ตอนที่ 8โจวพอล “เครื่องดื่มค่ะ” ชาร้อนในถ้วยกระเบื้องขาวเนื้อดีถูกวางลงตรงหน้าพร้อมเสียงอ่อนหวานที่ดังขึ้น
ผมละสายตาจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจรอบบ่ายและเงยหน้าขึ้น ทำให้พบกับสาวหมวยร่างบอบบางของพนักงานต้อนรับแห่งหวางหย่งกัง เป็นผู้ที่ยกชาร้อนมาให้ ผมจึงเอ่ยขอบคุณเธอเบาๆพร้อมรอยยิ้ม แต่ทำเอาเธอถึงกลับยิ้มเอียงอาย มีอาการหลบตาและแก้มแดงขึ้นมาทันที ก่อนเธอจะก้มหัวให้ผมและหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วจนขาแทบพันกัน อาการเหล่านั้นจุดรอยยิ้มขบขันบนหน้าผมได้อีกครั้ง ส่วนพนักงานต้อนรับคนอื่นๆมีใช้สายตาเมียงมอง และส่งรอยยิ้มแวะเวียนมาทักทายผมไม่ขาด ผมทำเพียงส่งยิ้มให้ตามมารยาทเท่านั้น
คุณได้รู้ได้เห็นแบบนี้แล้ว อย่าเพิ่งต่อว่ากันนะครับ ผมไม่ได้จงใจมานั่งหว่านเสน่ห์ให้สาวๆเหล่านี้ รวมถึงตี๋น้อยหน้ามนตรงนั้นให้เคลิบเคลิ้มแต่อย่างใด แต่มันเป็นผลกระทบจากการที่ผมมานั่งรอกระต่ายน้อยที่รักเลิกงานต่างหาก ไอ้ครั้นจะโทรไปเร่งฝูหรงให้รีบทำงานให้เสร็จและลงมาหา ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ไม่ดีเท่าไหร่ เผลอๆจะทำให้ฝูหรงหงุดหงิดพาลโกรธจนเสียคะแนนเอาได้
ปฏิกิริยาที่เลยคำว่าเป็นมิตรไปมากของเหล่าพนักงานต้อนรับของโรงแรม รวมถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยมาดเข้ม ที่ครั้งก่อนแทบจะลากผมออกนอกโรงแรม เพราะความไม่น่าไว้ใจนั้น ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือต้อนรับขับสู้ผมอย่างดี ด้วยความจริงที่ว่าผมเป็นเพื่อนสนิทของนายน้อยแห่งหวางหย่งกัง พ่วงด้วยตำแหน่งแฟนตัวจริงเสียงจริงของเลขาคนสนิทของท่านรองประธานใหญ่อีกด้วย
งานนี้นอกจากจะไม่โดนมองแปลกๆเหมือนครั้งแรก ที่ผมริอาจเป็นหนุ่มน้อยนักรักมานั่งรอแฟนหนุ่มแล้ว ยังได้รับการต้อนรับอย่างดีเยี่ยมตั้งแต่ก้าวเข้าประตูโรงแรมเลยล่ะ เพราะพนักงานรักษาความปลอดภัยส่งยิ้มทันทีที่เห็นหน้าผม และโค้งจนต่ำก่อนจะเปิดประตูบริการให้ แถมพอเดินเข้ามานั่งรอยังเก้าอี้ตัวเดิม ไม่นานกลับมีพนักงานสาวหมวยเข้ามาสอบถามเรื่องเครื่องดื่ม และตามมาด้วยเหตุการณ์ข้างต้นที่เล่าไป ก่อนผมจะโดนสายตาไม่ต่ำกว่าห้าคู่ผลัดกันวนเวียนทักทายจนถึงขณะนี้ เรียกว่าสร้างความหรรษาให้ผมไม่น้อย
ดูท่าข่าวลือที่ผมจงใจปล่อยว่าเลขานายน้อยหลี่ผิงมีแฟนมานั่งรอก่อนเลิกงานนั้น จะถูกกระพือไปไกล ด้วยใครต่อใครก็อยากเห็นหน้าผม ด้วยแวะเวียนมาดูไม่ขาดสาย ซึ่งสถานการณ์นี้ถูกใจผมที่สุด เพราะเท่ากับเป็นการป่าวประกาศไปในตัว ว่าเจินฝูหรงมีเจ้าของแล้ว ห้ามใครตามวอแวเด็ดขาด
