ตอนที่ 11โจวพอล “อืม ถ้าไม่ใช่นาย หลี่ผิงคงซัดไม่เลี้ยง” ไอ้ลูกครึ่งหน้าเข้มเคราดกอย่างโจเซฟ พยักหน้าน้อยๆพร้อมจ้องตาไอ้ไรอัน ยามที่พูดประโยคนี้ออกมา
“จริง มาเฟียขี้หวง หวงทั้งเมียทั้งน้อง” ผมเห็นด้วยกับโจเซฟ เพราะเพื่อนๆในกลุ่มต่างรู้ดีถึงนิสัยนี้ของไอ้หลี่ผิง ยิ่งไอ้คนที่มันคิดจีบเป็นถึงนางฟ้าประจำตระกูลอย่างเหมยอิงด้วยแล้ว ไรอันยิ่งรู้ซึ้งในความจริงข้อนี้
บทสนทนาก่อนหน้านี้ระหว่างพวกเรา ผม โจเซฟ และไรอันนั้น พูดถึงเหตุการณ์ที่ไอ้ลูกครึ่งตาฟ้าได้เผชิญหน้าตัวต่อตัวกับเพื่อนมาเฟียใหญ่ ด้วยเรื่องที่เพื่อนสนิทคิดจีบน้องสาวสุดหวง ไอ้ไรอันเองก็เปิดใจบอกเล่าความรู้สึกที่มีต่อเหมยอิงจนหมดเปลือก ทำเอาไอ้หลี่ผิงถึงกลับเดือดเกือบต่อยไรอันหน้าแหก แต่คงด้วยเห็นแก่มิตรภาพระหว่างเพื่อนและความจริงใจของไรอัน ไอ้มาเฟียใหญ่เลยยั้งมือทัน จึงเป็นที่มาของบทสนทนาข้างต้นของโจเซฟ
“ฮึๆ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น หลี่ผิงคงไม่ใช่แค่ซัดไม่เลี้ยง แต่นายนั่นมันคงหายไปจากโลกนี้ซะมากกว่า” ไรอันยังมีแก่ใจพูดไปพร้อมส่ายหัวน้อยๆและอมยิ้มนิดๆได้อีก
ผมและโจเซฟก็อดเห็นด้วยไม่ได้ พวกเราจึงต่างหัวเราะคลอเบาๆให้แก่กัน เพราะถ้าไรอันไม่ใช่เพื่อนสนิท มันคงโดนเจ้าพ่อใหญ่สั่งอุ้ม โทษฐานบังอาจเสนอหน้าเข้ามาจีบน้องสาวฝาแฝดสุดที่รักไปแล้ว แต่ระหว่างที่ผมยกถ้วยชาร้อนขึ้นจิบ ผมก็ต้องเลิกคิ้วมองหน้ามันสองคนสลับไปมา เพราะเพื่อนทั้งคู่จ้องผมเขม็ง กึ่งๆต้องการค้นหาความจริงอะไรบางอย่างจากผม
“แล้วนายล่ะ เจอปัญหาเดียวกับไรอันรึเปล่า” คำถามนี้เป็นของโจเซฟครับ พอได้ฟังผมรู้เลยว่าโดนเพื่อนจับผิดเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องของกระต่ายน้อยตากลมที่ผมเพิ่งโทรคุยด้วย ก่อนหน้าที่จะมาหาไอ้โจเซฟยังค่ายเพลงของมัน เพราะโดนไอ้ลูกครึ่งตาฟ้าโทรตาม
ส่วนเรื่องที่มันสองคนอยากรู้ ผมนั้นยินดีไขความกระจ่างอยู่แล้ว แต่ขอกวนโทสะพวกมันนิด ด้วยการเฉไฉหลบตา และแกล้งจิบน้ำชาช้าๆอย่างไม่เดือดร้อนใจ เพื่อกระตุ้นความอยากรู้ของเพื่อนๆเล่น สุดท้ายเป็นไอ้ไรอันที่ทนไม่ไหว มันหยิบมาการองฝีมือสุดที่รักของมันขว้างมาทางผม ด้วยสีหน้าสีตาที่โคตรขัดใจ ผมเองก็เก็บอาการไม่อยู่จนต้องหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆ นี่ฝีมือเหมยอิงเลยนะเว้ย ไม่เสียดาย!? เออๆ เล่าแล้ว ฮ่าๆ” จะไม่ให้ผมขำท้องแข็งได้ไง
