My Dear... Special Part 4 THE END (14/8/2557)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Dear... Special Part 4 THE END (14/8/2557)  (อ่าน 28445 ครั้ง)

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
My Dear... Special Part 4 THE END (14/8/2557)
« เมื่อ24-05-2014 12:05:02 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
















Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2014 16:30:27 โดย iiam »

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2


บทนำ

แสงแดดยามบ่ายเล็ดลอดผ่านกระจกบานใส ราวกับจะแผดเผาพื้นดินให้ลุกเป็นไฟ
ท่ามกลางความร้อนเช่นนี้ สิ่งที่ผู้คนต่างมองหาคือของว่างเย็นๆกับบรรยากาศเย็นๆที่ช่วยคลายความร้อน 
ร้านไอศกรีมเป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้น
เสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้น
พนักงานตัวเล็กในร้านรีบเอ่ยต้อนรับทันที “สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับครับผม”
 เสียงใสแว่วมาจากหลังเคาเตอร์แคชเชียร์ คนตัวเล็กก้มๆเงยๆอยู่กับลิ้นชักหลังเคาเตอร์  ไม่ทันได้เงยหน้ามองลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาด้วยเอกสารที่กำลังจัดอยู่เต็มมือไปหมด
ไม่รอให้ลูกค้ารอนานไปกว่านี้ คนตัวเล็กกระวีกระวาดคว้าเมนูที่วางอยู่ใกล้ๆติดมือไว้ ก่อนจะผลักประตูบานพับที่กั้นส่วนของพนักงานกับส่วนของร้าน ออกไปต้อนรับลูกค้าอย่างที่ตั้งใจไว้

 “จะไปไหนเดียร์?” คนตัวเล็กหันขวับตามเสียงเรียก เมนูยังถือค้างไว้อยู่ในมือ

“เอาเมนูไปให้ลูกค้าครับ” คนตัวเล็กกำลังจะผละออกไป ไม่ทันไรก็ชะงัก หันขวับมาหาคู่สนทนาอีกรอบ “ว่าแต่เมื่อกี๊โต๊ะไหนนะครับ?”
ประโยคคำถามจากคนตัวเล็กทำเอาคู่สนทนาที่เป็นเจ้าของร้านถึงกับหลุดขำในลำคอ

“เมื่อกี๊ฉันนั่งอยู่หน้าร้านก็ไม่เห็นว่ามีลูกค้าเข้านะ” เดียร์ขมวดคิ้วน้อยๆ

จะไม่มีได้ยังไงก็เมื่อกี๊เสียงกระดิ่งยังดัง….


“เมื่อกี๊คือเสียงพี่ล็อคเข้าร้านหรอครับ?” คนตัวโตพยักหน้าหงึกหงักกับคำถามนั้น
 คนตัวเล็กถอนหายใจเบาๆ ยิ้มให้เจ้าของร้านน้อยๆ ก่อนผละเดินออกไป
ทันใดนั้นข้อมือเรียวถูกคว้าไว้ คนตัวเล็กชะงักตามแรงดึง “จะไปไหนอีก?” เจ้าของร้านตัวโตจับข้อมือบางไว้แน่น

“ทำงานไงครับ” เดียร์เอียงคอน้อยๆ คล้ายข้องใจกับคำถามนั้น
เจ้าของร้านขำน้อยๆกับท่าทางของคนตัวเล็ก

ล็อคนั่งมองคนตัวเล็กจากหน้าร้าน ไม่เห็นมีทีท่าว่าเดียร์จะไปพักสักที ทนไม่ไหวจนต้องเข้ามาเตือน เดี๋ยวจะเป็นโรคกะเพราะไปซะก่อน
คนตัวโตชี้ไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ผนังของร้าน “ถึงเวลาพักแล้ว ไปพักก่อน” 
ทันใดนั้นกะเพราะของคนตัวเล็กก็ทำงานเป็นลูกคู่กับประโยคของเจ้าของร้านได้เป็นอย่างดี ส่งเสียงร้องโครกครากให้เจ้าของร่างตัวเล็กได้อายเล่น เดียร์หันมายิ้มแหยๆให้คนตัวโต

“งั้น…ผมไปพักก่อนนะครับ”
คนตัวโตอมยิ้มน้อยๆกับท่าทางของคนตัวเล็ก
เดียร์ผละออกไปหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กหลังเคาเตอร์ก่อนเดินออกไปหลังร้าน
ไม่ลืมส่งยิ้มหวานให้เจ้าของร้าน

ล็อคเดินไปหยุดหลังเคาเตอร์ประจำการแทนคนตัวเล็ก 
ดูเหมือนว่าเดียร์จะจัดเอกสารค้างไว้ มีบางส่วนที่เสร็จไปบ้างแล้ว
ทันใดนั้นล็อคสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นยะเยือกกระทบผิวหนัง
คนตัวโตคว้ารีโมทเครื่องปรับอากาศ เพิ่มอุณหูภูมิให้ร้าน เมื่อกี๊ยังร้อนอยู่แท้ๆ 
เขาว่าอุณหภูมิในร้านก็ไม่ได้เย็นขนาดนั้นนะ

“มึงจับมือเดียร์!”

ถ้าล็อคได้ยินเจ้าตัวต้องหูชาไปแล้วแน่ๆ
ล็อคไม่รู้เลยว่ามีธาตุอากาศบางใสกำลังตีหน้าเข้มอยู่ข้างๆ

ล็อคก้มหน้าจัดเอกสารต่อจากที่เดียร์ทำค้างไว้ พลันประตูบานพับหลังร้านก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง

คนตัวเล็กที่บอกว่าจะไปพัก เกาะขอบประตูหอบหายใจ

ล็อคเงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย

“อะ…เอ่อ… ผมลืมของครับ” คนตัวเล็กเดินมาหยุดด้านหน้าเคาเตอร์ที่ล็อคอยู่

ล็อคแอบเห็นว่าคนตัวเล็กกำมือข้างหนึ่งแน่น 

หรือไม่กล้าเข้ามาเอาของเพราะเกรงใจเขาที่อยู่ด้านใน?

“จะเอาอะไรหรอ บอกฉันได้นะ เดี๋ยวหยิบให้” ล็อคยิ้มน้อยๆให้คนตัวเล็กที่ตีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
คนตัวเล็กกวาดตาไปรอบๆโต๊ะเคาเตอร์ ก่อนหยิบปากามาหนึ่งด้าม “ดะ..ได้แล้วครับ ไปก่อนนะ”
ยิ้มหวานให้เจ้าของร้านก่อนกำมือแน่นเดินออกไป

ปากกา? อืม.. บางทีเดียร์คงเอาไปเขียนอะไรล่ะมั้ง

ล็อคไม่รู้ว่าที่เดียร์กำมือแน่นไม่ใช่เพราะอะไร

ถ้าเดียร์ไม่ได้ยินเสียงโวยวายของ’ธาตุอากาศ’ที่จ้องหน้าล็อคอยู่ คนตัวเล็กคงไม่รีบวิ่งเข้าร้านมาจับตัวให้ออกไปด้วยกัน
คนตัวเล็กเดินออกไปถึงลานโล่งหลังร้าน มองซ้ายมองขวา
เมื่อเห็นว่าคงไม่มีใครอยู่แถวนี้ คนตัวเล็กก็โวยวายออกมา “ตามมาทำไม!”
 เดียร์โวยวายกับธาตุอากาศที่อยู่ตรงหน้า
“ตามมาเฝ้าไง ถ้ารู้ว่าเดียร์จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวขนาดนี้นะ”  ร่างสูงพ่นเสียงในลำคอ 

เดียร์ขมวดคิ้วแน่น ไม่พอใจกับประโยคแบบนั้น

“พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ไม่เกี่ยวเลย! นายเลิกตามฉันสักทีได้ไหม!”
 เดียร์ตวาดลั่น พลันชะงักไปเมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองพูดเสียงดังเกินไป
คนตัวเล็กมองซ้ายมองขวาอีกครั้งให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นจริงๆ

 “จะไปไหนก็ไป อย่ามาวุ่นวายเวลางานของฉัน!” เดียร์ผละเดินหนีไป ปล่อยให้ธาตุอากาศลอยเคว้งอยู่เดียวดาย
“ไม่รู้ล่ะ เดียร์ไปไหน ผมไปด้วย” ธาตุอากาศที่ว่า วิ่งมาเดินขนาบข้างคนตัวเล็ก ไม่สนใจกับประโยคโวยวายยืดยาวของคนตัวเล็ก

เดียร์หันไปมองอย่างหงุดหงิด “วายุ!!”

“จะพูดคนเดียวอีกนานไหม? คนมองกันแล้วนะ”
เดียร์หันไปมองรอบข้าง  เขาเข้ามาในเขตชุมชนแล้ว
แม่ค้าขายผลไม้รถเข็นมองเดียร์ด้วยสายตาแปลกๆ คนตัวเล็กเห็นอย่างนั้นก็รีบก้มหน้างุด จ้ำเดินอย่างหงุดหงิด ก่นด่าธาตุอากาศที่เดินตามมา

วายุขำน้อยๆกับท่าทางของเดียร์ คนตัวโตผิวปากเดินตามอย่างสบายใจ


ยังไงก็หนีเขาไม่พ้นอยู่แล้วน่า…


# My dear





ฝากติดตาม My Dear ด้วยนะคะ  :กอด1:

 :mew1:



ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2


Chapter 1


เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่น ตอนเช้า ในห้องพักขนาดย่อม ใจกลางกรุง

แสงแดดพยายามสาดส่องเข้ามาให้กระทบถึงเจ้าของนาฬิกาปลุกที่ยังหลับไม่รู้ตื่นสักที 

เสียงนาฬิกาแผดลั่นไม่หยุด เพื่อนร่วมห้องรีบวิ่งเข้าห้องนอนมาปลุกเจ้าของนาฬิกาทันที

“ไอ้เดียร์โว้ย!”  เสียงหวานใสดังขึ้น ขัดกับรูปประโยคสุดห้าว

“ไอ้เดียร์! มึงไม่ตื่นไม่ว่า แต่ช่วยลุกมาปิดนาฬิกาไม่ได้รึไงวะ!”

คนถูกเรียกบิดน้อยๆ ดึงผ้าห่มคลุมโปงหันหลังหนีคนมาปลุก

พู่กันคว้านาฬิกามาปิด ก่อนหันมายื้อยุดดึงผ้าห่มผืนใหญ่ออกไปจากตัวเพื่อน

แรงพู่กันกับแรงของเดียร์ไม่ได้เยอะไปกว่ากันนัก สงครามผ้าห่มครั้งนี้ค่อนข้างสูสี

จนกระทั่งธาตุอากาศบางใสที่ยืนดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นทนดูต่อไปไม่ไหว

สุดท้ายก็ได้แต่ยื่นมือมาช่วยพู่กันดึงผ้าห่มจนผ้าผืนนั้นร่วงไปกองอยู่ข้างเตียง

พู่กันยืนมองอย่างตะลึงในความสามารถของตัวเอง

เรี่ยวแรงมหาศาลแบบนั้นมันมาได้ยังไง!

“มึงมีเรียนไม่ใช่รึไงไอ้กัน” เดียร์ลุกมานั่งตาปรือมองเพื่อนที่ยืนอ้าปากค้างอยู่ปลายเตียง

ตอนนั้นเองคล้ายพู่กันเพิ่งได้สติ สะบัดหัวน้อยๆไล่ความคิดแปลกๆออกไป “มีน่ะมันมีแน่ๆ แต่มึงจะรอให้ห้องข้างๆมาปิดนาฬิกาให้รึไง!”

เดียร์อ้าปากหาวกว้างๆ บิดตัวแรงๆ “ก็กำลังจะปิดแล้วมึงก็เข้ามา”  พู่กันได้แต่ส่วยหัวน้อยๆ  เหลือบไปมองนาฬิกาเจ้าปัญหาที่เอ้งเม้งอยู่หัวเตียงก็ตระหนักได้ว่าสายแล้ว

“โจ๊กอยู่ในหม้อ อุ่นอีกทีก็กินได้ กูไปเรียนแล้วนะ”

พู่กันอยู่กับเดียร์มานาน นานแค่ไหนก็จำไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ก็วิ่งเล่นกับเดียร์แล้ว อยู่กินกับมันจนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เรียนคณะโบราณคดีด้วยกัน จนตอนนี้ก็ปี 2 กันแล้ว จริงๆมีโต้งอีกคนที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน แต่ทั้งพู่กันและเดียร์เพิ่งรู้จักโต้งตอนขึ้นมัธยมต้น แต่ถึงอย่างนั้นก็อยู่กันจนยืดยาวมาถึงมหาวิทยาลัยเลยนี่ล่ะ

ถึงจะเรียนคณะเดียวกัน แต่วิชาที่ลงเรียนก็ต่างกันไป เพราะทางมหาวิทยาลัยอนุญาตให้นักศึกษาจัดตารางเรียนเองได้  พู่กันและเดียร์ที่ต้องเรียนไปทำงานไปจึงจัดตารางเรียนเพื่อความสะดวกของชีวิต

เสียงปิดประตูห้องเป็นสัญญาณที่เดียร์รับรู้ว่าพู่กันออกไปจากห้องแล้ว

คนตัวเล็กยังนั่งตาปรืออยู่บนเตียง

วันนี้วันจันทร์ มีเรียนตอนบ่าย

คิดอย่างนั้นก็ล้มตัวลงนอนไปอีกครั้ง

ไม่ได้สนใจธาตุอากาศที่ยืนอยู่ในห้องด้วยเลย

“ยังจะนอนต่ออีก” พึมพำเบาๆก่อนย่างกรายเข้าไปหาคนตัวเล็กที่นอนอยู่

“เดียร์ ลุกเถอะ สายแล้วนะ” ใบหน้าคมโน้มต่ำลงไปกระซิบริมหู
แตะตัวกันไม่ได้ แต่ได้ใกล้ชิดก็ยังดี

เสียงที่ดังอยู่ใกล้เกินไปทำให้เดียร์ลืมตาโพลง

ลืมไปเลย ลืมได้ยังไง!

ลืมได้ยังไงว่ามี”ใคร”อยู่ในห้องด้วย

เดียร์เด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ถอยร่นไปชิดหัวเตียง ธาตุอากาศที่ว่านั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ

“นายเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?” เดียร์กระวีกระวาดลุกไปตั้งหลักบนพื้น อย่างน้อยยืนอยู่บนพื้นก็ยังดีกว่านั่งอยู่บนเตียง

“ผมอยู่ในห้องนี้ตลอดเวลานะ” วายุยิ้มทะเล้น ท่าทางที่ทำเอาเดียร์ขมวดคิ้ว ยู่หน้า

เหนื่อยจะต้องต่อล้อต่อเถียงกับธาตุอากาศที่อยู่ตรงหน้าแต่เช้า เวลานอนดีๆหายไปหมด!

มันผิดพลาดตั้งแต่ตอนนั้น! ตอนที่เดียร์กับพู่กันย้ายหอ

ด้วยปัญหาเดิมๆเรื่องเดิมๆ ปัญหาของเดียร์ที่พู่กันรับรู้แล้วเข้าใจ

เรื่องที่เดียร์มีสัมผัสพิเศษ !

เดียร์มีความสามารถพิเศษนี้ตั้งแต่อยู่มัธยมปลาย และความสามารถยิ่งเข้มข้นไปอีกเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ใช่ว่าเดียร์ไม่กลัว

เพราะกลัวนี่ไงเลยต้องย้ายหอแล้วย้ายหออีก

ถ้าไม่ใช่เพราะหอที่ย้ายไปแต่ละที่จะมีวิญญาณคอยก่อกวนตลอดล่ะก็นะ  ไม่ได้มาก่อกวนแบบในหนังผีที่เคยดู แต่มาเป็นวิญญาณผู้ชายที่คอยตื๊อ ตอแย แหย่ หยอกล้อ แซว หรืออะไรเทือกนี้ 

นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เดียร์กลัว และไม่ชอบเอามากๆ!

ลำพังแค่เจอมนุษย์เพศชายตามตื๊อหรือเข้ามาวุ่นวาย เขาก็ระอาพอแล้ว นี่ยังเจอแม้กระทั่งวิญญาณ! ก็ไม่รู้ว่าวิญญาณผู้หญิงหายไปไหนหมดนะ

ไม่ใช่ว่าเดียร์ไม่เคยจีบผู้หญิง แน่นอนเกิดเป็นผู้ชายทั้งทีมันก็มีจีบสาวบ้าง แต่พอจีบติด แล้วคบกันไปได้สักพักก็โดนบอกเลิก สาเหตุส่วนใหญ่ที่โดนบอกเลิกเพราะผู้หญิงรับไม่ได้ที่เพื่อนๆของเธอทักว่าเธอคบกับทอม   คิดมาถึงตรงนี้ยิ่งปวดใจ เขาเป็นผู้ชายนะโว้ย เดียร์อยากตะโกนให้ดังไปถึงดาวพลูโต

ห้องที่เดียร์กับพู่กันอยู่ตอนนี้เป็นห้องที่เพิ่งย้ายเข้ามาได้ 3 วัน

มาวันแรกก็เจอเลย…

วายุ… เดียร์จำชื่อได้ พ่อคุณเล่นมาแนะนำตัวตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามา

ถึงเดียร์จะเจอวิญญาณผลุบๆโผล่ๆอยู่บ่อยๆ แต่มันก็ยังไม่ชิน แล้ววายุเล่นมาโผล่ตอนกำลังจะเข้าห้องน้ำ อารามตกใจทำให้เดียร์จำทุกอย่างในตอนนั้นได้ดี

ตั้งแต่เดียร์รู้ว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษแปลกๆ วายุเป็นวิญญาณแรกที่ขอความช่วยเหลือ และตื๊ออย่างถึงที่สุด การขอความช่วยเหลือของวายุเป็นอะไรที่เดียร์สุดลำบากใจที่จะให้ความช่วยเหลือจริงๆ



เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เดียร์มองไปรอบๆห้องนอน จำไม่ได้ว่าวางไว้ตรงไหนของห้อง คนตัวเล็กเดินวนอยู่ในห้องหาที่มาของเสียง วายุมองตามอยู่เงียบๆ

“ใต้เก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสือ” วายุชี้ไปยังที่มาของเสียงที่ร้องลั่นอยู่ เดียร์หันมามองวายุเป็นเชิงไม่พอใจก่อนก้มไปหยิบโทรศัพท์ที่ร้องอยู่ วายุไม่ได้เคืองกับสายตาเคืองๆของคนตัวเล็ก กลับกัน วายุกลับเห็นว่าท่าทางแบบนั้นของเดียร์ช่างน่าเอ็นดู

“ครับพี่ล็อค” เดียร์รับโทรศัพท์ทันทีที่คว้าโทรศัพท์ได้ ชื่อของคนที่เดียร์คุยด้วยทำเอาวายุคิ้วกระตุก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดทนรอฟังอยู่เงียบๆ

เดียร์หัวร่อต่อกระซิกกับคนในสายนานเกินไป ความอดทนของวายุใกล้หมดลงเต็มที  ว่าจะไม่เสียมารยาทฟังแล้วนะ  แต่เสียงหัวเราะของเดียร์ทำเอาวายุมีมารยาทนานไม่ได้จริงๆ

ไม่รอช้า วายุใช้ความสามารถพิเศษของตัวเองฟังเสียงคนในสายไปด้วย

ไม่นานการสนทนาทางโทรศัพท์ของเดียร์กับล็อคก็สิ้นสุดลง

คนตัวเล็กรีบคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำทันที

ถึงจะปิดประตูลงกลอนแน่นหนา แต่เดียร์คงลืมไปว่าวายุเข้าออกได้ทุกที่แม้มีสิ่งกีดขวาง

“จะไปไหน เดียร์?” คนตัวเล็กแทบสำลักฟองยาสีฟัน เมื่อได้ยินเสียงนั้นมาจากด้านหลัง เดียร์คาบแปรงสีฟันไว้ในปาก หันไปมองวายุอย่างไม่พอใจ  ถ้าเขาแก้ผ้าอยู่ล่ะวะ! โชคดีที่วายุเป็นวิญญาณที่มีมารยาทกว่าหลายวิญญาณที่เคยเจอ ขาอ่อนเดียร์เลยยังไม่เคยปรากฏแก่สายตาวายุ

“จะอาบน้ำ เข้ามาทำไม!” ตอบไม่ตรงคำถาม คนตัวเล็กพ่นฟองยาสีฟันใส่อากาศ ฟองสีขาวทะลุร่างวายุไปกระทบผนังห้องน้ำ วายุยังยืนตีหน้าเข้มมองเดียร์อยู่นิ่งๆ

“แล้วเดียร์จะไปไหนล่ะ?”

“เรื่องของฉัน” เดียร์หันไปตั้งหน้าตั้งตาแปรงฟันต่อ

“เรื่องของผมด้วย”

“อะไรอีกวะ?” เดียร์หันไปบ้วนปากก่อนหันมามองหน้าวิญญาณบางใสที่ตีหน้าเข้มอยู่ด้านหลัง

“ทำไมเดียร์ต้องทำตามคำพูดของหมอนั่นด้วย แค่มันโทรให้เดียร์ไปหา เดียร์ก็ไป” น้ำเสียงคล้ายไม่พอใจของวายุ ทำให้เดียร์ไม่พอใจในคำพูดนั้น

“พี่ล็อคเป็นเจ้านายฉันนะ! เขาให้ฉันไปช่วยงานที่ร้าน ฉันก็ต้องไปสิ!” น้ำเสียงเริ่มไม่พอใจ

“แต่มันยังไม่ถึงเวลางานของเดียร์” วายุยังเถียงต่อ เดียร์รู้สึกว่ามันเหมือนคำพูดของเด็กที่ถูกขัดใจ

“เป็นลูกจ้างนายจ้างกันจะไม่มีน้ำใจกันเลยรึไงวะ ฉันอยู่กับพี่ล็อคมาเป็นปีแล้วนะ” เดียร์ถอนหายใจแรงๆ

แล้วมันเรื่องอะไรที่เขาต้องมาเถียงอะไรยืดยาวแต่เช้าวะเนี่ย!

“ออกไปได้แล้ว จะอาบน้ำ”

เพราะเดียร์แตะต้องอีกฝ่ายไม่ได้ เลยยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ จะผลักออกก็ไม่ได้ ดีที่วายุก็แตะต้องเขาไม่ได้เหมือนกัน

“เดียร์” วายุเอ่ยชื่อเดียร์ออกมานิ่งๆ เดียร์ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก

“วายุ”  เอาสิ นิ่งมาก็นิ่งกลับ เดียร์จ้องหน้าวายุไม่ลดละ สุดท้ายเป็นวายุเองที่ยอมถอยออกมา เดียร์มองตามจนวายุทะลุประตูห้องน้ำไปจ้นพ้นถึงได้หันมาอาบน้ำจริงๆ

เดียร์ไม่เห็นวายุอยู่ในห้องจนกระทั่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ

คนตัวเล็กเตรียมจะออกจากห้องมุ่งหน้าไปที่ร้านไอศกรีมที่เขาทำงานอยู่ จู่ๆธาตุอากาศบางใสก็ลอยมาอยู่ตรงหน้า

“ไปด้วย” ท่าทางจริงจังของวายุ เดียร์รู้แน่ๆว่ายังไงก็ห้ามไม่ได้

เดียร์รู้สึกโล่งอกไปนิดหนึ่ง ที่วายุยังไม่เสียมารยาทตามไปโดยไม่บอก อย่างน้อยก็ยังขออนุญาตกันก่อน

คนตัวเล็กถอนหายใจหนักๆก่อนออกจากห้องพัก





# My dear



ตอนแรกมาแล้วค่ะ ^^
คนเขียนจะพยายามมาลงเร็วๆ คนอ่านจะได้ไม่ต้องรอนาน

ฝากติดตามน้องเดียร์ด้วยนะคะ   :mew1:


เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^^


 :pig4:

ออฟไลน์ ลิงภูเขา

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 816
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-4
น่ารักเนาะ ^^

เรื่องนี้ไม่มีมาม่าใช่ป่ะ?

ติดตามจ้า  :hao7:

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2

Chapter 2


ร้านไอศกรีมหน้ามหาวิทยาลัยในตอนสายของวันที่แดดร้อนระอุ เนืองแน่นไปด้วยลูกค้าหลากวัยที่มานั่งรับอากาศเย็นๆพร้อมของว่างเย็นๆช่วยคลายร้อน

เสียงกระดิ่งที่ประตูของร้านดังขึ้นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วไม่ทราบได้

เจ้าของร้านตัวสูงโปร่งกำลังวุ่นอยู่กับการจัดไอศกรีมใส่ถ้วยเตรียมเสิร์ฟให้ลูกค้า
พนักงานตัวเล็กที่เพิ่งเข้าร้านมา รีบโยนกระเป๋าสะพายไปในช่องเก็บของใต้เคาเตอร์ก่อนถลาไปคว้าถ้วยไอศกรีมจากมือของเจ้าของร้านทันที “พี่ล็อค มา ผมช่วยครับ”

“อ้าวเดียร์” ล็อคเผลอสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆที่ลอยมาจากคนตัวเล็ก กลิ่นแป้งอ่อนๆที่ลอยปะทะจมูกคม

“เฮ้ย พี่ล็อค!” เดียร์ร้องลั่น เกือบคว้าถ้วยไอศกรีมไว้ไม่ทัน ล็อคเล่นปล่อยกลางอากาศแบบนี้

ล็อคเพิ่งได้สติตอนนั้น คนตัวโตสะบัดหน้าน้อยๆไล่ความคิดแปลกๆ

เป็นอย่างนี้ตลอดเลยสิ เวลาอยู่ใกล้ๆเดียร์!
หลายครั้งที่เผลอทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัว เวลามีเดียร์อยู่ใกล้ๆ

“มาเร็วกว่าที่คิดแฮะ” ล็อคผละไปประจำอยู่หน้าเคาเตอร์แทน
ขืนอยู่ใกล้เดียร์นานกว่านี้ เขาต้องทำอะไรแปลกๆออกไปอีกแน่

“จากหลังมอมาหน้ามอ แป๊บเดียวครับพี่ ไม่มีรถติด” เดียร์ว่าเจื้อยแจ้วระหว่างรอปั่นน้ำมะนาวตามออเดอร์ที่แปะอยู่บนผนัง

“อยู่หอใหม่เป็นไงบ้าง?” วันย้ายหอ เขายังไปช่วยคนตัวเล็กขนของเข้าหออยู่เลย ถึงเดียร์จะปฏิเสธยังไงก็ตาม ล็อคก็ยังดื้อดึงมาช่วยขนของให้ได้ แค่ได้รู้ว่าเดียร์พักอยู่ยังไงก็สบายใจขึ้นไปอีกนึดหนึ่ง

“ก็โอเคครับพี่” เดียร์ว่าแค่นั้นในขณะที่หันหลังให้ล็อค คนตัวเล็กกำลังจัดไอศกรีมใส่ถ้วย พลางคิดไปถึงคำถามของล็อคก็ต้องยู่หน้าน้อยๆ มันจะโอเคกว่านี้ถ้าไม่มีวิญญาณวายุคอยวุ่นวายอยู่ในห้องนั้น

เดียร์ย้ายหอทันเปิดเทอมพอดี ย้ายเสร็จปุ๊บ เปิดเทอมปั๊บ
เดียร์ตั้งใจจะอยู่ที่ห้องใหม่นี้ แต่พอได้เจอวายุทำให้เดียร์ต้องกลับไปทบทวนใหม่

เดี๋ยวนะ วายุหรอ? …

พลันนึกถึงธาตุอากาศที่บอกว่าจะตามมาด้วย
เดียร์หันหลังขวับทันที แล้วก็ได้เจอ .. จริงๆด้วย
วายุตามมาจริงๆ
ร่างสูงโปร่งยืนขนาบข้างล็อคอยู่ที่เคาเตอร์ จ้องหน้าล็อคเหมือนโมโหกันมาเป็นชาติ

“โต้งล่ะครับ?” ไม่อยากสนใจธาตุอากาศนั้นเท่าไรนัก เดียร์ถามถึงเพื่อนอีกคนทันที เพื่อนที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมสถาบัน 

“เมื่อกี๊เพิ่งเอาไอศกรีมไปเสิร์ฟ” ล็อคว่าได้แค่นั้นก็ต้องหันไปคุยกับลูกค้าที่มาชำระเงิน

“มาได้ไงวะ?” เสียงมาก่อนที่ตัวจะมาถึง เดียร์หันไปมองที่มาของเสียงตามสัญชาตญาณ

โต้งเดินเข้ามา พร้อมถาดเสิร์ฟไอศกรีมในมือ

โต้งกับเดียร์มาทำงานร้านไอศกรีมด้วยกันตั้งแต่อยู่ปี 1  ส่วนพู่กันรับวาดภาพส่งงานตามเนท ตามคำแนะนำของโต้ง

“พี่ล็อคบอกให้มาช่วย เห็นว่าแค่มึงกับพี่ล็อคเอาไม่อยู่” เดียร์ว่าพลางส่งน้ำมะนาวปั่น 1 แก้ว พร้อมไอศกรีมที่จัดเสร็จใหม่ๆอีก 2 ถ้วยใส่ถาดยื่นให้โต้ง

วันนี้โต้งทำงานเช้าถึงเย็นเพราะไม่มีเรียนทั้งวัน ส่วนเดียร์ทำงานช่วงค่ำหลังเลิกเรียน ตารางเวลางานค่อนข้างเป็นไปแล้วแต่วัน อย่างวันนี้ อยู่ๆพี่ล็อคก็ให้มาทำงานตอนเช้า จะปฎิเสธก็กระไรอยู่ คิดซะว่าทำโอทีไปเลยแล้วกัน

“มึงมาแล้วดีจริงๆว่ะ ลูกค้ายิ่งเพิ่มเข้าไปอีก” โต้งว่าพลางมองไปรอบๆร้าน

แอบสังเกตว่าตั้งแต่เดียร์วิ่งเข้าร้านมา หลังจากนั้นไม่เกิน 10 นาที ลูกค้าผู้ชายก็เดินเข้าร้านตามมาไม่หยุด เท่าที่ดูส่วนใหญ่ก็เป็นนักศึกษาชายทั้งนั้น

“ลูกค้าเข้าร้านแล้วมันไม่ดีตรงไหนวะ อันนี้โต๊ะ 8 อันนี้โต๊ะ 3” เดียร์ไม่เข้าใจประโยคแกมประชดของโต้ง คนตัวเล็กหันไปจัดไอศกรีมใส่ถ้วยต่ออย่างขะมักขเม้น

“มีแต่ลูกค้าผู้ชายน่ะสิ!” เสียงที่ดังอยู่ใกล้ๆ เดียร์แน่ใจว่าเจ้าของประโยคกำลังสนทนากับตนแน่ๆ
ไม่รอช้ารีบเอ่ยต่อประโยคทันที เดียร์เข้าใจว่าล็อคกำลังคุยกับตน โดยเดียร์ไม่ได้เงยหน้ามองคนที่สนทนาด้วยสักนิด “มีแต่ลูกค้าผู้ชายแล้วแปลกยังไงหรอครับ?”

“ก็เพราะเป็นเดียร์ไง” เสียงที่ดังอยู่ริมหูทำเอาเดียร์หันขวับ

วายุยืนประกบหลังเดียร์แทบแนบชิด ดีที่ทั้งสองคนต่างสัมผัสกันและกันไม่ได้  เดียร์รีบหันกลับไปคืนทันที คนตัวเล็กหันไป

สนใจไอศกรีมในถังแทนธาตุอากาศที่ลอยอยู่

“เมื่อกี๊ว่าอะไรนะเดียร์?” ล็อคที่เพิ่งส่งลูกค้าเสร็จหันมาหาคนตัวเล็กที่ก้มๆเงยๆอยู่หน้าถังไอศกรีม

“เอ่อ….” เดียร์ชะงักไป “วันนี้ลูกค้าเยอะนะครับ” เดียร์หันมายิ้มแป้นให้คนตัวโตทันทีที่ตั้งสติได้

“เพิ่งเปิดเทอม ก็อย่างนี้หละ” ล็อคยิ้มอ่อนโยนให้คนตัวเล็ก ก่อนหันไปรับลูกค้าที่มาชำระเงิน ลูกค้ามาชำระเงินถี่จนล็อคอดเอะใจไม่ได้

จะอะไรเสียอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเดียร์อยู่หลังเคาเตอร์แคชเชียร์

ลูกค้าในร้านเริ่มบางตาลง  โต้งทยอยทำความสะอาดโต๊ะที่ลูกค้าออกไปแล้ว เดียร์ไม่รอช้า รีบไปช่วยเพื่อนทันที

ทั้งร้านมีพนักงานอยู่แค่สามคน  เดียร์เคยแอบถามล็อคหลายครั้งเรื่องพนักงาน แต่ล็อคก็ยืนยันว่าจะไม่รับเพิ่ม

ล็อคเพิ่งเปิดร้านไอศกรีมหน้ามหาวิทยาลัยตอนที่เดียร์และโต้งอยู่ปีหนึ่ง ความบังเอิญที่เดียร์เดินผ่านร้านไอศกรีมที่ยังตกแต่งไม่เสร็จดี เหลือบไปเห็นป้ายหน้าร้านว่ารับสมัครพนักงาน เดียร์กับโต้งไม่รอช้าที่จะเข้าไปสมัครทันที

ล็อคเป็นรุ่นพี่ร่วมสถาบันแต่เรียนกันคนละคณะ ล็อคเปิดร้านไอศกรีมตอนอยู่ปีสาม มาตอนนี้ก็อยู่ปีสี่ 

เนื่องจากล็อคเรียนคณะบัญชี การบริหารหารจัดการภายในร้านจึงไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งได้แรงสนับสนุนจากทางบ้านด้วยแล้ว แม้การมีธุรกิจเป็นของตัวเองจะยากลำบาก แต่ล็อคก็ผ่านมันมาด้วยดี

“โต้งอยู่ร้านคนเดียวได้ไหม?” ล็อคกำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าเคาเตอร์ ง่วนอยู่กับเก็บเอกสารที่รื้อมาลงบัญชี

“ได้ครับพี่” โต้งทำท่าวันทยหัตถ์  สีหน้าเข้ม เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากพนักงานตัวเล็กในร้านที่ทำความสะอาดโต๊ะอยู่ใกล้ๆกัน ล็อคขำน้อยๆกับท่าทางของโต้ง

“เดี๋ยวพี่กับเดียร์ไปกินข้าวเที่ยงแล้วจะเลยไปเรียนเลยนะ” ล็อคเดินไปล้างมือที่อ่างล้างมือด้านหลังเคาเตอร์
ประโยคของล็อคทำเอาเดียร์ตงิดใจไปพักหนึ่ง

“ไปกันเดียร์ เดี๋ยวสาย” ความรู้สึกตหงิดใจของเดียร์เพิ่มขึ้นไปอีกทันทีที่ล็อคเดินมา สีหน้าและท่าทางของล็อค ที่เดียร์ไม่ค่อยคุ้นนัก

คนตัวเล็กที่ถูกเอ่ยชวนยังยืนอ้ำอึ้งไม่ไปไหน โต้งเสมองไปนอกร้าน กระแอมในคอเหมือนทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็น กขค ซะงั้น

“อ้าว เฮ้ย! ไอ้หน้าม่อ” เสียงโวยวายที่เดียร์ไม่ได้ยินมาสักพักดังขึ้นมาจากด้านหลังเดียร์ คนตัวเล็กหันขวับตามสัญชาตญาณ

ล็อคเห็นว่าเดียร์มีท่าทีแปลกไป “มีอะไรหรือเปล่า?”

