ตอนที่ 2โจวพอล “กาแฟ! เช้ากินแค่นั้นน่ะนะ มิน่าตัวถึงมีอยู่แค่นั้น ไม่ต่างจากแต่ก่อนเลย” ผมมองตามร่างเล็กในชุดสูทสีดำพอดีตัว ที่เพิ่งเดินออกจากร้านกาแฟแบรนด์ดัง โดยมีกาแฟเพียงแก้วเดียวถือติดมือออกมา ก่อนผมจะสะกดรอยตามคนตรงหน้าไปห่างๆ และเลือกที่จะไม่เข้าใกล้จนอีกฝ่ายรู้ตัว
เจินฝูหรงหรือที่ใครต่อใครเรียกว่า ‘ฝูหรง’ และเป็นคนเดียวกับคนที่ผมเคยมอบฉายาอันแสนเหมาะเจาะให้กับเจ้าตัวว่า ‘กระต่ายน้อย’ ด้วยผิวที่ขาวไร้ตำหนิดังขนกระต่ายตัวขาวปลอด และยามลูบไล้ก็ให้สัมผัสนุ่มมือ โดยเฉพาะพวงแก้มใสที่ไม่ได้มีดีแค่ความนุ่ม แต่ยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆพาติดใจยามใกล้ชิดเสมอ
ส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้ฝูหรงได้ฉายากระต่ายน้อยจากผมคือ ดวงตากลมโตอันเป็นคุณลักษณะเด่นประจำตัว ที่สำคัญดวงตาคู่นั้นมักจะจับจ้องมาเพียงผมด้วยความชื่นชม พร้อมถ่ายทอดอารมณ์ของเจ้าของตามช่วงเวลานั้นๆ อย่างไม่ปิดบังความรู้สึก ด้วยยามดีใจดวงตาคู่นั้นมักทอประกายระยิบระยับจับตา เหมือนว่ามีดาวนับพันส่องแสงอยู่ภายใน พาให้คนมองกระตือรือร้นที่จะทำทุกอย่างให้แววตาคู่ดังกล่าวคงอยู่นานเท่านาน แต่ยามเศร้าเสียใจดวงตาคู่เดียวกันนี้ กลับแดงก่ำและเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ทำให้คนที่ได้เห็นหดหู่พาลเจ็บปวดแทบขาดใจ และพร้อมที่จะทำทุกอย่างเช่นกัน เพื่อให้แววตาเศร้าๆนั้นจางหายให้เร็วที่สุด และทั้งหมดทั้งมวลที่ประกอบเป็นกระต่ายน้อยตัวนี้นั้น ทำผมไม่มีวันลืมจนถึงทุกวันนี้
ผมรู้จักกับฝูหรงช่วงที่ผมเรียนอยู่เกรดสิบสอง โดยที่ฝูหรงย้ายมาอยู่กับป้าที่คอนโดเดียวกับที่ปาปาซื้อไว้ให้ผม หลังจากพ่อแม่ฝูหรงเสียชีวิตจากเครื่องบินตก ส่วนเหตุการณ์ครั้งแรกที่ทำให้เราเจอกันนั้นเกิดขึ้นในลิฟต์ของคอนโด ระหว่างที่ผมหอบกระเป๋าหอบถุงข้าวของที่เพิ่งซื้อมา เตรียมเดินเข้าลิฟต์เพื่อขึ้นห้องตัวเอง ฝูหรงก็กระโจนพรวดออกมาแบบไม่ดูทาง จนมาชนผมทำให้ข้าวของตกกระจายเกลื่อนพื้น
ผมจำนาทีนั้นได้ไม่มีวันลืม นาทีที่เงยหน้าขึ้นสบตากลมโตที่แดงก่ำ และฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตา ฝูหรงยามนั้นทำให้ผมนึกถึงกระต่ายน้อยตาแดงขึ้นมา หลังจากต่างฝ่ายต่างหายจากอาการตกตะลึง ผมก็ได้กระต่ายน้อยตาแดงช่วยเก็บของ และช่วยขนของขึ้นมาส่งให้ถึงห้อง โดยที่ถูกผมอ้างถึงความผิดที่เดินไม่ดูทาง และให้กระต่ายน้อยได้ชดเชยในความผิดที่ก่อไว้
เมื่อขึ้นมาถึงห้องผมก็ยื้อเวลา ด้วยการหลอกถามชื่อถามเลขห้องพัก กระต่ายน้อยแสนซื่อก็ตอบแบบไม่มีหมกเม็ด คุยไปคุยมาเรากลับสนิทกันได้เร็วอย่างน่าประหลาด อาจจะเป็นเพราะผมถูกชะตาตั้งแต่แรกพบ ถูกใจในความขี้อาย และติดใจในแววตาเศร้าๆพาใจหายนั่นก็ได้ ทำให้โจวพอลที่ใครๆพาต่างกันพูดถึงว่าเป็นผู้ชายที่เข้าถึงยาก ไม่เปิดโอกาสให้ใครง่ายๆนอกจากเพื่อนสนิท ยอมที่จะเป็นคนสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก
วันนั้นผมจึงได้รู้ช่วงชีวิตที่แสนเศร้าของกระต่ายน้อยตาแดงของผม ทำให้ผมนึกเห็นใจและเอ็นดูในตัวเพื่อนคนใหม่มากเป็นพิเศษ จนเราสนิทกันเพราะฝูหรงมาหาผมที่ห้องบ่อยๆ บวกกับเจ้าตัวเพิ่งย้ายโรงเรียนด้วย จึงไม่มีเพื่อนในเมืองนี้สักคน ด้วยฝูหรงคงยึดผมเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในฮ่องกง
ช่วงนั้นผมแทบไม่กลับบ้าน ได้แต่อ้างกับปาปามามาว่าติดทำรายงานติดเรียนไปตามเรื่อง ที่ไหนได้ผมใช้เวลาเหล่านั้นกับฝูหรงต่างหาก ส่วนกับเพื่อนสนิทในกลุ่ม พวกมันก็ได้แต่สงสัยที่ผมไม่ค่อยเข้ากลุ่มยามว่างเหมือนปกติที่เคยเป็น แต่มันก็แค่ถามด้วยความเป็นห่วงไม่มีก้าวก่ายให้ลำบากใจ ทำให้ในตอนนั้นทั้งหลี่ผิง โจเซฟ และไรอัน ไม่มีใครรู้จักฝูหรงสักคน
ส่วนสถานะของผมกับฝูหรงในช่วงสี่เดือนมันก้ำกึ่งระหว่างเพื่อนสนิทและคนรู้ใจ ด้วยเราต่างไม่มีใครเอ่ยถึงสถานะให้ชัดเจน แต่พฤติกรรมที่เราปฏิบัติต่อกันไม่ต่างจากการที่คนรักเค้าทำให้กันเลย เพราะคงไม่มีเพื่อนผู้ชายคนไหนที่ผมจะคอยเป็นห่วง คอยตามดูแลอย่างใกล้ชิดเท่าที่ทำกับฝูหรง และผมก็ไม่เคยคิดพิศวาสเพื่อนผู้ชายหน้าไหน ถึงขั้นเข้านัวเนียอยากจะหอมจะจูบยามได้ใกล้ชิด หรือแม้แต่การนอนกอดกันยามค่ำคืนจนตื่นมาด้วยกันยามเช้า
ตลอดสี่เดือนที่เราไม่เคยระบุสถานะระหว่างกันให้ชัดเจนนั้น ผมไม่เคยมีอะไรเกินเลยกับฝูหรง นอกจากการกระทำที่เล่าไปเลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยทำ และทำให้ผมเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้ คือการที่ผมไม่เคยบอกรักฝูหรงสักครั้ง อาจจะเป็นเพราะช่วงวัยที่ทำให้ตัวเองสับสนและไม่มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองมากนัก แม้ตอนนั้นความรู้สึกของผมจะใกล้เคียงกับคำว่ารักมากที่สุดแล้วก็ตาม
หากผมรู้ว่าการที่ผมไม่พูดไม่บอกความรู้สึกนี้แก่ฝูหรง จะนำมาซึ่งความเสียใจและการพลัดพรากล่ะก็ ผมจะไม่มีวันลังเลเป็นคนปากหนักเด็ดขาด ด้วยมันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องสูญเสียคนที่ผมคิดว่ารักไป
ด้วยวันหนึ่งอยู่ๆฝูหรงก็หายไปจากชีวิตของผม เรียกได้ว่าวันนั้นผมมองไปทางไหนก็มืดมนพาลหดหู่ไปหมด ด้วยตามหากระต่ายน้อยแสนรักไม่เจอ ทั้งที่คอนโดและที่โรงเรียนของฝูหรง เหมือนว่าอยู่ๆฝูหรงก็หายตัวไปไม่ทิ้งร่องรอยอะไรให้ผมติดตามได้เลย กึ่งๆเค้าไม่เคยมีตัวตนในช่วงสี่เดือนนั้นเลยด้วยซ้ำ เพราะข้าวของในห้องคอนโดที่ฝูหรงอยู่กับป้านั้น ถูกย้ายออกจนห้องว่างโล่ง ไม่มีเศษกระดาษเหลือสักชิ้นหรือแม้แต่ร่องรอยว่าเคยมีคนอาศัยอยู่