ในเมื่อปฏิกิริยาของไอ้ไรอันยามได้ยินสิ่งที่ผมพูดคือ ใบหน้าหล่อวิ้งของมันอยู่ในอาการตกใจสุดขีด ปากค้างตาแทบถลน มันคงลืมตัวล่ะครับ เพราะไม่เช่นนั้นไม่มีทางปาขนมของคนที่มันหลงรักมาแสนนานทิ้งหรอก
“เล่นเป็นเด็กๆกันไปได้ ฮึๆ” ‘แม่ะ! คุณมึงผู้ใหญ่ตายล่ะ’ จะไม่ให้ผมแอบเหน็บไอ้โจเซฟมาดเข้มได้ไงครับ
คำพูดคำจาของมันฟังคล้ายว่าต้องการปรามผมสองคน แต่กิริยาคือดันหยิบมาการองชิ้นที่อยู่บนเบาะข้างตัวผมขึ้น และโยนใส่ไอ้ไรอันที่ก็ดันบ้าจี้ตะครุบรับได้ทัน แถมด้วยการทำตาละห้อยจ้องขนมเหมือนว่ากำลังรู้สึกผิดนักหนา ทำเอาผมและโจเซฟขำมันไปพร้อมกัน
หลังจากที่พวกเราปรับอารมณ์เข้ามาสู่โหมดจริงจังได้ ผมจึงเริ่มเล่าเรื่องของผมกับฝูหรงให้พวกมันฟัง เล่าตั้งแต่การเจอกันครั้งแรก จนถึงสถานการณ์ในปัจจุบันนี่แหละ และคงไม่ต้องบอกล่ะมั้งว่าผมเจออะไรบ้าง ถ้าไม่ใช่เสียงถอนหายใจหนักๆจากไอ้โจเซฟ และคำสบถอย่างไม่พอใจของไอ้ไรอัน ก่อนมันสองคนจะพร้อมใจประทุษร้ายร่างกายผมคนละทีสองที แม้ผมจะโวยวายแม่งก็ไม่มีสีหน้าเห็นใจให้เห็นสักนิด แถมยังสมน้ำหน้าตามมาอีก
“สมกับสิ่งที่มึงปิดบังเพื่อนๆแล้วว่ะ” นี่เสียงไอ้ไรอันครับ แน่ะมีถลึงตาใส่ผมอีก
“ยังน้อยไปด้วยซ้ำ...แต่ก็ยินดีด้วยเพื่อนที่นายได้คนสำคัญคืนมา” แม้ไอ้โจเซฟจะตอบกลับด้วยเสียงหนักๆ แต่เพื่อนก็คือเพื่อนที่พร้อมยินดีไปกับเรา เมื่อเห็นว่าเรากำลังมีความสุข
“มีโอกาสก็พาแฟนนายมาให้พวกฉันรู้จักบ้างนะพอล” ไรอันพูดพร้อมยกยิ้มและยื่นมือมาตบไหล่ผมเบาๆ ท่าทางและคำพูดบอกชัดว่ามันยินดีกับผมไม่ต่างกัน
“ขอบใจนายสองคนมาก ฉันก็ว่าจะพามาให้รู้จักเร็วๆนี้แหละ ขืนช้ามีสิทธิ์โดนงอนอีก ฮึๆ” ผมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงปฏิกิริยาของกระต่ายน้อยแสนรัก ยามฝูหรงคิดไปเองว่าผมไม่อยากเปิดเผยเรื่องของเรากับเพื่อนสนิท จนอดอารมณ์ดีถึงขั้นหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะการที่ฝูหรงน้อยใจ แสดงว่าแคร์ผมและจริงจังเรื่องของเรามากอยู่
ไรอันและโจเซฟเองก็ได้แต่ส่ายหัวมองผมยิ้มๆ ด้วยคงพอเดาได้ล่ะว่าผมกำลังเพ้อถึงสุดที่รัก แต่ก็ไม่คิดจะถามหาเหตุผลของอาการแปลกๆที่ผมเป็น ก็จะเอาเหตุผลอะไรกับคนกำลังมีความรักล่ะครับ เพราะมันเป็นเรื่องของจิตใจและอารมณ์ล้วนๆ ฮึๆ
ผมที่กำลังครึ้มอกครึ้มใจอารมณ์ดีอยู่นั้นก็ต้องสะดุด เมื่อไอ้โจเซฟส่งคำถามออกมา แถมยังเป็นคำถามที่คาใจผมอยู่ก่อนแล้วด้วย