เดียร์ชะงัก “เอ่อ… ไม่.. ไม่มีอะไรครับ”

เดียร์วิ่งไปล้างมือเก็บของ ก่อนวิ่งมาคว้าข้อมือล็อคให้รีบออกไปจากร้าน “ฝากด้วยนะโต้ง” เดียร์ว่าแล้วผลุนผลันออกไป ล็อคเดินตามอย่างไม่เข้าใจ ใบหน้าคมคายปรากฏจุดยิ้มที่ริมฝีปาก

“เดียร์ จะวิ่งหนีกันอย่างนี้ไม่ได้นะ!” เสียงโวยวายที่เดียร์ได้ยินยิ่งทำให้เดียร์ก้าวเท้าเร็วขึ้น แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคนที่เดียร์จับมือไว้ออกแรงยื้อข้อมือไว้ก่อน

“รถพี่จอดอยู่ทางนู้น” ล็อคชี้ไปทางด้านข้างของร้านที่เว้นที่ไว้ให้ลูกค้าจอดรถได้  เดียร์ชะงักไป

“ไปขึ้นรถกัน”  เป็นล็อคที่เป็นฝ่ายจูงมือเดียร์บ้าง เดียร์เพิ่งรู้สึกตัวในตอนนั้นเองว่าตัวเองทำตัวรุ่มร่ามกับล็อคมากไป

“ขอโทษครับ” เดียร์เอ่ยเบาๆขณะที่ล็อคจูงมือเดียร์มาฝั่งข้างคนขับ

“หืม? ขอโทษทำไมครับ?” แววตาอ่อนโยนที่ส่งมาให้คนตัวเล็ก แต่เดียร์ไม่ทันสังเกตเห็น

“ผม… จู่ๆก็พาพี่ล็อคออกมา”

“ไม่เป็นไรน่า ขึ้นรถเร็ว” ล็อคเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้ เดียร์ยังยืนนิ่งไม่ขยับตัวไปไหน ยังไม่กล้าขึ้นรถ จนล็อคต้องออกแรงดันตัวเดียร์เบาๆ คนตัวเล็กถึงได้ยอมนั่งลงอย่างว่าง่าย ล็อคปิดประตูรถพร้อมเดินมาขึ้นรถฝั่งคนขับ

รถเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ แล่นอยู่บนถนนที่เดียร์ไม่คุ้นตา คนตัวเล็กมองซ้ายมองขวาอย่างสงสัย ออกจะแปลกใจไม่น้อยที่ล็อคพาเขาขับรถออกมาข้างนอกแทนที่จะเป็นในเขตสถาบันอย่างที่คิดไว้ตอนแรก

จะทักก็ไม่กล้า เดี๋ยวจะกลายเป็นยุ่งเรื่องของเจ้านาย จะนั่งอยู่เฉยๆก็ข้องใจ

“มึงจะพาเดียร์ไปไหน!” ตะโกนไปสิ ถ้าคิดว่าล็อคจะได้ยิน

เสียงโวยวายแบบนั้นมีแค่เดียร์เท่านั้นที่รับรู้ได้

คนตัวเล็กหันขวับไปตามที่มาของเสียง

ยังจะตามมาอีก!

เป็นใครไปไม่ได้ …วายุนั่งอยู่เบาะหลัง ตีหน้าเข้มใส่ล็อค ที่ล็อคไม่มีทางรับรู้ได้


ล็อคเห็นเดียร์มีท่าทีแปลกไป คล้ายตอนแรกที่เป็นในร้าน “อะไรหรอเดียร์?”

คนตัวเล็กเลิ่กลั่ก พยายามประมวลผลหาคำตอบดีๆ  ยังไงก็ยังปรับตัวไม่ได้อยู่ดีกับการผลุบๆโผล่ๆของวิญญาณอยู่ดี “พี่ล็อค… พาผมไปไหนหรอครับ?” เดียร์คิดว่านี่เป็นคำตอบที่ดีแล้ว ถึงมันจะเป็นในรูปของคำถามก็เถอะ

“กินข้าวเที่ยงไง” ล็อคมองถนนไปก็ยิ้มไป บนถนนมันมีอะไรน่ายิ้มให้ขนาดนั้นเลยหรือ

“แต่กินในมอก็ได้นี่ครับ” ไม่ได้จะเถียงนะ แต่สงสัยจริงๆ เดียร์รู้สึกว่าธาตุอากาศที่ตามมา กำลังฟึดฟัดหัวเสียอยู่ที่เบาะหลัง คนตัวเล็กส่งสายตาไปปรามวายุทันที

“ในมอคนเยอะ กินข้างนอกดีกว่า แล้วเดี๋ยวพี่ไปส่งที่คณะ”

ไม่นานล็อคก็เลี้ยวรถเข้าจอดในร้านอาหารที่ตั้งอยู่ข้างทาง

ลืมร้านก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่รถเข็นไปได้เลย เพราะที่ล็อคพามามันคือร้านอาหารสองชั้นที่มีพนักงานมาบริการรับรถเข้าไปจอด

เดียร์ลงจากรถอย่างอึ้งๆ

พี่ล็อคพามาที่แบบนี้ทำไม!

“พี่ล็อค” เดียร์เอ่ยเรียกชื่อคนตรงหน้า ตาก็มองร้านอาหารหรูหราอย่างเกรงๆ

“มาเร็วเข้า เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทันนะ”

ทันทีที่เข้าไปในร้าน เดียร์เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเดียร์เลยจริงๆ

ลูกค้าในร้านแต่ละคนแต่งตัวดีๆกันทั้งนั้น เสื้อผ้าหน้าผม พร้อมออกงานตลอดเวลา เดียร์แอบมองตัวเองผ่านกระจกที่เดินผ่าน เสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่ใส่อยู่นี่ไม่เหมาะกับจะเป็นลูกค้าที่นี่เลยจริงๆ

“จองไว้แล้วครับ” ล็อคเอ่ยกับพนักงานที่อยู่แถวนั้น เดียร์หันมองคนตัวโตทันที
ไปจองอะไรยังไงไว้ตอนไหน!

บริกรนำเดียร์และล็อคไปยังมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวของร้าน
ทันทีที่นั่งลง ล็อคก็เริ่มร่ายเมนูใส่บริกรทันที

“อาหารที่นี่อร่อยนะ พี่มาทานบ่อย” ล็อคคุยกับเดียร์พลางสั่งอาหารไปพลาง บริกรยืนรอรับออเดอร์อยู่ไม่ไกล เดียร์มองเมนูแล้วก็ได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อก กลืนน้ำลายยังรู้สึกดีกว่ากลืนอาหารที่มีในเมนู

ทำไมตัวเลขที่บ่งบอกว่าเป็นราคามันมีหลายหลักขนาดนี้!

“เดียร์ทานอะไรดีครับ?” ล็อคยิ้มอ่อนโยนให้คนตัวเล็กที่ตีหน้ายุ่งใส่เมนู  ดูเหมือนว่าเดียร์จะขาดการติดต่อกับล็อคไปแล้ว

“เดียร์… เดียร์ครับ” ล็อคเรียกอีกครั้ง คนตัวเล็กยังคงนั่งนับจำนวนหลักของราคาที่แปะอยู่ตามชื่ออาหาร

“ไม่ต้องกินเลยเดียร์ ลุกออกไปเลย” เสียงโวยวายที่ดังอยู่ริมหูทำเอาเดียร์หลุดจากภวังค์ คนตัวเล็กกระพริบตาปริบๆมองล็อคที่นั่งอยู่ตรงข้าม ไม่ลืมหันไปส่งสายตาเคืองๆให้วายุที่ชอบวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง

“ผมเอ่อ….ไม่ทานดีกว่าครับ” เดียร์ค่อยๆวางเมนูไว้บนโต๊ะ ไม่รู้ว่าถ้าทำเมนูเป็นรอยจะต้องเสียเงินเพิ่มหรือเปล่า

“ทำไมล่ะเดียร์ อาหารไม่น่าทานหรอ?” ล็อคมีสีหน้าอ่อนโยนจนเดียร์เริ่มหนักใจ คนตัวเล็กรีบปฎิเสธทันที

“ไม่ใช่ครับพี่ล็อค…คือมัน…แบบว่า…. ” เดียร์ตีสีหน้าปั้นยาก
มือเล็กเริ่มควักกระเป๋าเงินออกมานับเงินในกระเป๋า คนตัวโตที่นั่งอยู่ตรงข้ามอมยิ้มกับท่าทางนั้น “มื้อนี้พี่เลี้ยง ไม่ต้องเกรงใจ”

“เฮ้ย! ไม่เป็นไรครับพี่ล็อค”  คนตัวเล็กรีบปฏิเสธให้วุ่น
ล็อคไม่รอช้ารีบสวนทันที “ปฏิเสธเจ้านายหรอ?” เสียงเข้มๆของล็อคทำเอาเดียร์ชะงักไป

คนตัวเล็กนั่งก้มหน้าน้อยๆ  “แต่มัน…”

“เอาน่า พี่บอกว่าเลี้ยงก็เลี้ยงสิ” ล็อคหันไปสั่งอาหารให้เดียร์
เสร็จสรรพ บริกรก็ขอตัวออกไป

เดียร์นั่งเกร็งอยู่อย่างนั้นจนอาหารมาเสิร์ฟ
ปลาทอด แกงจืด ต้มฟัก หรือแม้แต่ไข่เจียว ค่อยๆทยอยมาเสิร์ฟ

เดียร์มองอาหารที่มาเสิร์ฟไม่ยอมหยุดจนมันกองเต็มโต๊ะ

ปกติแค่ไข่เจียวอย่างเดียวก็อิ่มได้อย่างน้อยก็สองมื้อ แล้วอาหารเกือบสิบอย่างแบบนี้ เขาจะกินได้ยังไง เดียร์อยากสั่งข้าวเปล่า(เพราะคิดว่าน่าจะถูกที่สุด)มานั่งกินแกล้มกับมองอาหารพวกนี้ไปพลางๆ แค่นั่งมองก็น่าจะอิ่มแล้ว ยิ่งคิดถึงราคาก็แทบไม่กล้ากลืน

ล็อคต้องใช้เวลากล่อมเดียร์อยู่นานกว่าคนตัวเล็กจะยอมทานข้าวได้ และต้องใช้เวลาเพิ่มเข้าไปอีกกว่าเดียร์จะยอมทานให้หมด แม้คนตัวเล็กจะปฏิเสธว่าอิ่มแล้ว แต่เสียงท้องที่ดังไม่หยุดของคนตัวเล็กไม่ได้ทำให้ล็อคเชื่อในคำพูดของเดียร์เลย

เจ้าของร้านไอศกรีมทำหน้าที่ราชรถไปส่งพนักงานในร้านถึงตึกคณะ เป็นจุดรวมสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นได้ไม่ยาก

“ขอบคุณครับพี่ล็อค” คนตัวเล็กหันไปขอบคุณเจ้านายก่อนกระชับสายกระเป๋าสะพายแน่น

ที่ว่านั่งอยู่ในรถเดียร์รู้สึกเกร็งแล้ว พอลงจากรถยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่  ความรู้สึกที่ว่าเป็นจุดสนใจมันเป็นแบบนี้นี่เอง เดียร์ไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าตึกคณะ วิ่งหาห้องเรียนทันที

รู้สึกเหมือนลืมอะไรไปบางอย่าง แต่ก็สุดจะนึกถึง คนตัวเล็กตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหาห้องเรียนต่อทันที









# My dear




ตอนที่ 2 ตามมาติดๆ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ฮี่ๆๆ
ว่าแต่…. มีใครอยู่มั้ยยยยยยย  T T

ผีเรื่องนี้ ไม่น่ากลัวนะ  :mew6:
อาจจะแอบมีดราม่าบ้างนิดๆ แฮ่ๆ
แอมไม่เน้นดราม่าค่ะ   :mew1:

เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^


 :กอด1:





ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
สนุกดีค่ะ
มีแต่คนมาชอบน้องเดียร์ แล้วน้องเดียร์จะทำไงล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2


Chapter 3




วายุยืนหัวเสียอยู่อย่างเดียวดายกลางแสงอาทิตย์ยามบ่าย สายตาคมมองตามร่างเล็กๆของ “ผู้ช่วยชีวิต” ที่วิ่งลงจากรถเก๋งคันงาม

วายุต้องใช้ความอดทนมากมายเพื่อระงับความรู้สึกไม่พอใจไว้

เขาต้องใช้ความพยายามข่มอารมณ์แค่ไหนตอนที่เห็นเดียร์กับหมอนั่นหยอกล้อกันในรถ!

นั่งหัวเสียอยู่ในรถไปเดียร์ก็ไม่ได้หันมาสนใจ
สุดท้ายวายุเลยจำต้องเนรเทศตัวเองออกจากรถ ตามมาอย่างห่างๆ

ที่วายุต้องเป็นแบบนี้เป็นเพราะเดียร์!
เพราะเดียร์คนเดียว!

ทั้งๆที่วายุพยายามอธิบายเหตุผลต่างๆนานาว่าเดียร์คือคนเดียวที่จะทำให้วายุฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้

แต่คนตัวเล็กกลับหาว่าเรื่องที่วายุอธิบายคือเรื่องโกหก หรือที่เดียร์ชอบประชดเขาบ่อยๆว่าถูก”ผีหลอก”

วายุในตอนนี้เป็นเหมือนคนครึ่งเป็นครึ่งตาย แม้วิญญาณจะลอยอยู่อย่างนี้ แต่ร่างกายของวายุยังถูกสายน้ำเกลือ ท่อหายใจ หลอดอาหาร และเส้นสายอะไรต่อมิอะไรพันร่างกายอยู่ในโรงพยาบาลหรูใจกลางเมือง

เขาเป็นเจ้าชายนิทรามาสี่เดือนแล้ว…

วายุเป็นนักศึกษาฟิสิกส์ชั้นปีที่ 2 สถาบันเดียวกับเดียร์ (แม้ว่าจะมารู้เรื่องนี้ทีหลังก็ตาม)  ด้วยความที่วายุเป็นนักศึกษาคณะวิทย์ เขาไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณ ผีสาง ยมทูตอะไรทั้งนั้นที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้

จากที่เมื่อก่อนต่อต้านเรื่องพรรค์นี้สุดๆ
ถ้าไม่ได้”เจอ”มากับตัวเอง ให้ตายยังไงก็ไม่เชื่อว่าเรื่องพวกนี้มันจะมีอยู่จริง

จนกระทั่งวันนั้น… ที่”ใครคนนั้น”โผล่มาในวันที่เขาเห็นร่างตัวเองนอนหมดสติคาพื้น เพียงเพื่อจะบอกเขาว่า

“เจ้ายังไม่ถึงฆาต วิญญาณของพ่อหนุ่มเพียงหลุดออกจากร่างชั่วขณะ”

ชั่วขณะ!!!

4เดือนนี่ชั่วขณะพอไหม!!

เขาต้องเป็นวิญญาณที่กลับเข้าร่างไม่ได้มาสี่เดือน!
แล้วที่น่าเจ็บใจกว่านั้น “ใครคนนั้น”ดันบอกเรื่องที่น่าเจ็บใจที่สุด

“ต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้า.. มารับวิญญาณผิดดวง  วิญญาณที่ต้องไปกับข้าคือดวงที่อยู่ข้างล่างที่ป้ายรถเมล์ห่างจากที่นี่ไป 2 ไมล์”

คิดถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่ทึ้งหัวตัวเอง
วายุไม่เคยหงุดหงิดอะไรได้เท่านี้อีกแล้ว ยมทูตสมัยนี้สะเพร่าได้ขนาดนี้เลยรึไงวะ มาแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่าชื่อเหมือนกันเลยมาลงผิดที่ แล้วร่างเขาที่นอนหัวฟาดพื้นอยู่นี่ล่ะจะให้ทำยังไง

คนกำลังอาบน้ำอยู่ดีๆ แล้วลื่นล้มหัวฟาดพื้น เพียงเพราะก้อนสบู่ที่”จงใจ”หล่นมาอยู่ที่ฝ่าเท้า

อย่าให้พูดเลยว่าวันนั้นเขาต้องมองร่างอันเปล่าเปลือยของตัวเองถูกหิ้วออกจากห้องน้ำด้วยสีหน้าอย่างไร
กว่าจะตั้งสติได้  วายุที่เป็นวิญญาณก็พยายามคว้าเสื้อผ้ามาใส่ ถึงมันจะลำบากหน่อยก็เถอะ แล้วเขาก็เพิ่งได้เรียนรู้เมื่อเป็นวิญญาณใหม่ๆนี่เอง  ว่าต้องเพ่งสมาธิมากแค่ไหนกับการพยายามทำอะไรก็ตามที่ต้องการ
พ่อกับแม่ของวายุรุดมาที่เกิดเหตุก็ตกอกตกใจกันเป็นแถบๆ วิ่งตามรถโรงพยาบาลไปอย่างไม่รีรอ
ต้องขอบคุณอาโปน้องชายผู้น่ารักที่ใจดีเอาผ้าคลุมร่างกายเขาไว้ก่อนจะขึ้นรถโรงพยาบาลไป

“เจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้ต่อเมื่อเจ้าพบพานผู้เป็นที่รัก”   

มันเรื่องอะไรอีกเล่าทีนี้

“เจ้าต้องรอจนกว่าเขาจะมาหาเจ้า มันเป็นกฎของวิญญาณที่ยังไม่พบรักแท้ก่อนตาย ข้าจะเป็นคนอนุญาตให้วิญญาณของทั้งคู่เจอกันก่อนไปจุติใหม่  แต่กรณีของเจ้า ข้าผิดเอง ดังนั้นเท่ากับว่าข้าอนุญาตเจ้าครึ่งหนึ่งเป็นการขอขมาเจ้า”

ยิ่งฟังก็ยิ่งงง

แค่นั้น! แค่นั้นจริงๆ แล้ว”ใครคนนั้น”ก็หายไป

แต่ยัง!!!

แค่นั้นยังไม่พอ  ถ้าวายุต้องเจอกับผู้ที่อาจจะมานรกนั่นแล้ว
แล้วไอ้แสงวิ้งๆแสบตาตรงหน้าเขานี่มันอะไรกันอีกวะ!!!

“ยมทูตนั่นมันอะไรนักนะ! ชอบกวนตอนคนกำลังหลับกำลังนอน”

เสียงมาก่อนที่วายุจะเห็นร่างอันเป็นที่มาของเสียง
แล้วก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดกับความงามที่เค้าได้ประจักษ์กับสายตาตัวเอง

อุบ๊ะ!!!  นี่คนหรือนางฟ้าวะเนี่ย!!!!!!

“กามเทพพอพ่อหนุ่ม” เสียงนั่นตอบกลับมาเหมือนอ่านความคิดเขาได้ 

พาลทำให้เค้าแอบคิดชั่วแวบหนึ่งว่ากามเทพมันผู้ชายไม่ใช่หรือไง

“เจ้าชื่อวายุสินะ  ทำไมไอ้ยมทูตมันถึงแยกไม่ออกกับแค่ชื่อคน หน้าตาก็ไม่ได้เหมือนกันเล้ย นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย”

ยังบ่นไม่เลิก วายุชักสีหน้าไม่เข้าใจซักพักก็เกือบหลุดขำแล้วก็อยากร้องไห้ไปในเวลาเดียวกัน
 นี่มันเรื่องอะไรกันวะ

“ทีนี้เจ้าฟังข้านะ  ไอ้เรื่องอนุญาตนั่นน่ะ มันคือกฎบ้าๆของทางนรกนั่นบัญญัติขึ้น เจ้ายังไม่เจอรักแท้สินะ แต่ในเมื่อวิญญาณเจ้าหลุดจากร่างแล้ว คนเดียวที่จะทำให้วิญญาณเจ้ากลับเข้าร่างได้คือคนรักของเจ้า”

ถ้าแมลงวันบินเข้ามาฟักไข่ในปากวายุได้มันคงมีเหลนกันแล้ว
นี่คือนรกสวรรค์จะสนุกกันไปไหม มาเร็วไปเร็ว ไม่มีหยุดพักหรือเกริ่นอะไรเลย

“ดังนั้นเจ้าจะได้เจอผู้เป็นรักแท้ของเจ้าที่ห้องนี้ พรหมลิขิตถูกขีดไว้แล้ว เขาต้องมาที่นี่ ที่เหลือคือหน้าที่ของเจ้า ทำอย่างไรก็ได้ให้เขามอบความรักให้เจ้าด้วยใจบริสุทธิ์”

วายุคงแสดงสีหน้าไม่ต่างจากตอนแรกเท่าไร กามเทพหนุ่มตรงหน้าถึงต้องต่อประโยคต่อไปอย่างช่วยไม่ได้

“ก็ไม่รู้ว่าข้าจะพูดให้มันสวยหรูทำไมนะ เอาง่ายๆนะ คือเจ้าต้องทำให้คนรักของเจ้ารักเจ้าให้ได้ แค่นั้นเขาก็สามารถช่วยให้วิญญาณเจ้ากลับเข้าร่างได้แล้ว  เพราะเขาคงไม่ใจร้ายปล่อยให้วิญญาณเจ้าลอยไปลอยมาเช่นนี้หรอก”

“ในสภาพนี้เนี่ยนะ!!!!!!”

ตอนนั้นเองที่วายุเริ่มมีปากมีเสียงกับคนตรงหน้า
จะให้เขาที่เป็นวิญญาณทำให้คนธรรมดามารักเนี่ยนะ มันจะตลกไปไหม ถึงเขาจะไม่เข้าใจไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนอาบน้ำแล้วก็เถอะ

“ใช่ นั่นแหละ ตามนั้นเลย เข้าใจง่ายดีนี่พ่อหนุ่ม”

โอ้ยยย  นี่เขาไปเข้าใจตอนไหนวะ!!!!!!!!!

“คนที่จะต้องมาพักห้องนี้มีไม่กี่คนหรอก เนื้อคู่เจ้ามีความสามารถที่ต่างจากคนทั่วไป ดังนั้นเขาจะมองเห็นเจ้า จริงสิ! ข้าต้องให้คำใบ้เจ้าด้วยสินะ”

ว่าแล้วกามเทพหนุ่มก็หยิบกระดาษม้วนแผ่นใหญ่ออกมาก่อนจะคลี่ออก ทำให้วายุพบว่าหางกระดาษมันหล่นไปกองม้วนกันอยู่ที่ปลายเท้าสูงแค่ไหน

“อ้า นี่ไงเจอแล้ว!”  กามเทพหนุ่มยิ้มระเรื่อเมื่อค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการเจอจากกระดาษม้วนแผ่นยักษ์นี่

“กวางน้อยผู้เป็นที่รัก” 

ว่าจบก็ม้วนแผ่นกระดาษยักษ์นั่นเก็บไป

“นั่นล่ะคำใบ้ผู้เป็นรักแท้ของเจ้า  ข้าไปละ มีความสุขกับชีวิตหลังจากนี้นะ  ข้าต้องตามไปโวยยมทูตครั้งที่เท่าไรแล้วเนี่ย ทำงานพลาดตลอด”

ตอนมาบ่นยังไง ตอนไปก็บ่นไปอย่างนั้น
แล้วแสงวิบวับที่เค้าเผชิญหน้าก็หายไป

คิดถึงตรงนี้วายุอดอมยิ้มไม่ได้
ก็ใครจะคิดล่ะว่า”กวางน้อยผู้เป็นที่รัก”จะน่ารักขนาดนี้



วายุเคยเล่าเรื่องนี้ให้เดียร์ฟังหลายครั้ง

คนตัวเล็กกลับส่งสายตาไม่เชื่อมาให้ พอวายุอธิบายเหตุผลต่างๆนานาเข้าไป ก็โดนคนตัวเล็กย้อนมา“แน่ใจได้ยังไงว่าเป็นฉัน!”

จะไม่ให้แน่ใจได้อย่างไร “กวางน้อยผู้เป็นที่รัก” เล่นมาทั้ง DEER ทั้ง DEAR แบบนี้

และมันคงจริงอย่างที่กามเทพตนนั้นว่า เพราะตลอดสี่เดือนที่วายุนับวันรอ”ผู้ช่วยชีวิต”ที่จะช่วยให้เขากลับคืนร่าง ไม่มีใครเข้ามาพักห้องนี้เลยจนกระทั่งเดียร์กับพู่กันเข้ามา แล้วยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่ เมื่อคนที่มองเห็นเขามีแค่เดียร์เท่านั้น แค่เดียร์จริงๆ ไม่ว่าพู่กัน โต้ง ไอ้ล็อคหรือใครก็ตาม ไม่มีใครมองเห็นวายุเลย







สี่โมงเย็นเป็นเวลาเลิกเรียน

เดียร์ลากเท้าเดินไปตามวิถีอย่างไม่เร่งรีบนัก

ที่ต้องเดินอยู่คนเดียวเพราะพู่กันไม่ได้ลงเรียนวิชานี้ด้วยกัน เดียร์เดาว่าป่านนี้พู่กันมันคงนอนวาดรูปอยู่ที่หอแน่ๆ

คนตัวเล็กควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า กดดูเวลา

มีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลางานที่ร้านไอศกรีม

ร้านไอศกรีมของล็อคอยู่หน้ามหาวิทยาลัย

ไม่ต้องนั่งรถก็เดินไปถึงแบบไม่เมื่อย

แสงแดดยามเย็นสาดส่องลงกระทบผิวน้ำในคลองข้างทาง

ลมเย็นๆพัดโชยใบไม้หวิดปลิวร่วงจากต้น

คนตัวเล็กสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเย็นเข้าเต็มปอด

เสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างหล่นลงน้ำ เดียร์หันไปดู พลันใบหน้าใสปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ  นึกขำในสิ่งที่เห็น

ลูกหมาสามตัวพากันกระโจนลงไปในน้ำ ลอยคอ ตีขา เหมือนต้องการคลายร้อน ก่อนลูกหมาเหล่านั้นจะเดินมาสะบัดขนข้างทาง

ใบหน้าใสที่ปรากฏรอยยิ้มโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำเอาธาตุอากาศบางใสที่เดินตามมาข้างหลัง เผลอยิ้มตามรอยยิ้มนั้นไปด้วย


ใช้เวลาไม่นานคนตัวเล็กก็เดินมาถึงร้านไอศกรีม

เสียงกระดิ่งรูประฆังอันเล็กๆดังขึ้น ก่อนร่างบางจะเดินเข้ามา

 เดียร์ผลักประตูบานพับที่กั้นส่วนของร้านกับส่วนของพนักงาน เข้าไปทักทายเพื่อนตัวโตที่ประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์ “คนเยอะมั้ย?” เดียร์ว่าพลางยัดกระเป๋าสะพายที่มีอุปกรณ์การเรียนอยู่ในนั้น ลงไปในล็อคเกอร์ว่างข้างเคาน์เตอร์

“แทบบบบไม่ต่างกับช่วงเช้า กูเกือบเอาไม่อยู่แล้ว” โต้งส่ายหน้าน้อยๆ  คนตัวโตผละไปล้างมือที่ซิงค์ที่ตั้งอยู่ด้านในของร้านตรงข้ามเคาน์เตอร์

“เก่งมาก” เดียร์ชูนิ้วโป้งให้เพื่อนสองข้าง ก่อนหันไปรับลูกค้าที่มารอชำระเงินพอดี

โต้งยืนเช็ดมือพลางสายตาคมเหลือบไปนอกร้าน เห็นคนตัวเล็กที่จำได้ขึ้นใจหอบกระดานไม้แผ่นโต เดินมุ่งหน้ามาทางร้านไอศกรีม

โต้งมองตามจนคนตัวเล็กคนนั้น เดินเข้ามาในร้าน

“อ้าว ไอกัน” เดียร์เอ่ยทักทีคนตัวเล็กที่โต้งกำลังมองอยู่พอดี

พู่กันยิ้มแป้นให้เพื่อนทั้งสองคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ ก่อนจะเดินไปหามุมเหมาะๆของร้าน วางแผ่นไม้กระดานที่หอบมาไว้ข้างพื้น

“ไปไหนมา?” เป็นโต้งที่เดินเข้ามาประชิดตัวเพื่อนก่อน

ประโยคคำถามที่เกิดจากการประมวลผลแล้วว่า เพื่อนตัวเล็กคนนี้คงต้องไปข้างนอกมากแน่ๆ ดูจากเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนที่พู่กันใส่อยู่ ไหนจะกางเกงแสลคสีดำที่เข้าชุด ชุดแบบนี้ไม่ใช่ชุดที่พู่กันใส่บ่อยนัก

“ไปส่งงานให้ลูกค้ามา พอดีมีเงิน เลยอยากกินไอติม” พู่กันยิ้มแป้นให้เพื่อนตัวโตที่ยังจ้องหน้าพู่กันเหมือนพู่กันไปขโมยกระเป๋าเงินมา

“ลูกค้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ไปส่งที่ไหน? งานอะไร?”

“เอ้าๆๆ จะให้กันตอบคำถามไหนก่อนวะไอโต้ง” เดียร์ผละจากเคาน์เตอร์เดินมาหาเพื่อนตัวเองบ้าง โต้งยังตีหน้าขรึม มองพู่กัน

“ถามแบบนี้หึงแน่ๆ” เสียงที่ดังมาจากข้างเดียร์ทำเอาเดียร์หันขวับด้วยความตกใจ  เสียงที่เงียบไปพักใหญ่ จนเดียร์เกือบลืมไปแล้วว่ามีอะไรคอยตามตัวเองอยู่ตลอด เดียร์ไม่ได้ให้ความสนใจเสียงนั้นเท่าไหร่ คนตัวเล็กหันไปสนใจเพื่อนตัวเองต่อ “เอาอะไรดี เดี๋ยวกูไปตักให้” 

“ก่อนกูจะสั่งนะ กูสงสัย มึงจะนั่งจ้องหน้ากูทำไมวะไอ้โต้ง!”

พู่กันยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆไปหน้าคมของเพื่อนตัวโต คล้ายจ้องกลับ  โดยไม่ทันตั้งตัว โต้งเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ ใครจะรู้ว่าอยู่ๆพู่กันจะยื่นหน้าเข้ามาแบบนี้

“กะ..กูเห็นฝุ่นติดหน้ามึง แต่กูไม่กล้าบอก” แค่นั้นโต้งก็กุลีกุจอพรวดพราดลุกอออกไป มีลูกค้าเข้าร้านพอดี

โต้งเลยเดินไปคว้าเมนูเอาเตรียมบริการทันที

เดียร์มองโต้งด้วยความไม่เข้าใจ เมื่อกี๊ก่อนมันลุกออกไป จู่ๆหูมันก็แดง หรือมันทำงานหนักจนเป็นไข้?

เดียร์หันมามองเพื่อนตัวเล็ก ไม่สิ พู่กันก็ไม่ได้ตัวเล็กไปกว่าเดียร์นักหรอก บางทีเดียร์อาจจะตัวเล็กกว่า เอ่อ…ช่างเถอะ เอาเป็นว่า เดียร์กันมามองพู่กันที่กำลังใช้แขนเสื้อตัวเองเช็ดหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ฝุ่นเปื้อนหน้านี่ เห็นชัดขนาดนั้นเลยหรอวะ?” เสียงพู่กันอู้อี้มาตามแขนเสื้อ เดียร์อดขำไม่ได้

“ช่างฝุ่นมันเถอะ ว่าแต่มึง เอาอะไรดี?”