ผมนั่งจิบชาพร้อมอ่านหนังสือพิมพ์ไม่นาน หางตาก็เหลือบเห็นว่าประตูลิฟต์ส่วนตัวของผู้บริหารระดับสูงนั้นเปิดออก ก่อนจะปรากฏร่างที่ผมรอคอย แต่รอยยิ้มของผมต้องหุบลง พร้อมกับอาการขุ่นใจที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น ก่อนผมจะรีบสาวเท้าไปยังคนสองคนที่ตระกองกอดกันออกมาจากลิฟต์ เมื่อถึงตัวคนของตัวเอง ผมก็คว้าต้นแขนเล็กไว้และดึงร่างบอบบางเข้าหาตัว จนฝูหรงเซปะทะแผ่นอก ก่อนผมจะเขม่นมองใบหน้าคนที่บังอาจถูกเนื้อต้องตัวแฟนผม
“พี่เป๋า เกิดอะไรขึ้น พี่มีเหตุผลอะไรถึงต้องใกล้ชิดแฟนผมขนาดนี้!” แม้ผมจะแปลกใจที่เห็นหน้าบอดี้การ์ดคนสนิทของเพื่อนอย่างพี่เป๋า แต่ความขุ่นใจที่เห็นชายอื่นยืนกอดคนของตัวเอง ทำให้ผมเผลอใช้น้ำเสียงเข้มจนเกือบตะคอกออกไป
พี่เป๋าเองมีชะงักนิดหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นผมก็ยอมปล่อยมือจากฝูหรง ก่อนจะก้มหัวให้ผมนิดเป็นการทักทาย แต่พี่เป๋ายังไม่ทันพูดอะไร สาบเสื้อผมก็ถูกกระตุกจนผมต้องก้มลงมอง ซึ่งใบหน้าผมตอนนี้คงดูน่ากลัวไม่น้อย เพราะคนน่ารักในอ้อมกอดผมถึงกับผงะตาเบิกกว้าง ก่อนจะหลุบตาลงด้วยแววตาสั่นๆ จนแว่นกรอบดำอันโตบนจมูกแทบจะหลุดร่วงลงมา ทำเอาคนที่ได้เห็นอย่างผมใจอ่อนยวบยาบ บวกกับแก้มซีดๆที่ผมเห็น และผิวกายอุ่นๆยามสัมผัสนั้น ทำให้ผมฉุกคิดได้ ก่อนความเป็นห่วงที่ผมมีให้ต่อคนในอ้อมกอดจะเอ่อท้นขึ้นมาในใจ ผมจึงเชยคางฝูหรงขึ้นและสำรวจไปทั่ววงหน้านวล
“ฝูหรงเกิดอะไรขึ้น...ตัวร้อนนี่ครับ!” ผมแนบหลังมือไปกับแก้มใสที่เริ่มแดงก่ำอย่างน่าใจหาย
“คุณฝูหรงเซตอนที่กำลังเดินออกจากลิฟต์ ผมจึงช่วยพยุงไว้ครับ ไม่มีเจตนาจะเอาเปรียบสักนิด” เสียงนิ่งๆของพี่เป๋าดังขึ้นท่ามกลางความกังวลใจของผม
ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านอกจากผมกับฝูหรงแล้ว ยังมีบอดี้การ์ดหน้านิ่งของเพื่อนสนิทยืนอยู่ด้วย จึงละสายตาจากดวงตาสั่นๆแฝงแววตัดพ้อขึ้นมา แถมจากหางตาผมยังสังเกตได้อีกว่า เราสามคนกำลังได้รับความสนใจจากคนรอบตัวไม่น้อย ทั้งจากพนักงานต้อนรับและจากบรรดาลูกค้าของโรงแรม ด้วยตำแหน่งที่เรายืนนั้นเรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นเลยทีเดียว
