อยผิดมาก แต่ยังไงก็คือผิด ผมจะให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย คุณไม่ต้องกังวลไป ยังไงเราก็ดองกันอยู่แล้ว หลานชายผมเขาคงไม่อยากเห็นแฟนเขาร้องไห้เพราะพ่อต้องติดคุกนานๆ หรอก ส่วนเรื่องรูปคดีการตายของจิตแพทย์ รบกวนคุณทำแผนประกอบคดีด้วยนะครับ สาเหตุที่ทำให้รถคันนั้นเกิดอุบัติเหตุจนทำให้เจ้าของถึงแก่ความตาย ผมต้องการข้อมูลโดยละเอียด” อากงพูดเสียงเรียบ
ผมยิ้มให้กำลังใจกับพ่อที่ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน ไม่อยากเห็นท่านเครียดอีกแล้ว พวกเราควรจะมีความสุขกันสักทีนะครับ
“ได้ครับ ยังไงถ้าผมต้องเข้าไปชดใช้ความผิดในคุก ก็ขอฝากลูกชายผมให้พวกคุณดูแลด้วย”
“แน่นอนครับ คุณชงโคก็เหมือนลูกเหมือนหลานของผม คุณวางใจได้เลยครับ”
แม้จะรู้สึกเสียใจที่สุดท้ายเรื่องจะเป็นอย่างนี้ แต่มันก็ไม่ได้แย่ไปหมดหรอกครับ...เพราะพ่อไม่ได้ไปไหนไกลจากผม ถ้าหากพ้นผิดแล้ว...เราก็จะกลับมาอยู่ด้วยกัน ไม่พรากจากกันไปอีก
.
.
.
ผมกลับมาถึงที่บ้านพร้อมพ่อกับบิ้วที่รออยู่ร้านกาแฟชั้นแรกของตึกเพราะเห็นว่าพวกผู้ใหญ่มีเรื่องจะคุยกันเลยไม่อยากเข้าไปรบกวน บิ้วเอาใจใส่ผมมาก พอรู้ว่าเราเป็นพี่น้องกันก็เรียกผมว่าพี่ตลอดเลย แม้ว่าผมจะเกิดก่อนแค่หนึ่งเดือนก็ตาม
กลับมาบ้านใหญ่ บรรยากาศเงียบเหงา ไม่ต่างจากตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ผมเพิ่งรู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในบ้านไม่อบอวลไปด้วยความอบอุ่นเหมือนอย่างบ้านของพี่ทอง มันกลับให้ความรู้สึกอ้างว้าง แม้จะมีพี่ๆ ป้าๆ ที่เป็นแม่บ้านทำความสะอาด แม่ครัวพ่อครัว หรือแม้แต่คนสวน คนขับรถออกมาให้การต้อนรับ แต่ผมกลับรู้สึกไม่ค่อยดีเลย
ผมจับมือพ่อไว้ ในขณะที่ท่านพาเดินขึ้นบันไดมาที่ห้องนอนของผม ห้องนอนที่ถูกปล่อยร้างมานานแล้วตั้งแต่ที่ผมย้ายไปอยู่เรือนไทย
แต่พอเปิดประตูเข้าไป ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด พ่อคงให้คนมาทำความสะอาดไว้ให้แล้ว แม้ว่าม่านหน้าต่างจะถูกปิดไว้ แต่ก็ยังจำได้ว่าอะไรอยู่มุมไหน
อ่า...นั่นมันอะไร
น่าตกใจจริงๆ รู้สึกไม่ดีเลย ทำไมรูปของผมถูกกรีดเละอย่างนี้ พ่อมองรูปของผม ไล้มือไปตามรอยกรีด ผมหันมองหน้าท่าน ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโทรศัพท์มือถือกำลังสั่นและส่งเสียงร้องอยู่ในกางเกง ผมล้วงมือเข้าไปหยิบขึ้นมากดรับสาย