พู่กันยอมเอาแขนเสื้ออกจากหน้า หันมาบอกเมนูที่อยากทาน

ตกลงเมนูกันเสร็จเรียบร้อย เดียร์ก็เดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ จัดการเมนูให้เพื่อนตัวเองทันที

“โต้งชอบพู่กันมานานแค่ไหนแล้วหรอ?” เสียงในอากาศที่เดียร์ได้ยินอยู่คนเดียว ทำเอาเดียร์ขมวดคิ้วน้อยๆอย่างหงุดหงิด พยายามไม่โต้ตอบด้วย เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าเขาบ้า

เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นอีกครั้ง เดียร์หันไปมองตามสัญชาตญาณ

 “อ้าว พี่ล็อค”  เดียร์เอ่ยทักเสียงใส โดยไม่รู้ตัวว่าธาตุอากาศที่ยืนอยู่ข้างๆตีหน้าบึ้งไปแล้ว

“เรียนวันนี้ เป็นไงบ้าง?” ล็อคเดินเข้ามาล้างมือที่ซิงค์ ซึ่งซิงค์มันอยู่ข้างๆเดียร์ที่กำลังล้างผลเชอร์รี่อยู่ และนั่น ทำเอาวายุที่ยืนนิ่งยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก

“เพิ่งเปิดเทอม ยังไม่มีอะไรมากครับ แต่ต่อไปก็ไม่แน่” คนตัวเล็กเอ่ยตอบเสียงใส และยิ่งทำอาวายุเลือดขึ้นหน้า ถึงเขาจะไม่มีเลือดก็ถอะ!

“ทีอย่างนี้ไปคุยกับมัน ที่ผมคุยด้วยตั้งนาน เดียร์ไม่คุยด้วยเลย!”

วายุโวยวายอยู่ข้างๆ เสียงดังน่ารำคาญนั้น มีแค่เดียร์เท่านั้นที่ได้ยิน

เดียร์พ่นลมหายใจแรงๆอย่างหงุดหงิด หันไปตีหน้าดุใส่ธาตุอากาศที่ตีหน้าเข้มอยู่ข้างๆ

“เป็นอะไรรึปล่าวเดียร์?” เสียงทุ้มของคนข้างๆ เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เพราะทันสังเกตว่าอยู่ๆคนตัวเล็กก็ถอนหายใจ เดียร์รีบหันไปตอบพัลวัน “ป่าวๆครับพี่ล็อค ผมไม่ได้เป็นอะไร” ตอบเสร็จก็หันไปยกไอศกรีมที่โต้งจัดเสร็จแล้ว ยกไปเสิร์ฟให้ลูกค้า

วายุปล่อยให้เดียร์ยกไอศกรีมไปเสิร์ฟโดยไม่ตามไป หันมาจ้องหน้าล็อคที่เดินไปประจำเคาน์เตอร์

“อ้าว โป” เสียงของเดียร์ดังขึ้น ทักทายเจ้าของไอศกรีม ถ้วยที่เดียร์ยกมาเสิร์ฟ

“พี่เดียร์” เจ้าของชื่อยกยิ้มน้อยๆ หันมายกมือไหว้รุ่นพี่  เดียร์ยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน

เพราะชื่อที่เดียร์เอ่ย ทำให้เพื่อนตัวเล็กตัวโตหันมองเจ้าของชื่อ

“อ้าว โป มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” เสียงโต้งลอยมาจากโต๊ะข้างๆ คนตัวโตกำลังทำความสะอาดโต๊ะที่ลูกค้าเพิ่งเช็คบิล

อาโปขมวดคิ้วน้อยๆกับคำถามนั้น

“ผมมา…ตั้งแต่ที่พี่โต้งมารับออเดอร์….” อาโปชะงักไปเล็กๆ คล้ายลังเลว่าเขาตอบคำถามถูกหรือปล่าว คำตอบของอาโปทำเอาโต้งยิ้มแหยๆให้ “อ่า…ใช่ๆ” โต้งก้มหน้างุด คงเป็นตอนที่โต้งหนีพู่กันออกมาแน่ๆ คนตัวโตรีบทำความสะอาดโต๊ะก่อนตรงรี่เข้าที่ล้างจาน

 เดียร์แอบสังเกตว่าหูไอ้โต้งแดงอีกแล้ว

“เรียนเป็นไงบ้างเรา?” เดียร์มองซ้ายมองขวา แอบเห็นว่าพี่ล็อคเดินไปหลังร้าน คนตัวเล็กก็ทรุดนั่งลงตรงข้ามรุ่นน้องทันที

อาโปเป็นรุ่นน้องที่คณะ แถมเป็นน้องรหัสเดียร์ด้วย เจอกันตั้งแต่วันปฐมนิเทศ

เดียร์คอยดูแลน้องรหัสคนนี้เป็นอย่างดี อารมณ์เห่อน้องรหัสก็ว่าได้

“โอเคครับพี่เดียร์ ตอนนี้กำลังปรับตัวอยู่” อาโปยกยิ้มน้อยๆ 

เดียร์ไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดไปเองหรือปล่าว แต่รู้สึกว่าสายตาของน้องรหัส ดูเหม่อลอย คล้ายเศร้าๆยังไงไม่รู้ 

“นี่ร้านของพี่เดียร์หรอครับ?” แววตาเป็นประกายของอาโปมองไปรอบๆร้าน ท่าทางสนใจ

“ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ร้านของพี่ พี่เป็นพนักงานของร้านนี้เฉยๆ”

เดียร์รีบปฏิเสธพัลวัน อาโปหันมาอมยิ้มน้อยๆ ท่าทางเขินอาย รู้สึกหน้าแตกไปเบาๆ “อ้าว หรอครับ”

เดียร์เห็นรุ่นน้องกลับไปเหม่อลอยอีกแล้ว “เป็นอะไรรึปล่าว มีอะไรปรึกษาพี่ได้นะ”

“ไม่ครับ ไม่ได้เป็นอะไร” อาโปยิ้มให้เดียร์ แต่เดียร์รู้สึกว่ามันเป็นยิ้มที่ต้องใช้ความพยายามมากๆ

“มีอะไรก็บอกพี่นะ ไม่ต้องคิดว่าพี่เป็นพี่รหัสก็ได้ คิดว่าพี่เป็นพี่ชายของเราคนหนึ่ง”

เดียร์ไม่รู้ว่าน้องของเขากำลังเป็นอะไร แต่ไม่อยากเห็นน้องเป็นแบบนี้เลย เดียร์ได้ยินน้องรับคำเบาๆ

ทันใดนั้นล็อคก็หอบลังกระดาษใบใหญ่ออกมาจากหลังร้าน

เดียร์ที่เห็นเจ้านายมาก็รีบลุกขึ้นยืนทันที

“มีอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอดเวลาเลยนะ” เดียร์ตบบ่าเล็กๆของรุ่นน้องเบาๆ  ก่อนเดินผละออกไป ตอนนั้นมีลูกค้าเข้าร้านมาพอดี คนตัวเล็กเลยถลาไปคว้าเมนู เตรียมเดินไปรับออเดอร์ทันที

วายุยืนฟึดฟัดอยู่อย่างเดียวดายมาสักพัก คล้ายสงบสติ อารมณ์   เพราะเดียร์แสดงออกว่ารำคาญ วายุเลยไม่อยากเดินตามเดียร์ทุกฝีก้าว แค่เห็นเดียร์อยู่ในสายตา และมั่นใจว่าเดียร์จะไม่ไปยุ่งกับผู้ชายคนไหนก็สบายใจ

เดียร์เดินเข้ามาในเขตพนักงานหลังจากรับออเดอร์เสร็จ เป็นจังหวะเดียวกับที่วายุเพ่งมองคู่สนทนาของเดียร์เมื่อครู่ เสียงทุ้มอุทานลั่น แต่มีแค่เดียร์เท่านั้นที่ได้ยิน

“อาโป!!!”

เพราะเสียงนั้น เดียร์เลยหันไปมองเจ้าของเสียง

วายุยกยิ้มด้วยความดีใจ ร่างสูงเดินมายืนข้างๆเดียร์

“เดียร์รู้จักอาโปหรอ?”  คำถามที่เดียร์ไม่นึกว่าจะได้ยินจากปากร่างสูง คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่น พยายามแค่นกระซิบเบาๆ  “รู้จักแล้วทำไม?” 

คนตัวเล็กมองซ้ายมองขวา พี่ล็อคไม่ได้อยู่แถวนี้ สงสัยเดินไปหลังร้าน โต้งไปนั่งอยู่กับพู่กัน ถ้าไม่มีใครอยู่แถวนี้ คงไม่มีใครหาว่าเขาบ้าพูดคนเดียวแน่ๆ

“อาโปเป็นน้องชายแท้ๆของผมเอง”

“น้องชาย?!”





# My dear






ตอนที่ 3 ค่ะ ^^

ฝากติดตามน้องเดียร์ด้วยนะคะ ^//////////////^

เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^^

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
อ้าว....อาโปเป็นน้องวายุซะงั้น
คราวนี้ยิ่งสนิทสนมเนอะ อิอิ

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
เดียร์เชื่อวายุสักทีสิ -3-

ออฟไลน์ ลิงภูเขา

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 816
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-4
ตัดคู่แข่งออกไปแล้วคน..เหลืออิพี่ล็อคนะ  :angry2:


เจ้าหนุ่มวัตถุโปร่งแสงนี่น่ารักเนอะ  :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
Chapter 4

“อาโปเป็นน้องชายแท้ๆของผมเอง”

“น้องชาย?!”

เสียงที่ไม่เบานักของเดียร์ ทำให้ลูกค้าในร้านหันมามองอย่างตกใจ 
ไม่ต่างจากโต้งและพู่กันที่หันมามองเดียร์เป็นตาเดียว
เดียร์ที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองทำพลาดจนได้ รีบหันไปขอโทษทุกคนในร้าน
พลางล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาชู คล้ายเป็นเชิงขอโทษที่คุยโทรศัพท์เสียงดัง
เมื่อสถานการณ์อยู่ในสภาวะปกติ เดียร์หันมาแค่นเสียงกระซิบคุยกับธาตุอากาศข้างๆ 

“นั่นน้องรหัสฉันนะ อย่าเอามุขน้องชายมาหลอกให้ช่วย”

เดียร์หวังว่าเสียงเย็นๆของตัวเองจะทำให้วายุเงียบได้บ้าง
แต่เดียร์คิดผิด เมื่อวายุยังตีหน้าระรื่นมาให้เดียร์อย่างต่อเนื่อง

“อาโปเป็นน้องรหัสเดียร์หรอ! อย่างนี้ก็ดีสิ เดียร์จะได้ยอมช่วยผมสักที”

วายุยิ้มแป้น หันไปมองน้องชายที่ตักไอศกรีมเข้าปากอย่างเหม่อลอย …. อาโปเป็นอะไร?

“ทำไมอาโปดูเหม่อๆ”

วายุอดพึมพำเบาๆไม่ได้ และเมื่อมีแค่เดียร์ที่ได้ยิน คนที่ได้ยินเลยหันไปกระซิบกับธาตุอากาศทันที

“บอกว่าอย่าเอามุขน้องชายมาหลอก”

แค่นั้นเดียร์ก็หันไปจัดการกับออเดอร์ที่เพิ่งรับมา โดยไม่ได้สนใจวายุที่ยืนเคว้งอยู่ตรงนั้น
ร่างสูงตัดสินใจปล่อยเดียร์ไว้คนเดียว ค่อยๆเดินไปหาน้องชายที่นั่งอยู่ในมุมของร้าน
วายุคิดไปเองหรือเปล่าว่าอาโปดูเศร้า คล้ายกำลังคิดถึง หรือเป็นห่วงอะไรสักอย่าง
อยากถามออกไปด้วยความเป็นห่วงน้อง แต่ในสภาพแบบนี้ วายุก็จนปัญญาจะสื่อสารกับอาโปได้
หันไปมองคนตัวเล็กที่ก้มๆเงยๆอยู่กับถังไอศกรีมเลยได้แต่ทำท่าถอนหายใจ(เพราะไม่มีลมหายใจออกมาจริงๆ)  ไม่ว่ายังไงวายุก็ต้องรู้ให้ได้

ร้านไอศกรีมของล็อค ปิดตอนสามทุ่มของทุกวัน
พนักงานในร้านรวมไปถึงเจ้าของร้าน จะเริ่มทำความสะอาดร้านตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง
เมื่อถึงเวลาทำความสะอาดร้าน เดียร์ตั้งหน้าตั้งตาล้างถ้วยชามที่อ่างล้างจานเหมือนทุกครั้ง
แต่ช่วงหลังมานี้ เดียร์ล้างถ้วยไอศกรีมเสร็จเร็วขึ้น
โต้งสังเกตอยู่เงียบๆ แต่ไม่ได้ทักออกไป คิดเอาเองว่าเดียร์มันคงมีสกิลล้างจานเพิ่มขึ้น 

“อย่ามายุ่งได้ไหม! มันล้างจานไม่ถนัด”

เดียร์มองซ้ายมองขวาเห็นโต้งกำลังเช็ดโต๊ะอยู่ไกลๆ ก่อนหันไปโวยธาตุอากาศที่ยืนล้างจานอยู่ข้างๆ 
ถึงเดียร์กับวายุจะแตะเนื้อต้องตัวกันไม่ได้ แต่วายุหยิบจับสิ่งของได้ปกติ
แม้ว่าจะต้องเพ่งสมาธิเพิ่มอีกนิดหน่อย
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่วายุจะช่วยเดียร์ล้างจานอยู่แบบนี้
คนตัวเล็กพยายามแย่งถ้วยชามที่กองอยู่มาล้าง แต่วายุก็คอยแย่งไปล้างเอง
ร่างสูงเพียงส่งยิ้มให้เดียร์แค่นั้น ก็กลับไปล้างจานต่ออย่างเงียบๆ ปล่อยให้เดียร์ฟึดฟัดอยู่คนเดียว
คนตัวเล็กผละออกไปที่เคาน์เตอร์ สุดจะทนกับวิญญาณที่คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
กวาดสายตาไปรอบๆร้าน  เห็นอาโปยังนั่งอยู่ที่เดิม
เดียร์หันไปมองนาฬิกาที่ฝาผนัง 2 ทุ่ม 45 แล้ว
พู่กันกลับหอไปตั้งแต่ทุ่มครึ่ง ทำไมอาโปยังไม่กลับ?

“เสร็จแล้ว” เสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านหลัง เดียร์หันไปมองที่อ่างล้างจาน พบว่ามันสะอาดใสกิ๊ง จานทุกใบถูกล้างและเช็ดเข้าที่เรียบร้อย คนตัวเล็กหันมายู่หน้าใส่ร่างสูงอย่างหมั่นไส้  ก่อนเดินออกไปหารุ่นน้องที่นั่งอยู่คนเดียวในร้าน

“อาโป” เสียงหวานเรียกคนตัวเล็กที่นั่งมองบรรยากาศนอกร้าน ผ่านกระจกบานใส “ร้านจะปิดแล้วนะ” รุ่นพี่ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามรุ่นน้อง
อาโปหันมองส่งยิ้มเล็กๆให้รุ่นพี่ มองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ผนัง

“ขอโทษครับ” สีหน้าอาโปไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าเดิมมากนัก แต่ก็ยังดีที่น้องหลุดจากภวังค์ได้

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เดียร์ถามคำถามนี้หลายรอบแล้ว
แม้ว่าคำตอบที่ได้คือ..“ปล่าวครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”
สีหน้าของอาโปไม่ทำให้เดียร์เชื่ออย่างนั้น
น้องนั่งเหม่อมาตั้งแต่ช่วงเย็น จนตอนนี้จะสามทุ่มแล้ว
จะบอกว่าไม่เป็นอะไรคงไม่ได้ ยังไงเดียร์ก็ไม่เชื่อ สภาพแบบนี้จะให้น้องกลับหอคนเดียวคงไม่ดีแน่

“เดี๋ยวพี่เลิกงานแล้ว พี่จะไปส่งเราที่หอ”  เดียร์เห็นล็อคโผล่มาจากหลังร้านพอดี รีบลุกขึ้น เดินไปเช็ดโต๊ะข้างๆที่อาโปนั่งอยู่
อาโปเห็นปฏิกิริยาของรุ่นพี่ที่มีต่อเจ้าของร้านแล้ว อดไม่ได้ รุ่นน้องตัวเล็กเดินไปช่วยจัดดอกไม้บนโต๊ะ
หยิบผ้าที่เดียร์เผลอวางไว้ มาเช็ดโต๊ะเช็ดเก้าอี้ด้วย  ก่อนเอ่ยตอบรุ่นพี่  “ไม่เป็นไรครับพี่เดียร์ เดี๋ยวผมกลับเองได้”
เดียร์เห็นรุ่นน้องคว้าผ้าเช็ดโต๊ะไป รีบกลับไปคว้ามาคืน “เฮ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ทำเอง”
รุ่นน้องเพียงส่งยิ้มบางๆให้รุ่นพี่ ไม่ได้คืนผ้าเช็ดโต๊ะให้รุ่นพี่แต่อย่างใด “ไม่เป็นไรครับพี่เดียร์”
เดียร์เห็นอาโปตั้งใจช่วยแล้วก็เผลอยืนมองน้อง
ท่าทางแบบนี้ แค่ไปส่งคงไม่ได้แล้ว อย่างนี้ต้อง

“พาอาโปไปที่ห้องเดียร์เลย”

“รู้แล้วน่า!”

ประโยคแรก แน่ล่ะ ว่าเดียร์ไม่ได้เป็นคนพูด เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้เดียร์ไม่พอใจ แต่ประโยคที่เดียร์โพล่งออกมา ทำให้อาโปเงยหน้ามองทันที


“ครับ?”

“อะ.. พี่จะบอกว่า คืนนี้เรามาค้างกับพี่ดีกว่า”

เดียร์พูดจบก็ต้องหันไปส่งสายตาเคืองๆให้ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ
ไม่รู้ว่าเดียร์คิดไปเองหรือเปล่า แต่แอบสังเกตสีหน้าวายุแล้ว อดคิดไม่ได้ว่าวายุคงคิดไม่ต่างกัน

“ไม่เป็นไรครับพี่เดียร์ เดี๋ยวผม…” เดียร์ไม่ปล่อยให้น้องปฏิเสธอีก รุ่นพี่ตัวเล็กเลยรีบขัด “ไม่เป็นไรอาโป มีอะไรก็เล่าให้พี่ฟังได้ ไม่ต้องคิดมาก ไอ้กันมันก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว” 
ไม่ต้องพูดถึงความเกรงใจ แค่รุ่นน้องที่ดูเหมือนมีปัญหาแบบนี้ พู่กันมันไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว
สุดท้าย อาโปยอมรอกลับหอพร้อมเดียร์ แม้ว่าเดียร์จะต้องใช้เวลากล่อมอยู่นาน ได้โต้งช่วยกล่อมอาโปด้วย น้องเลยยอมใจอ่อน

“พี่ล็อค พวกผมกลับแล้วนะครับ” โต้งกับเดียร์เข้าไปล่ำลาเจ้าของร้านเหมือนทุกวัน

สายตาคมมองตามพนักงานสองคนที่เดินออกจากร้านไปพร้อมกับคนตัวเล็กที่ล็อคไม่คุ้นหน้า
ล็อคจะกลับเป็นคนสุดท้ายของร้าน รอจนทั้งเดียร์และโต้งกลับไปแล้ว ถึงกลับบ้าง
เมื่อทุกคนกลับไปแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าของร้านจะกลับบ้างแล้ว


ยามค่ำคืนใจกลางเมืองหลวง แม้ว่าจะไร้แสงของดวงอาทิตย์สาดส่องเหมือนตอนกลางวัน
แต่ความสว่างไสวไม่ได้จางหายตามพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไป
แสงสว่างถูกประดับอยู่ตามบาทวิถี ท้องถนน ตึกสูงเฉียดฟ้า และอาคารบ้านเรือนทั่วไป
โต้ง เดียร์ และอาโป  อาศัยแสงไฟสีส้มที่ประดับอยู่ตามบาทวิถี เป็นหนทางนำไปสู่หอพักของเดียร์
พี่รหัสของอาโปชวนน้องรหัสคุยไม่หยุด เดียร์เพียงแค่คิดว่า เผื่อคุยๆไปแล้วอาโปจะหลุดปากบอกอะไรมาได้บ้าง แต่เดียร์ไม่เห็นว่าจะมีประโยคไหนของรุ่นน้องที่มันสะกิดใจเลย

“มึงไม่กลับหอรึไง?” เมื่อเดียร์ชวนอาโปคุยจนเริ่มท้อแล้ว เลยหันมาแขวะเพื่อนตัวเองบ้าง
โต้งยังคงอยู่หอเดิม หอที่เดียร์ตัดสินใจพาพู่กันย้ายออกมา
ระยะทางจากหอโต้งมาหอเดียร์ไม่ไกลนัก ตอนย้ายหอจึงไม่ลำบากเท่าไร ยิ่งมีโต้งช่วยด้วยแล้ว เอ่อ…ยิ่งตอนนั้นมีพี่ล็อคมาช่วยอีกแรงด้วยแล้ว เรียกได้ว่าเดียร์กับพู่กันแทบไม่ได้ออกแรงขนของอะไรเลย
โต้งดูร่าเริงมากเมื่อตอนที่รู้ว่าเดียร์กับพู่กันจะย้ายหอ ถ้าเทียบกับตอนอยู่หอเดียวกันแล้ว ตอนนั้น โต้งชอบชักสีหน้าหงุดหงิดเวลารู้ว่ามีขนมหรือของขวัญ มาวางหน้าห้องของเดียร์กับพู่กัน แล้วดูโต้งจะหงุดหงิดมากขึ้น ถ้ารู้ว่าของสิ่งนั้นมีโน้ตแปะไว้ว่า “ให้พู่กัน”

ท่ามกลางแสงไฟยามค่ำคืน ทั้งสามคนเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตัวอาคารที่บ่งบอกว่าเป็นหอพัก
อาโปชะงักไปทันทีที่เห็นรุ่นพี่ทั้งสองคนเดินเลี้ยวเข้าไปในตัวตึก
อาโปแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง รุ่นน้องตัวเล็กมองไปรอบๆอย่างต้องการพิจารณาว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
เดียร์หันไปมองรุ่นน้องทันที ค่อยๆเดินเข้าไปหาอาโปที่ยืนนิ่งอยู่ “เป็นอะไรหรือเปล่าอาโป?”
อาโปสะดุ้งเหมือนหลุดจาภวังค์ แค่นส่งยิ้มน้อยๆให้รุ่นพี่ “ปะ…ปล่าวครับ “
เดียร์พิจารณาสีหน้าของอาโป ยังไงก็ปักใจเชื่อคำพูดของรุ่นน้องไม่ได้จริงๆ
เดียร์แทบลืมไปแล้วว่ามี ‘อะไรบางอย่าง’ เดินตามมาตลอด  ธาตุอากาศบางใสขมวดคิ้วมุ่น สายตาจับจ้องอาโปคล้ายถวิลหา
เดียร์ไม่รู้ว่าวายุเดินอยู่ใกล้ๆอาโปมานานแค่ไหน
สายตาที่เดียร์เห็นวายุมองอาโป ทำให้เดียร์เริ่มสะกิดใจกับคำพูดของวายุที่บอกตัวเองในร้านไอศกรีม

… อาโปเป็นน้องของวายุอย่างนั้นหรือ?

เดียร์เผลอสบตากับสายตาคมนั้น คนตัวเล็กเบนสายตาแทบไม่ทัน ก่อนจับมือรุ่นน้องไว้แน่น “ไปกันเถอะอาโป เดี๋ยวก็ถึงห้องพี่แล้ว”
อาโปออกเดินตามแรงฉุดที่ข้อมือของรุ่นพี่ตัวเล็ก
โต้งปล่อยให้เดียร์กับอาโปเดินนำเข้าลิฟต์ไปก่อน
ห้องของเดียร์อยู่ชั้น 4  ใช้เวลาขึ้นลิฟต์ไม่นาน ก็เดินทางมาถึงห้องพักของเดียร์
อาโปมองไปรอบๆ ตลอดทางเดิน เดียร์สังเกตสีหน้าของรุ่นน้องอยู่เงียบๆ สีหน้าของน้องดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก อาโปชะงักไปเมื่อเห็นหมายเลยห้อง ห้องที่รุ่นพี่หยุดยืนอยู่หน้าห้องนั้น
เดียร์ลองหมุนลูกบิดประตู และพบว่ามันไม่ได้ล็อค ไม่ต้องรอมารยาทมาเคาะประตูให้ เดียร์เปิดประตูเข้าไปทันที มีโต้งที่เดินรั้งท้าย ปิดประตูให้อีกที
เมื่อเข้ามาในห้อง ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาเดียร์คือพู่กันหลับ
เพื่อนตัวเล็กหลับคากระดาษวาดรูป บนพื้นห้อง มีดินสอหลายขนาดกระจายอยู่รอบๆตัว ในมือพู่กันยังมีดินสอคามืออยู่อีกหนึ่งแท่ง
เดียร์ตั้งท่าจะเดินไปปลุกเพื่อน แต่ก็ช้ากว่าโต้งที่ก้าวยาวๆมาอุ้มพู่กันขึ้นแนบอก เดียร์คิดว่าโต้งจะพาพู่กันไปนอนในห้องนอนดีๆ แต่ผิดคาด เมื่อโต้งอุ้มพู่กันให้มานั่งบนโซฟา แล้วตั้งหน้าตั้งตาปลุกพู่กันให้ตื่นขึ้นมาให้ได้

“พู่กัน ตื่นเดี๋ยวนี้นะเว้ย” เสียงโต้งไม่ได้เบานัก ทำให้พู่กันสะลึมสะลือปรือตาขึ้นมา  ดินสอในมือพู่กันหล่นไปตอนไหนไม่รู้  คนเพิ่งตื่นยกมือสองข้างขยี้ตาไปมา พลางบิดขี้เกียจน้อยๆ แต่ก็ทำได้ไม่สบายตัวนัก เมื่อถูกจับให้นั่งบนโซฟาแบบนี้
เดียร์ที่เห็นอย่างนั้น เลยรีบพาอาโปมานั่งคุยกันบ้าง
อาโปถูกพามานั่งนั่งอยู่ที่มุมหนังสือของห้อง มีโต๊ะญี่ปุ่นตั้งอยู่ เป็นมุมเงียบๆ อยู่คนละฟากกับโซฟาที่โต้งกับพู่กันตั้งหน้าตั้งตาเถียงกันอยู่ มีชั้นหนังสือกั้นแบ่งสัดส่วนมุมหนังสือกับห้องนั่งเล่น
อาโปเข้าไปนั่ง พลางมองไปรอบๆด้วยสีหน้าที่เดียร์แปลความหมายไม่ออก เดียร์ผละไปหาน้ำหวานมาให้รุ่นน้องดื่ม ระหว่างนั้นก็แอบได้ยินโต้งดุพู่กันอยู่

“ทำไมไม่ล็อคห้องฮะ พู่กัน?”

“ยังไงเดี๋ยวเดียร์ก็ต้องมานี่”

“เดียร์ก็มีกุญแจ!”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”

“ไม่เป็นไร? ไม่ล็อคห้อง แถมยังหลับคาพื้นแบบนี้เนี่ยนะ ถ้ามีคนอื่นเข้ามาจะทำยังไง?!”

เดียร์รู้สึกว่าเสียงพู่กันเงียบหายไป เดียร์เดาได้ไม่ยากว่าพู่กันคงตีหน้าบึ้งใส่โต้งอยู่แน่ๆ  ถ้าเป็นแบบนี้ ไม่แน่ โต้งมันอาจจะไม่กลับห้องมันเลยก็ได้ มันคงต้องงอนง้อกันไปอีกพักใหญ่
เดียร์ถือแก้วน้ำสองแก้ว มาวางที่โต๊ะญี่ปุ่น
อาโปนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น น้องนั่งนิ่งเกินไป สายตาหม่นเศร้าของอาโปจับจ้องไปทางประตูห้องนอน
เดียร์เห็นวายุนั่งตรงข้ามอาโป เดียร์นั่งอยู่ทางด้านข้างของอาโป สายตามองอาโปทีมองวายุที
เดียร์กำลังพยายามคิดถึงความเป็นไปได้ที่ว่า ‘อาโปกับวายุเป็นพี่น้องกัน’ ถามว่าอาโปหน้าเหมือนวายุไหม จะว่าเหมือนก็เหมือน จะว่าไม่เหมือนก็ไม่เหมือน ถ้ามองเผินๆ ด้วยขนาดรูปร่างแล้ว แน่ล่ะ ว่าดูไม่เหมือนกัน แต่ถ้าพิจารณาดวงตา ริมฝีปาก หรือ รูปหน้าแล้ว ก็ไม่ต่างกันนัก … แต่คนบนโลกนี้ ที่ไม่ใช่พี่น้องกันก็หน้าเหมือนกันได้เหมือนกันนี่

“พี่เดียร์..” เสียงเรียกเบาๆของอาโป ทำให้เดียร์หลุดจากภวังค์ของตัวเอง  เดียร์คิดไปเองหรือเปล่าว่าเสียงของอาโป ฟังดูสั่นเครือแปลกๆ

“พี่เดียร์… ผมคิดถึงพี่ชาย…” เดียร์แน่ใจแล้วว่าเสียงอาโปสั่นจริงๆ เมื่อพบว่าดวงหน้าใสของรุ่นน้อง เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา

อาโปหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่อายอีกต่อไปแล้ว เดียร์โผเข้ากอดอาโปไว้แนบอกทันที มือบางลูบศีรษะรุ่นน้องคล้ายปลอบโยน “เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม ที่เราเหม่อทั้งวันแบบนี้”
เดียร์รู้สึกถึงแรงขยับของศีรษะของคนในอ้อมกอด คล้ายพยักหน้าขึ้นลง เดียร์ปล่อยให้อาโปสะอึกสะอื้นไปพักใหญ่
เดียร์สบตากับวายุที่นั่งมองอยู่ สายตาวายุที่ทอดมองอาโปทำให้เดียร์เริ่มรู้สึกผิด

 … ถ้าวายุกับอาโปเป็นพี่น้องกันจริงๆล่ะ?

“พี่วายุ… ห้องนี้… โรงพยาบาล…” เสียงอาโปอู้อี้มาจากอ้อมแขนของเดียร์ เดียร์จับใจความไม่ได้มากนัก แต่ได้ยินเป็นคำๆ ไม่แน่ใจว่าอาโปต้องการจะบอกอะไร

เดียร์ใช้เวลาพักใหญ่ ปลอบอาโปให้เงียบลง
มือบางคว้าทิชชู่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างๆชั้นหนังสือ ใช้ทิชชู่ซับน้ำตาให้รุ่นน้อง อาโปใช้มือเปล่าเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออกลวกๆ ไม่นานก้อนสะอื้นก็หายไป

“อาโป ได้ยินพี่ไหม?” เสียงทุ้มของวายุดังขึ้น เดียร์ไม่รู้ว่าวายุพยายามจะคุยกับอาโปมานานแค่ไหน เท่าที่จำได้ เดียร์รู้สึกว่าวายุจะพูดประโยคนี้หลายครั้งแล้ว

“เล่าให้พี่ฟังได้หรือเปล่า?” เสียงหวานถามรุ่นน้องอย่างอ่อนโยน

อาโปพยักหน้าน้อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเริ่มเล่าทุกอย่าง

“พี่ชายผมได้รับอุบัติเหตุ… ตอนนี้พักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล ตอนนี้ก็… สี่เดือนแล้ว” อาโปหยุดพูด ก่อนเริ่มเล่าต่อ

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่เดียร์พักอยู่ที่ห้องนี้…พี่วายุก็เคยพักอยู่ที่ห้องนี้” ชื่อที่อาโปเอ่ยถึง ทำเอาเดียร์เบิกตาน้อยๆ  เดียร์เห็นวายุทอดสายตาอ่อนโยนมองมาที่อาโป

“มันนานมากแล้วที่พี่วายุไม่ฟื้นสักที…” เสียงเบาๆของอาโป ทำเอาเดียร์เริ่มใจไม่ดี

“พวกเราพยายามทำทุกวิถีทางแล้ว แต่พี่วายุก็ยังเป็นเจ้าชายนิทราอยู่” เดียร์แอบเห็นว่า หน่วยตาใสของรุ่นน้อง คลอไปด้วยน้ำตา

“ต้องทำยังไง พี่วายุถึงจะฟื้น” แม้ว่าอาโปจะพึมพำเบาๆ แต่เดียร์ได้ยินทุกคำ

“พี่ชายเราต้องไม่เป็นอะไรนะ” เดียร์จับมืออาโปไว้แน่น ความรู้สึกเป็นห่วง ท่วมท้นเต็มอก

เรื่องที่อาโปเล่า ช่างคล้ายกับเรื่องที่ใครบางคนเคยเล่าให้ฟัง และใครบางคนที่ว่าก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย
ใครบางคนที่เดียร์มองเห็น แต่อาโปไม่สามารถมองเห็นได้

“ผมพยายามคิด พยายามหาทางช่วยพี่วายุ แต่ผมก็มองไม่เห็นหนทางแล้ว ผมคิดถึงพี่วายุ ทุกคนที่บ้านก็คิดถึงพี่วายุ…” อาโปเล่าต่อไป เดียร์รับฟังอยู่เงียบๆ

ถ้านี่คือสาเหตุที่ทำให้อาโปเศร้า ทางที่จะช่วยอาโปได้ คือวายุต้องฟื้นขึ้นมาอย่างนั้นสินะ

“อาโป… พี่… ขอดูรูปพี่ชายของอาโปได้ไหม?”  ถึงแม้ว่าตอนนี้ 90% ที่เดียร์เชื่อว่าวายุที่เขารู้จัก เป็นพี่น้องกับอาโปจริงๆ แต่ก็ขอใช้อีก 10% ที่เหลือ ยืนยันให้ชัวร์หน่อยเถอะ

อาโปพยักหน้า ตอนนั้นเอง ที่เดียร์เพิ่งได้เห็นรอยยิ้ม ประดับบนใบหน้าใสของรุ่นน้อง
อาโปยื่นโทรศัพท์ให้รุ่นพี่ เดียร์มองรูปที่แสดงอยู่บนหน้าจออย่างพิจารณา เพราะวายุที่เขา”เห็น” เป็นเพียงอากาศบางใส  วายุในภาพถ่ายออกจะไม่คุ้นตาเดียร์นัก แต่โครงหน้าคมสันของวายุ ที่ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน ก็ไม่ต่างกันนัก เดียร์ค่อนข้างแน่ใจว่าวายุที่เดียร์เห็น กับวายุในภาพถ่าย คือคนเดียวกัน

“พี่ชายผม หล่อใช่ไหมล่ะครับ” สีหน้ายิ้มแย้มของอาโป ทำให้เดียร์ต้องยิ้มน้อยๆไปให้ อาโปดูภูมิใจกับพี่ชายมากๆ

“อาโป ขอให้เดียร์ช่วยสิ” เสียงทุ้มของวายุดังขึ้น รูปประโยคทำให้เดียร์หันขวับ แม้ว่าวายุรู้ว่าอาโปไม่ได้ยินแน่ๆ  แน่ล่ะว่าวายุต้องการให้เดียร์ได้ยิน

“ถ้าพี่ชายผม ไม่มัวแต่เป็นเจ้าชายนิทรา ป่านนี้คง…”

“อาโป”

เดียร์ตัดสินใจขัดประโยครุ่นน้อง
อาโปมองเดียร์ด้วยสีหน้าสงสัย

“ถ้า…ถ้าพี่ช่วยพี่ชายของอาโปได้ล่ะ”

เดียร์ขบริมฝีปากล่าง ท่าทางไม่ค่อยมั่นใจกับคำพูดของตัวเองนัก

“ครับ?”