ไหนจะเสียงที่ผมใช้ก่อนหน้าอีกล่ะ ไม่แปลกที่ใครต่อใครมุ่งความสนใจมาทางนี้ แถมผมยังเปิดเผยถึงขั้นยืนกอดเลขาร่างบางต่อหน้าสาธารณะชนอีก แต่นาทีนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคนในอ้อมกอดของผมอีกแล้ว ยิ่งได้ยินอาการของฝูหรงจากพี่เป๋าทำเอาผมยิ่งร้อนใจ และไม่คิดติดใจในตัวพี่เป๋าอีกเลย
“ผมขอบคุณพี่ที่ดูแลฝูหรงให้ผม และต้องขอโทษด้วยที่เข้าใจผิด ยังไงผมขอตัวก่อนแล้วกัน จะได้รีบพาเลขาคนเก่งของนายน้อยพี่ไปหาหมอ อ้อ!...แต่พี่อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับหลี่ผิงนะ ผมจะคุยกับมันเอง”
เมื่ออีกฝ่ายกระตุกยิ้มและก้มหัวรับคำผมแล้ว ผมก็แทบจะอุ้มคนในอ้อมกอด เพื่อเดินหนีจากสายตาอยากรู้อยากเห็นรอบตัว แต่อดไม่ได้ที่จะระบายยิ้มน้อยๆ ยามเดินผ่านสาวหมวยที่กำลังระบายยิ้มกว้างมาให้กัน ซึ่งเป็นคนเดียวกับผู้หญิงที่เอาชามาเสิร์ฟให้ผมนั่นเอง
จนกระทั่งผมพากระต่ายน้อยเข้ามานั่งในรถด้วยกันแล้วนั่นแหละ ผมถึงได้มีโอกาสสำรวจคนน่ารักอย่างจริงจัง ด้วยการใช้มือประคองใบหน้าเล็กๆนั้นขึ้น แต่ผมก็ต้องแปลกใจ เมื่อฝูหรงไม่ยอมสบตา แถมขืนตัวออกจากสัมผัสผมอีก แต่ผมก็ตามเอาหลังมืออังไปที่หน้าผากมนและซอกคอขาวจนได้ ซึ่งอุณหภูมิที่สัมผัสได้ก็อุ่นจัดจนน่าเป็นห่วง ส่วนสาเหตุคงไม่ต้องเดาว่าเกิดจากอะไร รู้แบบนี้ผมยอมขัดใจคนตัวเล็กไม่ให้ฝืนออกมาทำงานซะก็ดี
“ไปหาหมอกันนะครับ...[เพียะ!]...หืม ฝูหรงเป็นอะไร ไม่พอใจอะไรพอลอยู่รึเปล่า” อยู่ๆฝ่ามืออุ่นจัดก็ฟาดลงบนหลังมือผมไม่แรงนัก ก่อนเจ้าของมือจะขยับตัวไปจนชิดประตูรถ แถมด้วยอาการนั่งตัวเกร็งก้มหน้าหนีสายตาผมอีก ไม่ต้องเดาผมก็รู้ว่าได้กระทำการบางอย่างขัดใจกระต่ายน้อยเข้าแล้ว แต่จะเป็นเรื่องอะไรก็สุดรู้ได้
หลังจากนั้นเรานั่งเงียบกันอยู่พักใหญ่ และฝูหรงเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปากอะไรให้ผมรู้ ผมจึงตัดสินใจดึงมืออุ่นๆที่กำไว้จนแน่นนั้นมากุมไว้ ก่อนจะพูดบางอย่างที่คิดออกไป
“...ฝูหรง โกรธอะไรอยู่ บอกพอลได้มั้ย อดีตทำให้เราเข้าใจผิด จนเสียเวลามามากพอแล้วนะครับ...ระหว่างทางไปโรงพยาบาล ฝูหรงค่อยๆคิดและค่อยบอกพอลก็ได้ว่าไม่พอใจเรื่องอะไร พอลจะได้ปรับปรุงตัวเพื่อเรา” ผมไม่ได้ต้องการประชดใส่ แต่ต้องการเตือนสติคนตัวเล็กเท่านั้น
ผมคิดว่าคนรักกันมีอะไรควรต้องหันหน้ามาคุยกัน ไม่ใช่ปล่อยให้ความเข้าใจผิดเกาะกุมใจ จนมันขยายใหญ่ขึ้นก่อเกิดเป็นความบาดหมาง และทำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง กระทั่งลุกลามถึงขั้นเลิกลาในที่สุด ซึ่งผมไม่อยากให้เราไปถึงขั้นนั้น จึงต้องรีบตัดเส้นทางสู่ความหายนะนี้เสียก่อน ด้วยการเอ่ยเตือนสติคนรัก ให้ต้องเสี่ยงต่อความไม่พอใจของคนน่ารักเหมือนในขณะนี้