ส่วนที่โรงเรียนก็ไม่มีข้อมูลอะไรให้ผมมากนัก ด้วยฝูหรงเป็นเด็กที่จบการศึกษาเกรดสิบสองและต้องต่อระดับมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เด็กที่ต้องเรียนต่อในโรงเรียนปีต่อไป แถมใบจบเจ้าตัวก็รับไปในวันจบการศึกษาแล้วด้วย และที่สำคัญเพื่อนๆในโรงเรียนก็ไม่มีใครสนิทกับฝูหรงเลยสักคน หนักถึงขั้นบางคนไม่รู้จักว่าฝูหรงหน้าตาเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ
ผมเสียหลักและแอบเสียใจอยู่เงียบๆคนเดียว ด้วยไม่เคยมีใครรู้จักฝูหรงมาก่อน ผมจึงไม่รู้จะไประบายกับใคร ด้วยคิดว่าคงไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกผมในยามนั้นได้เลย พาลคิดไปเองด้วยซ้ำว่าฝูหรงไม่มีตัวตนบนโลกมนุษย์ และอาจจะเป็นเทวดาแปลงร่างลงมาเล่นกับความรู้สึกของผม เพื่อลงโทษและสั่งสอนผู้ชายเจ้าชู้ที่ไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนที่ควงด้วย ให้รู้จักคำว่าเสียใจเหมือนอย่างที่บรรดาคู่ควงของผมได้รับดูบ้าง
เมื่อวานช่วงเวลาที่ผมได้เจอเจินฝูหรงอีกครั้ง มันจึงไม่ต่างจากการที่ผมได้ของล้ำค่าที่ทำหายไปกลับคืน แต่ฝูหรงคงไม่คิดแบบผม เพราะทั้งท่าทาง สายตา และคำพูดเหมือนไม่ใช่ฝูหรงคนเดิม นอกจากเสี้ยวนาทีนั้นที่เราอยู่บนรถด้วยกัน นาทีที่ผมบอกว่า ‘คิดถึง’ ผมได้เห็นแววตาห่วงหาจากกระต่ายน้อยตัวเดิมของผม
แต่หลังจากนั้นไม่ถึงนาที ฝูหรงได้กลายเป็นฝูหรงคนใหม่ที่มีแต่ความเฉยชา และแสดงอาการไม่แยแสใส่ผม ซึ่งสำหรับผมแล้วความห่วงหาเพียงชั่วแวบก็เพียงพอแล้ว ที่ทำให้ผมอยากจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้กระต่ายน้อยตัวเดิมของผมคืนมา และค้นหาความจริงว่าเพราะอะไรถึงทำให้ฝูหรงหนีผมไปเมื่อห้าปีก่อน
วันนี้ผมจึงเริ่มจากการเป็นสโตกเกอร์ตามติดชีวิตยามเช้าของฝูหรง และผมก็ต้องขัดใจจนได้ เมื่อกระต่ายน้อยตากลมของผมถูกไอ้ตี๋หน้าจืดบนรถไฟฟ้าเข้ามาตีสนิทด้วย และดูจากท่าทางแล้วคนของผมไม่มีทีท่ารู้ตัวสักนิดว่าตัวเองกำลังโดนจีบ ด้วยมุขเกลื่อนๆอย่างการแกล้งชน ก่อนจะหาเรื่องชวนคุยไปเรื่อย แถมช่วงเช้ายามชั่วโมงเร่งรีบแบบนี้ไอ้หน้าจืดนั่น มันยังถือโอกาสค้ากำไรด้วยการเบียดตัวเข้าหาฝูหรงด้วย
ฝูหรงเองหลังจากหันไปโบกมือและเอ่ยปากพร้อมส่งยิ้มว่าไม่ถือโทษแล้ว เจ้าตัวก็หันหน้าหนีและขยับตัวเข้าหาผนังโบกี้ แต่กลับเป็นการเปิดโอกาสให้ไอ้นั่นประชิดตัวแนบไปกับแผ่นหลัง ผมขยับตัวแทรกผ่านผู้คนที่อัดแน่นในขบวนรถไฟฟ้าอย่างยากลำบาก และเริ่มหงุดหงิดที่ไม่สามารถไปถึงคนของตัวเองอย่างใจคิด ซึ่งผมก็แทบอยากตะโกนด้วยความโกรธอย่างที่สุด ด้วยเห็นฝูหรงสะดุ้งโหยง และหันกลับมามองไอ้นั่นด้วยใบหน้าตื่นๆ ผมเดาว่าไอ้หน้าจืดโรคจิตคงลวนลามคนของผมเข้าแล้ว
“โอ๊ยย!! ทำอะไร...โอ๊ยยยยย ปล่อยๆ” ‘ยังมีหน้าหันตะคอกใส่กูอีกรึ’ ผมจึงลงแรงบิดข้อมือมันเพิ่มขึ้น เป็นไปได้ผมอยากจะหักข้อมือมันซะเดี๋ยวนี้ แต่เสียงเรียกชื่อผมที่ดังข้างตัวด้วยเสียงตื่นๆทำให้ผมคลายแรงลง เป็นจังหวะที่ประตูรถไฟฟ้าเปิดเมื่อถึงสถานีพอดี ไอ้โรคจิตมันจึงได้โอกาสสะบัดตัว และเดินหนีออกไปจากขบวนรถไฟฟ้า