แน่นอนว่าอาโปยังข้องใจกับประโยคของเดียร์

 “ถ้าวายุฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง” เดียร์พูดอย่างกล้าๆกลัวๆ

เดียร์สบตากับรุ่นน้อง แม้ว่ารุ่นน้องจะแสดงสีหน้าไม่เข้าใจก็ตาม
ดวงตาใสของอาโป ทำให้เดียร์นึกถึงสายตาเศร้าๆของรุ่นน้องก่อนหน้านี้ ก็เกิดไม่สบายใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ความเป็นห่วง ทำให้เดียร์กล้าตัดสินใจมากขึ้น

ถ้าเรื่องที่วายุเคยเล่า มันเป็นเรื่องจริงล่ะก็นะ!

“วายุจะต้องฟื้น เชื่อพี่” เดียร์จับมือรุ่นน้องแน่นขึ้น

อาโปเข้าใจว่านั่นคือคำปลอบโยนของรุ่นพี่ เขาได้รับคำปลอบโยนแบบนี้มานับไม่ถ้วน  แต่นั่นเป็นเพียงความเข้าใจของอาโป
แต่สำหรับวายุแล้ว สิ่งที่เดียร์พูดออกมา
เปรียบเสมือน...
คำสัญญา


# My dear





เรื่องนี้มีวิญญาณด้วย… ถามว่าแอมแต่งไปแอมกลัวมั้ย?
มากค่ะ >< !!!
แต่วายุคงไม่เป็นวิญญาณทั้งเรื่องหรอก >< … ใช่มั้ย?
เดี๋ยวเดียร์ก็คงทำให้วายุกลับเข้าร่างได้ … หรือเปล่า?
ไม่ม้างงง ถ้างั้นล็อคจะทำยังไงล่ะ? ล็อคก็ชอบเดียร์อยู่… ไม่ใช่หรอ?
เหิยยย สปอย?
โอ่ยยยย แอมเอ๊ย บอกขนาดนี้ >< 

 :กอด1:

เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
เดียร์ยอมช่วยแล้ว ^^

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
ในที่สุด คืนนั้นโต้งก็นอนอยู่ที่ห้องของเดียร์จริงๆ

กว่าโต้งกับพู่กันจะคุยกันรู้เรื่องก็ปาไปดึกดื่น

และด้วยความใจดีของพู่กัน จึงมอบโซฟากลางห้องเป็นที่นอนของโต้งไปเสียเลย

เดียร์อาศัยช่วงที่อาโปไปอาบน้ำ เล่าเรื่องราวของน้อง ให้โต้งกับพู่กันฟังคร่าวๆ ทั้งสองคนก็อดเห็นใจรุ่นน้องน่ารักคนนี้ไม่ได้

แน่นอนว่าเดียร์ไม่ได้เล่าเรื่องที่ ‘จะทำยังไงให้พี่ชายของอาโปฟื้นได้’

เดียร์จัดชุดของตัวเองไว้ให้อาโปหนึ่งชุด โชคดีที่รูปร่างของอาโปไม่ได้ใหญ่โตนัก เดียร์เหลือบมองพี่ชายของอาโปแล้วเทียบกับรูปร่างของอาโป

 …เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ก็ไม่น่าจะรูปร่างต่างกันได้ขนาดนี้

เสียงน้ำในห้องน้ำเบาลงจนเงียบไป ไม่นาน อาโปก็ออกจากห้องน้ำในชุดที่เดียร์เตรียมไว้ให้

รุ่นน้องตัวเล็กเดินไปที่ระเบียงห้อง ตากผ้าขนหนูที่ยืมพี่เดียร์มา

แล้วจึงเดินกลับมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ใกล้ๆเดียร์ ที่กำลังคุยเรื่องจริงจังกับเพื่อนๆอยู่

เดียร์เห็นรุ่นน้องแอบหาว ตาปรือ แต่ยังพยายามนั่งอยู่

รุ่นพี่ตัวเล็กกลั้นขำน้อยๆอย่างเอ็นดู พลางเอ่ยบอกให้อาโปไปนอนก่อน ดูท่าแล้ว อาโปคงจะเกรงใจ ไม่กล้านอนก่อนแน่ๆ

เมื่ออาโปเอาแต่บอกว่าไม่เป็นไร และเดียร์ก็ไม่อยากฝืนให้น้องมานั่งตาค้างแบบนี้ คนตัวเล็กเลยไล่เพื่อนตัวเองไปนอนด้วยกันเสียตอนนั้นเลย น้องจะได้ไม่ต้องเกรงใจ

อาโปที่ได้รับคำสั่งจากรุ่นพี่ว่าให้เข้านอนได้แล้ว จึงเดินโงนเงนมาที่โซฟากลางห้อง ตั้งท่าจะนอนลงไป มือเล็กๆของรุ่นพี่คนหนึ่งก็ฉุดไว้ก่อน

อาโปหันไปมองทันที …พี่พู่กัน

“อาโปนอนในห้องกับพี่ๆ โซฟานี่ให้ไอ้โต้งมันนอนไป”

พู่กันยิ้มหวานให้รุ่นน้อง แต่อาโปก็คืออาโป รุ่นน้องตัวเล็กยังตั้งตาตั้งตาปฏิเสธเสียยกใหญ่ “ไม่เป็นไรครับพี่พู่กัน ผมนอนตรงนี้ได้ ผมเกรงใจ”

จบประโยคของรุ่นน้อง พู่กันยู่หน้าน้อยๆ กิริยาที่โต้งแปลความหมายได้ว่า ‘แกล้งงอน’

“อาโปรังเกียจพี่หรือ? พี่งอนแล้วนะ”

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่” อาโปรีบปฎิเสธพัลวัน

“งั้นก็ไปนอนกับพี่ สบายกว่านอนโซฟาเยอะ ไปเร็ว ตาจะปิดอยู่แล้วน่ะเรา” พู่กันว่าพลางจูงมือรุ่นน้องกลับเข้าไปในห้องนอน

อาโปที่ความง่วงเข้าครอบงำ ได้แต่เดินตามรุ่นพี่ไปอย่างล่องลอย

เดียร์กำลังเตรียมตัวจะไปอาบน้ำ ตอนที่พู่กันจูงมืออาโปเข้าห้องมาพอดี

“นอนบนเตียงเลย เตียงกว้างมาก พี่นอนกับพู่กันยังกลิ้งได้ตั้งคนละเกือบสามรอบ” เดียร์ว่าพลางคาดผมไปด้วย

อาโปที่เดินล่องลอยเข้ามา พอได้ยินอย่างนั้นก็ล้มตึงลงไปบนเตียงทันที เดียร์กับพู่กันได้แต่แอบขำน้อยๆกับความน่ารักของอาโป

เตียงในห้องเดียร์ มันกว้างมาก ขนาดมีอาโปนอนด้วย ยังเหลือมีที่ให้กลิ้งได้อีก ไม่รู้ว่าเตียงกว้างมาก หรือผู้หลับนอนทั้งสามคน ตัวเล็กมากกันแน่

พู่กันกับเดียร์นอนริม อาโปนอนอยู่ตรงกลาง หนุนหมอนสำรองที่เดียร์หยิบมาให้อาโป จากห้องนั่งเล่น

ความสว่างจ้าในห้องนอนหายไป ความมืดเข้าครอบคลุมห้องนอนทันที

เดียร์กำลังเคลิ้ม ใกล้จะเข้าสู่นิทราแล้ว ถ้าไม่มีเสียงทุ้มๆ ดังอยู่ข้างหู เดียร์ปัดมือไล่เสียงหึ่งๆนั้นอย่างรำคาญ

“เดียร์สัญญาแล้วนะ ว่าจะช่วยผมน่ะ” เสียงคนพูด ฟังดูคล้ายกระเง้ากระงอด  เดียร์ขมวดคิ้วน้อยๆ ปรือตามอง ‘อะไรบางอย่าง’ ที่กำลังเจื้อยแจ้วอยู่อย่างหงุดหงิด

คนจะนอน ยังมากวนกันอยู่ได้

คนตัวเล็กปรับสายตาให้ชินกับความมืด ชำเลืองมองพู่กันกับอาโป ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ … ทั้งสองคนคงหลับไปแล้ว

แต่ก็ไม่แน่ใจว่าหลับจริงๆกันหรือเปล่า

ข้างนอกก็มีไอ้โต้งนอนอยู่

เพื่อความปลอดภัย เรื่องเสียงพูดคุย เดียร์จึงควานหาโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างหมอน คนตัวเล็กชันตัวลุกนั่ง ก้มหน้ากดโทรศัพท์ในมือ วายุนิ่งมองเดียร์อยู่เงียบๆ

ไม่นาน เดียร์ก็ยื่นโทรศัพท์ที่มีข้อความอยู่บนหน้าจอ ให้วายุอ่าน

‘อะไรของนาย คนจะนอน!’

“เดียร์บอกก่อนสิว่าสัญญาแล้ว ว่าจะช่วยผม”

เดียร์ถอนหายใจแรงๆ ก้มหน้าจิ้มโทรศัพท์แรงๆด้วย

‘ไม่ได้สัญญา แต่จะพยายาม ไม่ได้เชื่อเท่าไหร่นะว่าที่นายเคยเล่า มันเป็นเรื่องจริง จะลองปรึกษาหมอเก่งๆดู ถ้าหมอโรงพยาบาลไม่ได้ผล ก็จะลองไปหาหมอผี หมอดู  ดูซิว่าจะเป็นยังไง’

พอวายุอ่านจบเท่านั้นแหละ เจ้าตัวก็ร้องลั่นทันที

“จริงๆนะเดียร์ ผมจะโกหกเดียร์ทำไม เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ”
วายุยู่หน้า ขมวดคิ้วเครียด

เดียร์ที่ได้ฟังอย่างนั้นก็ก้มหน้าไปจิ้มข้อความบนโทรศัพท์ต่อทันที

‘ก็ไม่ได้ล้อเล่น! นั่นมันเรื่องความรู้สึกเลยนะ อย่าเอาความรู้สึกมาล้อเล่น เรารู้จักกันนานแค่ไหน พอเจอหน้าปุ๊บ มีอย่างที่ไหน มาขอเป็นแฟน แล้วที่สำคัญมาก มากๆที่สุดเลยนะ ฉันเป็นผู้ชาย!!! เข้าใจไหม! เรื่องที่นายเคยเล่า มันโคตรจะไร้สาระ!’

วายุอ่านตามที่เดียร์พิมพ์ข้อความไปเรื่อยๆ พอเดียร์พิมพ์เสร็จ วายุก็ร้องขึ้นอีก

“โอเคๆ ผมรู้ว่าเดียร์เป็นผู้ชาย เพราะผมก็เป็นผู้ชาย โอเคไหมครับ? แล้วทีนี้ก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน เพราะยังไงผมก็จะทำให้เดียร์รักผมให้ได้อยู่ดี”

เดียร์ขมวดคิ้วแน่น ตั้งหน้าตั้งตาจิ้มข้อความในโทรศัพท์ต่อด้วยแรงกดโทรศัพท์ที่แรงขึ้น ไม่รอฟังวายุพูดให้จบประโยค วายุก็ไม่ได้สนใจกิริยาของเดียร์เท่าไรนัก ร่างสูงยังคงพูดต่อไป

“ถ้าเดียร์มีคนรัก เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ผม คิดดูนะ เดียร์ก็จะไม่มีแฟน ถึงเดียร์จะแต่งงาน มีลูก ผมก็จะตามเดียร์ไปอย่างนี้เรื่อยๆ เพราะผมกลับเข้าร่างไม่ได้ และเดียร์เป็นคนเดียวที่รู้ว่าจะช่วยผมยังไง
ผมอาจจะเป็นเจ้าชายนิทราไปจนหมดอายุขัย ไม่รู้ว่าครอบครัวของผมจะเศร้าขนาดไหน…”

เดียร์พยายามปล่อยให้คำพูดของวายุเข้าหูซ้ายทะลุขวา แต่ความพยายามก็ไม่ได้เป็นผลนัก เมื่อเดียร์เข้าใจที่วายุพูด ทุกประโยค

เดียร์ที่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความ ยื่นโทรศัพท์ให้วายุอีกครั้ง

‘บอกกี่ครั้งแล้วว่าอาจจะไม่ใช่ฉันก็ได้! นายไปขอความช่วยเหลือคนอื่นสิ! คนอื่นที่เป็นผู้หญิงน่ารักๆ สวยๆ ที่พร้อมจะช่วยนายทุกอย่าง เท่าที่ฉันทำได้ คือจะลองไปหาหมอผี โอเคไหม!’

วายุยู่หน้าใส่คนตัวเล็กทันที

“ไม่โอเค!  ผมปล่อยเดียร์ไม่ได้หรอก! ถึงตอนแรกผมจะไม่ค่อยเชื่อก็เถอะนะ แต่พอผมเจอเดียร์แล้ว… ยังไงผมก็ปล่อยเดียร์ไปไม่ได้จริงๆ” เสียงวายุทอดอ่อนโยนลง เดียร์ที่เอาแต่ก้มหน้ากดโทรศัพท์จึงไม่ทันเห็นสายตาอ่อนโยนที่มองมา

‘นายมันโคตรไร้สาระเลย!!! พอ! หยุดพูดเรื่องนี้!! จะนอน!!!’

วายุอมยิ้มเล็กๆ ไล่อ่านข้อความที่เดียร์พิมพ์ไปเรื่อยๆจบจนบ

คนตัวเล็ก โยนโทรศัพท์ไปข้างหมอน ก่อนล้มตัวลงนอน

ความหงุดหงิดยังคงวุ่นวายอยู่ในใจ

เดียร์เอาแต่ก่นด่าต้นเหตุที่ชวนทะเลาะกลางดึกแบบนี้

เดียร์เห็นวายุยังยืนอยู่ที่เดิม คนตัวเล็กเลยหันหลังให้ร่างสูง

วายุเห็นอย่างนั้นก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆกับความน่ารักของคนตัวเล็ก

ขายาวๆก้าวเข้าใกล้ขอบเตียงมากขึ้น ทิ้งตัวลงนั่งตรงที่ว่างของเตียง แขนข้างหนึ่งยันพื้นที่ข้างหมอนไว้ ใบหน้าคมโน้มลงไปข้างแก้มใสของคนตัวเล็ก กระซิบถ้อยคำราตรีสวัสดิ์

“ฝันดีนะครับ…”

แม้ว่าเดียร์กับวายุจะไม่สามารถสัมผัสร่างกายกันได้

แต่เสียงที่ดังใกล้เกินไป ทำให้เดียร์ผงะหนีทันที

เดียร์ไม่หันไปมองตัวต้นเหตุ

คนตัวเล็กดึงผ้าห่มคลุมโปง หนีวิญญาณด้านหลังทันที



เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

วันนี้นาฬิกาปลุกที่เดียร์ตั้งไว้ ทำงานได้มีประสิทธิภาพดีมาก

ทันทีที่เสียงนาฬิกาดังขึ้น เดียร์ก็กดปิดมันทันที

เจ้าของนาฬิกาเด้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง

การพยายามลืมตา มันทำได้ยากเหลือเกิน ในเวลาเช้าๆแบบนี้

เดียร์สะลึมสะลือเข้าห้องน้ำด้วยความเคยชิน

ตอนเดียร์ตื่นขึ้นมา ไม่เห็นทั้งพู่กันและอาโปในห้องนอนแล้ว  พู่กันคงลงไปซื้อของกิน เดาว่าอาโปคงออกไปนั่งเล่นอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่รู้ป่านนี้ไอ้โต้งกลับไปหรือยัง

ทันทีที่ร่างกายโดนน้ำ เดียร์ตื่นขึ้นได้เต็มตาทันที สติเข้าร่างสมบูรณ์

วันนี้เดียร์ใส่ชุดไพรเวทไปเรียน แต่งตัวเสร็จก็เดินออกจากห้องนอน มาที่มุมหนังสือ

หยิบของที่ต้องใช้เรียนยัดลงไปในกระเป๋าสะพาย

“แล้วก็ไม่จัดกระเป๋าไว้ตั้งแต่เมื่อคืน” เสียงทุ้มๆลอยเข้าหูเดียร์

คนตัวเล็กเข้าใจว่านั่นคือเสียงของเพื่อนสนิท

แน่ล่ะ เสียงแบบนี้คงไม่ใช่เสียงของอาโปหรือพู่กันแน่

โดยไม่ทันตั้งตัว เดียร์เลยโพล่งตอบคำไปทันที

“ก็มันลืมนี่หว่า”

เสียงของเดียร์ไม่ได้เบานัก

โต้งที่กำลังเดินไปเดินมาในห้องถึงกับหันมามองเดียร์ ด้วยความงุนงง “มึงว่าอะไรนะ?” 

เดียร์หันขวับไปมองคนพูดทันที สวนคำถามกลับไป“อะไร?”

“เมื่อกี๊มึงพูดว่าอะไรหรือเปล่า มึงพูดกับกูไหม? หรือมึงพูดคนเดียว?” โต้งหยุดไปนิด เหมือนเพิ่งคิดอะไรได้ “หรือมึงคุยกับใครอยู่?”

โต้งมองไปรอบๆห้อง คล้ายระแวง

ตอนนั้นเอง เดียร์เพิ่งเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

พอเดียร์มองรอบตัวเองบ้าง ในสายตาเดียร์ปรากฎร่างบางใสของวายุยืนอยู่ไม่ไกลนัก ร่างสูงส่งยิ้มน้อยๆมาให้คนตัวเล็ก

“เออ กูพูดกับทุกคนนั่นแหละ” เดียร์บอกปัด แต่โต้งยังตะโกนตามมา ก่อนหายเข้าห้องน้ำไป

“มึงใช้คำว่า ‘ทุกคน’ หรอ ไอ้เดียร์!”

โต้งกับพู่กันเริ่มชินแล้ว กับเรื่องพฤติกรรมแปลกๆของเดียร์

ถ้าอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวแบบนี้ จะพูดคุยกับ เอ่อ..สิ่งลึกลับบ้าง ก็ไม่แปลกเท่าไรหรอก แต่ในพื้นที่สาธารณะนี่สิ…แม้ว่าโต้งกับพู่กันจะคอยพยายามเตือนสติเดียร์แล้ว แต่เดียร์ก็ยังหลุดเสียงตอบโต้อยู่หลายครั้ง โต้งกับพู่กันน่ะไม่เท่าไร แต่คนอื่นที่มองมานี่สิ…

“พี่เดียร์ ผมกำลังรอพี่ตื่นพอดีเลย” เสียงหวานใสของอาโปดังใกล้เข้ามา ไม่นาน ภาพของรุ่นน้องตัวเล็กก็ปรากฏในสายตา

เดียร์เงยหน้าจากกองหนังสือที่จับยัดลงกระเป๋าอยู่

อาโปในชุดนักศึกษา เดินมานั่งข้างกัน

“เมื่อคืน นอนหลับไหม?” เดียร์ถามพลางรื้อหาหนังสือไปพลาง

อาโปพยักหน้ารับ หน้าตาสดชื่น

เห็นอาโปร่าเริงแบบนี้ พาลทำให้นึกถึงเรื่องที่ต่อปากต่อคำกับวายุเมือคืน…

“ผมมีเรียนตอนเช้าเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าพี่เดียร์มีเรียนตอนไหน เลยรอพี่เดียร์ตื่น แล้วว่าจะออกไปเรียนเลย”

“ไปพร้อมกันกับพี่เลย ไปเร็วเดี๋ยวสาย” ว่าจบรุ่นพี่ตัวเล็กก็ฉุดรุ่นน้องที่ตัวเล็กพอๆกันให้ลุกขึ้น

“ไม่กินข้าวเช้าหรือไง?” เสียงของวายุลอยเข้าหูเดียร์อีกครั้ง เดียร์ส่ายหัวให้น้อยๆ ท่าทางส่ายหัวของเดียร์ ไม่ได้เป็นที่สะดุดตาอาโปเท่าไรนัก

วายุเดินตามเดียร์ที่วิ่งไปสวมรองเท้าหน้าห้อง

“แล้วอาโปล่ะ จะไม่ให้กินอะไรเลยรึไง”

“เรื่องนั้นคิดไว้แล้วน่า” เดียร์เผลอต่อคำวายุไปจนได้

อาโปสบตาเดียร์ เครื่องหมายคำถามปรากฏอยู่บนใบหน้าใสของรุ่นน้องตัวเล็ก

“อ่า… เดี๋ยวพี่พาไปหาอะไรกินข้างล่างนะ”

ไม่รอให้เวลาเดินเร็วไปกว่านี้ เดียร์ออกเดินนำทันที อาโปคอยเดินตามอยู่ติดๆ

วายุมองมือบางของเดียร์ที่กุมมืออาโปไว้แน่น …พลันรอยยิ้มหล่อประดับอยู่บนใบหน้าคมสันทันที

เดียร์พาอาโปแวะร้านข้าวแกงที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย

อาโปบอกว่าแค่นมหนึ่งกล่องก็โอเคแล้ว

แต่ด้วยความเป็นห่วงน้อง เดียร์ต้องคะยั้นคะยอให้อาโปกินข้าวเช้าให้ได้ โดยบอกว่าจะนั่งเป็นเพื่อน จนเจออาโปย้อนกลับแบบอายๆว่า“ทำไมพี่เดียร์ไม่กินข้าวเช้าล่ะ”  เท่านั้นล่ะ เดียร์ก็เลยยอมไปนั่งกินข้าวกับอาโปจนได้

“พี่ไม่ค่อยชอบกินข้าวเช้าเลย” เดียร์ว่าพลางเคี้ยวเม็ดข้าวช้าๆ

เดียร์ชำเลืองมองจานข้าวตัวเองเทียบกับอาโปแล้ว ปริมาณข้าวในจานน้องดูเหมือนจะหมดเร็วกว่าของเขามาก

“ทำไมหรอครับ? มันมีประโยชน์มากเลยนะ”

“ปกติพี่ไม่กินข้าวเช้า ทุกครั้งพี่กินควบข้าวเที่ยงไปเลย”  เดียร์ว่าจบ อาโปก็ร้องอุทานขึ้นมาเบาๆ

“เมื่อก่อนผมก็เป็นเหมือนพี่เดียร์  ถ้าพี่อยู่กับพี่วายุนะ พี่ต้องโดนพี่วายุดุแน่ๆ เพราะผมโดนดุมาแล้ว”

เดียร์เหลือบมองวายุที่ตามมานั่งข้างๆกันตั้งแต่มาถึง สีหน้าภูมิใจแบบนั้น มันชวนหงุดหงิดจริงๆ

เดียร์รวบช้อนส้อมเตรียมเก็บจานทันที

“อ้าว พี่เดียร์ อิ่มแล้วหรอ?”

เดียร์ได้แต่ส่งยิ้มแหยๆให้รุ่นน้อง “พี่กลืนไม่ค่อยลง”

หลังจากนั้น เดียร์กับอาโปก็รีบเดินทางไปตามหาห้องเรียนในคาบแรก

เดียร์แยกทางกับอาโปตรงตึกคณะโบราณคดี เพราะคาบแรกนี้ เดียร์ลงข้ามคณะไว้ ทำให้ต้องไปเรียนอีกคณะหนึ่ง ส่วนอาโปที่เป็นนักศึกษาปีหนึ่ง ยังถูกบังคับให้เรียนวิชาในคณะอยู่ ยังเรียนข้ามคณะไม่ได้

เดียร์ตรงไปห้องเรียนที่ลงเรียนวิชาภาษาเกาหลีไว้ เดียร์กะว่าเรียนไว้เป็นความรู้ก็ไม่เสียหาย
เลยลองลงเรียนดู  เผื่อถ้ามีสกิลภาษาเกาหลีแล้ว สาวๆอาจจะมาตามกรี๊ดเขาบ้างอะไรบ้าง …คึคึ

เดียร์เปิดประตูเข้าไปในห้องเรียนภาษาเกาหลี

ความคิดแรกที่แว้บเข้ามาในหัวเดียร์คือ ‘ทำไมมีแต่ผู้หญิง’

เดียร์เข้าไปจับจองที่นั่ง รออาจารย์เข้าสอน

ตัดสินใจเลือกที่นั่งริมสุดที่ว่างอยู่

แอบชำเลืองมองไปรอบห้องอีกที ก็พบเพียงเพศหญิง

แต่ถ้าคิดอีกที เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

นั่งเรียนท่ามกลางหญิงสาวรายล้อม สวรรค์ชัดๆเลยเดียร์เอ๊ย

และก็เป็นอย่างที่เดียร์คิดจริงๆ เมื่อทั้งห้องไม่มีผู้ชายเข้ามาเรียนอีกเลย เดียร์แอบชำเลืองมองอุปกรณ์การเรียนของหญิงสาวโต๊ะข้างๆ

กระเป๋า เต็มไปด้วยพวงกุญแจรูปหน้าศิลปิน เดียร์เดาว่าคงเป็นศิลปินเกาหลี เซทเครื่องเขียนมีตัวอักษร S กับ J อยู่บนเครื่องเขียนทุกชิ้น

ถึงเดียร์จะไม่ค่อยสนใจศิลปินเกาหลี แต่ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่า SJ ที่ว่าคืออะไร

เดียร์แอบมองไปด้านหน้า โต๊ะในแถวหน้า จัดอุปกรณ์มาอย่างดี

หญิงสาวแต่ละคน พกเครื่องสำอางมาคุยโวกัน ประหนึ่งตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า

เดียร์พยายามจ้องครีม ที่แต่ละคนเอามาอวดกัน

ตัวอักษร กลมๆเหลี่ยมๆแบบนั้น มันคือภาษาเกาหลีสินะ

“ผมว่า เดียร์ไม่ต้องใช้ครีมอะไร ก็น่ารักกว่าผู้หญิงที่นั่งแถวหน้าตั้งเยอะ”

เดียร์สะดุ้งน้อยๆ เมื่อเสียงที่ว่ามันมาจากด้านข้างของโต๊ะ

วายุนั่งชันเข่ากับพื้น แขนหนาสองข้างวางพาดไปกับโต๊ะ เกยคางลงบนโต๊ะเหมือนเด็กๆ

เดียร์ขมวดคิ้ว ขบริมฝีปากล่างน้อยๆ รู้สึกโมโหตัวเองนิดหนึ่งที่โวยวายออกไปตรงๆไม่ได้

มีอย่างที่ไหนมาบอกว่าเขาน่ารักกว่าผู้หญิง!

เอ็งบ้าไปแล้ว วายุ

ไม่นาน อาจารย์สาวก็เดินเข้ามาในห้องเรียน

หญิงสาวทุกคนในห้องเก็บสินค้าที่เอาออกมาโชว์ลงกระเป๋าทันที

เดียร์ตั้งหน้าตั้งตาฟังที่อาจารย์พูด

เนื่องจากเพิ่งเริ่มเรียนครั้งแรก  อาจารย์จึงสอนใช้คำพูด ประโยคพื้นฐานง่ายๆก่อน

ตั้งแต่คำทักทาย การแนะนำตัว

แต่ดูเหมือนอาจารย์จะใจร้อนไปนิด เมื่ออาจารย์มอบแบบฝึกหัดวัดพื้นฐานคร่าวๆมาทันที

อาจารย์ยังอยากเห็นความสามารถ โดยให้ออกไปเขียนที่หน้าห้องด้วย

อาจารย์ให้แต่ละแถวที่นั่ง ส่งตัวแทนออกไปเขียนหน้าห้อง

เดียร์ที่สบโอกาส ก็วางมาดเป็นฮีโร่ทันที ขันอาสาบอกสาวๆว่าเดี๋ยวตัวเองจะออกไปเขียนเอง

โจทย์ที่เดียร์ได้รับคือ “ผมยังไม่มีแฟน”

หลังจากที่ได้สาวๆช่วยจัดเรียงรูปประโยคให้แล้ว เดียร์ก็ลุกออกไปเขียนด้วยความมั่นใจ

อาจารย์ส่งยิ้มให้เดียร์ทันที ที่เดียร์ออกไปหน้าห้องคนแรก

เริ่มลงมือเขียน … 여자친구가 없어요.

เขียนเสร็จ เดียร์หันไปสบตากับอาจารย์

เจอสายตาที่อาจารย์มองแปลกๆกลับมา

“เอ่อ… เอาอย่างนี้จริงๆใช่ไหม?” เสียงอาจารย์ฟังดูคล้ายจะขำก็เหมือนไม่ขำ จะว่าดุก็ไม่เชิงดุ

หญิงสาวในแถวเริ่มลังเลไปตามอาจารย์

“ยอจาชินกู นั่นแปลว่าแฟนสาวนะคะ แล้วทำไมเธอ….” อาจารย์พูดเพียงเท่านั้นก็ชะงักไป อาจารย์กลับไปเปิดแฟ้มที่มีรายชื่อนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชานี้

“เธอชื่อ….” อาจารย์ลากเสียงยาว ไปตามนิ้วที่ไล่ชื่อนักศึกษาในแฟ้มไปด้วย

“ชินดนัยครับ” เดียร์ต่อประโยคให้อาจารย์ทันที

ทันใดนั้นอาจารย์ก็ร้องขึ้นมา “อ้าว ทำไมคำนำหน้าเป็น ‘นาย’”?

ทั้งห้องพร้อมใจกันเงียบขึ้นมาทันที

เดียร์กระพริบตาปริบๆ ส่งไปให้อาจารย์

เดียร์ได้ยินเพียงหัวเราะดังๆของ’ใครบางคน’ที่ตามเดียร์มาเท่านั้น

“เอ่อ…ครับ ผมเป็นผู้ชาย”

จบประโยคของเดียร์ อาจารย์กวาดตามองเดียร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า

เป็นเพราะเดียร์ใส่ชุดไพรเวท ยิ่งทำให้อาจารย์ต้องเพ่งมองดีๆเข้าไปใหญ่

อาจารย์ก็ไม่ได้แก่มาก ทำไมถึงดูไม่ออก

เขาเป็นผู้ชายครับผู้ชาย ทำไมอาจารย์ต้องถามเหมือนเดียร์ทำอะไรผิดด้วย

อาจารย์ขอโทษขอโพยเดียร์ไปอีกชุดใหญ่  คนตัวเล็กยิ้มแหยๆ ได้แต่ตอบว่าไม่เป็นไร

เดียร์เดินกลับมานั่งที่

เดียร์คิดไปเองหรือเปล่า ว่าสายตาของหญิงสาวในแถวที่นั่งด้วยกัน ดูแพรวพราวขึ้น

แม้แต่หญิงสาวพรีเซนเตอร์ขายครีม แถวหน้า ยังหันมาส่งสายตาระยิบระยับให้เดียร์ด้วย

ชายหนุ่มในห้องเพียงคนเดียว ได้แต่ยิ้มเก้อๆ แก้มใสขึ้นสีระเรื่อเมื่อถูกมอง

เดียร์คิดไปเองว่าสายตาสาวๆต้องแอบปิ๊งปั๊งเขาอยู่แน่ๆ

อย่าให้เดียร์รู้ความคิดของสาวๆเหล่านั้นเลยดีกว่าเนอะ   คึคึคึคึ…

เสียงหัวเราะที่ดังมาจากด้านข้างยังดังต่อเนื่องไม่หยุด

เดียร์หันไปส่งสายตาปราม ให้วายุหยุดหัวเราะเสียที

“โทษๆเดียร์ ผมไม่คิดว่าอาจารย์จะ…ฮ่าๆๆๆ” ว่าแล้ววายุก็หันไปหัวเราะอีกชุดใหญ่

เดียร์ได้แต่ตีหน้าบึ้งใส่วายุ ละความสนใจไว้แค่นั้น หันไปตั้งใจฟังอาจาย์บรรยายที่หน้าห้องต่อ

วายุได้แต่พยายามกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ

ดูซิดู...