“ตกลงแฟนนายไปอยู่นิวยอร์กกับคุณป้าใช่มั้ย แล้วป้าไม่ได้กลับมาด้วยเหรอวะ”
“ช่วงที่ผ่านมาเรากำลังวุ่นๆ เคลียร์เรื่องหัวใจอยู่ แถมเจ้าตัวก็มาป่วย เลยยังไม่ได้คุยเรื่องนี้เลยว่ะ...แต่พวกนายรู้มั้ย ฝูหรงน่ะมีทรัพย์สินเข้าขั้นเป็นเศรษฐีได้เลย” แม้ผมจะสืบได้ถึงทรัพย์สินจำนวนมากที่ฝูหรงครอบครอง แต่ผมตามสืบไปไม่ถึงแหล่งที่มาของมัน
การที่ผมสงสัยประเด็นนี้ไม่ใช่ว่าผมดูถูกครอบครัวของคนรัก แต่ผมรู้ถึงพื้นฐานทางการเงินครอบครัวของคู่ป้าหลานดีต่างหาก จากห้าปีก่อนไม่มีทางที่ฝูหรงจะมีทรัพย์สินได้เท่าปัจจุบัน แม้คนเป็นป้าจะไปดำเนินธุรกิจยังต่างแดนก็ตาม ซึ่งก็ไม่น่าจะมีได้มากขนาดนั้น ในเรื่องนี้ผมยังไม่มีโอกาสถามเอาความจริงจากเจ้าตัว เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการผิดใจกับคนรักตัวน้อย ด้วยแอบตามขุดคุ้ยลับหลังเจ้าตัวเอาได้
หลังจากคำพูดเปรยๆของผมนั้น เพื่อนทั้งคู่นั่งเงียบมีสีหน้าครุ่นคิดไม่ต่างกันและเงียบไปนาน ก่อนไอ้ไรอันจะพูดในสิ่งที่มันคิดได้ออกมา ทำนองว่าป้าของฝูหรงแต่งงานกับมหาเศรษฐี และลุงเขยใจดียกทรัพย์สินมีค่าแบ่งให้หลานชายคนใหม่ด้วยความเอ็นดู แต่ลึกๆหวังเคลมหลานเลี้ยง
ผมที่พยักหน้าเห็นด้วยในความคิดของมันมาตลอด ถึงกับสะบัดหน้าพรืด และเตรียมเข้าไปเอาเรื่องไอ้เพื่อนปากเสีย แต่ดีที่ไอ้โจเซฟห้ามไว้ได้ทัน ผมจึงได้แค่ชี้นิ้วใส่หน้าไอ้ลูกครึ่งตาฟ้าที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผมอยู่
“ฮึๆ แค่ล้อเล่นน่า โทษทีๆ แต่มันน่าคิดนะพอล เพราะใครจะให้เงินขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่หวังเคลม หรือเจ้าของเงินตายไปแล้วและยกมรดกให้กันล่ะ” อืมประเด็นที่ไอ้ไรอันเปิดใหม่นี่พอจะเป็นไปได้มากกว่า แต่พล็อตแบบนี้เอาไปทำซีรีย์แนวดราม่าได้เลยนะครับว่ามั้ย
“พอๆ เลิกคิดกันได้แล้ว คิดไปก็เท่านั้นพาลจะมาทะเลาะกันซะเปล่าๆ พอลทางที่ดีนายก็เปิดอกคุยกับแฟนนายซะให้รู้เรื่องเถอะ” กรรมการห้ามทัพก็หนีไม่พ้นโจเซฟ แต่ความคิดของเพื่อนคนนี้ ผมเห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์ ยิ่งประเด็นเปิดอกคุยเนี่ย ฮึๆ
“ตั้งใจไว้อยู่แล้วล่ะ แต่คงต้องรอจังหวะ...เรื่องเหมยอิง นายมีแผนอะไรไว้ล่ะไรอัน” ผมโยนกลองกลับไปยังไอ้ไรอันที่กำลังมองผมด้วยแววตารู้เท่าทัน มันเองถึงกลับเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันตา
“เรื่องนี้ฉันไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว แต่อดหนักใจไม่ได้ ถึงหลี่ผิงจะรู้และยอมรับกลายๆ แต่ทั้งปาปาหลี่จวิน อาตี้หลง ไหนจะอากงไป๋หลงอีกเล่า น่าหนักใจน้อยที่ไหนกัน” ผมตบบ่าไอ้ไรอันเพื่อส่งกำลังใจไปให้มัน และนึกได้ว่าตัวเองโชคดีไม่น้อยที่ไม่มีอุปสรรคความรักอย่างเพื่อนสนิท เพราะการพลัดพรากห้าปีจากคนที่รักนั้น ก็หนักหนามากพอในความรู้สึกของผมแล้ว
“แต่อย่างน้อยเหมยอิงก็ดูมีใจให้นายนี่ อย่ากังวลเลย หากผู้ใหญ่เห็นความจริงใจของนาย พวกท่านก็จะยอมรับเอง” ถูกของโจเซฟมันครับ เพราะผมเชื่อว่าความจริงใจและจริงจังของไรอัน จะทำให้มันประสบความสำเร็จเรื่องของความรักในที่สุด
ผมและโจเซฟนั่งคุยนั่งปรับทุกข์พร้อมช่วยกันให้คำปรึกษาไอ้ไรอันไปพักใหญ่ ก่อนเลขาไอ้โจเซฟจะเข้ามาเตือนเรื่องการคัดเลือกรอบสุดท้ายนักร้องใหม่ของค่าย ซึ่งมันเป็นหนึ่งในกรรมการสรรหา โดยต้องไปนั่งดูนั่งฟังว่าที่นักร้องใหม่ร้องกันแบบสดๆ ผมว่างและนึกสนุกจึงขอตามโจเซฟเข้าไปสังเกตการณ์ด้วย เพราะกว่าจะถึงเวลาไปรับกระต่ายน้อยก็อีกตั้งสองชั่วโมง ส่วนไอ้ไรอันมันขอตัว เห็นว่าจะแวะไปหาเหมยอิงที่ร้านเบเกอรี่ก่อนเข้าที่ทำงานในช่วงเย็น ดังนั้นผมจึงได้มานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อข้างท่านผู้บริหารใหญ่ของค่าย
“คุณโจเซฟครับ คนต่อไปค่อนข้างน่าจับตา เพราะทำเดโมมาดีมาก ทั้งเสียงและรูปลักษณ์” เสียงกระซิบเบาๆจากหัวหน้าฝ่ายโปรดักชั่นดังขึ้นทันที หลังจากกลุ่มนักร้องวงบอยแบนด์เล่นจบและกำลังเดินออกไป
โจเซฟเองก็เพียงพยักหน้ารับและก้มดูโปรไฟล์ในมือ ผมชำเลืองดูก็พบว่าเป็นรูปหญิงสาวชาวเอเชียแต่งหน้าคมเฉี่ยวสะดุดตา เรื่องรูปร่างไม่ต้องพูดถึงเพราะได้สัดส่วนลงตัวสุดๆ เหลือก็แต่เสียงร้องเท่านั้นว่าจะดีอย่างที่หัวหน้าฝ่ายโปรดักชั่นโวไว้มั้ย พอได้เห็นตัวจริงต้องบอกเลยว่าในรูปสวยได้ไม่ถึงครึ่งของตัวจริง แถมยังให้กลิ่นไอสาวมั่นขาร็อคแอบหวาน ด้วยเธอมาพร้อมเสื้อหนังแขนกุดที่ประดับหมุดประปราย โดยใส่คลุมเสื้อยืดขาวไว้อีกชั้น และกางเกงหนังขาสั้นเต่อที่มีเข็มขัดหนังเส้นโตหัวเงินขนาดใหญ่คล้องเอวไว้ พร้อมบูทส้นสูงยาวเกือบถึงเข่า ส่วนใบหน้าถูกแต่งอย่างประณีต เด่นที่สุดตรงดวงตาที่แต่งสโมกกี้อายชวนดึงดูด เรียกได้ว่ามีเสียงฮือฮาทันทีที่เธอหยุดยืนด้านหน้า ก่อนจะเงยหน้าและระบายยิ้มส่งให้ทีมงานทั้งห้อง