“พอล!...ไม่ต้องตาม ปล่อยไปเถอะ” ผมสบตากลมโตภายใต้แว่นสายตาอันโตที่ยังมีแววตื่นตระหนกอย่างเงียบๆ ก่อนจะโอบร่างเล็กเข้าหาอกและขยับตัวเราทั้งคู่เข้าหาผนังโบกี้ เมื่อมีผู้โดยสารตรงสถานีที่รถไฟฟ้าจอดทยอยเดินเข้ามา โดยให้แผ่นหลังบางชนเข้ากับผนัง และใช้ตัวผมปิดกั้นฝูหรงออกจากทุกคน
ผมจึงได้โอกาสกอดฝูหรงโดยที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสโวยวาย จนร่างเล็กๆแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกับร่างผม สัมผัสอบอุ่นและกลิ่นหอมอ่อนๆที่คุ้นเคย ทำให้ผมเผลอสูดดมกลุ่มผมนุ่มๆไปหลายฟอด และเผลอไล้ปลายนิ้วสอดผ่านปกบริเวณคอเสื้อ เพื่อสัมผัสผิวอ่อนของต้นคอขาวๆอย่างเพลิดเพลิน ฝูหรงเองก็ได้แต่ยืนนิ่งและฝังใบหน้าเข้าหาอกผมไม่มีขยับ
จนกระทั่งถึงสถานีที่ใกล้กับโรงแรมสาขาหลักของตระกูลหวางหย่งกัง สถานที่ทำงานของกระต่ายน้อยของผม ฝูหรงเริ่มขยับตัวและใช้มือดันอกผมออก ก่อนพยายามเงยหน้ามาส่งสายตาเขียวๆใส่ผม ทั้งๆที่แก้มใสแดงก่ำอย่างน่ามอง
“ปล่อย จะลง” ผมจึงได้แต่คลายอ้อมกอดอย่างแสนเสียดาย ก่อนจะเดินตามหลังร่างเล็กออกนอกขบวน
ระหว่างที่ผมเดินตามฝูหรงมาเรื่อยๆ จนเกือบจะออกจากสถานี ร่างเล็กๆที่เดินนำมาตลอดทาง และดูเหมือนว่าเจ้าตัวไม่รับรู้ถึงการคงอยู่ของผม อยู่ๆก็หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากัน ด้วยใบหน้านิ่งสนิทติดเย็นชา ซึ่งทำให้ผมเกือบหยุดเท้าตัวเองไม่ทัน
“ตามมาทำไม อ๊ะ!!...หึ้ย! กอดทำไมเนี่ย” ปฏิกิริยาที่ผมได้เห็นและคำพูดต่อว่าของฝูหรง ทำให้ผมแกล้งรวบกอดร่างเล็กเข้าหาอก และทำให้ดูเหมือนว่าตัวเองชนเพราะหยุดเท้าไม่ทัน แต่ที่กอดก็เพราะไม่อยากให้เราล้มไปด้วยกันทั้งคู่เท่านั้นเอง...จริงๆนะ
ผมลอบยิ้มอย่างถูกใจกับอาการดิ้นรนพร้อมการโวยวาย ก่อนจะคลายกอดเพื่อปล่อยร่างเล็กให้เป็นอิสระ
“ใครอยากกอด ที่กอดก็แค่ไม่ให้เราล้มไปด้วยกันต่างหาก และถ้าจะโกรธต้องโกรธตัวเองนะ ที่อยู่ๆก็หยุดเดิน อ้อ! ขอแก้ความเข้าใจผิดนะครับ ไม่ได้ตาม ที่เราขึ้นขบวนเดียวกันและเดินมาทางเดียวกัน มันเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น” คงไม่ต้องบอกว่าคนตัวเล็กตรงหน้าผมจะมีอาการเช่นไร ถ้าไม่ใช่โกรธจนพูดไม่ออก ตาแข็งโป๊ก แก้มแดงจัด และริมฝีปากถูกเม้มไว้จนขาวซีด
แม้ภาพที่เห็นจะน่ามองเพียงใดและถูกใจผมมากขนาดไหน ด้วยผมไม่เคยเห็นอาการแบบนี้ของกระต่ายน้อยมาก่อนเลย แต่สถานการณ์ระหว่างเราไม่ควรเริ่มต้นด้วยความมาคุของอารมณ์โกรธเช่นนี้ จนผมล่ะอยากออกแรงสั่งสอนไอ้ปากไม่รักดีของตัวเองนัก ที่พ่นคำร้ายๆออกไปก่อนสมองจะสั่งการ แต่มันคงเป็นเพราะจิตใต้สำนึกด้วยล่ะมั้ง ที่อยากให้คนตรงหน้าหันมาให้ความสนใจกันบ้าง ไม่ว่าจะต้องทำด้วยวิธีไหนก็ตาม