ดูคนที่มั่นใจว่าตัวเองน่ะแมนนักแมนหนา

เจอทักขนาดนี้

น่าจะรู้ตัวได้เสียทีนะ…



“…กวางน้อยของผม”



# My dear



มาลงน้องเดียร์ต่อค่ะ ฮี่ๆๆๆ ^_^

…ตอนนี้พี่ล็อคไม่มีบทเลย T T



เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2




ในเวลาเลิกเรียน เป็นช่วงที่การจราจรติดจัดไม่ต่างกับตอนเช้า

เดียร์ไม่สละเวลาที่ต้องไปยืนนิ่งๆบนรถที่รอขยับ

คนตัวเล็กใช้วิชาบาทวิถีเป็นตัวนำพาไปยังร้านไอศกรีมที่ตั้งอยู่หน้ามหาวิทยาลัย

มองผู้คนที่ยืนเบียดเสียดอยู่บนรถโดยสารที่ไม่ขยับ คนตัวเล็กได้แต่ถอนหายใจเบาๆ

รถจะติดเฉพาะถนนเส้นที่วิ่งตรง ถ้ามีทางแยก รถก็จะวิ่งได้สะดวกมากขึ้น เพราะต่างคนก็ต่างเป้าหมายกันไป ไม่ได้แออัดกันอยู่บนถนนเส้นเดียว

เดียร์เดินมาถึงทางแยก ถ้าข้ามแยกนี้ไปได้ เดินตรงไปอีกนิดหน่อย(ในความรู้สึกของเดียร์)  ก็จะถึงหน้ามหาวิทยาลัย
เดียร์หันซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง กำลังจะก้าวเท้าลงบนพื้นถนน จู่ๆรถยนต์คันหรูที่เดียร์คุ้นตาก็เข้ามาจอดดักหน้า
เดียร์ยืนนิ่ง มองรถที่จอดนิ่ง ตรงหน้า

คนขับรถเลื่อนกระจกฝั่งข้างคนขับลง

“ขึ้นมาเร็ว ไปที่ร้านด้วยกัน”

เดียร์ส่งยิ้มให้เจ้าของรถ ขบริมฝีปากล่างน้อยๆอย่างลังเล “ไม่เป็นไรครับพี่ล็อค เดี๋ยวผม…” ยังไม่ทันที่เดียร์จะพูดจบประโยค ก็โดนเจ้าของรถขัดขึ้นซะก่อน “ขัดคำสั่งเจ้านายอีกแล้วนะ”

“ขึ้นมาเร็วเข้า ถ้าไปทำงานช้า พี่หักเงินเป็นนาทีนะ” จบคำขู่ของเจ้าของร้านตัวโต เดียร์รีบเปิดประตู มุดเข้าไปนั่งคู่คนขับทันที

เดียร์หันมายิ้มแหยๆ ให้เจ้าของรถ ก่อนหันหน้าไปมองมองถนนที่อยู่เบื้องหน้า ถ้าเพียงแต่คนตัวเล็กหันหน้าไปช้ากว่านี้ คงทันเห็นรอยยิ้มมุมปากของเจ้านายตัวโตแน่ๆ

“ยิ้มอะไร ยิ้มอารายยย มีหน้าที่ขับรถก็ขับไปสิวะ!” เสียงยานคาง ที่เดียร์คุ้นเคย ดงขึ้นมาจากด้านหลังของรถ

ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเสียงใคร

เดียร์ไม่อยากสนใจเสียงนั้น ไม่อยากสนใจประโยคพวกนั้น

ล็อคเตรียมออกรถต่อทันที

“เดินตลอดเลยนะเรา ไม่เมื่อยหรือ?” เสียงทุ้มของคนขับ ทำให้เดียร์ละความสนใจจากถนนได้บ้าง

“ชินแล้วครับ ไม่เมื่อยเลย” คนตัวเล็กเงียบไปสักพัก “ว่าแต่  พี่ล็อคขับรถแบบนี้ทุกวัน ไม่เบื่อหรือครับ?” เสียงใสที่ถามกลับมา ทำเอาล็อคหัวเราะน้อยๆ  ล็อครู้แน่ๆ ว่าเดียร์คงหมายถึงเวลารถติดหนักๆ อย่างตอนนี้

“ชินแล้วล่ะ ไม่เบื่อเลย” รูปประโยคคำถามและคำตอบที่คล้ายกัน ทำเอาเจ้านายและลูกน้องอดขำกับคำพูดเหล่านั้นไม่ได้

ไม่นานรถยนต์คันหรูก็เข้าจอดในบริเวณหน้าร้าน

ล็อครีบลงจากรถทันทีที่รถนิ่งสนิท เดียร์ที่เห็นล็อคกระวีกระวาดลงจากรถก็รีบปลดสายเข็มขัดด้วย แต่ยังไม่ทันที่จะได้จับประตูรถ จู่ๆประตูรถก็เปิดเองเสียก่อน เดียร์แอบคิดไปแล้ว ว่ามันฝีมือ ‘ใครคนนั้น’แน่ๆ แต่เสียงทุ้มๆที่เดียร์ได้ยิน เรียกสติเดียร์ได้อีกครั้ง

“เชิญครับ” วายุผายมือ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม

“เดี๋ยวนี้มีบริการเปิดประตูรถให้ลูกจ้างด้วยนะครับ”เดียร์แซวเจ้านาย อย่างไม่กลัวโดนหักเงินเดือน คนเป็นเจ้านายหัวเราะประโยคนั้นอย่างถูกใจ

ในตอนนี้ โต้งมารอเดียร์อยู่ก่อนแล้ว

เดียร์เพิ่งเอะใจ ว่าวันนี้โต้งก็มีเรียน แล้วพี่ล็อคก็ดูท่าว่าคงจะมีเรียน แล้วเดียร์ก็ไปเรียน แล้วร้าน?

เดียร์คงจะแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไป จนโต้งเดินเข้ามาทัก

“สงสัยใช่ไหม? เดี๋ยวมาคุยกัน”

โต้งว่าจบก็เดินไปส่งไอศกรีมที่โต๊ะลูกค้า

เดียร์เดินเข้าไปโยนกระเป๋าไว้ใต้เคาน์เตอร์ เดินเข้าไปดูถ้วยไอศกรีมที่ปกติจะกองกันสูงมาก แต่วันนี้ไม่มีเลย ล็อคที่เดินตามเดียร์มา เข้าประจำตำแหน่งที่แคชเชียร์ทันที

โต้งเดินกลับมาพร้อมถาดเปล่า

เห็นทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ก็เริ่มเปิดฉากบทสนทนา

“ผมว่ารับพนักงานเพิ่มกันเถอะครับพี่ล็อค”

โต้งว่าพลางวาดถาดไว้ข้างๆที่เก็บเมนู

“พี่ก็ว่าจะถามพวกเราอยู่พอดี”  ล็อคหันมาพูดกับพนักงานในร้าน “อย่างวันนี้ก็เพิ่งเปิดร้านตอนสี่โมงเย็น” อย่างที่ล็อคคาดเดาไว้

“ใช่เลยครับพี่ล็อค ผมมาก่อนที่พี่จะมาพร้อมไอ้เดียร์ แป๊บเดียว”

“ถ้าพี่จะเปิดร้านทั้งวัน ต้องรับพนักงานที่อยู่เฝ้าร้านได้ตลอด”

โต้งเริ่มพูดถึงตารางเรียนของตัวเอง เดียร์เห็นอย่างนั้นก็เริ่มอธิบายบ้าง ล็อคที่ได้ฟังก็เริ่มจะเห็นด้วย จากที่ไม่คิดว่าจะรับพนักงานเพิ่ม

ล็อคไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คิดว่า แค่ได้เจอเดียร์ทุกวัน เขาก็มีความสุขแล้ว…

เมื่อเจอปัญหาแบบนี้ สุดท้ายล็อคก็ต้องยอมรับพนักงานเพิ่ม

แต่มีข้อแม้ว่าต้องอยู่เฝ้าร้านไอศกรีมได้ทั้งวัน

รับเพิ่มอีกสองคน คงจะพอเบาแรงเดียร์กับโต้งได้บ้าง


เมื่อถึงเวลาค่ำ ลูกค้าในร้านเพิ่มมากขึ้น

พนักงานทั้งสามคนในร้านวิ่งวุ่นรับ-ส่งลูกค้ากันจ้าละหวั่น

ถึงจะลูกค้าจะเยอะขนาดไหน เดียร์ก็ไม่หวั่น ดีตรงที่วิญญาณที่ลอยไปลอยมา ไม่ได้เข้ามากวนแต่อย่างใด

วันนี้ดูเรียบร้อยแฮะ…

เดียร์เห็นวายุตั้งหน้าตั้งตากล่าวคำทักทายและอำลาลูกค้าอยู่ตรงประตู แต่ละคนเดินทะลุวายุไปอย่างไม่สะดุ้งสะเทือน

เดียร์มองวิญญาณที่พยายามสื่อสารกับคน แล้วก็ได้แต่แอบขำ

เดี๋ยวนี้ รับจ็อบเป็นพนักงานต้อนรับแล้วหรือไง

เดียร์เผลอจ้องวายุนานไปหน่อย จึงได้รอยยิ้มหล่อส่งกลับมาให้ทันที เดียร์สะดุ้งเหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้ คนตัวเล็กรีบเดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ทันที

ในที่สุดก็ใกล้เวลาปิดร้าน ลูกค้าในร้านเริ่มบางตาลงแล้ว

โต้งกับเดียร์ เริ่มทำความสะอาดโต๊ะ เก้าอี้ เก็บถ้วยแก้วน้ำไปล้าง

เดียร์เห็นวายุลอยไปเก็บขยะที่หล่นอยู่ตามพื้น พยายามไม่ให้เป็นที่สังเกต

เดียร์ว่าพี่ล็อคคงไม่เห็นหรอก แต่สำหรับโต้งนี่ไม่แน่

แอบเห็นสายตาโต้งมองไปทางวายุที่กำลังเก็บขวดน้ำบนพื้น แล้วโต้งก็ตาค้างไปพักใหญ่

โต้งไม่ถามอะไรเดียร์ แต่เดียร์มั่นใจว่าโต้งรู้แน่ๆ

มันคงกลัวจนไม่กล้าถาม

เดียร์มองวายุที่ตั้งใจทำงาน พลันนึกถึงใครอีกคนที่เขาเคยบอกว่าจะช่วย

“โต้ง กูจะไม่อ้อมค้อมนะ” เดียร์โพล่งขึ้นมา แค่พูดเฉยๆ ทำไมโต้งต้องสะดุ้งขนาดนั้น

“กูรู้ว่ามึงเห็นอะไร ใช่… เขามาด้วย แต่เขาไม่ทำอะไรหรอก สบายใจได้” เดียร์พูดอย่างเดาความคิดโต้งได้ และคงเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะโต้งดูนิ่งไป

“กูจะไปหาหมอผี มีหมอผีเก่งๆแนะนำไหม?” เดียร์ว่าต่อทันทีไม่ได้ดูอาการเพื่อนเลย ว่ามันอยู่ในสภาพพร้อมให้คำแนะนำไหม

เดียร์ต้องเรียกสติเพื่อนให้กลับเข้าร่าง ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามันกลัว แต่จะให้ทำยังไงล่ะ เห็นแล้วจะให้โกหกว่าตาฝาด นั่นยิ่งหลอนไปใหญ่

ไม่นาน โต้งก็รวบรวมสติเข้าร่างได้

จะว่าชินก็ชิน จะว่าไม่ชินก็ไม่ชิน เอ๊อ…แล้วมันยังไง?

ความรู้สึกแบบที่โต้งเป็น มันโคตรจะอธิบายไม่ถูก

ทำไมไอ้เดียร์ มันทำใจยอมรับเรื่องแบบนี้ง่ายจังวะ

โต้งต้องให้เดียร์ทวนคำถามอีกรอบ

โต้งที่เริ่มตั้งสติได้แล้ว จึงเริ่มต่อบทสนทนาของเพื่อนตัวเล็ก

“มึงจะไปหาหมอผีทำไม?”

“กูว่า กูต้องพึ่งหมอผีแล้วว่ะ”  จบประโยค โต้งถึงกับเบิกตากว้าง ครางเบาๆด้วยความอึ้ง “ขนาดนั้นเลยหรอวะ?”

“มึงมีแนะนำไหม?” เดียร์เดินไปหยิบไม้กวาด ไล่กวาดตามที่ที่วายุเพิ่งเดินเก็บขยะชิ้นใหญ่ไป

“จริงๆ…กูก็พอได้ยินมาบ้างนะ คนในซอยบ้านกูเคยพูดถึงกัน”

เดียร์ตาโตด้วยความดีใจ ท่าทางดีใจที่ทำเอาโต้งอยากร้องไห้

“’เขา’ไม่ว่าอะไรหรอวะ ที่มึงพูดถึงหมอผี?” โต้งกระซิบเบาๆ แต่ไม่พ้นหูวายุที่เริ่มกลับมาประกบข้างเดียร์อีกแล้ว

เดียร์เหลือบไปมอง ‘เขา’ที่โต้งพูดถึง รายนั้นได้แต่ยักคิ้วอย่างท้าทายมาให้

“หมอผีก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกเดียร์ ผมบอกแล้วไง แค่เดียร์ตกลงยอมเป็น…”

“หยุด!!” เดียร์ตวาดลั่น หันไปทางวายุที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ

โชคร้ายไปหน่อย ที่บังเอิญล็อคเดินเข้ามาซ้อนหลังวายุพอดี

“ฮะ? ให้พี่หยุดทำไมหรือ?” ล็อคก้าวเท้าค้าง คนตัวโตกำลังจะเดินเข้าไปหยิบเอกสารหลังเคาน์เตอร์มาคำนวณของ

เดียร์ยิ้มแหยๆส่งไปให้เจ้าของร้านทันที

“มะ…ไม่ ไม่มีอะไรครับ ผมกำลังเอ่อ…” เดียร์หันไปรอบข้าง เห็นโต้งกลั้นขำ เดินไปเช็ดโต๊ะที่อยู่ถัดไป หันมาอีกที เจอวายุยิ้มหล่อไม่ไปไหน คนตัวเล็กพยายามหาคำพูดมาต่อบทสนทนากับเจ้านาย “ผมกำลังบอกตัวเองว่าหยุดกวาดพื้นแล้วไปล้างจานซะ” ว่าจบคนตัวเล็กก็เดินหายเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ทันที ล็อคมองตามอย่างไม่เข้าใจ ขำน้อยๆกับความน่าเอ็นดูของคนตัวเล็ก ก่อนออกไปหามุมของร้าน นั่งคิดบัญชีต่อ

“มึงไม่ได้พูดกับกูใช่ไหม?” โต้งเข้ามาแซวเพื่อนทันทีที่ได้โอกาส เดียร์หันมายู่หน้าใส่น้อยๆ ต่อคำเพื่อนไปเบาๆ “กูแทบบ้า”  เดียร์ว่าจบ โต้งหายไปทันทีหลังแซวเพื่อนได้


เดียร์หันมาตีหน้าบึ้งใส่วิญญาณที่เริ่มวุ่นวายกับเขาอีกแล้ว

“เห็นว่าวันนี้ทำตัวดี คิดว่าจะดีได้ทั้งวัน”เดียร์หันมาประชดเข้าให้

“นี่มันกลางคืนแล้วนะ ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล…” ไม่พูดเปล่า ร่างสูงโน้มตัวกระซิบริมหูเล็ก  คนตัวเล็กก้มหน้าหนีทันที หันไปตีหน้าบึ้งใส่ร่างสูง พยายามไม่สนใจรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าคม เดียร์ก้มหน้าก้มตาล้างถ้วย ล้างแก้วต่อทันที

ในที่สุดก็ได้เวลาเลิกงานจริงๆ

ล็อคอาสาไปส่งพนักงานในร้านถึงหอของแต่ละคน

คนตัวโตตั้งใจไปส่งโต้งก่อน แล้วเลยไปส่งเดียร์

เดียร์อดคิดไม่ได้ว่า ‘สวัสดิการร้านนี้ ดีจริงๆ’

เดียร์เดินเข้าลิฟต์ เป้าหมายคือชั้นสี่

“เดียร์จะไปหาหมอผีจริงๆหรอ?”

วายุถามคำถามนี้กับเดียร์หลายครั้งแล้ว ตั้งใจโน้มน้าวให้เดียร์เปลี่ยนใจ แต่คำตอบที่วายุได้ทุกครั้งคือ “ก็ไปจริงๆน่ะสิ”

ลิฟต์เปิดออก เดียร์มุ่งหน้าไปยังห้องพักของตัวเอง

ร่างสูงเดินตามอย่างล่องลอย

“หมอผีไม่ได้ช่วยให้ผมกลับเข้าร่างได้หรอกนะ” เสียงวายุฟังดูกระเง้ากระงอด เดียร์อดหันไปมองไม่ได้

 “ได้ไม่ได้ก็ต้องลองดู ดีกว่าอยู่เฉยๆ”

จบประโยค วายุได้แต่ส่งสายตาเว้าวอนไปให้

 “เดียร์ก็ไม่ต้องอยู่เฉยๆสิ เปิดใจสิเดียร์ แค่เดียร์เปิดใจ ผมรู้นะว่าตอนนี้เดียร์ไม่เปิดใจรับใครเลย ไม่ว่าจะเป็นผม ไอ้ล็อค หรือใครก็ตาม”

เดียร์ชะงัก หันไปมองวายุอย่างไม่พอใจ

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยล่ะ?” เดียร์ว่าพลางออกเดินต่อ พอถึงห้องตัวเองก็จับลูกบิดประตู แต่เปิดไม่ออก เดียร์ลองเคาะประตู บางทีพู่กันอาจอยู่ในห้อง แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อพู่กันเดินมาเปิดประตูให้

“ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดเลยนะ” เดียร์เอ่ยแซวเพื่อนทันที

“ก็มันจริงอย่างที่ไอ้โต้งว่านี่หว่า”

พู่กันว่าแค่นั้น ก็กลับไปจมอยู่กับกองหนังสือ

“มีรายงานหรือ?” เห็นพู่กันแทบจะกินหนังสือ เดียร์อดถามไม่ได้

“ส่งเดือนหน้า”

“เร็วจังวะ?”

“ใช่ไหม?”

พู่กันว่าพลางทำหน้าเซ็งๆ มีแอบนินทาอาจารย์ให้ฟังอีกแน่ะ

เป็นอันรู้กันว่าถ้าอาจารย์บอกในเอาท์ไลน์ว่ามีรายงาน

นั่นคือนักศึกษาต้องเตรียมตัวตั้งแต่วันแรกที่เรียน

เดียร์เดินเข้าไปในห้องนอน หยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ เผลอคิดไปถึงรายงานของตัวเองที่ต้องทำในภาคการศึกษานี้

“เรายังคุยกันไม่จบเลยนะเดียร์”

“เฮ้ย!”

คนตัวเล็กอุทานลั่น มือบางค้างอยู่ที่กระดุมเสื้อเม็ดที่สอง

วายุลอยเข้ามานั่งบนอ่างล้างหน้า สายตาคมจงใจโลมเลียแผ่นอกขาวเนียนที่โผล่พ้นกระดุมเสื้อ

เดียร์มองตามสายตาวายุแล้วรีบติดกระดุมเสื้อคืน

“จะเข้ามาทำไม! จะอาบน้ำ”

“ก็เรายังคุยกันไม่จบ” วายุว่าพลางเดินเข้ามาใกล้คนตัวเล็ก

เดียร์เผลอถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณ

ร่างสูงเข้าใกล้คนตัวเล็กมากขึ้น แม้รู้ว่าไม่สามารถสัมผัสผิวขาวเนียนของคนตรงหน้าได้ วายุก็อยากเข้าไปใกล้ๆ พิศชมใบหน้าเนียนใสนี้

เดียร์ถอยหลังจนแผ่นหลังเล็กสัมผัสผนังห้องน้ำ วายุเห็นอย่างนั้นก็ยังไม่หยุดเข้าใกล้คนตัวเล็ก ท่อนแขนหนายกแนบผนังห้องน้ำ คร่อมคนตัวเล็กไว้ เดียร์อยู่ตรงกลางระหว่างท่อนแขนคู่นั้น เดียร์เพิ่งรู้วันนี้นี่เอง ว่าตัวเองสูงแค่ไหล่ของวายุเท่านั้น

แม้คนตัวเล็กจะรู้ว่าไม่สามารถสัมผัสกันได้จริงๆ แต่ในเวลาแบบนี้ เดียร์ไม่สามารถคิดถึงความจริงเรื่องนั้นได้

แค่เดียร์ก้าวเท้าวิ่งออกไป ก็ทะลุร่างสูงของวายุออกไปได้แล้ว แต่อาการไร้เรี่ยวแรงที่เข้าสิงร่างกายเดียร์กะทันหัน ทำเอาเดียร์วิ่งไม่ออก

ดวงตากลมใสสบตากับควงตาคม

ร่างสูงพิศชมแก้มเนียนใสทั้งสองข้าง จ้องมองริมฝีปากเล็กที่เม้มเข้าหากันจนแนบสนิท คล้ายกำลังกลัวสิ่งใดอยู่  วายุอยากจะแนบริมฝีปากลงไป ถ้าหากว่ามันจะสัมผัสได้บ้าง

ร่างสูงลองก้มหน้าใบใกล้แก้มใส หวังว่าจมูกจะเฉียดแก้มใสๆนั้น แต่ไม่มีเลย วายุไม่รู้สึกถึงความอ่อนนุ่มใดๆเลย นอกจากผนังห้องน้ำ

ให้มันได้อย่างนี้สิ! ถ้าเดียร์เป็นคนรักของเขาจริง อย่างที่กามเทพนั่นพูด เขาก็น่าจะแตะต้องเดียร์ได้บ้างสิเว้ย!

วายุผละออกมาจากแก้มขาวเนียน อย่างหงุดหงิด

ถึงจะไม่สัมผัสโดนตัว แต่การกระทำของวายุที่เดียร์เห็น พาลทำเอาคนตัวเล็กอึ้งไปไม่น้อย

“นะ…นาย ทำอะไร!”

ประโยคนั้น ทำให้วายุคลายความหงุดหงิดได้บ้าง

รอยยิ้มมุมปากปรากฏบนใบหน้าคม

“เปิดใจเดียร์ไงครับ”





# My dear



มาแล้วค่ะ ^^




เจอกันตอนต่อไปนะคะ ^_^

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2

เดียร์ขมวดคิ้วมุ่นกับประโยคของวายุ

มือบางยกขึ้น ตั้งใจจะผลักร่างสูงออกไปจากตัว

ตอนนั้นเองที่คนตัวเล็กเพิ่งคิดถึงความเป็นจริงได้

เดียร์เดินทะลุร่างของวายุ ลงแรงเท้าก้าวออกไป

 น่ากลัวว่าเท้าจะบวม

วายุได้แต่มองตามร่างเล็กที่เดินออกไป

สายตาคมฉายแววไม่พอใจ

วายุไม่แน่ใจว่าไม่พอใจการกระทำตัวเอง…

หรือไม่พอใจท่าทางของคนตัวเล็กกันแน่

เดียร์เดินมาทิ้งตัวที่เตียงกว้าง

เสียงโทรทัศน์ที่ดังเข้ามา ทำให้เดียร์แน่ใจว่า พู่กันคงอยู่ในห้องนั่งเล่น

เดียร์มองไปทางห้องน้ำ พลันนึกหงุดหงิดกับการกระทำและคำพูดของ’ใครบางคน’

ไม่ชอบการกระทำที่ดูคุกคาม เหมือนที่วายุเพิ่งทำลงไป

เดียร์จะเปิดใจหรือไม่เปิดใจ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับใครคนนั้น

…มาขอให้ช่วย …ก็จะช่วย

อย่าทำเป็นอ่านใจเดียร์ได้หน่อยเลย

ร่างเล็กกำลังคิดอะไรไม่ตกอยู่คนเดียว พลันสายตาเหลือบไปเห็นวายุ ร่างสูงค่อยๆเดินเข้ามาหาคนตัวเล็ก

“เดียร์..” เสียงทุ้มดังแผ่วๆ แต่เดียร์หันหน้าหนีเจ้าของเสียงนั้น

วายุไม่ได้ละความพยายาม ร่างสูงตามมานั่งข้างๆคนตัวเล็ก

เดียร์ไม่หันไปสนใจ

หวังว่าอาการเมิน จะทำให้วายุถอยห่างไปเอง

แต่เดียร์คงคาดการณ์ผิดไป

“เดียร์… ผมต้องทำยังไง เดียร์ถึงจะเชื่อ… ผมไม่ได้โกหกเดียร์นะ…” วายุยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าใส เห็นเดียร์กัดริมฝีปากล่างตัวเองเสียแน่น

ไร้การโต้ตอบจากร่างเล็ก เป็นโอกาสให้วายุได้พูดต่อ

“เดียร์… การที่จะรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต มันไม่ยากขนาดนั้นนะ เดียร์ลองเปิดใจ เปิดโอกาส โอเค…เดียร์อาจจะไม่ได้ต้องการรับผมเข้าไปในชีวิต เพราะผมเป็นวิญญาณที่ไม่รู้จะได้กลับเข้าร่างหรือเปล่า แต่ขอร้องละเดียร์ …”

“มันจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว” เสียงใสสวนขึ้นทันที

วายุชะงักไป ร่างสูงสงบลง ตั้งใจฟังสิ่งที่เดียร์จะพูด

“ถ้าลองมองอีกมุมนะ สมมติว่าฉันช่วยนาย โดยวิธีบ้าๆที่นายบอก ถึงฉันจะตอบตกลงไปว่า ‘โอเค ฉันยอมเป็นแฟนกับนาย’ ถ้านายต้องการแค่นั้น มันก็ไม่ยาก นายก็ไม่ต้องบังคับให้ฉันเปิดใจอะไรนั่นด้วย

“ถ้าฉันตกลงแต่ปาก แต่ความรู้สึกมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น..”

“ผมถึงได้บอกให้เดียร์เปิดใจไงครับ”วายุแทรกขึ้นบ้าง

เดียร์ถอนหายใจแรงๆ  เผลอสบตาวายุ ทันใดนั้น เหมือนเดียร์เห็นภาพซ้อนของรุ่นน้องที่เดียร์กำลังเป็นห่วง อาโป…

ป่านนี้อาโปจะเป็นอย่างไรบ้างนะ…

เดียร์ไม่ได้ต่อบทสนทนา วายุมองคนตรงหน้านิ่งๆ

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ

คนตัวเล็กขบริมฝีปากล่างคล้ายกำลังขบคิดสิ่งใดอยู่

“พรุ่งนี้ ฉันจะไปหาร่างของนาย…ที่โรงพยาบาล”

วายุเผยจุดยิ้มน้อยๆที่ริมฝีปาก

“ฉันจะพาอาโปไปด้วย แต่จะไม่บอกเรื่องหมอผีแน่นอน”

เดียร์ว่าจบก็ลุกขึ้น เดินตรงไปยังห้องน้ำ

ไม่วาย หันมาหาร่างสูงที่นั่งมองตามอยู่

“อย่าเข้ามาตอนจะอาบน้ำอีกเด็ดขาด!”

ว่าจบก็เตรียมหันหลังหมุนตัวกลับ เสียงทุ้มๆดังตามมาทันที

“ตอนจะอาบน้ำเข้าไปไม่ได้ แต่ตอนอาบน้ำอยู่เข้าไปได้ใช่ไหม?”

เป็นรูปประโยคที่มีความหมายไม่ค่อยเข้ากับสถานการณ์เลย..

เดียร์หันมาตวาด  “ไอ้บ้า!! ไม่ช่วยแม่งแล้ว!”

“ล้อเล่นน่า…” วายุลุกขึ้นสาวเท้าเข้าไปหาร่างเล็กที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำ

“บอกว่าอย่าตามมาไง!”



กว่าเดียร์จะเอาตัวรอดได้ก็ปาดเหงื่อไปหลายลิตรอยู่เหมือนกัน

หลังอาบน้ำเสร็จ เดียร์นั่งเช็ดผมอยู่ที่เตียง เป็นจังหวะที่ประตูห้องนอนถูกเปิดออก พร้อมร่างของเพื่อนร่วมห้องแทรกตัวเข้ามา

“มึงเคลียร์เสร็จแล้วใช่ไหม?”

เดียร์ขมวดคิ้วมุ่นกับประโยคของพู่กัน

จู่ๆก็ถามมา ไม่มีเกริ่นนำอะไรเลย

“เคลียร์อะไรวะ?”

“กูรู้นะ ก่อนนะนี้มึงไม่ได้พูดคนเดียวใช่ไหมล่ะ?”

พู่กันเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว เตรียมตัวจะอาบน้ำบ้าง

เดียร์เห็นท่าทางของเพื่อนแล้วก็ได้แต่ส่งสายตาคาดโทษไปให้ร่างสูง ที่นั่งไขวห้าง เก๊กหล่ออยู่ข้างๆ

“กูว่าจะเข้ามาเอาของ แต่กูได้ยินเสียง เหมือนมึงกำลังคุยกับใครอยู่ กูเลยไม่กล้าเข้ามา” พู่กันว่าจบก็หันมามองหน้าเดียร์ “เขายังอยู่ในห้องใช่ไหม?”

เดียร์ได้แต่พยักหน้าให้น้อยๆ พู่กันมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวเท่าไร คงเป็นเพราะพู่กันคงชินบ้างแล้ว

“เขาให้ช่วยอะไรก็ช่วยไปนะ ได้บุญทั้งคู่นั่นล่ะ” ว่าจบ พู่กันก็เดินเข้าห้องน้ำไป



เดียร์ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยอิทธิฤทธิ์ของนาฬิกาปลุกเช่นทุกวัน

หลังจากที่วิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ คนตัวเล็กคว้าโทรศัพท์ที่วางไว้ใกล้หมอน หยิบมาโทรออกทันที

คนตัวเล็กโทรพลางเดินไปใส่รองเท้า เตรียมตัวไปเรียนในตอนเช้า  เห็นพู่กันวิ่งตามมาใส่รองเท้าข้างๆ

“เร็วๆ เดี๋ยวสาย” เสียงหวานใสของพู่กัน ช่วยเร่งความเร็วให้เพื่อน

เดียร์พยักหน้าน้อยๆ เหน็บโทรศัพท์ไว้ข้างแก้ม สองมือก้มลงไปพยายามอ้ารองเท้าให้มันเข้าล็อคกับเท้า

พู่กันวิ่งไปยืนรอที่หน้าประตู ไม่นานเดียร์ก็วิ่งตามออกมา

“สวัสดีครับพี่ล็อค”  เดียร์กรอกเสียงลงไปทันทีที่ปลายสายรับโทรศัพท์

เดียร์ยังไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ เพราะเจ้าของร้านไอศกรีมเอาแต่ขอโทษที่รับโทรศัพท์ช้า

“ไม่เป็นไรครับพี่ล็อค ไม่เป็นไรครับ”

เพียงแค่เดียร์โทรไปหา ล็อคกลับบอกว่าเดี๋ยวจะมารับ มีธุระอะไรค่อยคุยกัน

เดียร์ขบริมฝีปากล่างน้อยๆ เห็นพู่กันวิ่งนำหน้าไปรอที่ลิฟต์แล้ว จึงออกวิ่งตามเพื่อนตัวเล็ก เข้าลิฟต์ไป

“ไม่เป็นไรครับพี่ล็อค สายแล้ว ผมจะโทรมาลางานเฉยๆครับ”

แล้วก็อีกตามเคย ล็อคเอาแต่ถามเดียร์ว่า ‘เป็นอะไร’ ‘ไม่สบายหรือ’  เดียร์หาจังหวะพูดบ้างไม่ได้เลย จะให้พูดแทรกเจ้านายก็แปลกๆอยู่

ยิ่งพอเป็นอย่างนั้น เดียร์ยิ่งไม่กล้าพูดถึงโรงพยาบาลให้ล็อคได้ยินเลย ทั้งๆที่ตัวเองลางานไปโรงพยาบาลแท้ๆ

คนตัวเล็กอ้างเหตุผลว่าต้องไปทำธุระ  ดีที่ล็อคไม่เซ้าซี้มาว่าธุระอะไร ที่ไหน ไม่อย่างนั้น เดียร์คงตอบไม่ถูก

พู่กันและเดียร์มาถึงห้องเรียนได้ทันเวลาอย่างหวุดหวิด

โต้งนั่งแกร่วรออยู่ก่อนแล้ว

วันนี้เป็นวันที่มีเรียนตรงกันทั้งสามคน

เดียร์แอบคิดไปว่า ป่านนี้พี่ล็อคจะแปะป้ายรับพนักงานเพิ่มหรือยัง

“เย็นนี้ กูไปโรงพยาบาลนะ” เดียร์บอกเพื่อนทั้งสองคน ขณะที่อาจารย์พักช่วงระหว่างเรียน

ประโยคของเดียร์ เรียกความสนใจจากเพื่อนทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี

“มึงเป็นอะไรวะ?”

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า? ทำไมไม่บอกกู?”

“เดี๋ยวกูไปด้วย”

เดียร์ไม่แน่ใจว่าประโยคไหนของโต้ง ประโยคไหนของพู่กัน

ทั้งสองคนแย่งกันถามโดยไม่เว้นจังหวะให้เดียร์ตอบเลย

เดียร์ลังเลไปครู่หนึ่ง

ชั่งใจว่าจะเล่าเรื่องของวายุดีไหม (แน่นอนว่าเดียร์คงไม่เล่าทั้งหมด)

“คือจริงๆ..กู….”

และสุดท้ายเดียร์ก็เล่า

ในเวลาอันจำกัด ช่วงที่อาจารย์พักระหว่างสอน

เดียร์เล่าตั้งแต่ที่เจอวายุ เล่าเรื่องของอาโปกับวายุ

และบอกไปตามความจริง ว่าจะไปหาวายุที่โรงพยาบาล

…ไปให้เห็นกับตาตัวเอง ว่าวายุมีตัวตนอยู่จริงๆ

ไม่ใช่เรื่องโกหกที่เดียร์บอกตัวเองมาตลอด ว่าอาจจะโดน “ผีหลอก”

หลังเรียนเสร็จในวิชานั้น เดียร์โทรหาน้องรหัสทันที

“อาโป อยู่คณะหรือเปล่า? อยู่ห้องไหน?”