ผมขอคิดในแง่ดีว่าหากฝูหรงโกรธ คงยอมปริปากเรื่องที่ไม่พอใจให้ผมได้รู้บ้าง ซึ่งผมก็พร้อมจะปรับความเข้าใจและปรับปรุงตัว เพื่อรักษาความรักครั้งนี้ดังปากว่าไว้ แต่ก่อนที่ผมจะขับรถออกจากที่จอด กลับมีเสียงออดอ่อยดังแทรกความเงียบขึ้นมา
“ไม่ไปโรงพยาบาลได้มั้ย แค่ปวดหัวเมื่อยตัวกับมีไข้นิดหน่อย กินยาก็หายแล้ว...ได้มั้ยพอล” น้ำเสียงออดอ่อยที่ฟังดูน่าสงสารนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ตากลมๆที่สั่นไหวและเคลือบคลอไปด้วยหยาดน้ำใสๆนี่ต่างหาก ที่ทำให้ผมใจอ่อนยวบยาบ จนยอมพยักหน้าอย่างยอมจำนน และลืมเลือนถึงสาเหตุแห่งความผิดปกติก่อนหน้าของคนรัก
ผมตัดสินใจยื่นมืออีกข้างลูบเข้าที่ข้างแก้มใสแผ่วเบา และส่งยิ้มเข้าใจใส่ดวงตากลมๆคู่นี้ ก่อนความทรงจำในครั้งอดีตจะผุดขึ้นมาในหัว ความทรงจำที่ว่ากระต่ายน้อยแสนรักตัวนี้นั้น กลัวการไปโรงพยาบาลมากมายขนาดไหน ด้วยเจ้าตัวต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียบุพการีทั้งคู่เพียงลำพัง จากการไปรับศพพ่อแม่ที่โรงพยาบาลด้วยสาเหตุเครื่องบินตก ซึ่งได้สร้างรอยแผลลึกแห่งความหวาดกลัวไว้ในใจกระต่ายน้อยที่แสนน่าสงสาร
ครั้งนั้นผมจำได้ไม่ลืมว่าอดีตได้ทำร้ายกระต่ายน้อยของผมมากขนาดไหน ด้วยฝูหรงถึงกลับตัวสั่นไม่หยุด น้ำตาไหลพรากอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อตื่นมารับรู้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล หลังจากที่ผมพาเจ้าตัวที่ไข้ขึ้นสูงยามดึกจนหมดสติมาส่งโรงพยาบาล ซึ่งผมไม่อยากต้องทนเห็นสภาพน่าสงสารของกระต่ายน้อยที่รักในลักษณะนั้นอีกแล้ว แต่ผมก็ไม่อาจละเลยกับอาการเจ็บป่วยของคนรักตัวเล็กได้
“ถ้างั้นไปคลินิกกัน ให้หมอตรวจและจ่ายยามากินที่บ้านดีมั้ยครับ หืม” ผมเปลี่ยนจากการลูบแก้มมาลูบหัวทุยที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมนุ่มมือ พร้อมจ้องตาใสๆอย่างขอความเห็น
ฝูหรงเองก็กระพริบตาปริบๆใส่ผมอย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆด้วยแววตาครุ่นคิด จนผมนึกอยากขโมยจูบคนป่วยซะตอนนี้ ซึ่งผมก็ได้แต่ข่มใจและเฝ้ารอคำตอบของคนน่ารัก ก่อนริมฝีปากสีสดที่ถูกเม้มไว้จะขยับส่งเสียงแผ่วเบาอยู่แค่ลำคอออกมา
“ไม่ไปได้มั้ย มันน่าอาย ถ้าต้องให้หมอตรวจ...ตรงนั้น” เสียงที่เบาอยู่แล้วแทบจะหายไปเลยยามฝูหรงเอ่ยคำสุดท้าย