“...น่ะ นาย!...หึ้ย!” ฝูหรงสบถเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวและทำท่าจะเดินจากไป แต่เจ้าตัวก็มีอันชะงักเท้า เมื่อเห็นปฏิกิริยาของผู้คนรอบตัวที่จับจ้องมาที่เราทั้งคู่ ‘ตกใจจนก้าวขาไม่ออกเลยล่ะซิ’
“ฮึๆ...ตามมานี่” หลังจากผมคว้าข้อมือของฝูหรงได้ ผมก็ก้าวนำหน้า เพื่อพากระต่ายน้อยที่แสนขี้อายไม่เปลี่ยนไปจากเดิมให้ออกเดิน หนีสายตาอยากรู้อยากเห็นรอบกาย
ผมเหลือบมองคนข้างๆก็ให้นึกสงสารปนเอ็นดู เมื่อฝูหรงเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น และได้แต่ก้าวเดินตามแรงจับจูงของผม อาการนี้เป็นฝูหรงในแบบฉบับเมื่อห้าปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยน ทำเอาผมนึกครึ้มใจที่ได้เห็นกิริยานี้อีกครั้ง ในที่สุดผมก็พาคนขี้อายมาส่งถึงหน้าโรงแรมใหญ่จนได้ แต่ดูท่าเลขาของลูกชายเจ้าของโรงแรมจะยังไม่รู้สึกตัว
“ถึงแล้ว...หาอะไรกินเพิ่มอีกหน่อยมั้ย แล้วค่อยเข้างาน” หลังจากผมใช้เสียงนุ่มๆเรียกสติฝูหรง ใบหน้าขาวๆก็เงยหน้าขึ้นสบตา และแววตาไม่มั่นใจที่ได้เห็น ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะส่งคำถามแสดงความห่วงใยออกไป แถมยังเป็นคำถามที่ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวได้เลยว่า ที่ผมปฏิเสธไปก่อนหน้าว่าผมไม่ได้ตามเจ้าตัวมานั้น ผมโกหก!
แต่ฝูหรงยามนี้ที่เพิ่งได้สติ กลับไม่สะดุดหูในคำพูดของผมสักนิด เพราะเจ้าตัวทำเพียงบิดข้อมือออกจากอุ้งมือ และขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ยเข้าใส่ ก่อนจะหมุนตัวเดินหนีผมเข้าตึกไปดื้อๆ ผมจึงได้แต่เอามือล้วงกระเป๋าและมองตามแผ่นหลังบาง ด้วยรอยยิ้มน้อยๆจนกระทั่งร่างนั้นลับสายตา
“ตอนนี้หนีได้หนีไป แต่อย่าคิดว่าจะรอดเลยกระต่ายน้อยของพอล ฮึๆ” ผมหมุนตัวและเดินจากมา ท่ามกลางสายตาไม่ไว้วางใจของแขกที่มาพักของโรงแรมหวางหย่งกัง
เช้านี้ผมยอมยกพลกลับไปตั้งหลักใหม่ก่อนก็ได้ ในเมื่อผมรู้ทั้งที่พักและวิถีชีวิตยามเช้าก่อนเข้างานของกระต่ายน้อยแสนรักแล้ว ใยต้องกลัวอะไรอีก แถมผมยังจะได้ข้อมูลเชิงลึกของฝูหรงที่ให้นักสืบมืออาชีพที่ไว้ใจได้ไปสืบมาให้อีกด้วย งานนี้กระต่ายน้อยไม่มีทางดิ้นหลุดไปจากอุ้งมือผมเหมือนในอดีตอย่างแน่นอน แต่ข้อมูลที่ได้รับในช่วงสายจากนักสืบทำให้ผมแปลกใจ เมื่อผมได้รู้ว่าฝูหรงหนีผมไปถึงนิวยอร์ก และเพิ่งกลับมาอยู่ที่ฮ่องกงเมื่อสักห้าเดือนก่อนนี่เอง
การกลับมาครั้งนี้ฝูหรงกลับมาคนเดียวไร้วี่แววของคนเป็นป้า แถมยังมีทรัพย์สินในธนาคารจำนวนที่ว่าสามารถทำให้พวกเราเรียกว่าเศรษฐีได้เลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้ผิดไปจากฐานะของฝูหรงและป้าเมื่อห้าปีก่อนมากนัก ตอนนั้นแม้ทั้งคู่จะไม่ได้ยากจน แต่ก็มีแค่พอมีพอใช้เท่านั้น เรื่องนี้ผมรู้ดีเพราะอย่างที่บอก ช่วงเวลาสี่เดือนนั้นผมคลุกคลีกับคู่ป้าหลานมากกว่าใคร