“ครับเฮีย ผมถึงบ้านแล้ว”
(รู้สึกเป็นยังไงบ้าง ทุกคนโอเคไหม)
“โอเคครับ แต่ไม่รู้ใครมากรีดรูปของผม เห็นแล้วรู้สึกไม่ดีเลย”
(มีเด็กมือซนรึเปล่า)
“ในบ้านผมไม่มีเด็กนะ”
(งั้นเหรอ ไม่ต้องคิดมากหรอก คิดถึงเฮียป่ะ)
“คิดถึงมาก”
(ปากหวานเนอะ ไว้พรุ่งนี้จะไปหานะจ้ะที่รัก)
“ครับ”
ผมยิ้มน้อยๆ กับคำว่าที่รักที่เขาพูดมันจนชินปาก แต่ฟังทีไรก็ไม่ชินหู ผมเดินไปใกล้ๆ หน้าต่าง กำลังจะรูดม่านเปปิดออก เสียงพ่อก็ตะโกนก้อง เรียกชื่อผมดังลั่น ก่อนท่านจะวิ่งเข้ามา พร้อมกับใครอีกคนที่ก็พุ่งมาอีกทาง ผมมองพ่ออย่างตกใจ แล้วหันหลังกลับไปมองข้างหลังตัวเอง เสียงสวบดังขึ้นใกล้หู เสียงพี่ทองร้องเรียกดังจากมือถือที่กำลังถือค้างไว้ มีดปลายแหลมปักทะลุอกของพ่อที่ผมรัก มาจนถึงข้างหลัง เสียงหัวเราะแหลมสูงดังกึกก้องคละเคล้าไปกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดทรมานของพ่อ ใบหน้าของผู้หญิงผู้ให้กำเนิดน้องชายต่างแม่ แววตาวิกลจริตที่ฉายฉัดออกมา
“พ่อ...พ่อครับ”
(ชงโค เกิดอะไรขึ้น! บอกเฮียมา เสียงอะไร บอกเฮียมาเร็วๆ เข้า)
“เฮีย...พ่อ...พ่อถูกแทง ผม...ผมจะทำยังไงดี”
(ใจเย็นๆ ไว้ ใจเย็นๆ เฮียจะรีบไปหา จะรีบไปให้เร็วที่สุด ชงโคดูพ่อไว้นะ ดูไว้ ห้ามเป็นอะไรไปเด็ดขาด เข้าใจไหม!)
“จะไม่เป็นไรใช่ไหม เฮียจะรีบมาใช่ไหม รีบมานะ...รีบมา ช่วยพ่อผมด้วย”
(ครับ ทุกอย่างต้องไม่เป็นไร)
พี่ทองวางสายไปแล้ว ผมปล่อยมือถือให้ตกลงบนพื้น ก่อนจะพยุงพ่อไว้
เอาตัวเข้ามาบังผมไว้ทำไม...ทำไมต้องมาปกป้องคนอย่างผมไว้ตลอดเลย...
“ชงโค...หนีไปลูก หนีไป”
“ไม่...ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมจะอยู่กับพ่อ...อย่าไล่ผม อย่าไล่...”
ผมจับมือที่เปื้อนเลือดของพ่อไว้ ส่วนมืออีกข้างของพ่อยึดจับด้ามมีดไว้แน่น
“ปล่อยนะ! ฉันจะฆ่ามัน จะฆ่าเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้หญิงน่ารังเกียจนั่น! ปล่อยนะ! ปล่อย! ไอ้บ้า!”
“ให้ทุกอย่างจบลงที่ผม ...จบลงตรงนี้ก็พอ อย่าทำอะไรชงโค เด็กไม่มีความผิดอะไร ความผิดที่ผู้ใหญ่เป็นคนก่อ อย่าเอาไปลงที่เด็ก” เสียงของพ่อแผ่วเบา แต่ก็มั่นคง
“แม่! ไม่นะ! นั่นแม่ทำอะไร! ตำรวจ...ผม...ผมต้องแจ้งตำรวจ แต่...ใครจะตามรถพยาบาลล่ะ ใครล่ะ มีใครอยู่ข้างล่างบ้าง! ขึ้นมาข้างบนที!” บิ้วทำหน้าตกใจสุดขีด มองแม่ตัวเองด้วยสายตาผิดหวัง ก่อนจะมองมาที่ผมกับพ่อ
“แม่ทำร้ายพวกเขาทำไม ...ใจร้าย แม่ใจร้าย!”