ผมชะงักมือก่อนจะอมยิ้ม ทั้งๆที่อยากจะฉีกยิ้มเต็มหน้าด้วยความเอ็นดูคนน่ารัก เมื่อทบทวนจนรู้ว่า ‘ตรงนั้น’ ที่ฝูหรงพูดน่ะมันหมายถึงตรงไหน ซึ่งกระต่ายน้อยที่ได้เห็นปฏิกิริยาของผมถึงกลับแก้มแดงก่ำ ก้มหน้างุดหนีสายตาทันที ผมจึงรั้งต้นคอขาวเข้าหาตัว เพื่อเอาใบหน้าเล็กๆซุกไว้ที่อก ก่อนจะกดทั้งปากและจมูกลงบนกลุ่มผมนิ่ม และสูดกลิ่นหอมๆของเส้นผมไว้เต็มปอด พร้อมคลึงนิ้วมือกับผิวอ่อนบริเวณต้นคอ เป็นการปลอบประโลมกระต่ายน้อยขี้อายไปในตัว
“แน่ใจนะครับว่าไม่ต้องตรวจ กินยาแล้วจะหาย” สิ้นคำถามของผม ฝูหรงพยักหน้าหงึกหงักกับอกผมทันที ทำเอาผมอดใจไม่อยู่ จนต้องกลั้วหัวเราะเบาๆออกมา ผลก็คือกำปั้นน้อยๆทุบเข้าที่อกผมไม่ยั้ง จนผมต้องรวบข้อมือบางทั้งคู่ไว้แนบอก และก้มหน้าส่งยิ้มใส่ตาคู่กลมแทนคำขอโทษ
“ไม่ตรวจก็ไม่ตรวจ แต่เดี๋ยวพอลเข้าไปหาหมอที่คลินิก เล่าอาการให้ฟังและเอายามาให้ฝูหรงกินเอง ดีมั้ยครับ” ฝูหรงถึงกลับเหวอมองผมตาค้าง จึงเปิดโอกาสให้ผมแตะริมฝีปากเข้ากับปากแดงๆเพราะพิษไข้ ก่อนจะหันมาเข้าเกียร์เพื่อออกรถไปยังจุดหมายที่ว่าไว้
“เข้าไปเล่าอาการให้หมอฟังเพื่อเอายาเนี่ยนะ เดี๋ยวหมอก็คิดว่า ว่า...เอ่อ” กระต่ายน้อยคิดแทนผมไปถึงไหนแล้วนั่น
ขอแหย่คนป่วยแสนรักหน่อยแล้วกัน ไหนๆสถานการณ์ระหว่างเราก็คลี่คลายมาทางที่ดีแล้ว ด้วยคนน่ารักเองก็ยอมที่จะพูดกับผม ไม่มึนตึงเหมือนเมื่อครู่ ผมแน่ใจว่าคงรออีกไม่นาน ด้วยสิ่งที่อยากรู้ก็คงออกมาจากปากฝูหรงเอง
“ฮึๆ หมอก็คงคิดว่าพอลเป็นคนป่วยซะเอง เพราะโดนคนรักมอบความรักที่แสนเร่าร้อนผ่านทางร่างกายน่ะสิครับ ฝูหรงจะพูดแบบนี้ใช่มั้ย...แต่มันก็เป็นความจริง เพียงแต่คนที่โดนไม่ใช่พอลก็เท่านั้น ฮึๆ” เหมือนที่คิดไว้เลยครับ เพราะทันทีที่ผมกลั้วหัวเราะเบาๆ คนที่นั่งหน้าเหวอเมื่อครู่ถึงกลับถลึงตาใส่ ทั้งๆที่แก้มแดงก่ำเกินกว่าคนที่เป็นไข้
ผมจึงละมือจากพวงมาลัยรถ เพื่อเอื้อมไปคว้ามืออุ่นมาวางไว้แนบอกโดยที่มีมือผมกุมทับไว้ ดีที่รถติดสัญญาณไฟ ผมจึงมีโอกาสหันมาสบตากระต่ายน้อยแสนงอน ก่อนจะหยอดปิดท้ายเพื่อให้คนน่ารักคลายอาการบึ้งตึงลง
“แต่พอลยอมนะ ยอมที่จะให้หมอเข้าใจผิด ถ้าเพื่อฝูหรง...พอลทำได้ และยอมไม่ว่าใครต่อใครจะมองพอลเป็นคนแบบไหน แต่ขอเพียงฝูหรงมองว่าพอลเป็นคนที่รักและหวังดีต่อฝูหรงมากที่สุดก็พอแล้ว”
คงไม่ต้องบอกว่ากระต่ายน้อยจะมีอาการเช่นไร บอกได้เพียงว่าผมกลัวก็แต่อาการไข้ที่เจ้าตัวเป็นนั้นจะรุนแรงขึ้น เพราะความเขินอายไปเพิ่มอุณหภูมิของร่างกายให้อาการยิ่งแย่น่ะสิครับ ฮึๆ