ขนาดผมที่มีกระต่ายน้อยน่ารักอยู่เต็มหัวใจ ยังอดชื่นชมในความดูดีของผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้ คงไม่ต้องบอกว่าผู้ชายทั้งห้องจะอยู่ในอาการเช่นไร ถ้าไม่ใช่ตกตะลึงตาค้างจ้องเธอแทบน้ำลายหก ไม่เว้นแม้กระทั่งเพื่อนสนิทหน้าเข้มเคราดกของผมอย่างโจเซฟ อาการของเพื่อนสร้างความแปลกใจให้ผมไม่น้อย เพราะผมไม่เคยเห็นโจเซฟมีปฏิกิริยาเช่นนี้กับผู้หญิงที่ไหนมาก่อน ส่วนเรื่องเสียงร้องเพลงของเธอนั้น สมกับที่ฝ่ายโปรดักชั่นโวไว้จริงๆ ด้วยมีพลังและกังวานใสในเวลาเดียวกัน หากบริษัทโจเซฟปล่อยเพชรเม็ดนี้หลุดไปก็โง่เต็มทน จึงไม่แปลกที่ผมจะได้ยินเสียงปรบมือกึกก้องหลังเสียงโน้ตสุดท้ายของเธอจบลง
“เป็นไงถึงกับตะลึงไปเลยเหรอวะ” ผมกระแทกไหล่โจเซฟเบาๆ พร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ตายามที่มันหันหน้ามึนๆมาทางผม
บอกเลยผมแทบกลั้นขำไว้ไม่อยู่ เพราะผมแทบไม่เคยเห็นท่านประธานใหญ่แห่ง AJ Music Record ทำสีหน้าแบบนี้มาก่อน และเดาได้ไม่ยากว่าเพื่อนผมกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์เช่นไร ถ้าไม่ใช่ ‘ตกหลุมรัก’ แบบไม่ทันตั้งตัว
ผมไม่มีเวลาอยู่สังเกตปฏิกิริยาของไอ้ลูกครึ่งเคราดกนานกว่านั้น เพราะได้เวลาที่ผมต้องไปรับสุดที่รักแล้ว จึงขอตัวจากโจเซฟที่พยายามกลับมาเก๊กหน้านิ่งหลอกตาชาวบ้าน แต่มันหลอกผมไม่ได้หรอก ว่ามันกำลังเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นในใจมันเข้าแล้วน่ะ และผมก็หันไปเอ่ยลาลูกน้องมันที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน ก่อนเดินออกจากห้อง แต่ระหว่างที่ผมเดินเกือบถึงรถที่จอดไว้บนลานจอดรถของบริษัทนั้น ผมกลับเจอคนที่เคยคุ้นหน้าค่าตากันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
“สบายดีมั้ยคะพอล” ทั้งเสียงทั้งใบหน้านั้นหวานไม่แพ้กัน แต่บางครั้งสิ่งที่เห็นก็ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป
“ครับ ผมก็หวังว่ามิลลี่คงสบายดี แต่ต้องขอตัวก่อน ผมมีธุระที่อื่นที่ต้องรีบไป” ผมยกยิ้มนิดๆพร้อมเอ่ยลา ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินไปยังรถคู่ใจตรงหน้า แต่กลับมีเสียงหวานๆพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะแผ่วๆลอยตามหลังมา
“พอลต้องสบายดีอยู่แล้วนี่นะ จะเหมือนคนโดนทิ้งอย่างมิลลี่ได้ยังไง ฮึๆ” ผมระงับใจไม่ให้หันกลับไปตอบโต้ และเลือกที่จะขับรถออกมา