เดียร์ถามออกไปทันทีที่ปลายสายรับโทรศัพท์

เมื่อได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจ เดียร์ก็รุดไปที่ที่น้องอยู่ทันที

โต้งกับพู่กันไปรอเรียนวิชาต่อไปด้วยกัน

ส่วนเดียร์ไปเรียนคนละวิชากับสองคนนั้น

มีเวลามาตามหาน้องรหัส ไม่สนใจว่าจะรบกวนน้องหรือเปล่า

ใช้เวลาไม่นาน เดียร์ก็มาถึงเป้าหมาย

สวนหน้าตึกคณะ คือที่ที่เดียร์เพิ่งมาถึง

คนตัวเล็กกวาดสายตามองหารุ่นน้อง ไม่นานก็เจอ

อาโปกำลังนั่งอ่านหนังสือ อยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อน

“อาโป” เสียงใสของรุ่นพี่ เอ่ยทักทายรุ่นน้อง อาโปเงยหน้ายิ้มหวานให้รุ่นพี่ทันที  “ไม่มีเรียนหรือ?” เดียร์ถามต่อ

“เรียนบ่ายครับ พี่เดียร์ล่ะครับ?”

“เดี๋ยวก็ไปเรียนต่อแล้วล่ะ แต่ว่า..พี่อยากคุยกับเราก่อน”

อาโปเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย คล้ายตั้งคำถามกับประโยคที่เดียร์เอ่ย

“คือ…เย็นนี้ … พี่…”เดียร์อ้ำอึ้ง ไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร

ทั้งๆที่คิดว่าถ้าได้คุยเรื่องนี้กับอาโปซึ่งๆหน้า คงจะดีกว่าคุยทางโทรศัพท์ แต่พอเอาเข้าจริง เดียร์เพิ่งรู้ว่ามันไม่ง่ายเลย

“คือ….พี่อยากเจอพี่ชายของอาโป เย็นนี้ อาโปไปกับพี่หน่อยนะ”

เดียร์ว่าจบ อาโปนิ่งค้างไปเล็กน้อย

เงียบไปพักใหญ่ อาโปถึงได้เอ่ยออกมา

“สนใจอะไรพี่ผมหรือเปล่าครับเนี่ย…”

เดียร์เผลอกระแอมน้อยๆ แอบเห็นว่าอาโปมีสายตาหม่นเศร้าอีกแล้ว

“ไม่มีอะไรนะ อาโป…ไปเยี่ยมพี่ชายของเรากัน”

เดียร์เอื้อมมือไปกุมมือน้อยๆของรุ่นน้อง “วายุต้องฟื้น เชื่อพี่”

สายตาจริงจังถูกส่งไปให้รุ่นน้อง

อาโปรู้สึกชื่นชมกับสายตาและการกระทำของรุ่นพี่

ถึงแม้ว่า จะรู้สึกแปลกใจในตัวรุ่นพี่ด้วยก็เถอะ

เดียร์เหลือบไปมองนาฬิกาบนข้อมือรุ่นน้อง ก็ต้องรีบล่ำลาทันที

นัดแนะเวลาและที่หมายกัน เพื่อเจอกันเย็นนี้เรียบร้อย รุ่นพี่ตัวเล็กก็วิ่งเข้าห้องเรียนทันที



วายุนั่งเรียนกับเดียร์ จนถึงตอนเย็น

ร่างสูงเฝ้ามองดูการกระทำของเดียร์ตั้งแต่เช้า

ไม่ได้รบกวนเดียร์ อย่างที่เดียร์ชอบว่าวายุอยู่บ่อยๆ

ยิ่งเห็นว่าเดียร์พยายามเพื่อวายุบ้างแล้ว ร่างสูงยิ่งรู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“อาจารย์เลิกคลาสแล้ว ไปกันเถอะ” วายุเอ่ยเรียกเดียร์ที่เริ่มเหม่อลอย

เสียงของวายุเหมือนเข็มจิ้มลูกโป่ง เดียร์สะดุ้งทันที

คนตัวเล็กส่งสายตาเคืองๆไปให้วายุเล็กน้อย หันไปรีบเก็บของลงกระเป๋า หยิบโทรศัพท์มือถือมากดดูเวลา พบว่าเกือบถึงเวลาที่นัดอาโปไว้แล้ว

อาโปรอเดียร์อยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย

รุ่นพี่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา รีบพาน้องขึ้นแท็กซี่ไปยังที่หมายทันที

โรงพยาบาลใจกลางเมืองหลวง คือที่หมายที่อาโปพาเดียร์ไป

เดียร์เหลือบมองนาฬิกาที่หน้าปัดรถอยู่เรื่อยๆ พบว่ากินเวลาไปเกือบชั่วโมง

ในที่สุดก็มาถึงโรงพยาบาลเป้าหมาย

อาโปเดินนำเดียร์ไปขึ้นลิฟต์

เดียร์รู้สึกว่าตัวเองขึ้นลิฟต์ไปสูงมาก เห็นเลขที่อาโปกดไว้แล้วก็แอบกลั้นหายใจ เผลอคิดไปถึงค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลหรูแบบนี้

พอออกจากลิฟต์ได้ อาโปพารุ่นพี่เดินไปยังห้องของพี่ชาย

พอเปิดเข้าไปในห้องแล้ว เดียร์แทบไม่กล้าหายใจ

ภายในห้องพักของโรงพยาบาลหรู

มีร่างของใครคนหนึ่ง นอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล

เดียร์ไม่รู้ว่าสายที่โยงไปยังร่างของชายคนนั้นมีสายอะไรบ้าง

ไม่รู้ว่าถ้าเดียร์หายใจแรงๆออกไปครั้งหนึ่ง จะทำให้สายเหล่านั้นพันกันหรือเปล่า

เดียร์มองออกแค่สายน้ำเกลือ กับท่อออกซิเจน

เดียร์เดาว่า คงมีหลอดอาหารอยู่สักเส้นท่ามกลางเส้นสายเหล่านั้น

ไม่ไกลจากร่างของชายคนนั้น มีหญิงมีอายุคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟา สายตาของหญิงสูงวัยสบตากับสายตาของเดียร์

“พี่เดียร์ นี่ป้าแหม่มครับ” อาโปแนะนำหญิงคนนั้นให้รู้จัก  เดียร์ยกมือไหว้ทักทายอย่างนอบน้อม

เดียร์ได้ได้รู้จากปากของป้าแหม่มอีกที ว่าป้าแหม่มเป็นคนดูแลวายุ เป็นพี่เลี้ยงของวายุตั้งแต่เด็กๆ

“ป้าแหม่มครับ นี่พี่เดียร์ เป็นพี่รหัสอาโปเอง” อาโปยิ้มหวาน เดินเข้าไปหาป้าแหม่มที่อ้าแขนรอกอด อาโปโถมตัวเข้ากอดป้าแหม่มเต็มรัก

อาโปเริ่มพูดคุยกับป้าแหม่ม ไถ่ถามถึงความเป็นอยู่ของทุกคนที่บ้าน ตั้งแต่อาโปต้องออกมาอยู่หอ ก็ยังไม่ได้กลับบ้านเลย

เดียร์ได้ยินอาโปพูดว่า “เหมือนพี่วายุตอนนั้นเลย”

เดียร์เดินเข้าไปพิจารณาใบหน้าของคนที่นอนหลับใหล

โครงหน้าที่เดียร์คุ้นเคย ดวงตาปิดสนิท แผ่นอกของคนที่นอนอยู่กระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ

เดียร์เผลอกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่

ไม่ผิดแน่ๆ… คนที่นอนอยู่ตรงหน้าตอนนี้…

วายุ…

พลันเดียร์รู้สึกถึงเสียงทุ้มที่ดังแผ่วๆอยู่ข้างๆ

ท่ามกลางสติที่เริ่มหลุดลอย เดียร์จับใจความจากเสียงนั้นได้ว่า “ผมดูแย่มากเลยนะ”

เดียร์หันไปมองร่างสูงข้างๆ เทียบกับร่างที่นอนอยู่บนเตียง

…ช่างแตกต่างกันจริงๆ

วายุในร่างวิญญาณ ดูเหมือนคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

ในขณะที่ร่างที่นอนอยู่บนเตียง ดูซูบผอมลงไปพอสมควร

จำได้ว่า…วายุเคยเล่าให้ฟังว่าสี่เดือน

…สี่เดือนแล้วสินะ

ที่วายุต้องนอนอยู่บนเตียงแบบนี้

ความรู้สึกเป็นห่วงเริ่มไหลเข้ามาท่วมท้นเต็มอก

เดียร์ไม่อยากให้วายุเป็นแบบนี้

ถ้าเลือกได้ ก็อยากเห็นวายุที่มีร่างกายแข็งแรง เหมือนที่เดียร์เห็นบ่อยๆ ในโหมดวิญญาณ

…ไม่ใช่คนที่นอนรอวันตายแบบนี้

ที่วายุขอร้องให้ช่วย..

ที่เดียร์ปฏิเสธมาตลอด….

เดียร์ไม่อยากเป็นแบบนั้นอีกแล้ว

เดียร์เผลอมองอาโปที่กำลังนั่งคุยกับป้าแหม่มอยู่

รู้สึกกระบอกตาร้อนผ่าวขึ้นมาเฉยๆ

น้ำใสเริ่มคลอหน่วยตาของคนตัวเล็ก

น้ำที่ไหลออกจากดวงตา ค่อยๆไหลลงลู่แนบแก้มใส

วายุยืนนิ่ง สายตาคมจ้องมองคนข้างๆไม่วางตา

“ร้องไห้ทำไมครับ?”

ชั่ววูบหนึ่ง วายุอยากจะยกมือเช็ดน้ำตาจากแก้มใสนั้น

ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าคงทำอย่างที่คิดไม่ได้

ยิ่งเห็นน้ำใสๆไหลออกจากดวงตาของคนตัวเล็กไม่หยุด

วายุยิ่งห้ามใจได้ยากขึ้น

ถึงแม้จะรู้ว่าทำไม่ได้ แต่ขอให้ได้ทำอย่างที่คิดเถอะ

วายุไม่สามารถยอมรับความจริงนั้นได้อีกแล้ว

มือหนาข้างหนึ่ง ค่อยๆยกมือไล้รอยน้ำตาไปจากแก้มใส

ความรู้สึกอ่อนนุ่มสัมผัสที่ปลายนิ้ว

วายุชะงักไป…

ร่างสูงก้มมองมือตัวเอง ความรู้สึกอุ่นๆยังติดอยู่ที่ปลายนิ้ว

ร่างสูงมองเดียร์ที่เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าตัวเองอย่างลวกๆ

เมื่อคนตัวเล็กคิดว่าคงทำความสะอาใบหน้าเรียบร้อยแล้ว จึงเดินไปหาอาโปกับป้าแหม่ม

คนตัวเล็กยิ้มน้อยๆให้ทั้งสองคน ก่อนนั่งลงข้างๆอาโป

“วายุจะฟื้นเมื่อไรหรือครับ? หมอได้บอกไหม?”

คำถามของเดียร์ ทำให้ทั้งสองคนยิ้มเศ้ราๆมาให้

ป้าแหม่มเป็นคนตอบคำถามนั้น

“ไม่มีใครให้คำตอบได้เลยค่ะ  ป้าหวังว่าคุณหนูจะฟื้นวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ป้าได้แต่ภาวนาทุกวัน”

คำตอบของป้าแหม่ม ทำให้เดียร์ไม่สบายใจมากขึ้น คนตัวเล็กขมวดคิ้วแน่น ขบริมฝีปากล่างด้วยความเคยชิน

คนตัวเล็กคิดไปถึงสารพัดวิธี ที่เคยบอกว่าจะช่วยวายุ

เดียร์เห็นวายุไปนั่งข้างๆป้าแหม่ม

สายตาคมมองหญิงสูงวัย ด้วยสายตาอ่อนโยน

เดียร์มองอาโปที่นั่งก้มหน้านิ่ง

ตอนนั้นเองที่เดียร์เริ่มบอกกับตัวเองว่า

‘ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร วายุต้องฟื้น!’




# My dear




ยังคงมาลงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับตอนนี้ อยากมอบโล่พี่รหัสดีเด่น ให้เดียร์จริงๆ ….
เดียร์เริ่มเหนื่อยละ
บอกแล้ว~ >< ว่าอย่ากลัววายุ

ฮี่ๆๆ
เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^








ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
 :mew6:  เดียร์ช่วยวายุให้ฟื้นเร็วๆนะ

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2


หลังจากวันนั้น 

เดียร์เริ่มลงมือทำในสิ่งที่คิดไว้

วันหยุดของเดียร์ ในสัปดาห์นั้น เดียร์มุ่งหน้าไปพบหมอผี ที่โต้งเคยแนะนำไว้

เดียร์ไม่ได้บอกใคร มีเพียงวายุเท่านั้นที่รู้เรื่อง แต่วายุก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก แม้ว่าจะคัดค้านเท่าไร เดียร์ก็ยังดื้อจะไปพบหมอผีให้ได้

เดียร์ขึ้นรถโดยสารประจำทางตามที่โต้งแนะนำ

ผู้โดยสารบนรถ ไม่ได้แน่นขนัด

เดียร์ยอมให้ที่นั่งกับเด็ก ผู้หญิง และคนชรา

คนตัวเล็กยืนเกาะเสาเหล็กที่ตั้งอยู่กลางรถไว้แน่น

ถ้าไม่ติดว่าเอื้อมมือไม่ถึงราวเหล็กที่อยู่บนหัวล่ะก็นะ

คนตัวเล็กเงยหน้ามองราวเหล็กอย่างหงุดหงิดเล็กๆ

“คุณครับ มานั่งตรงนี้ดีกว่า”

เสียงที่ดังมาจากด้านหลัง พร้อมแรงสะกิดเบาๆที่แขน

เดียร์หันไปตามที่มาของเสียง

ผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ลุกขึ้นมาโหนราวเหล็ก ชี้ไปที่นั่งที่ตัวเองเพิ่งลุกออกมา

เดียร์มองพลางขมวดคิ้ว

“ไม่เป็นไรครับ” เดียร์ปฏิเสธเบาๆ

ชายคนนั้นเพียงส่งยิ้มให้เดียร์น้อยๆ  ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ

เห็นสายตาที่มองเดียร์แล้ว อดเดินหนีไม่ได้

เดียร์เดินไปนั่งแหมะลงไปที่ที่ชายคนนั้นให้นั่ง

เขาคงลุกให้นั่งเพราะใกล้จะลงแล้วล่ะมั้ง

เดียร์เหลือบไปมองผู้เสียสละ ก็ยังเห็นชายคนนั้นโหนราวเหล็กอยู่

รถโดยสารประจำทาง จอดรับ-ส่งผู้โดยสาร เป็นระยะ

แต่เดียร์ไม่เห็นว่าชายคนนั้นจะลงไปเลย

เสียงหัวเราะที่เดียร์คุ้นเคย ดังมาพักใหญ่

คนตัวเล็กเงยหน้ามองที่มาของเสียง ที่ยืนโหนราวเหล็กอยู่ใกล้ๆ

ด้วยความหงุดหงิด เดียร์จึงควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง

ก้มหน้าพิมพ์ข้อความลงไป เน้นตัวใหญ่ๆ ให้ใครคนนั้นเห็น

‘หัวเราะอะไรฮะ!!!!’

สายตาทิ่มแทงของเดียร์ส่งตรงไปถึงวายุ

ร่างสูงก้มมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของคนตัวเล็ก

กวาดสายตามองคนตัวเล็กตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อย่างเสียมารยาท

วายุเลยได้รับสายตาเคืองๆมาจากร่างเล็ก

เดียร์ไม่รู้ตัวเลยหรือไงนะ….

“อยากรู้จริงๆหรือ?” วายุตอบไปแค่นั้น ก็ต้องกลั้นขำอีกรอบ

เดียร์ถอนหายใจแรงๆ หันหน้าหนีวายุอย่างหงุดหงิด

“ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงลุกให้เดียร์นั่ง…ทั้งๆที่เขายังไม่ลง”

วายุว่าพลางมองไปที่ชายคนนั้น ที่ยังยืนโหนราวเหล็กอยู่

เดียร์ขบริมฝีปากล่างน้อยๆ พยายามไม่สนใจคำพูดของวายุ แต่คำพูดของวายุก็เข้ามารบกวนการทำงานของสมองอยู่ดี

เอาเป็นว่า จะเพราะอะไรก็ช่าง…เดียร์เองก็ไม่ได้ชอบการกระทำแบบนี้นักหรอก

มันน่าดีใจไหม? ทั้งๆที่เดียร์ก็เป็นผู้ชาย แต่กลับถูกผู้ชายปฏิบัติราวกับเดียร์เป็นผู้หญิง

คนตัวเล็กกำลังมองข้างทาง พลางคิดอะไรไปเรื่อยอย่างหงุดหงิด

ตอนนั้นเอง เดียร์เพิ่งตระหนักได้ว่า ใกล้ถึงที่หมายแล้ว

คนตัวเล็กเตรียมตัวลงจากรถ  ลุกเดินไปกดกริ่ง

เหลือบมองไปข้างหลัง เห็นชายคนนั้น กลับไปนั่งที่ที่เดียร์เพิ่งลุกออกมา

คนตัวเล็กส่ายหน้าน้อยๆ ขับไล่ความหงุดหงิด

เมื่อถึงเป้าหมาย คนตัวเล็กลงจากรถโดยสาร

ภาพที่เดียร์เห็นคือ ซอยเล็กๆ เข้าหมู่บ้านจัดสรร  หน้าปากซอยมีวินมอเตอร์ไซค์อยู่

เดียร์ลังเลเล็กน้อย ออกจะผิดคาดไปนิดกับภาพที่เห็น

เดียร์วาดภาพไว้ว่า แถวนี้จะต้องเป็นบ้านไม้เก่าๆ มีตึกโทรมๆตั้งอยู่รายล้อม แต่นี่….ไม่ใช่เลย

ดูชื่อซอย ชื่อหมู่บ้าน ตามที่โต้งบอกมาแล้ว ก็ใช่ทุกอย่าง

“มาผิดที่แล้วมั้งเดียร์ กลับเถอะ” วายุยืนเซ็ง อยู่ข้างๆ

เดียร์ไม่ได้สนใจวายุเท่าไร

คนตัวเล็กมุ่งหน้าไปทางวินมอเตอร์ไซค์

ยังไง พึ่งวินฯคงชัวร์กว่า

“ไปบ้านหมอเสือครับ”

พี่วินฯพาเดียร์มางส่งที่บ้านหลังหนึ่งในซอย

เดียร์เดาว่าหมอเสืออะไรเนี่ย คงมีชื่อเสียงพอสมควร

ดูจากจำนวนคนที่ออกันอยู่เต็มบ้าน

เดียร์นิ่งไปพักใหญ่ ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนดี  ที่แบบนี้เดียร์ก็เพิ่งมาครั้งแรกนี่ล่ะ

คนตัวเล็กเดินเข้าไปนั่งรวมกับกลุ่มคนที่นั่งอยู่

ภายในบ้านหลังนี้ ถูกจัดให้มีพื้นที่ยกสูง  ในบริเวณบ้าน ที่เดียร์เดาว่าคงเป็นห้องนั่งเล่น ถูกทำให้เป็นพื้นที่โล่ง รองรับผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามา

เดียร์เห็นชายวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่ ใส่ชุดขาวทั้งตัว กำลังนั่งพนมมือ สวด พึมพำเบาๆ ตรงหน้าชายคนนั้นมีหญิงวัยรุ่น นั่งพนมมือตัวสั่นอยู่ใกล้ๆ 

ชายคนนั้นคงเป็นหมอเสือ…เดียร์มองไปเหนือพื้นที่ยกสูง เห็นป้ายเขียนด้วยตัวหนังสือสีทองว่า ‘ตำหนักหมอเสือ’

“เอ้า คนต่อไป” เสียงแหบๆดังขึ้น

หญิงวัยรุ่นค่อยๆคลานออกจากหมอเสือ สีหน้าเธอดูดีขึ้น ถ้าเทียบกับตอนที่เธอนั่งอยู่ตรงหน้าหมอเสือ

เดียร์มอง พลางใจเต้นระรัว ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นจนเดียร์ทำตัวไม่ถูก

เดียร์ยังไม่เห็นมีใครไปนั่งแทนที่หญิงสาวคนนั้น กลุ่มคนที่ออกันอยู่ต่างหันมาคุยกันเบาๆ ว่าใครจะเข้าไปคุยกับหมอเสือต่อ

“ไอ้หนู!” เสียงแหบๆดังขึ้น ทำให้เสียงซุบซิบเบาๆ ค่อยๆหายไป

เดียร์ตกใจ เลิ่กลั่ก เมื่อพบว่าตัวเองกำลังประสานสายตากับหมอเสืออยู่ คนตัวเล็กหันซ้ายหันขวา ไม่แน่ใจว่าหมอเสือกำลังคุยกับเดียร์จริงหรือไม่

“เอ็งนั่นแหละ ไม่ต้องหันไปไหน” เดียร์ชี้ตัวเอง เป็นเชิงตั้งคำถาม

หมอเสือพยักหน้าน้อยๆ กวักมือเรียกเดียร์เข้าไปหา

“เอ็งมีปัญหาอะไรวะ ถึงต้องมาหาข้า”

หมอเสือถามอย่างไม่รีรอ เดียร์ที่ยังไม่ได้เรียงคำพูดถึงกับอ้ำๆอึ้งๆ “ผม…ผะ ผม เอ่อ..”

หมอเสือกระตุกยิ้มน้อยๆ

“เอ้าๆ ว่าไง ตกลงว่าเอ็งมีเรื่องอะไรให้ข้าช่วย”

ใช้เวลาสักพัก เดียร์ก็รวบรวมสติได้

คนตัวเล็กเล่าเรื่องราวทั้งหมดของตัวเองให้หมอเสือฟัง

หมอเสือมีสีหน้าครุ่นคิด มือหยาบใหญ่ลูบปลายคางตัวเองเบาๆ คิ้วขมวดแน่น

ตอนนั้นเอง วายุที่นั่งอยู่ข้างๆเดียร์ เริ่มรู้สึกตงิดใจ

ทั้งๆที่วายุก็เป็นวิญญาณ

แต่วายุไม่เห็นการตอบสนองของหมอเสือเลย

หมอเสือทำเหมือนไม่รู้ ว่าวายุอยู่ข้างๆเดียร์

วายุพยายามสื่อสารกับหมอเสือ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ

หมอเสือทำเหมือนว่าวายุเป็นเพียงธาตุอากาศ

วายุเหลือบมองไปทางด้านหลังของพื้นที่ยกสูง

มีฉากกั้นอยู่ วายุเห็นชายชุดขาวประมาณ 3 คน กำลังวิ่งวุ่นอยู่ในนั้น  เห็นสำรับอาหารวางตั้งอยู่บนโต๊ะ คงเตรียมมาให้หมอเสือ

วายุไม่รู้ว่าเดียร์กับหมอเสือ คุยกันไปถึงไหน

กว่าวายุจะดึงความสนใจกลับมาที่คนตัวเล็กได้

เดียร์ก็ลุกขึ้น เดินตรงไปยังหลังฉากนั้น

“เดียร์จะไปไหน!” วายุเผลอฉวยข้อมือเล็ก แต่คว้าไม่ได้ วายุคว้าได้เพียงอากาศ วายุมองมือตัวเอง ขมวดคิ้วน้อยๆ ….ทำไม

เดียร์หายเข้าไปในหลังฉาก วายุตามเข้าไปอย่างหงุดหงิด

มันชักจะแปลกๆแล้วนะ ไอ้หมอเสืออะไรเนี่ย

“เดียร์ กลับเถอะ ผมว่าที่นี่มันมีอะไรแปลกๆ” วายุตามมานั่งข้างเดียร์  ชายชุดขาวคนหนึ่ง ที่เดียร์เดาว่าคงเป็นลูกน้องหมอเสือ ยกสำรับอาหารมาให้เดียร์

วายุขมวดคิ้วมุ่น “เดียร์ อย่ากินนะ!”

คำเตือนมาก่อนที่เดียร์จะวางมือลงบนช้อน

เดียร์ชะงักไปเล็กน้อย มองหน้าวายุอย่างชั่งใจ

สุดท้าย คนตัวเล็กยอมเก็บมือให้เรียบร้อย นั่งนิ่งๆ รอจนกว่าหมอเสือจะเข้ามา

“เดียร์เข้ามาทำไม?” วายุถามอย่างโมโห ไม่รู้ทำไมต้องโมโหขนาดนี้ด้วย

คนตัวเล็กมองซ้ายมองขวา อาศัยจังหวะที่ไม่มีใครอยู่แถวนั้น หันมาคุยกับวายุ “หมอเสือเขาบอกว่าให้เข้ามารอไง ไม่ได้ยินหรือ?” เดียร์กระซิบเบาๆ 

“แล้วเดียร์ก็เข้ามาง่ายๆ?”

“ทำตามเขาไปก่อนเถอะ เขาบอกว่าเขาจะช่วย” 

“เดียร์ ผมขอบอกอีกครั้งว่า ให้เดียร์กลับ ผมชักไม่ไว้ใจที่นี่แล้ว”

เดียร์ถอนหายใจแรงๆ “พอฉันจะช่วย นายกลับบอกให้ฉันกลับ นายต้องการอะไรกันแน่ วายุ”

“แต่มันต้องไม่ใช่วิธีนี้สิ” วายุชมวดคิ้วมุ่น

“วิธีนี้นี่แหละ ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย” เดียร์ว่าจบก็หันไปยกแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างสำรับอาหาร  คนตัวเล็กยกแก้วน้ำจ่อริมฝีปาก

“อย่าดื่ม เด็ดขาด”

เดียร์ไม่สนใจคำเตือนวายุแล้ว คนตัวเล็กกระกดน้ำลงผ่าลำคอไปสามอึก

วายุมองอย่างหงุดหงิด

ร่างสูงตัดสินใจออกไประงับอารมณ์ที่ด้านนอก

ปล่อยให้เดียร์อยู่ในฉากกั้นคนเดียว  “คนอะไร ดื้อชะมัด!” วายุบ่นอย่างหงุดหงิด

ร่างสูงออกมายืนพิงเสาบริเวณหน้าบ้านของหมอเสือ

มองไปข้างใน เห็นหมอเสือกำลังรดน้ำมนต์ให้หญิงวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง  …ใส่ชุดนักเรียนเสียด้วย สงสัยเด็กม.6

วายุนั่งพิจารณาพิธีกรรมของหมอเสือ

มีหลายอย่างที่หมอเสือทำ

ทั้งดูดวง ทำนาย รับสะเดาะเคราะห์ ปัดเป่าวิญญาณ ใบ้หวย

วายุดูไปก็ขำไป เหมือนว่าเป็นเรื่องน่าขันเสียเหลือเกิน

วายุเกือบปักใจเชื่อแล้วเชียว ถ้าไม่ทันสังเกตเห็นตอนที่หมอผีบอกว่าคุยกับผี

วายุมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีใครเลย..ไม่มีใครที่เป็นเหมือนเขาเลย

วายุเห็นเพียงหมอเสือ….คุยคนเดียว

กลุ่มคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น ก้มลงกราบกันแทบไม่ทัน

วายุขมวดคิ้วมุ่น … ชักไม่ดีแล้ว

ตั้งท่าจะเข้าไปบอกเดียร์อีกรอบ ก็ต้องชะงักไป

รู้ว่าเตือนเท่าไร เดียร์ก็ไม่ฟัง ถึงบอกไป เดี๋ยวเดียร์ก็หาว่าวายุหลอกอีก

วายุไม่ห็นทีท่าว่าหมอเสือจะเข้าไปหาเดียร์ และเดียร์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะออกมา

จนใกล้พลบค่ำ กลุ่มคนที่มารอหมอเสือทั้งวัน ทยอยพากันกลับ

จนคนสุดท้ายกลับไป

วายุหันไปมองนาฬิกา … 1 ทุ่ม

วายุเห็นหมอเสือเดินเข้าไปกระซิบกับลูกน้อง

ก่อนลูกน้องทุกคนจะแยกย้ายพากันมาปิดประตู หน้าต่างทุกบาน  … คงจะปิดตำหนักแล้ว แล้วเดียร์ล่ะ?

วายุเห็นหมอเสือถึงเดินเข้าห้องไปห้องหนึ่ง ออกมาพร้อมพานเงินติดมือมาด้วย

หมอเสือเดินเข้าไปในฉากกั้นที่เดียร์อยู่

วายุกระแทกตัวนั่งลงพื้นแรงๆอย่างหงุดหงิด

ทำไมเดียร์ยังรอมันอยู่ได้นะ

 ทั้งๆที่มันช่วยเดียร์เป็นคนสุดท้าย

วายุนั่งมองลูกน้องชุดขาวของหมอเสือปิดตำหนักจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้น ทุกคนถอดชุดขาวออก  เปลี่ยนเป็นเสื้อยืด กางเกงยีนส์ แต่ละคนเดินเข้าออกห้องโถงกับห้องนอน หายเข้าไปในฉากกั้น ทีละคน

ทำไมต้องรีบเปลี่ยนชุด?

เปลี่ยนชุดแล้วเข้าไปในฉากกั้นได้ด้วยหรือ?

“วายุ!!!”

เสียงใสๆดังขึ้น วายุลุกพรวดทันที

เสียงนั่น! … เสียงของเดียร์!!

“ฮึก! วายุ!... ชะ ช่วย….อ๊ะ!” วายุวิ่งพรวดเข้าไปหลังฉากกั้นทันที



# My dear










มาแล้วค่ะ ^_^


ว่าแล้วก็กลับเข็นตอนต่อไป ….



เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^ 

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
อื้ออออ ดื้อจนได้เรื่องนะเดียร์ วายุช่วยเดียร์ด้วยนะ

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2


Chapter 9


ภาพที่วายุเห็น ทำเอาวายุจุกเหมือนถูกเหล็กร้อนอัดเข้าที่ท้องสักร้อยที 

สายตาคมสบตากับคนตัวเล็ก

“เดียร์!!!” วายุร้องลั่น

ภาพตรงหน้าทำเอาวายุรู้สึกเหมือนใจสลาย

ร่างเล็กถูกตรึง ราบไปกับพื้น ชายฉกรรจ์ที่วายุจำหน้าได้ 3-4 คน ตรึงมือและเท้าของเดียร์ไว้คนละข้าง  ไอ้หมอผีที่ชื่อเสือ ขึ้นครอมร่างเล็กไว้ทั้งตัว มันถลกเสื้อเดียร์มากองไว้บนหน้าอก มือหยาบของมันลากไล้หยาบโลนไปตามผิวเนียน

“วายุ….” คนตัวเล็กครางแผ่ว สายตาอ้อนวอน ขอความช่วยเหลือถูกส่งมาให้

“มึงร้องไปก็ไม่มีใครช่วยมึงได้หรอกเว้ย!!” ไอ้เสือที่อ้างตัวเป็นหมอผี ในที่สุดก็เผยธาตุแท้ออกมา พวกมันหัวเราะลั่นกับท่าทีที่ไร้ทางสู้ของคนตัวเล็ก

วายุกำมือแน่น  ความโมโหมาถึงขีดสุด

ร่างสูงตรงเข้าไปถีบไอ้เสือออกจากร่างเล็ก

“เฮ้ย!!!” ไอ้เสือร้องลั่น สอดส่ายสายตามองหาที่มาของแรงมหาศาลเมื่อครู่ “ใครวะ!!!”

วายุไม่สนใจว่าตัวเองจะแตะต้องตัวใครได้บ้าง ตอนนี้ขอเพียงแค่ได้ทำอย่างที่ใจนึก

ร่างสูงตรงเข้าไปถีบและเตะลูกน้องของไอ้เสือที่ตรึงเดียร์ไว้กับพื้น พวกมันหงายหลังกันไปเป็นแถบๆ ทั้งหัวหน้าและลูกน้อง มองหาที่มาของแรงมหาศาลนั้นกันเลิ่กลั่ก

เมื่อเห็นว่าเดียร์หลุดจากพันธนาการนั้นแล้ว วายุตรงเข้าไปกระทืบท้องของพวกมันให้หนำใจ

แค่เท้าคงไม่พอ วายุขึ้นคร่อมไอ้เสือ มือหนาเหนี่ยวแรงชกหน้าไอ้หมอผีเถื่อนไม่ยั้ง

วายุลงแรงกับหัวหน้ามันไม่หยุด ปล่อยพวกลูกน้องให้นอนร้องโอดโอย 

ไม่มีใครมองเห็นวายุ

ไม่มีใครทำอะไรวายุได้

ใครจะหาว่าเขาเป็นหมาลอบกัดก็ช่าง

ในเมื่อไอ้พวกที่วายุกระทืบอยู่นี่  สันดานพวกมันก็ไม่ต่างกับหมานักหรอก!

วายุลงแรงจนไอ้เสือเลือดกบปาก ก่อนผละออกไปกระทืบท้องลูกน้องของมันอีกคนละที

วายุหันกลับมาหาคนตัวเล็ก “เดียร์..”

เดียร์ดันตัวเองไปชิดฝาผนัง สองแขนกอดตัวเองแน่น น้ำใสๆเปรอะเต็มใบหน้าเนียน  เสียงสะอื้นดังมาแผ่วๆ

วายุกำมือแน่น  พยายามตั้งสติ

ร่างสูงเอื้อมมือไปแตะท่อนแขนเล็ก พลันปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่ม วายุกลั้นใจ ลองยื่นมือไปโอบคนตัวเล็กไว้ทั้งตัว

ความรู้สึกอุ่นๆแผ่ซ่านไปทั้งลำแขนของวายุ

เมื่อเห็นอย่างนั้น วายุไม่รอช้า

ค่อยๆช้อนร่างของคนตัวเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมกอด

แขนข้างหนึ่งสอดใต้รักแร้ทั้งสองข้าง แขนอีกข้างหนึ่งสอดเข้าที่ข้อพับขาทั้งสองข้าง

กระชับอ้อมกอดให้เข้าที่ อุ้มคนตัวเล็กขึ้น

วายุพาเดียร์เดินออกจากห้องนั้น เปิดประตูด้วยมือเดียว เดินออกไปจากบ้านหลังนั้น

วายุไม่ปรายตาหันกลับไปมองอีกเลย….