“พวกมันทำก่อน! พวกมันฆ่าพ่อของลูก ทำลายครอบครัวของเรา แล้วบิ้วจะมาว่าแม่ใจร้ายได้ยังไง พวกมันต่างหากที่ใจร้าย!”
“ที่เราไม่ลำบาก ที่เราไม่ถูกจับไปขายเพราะพ่อสร้างหนี้ไว้มากมาย ก็เพราะพวกเขาที่คอยช่วยเหลือไม่ใช่เหรอครับแม่ พวกเขาให้ชีวิตใหม่กับเรา แล้วทำไมแม่ต้องเอาทุกอย่างไปลงที่พ่อกับชงโคด้วย คนที่ฆ่าพ่อของผม ไม่ใช่คนๆ นี้สักหน่อย! แล้วแม่ทำร้ายเขาได้ยังไง แม่บ้าไปแล้วเหรอ!”
“ใช่ ฉันมันบ้า! แกแจ้งตำรวจมาจับฉันเลยสิ! ไปเลย!”
ผมเบือนสายตาจากใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาของบิ้ว เลื่อนมองคุณน้า ก่อนจะมองพ่อที่ยังคงนอนหายใจโรยรินอยู่ในอ้อมแขนของผม
“ถึงพ่อจะตาย...ก็ไม่ใช่ความผิดของใคร ลูกต้องอยู่ต่อไปให้ได้นะ อยู่พบเจอความสุขอีกมากมายบนโลกใบนี้ อุตส่าห์หายแล้วแท้ๆ แต่พ่อก็ยังทำให้ลูกต้องมีความทรงจำที่ไม่ดีอีก”
“พ่อ...จะเป็นความทรงจำที่ดีของผม...จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป คราวนี้ผมจะไม่ลืมอีก จะอยู่กับมันให้ได้ เพราะฉะนั้น...พ่อก็ต้องอยู่กับผมนะครับ ผมอยากให้มีใครสักคน...อยู่กับผมในวันที่ผมประสบความสำเร็จในชีวิต เราจะถ่ายรูปในวันรับปริญญาด้วยกัน แต่ผมคงจะไม่แต่งงานมีลูกหรอกนะครับพ่อ...พ่ออาจจะต้องผิดหวังเรื่องนี้สักหน่อยนะ เพราะแฟนของผมเป็นผู้ชาย”
เมื่อไหร่รถพยาบาลจะมา เมื่อกี้เห็นมีใครสักคนร้องบอกว่าจะตามรถพยาบาลมาแล้ว แต่มันก็นานเหลือเกินในความรู้สึกของผม เลือดยังคงไหลออกจากบาดแผลไม่หยุด ถึงอย่างนั้นพ่อก็ยังส่งยิ้มมาให้ แม้สีหน้าจะไร้สีเลือดแค่ไหน ท่านก็ยังคงดูดีไม่เปลี่ยน...