‘ช่วงห้าปีที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เกิดอะไรขึ้นในชีวิตกระต่ายน้อยของผมกันแน่’
“ขอโทษนะครับคุณลูกค้า มีอะไรให้เราช่วยมั้ยครับ” ผมลดหนังสือพิมพ์ในมือลง ก่อนเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้วจ้องตาใส่พนักงานรักษาความปลอดภัยประจำโรงแรม
แม้ใบหน้าของผู้ชายตรงหน้าจะยิ้มแย้ม แต่สายตาจริงจังที่ใช้จับจ้องผมอย่างจับสังเกตและเฝ้าระวังนั้น บ่งบอกได้เลยว่าผมได้กลายเป็นบุคคลที่น่าสงสัยของโรงแรมหวางหย่งกังเข้าแล้ว แถมยังมีพนักงานต้อนรับทั้งหญิงและชายไม่ต่ำกว่าสามคน มองมาทางเราทั้งคู่ไม่วางตาอีกด้วย จะไม่ให้พนักงานเหล่านี้สงสัยผมได้อย่างไร ในเมื่อผมมานั่งบนโซฟาหน้าล็อบบี้โรงแรมนิ่งๆ โดยไม่มีทีท่าจะติดต่อขอเข้าพักอยู่ร่วมชั่วโมงแล้ว ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่าผมมาทำอะไรที่นี่ ถ้าไม่ใช่นั่งรอใครบางคนเลิกงาน
ผมต้องยอมรับในความเป็นมืออาชีพของพนักงานที่นี่ทุกคน ด้วยไม่คิดทำอะไรกระโตกกระตากให้แขกคนอื่นผิดสังเกต เพราะยังคงยิ้มแย้มและมีทีท่านอบน้อมให้เกียรติคนที่เป็นบุคคลน่าสงสัยอย่างผมไม่เปลี่ยน แต่หากผมเล่นตุกติกหรือทำตัวเข้าข่ายเป็นตัวอันตราย คงพร้อมเข้ารวบตัวผมอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบได้อย่างแน่นอน
“ผมมานั่งรอคนรักผมเลิกงานน่ะครับ” ผมเลือกที่จะบอกจุดประสงค์หลักของการกระทำ แทนการเปิดเผยตัวว่าผมใคร
หากบอกไปว่าผมคือ ‘โจว พอล วอร์เลนโต้’ เพื่อนสนิทของนายน้อยหวางหลี่ผิงล่ะก็ พนักงานคงจะแตกตื่นจนไม่เป็นอันทำอะไรซะมากกว่า แต่คำตอบผมกลับทำให้ได้คำถามตามมาอีกจนได้ แถมคราวนี้แววตาที่เคยจริงจังกลับเพิ่มความเข้มจ้องผมไม่กระพริบเข้าไปอีก
“ขอโทษนะครับ ใครคือคนรักของคุณ เพราะปกติโรงแรมเราจะไม่อนุญาตให้ญาติหรือคนสนิทของพนักงานมานั่งรอในส่วนของลูกค้า” ผมคงดูเป็นบุคคลที่น่าสงสัยมากในสายตาพนักงานรักษาความปลอดภัยคนนี้เข้าแล้วล่ะครับ แต่ผมเข้าใจและไม่นึกโกรธคนตรงหน้าเลย เพราะโรงแรมระดับห้าดาวเรื่องความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ
ผมตั้งใจที่จะเฉลยว่าตัวเองเป็นใครอยู่แล้วเชียว หากหางตาจะไม่เห็นฝูหรงเดินออกมาจากลิฟต์
“นั่นไงครับคนรักผม” พนักงานรักษาความปลอดภัยหันไปตามปลายนิ้วของผม ก่อนจะชะงักและหันมามองหน้าผมอย่างไม่ไว้ใจ มีก้มหัวให้ผมนิดและเดินลิ่วไปหาฝูหรง ที่ยามนี้เดินเข้ามาใกล้บริเวณล็อบบี้มากแล้ว