วายุพาเดียร์มาหยุดอยู่ที่ป้ายรถเมล์ วางคนตัวเล็กนั่งลงบนที่นั่ง

วายุสังเกตว่าแถวนั้นไม่ค่อยมีคน เนื่องจากเป็นบ้านจัดสรร และค่อนข้างห่างจากตลาดหรือชุมชน  ยิ่งพอช่วงค่ำด้วยแล้ว แทบไม่มีใครออกจากบ้านไปไหนเลย

ร่างสูงพยายามหาวิธีที่จะพาคนตัวเล็กกลับ เห็นเดียร์เป็นอย่างนี้ วายุยิ่งใจไม่ดี

ร่างสูงขมวดคิ้วแน่น หันไปชกเสาเหล็กข้างๆหนึ่งที

“โธ่โว้ย!!!!!!”

ทั้งๆที่เขาเตือนเดียร์แล้ว! บอกเดียร์แล้ว! ทำไมไม่ฟังกันบ้าง!

ทำไมดื้อขนาดนี้!!!

ถ้าตอนนั้น เขาไม่ปล่อยให้เดียร์อยู่คนเดียว…

แค่อยู่กับเดียร์ตลอดเวลา…

อยู่ข้างๆเดียร์…

เรื่องแค่นี้ก็ทำไม่ได้!!

โธ่โว้ย!! ไอ้วายุ!!!!

ชั่วอึดใจต่อมา สภาพอากาศดูจะยิ่งสร้างความลำบากให้มากขึ้น

สายฝนโหมกระหน่ำลงมา สายลมพัดพาหยาดละอองฝนกระทบผิวเนียนใส

เดียร์กอดตัวเองแน่น

วายุพาลโทษดินฟ้าอากาศ ที่เอาแต่สร้างความวุ่นวายให้

“เดียร์…เดี๋ยวผมพาเดียร์กลับบ้านนะ” วายุนั่งลงข้างๆ

มือหนาโอบกอดคนตัวเล็กมาซบอกตัวเอง

ดูเหมือนว่าเดียร์ยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

เดียร์ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไร

วายุขมวดคิ้วแน่น

ปัญหาคือ เขาจะพาเดียร์กลับบ้านได้อย่างไร?

แน่นอนว่าคงไม่มีใครมองเห็นวายุ แต่เดียร์ในตอนนี้ก็ไม่พร้อมจะเจอกับใคร

มือหนาถือวิสาสะล้วงกระเป๋ากางเกงคนตัวเล็ก

ควานหาโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัว  กดดูรายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์ เผื่อมีใครจะช่วยเดียร์ได้บ้าง

ฟ้าร้องแทรกเข้ามา ระหว่างที่วายุกำลังกดโทรศัพท์

ร่างสูงรีบปิดเครื่อง ยัดโทรศัพท์มือถือลงไปในกระเป๋ากางเกงของคนตัวเล็ก

…จะให้ใช้โทรศัพท์ตอนนี้คงไม่ดีแน่

ร่างสูงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น  สายตาคมสอดส่องไปตามท้องถนน  เผื่อจะมีรถโดยสารผ่านมาแถวนี้บ้าง  พอก้มมองคนตัวเล็กในอ้อมกอด วายุก็ได้แต่ขมวดคิ้วแน่น

เสียงฟ้าร้องแทรกเข้ามาเรื่อยๆ สายฝนยังคงเทกระหน่ำ

เดียร์กอดร่างตัวเองไว้แน่น

เหตุการณ์ที่เดียร์เพิ่งเจอ มันเกินกว่าที่ความรู้สึกเดียร์จะรับไหว

ไม่เอาอีกแล้ว…

เดียร์ไม่อยากอยู่คนเดียว เดียร์ต้องการคนอยู่ข้างๆ

ใครก็ได้ที่อยู่ข้างๆเดียร์… ไม่ปล่อยให้เดียร์อยู่คนเดียว…

ความรู้สึกเย็นๆของสิ่งที่โอบกอดเดียร์ไว้อยู่

ทำให้เดียร์อุ่นใจได้บ้าง

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน

มันนานมาก กว่าสายฝนจะเริ่มซา

เสียงฟ้าร้องหายไป สายลมเบาบางลง

วายุตัดสินใจล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงของคนตัวเล็ก กดเปิดเครื่อง กดดูรายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์อีกครั้ง

วายุรู้สึกถึงแรงสั่นของคนในอ้อมกอด

ริมฝีปากเล็กสั่นระริก ท่อนแขนบางกอดรัดตัวเองแน่นขึ้น

วายุพยายามกระชับอ้อมกอด หวังว่าคนตัวเล็กจะอุ่นขึ้นบ้าง

แต่ร่างของวายุที่เป็นวิญญาณ คงจะให้ความอบอุ่นเดียร์ไม่ได้นัก

วายุดูเวลาในโทรศัพท์มือถือของคนตัวเล็ก

สี่ทุ่มแล้ว…

ขณะที่วายุกำลังไล่ดูรายชื่อผู้ติดต่ออยู่  เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอดี

ชื่อคนที่โทร.เข้ามา ทำให้วายุชะงักไปนิด แต่เห็นเดียร์เป็นอย่างนี้แล้ว จะยอมสงบศึกสักวันแล้วกันวะ

“เดียร์ คุยหน่อยนะ เขาคงไม่ได้ยินเสียงผม”

วายุกดรับสาย ยื่นโทรศัพท์ไปแนบหูเดียร์

เดียร์เงยหน้ามองวายุ  กรอกเสียงลงไปตามคำสั่ง

“คะ…ครับ?”

“เดียร์…พี่อยากคุยกับเรา เรื่องที่เราลา…” เสียงที่ดังมาตามสาย ทำให้เดียร์อุ่นใจได้นิดหนึ่ง

วายุฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆ

“พะ..พี่ล็อค…ผม…ผะ..ผม” เสียงเดียร์สั่นจนเริ่มฟังไม่ได้ศัพท์

ตอนนั้นเองที่ปลายสายเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติ

“เดียร์ เป็นอะไรครับ? เดียร์อยู่ไหน? เดียร์ บอกพี่ เดียร์อยู่ไหน?” 

เดียร์เริ่มรู้สึกว่าอากาศมันเย็นขึ้น คนตัวเล็กพยายามควบคุมสติ แต่ทำได้ยากเหลือเกิน

“เดียร์ตั้งสตินะครับ บอกพี่ล็อคไป ว่าตอนนี้เดียร์อยู่ที่ไหน” วายุช่วยพูดปลอบเดียร์อยู่ใกล้ๆ

คนตัวเล็กรู้สึกคอแห้งขึ้นมา พยายามกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก  จนในที่สุดเดียร์ก็สามารถบอกที่อยู่ของตัวเองได้

วายุนั่งโอบเดียร์อยู่อย่างนั้นไม่ปล่อย

คนตัวเล็กยังตัวสั่นอยู่เหมือนเดิม

“เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้วนะเดียร์”

วายุทอดเสียงอ่อนโยน ลูบศีรษะเล็กเบาๆ

“ขอโทษ….” เสียงพึมพำเบาๆดังมาจากคนในอ้อมกอด วายุก้มมองน้อยๆ  เสียงนั้นเบาจนวายุแทบไม่ได้ยิน

“หืม? ว่าไงนะครับ?”

“ขอโทษ…” เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกนิด วายุพอจับใจความได้

ร่างสูงอมยิ้มน้อยๆที่มุมปาก

“ไม่เป็นไรครับเดียร์ ไม่เป็นไรนะ” เสียงทุ้มยังคงเอ่ยปลอบโยน มือหนาลูบศีรษะคนตัวเล็กเบาๆ

“วายุ…ฉันขอโทษ … ถ้าฉันเชื่อนาย” เดียร์ใกล้จะเป่าปี่อีกครั้ง  คนตัวเล็กสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาแดงก่ำ

“ไม่เป็นไรครับเดียร์ ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษนะ เดียร์พยายามทำเพื่อผม ผมต่างหากที่ต้องขอโทษเดียร์” วายุเอ่ยยาวๆ ขัดประโยคของเดียร์ ไม่ปล่อยให้เดียร์พูดอะไรมากไปกว่านี้

วันนี้เดียร์เจออะไรมามากพอแล้ว

สายฝนหายไป ทิ้งไว้เพียงสายน้ำที่รวมตัวกัน

น้ำฝนที่ถูกขังอยู่บนพื้นถนน  ไม่ต่างจากน้ำตาที่เอ่อคลอดวงตาใส

วายุไล่สายตามองไปตามท้องถนน พอฝนหยุด เริ่มมีรถผ่านมาบ้าง แต่นานๆจะผ่านมาที

ตอนนั้นเอง รถยนต์คันหรูขับมาจอดตรงหน้า

คนบนรถลงจากรถด้วยความร้อนรน

มาพร้อมเสียงทุ้มที่เดียร์คุ้นเคย “เดียร์…”

คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้น  “พี่ล็อค….” คนตัวเล็กสบตากับล็อค พลันมือหนาของวายุก็ตกลงบนเก้าอี้ทันที

วายุเอื้อมมือไปจับมือเดียร์อีกครั้ง

แต่ทว่า…

คว้าได้เพียงอากาศ..

ร่างสูงก้มมองมือตัวเอง ….  ขมวดคิ้วมุ่น

ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?

ล็อคเดินตรงเข้ามาประคองเดียร์

“ขึ้นรถกันก่อนเดียร์”

ล็อคไม่รุ้ว่าทำไมเดียร์ถึงเป็นแบบนี้

ล็อคไม่รู้ว่าเดียร์เจออะไรมา

ล็อคไม่รู้ว่าเดียร์มาทำอะไรแถวนี้

ล็อคอยากรู้… ทุกเรื่อง

แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้

ตอนที่เดียร์ยังไม่พร้อมจะคุยแบบนี้

ล็อคประคองคนตัวเล็กเข้าไปนั่งข้างคนขับ โน้มตัวไปคาดเข็มขัดนิรภัยให้ ปิดประตูให้เรียบร้อย  คนตัวโตวิ่งมาขึ้นรถฝั่งตัวเอง แน่นอนว่าวายุตามเข้าไปนั่งบนเบาะหลังของรถยนต์คันหรูทันที




# My dear





น้องเดียร์ดูใสๆซื่อๆเนอะ ฮ่าๆๆ
ที่สำคัญ ดื้อ! ><

เป็นกำลังใจให้เดียร์ด้วยนะคะ


สถิติแอมตอนนี้อยู่ที่...เกือบ 10 ตอน ใน 1หน้า ... โอโห้


เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2






รถยนต์คันหรู แล่นเข้าจอดหน้าหอพักนักศึกษาชาย ในเวลาตีหนึ่ง…

วายุประคองร่างเดียร์ขึ้นไปจนถึงห้องพัก

คนตัวโตใช้เวลาเคาะประตูห้องไม่นาน ประตูก็ถูกเปิดออก

พู่กันกำโทรศัพท์มือถือไว้ในมือแน่น ทันทีที่เปิดประตูแล้วพบเดียร์และล็อคมาด้วยกัน  พู่กันรี่เข้าไปประคองเดียร์ทันที

พู่กันตกใจ ทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ ลนลานจนล็อคต้องเตือนให้พู่กันตั้งสติดีๆ

“เดียร์เป็นอะไรครับ?” พู่กันถามคำถามนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็จำไม่ได้ ล็อคได้แต่ถอนหายใจแรงๆ ล็อคเองก็ไม่มั่นใจนัก…

เดียร์ขอตัวเข้าไปอาบน้ำ พู่กันและล็อคได้แต่มองตามอย่างเป็นห่วง

วายุคอยตามเดียร์อยู่ไม่ห่าง ตามเข้าไป แม้แต่ในห้องน้ำ

คนตัวเล็กไม่หันมาตวาดวายุเหมือนทุกครั้ง

วายุเฝ้ามองจนเดียร์เริ่มเปลื้องผ้า ร่างสูงจึงตัดสินใจผละออกไป

วายุออกมาสมทบกับพู่กันและล็อคที่อยู่ในห้องนั่งเล่น

“เดียร์ไม่รับโทรศัพท์ผมเลยครับ”  พู่กันพูดด้วยสีหน้าวิตก  “โทรไปกี่ครั้งก็ไม่รับ เดียร์ไม่โทรมาบอกอะไรผมด้วย”

“ที่ที่เดียร์ไป ไม่ใช่แถวนี้ พี่สงสัยว่าเดียร์ไปทำอะไร” วายุเสนอความคิดของตัวเองบ้าง

“แล้วเดียร์ไปทำไม พี่ล็อค เดียร์เป็นอะไร?” พู่กันพูดด้วยน้ำเสียงวิตกไม่ต่างจากตอนแรกนัก คนตัวเล็กหารือกับล็อคไปพักใหญ่ ตัดสินใจโทร.หาเพื่อนตัวโตกลางดึกเลย

ทันทีที่พู่กันโทร.หาโต้ง เพื่อนตัวโตก็รุดมายังห้องพักของเดียร์และพู่กันทันที

ภาพที่โต้งเห็นคือ พู่กันนั่งโอบไหล่เดียร์อยู่ที่โซฟา

ได้ยินพู่กันบอกเดียร์ว่าให้ไปนอนพักผ่อน แต่เดียร์เอาแต่ส่ายหน้า พึมพำว่าไม่อยากนอนคนเดียว

“งั้นเดี๋ยวเราไปนอนด้วย” พู่กันว่าพลางประคองเพื่อนตัวเล็กให้ลุกขึ้น พาเดินเข้าห้องนอนไป

โต้งมองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างไม่เข้าใจ

“เดียร์ยังไม่พูดอะไรเลย” ล็อคหันมาบอกโต้งที่ยืนมองอยู่

โต้งเดินมานั่งที่โซฟา นั่งอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน

ล็อคกับโต้งนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางความเงียบ

จนกระทั่งพู่กันเดินออกมาจากห้องนอน

“เดียร์หลับไปแล้วครับ คงเหนื่อยมาก” พู่กันเดินมานั่งข้างๆโต้ง

ทั้งสามคนตกลงจะเริ่มคุยเรื่องเดียร์

“เดียร์ไม่ได้ลางาน นอกจากตอนนั้นที่บอกว่าจะไปโรงพยาบาล”

ล็อคเริ่มพูดก่อน โต้งนิ่งไปเล็กน้อย คิดตามที่ล็อคพูด ก่อนจะพูดขึ้นบ้าง

“วันก่อน เดียร์บอกว่าจะไปหาหมอผี”

ประโยคของโต้งทำเอาพู่กันกับล็อคหันมามองโต้งเป็นตาเดียว

“หมอผี? ทำไมเดียร์ต้องไปหาหมอผี?” เป็นล็อคที่ถามขึ้นมา

พู่กันคิดตามที่โต้งพูด

หมอผี…จะเกี่ยวอะไรกับเรื่องผีที่มาขอให้เดียร์ช่วยหรือเปล่า?

“’เขา’ขอให้เดียร์ช่วย” เดียร์ว่าพลางมองไปรอบๆห้อง

ถ้าพู่กันเป็นเดียร์ ก็คงจะมองเห็นวายุที่นั่งฟังบทสนทนานั้นอยู่ไม่ไกล

โต้งตาโต อุทานลั่น “เออใช่! อาจจะเกี่ยวกันก็ได้นะเว้ย”

บทสนทนาของโต้งและพู่กัน ทำเอาล็อคขมวดคิ้วมุ่น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ล็อคถามออกไปในที่สุด

พู่กันกับโต้งหันไปสบตากันเล็กน้อย

ไหนๆเรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้วนะ…

พู่กันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจเล่าเรื่องของเดียร์ให้ล็อคฟัง

“เดียร์…มองเห็นผีได้ครับ”

หลังจากนั้นคือเรื่องเล่าที่มาจากปากของโต้งและพู่กัน

เล่าถึงตอนที่ย้ายหอมาที่ห้องนี้ และล่าสุดคือเรื่องที่เดียร์บอกว่าจะไปหาหมอผี

ล็อคนั่งฟังอยู่เงียบๆ ขมวดคิ้วพลาง ถามพลาง

“อย่างนี้ วิญญาณที่ว่านั่น ก็อยู่ในห้องนี้?”

ล็อคถามพลางมองไปรอบๆห้อง

“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นครับ” เป็นพู่กันที่เป็นคนตอบออกไป

“ทั้งหมดนี่คือเรื่องที่เราเดากัน เอาไว้รอฟังจากปากเดียร์ดีกว่า”

โต้งเป็นคนจบการสนทนานั้น

ทั้งสามคนคุยกันจนเกือบตีสี่

ล็อคขอตัวกลับไปก่อน กำชับพู่กันว่าถ้าเดียร์ตื่นแล้วให้โทร.หา

ส่วนโต้ง ได้สิทธิ์ยึดโซฟาเป็นที่นอนไป

พู่กันเดินกลับเข้าไปในห้องนอน

ลมหายใจสม่ำเสมอของเดียร์ ทำให้พู่กันสบายใจขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยเดียร์ก็ได้พักผ่อน

ถึงจะไม่รู้ว่าเดียร์ไปเจออะไรมาบ้าง แต่เดียร์ที่พู่กันเห็นตอนนั้น

…เหมือนไม่ใช่เดียร์เลย

“ให้เดียร์ช่วย ก็ดูแลเดียร์ด้วยนะ” พู่กันพึมพำเบาๆ ก่อนซุกตัวลงไปในผ้าห่ม

เหมือนพู่กันรู้…ว่าวายุอยู่ในห้อง

ใช่…วายุอยู่ในห้อง

ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้เดียร์ จ้องมองคนตัวเล็กหลับตาพริ้ม

ใบหน้าคมโน้มลงไปใกล้หน้าผากเนียน

วายุเผลอหลับตาแน่น ชะงักไปเล็กน้อย

ไม่แน่ใจว่าครั้งนี้จะสัมผัสคนตัวเล็กได้หรือไม่

วายุลืมตาอีกครั้ง โน้มใบหน้าลงไปใกล้หน้าผากเนียนมากขึ้น

พลันสัมผัสอุ่นอยู่ที่ปลายจมูก

วายุตัดสินใจประทับริมฝีปาก ลงใบบนหน้าผากเนียน  ก่อนค่อยๆผละออกมาช้าๆ

วายุนั่งอยู่ข้างๆเดียร์อย่างนั้น …. จนกระทั่งรุ่งเช้า


พู่กันต่อสายโทรศัพท์หาล็อคทันทีที่ตื่น

เดียร์ตื่นเช้ากว่าพู่กัน  พู่กันตื่นตอนเดียร์อาบน้ำ

พู่กันกระวีกระวาดควานหาโทรศัพท์มือถือแทบไม่ทัน

รอจนเดียร์ออกมาจากห้องน้ำ

สังเกตว่าสีหน้าเพื่อนตัวเล็กดีขึ้นกว่าเมื่อคืน

“มึง…โอเคป่ะวะ?” พู่กันเลียบๆเคียงๆถามดู

เดียร์หันมายิ้มให้พู่กันน้อยๆ “กูสบายดีน่า”

พู่กันมองเพื่อนตัวเล็กที่เดินไปจากห้องนอน เห็นอย่างนั้น พู่กันก็เข้าไปอาบน้ำบ้าง ถึงจะใช้เวลาชั่งใจอยู่นานก็เถอะ

“เดียร์ จะไปไหน?” เสียงทุ้มๆของวายุดังขึ้น

คนตัวเล็กหันไปตามที่มาของเสียง เห็นวายุยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง

วายุรู้สึกว่าเดียร์มองมาด้วยสายตาที่แปลกไป

ไม่แน่ใจว่าสายตานั้นแปลว่าอะไร

“ไปทำงาน…” เดียร์ว่าพลางเดินไปต้มโจ๊กคัพ

วายุปราดเข้ามาประชิดตัวทันที

“ไปทำงานไหวหรือ?  พักผ่อนดีกว่า เรื่องงานน่ะ….”

“ไม่ทำไม่ได้ วายุ มันคืองาน”

คนตัวเล็กเดินหนีไปกดน้ำร้อนใส่ถ้วยโจ๊ก

ถึงวันนี้จะเป็นวันอาทิตย์ แต่ไม่ใช่วันหยุด

วันนี้ไม่มีเรียน แต่มีงานต้องทำ…

คนตัวเล็กเดินหนีวายุออกไปนั่งที่โซฟา เปิดโทรทัศน์ให้มีเสียงอื่นแทรกเข้ามาบ้าง

วายุเดินตามเดียร์มาติดๆ

“เมื่อวาน….ขอบคุณนะ…” เดียร์พึมพำเบาๆ

วายุชะงักไปเล็กน้อย  จู่ๆเดียร์ก็เอ่ยขึ้นมา  …. ทันใดนั้น จุดยิ้มน้อยๆค่อยๆเผยบนใบหน้าคม

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ขอบคุณที่เดียร์ทำเพื่อผม แล้วก็ขอโทษ…ขอโทษที่ผม..”

“มันผ่านไปแล้ววายุ” เดียร์ไม่รอให้วายุพูดจบ คนตัวเล็กรีบขัดขึ้นทันที “เก็บไว้เป็นบทเรียน” เดียร์เงยหน้า สบตากับวายุ

คนตัวเล็กส่งยิ้มน้อยๆให้ร่างสูง

“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนะ เรื่องแค่นี้ ฉันไม่เก็บไปคิดให้เสียสุขภาพจิตหรอก” ว่าจบก็หันไปตักโจ๊กเข้าปาก

วายุได้ยินอย่างนั้นก็ได้แต่หัวเราะลั่น

สายตาคมมองคนตัวเล็กอย่างพึงพอใจ

เห็นเดียร์กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ วายุก็ดีใจ…

ชอบที่เดียร์เป็นแบบนี้จัง….


ช่วงสายของวันนั้น เจ้าของร้านไอศกรีมมาทักทายแต่เช้า

เดียร์เปิดประตูรับด้วยความตกใจ

แว้บแรก คิดว่าพี่ล็อคจะมาว่า ที่เดียร์ไปทำงานสาย

เผลอหันไปมองนาฬืกาที่ข้างฝา

ยังไม่เวลาไปทำงานเลย….

พอคนตัวเล็กเห็นล็อคส่งสายตาเป็นห่วงมาให้ เดียร์เริ่มเข้าใจ…

“วันนี้เดียร์ไม่ต้องไปทำงานนะ” ล็อคนั่งคุยกับเดียร์ที่โซฟา

ส่วนพู่กันกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารเช้า  ปล่อยให้เจ้านายกับลูกน้องคุยกันไป

ล็อคเอาแต่ปลอบด้วยถ้อยคำสารพัด เดียร์ได้แต่ยิ้มน้อยๆไปให้

“ผมไม่เป็นอะไรจริงๆครับพี่ล็อค” เดียร์ย้ำไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

ถ้าเดียร์ไม่ไปทำงาน จะมีเงินไหมล่ะนี่

“เดียร์ยังไม่สบายอยู่นะ” เสียงทุ้มส่งความห่วงใยมาให้

แต่เดียร์ก็ยังเป็นเดียร์

วายุที่นั่งอยู่ข้างๆยังอดคิดไม่ได้เลยว่า เดียร์น่ะ…ดื้อ

ในที่สุดความดื้อของเดียร์ก็เป็นผล

ล็อคยอมให้เดียร์ไปที่ร้านได้ แต่ต้องไม่ทำงานหนัก

วายุสังเกตจากท่าทางของเดียร์แล้ว คนตัวเล็กคงไม่อยู่เฉยๆแน่

แค่ตอนนี้เดียร์ไปทำงานได้ ถ้าไปถึงร้าน คงวิ่งวุ่นทำงานเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ


เดียร์มาถึงร้านไอศกรีมตอนที่ร้านเปิดแล้ว

โต้งกำลังวิ่งวุ่นเช็ดโต๊ะ เช็ดเก้าอี้

เดียร์เหลือบไปทางหน้าร้าน เห็นป้ายรับสมัครพนักงานแปะไว้อยู่

“อยู่แค่แคชเชียร์นะ”ล็อคย้ำอีกครั้ง ก่อนจะเดินนำเดียร์เข้าไปในร้าน เดียร์เดินตามพลางยิ้มอยู่คนเดียว

อยู่แค่แคชเชียร์น่ะน่าเบื่อออก…

“ไอ้เดียร์!!!”  โต้งร้องลั่น ทักทายเพื่อนตัวเล็กที่เดินเข้ามาในร้าน

เดียร์รี่ตรงเข้าไปหาเพื่อนตัวโตทันที

คนตัวเล็กกระโดดตบหัวเพื่อน ทักทายเพื่อนไปทีหนึ่ง

“ตบหัวกูทำไมเนี่ย?” โต้งโยนผ้าขี้ริ้วในมือทิ้ง มือหนาลูบหัวตัวเองป้อยๆ เดียร์มองอย่างสะใจ

“หมอผีที่มึงแนะนำมาแม่ง โคตรห่วย” เดียร์ว่าพลางส่ายหน้าน้อยๆ “มันเป็นหมอเถื่อนเว้ย” คนตัวเล็กคอยสังเกตปฏิกิริยาของโต้ง

แล้วก็เป็นอย่างที่เดียร์คิด โต้งดูตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

“มึงไปหาหมอผีมาแล้วจริงๆหรือวะ!” โต้งเผลอคิดไปถึงสภาพเดียร์เมื่อคืน “มัน..ทำอะไรมึงหรือเปล่าวะ?”

แววตาเดียร์มีแววหม่นเศร้าไปเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้น คนตัวเล็กกลับมามีแววตาสดใสดังเดิม

“มันจะทำหรือไม่ทำ ตอนนี้กูก็ไม่เป็นอะไรแล้วนี่ สบายใจได้”    คนตัวเล็กยืดแขนไปตบบ่าเพื่อนปุๆ

“เพราะ ‘เขา’ให้ช่วยใช่ไหมวะ? มึงถึงต้องตามหาหมอผีแบบนี้”

เท่าที่โต้งได้ยินมาจากพู่กัน…มันน่าจะเป็นอย่างนั้น

เดียร์ชะงักไปเล็กน้อย คนตัวเล็กกัดริมฝีปากล่างแน่น

“กูเต็มใจช่วย ‘เขา’… กูไม่รู้จะทำยังไงแล้วนี่หว่า” เดียร์ว่าพลางเหลือบไปมองวายุ เห็นร่างสูงยืนอมยิ้มน้อยๆอยู่ไม่ไกล

“มึงคงไม่ตามหาหมอผีคนอื่นแล้วนะ?”  โต้งว่าพลางส่งความเป็นห่วงไปให้เพื่อน ผ่านทางสายตา

เดียร์ถอนหายใจแรงๆ “กูไม่เอาแล้วหมอผีอะไรเนี่ย เสียเวลา ทำงานดีกว่า”

ว่าจบ คนตัวเล็กกลับหลังไปประจำเคาน์เตอร์ทันที

โต้งมองตามอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ดีแล้ว…

วายุเดินตามเดียร์ไปติดๆ “เดียร์แน่ใจนะ ว่าไม่เป็นไร”  ร่างสูงถามย้ำอย่างไม่เชื่อในคำพูดของเดียร์

….ไม่คิดว่าเดียร์จะเข้มแข็งขนาดนี้

“คิดอะไรมาก เรื่องที่เกิดไปแล้ว มันกลับไปแก้ไม่ได้นี่ ถ้ามัวแต่ยึดติดกับอดีต แล้วเราจะอยู่กับปัจจุบันยังไง?” เดียร์พูดเบาๆ  ล็อคเดินออกไปหน้าร้าน เดียร์เลยกล้าพูดเบาๆได้บ้าง

วายุยังไม่ละสายตาไปจากคนตัวเล็ก

เดียร์ก้มๆเงยๆ อยู่หลังเคาน์เตอร์ ตั้งหน้าตั้งตาจัดของให้เข้าที่

“ฉันไม่ไปหาหมอผีอีกแล้ว” เดียร์ลุกขึ้น ยืนจ้องหน้าวายุบ้าง

วายุอมยิ้มน้อยๆ ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าใส

“ต่อไป..ถึงตาผมแล้วนะ”



# My dear



ตอนที่ 10 แล้ว ^^

พยายามไม่ดราม่าสุดๆ   ^^’’


เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
 :เฮ้อ: โล่งอกที่เดียร์ปลอดภัย แล้วต่อจากนี้จะทำไงต่อไป

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2

Chapter 11

แสงอาทิตย์ยามสาย สาดส่องผ่านกระจกบานใส สายลมพัดพากลุ่มเมฆไปตามแรงลม ใบไม้ลู่ไหวน้อยๆ คล้ายหยอกล้อ

ล็อคนั่งมองบรรยากาศภายนอกร้านผ่านกระจกบานใส ในมุมส่วนตัวของเจ้าของร้าน มุมที่มีโต๊ะยาวที่มีพื้นที่มากพอจะวางของ มีเก้าอี้ไม้สีขาวหนึ่งตัว เพียงเท่านี้ล็อคก็จมจ่ออยู่ตรงนี้ไปได้อีกทั้งวัน

คนตัวโตมักใช้มุมนี้เป็นห้องทำงานชั่วคราว เมื่อใดที่ต้องการสมาธิในการทำเอกสารบัญชีของร้าน ล็อคจะเข้าประจำที่มุมนี้ทันที

เสียงเพลงอันไพเราะ คลอเบาๆ สร้างบรรยากาศสดใสให้กับร้าน  ล็อคไล่สายตามองพนักงานแต่ละคนของร้าน

โต้งกำลังยกไอศกรีมมาเสิร์ฟลูกค้าสาวกลุ่มใหญ่ ล็อคแอบเห็นว่าลูกค้าคนหนึ่งในโต๊ะ พยายามยัดกระดาษอันเล็กๆใส่มือโต้ง แต่โต้งปฏิเสธไม่รับท่าเดียว คงเห็นท่าไม่ดี โต้งเลยรีบขอตัวไปทำความสะอาดโต๊ะอื่น …ลูกค้ากลุ่มนั้น หันมาร้องว่าเสียดายกันใหญ่ …ล็อคเดาว่าที่เธอพยายามยัดใส่มือโต้ง คงไม่พ้นเบอร์โทรศัพท์ หรือ เฟสบุ๊ค หรือไลน์ อะไรพวกนั้น

สายตาคมเหลือบมองไปยังที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ พนักงานตัวเล็กกำลังยิ้มหวานให้ลูกค้าที่รอเช็คบิล มือบางรับ-ส่งบิลและเงินสดอย่างคล่องมือ เอ่ยขอบคุณลูกค้า เมื่อลูกค้ากำลังจะก้าวออกจากร้านไป

ล็อคอมยิ้มน้อยๆกับภาพที่เห็น

ทันใดนั้น เผลอคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน….

เดียร์… ไปทำอะไรมา?

ที่ที่ล็อคไปเจอเดียร์ มันไม่ใช่ใกล้ๆเลย

ถ้าเดียร์ไม่สะดวกใจที่จะบอก ก็จะไม่คาดคั้น

แต่ลึกๆ อย่างไรเสีย ล็อคก็อดเป็นห่วงคนตัวเล็กไม่ได้จริงๆ ไม่อยากให้เดียร์ทำงานในวันแบบนี้ด้วยซ้ำ แต่เดียร์ในตอนเช้าที่ล็อคเจอ แทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นคนเดียวกันกับเดียร์ ที่ล็อคเจอเมื่อคืน

เห็นเดียร์ร่าเริงแบบนี้…ก็ดีแล้วนะ

“มองขนาดนี้ เดี๋ยวมันก็ท้องหรอก” เสียงทุ้มของพนักงานตัวโต ดังอยู่ไม่ไกล เจ้าของร้านยังไม่มีทีท่าว่าจะได้ยิน สายตาหวานเชื่อมยังถูกส่งไปให้พนักงานอีกคนของร้าน

โต้งส่ายหน้าน้อยๆ ตั้งใจเดินเข้าไปใกล้เจ้าของร้านอีก มองงานที่อยู่ในมือเจ้าของร้าน อดทักไม่ได้ “หัวใจเต็มหน้ากระดาษแล้วพี่ล็อค”

ล็อคเพิ่งได้สติเดี๋ยวนั้น เงยหน้าสบตากับพนักงานตัวโตที่อยู่ใกล้ๆ  เห็นโต้งชี้มาที่กระดาษที่อยู่ในมือ  ล็อครีบก้มมองตามที่โต้งบอก ดวงตาคมเบิกกว้างกับสิ่งที่เห็น

หัวข้อของกระดาษแผ่นนั้นมีคำว่า ‘บัญชีประจำวัน’  บนตัวหนังสือที่ถูกพิมพ์มาอย่างดี มีรอยปากกาวาดเป็นรูปหัวใจ เต็มหน้ากระดาษ

“วาดรูปสวยนะพี่” โต้งยิ้มแซวส่งท้าย รีบหอบถ้วยไอศกรีมเปล่า หนีฝ่าเท้าล็อคทันที

โต้งเดินหนีเจ้าของร้านไปยังที่ประจำของตัวเอง

อ่างล้างจาน… เรียกว่าที่ประจำไหมนะ?