ทำไม...ความสุข...ถึงไม่เคยมาถึงตัวผมสักทีเลยนะ
“ไม่เป็นไร...แค่ลูกรักเขา และเขาก็รักและดูแลลูกของพ่อได้ แค่นั้นก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว อย่ากังวลกับเรื่องของพ่อเลยนะ ร้องไห้ได้ แต่สักวันลูกต้องยิ้ม พ่อจะได้สบายใจ ไม่ต้องมีห่วงอะไรอีก”
ผมพยายามเช็ดน้ำตา เพื่อจะมองหน้าของพ่อได้ชัดๆ ใบหน้าของผู้ชายที่คอยปกป้องผมมาตลอด ความทรงจำตั้งแต่ยังเด็กจนถึงตอนนี้ ผมจำได้ดีว่าพ่อคอยเป็นห่วงผมอยู่เสมอ ผมหกล้มพ่อก็จะคอยทำแผลให้ โดนเพื่อนแกล้ง พ่อก็คอยปลอบ ผมดื้อ ผมงอแงแค่ไหน พ่อก็ไม่เคยบ่นเลย ผมจะหา...ผู้ชายที่รักผมได้มากเท่าชีวิตอย่างที่ผู้ชายคนนี้รักผมได้อีกรึเปล่านะ
“พ่อรักชงโคนะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย”
เสียงลมหายใจแผ่วเบาลงทุกที ร่างกายของพ่อกระตุกเป็นพักๆ อยู่ในอ้อมแขนของผม มีเลือดไหลซึมออกตามมุมปาก น้ำใสๆ ไหลลงอาบแก้มของพ่อทีละหยด
“ผมสัญญา...อย่าห่วงผมเลยครับพ่อ ผมจะมีความสุข จะใช้ชีวิตในแต่ละวันของผมให้เต็มที่ จะดูแลตัวเองให้ดี ผมขอโทษ...ขอโทษที่ตลอดหลายปี ผมเป็นลูกที่ไม่ดีเลย”
ผมเสียดายตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เสียดายที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน สร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกันให้มากกว่านี้ เสียดายมากจริงๆ
“ผมรักพ่อครับ”
รอยยิ้มของพ่อ...จะเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต แม้ตอนนี้แขนที่เคยโอบกอดผมไว้อย่างอ่อนโยนจะตกลงข้างตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง ผมก็จะไม่ลืมความอบอุ่นที่ได้รับ และทุกสิ่งที่อย่างที่เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้...ผมก็จะไม่มีวันลืมเช่นกัน
หลับให้สบายนะครับพ่อ...ไม่ต้องห่วงผมแล้ว แม้ในวันนี้ผมจะร้องไห้ แต่ในอีกหลายๆ วันต่อจากนี้ ผมจะยิ้มให้ได้ ยิ้มให้ได้อย่างที่พ่อต้องการ
“ชงโค...” เสียงเรียกของพี่ทองทำให้ผมหันไปมอง เขาเข้ามาใกล้ คุกเข้าลงข้างตัวผม แล้วยกมือขึ้นโอบรอบคอผมไว้จากข้างหลัง ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมตัวแม่ของบิ้วที่กำลังถูกบิ้วกอดรัดไว้แน่นเพื่อไม่ให้เข้ามาทำร้ายผม
“พ่อไปแล้วครับเฮีย...”
“ร้องออกมา...ร้องออกมาให้พอ” จากที่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ ผมก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง พี่ทองพิงศีรษะกับศีรษะของผม เสียงทุ้มของเขาพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “เฮียอยู่ตรงนี้แล้ว”
เขาไม่ได้เช็ดน้ำตาให้ผม ทำเพียงแค่กอดผมไว้เท่านั้น ความเสียใจและความเศร้าใจนี้...อีกนานแค่ไหนกันมันถึงจะหายไป
ผม...สูญเสียคนสำคัญไปอีกคนแล้ว
“พ่อครับ...ผมจะดูแลลูกชายของพ่อให้เอง พ่อไม่ต้องห่วงแล้วนะ ผมไม่สัญญาหรอกว่าจะไม่ทำให้เขาร้องไห้ เพราะเอาเข้าจริงผมก็เป็นแค่คนโง่ที่กำลังพยายามทำความเข้าใจกับความรัก แต่ผมสัญญานะว่าผมจะทำให้ลูกชายของพ่อยิ้มให้มากกว่าร้องไห้ ทำให้เขามีความสุขมากกว่าทุกข์ใจ เป็นคำสัญญาจากลูกผู้ชายอย่างผม ที่มั่นใจว่าจะอยู่กับลูกชายของพ่อไปตลอดชีวิต”
พ่อได้ยินใช่ไหมครับ...เพราะฉะนั้น...ไปสู่ภพภูมิที่ดีนะครับพ่อ
ลาก่อนครับ...
......................................................To be continue...................................................
มีพบก็ต้องมีจากค่ะ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง คนที่เรารักต่างต้องจากไป มีชีวิตอยู่ให้เต็มที่ค่ะ จะได้ไม่รู้สึกเสียใจในภายหลังว่ายังไม่ได้ทำอะไรดีๆ อีกหลายอย่าง
แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ
ขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็น ทุกๆ กำลังใจ และทุกๆ คนที่ยังคงติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
http://ask.fm/TCHONG_K < ถามได้ค่ะ