ผมจึงลุกขึ้นยืนมีขยับสูทนิดหน่อย ก่อนล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกง เพื่อเตรียมตั้งรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ในนาทีต่อมาผมต้องกลั้นขำให้กับสีหน้าตกใจของฝูหรง ด้วยพนักงานรักษาความปลอดภัยคงถามล่ะครับว่าได้นัดคนรักให้มารอรึเปล่า ฝูหรงหันมาทางผมด้วยใบหน้าเครียดๆแววตาโกรธขึ้งชัดเจน และหันไปส่ายหน้ากับบรรดาพนักงานที่อยู่ตรงนั้น คงบอกปฏิเสธว่าผมไม่ใช่คนรักนั่นแหละ ทำให้พนักงานรักษาความปลอดภัยคนเดิม เดินตรงมาที่ผมด้วยสีหน้าเครียดขึง ดูท่าคงตั้งใจเข้ามาลากผมออกจากโรงแรมอย่างแน่นอน แต่ผมไม่คิดจะเดือดร้อนยังคงยืนยิ้มใส่ตาคนตัวเล็กได้อยู่ แต่กลับเป็นฝูหรงเองที่เริ่มมีทีท่าลุกลี้ลุกลน ยามได้เห็นท่าทางคุกคามของพนักงานรักษาความปลอดภัยร่างยักษ์เข้า
“ขอโทษนะครับ ผมคงต้องเชิญคุณออกนอกโรงแรม” ประโยคอ่อนน้อมนี้มาพร้อมฝ่ามือที่กุมกระชับเข้าที่ท่อนแขน ผมก็ยังคงยืนยิ้มด้วยท่าทางสบายๆ และต้องยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม เมื่อคนตัวเล็กซอยเท้าเข้ามาใกล้ และหยุดยืนตรงหน้าผมด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“อ่ะ...เอ่อ พี่จางครับ ปล่อยมิสเตอร์โจวเถอะครับ” ถึงกลับพูดติดอ่างเลยเหรอกระต่ายน้อย
“ทำไมล่ะครับคุณฝูหรง ก็ไหนว่าไม่ใช่คนรักไงครับ และคุณคนนี้ก็มีพฤติกรรมน่าสงสัยด้วย นั่งอยู่ตรงนี้เป็นชั่วโมงแล้ว ผมกลัวว่าจะมาสร้างความเดือดร้อนให้โรงแรมเรา” ผิดจากที่ผมคิดที่ไหนล่ะ ว่าผมโดนสงสัยในพฤติกรรมแปลกๆเข้าแล้ว
เรื่องโดนสงสัยยังไม่น่าขายหน้าเท่ากับฝูหรงได้รู้ว่าผมมานั่งรอเค้าเป็นชั่วโมงเลย แล้วดูซินั่นดวงตากลมๆภายใต้แว่นหันมาจ้องผมอย่างแปลกใจแกมไม่เชื่อเข้าแล้ว ผมจึงแกล้งเบือนหน้าหนีและดึงแขนตัวเองออกมา ก่อนจะตีหน้าเคร่งใส่พนักงานรักษาความปลอดภัยร่างยักษ์ตรงหน้าแทน
“คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะครับพี่จาง มิสเตอร์โจวเป็นเพื่อนสนิทนายน้อยน่ะครับ ท่านคงแค่ล้อเล่น เดี๋ยวผมคุยกับมิสเตอร์โจวเอง พี่จางไปปฏิบัติหน้าที่ต่อเถอะครับ” สิ้นคำพูดของฝูหรงแล้ว พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ชื่อจางก็มีสีหน้าตกใจ ก่อนจะรับคำพร้อมก้มหัวและเดินจากไป
เมื่อเราได้เผชิญหน้ากันตรงๆตามลำพังอีกครั้ง ฝูหรงก็จ้องหน้าผมอย่างเอาเรื่อง ตากลมๆนี่เรืองแสงวาววับ จนแทบจะแผดเผาผมให้ร่างไหม้เป็นจุณได้เลย ก่อนริมฝีปากสีสดจะเผยอปล่อยถ้อยคำต่อว่าผมออกมา
“คุณว่างนักรึไงถึงมาป่วนในที่ทำงานคนอื่นอย่างนี้ หรือตั้งใจมาหานายน้อยล่ะ แต่คงเสียเที่ยวแล้วล่ะ เพราะท่านกลับไปแล้ว หึ! แต่ผมว่าคุณตั้งใจมาป่วนมากกว่าใช่มั้ย”
แม้ถ้อยคำในประโยคดังกล่าวจะเต็มไปด้วยการต่อว่าการประชดประชันและใส่ร้าย ผมดันฟังเพลินไปกับเสียงใสๆที่ห่างหายไปนาน และมองเพลินไปกับริมฝีปากแดงๆที่ขยับเจื้อยแจ้วไม่หยุด พาลคิดไปถึงรสชาติหวานๆของริมฝีปากคู่นี้ที่ผมได้ชิมไปเมื่อวาน ทำให้ผมไม่ทันตอบโต้ประโยคดังกล่าว