ระหว่างที่ผมขับรถผ่านร่างบอบบางของหนึ่งในนักร้องในค่ายของเพื่อนสนิท ผมก็เจอสายตาต่อว่าต่อขานแฝงแววอาฆาต จึงเลือกที่จะไม่ใส่ใจเพราะเรื่องระหว่างผมกับเธอคนนี้มันจบไปแล้ว เพียงแต่การจบกันครั้งนั้นไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่ แต่ขออย่าได้ปักใจในคำกล่าวหาของเธอที่มีต่อผม
“เป็นไงครับเหนื่อยมั้ย...กระต่ายน้อย! ไข้ขึ้นรึเปล่า ทำไมแก้มแดงแบบนี้ล่ะ” อย่าหาว่าผมขี้โวยวายเลย ดูหน้ากระต่ายน้อยของผมสิแดงเถือกเลย แถมหัวคิ้วก็ชนกันจนแทบจะผูกเป็นโบว์ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะไข้ขึ้นจนปวดหัว มันจะเกิดจากอะไรได้อีก
ผมประคองแก้มใส่ขึ้นและกวาดตาสำรวจไปทั่วดวงหน้าแดงๆ ก่อนจะใช้หลังมือไล้ไปตามข้างแก้มและลำคอ ยิ่งอุณหภูมิอุ่นๆที่สัมผัสได้ทำเอาผมยิ่งร้อนใจตาม และก่อนที่ผมจะตื่นตระหนกไปมากกว่านี้ มือนุ่มๆก็รั้งข้อมือทั้งสองข้างของผมลง พร้อมกับเสียงหวานปนแหบที่ดังขึ้น
“พอล! ฝูหรงไม่เป็นอะไร ทำไมไม่รออยู่ที่รถล่ะ...อ๊ะ! จะยื่นหน้ามาทำไมเล่า แค่นี้คนก็มองมากพอแล้ว” เสียงแผ่วเบาท้ายประโยคดังขึ้นพร้อมอาการหลบตา ก่อนเจ้าของมืออุ่นๆจะกระตุกข้อมือผมให้ออกเดิน
แรกทีเดียวผมยังไม่เข้าใจในอาการของคนรักนัก แต่เมื่อผมได้กวาดตาไปรอบตัวก็พอเข้าใจ ด้วยพบกับสายตาชื่นชมแฝงแววหยอกเย้าหลายคู่ แม้บางคู่จะเต็มไปด้วยแววอิจฉาปนหมั่นไส้ก็ตาม แต่ก็ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดในอาการของกระต่ายน้อยไปไกล ทั้งๆที่ผมน่าจะชินและรู้ดีที่สุด ว่าแก้มแดงๆกับอาการหลบตาแบบนี้หมายความว่าอะไร ถ้าไม่ใช่กระต่ายน้อยแสนรักกำลังเขินจัด
ผมเดินอมยิ้มตามแรงจูงของคนน่ารักไปเรื่อยๆ และได้แต่มองใบหน้าด้านข้างที่แก้มใสขึ้นสีจัดอย่างน่าเอ็นดู นาทีนี้ฝูหรงเองก็ก้มหน้าก้มตาเดินไม่คิดจะสบตาใครเลย แต่คนน่ารักคงเขินจัดจนลืมตัวไปว่าเป็นฝ่ายจูงข้อมือผมเดินโชว์พนักงานของโรงแรมไปจนทั่ว แต่ผมก็ไม่คิดจะท้วงเพราะออกจะถูกใจในการกระทำนี้ไม่น้อย
จนกระทั่งถึงรถและเจ้าตัวจะขึ้นรถนั่นแหละถึงเพิ่งรู้ตัว กระต่ายน้อยยืนนิ่งมองหลังมือตัวเองที่จับข้อมือผมอยู่ สลับไปมากับใบหน้าประดับรอยยิ้มกว้างของผม ก่อนจะสะบัดมือผมออกและเงยหน้าขึ้นทำหน้าบึ้ง ส่งสายตาต่อว่าต่อขานใส่ผม ตามมาด้วยการเรียกชื่อผมอย่างไม่พอใจ
“โจวพอล!...อ๊ะ! พอลอ่ะ ไอ้บ้า!” โดนคนน่ารักด่าว่าบ้าแค่นี้ผมไม่ถือ เพราะไหนๆก่อนหน้าผมก็ได้จุ๊บปากแดงๆที่ช่างต่อว่ามาเป็นรางวัลแล้ว และผมยอมรับคำด่านี้ เพราะถึงบ้าผมก็บ้ารักเจินฝูหรงคนเดียวล่ะน้า