หลังจากนั้นผมก็มีหน้าที่ขับรถไปยังคลินิกของหมอประจำตระกูลโจว ท่ามกลางความเงียบและอุณหภูมิอุ่นจัดของฝ่ามือน้อยๆในอุ้งมือผม พร้อมกับคอยสังเกตคนข้างตัวไปด้วย ซึ่งผมก็ได้แต่นั่งอมยิ้มอารมณ์ดีไปตลอดทาง กับอาการเขินอายนั่งก้มหน้าทั้งๆที่แก้มแดงจัด
มีบ้างที่ผมคอยแตะหลังมือไปยังหน้าผากมนด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าอาการคนป่วยจะทรุดลง จนเกือบถึงคลินิกที่ใกล้เคียงกับโรงพยาบาลขนาดเล็ก กระต่ายน้อยข้างตัวก็หมดฤทธิ์นั่งคอพับหลับไปกับเบาะ ผมจึงตัดสินใจเร่งความเร็ว พร้อมต่อสายถึงหมอเจ้าของคลินิกไปด้วย เมื่อจอดรถหน้าคลินิกทั้งหมอและพยาบาลก็ยืนรอเราอยู่แล้ว
“เบาหน่อยนะครับ ผมไม่อยากให้คนรักผมตื่นขึ้นมาตอนนี้” ผมพูดยิ้มๆกับลุงหมอที่คุ้นหน้าคุ้นตาด้วยความเกรงใจ ก่อนจะหมุนตัวไปเปิดประตูรถอย่างนิ่มนวลที่สุด และเปิดทางให้ลุงหมอกับพยาบาลได้ทำการตรวจคนไข้วีไอพีบนรถ
ดีที่ก่อนหน้าผมเล่าอาการคนป่วยคร่าวๆไปแล้ว ทำให้ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย คราแรกผมไม่ได้ตั้งใจให้ลุงหมอต้องวุ่นวายขนาดนี้ ถ้าฝูหรงจะไม่หลับคารถไปซะก่อน ผมคงเดินเข้าไปขอยาตามที่บอกเจ้าตัวไว้ แต่ผมก็เป็นห่วงคนน่ารักเกินกว่าจะทิ้งให้หลับอยู่บนรถคนเดียว ซึ่งพอบอกความต้องการกับลุงหมอเรื่องขอยา ท่านดันรู้ทันว่าคนป่วยนั้นไม่ใช่ผม ถึงกลับเอ่ยปากขอตรวจคนป่วยตัวจริง
ผมเองเมื่อโดนจับได้จึงได้แต่ยินยอม แต่มีข้อแม้ให้ลุงหมอมาตรวจคนป่วยที่รถ ด้วยไม่อยากให้ฝูหรงแตกตื่นกับสภาพคลินิกที่มีขนาดใกล้เคียงกับโรงพยาบาล ซึ่งลุงหมอก็ใจดีและยินยอมออกมาตรวจคนน่ารักของผมให้ถึงรถด้วยตัวเอง
“คุณหนู นี่ครับยา...ต่อไปอย่ารุนแรงนักนะครับ” คำเตือนมาพร้อมเสียงนุ่มๆและสีหน้าแววตาที่แสนปรานี
ผมทำได้เพียงยื่นมือไปรับถุงยาและก้มหัวให้ลุงหมอ เพื่อแสดงถึงการตอบรับและแทนคำขอบคุณไปในตัว ซึ่งผมไม่แม้แต่จะเอ่ยปฏิเสธกับคำพูดตักเตือนที่ได้ยิน ถึงแม้ลุงหมอจะไม่ได้ตรวจจุดเกิดเหตุอย่างที่ฝูหรงกังวล แต่ร่องรอยที่ผมทิ้งไว้ตามร่างกายเจ้าตัว บวกอาการที่ฝูหรงเป็นอยู่นั้น น่าจะบอกอะไรๆให้คนเป็นหมอ ที่มีประสบการณ์ในวิชาชีพนี้มาครึ่งชีวิต ได้รู้และวินิจฉัยอย่างถูกต้องได้อย่างง่ายดาย