กลายเป็นว่าหลังจากประโยคของฝูหรง เราต่างยืนเงียบโดยที่ผมมองคนตัวเล็กกว่ายิ้มๆ คนที่โดนมองก็ยืนเม้มปากหน้าบึ้งจ้องมาที่ผมอย่างเอาเรื่อง จนอีกฝ่ายเริ่มรู้ตัวว่าอาการของเราทั้งคู่ได้รับความสนใจจากคนรอบกาย ด้วยฝูหรงมองเลิ่กลั่กไปมา และทำท่าจะเดินหนีผมออกนอกโรงแรม ล้มเลิกการเอาเรื่องผมไปดื้อๆซะแบบนั้น แต่ผมไม่ยอมหรอกอุตส่าห์นั่งรอเป็นชั่วโมง ปล่อยไปง่ายๆได้ไงล่ะ
ผมจึงปรี่เข้าไปคว้าข้อมือของคนตัวเล็ก และออกแรงลากกลับเข้าโรงแรม เพื่อเข้าไปยังส่วนของลานจอดรถที่ผมจอดรถตัวเองทิ้งไว้ ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่าฝูหรงจะขัดขืนแค่ไหน แต่ก็เป็นหลังจากหลุดพ้นจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนในโรงแรมแล้วนั่นแหละครับ
“ปล่อย! ปล่อยซิ จะลากไปไหน ฉันไม่ไปกับนายหรอกนะ” ได้ยินแบบนี้ต้องมีขู่กันบ้างแล้ว เพราะขืนเจ้าตัวดิ้นมากๆเข้าจะเจ็บตัวเอา เพราะผมไม่มีวันปล่อยมือจากกระต่ายน้อยตัวนี้ ให้ได้ไปวิ่งซุกซนหนีไปไหนได้อีกแล้ว
“หยุดดิ้น หยุดโวยวายนะฝูหรง! ยังไม่ได้คำตอบเลยไม่ใช่รึ ว่าผมมานั่งรอทำไมหรือเพราะอะไร ไปกับผมแล้วผมจะบอก” ได้ผลครับ เพราะฝูหรงหยุดดิ้นและมองมายังผมอย่างหวาดๆ ด้วยผมใช้เสียงเข้าขั้นตะคอกกับเจ้าตัว แต่พอได้เห็นแววตาสั่นๆ กลับเป็นผมเองที่อดใจหายไม่ได้
เมื่อเปิดประตูรถฝั่งคนนั่งได้ ผมก็พยุงร่างเล็กให้นั่งลง ซึ่งฝูหรงก็ว่าง่ายไม่มีขัดขืน ด้วยคงกำลังตกใจไม่หาย ผมจึงก้มตัวและชะโงกหน้าไปให้อยู่ระดับเดียวกับใบหน้าซีดๆ ก่อนจะไล้หลังมือเข้ากับข้างแก้มใส และจงใจมองเข้าไปในดวงตาโตๆของกระต่ายน้อยขี้ตื่นของผม พร้อมใช้น้ำเสียงนุ่มๆเป็นการปลอบประโลม
“กระต่ายน้อยของผม อย่าคิดหนีกันอีกเลย เพราะต่อจากนี้ผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไปไหนอีกแล้ว”
............................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะรักเค้า ห่วงเค้า คิดถึงเค้า แต่ก็รุนแรงจังเนอะพ่อโจวพอล
ตอนนี้คงพอได้รู้กันบ้างนะคะว่าสองคนมีอดีตร่วมกันอย่างไร
แต่ยังคงเป็นคำถามว่าเพราะอะไรฝูหรงถึงหนีพอลไป
ซึ่งคำตอบนั้นจะค่อยๆเปิดเผยให้รู้ พร้อมกับได้ดูไอ้ลูกครึ่งปากเสีย
ตอดเล็กตอดน้อยกระต่ายน้อยน่ารักไปด้วย งานนี้ไม่รู้ว่าพอลจะง้อได้ก่อน
หรือโดนตบจนน่วมก่อนกัน

เจอกันอีกทีวันอาทิตย์หน้านะคะ
+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตาม

ดีใจมากเลยค่ะกับการต้อนรับแสนอบอุ่นของผู้อ่านที่น่ารักที่มีให้ฝูหรงและพอล
ปล.พระเอกอาจจะดูปากจัดปากร้ายไปบ้าง ซึ่งต้องสารภาพว่าตอนแรกตั้งชื่อเรื่องคือ
“รักยุ่งๆของลูกครึ่งปากเสีย” แต่แต่งไปแต่งมาพอลดันหวานหยดขัดกับชื่อเรื่อง
จึงหักคอเปลี่ยนเอาซะเฉยๆ ขอโทษFCกระต่ายน้อยด้วยนะคะ (มีแล้วหรา 555)
ฝากติดตามตอนพิเศษ “รักต้องเคลียร์” เบสนนด้วยนะคะ
”ไปด้วยกันนะ” เป็นตอนพิเศษที่เพิ่งลงไปค่ะ