“ฮึๆ” ผมได้แต่ยืนล้วงกระเป๋าพร้อมหัวเราะอยู่เพียงลำคอ และมองไปยังกระต่ายน้อยขี้งอนที่หมุนตัวก้าวขึ้นรถไปก่อน ด้วยผมอยากให้ฝูหรงมีเวลาส่วนตัว เพื่อปรับอารมณ์สักนิดก็ยังดี ขืนปล่อยให้กระต่ายน้อยเขินจัด จนพาลงอนใส่แล้วจะยุ่ง แต่สิ่งที่ผมทำดูเหมือนว่าจะไร้ผล
เมื่อผมตามขึ้นมานั่งเคียงข้างยังตำแหน่งของคนขับแล้ว ฝูหรงก็สะบัดหน้าพรืดมองไปอีกฝั่งของประตูรถ ไม่ต้องบอกว่าผมโดนงอนมั้ย ด้วยดูแล้วคงโดนงอนขั้นสุดเข้าให้ซะมากกว่า ผมจึงลองเรียกชื่อกระต่ายน้อยดู แต่ก็ไร้การตอบรับ เลยเปลี่ยนเป็นเอื้อมไปกุมมือเล็กไว้ในอุ้งมือ ก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนหลังมือนุ่มในตำแหน่งแหวนที่ผมเป็นคนมอบให้
“ขอโทษครับกระต่ายน้อย อย่างอนพอลเลยน้า...หันหน้ามาทางนี้ให้พอลวัดไข้หน่อยเร็ว หายป่วยรึยังเอ่ย รู้ใช่มั้ยครับว่าพอลเป็นห่วงฝูหรงมาก” ใบหน้าขาวๆที่แก้มใสยังขึ้นสีระเรื่อ ค่อยๆเบือนกลับมาหาผมอย่างช้าๆ และดวงตากลมๆก็ระริกไหวแต่ยังมีแววดื้อดึงเล็กน้อยให้เห็น
ผมระบายยิ้มอ่อนโยนใส่ดวงตาคู่ตรงหน้า ก่อนจะถอดแว่นอันโตออก และยื่นหน้าเข้าหาใบหน้าน่ารักของฝูหรง ก่อนจะทำการวัดไข้ใบแบบฉบับของตัวเอง จนเจ้าของอุณหภูมิอุ่นๆที่มีไม่มากนัก ตัวอ่อนระทวยในอ้อมกอดตามมาด้วยระบบการหายใจติดขัด ผมจึงยอมปล่อยริมฝีปากอุ่นๆให้เป็นอิสระ ก่อนตระกองกอดร่างน้อยไว้แนบอก และไล้เกลี่ยไรผมชื้นๆแถวขมับ ตามด้วยการจรดริมฝีปากลงข้างแก้มใส ก่อนเคลื่อนไปกระซิบเสียงแผ่วหวิว พร้อมชิมใบหูแดงๆนั่นไปด้วย
“ยังมีไข้อยู่อีกนิดหน่อย เดี๋ยวกลับไปทานยาต่อนะครับคนป่วยที่น่ารักของพอล”
.........................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะหวานหยดสมใจคนชอบแนวนี้ใช่ม้า
คงมีคนอยากขโมยฝูหรงมานอนกอดสักคืนสองคืนแน่ๆ แต่ระวังพอลหน่อยก็ดีเนอะ

อย่างที่บอกว่าตอนนี้จะเปิดตัวละครอีกตัวที่จะมีบทบาทในอนาคต
และคงพอรู้ได้ว่ามิลลี่มีความสัมพันธ์กับพอลยังไง แต่อดใจอีกนิดจะได้รู้ความเป็นไป
ทั้งหมด และมาลุ้นกันว่าเธอจะสร้างความปั่นป่วนให้คู่นี้ได้มากน้อยแค่ไหน
ส่วนตอนหน้าจะได้รู้ความเป็นมาของฝูหรงตอนที่อยู่นิวยอร์กกัน
อยู่นู่นตั้งห้าปีจะไม่มีหนุ่มๆมาติดใจกระต่ายน้อยเชียวรึ
ติดตามได้ในวันพฤหัสฯค่ะ+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