ผมขับรถโดยมีกระต่ายน้อยแก้มแดงนอนหลับตาพริ้มนั่งอยู่เคียงข้างจนกระทั่งถึงบ้าน จึงตั้งใจจะอุ้มร่างเล็กที่มีเสื้อสูทผมคลุมตัวเกือบตลอดร่างขึ้นห้อง แต่ระหว่างที่ผมช้อนเข่าขึ้น ฝูหรงก็ขยับตัวและขนตาหนาก็ปรือขยับหยุกหยิก ก่อนเปลือกตาจะลืมขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นตากลมๆที่ไม่มีเลนส์แว่นบดบังเหมือนเคย ซึ่งดวงตาคู่เดียวกันนั้นก็สบเข้ากับตาผมในระยะประชิด ก่อนจะค่อยๆฉายแววแห่งการรับรู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ใด
ฝูหรงหลบตาผมก่อนจะดันอกผมออก พร้อมพึมพำเบาๆออกมา จนผมต้องแกล้งเอียงหน้า และยื่นหูไปเกือบชิดริมฝีปากแดงๆที่กำลังขยับ
“ไม่ต้องอุ้มหรอก เดินเองได้ อ๊ะ! ยื่นหน้ามาทำไมเล่า หึ้ย!...อ้าว! ไหนว่าจะไปเอายาที่คลินิกไง” ผมถึงกับต้องเบือนหน้าหนีเพื่อกลั้นขำ ให้กับอาการเอ๋อเหรอของกระต่ายน้อยแก้มแดง ที่พอลงมายืนข้างรถเองได้ก็เพิ่งรู้ตัวว่ากลับมาถึงบ้านแล้ว แทนที่จะไปอยู่หน้าคลินิกเหมือนที่ตัวเองเข้าใจ
ผมเข้าไปคว้าเอวบางและรั้งเข้าหาตัว ก่อนจะก้มหน้าลงส่งยิ้มใส่ดวงตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม พร้อมชูถุงยาขึ้น
“เรื่องยาไม่ต้องห่วง...กระต่ายน้อยขี้เซาแบบนี้จะปล่อยให้คลาดสายตาได้ยังไงกัน...[จุ๊บ]...ไปครับเข้าบ้าน ฮึๆ” ไม่อยากจะนับว่าวันนี้ผมหัวเราะไปกี่ครั้งแล้ว เผลอๆผมหัวเราะได้มากกว่าจำนวนครั้งของอาทิตย์ที่แล้วรวมกันซะอีก ส่วนสาเหตุก็ไม่ใช่ใคร ถ้าไม่ใช่กระต่ายน้อยตากลมแก้มแดงที่อยู่ในอ้อมแขนของผมคนนี้
เราเข้ามาในบ้านได้ก็เจอมามาอีลิน่าที่กำลังนั่งจัดดอกไม้อยู่ กระต่ายน้อยของผมมีอาการขัดเขินอย่างเห็นได้ชัด เมื่อฝูหรงเงยหน้าขึ้นจากปลายเท้าของตัวเองที่มองมาตลอดทาง แล้วพบเข้ากับสายตาล้อเลียนของมามาจ้องอยู่ ก่อนฝูหรงจะยิ้มเก้อๆและโค้งตัวลงเพื่อทักทายท่าน แต่มีชะงักและพยายามปลดมือผมออกจากเอวตัวเอง เมื่อเห็นสายตามามาปรายตามองเอวตัวเองยิ้มๆ
ผมเองก็ยึดเอวบางไว้แน่น ก่อนจะแกล้งทำหน้าตาจริงจัง พร้อมจ้องกลับดวงตาแข็งๆที่มองมา ทั้งๆที่ใจจริงอยากจะหัวเราะให้กลับท่าทางที่แสนน่าเอ็นดูของฝูหรงมากกว่า
“ไม่เอา อยู่นิ่งๆสิครับ ไม่สบายอยู่นะ เดี๋ยวก็หน้ามืดอีกรอบหรอก...ให้พอลประคองอยู่แบบนี้น่ะดีแล้ว หรือฝูหรงจะให้อุ้มขึ้นห้องเลย อืม ก็ดีเหมือนกัน” ผมเตรียมช้อนขาช้อนหลังคนตัวเล็กข้างกายอย่างปากพูด แต่ร่างบางกลับขยับห่างพร้อมเสียงเล็กๆที่โวยวายเบาๆออกมา
“อื๊อๆ ไม่เอาๆ...ฝูหรงจะไข้ขึ้น เพราะพอลนี่แหละ ขี้แกล้ง!” ผมได้กระต่ายแสนงอนตัวเดิมกลับมาแล้วครับ แบบนี้สิเจินฝูหรงที่ผมรู้จัก ขี้อาย แสนงอน ช่างต่อว่า สุดท้ายพร้อมที่จะยอมรับในเหตุและผล
“พอลเป็นห่วงนี่ครับ เกิดฝูหรงล้มทั้งยืนเพราะหน้ามืดขึ้นมาจะทำยังไง หืม...มานี่ครับ” ผมระบายยิ้มใส่ตาวาวๆ พร้อมอ้าแขนเปิดรอรับร่างน้อย ที่พอได้ฟังเหตุผลก็มีทีท่าอ่อนลง และยอมที่จะเดินเข้าสู่อ้อมอกผมด้วยตัวเอง
ฝูหรงเอาหน้าผากแตะไว้ที่อกผมเพียงแผ่วเบา ทั้งๆที่ส่วนอื่นของเราไม่มีส่วนใดสัมผัสกันเลย ผมจึงกดจมูกลงบนกลุ่มผมนุ่ม ก่อนจะรวบร่างบางเข้าหาอกช้าๆ และกอดไว้หลวมๆพร้อมยิ้มเต็มหน้า ซึ่งผมคงได้กอดกระต่ายน้อยน่ารักอีกนาน หากมามาอีลิน่าจะไม่ขัดขึ้นมา
“ฝูหรงไม่สบายเป็นอะไรจ๊ะ ไปหาหมอมารึยัง แต่ก่อนอื่นมามาว่าพอลควรให้ฝูหรงได้นอนพักนะลูก คิกๆ”
กระต่ายน้อยเริ่มรู้สึกตัวจากเสียงหัวเราะหยอกเย้าของมามาคนสวยแล้วครับ เพราะฝูหรงผินหน้าไปมองมามาด้วยสีหน้าตื่นๆ ก่อนจะหันมาจ้องผมด้วยสีหน้าออดอ้อนแววตาอ้อนวอนชัดเจน ทำเอาผมถึงกลับมันเขี้ยวกระต่ายน้อยจนแทบอยากขย้ำซะตรงนี้ แต่สิ่งที่ผมทำคือกดจมูกเข้าที่แก้มแดงๆและออกแรงฟัดทั้งสองข้าง ก่อนจะจบด้วยการแตะริมฝีปากเข้าที่ปากแดงแรงๆอีกที
“อ่า...พอลปล่อยก่อน อ๊ะ!...[ฟอดดด ฟอดดด จุ๊บ!]...พอล~” เสียงชื่อผมแทบไม่หลุดออกจากริมฝีปากแดงๆคู่นั้นเลย แต่แทนที่ผมจะมีความสุขที่ได้ชื่นชมกระต่ายน้อยขี้อายแก้มแดงตาโตได้นานๆ ผมกลับตกใจแทบสิ้นสติ เมื่ออยู่ๆร่างในอ้อมกอดก็หมดแรงทรุดอยู่กับอกเอาดื้อๆ
“เฮ้ย! ฝูหรง!” ดีที่ผมรวบกอดร่างบางไว้อยู่แล้ว ผมจึงช้อนตัวอุ้มคนที่อยู่ๆก็หมดสติขึ้น
“ดูท่าจะไข้ขึ้น พอลรีบพาฝูหรงขึ้นห้องก่อนเถอะลูก แกล้งแฟนมากไป เกิดเรื่องจนได้แล้วมั้ยล่ะ” สิ้นคำมามาแล้ว ผมก็ไม่รอช้ารีบซอยเท้าพาร่างน้อยในอ้อมกอดขึ้นห้องทันที
สงสัยผมจะเป็นต้นเหตุทำให้คนตัวเล็กเขินจัด จนไข้ขึ้นอย่างที่มามาตำหนิเข้าแล้วจริงๆ ใครไม่มาเป็นผมไม่รู้หรอก ว่ากระน้อยน่ารักขี้อ้อนแสนงอนน่ะน่าแกล้งขนาดไหน แต่ทุกอย่างจะดีกว่านี้ หากเจ้าตัวจะไม่ได้เป็นไข้อยู่ก่อนแล้ว ผมจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิดในคำตำหนิของมามาเท่านั้น และชดเชยความผิดด้วยการดูแลคนป่วยที่รักอย่างดี
..........................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะแม้กระต่ายน้อยจะไข้ขึ้นได้น่าสงสาร แต่คนอ่านน่าจะรู้สึกไม่ต่าง
จากพอลแน่ๆ อยากจะจับกระต่ายมาฟัดแก้มให้ช้ำ และแกล้งให้ยิ่งอาย
ควานหวานจะเพิ่มดีกรีขึ้นเรื่อยๆเตรียมรับมือให้ดีค่ะ

+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
ปล.ตอนหน้าหวานเฉียบแน่นอน ติดตามได้ในวันพุธนะคะ