เสียงกระดิ่งที่ประตูร้านดังขึ้น

เดียร์ที่ประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เอ่ยต้อนรับทันที

“สวัสดีครับ …2 ที่นะครับ?” เดียร์กำลังจะเดินไปคว้าเมนู ผายมือเชิญลูกค้าไปนั่ง แต่ทั้งสองคนพากันยืนนิ่ง ยิ้มน้อยๆมาให้เดียร์

“พวกเรามาสมัครงานน่ะครับ” หนึ่งในสองคนนั้นเอ่ยขึ้น

เดียร์เผลอตาโตไปชั่ววินาที มองคนสองคนตรงหน้าอีกที…

เมื่อกี๊พูดว่า ‘ครับ’ ?  … เป็นผู้ชายหรือ?

รับสมัครพนักงานชายไม่ใช่หรือ….

“…ครับ ถ้างั้น…รบกวน เชิญตามผมมาทางนี้เลยครับ”

เดียร์เดินนำผู้มาใหม่ทั้งสองคน ไปยังมุมส่วนตัวของเจ้าของร้าน

“พี่ล็อค มีคนมาสมัครงานแล้วนะ” เดียร์เดินไปเคาะโต๊ะเจ้านายเบาๆ  ล็อคเงยหน้ามองทันที สายตาคมมองตามมือบางที่ผายไปทางด้านหลัง คนตัวโตเผลอขมวดคิ้วน้อยๆ ยื่นหน้าไปกระซิบกับเดียร์เบาๆ  “เรารับพนักงานชายไม่ใช่หรือ?”

เดียร์เผลอกระแอมน้อยๆ กระซิบตอบเจ้าของร้านไปคืน “ผมว่าผู้ชายนะพี่ล็อค” เดียร์รีบผละออกไป ยิ้มหวานให้กับว่าที่พนักงานใหม่ทั้งสองคน ก่อนกลับไปเฝ้าแคชเชียร์เหมือนเดิม

ตอนแรก ล็อคแทบไม่ให้เดียร์ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แคชเชียร์พี่ล็อคก็จะทำ ไหนจะช่วยโต้งเสิร์ฟไอศกรีม ทำความสะอาดโต๊ะ แต่เดียร์มาทำงาน จะให้นั่งอยู่เฉยๆก็น่าเบื่อแย่สิ กว่าเดียร์จะกล่อมพี่ล็อคได้ ใช้เวลาอยู่พอสมควร ในที่สุดก็ได้ประจำแคชเชียร์ แต่มันก็ออกจะน่าเบื่อไปหน่อย ถ้าไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย เดียร์เลยแว้บไปที่อ่างล้างจาน แว้บไปเสิร์ฟไอศกรีม แว้บไปทำความสะอาดโต๊ะ สรุปคือ เดียร์ทำงานเหมือนเดิมนั่นล่ะ ล็อคจะว่ายังไง เดียร์ไม่สนหรอก
 
….ถ้าจะตัดเงินเดือนเพราะทำงานเกิน มันก็ออกจะเกินไป… หรือไม่ทำงานแล้วได้เงินเท่าเดิม มันก็ออกจะแปลกๆอยู่นา… ทำงานแล้วก็ทำให้มันคุ้มเงินหน่อย….

“ใครวะ?” โต้งเอ่ยทักทันทีที่เดียร์เข้าประจำที่

“มาสมัครงานน่ะ” พอเดียร์ตอบปั๊บ โต้งก็ถามต่อปุ๊บ

“เรารับพนักงานชายไม่ใช่หรือวะ?”

เดียร์หันไปยิ้มแหยๆให้เพื่อน “กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่พี่เขาพูดครับนะ”

“ทอมหรือ?” โต้งยังคงถามต่อไป เดียร์เห็นโต้งกำลังล้างถ้วยไอศกรีมอยู่ เหมือนมันพูดกับอ่างล้างจานมากกว่าพูดกับเดียร์ แต่ถึงอย่างนั้นเดียร์ก็ยังใจดีต่อบทสนทนา

“ไม่รู้ว่ะ” เดียร์หันมาจัดเคาน์เตอร์ ยังไม่มีลูกค้าเข้า ยังไม่มีลูกค้าออก เดียร์นั่งนิ่งๆ มองกลุ่มลูกค้ารอบๆร้าน หากใครต้องการอะไรเพิ่ม เดียร์พร้อมจะบริการให้

“สองคนนั้นเป็นผู้ชายนะ เหมือนเดียร์ไง” เสียงทุ้มดังอยู่ใกล้ๆ

เดียร์เห็นเงียบไปนานแล้ว เกือบลืมไปเลยว่าตามอยู่ตลอด

เดียร์หันไปขมวดคิ้วน้อยๆให้ธาตุอากาศข้างๆ กระซิบเบาๆ “น่ารักขนาดนั้นน่ะนะ ผู้ชาย?”

วายุพยักหน้าน้อยๆ ยิ้มหวานให้คนตัวเล็ก “ผมถึงได้บอกว่าเหมือนเดียร์ไง” รอยยิ้มไม่ได้จางหายไปจากใบหน้าคมแม้แต่น้อย

เดียร์เห็นอย่างนั้น อดไม่ได้ที่จะยู่หน้าน้อยๆใส่ร่างสูง

“ฉันหล่อโว้ย หล่อน่ะหล่อ รู้จักไหม?” เดียร์ได้แต่ส่งค้อนไปทางสายตา สะบัดหน้าหนีร่างสูงที่เอาแต่จ้องหน้าเดียร์

วายุอมยิ้มเล็กๆ ส่ายหน้าน้อยๆ กับความมั่นใจของเดียร์

“โน่น ดูโน่น สาวโต๊ะนั้นยังมองฉันเลย เห็นไหม?”

คนตัวเล็กเหลือบมองไปทางโต๊ะลูกค้าสาวกลุ่มใหญ่ หญิงสาวในโต๊ะมองเดียร์แล้วก็หันไปกรี๊ดเบาๆกัน

เดียร์ยิ่งได้ใจ ทำทีเป็นหันไปมองโต๊ะอื่น แต่ไม่วายยังแอบส่งยิ้มเล็กๆให้สาวๆกลุ่มนั้น

วายุเห็นอย่างนั้นแล้วอยากเก็บเดียร์ใส่กระเป๋าจริงๆ

ไม่ได้รู้เลยใช่ไหม ว่าท่าทางแบบนั้นมันน่ารักขนาดไหน

วายุเหลือบมองไปอีกมุมของร้าน เห็นลูกค้าชายประมาณ 3-4 คน มองเดียร์เป็นตาเดียว …วายุขมวดคิ้วฉับ

“ช่วยโต้งล้างถ้วยไอศกรีมไป” วายุเอ่ยนิ่งๆ  ยังไม่ทันที่เดียร์จะตอบอะไร เสียงใสๆของคนตัวเล็กก็ร้องขึ้นเบาๆ วายุมองตามสายตาคนตัวเล็ก  เห็นน้ำล้างจานกระเซ็นเต็มพื้น

“เป็นอะไรรึป่าววะมึง?” เดียร์ค่อยๆย่องเข้าไปใกล้ๆเพื่อน  โต้งได้แต่ยิ้มแหยๆมาให้

“โทษทีว่ะ มือลื่น” เดียร์ควานหาไม้ถูพื้น ตั้งใจจะเดินกลับมาทำความสะอาด แต่ทว่า คนตัวเล็กมัวแต่หาไม้ถูพื้นจนไม่ทันระวังน้ำที่นองอยู่เต็มพื้น

คนตัวเล็กก้าวเท้าออกไป พลันรู้สึกว่าแรงเสียดทานมันน้อยลง

“เฮ้ย!” เสียงใสร้องลั่น ร่างกายเอนหลังไปสี่สิบห้าองศาแล้ว อีกไม่กี่องศา แผ่นหลังจะแนบพื้น คนตัวเล็กหลับตาแน่น

พลัน คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยอยู่กลางอากาศ

ท่อนแขนอบอุ่น ประคองร่างของเดียร์ไว้ได้ทัน ก่อนที่เดียร์จะร่วงลงพื้น

เดียร์เข้าใจว่าคงเป็นโต้ง เพราะแถวนี้ มีแค่โต้งอยู่คนเดียว  แต่ลืมอะไรไปหรือเปล่า….

เดียร์แง้มดวงตาน้อยๆ … พลัน ดวงตาใสเบิกโพลง มองผู้ที่เข้ามารับร่างของเดียร์ไว้

“วายุ!” เดียร์ร้องเบาๆ เผลอมองไปทางโต้ง มันอ้าปากค้างไปแล้ว  เดียร์รีบผละออกจากอ้อมแขนนั้นทันที

คนตัวเล็กเดินช้าๆ เข้าไปหาไม้ถูพื้น ปล่อยให้โต้งอ้าปากค้างไปสักพัก  ทำความสะอาดพื้นให้เรียบร้อย ให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุเหมือนเมื่อกี๊

เดียร์มองวายุที่เอาแต่อมยิ้มส่งสายตาไม่รู้ไม่เห็นมาให้ คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนมีควันออกหู …หมั่นไส้นัก ไอ้ท่าทางทะเล้นแบบนั้น

คนตัวเล็กหันไปสนใจเพื่อนตัวโตที่แข้งค้างไปแล้ว

“โต้ง…” เรียกเบาๆ เข้าไปสะกิดที่แขน ดีที่มันไม่ถืออะไรไว้ในมือตอนมันตกใจ

เดียร์ไม่เห็นเพื่อนมีปฏิกิริยาตอบสนอง เดียร์ชกเบาๆไปที่อกเพื่อน และดูเหมือนจะได้ผล โต้งไอเบาๆ ลูบอกตัวเอง

“มึง…มะ มึง….” โต้งชี้หน้าเดียร์ เหมือนว่าเดียร์เป็นผีมาหลอกมัน

“เออ กูเอง ทำไม?” เดียร์ท้าวเอวน้อยๆ พยายามเรียกสติเพื่อน ต้องให้มันชิน

“มึงทำได้ยังไง มึงจะถึงพื้นแล้วนะ กูกำลังจะเข้าไปรับมึง แต่กูโดนผลักออกมา” ประโยคของโต้ง ทำให้เดียร์หันไปมองตัวต้นเหตุทันที รายนั้นเอาแต่อมยิ้มมีเลศนัยอยู่นั่น

“เออ….’เขา’ช่วยกูเอง ไม่มีอะไรหรอก”

โต้งเบิกตากว้างกับคำว่า ‘เขา’ ของเพื่อนตัวเล็ก

“’เขา’ตามมึงมาด้วยหรือวะ? นี่กูอยู่กับ ‘เขา’ของมึงมาตลอดเลยหรอเนี่ย ” โต้งรู้สึกอยากจะกลั่นน้ำตาลูกผู้ชายออกมาจริงๆ

ถึงจะรู้ว่าเพื่อนมีความสามารถพิเศษ แต่มันก็ยังไม่ชิน แล้วเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ก็ไม่ได้ทำให้โต้งรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ….คิดแล้วอดขนลุกไม่ได้

“เอาน่า กูบอกมึงไว้ จะได้ชิน ‘เขา’ไม่ทำอะไรมึงหรอก”

เดียร์ตบบ่าเพื่อนปุๆ คนตัวเล็กกำลังจะผละหนี โต้งรีบจับแขนเพื่อนไว้แน่น “เขาไม่ทำอะไรกูแน่นะ”

“แน่สิ ไว้ใจได้”เดียร์บีบมือเพื่อนแน่นๆ ยิ้มน้อยๆให้เพื่อนตัวโต

โต้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กลับไปล้างถ้วยไอศกรีมต่อ

มีลูกค้าเข้าร้าน เดียร์ตั้งท่าจะออกไปรับ แต่เพื่อนที่เดียร์เข้าใจว่าล้างถ้วยไอศกรีมอยู่ รีบถลามาขวางเดียร์ทันที

“เดี๋ยวกูไปเอง ฝากล้างที่เหลือหน่อยนะ” โต้งถลาไปคว้าเมนู เข้าไปรับลูกค้าทันที  เรื่องอะไรจะอยู่คนเดียว…

เดียร์เห็นท่าทางเพื่อนแล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ หันมามองตัวต้นเหตุ

“ไปล้างที่เหลือเลย” เสียงใสสั่งธาตุอากาศข้างๆ

วายุไม่ได้ว่าอะไร ยอมไปล้างถ้วยไอศกรีมที่เหลืออยู่

คนตัวเล็กเห็นอย่างนั้นก็ชะงักไปนิด

วายุหยิบจับสิ่งของได้ แต่ไม่เคยโดนตัวเดียร์ได้

แล้วทำไม…วายุถึงโดนตัวเดียร์ได้

เหตุการณ์ในคืนนั้นก็ด้วย…

“…ทำไม?” คนตัวเล็กพึมพำเบาๆ สายตาจับจ้องไปที่ร่างสูงที่อยู่หน้าอ่างล้างจาน

เดียร์คงคิดอะไรเพลินไปหน่อย เผลอแป๊บเดียว วายุล้างถ้วยไอศกรีมเสร็จแล้ว

เดียร์เห็นโต้งถือไอศกรีมถ้วยใหม่ไปเสิร์ฟลูกค้า

เฮ้ย! แล้วอย่างนี้มันจะเห็นตอนวายุล้างถ้วยไอศกรีมหรือเปล่า?

“ไม่เห็นหรอก ผมล้างเสร็จก่อนโต้งจะเข้ามาอีก”

วายุพูดเหมือนรู้ว่าเดียร์คิดอะไรอยู่

เดียร์ขมวดคิ้วน้อยๆ

“ถ้วยมันเหลือใบเดียวเอง” ว่าจบ ร่างสูงก็ประกบเดียร์ไม่ห่าง เหมือนเดิม  เดียร์พยายามไม่สนใจ แต่ถึงกระนั้น เสียงของวายุ ยังคงลอยเข้ามาให้ได้ยิน

“ผมชอบเวลาที่ผมโดนตัวเดียร์ได้นะ” อีกครั้ง ที่วายุพูดเหมือนรู้ว่าเดียร์คิดอะไรอยู่

วายุยื่นหน้าเข้าไปใกล้ไปหน้าใส นึกอยากได้กลิ่นหอมๆของคนตรงหน้า …

รอให้กลับเข้าร่างได้ก่อนนะ…

คนตัวเล็กเผลอกลั้นหายใจ วายุเอ่ยต่อทันที

“….ทำให้ผมรู้ว่า ตัวเดียร์…นุ่มมากแค่ไหน” ว่าจบ ร่างสูงค่อยๆถอยห่างออกจากใบหน้าใส  ยืดตัวตรง มองคนตัวเล็กที่อ้าปากค้าไปเรียบร้อยแล้ว

คนตัวเล็กอยากจะตะโกนให้ลั่นร้าน แต่ทำได้เพียงกำมือแน่น

ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคอย่างนี้จากร่างสูง

“ฉวยโอกาสเรอะ!  ทั้งความคิด ทั้งร่างกาย มันจะมากไปแล้วนะวายุ!” เดียร์กัดฟันกรอด แค่นเสียงลอดไรฟัน พยายามไม่ให้เสียงมันดังจนเกินไป

วายุเพียงแค่ยิ้มหวานให้คนตัวเล็ก

“ผมไม่ได้อ่านความคิดเดียร์ได้ขนาดนั้นนะ เดียร์คิดอะไร ก็ออกมาทางสีหน้าหมด แต่ฉวยโอกาสทางกายนี่….” วายุหยุดไปพักหนึ่ง มองปฏิกิริยาของคนตัวเล็ก  …คนตัวเล็กฟึดฟัดขึ้นมาทันที

….นับว่าเป็นปฏิกิริยาที่น่าพอใจ วายุไม่รอช้าที่จะเอ่ยต่อ

“ผมไม่ปฏิเสธ”





# My dear



ฮัดช่า…. มาแล้ว ^^
ไม่มีคอมเม้นเพิ่ม แต่ก็จะยังลงต่อไป  T T …
อยากแต่งให้จบอ่า… แต่รู้สึกท้อจังเลยค่ะ T T
จะพยายามทำให้จบเรื่องให้ได้ค่ะ ฮึ้บๆ ^^


ทักทาย คุณลิงภูเขา   คุณbulldog17  และคุณ Nus@nT@R@
เหมือนเรากำลังคุยกันอยู่ 3-4 คน ฮ่าๆๆ
และโดยเฉพาะคุณ Nus@nT@R@ ขอบคุณมากๆค่ะ   :กอด1:
ขอบคุณที่คอมเม้นให้แอมได้ชื่นใจ  :mew3:



ตอนนี้แอมเพิ่งมาดูการ์ตูนเรื่อง Kuroko no Basket
คางามิน่ารักน่าร้าก ><~~~~




เจอกันตอนต่อไปนะคะ ^_^






ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2


Chapter 12



หลังจากวันนั้น เดียร์ต้องคอยระวังตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม

หากถามว่าระวังอะไร…คงหนีไม่พ้น…วายุ

เดียร์ต้องเอาตัวรอดจากฝ่ามือหนาที่คอยจุ้นจ้านกับเดียร์อยู่เรื่อย

วายุไม่ได้พูดแต่ปาก หากแต่ลงมือทำจริงๆ

“จะอาบน้ำ! ตามเข้ามาทำไม!” คนตัวเล็กตวาดไล่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วมิอาจทราบได้  วายุยังคงยืนนิ่งอยู่ในห้องน้ำ

ภาพตรงหน้ามันน่ามองน้อยเสียที่ไหน คนตัวเล็กในชุดนอน…เสื้อยืดตัวบาง กางเกงขาสั้น

ร่างสูงไล่สายตาพิจารณาร่างเล็กตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า  นึกอยากสัมผัสผิวเนียน ….

คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่น “ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง” เดียร์ก้าวเท้าไปใกล้ร่างสูง

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เดียร์ยังหนีสายตาวายุไม่พ้นเลยสักวินาทีเดียว

นึกโทษพู่กัน ที่ป่านนี้คงดูโทรทัศน์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นแน่ๆ

“ทำไมชอบมาวุ่นวายตอนจะอาบน้ำฮะ?!” เดียร์ขยี้ผมแรงๆ ท่าทางหงุดหงิด วายุยกยิ้มน้อยๆ

“งั้นไม่วุ่นวายตอนอาบน้ำได้ แต่วุ่นวายตอนนอนได้ใช่ไหม?”

วายุยักคิ้วหล่อๆไปให้คนตัวเล็ก แอบเห็นเดียร์กำมือแน่น

“จะบ้าหรือไง! ออกไปเลยนะ จะตอนไหนก็ห้ามกวน!” เดียร์เข้ามาดันหลังวายุ รวบรวมแรงทั้งหมดดันให้วายุออกไปจากห้องน้ำให้ได้

ไม่แปลกหรอก… ถ้าวายุโดนตัวเดียร์ได้ เดียร์ก็ต้องโดนตัววายุได้

“จะแต๊ะอั๋งผมหรือไงครับ? หืม?” วายุยิ้มล้อไปให้น้อยๆ

เดียร์ยู่หน้าใส่ร่างสูง จนวายุทะลุออกไปจากห้องน้ำได้

คนตัวเล็กหันมาขยี้ศีรษะแรงๆอีกที

ไม่รู้จะทำอย่างไร

มีประตูกั้น แต่ก็เหมือนไม่มีประตู

นับวันมันจะยิ่งเอาใหญ่แล้วนะ…วายุ!!!

คนตัวเล็กหลับหูหลับตาอาบน้ำให้เร็วที่สุด

ไม่อยากใช้เวลาในห้องน้ำมาก ถึงเดียร์จะไม่เห็นวายุ แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าวายุไม่เห็นเดียร์

คนตัวเล็กออกจากห้องน้ำมา ในชุดพร้อมไปมหาวิทยาลัย

เห็นวายุนั่งนิ่งอยู่ที่เตียง

เดียร์ตั้งใจจะเดินเลยออกไป ไม่อยากสนใจเท่าไรนัก แต่สังเกตท่าทางวายุที่นิ่ง…เกินไป

 ….เป็นอะไรหรือเปล่า?

เดียร์เดินเข้าไปใกล้ๆ ภาพตรงหน้าชัดเจนมากขึ้น

มือขวาของวายุ กุมที่หน้าอกด้านซ้ายแน่น

ร่างสูงเงยหน้า สบตาคนที่เดินเข้ามาใกล้

“ผมเป็นอะไรไม่รู้…” คิ้วหน้าขมวดแน่น

เดียร์เห็นท่าไม่ดี ค่อยๆนั่งลงข้างๆ “เป็นอะไรวายุ?”

คนตัวเล็กเลิ่กลั่ก ทำอะไรไม่ถูก หันซ้ายหันขวาอย่างต้องการตัวช่วย เห็นสีหน้าเจ็บปวดของวายุแล้วใจไม่ดีเลยนะจริงๆ  ยอมสงบศึกเรื่องในห้องน้ำไว้ก่อนก็ได้

วายุแบมือออกข้างหนึ่ง สายตาอ่อนโยนถูกส่งไปให้คนตัวเล็ก เดียร์มองฝ่ามือหนาอย่างไม่เข้าใจ เห็นอย่างนั้น วายุเลยคว้ามือบางมาจับไว้แน่น วางมือน้อยๆนั้น ลงไปบนหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง

“ผมรู้สึกเหมือน…ได้ยินเสียง….”

เดียร์ไม่ค่อยเข้าใจที่วายุพูดเท่าไรนัก แต่กระนั้น ร่างเล็กก็ยื่นใบหน้าใสเข้าไปใกล้ๆกับหน้าอกด้านซ้ายของร่างสูง

ไม่รู้ว่าที่วายุแสดงสีหน้าเจ็บปวดนั้นแปลว่าอะไร

เสียงที่วายุได้ยิน ทำให้วายุเจ็บ…อย่างนั้นหรือ?

“ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย” เดียร์พึมพำเบาๆ มือบางวางแนบลงไปบนแผ่นอกแกร่ง เผื่อว่าจะเจอที่มาของเสียงที่ว่า
ร่างเล็กที่แนบกายชิดกับแผ่นอกแกร่ง ทำให้วายุเผลอแนบริมฝีปากกับกลุ่มผมนุ่มที่ซุกอยู่ที่หน้าอก

…รอยยิ้มน้อยๆประดับบนใบหน้าคม

“ไม่ได้ยินจริงๆหรือ? แต่ผมได้ยินชัดมากเลยนะ” วายุรู้สึกได้ว่าร่างเล็กแนบชิดมากยิ่งขึ้น วายุยกมือโอบเอวบางไว้หลวมๆ  แอบเห็นคนในอ้อมแขนขมวดคิ้วมุ่น เป็นจังหวะเดียวกับที่เดียร์เผลอสบตากับวายุเข้าพอดี ร่างเล็กผละออกทันที

“แกล้งกันหรือ?!” คนตัวเล็กเดินหนีออกไป ไม่วาย มีหันมาส่งสายตาแค้นเคืองให้วายุอีก

“ไม่ได้แกล้งนะ” ร่างสูงตะโกนไล่หลังไป  เดียร์เดินออกไปจากห้องนอนแล้ว…

วายุกลับมาจมอยู่กับตัวเองอีกครั้ง

เขาไม่ได้โกหกเดียร์จริงๆ….

เสียงนั้น…ดังมาจากหน้าอกด้านซ้าย…

มันไม่เคยมีเสียงอะไรเลย จนกระทั่งวันนี้…

มันเป็นความเจ็บปวด เหมือนเข็มอันใหญ่แทงเข้ามาในร่างกาย ไม่นาน ความเจ็บนั้นค่อยๆหายไป เหลือเพียงความรู้สึก…เต็มตื้น…ที่อัดแน่นอยู่เต็มอก …ยิ่งตอนที่เดียร์แสดงอาการห่วงใยเขา… ความรู้สึกนั้น…เหมือนทำให้ในร่างกายถูกอัดลมจนโป่งพอง
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ วายุแทบสัมผัสความรู้สึกเจ็บปวดทางร่างกาย ไม่ได้เลยสักครั้ง

หรือนี่คือสัญญาณจากอะไรบางอย่าง?





หลังเลิกเรียนของวันนั้น เดียร์ไปทำงานที่ร้านไอศกรีมเหมือนทุกวัน  เมื่อเข้าไปในร้าน คนตัวเล็กเห็นคนสองคนที่บอกว่ามาสมัครงาน ทำงานอยู่ก่อนแล้ว

หลังจากได้พูดคุยทักทายกัน เดียร์ถึงได้รู้ว่าทั้งสองคนอายุมากกว่าเดียร์..  พี่ๆทั้งสองคนชื่อ ‘พี่ข้าว’ กับ ‘พี่ปิ่น’

คนตัวเล็กเผลอมองพี่ๆทั้งสองคนอยู่หลายครั้ง มองยังไง เดียร์ก็ยังไม่แน่ใจว่าพี่ๆทั้งสองคนเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้ชายจริงๆ ก็เป็นผู้ชายที่น่ารักมากแน่ๆ  เดียร์แอบวัดส่วนสูงตัวเองกับพี่ๆทั้งสองคน

…ส่วนสูงไม่ค่อยต่างกันเท่าไรแฮะ…

โต้งเข้าร้านมาทีหลังเดียร์ …เดียร์แอบเห็นว่าโต้งมีท่าทางไม่ต่างจากเดียร์มากนัก ตอนที่รู้ว่าพี่ข้าวกับพี่ปิ่นเริ่มงานวันนี้

“พวกพี่เคยทำงานอยู่ร้านข้าวแกงในมอนี่ล่ะ” พี่ข้าวบอก พลางเดินไปทำความสะอาดโต๊ะที่ลูกค้าเพิ่งลุกออกไป

“แต่…เจ้าของร้าน…” พี่ปิ่นเสริมประโยคให้ แต่ดูท่าว่าจะยังไม่จบประโยค  เดียร์กับโต้งเผลอแสดงอาการ’ลุ้น’ออกมาทางสีหน้า

ข้าวกับปิ่นได้แต่ยิ้มแหยๆมาให้

ตอนนั้นเอง ที่ล็อคเดินเข้ามาสมทบ  คนตัวโตกระแอมหน่อยๆ “แต่เจ้าของร้านนี้ โหดนะ”

เดียร์เผลอหันไปสบตาคนพูดทันที เห็นล็อคพยายามกลั้นยิ้มอยู่

ข้าวกับปิ่นเลยยอมแยกย้ายกันไปทันที

“พี่ล็อค แกล้งพี่ๆเขาทำไม?” เดียร์หันไปจัดการตกแต่งไอศกรีมในถ้วยต่อ โต้งผละออกไปรับลูกค้า

“ไม่ได้แกล้งนะ นี่พี่ไม่โหดหรือ? พี่โหดนะ ดูหน้าพี่สิ” ล็อคจ้องหน้าเดียร์นิ่งๆ ท่าทางนั้นไม่ได้ดูน่ากลัวเท่าไรนัก ในความคิดเดียร์ ดูอ่อนโยนมากกว่า… คนตัวเล็กเผลอขำออกมาเบาๆ  ล็อคเห็นอย่างนั้น อดยิ้มตามไม่ได้ ..

“เจ้าของร้านข้าวแกงที่พี่ข้าวกับพี่ปิ่นเคยทำ มันเป็นพวกเฒ่าหัวงูน่ะ” คนตัวโตเอ่ยพลางเดินไปประจำแคชเชียร์

เดียร์วางถ้วยไอศกรีมที่จัดเสร็จแล้ว เตรียมออกไปเสิร์ฟ แต่ต้องชะงักเพราะคำพูดของล็อค  คนตัวเล็กเบิกตากว้าง  ยกไอศกรีมไปเสิร์ฟเสร็จ รีบกลับมาคุยกับเจ้าของร้านต่อ

“อย่างนี้ พี่ข้าวกับพี่ปิ่นไม่แย่หรือ?”

“เลยลาออกแล้วมาทำที่ร้านนี้ไง” ล็อคยิ้มอ่อนโยนไปให้

เดียร์ผละเข้าไปอยู่หน้าถังไอศกรีม เผลอมองพี่ข้าวกับพี่ปิ่นที่กำลังเรียนรู้เมนูไอศกรีมอยู่กับโต้ง

พี่ทั้งสองคนน่ารัก… ตัวเล็กๆ ผิวขาวเนียน… ริมฝีปากอมชมพู เดียร์เองยังแยกไม่ออกเลยว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย

ถ้าเจอเฒ่าหัวงูอย่างนั้น….คงลำบากแย่

“คิดอะไรอยู่อีกแล้วใช่ไหม?” เสียงกระซิบดังอยู่ริมหู เดียร์ผงะหนีทันทีตามสัญชาตญาณ

“เมื่อไหร่นายจะเลิกผลุบๆโผล่ๆแบบนี้สักทีฮะ!” เดียร์เผลอวาดแขนตีที่แขนล่ำ เรียกเสียงร้องโอดโอยเบาๆจากร่างสูงได้

“พอตีผมได้ นี่เอาใหญ่เลยนะ” วายุแสร้งร้องโอดโอย คนตัวเล็กหันมายู่หน้าใส่ร่างสูง ท่าทางน่ารักจนวายุอยากจะฟัดใบหน้าใสๆนั่นสักทีสองที

เดียร์รู้สึกถึงสายตาของใครสักคนที่มองมา เงยหน้ามองไปทางวายุ  เห็นวายุกำลังมองออกไปนอกร้าน แต่ยังยืนข้างกันไม่ไปไหน สอดส่ายสายตามองไปเรื่อยๆ จนปะทะเข้ากับสายตาของเจ้าของร้านที่อยู่ตรงแคชเชียร์

ล็อคส่งสายตานิ่งๆมาทางเดียร์  คนตัวเล็กเผลอสะดุ้งสุดตัว เหมือนเด็กที่แอบขโมยขนมไปกินแล้วถูกจับได้ แต่ตอนนี้ ถึงเดียร์จะไม่ได้ขโมยขนมใคร แต่ความรู้สึกที่พยายามแอบทำอะไรบางอย่างมาตลอด … เหมือนมันกำลังถูกเปิดเผยอย่างไรไม่รู้…

“คุยกับใครอยู่หรือ?” คนตัวโตยิ้มให้น้อยๆ คำถามที่ทำเอาเดียร์ได้แต่อ้ำๆอึ้งๆ

ล็อคนึกไปถึงวันนั้น ที่โต้งกับพู่กันเล่าเรื่อง ‘ความสามารถพิเศษของเดียร์’ ให้ฟัง  …หลังจากวันนั้น ล็อคแอบสังเกตมาพักหนึ่งแล้ว เพิ่งเห็นจังๆก็วันนี้

“เอ่อ…พี่ล็อคคงไม่ได้หาว่าผมเป็นบ้าใช่ไหม? คือผม…” เดียร์ไม่รู้ว่าตัวเองจะเริ่มพูดยังไง จะให้พูดความจริง ไม่รู้ล็อคจะเชื่อไหม จะให้โกหก ก็ไม่รู้จะโกหกว่าอะไร โอ๊ยยย ไอ้เดียร์!!

“พี่พอรู้มาบ้างน่าว่าเดียร์เห็น…เอ่อ..พี่แค่…ช็อค…นิดหน่อย” ล็อคว่าพลางยิ้มแหยๆมาให้เดียร์ คนตัวโตเกาท้ายทอยน้อยๆ หันไปรับลูกค้าที่มาเช็คบิล

เดียร์อยากจะทึ้งหัวตัวเองแรงๆสักทีสองที  ไม่ได้โมโหคนที่บอกพี่ล็อค แต่เดียร์ทำอะไรไม่ถูก


รู้สึกโล่งขึ้นมานิดหนึ่ง ที่พี่ล็อครู้ แต่ไม่ได้โล่งทั้งหมด เพราะดูเหมือนพี่ล็อคจะช็อคอย่างที่ว่าจริงๆ

… กลัวว่าพี่ล็อคจะกลัว ‘อะไรบางอย่าง’ ที่เดียร์มองเห็นด้วย

“เพราะนาย!” เดียร์หันไปชี้หน้าร่างสูงอย่างคาดโทษ ผลักประตูบานพับที่กั้นส่วนของพนักงานเอาไว้ เดินออกไปรับออเดอร์ลูกค้า

วายุมองตาม…อมยิ้มน้อยๆกับท่าทางนั้น

“เดียร์เห็นกู แต่ไม่เห็นมึงหรอก” วายุส่งสายตาไปทางเจ้าของร้าน หัวเราะในลำคอ ก่อนหายไปนั่งเล่นที่หน้าร้าน

วายุเดินทะลุกระจกใสของร้านไอศกรีม นั่งกินลมชมวิวกับบรรยากาศหน้าร้าน  พลันสายตาคมก็สะดุดเข้ากับคนตัวเล็กที่คุ้นเคย ร่างเล็กๆนั้นมุ่งหน้ามายังร้านไอศกรีม สีหน้าดูสดใส..กว่าเมื่อหลายวันก่อน

วายุมองตามจนคนตัวเล็กที่ว่า เดินเข้าไปในร้าน ร่างสูงไม่รอช้า รีบตามไปติดๆ

“อาโป” เสียงใสของพนักงานในร้าน เรียกชื่อน้องรหัสลั่น

เจ้าของชื่อยิ้มแป้นเข้าไปหารุ่นพี่ “พี่เดียร์..คิดถึงจัง” อาโปถลาไปกอดเอวรุ่นพี่ตัวเล็กแน่น ถึงเดียร์จะยังดูไม่เข้าใจกับสถานการณ์นี้เท่าไร แต่ก็กอดตอบรุ่นน้องแน่นๆไม่ต่างกัน

เดียร์จูงมืออาโปมานั่งที่โต๊ะว่าง  วางถาดเปล่าไว้บนโต๊ะ 

“เป็นไงบ้างเรา?” เดียร์จับมือรุ่นน้องไว้แน่น สังเกตว่าสีหน้าอาโปดูสดใสกว่าหลายวันก่อนมาก 

เดียร์กับอาโปคุยกันไปเรื่อย อาโปแอบบ่นถึงอาจารย์บางท่านให้ฟัง เดียร์อดไม่ได้ บ่นไปกับรุ่นน้อง จนอาโปเริ่มพูดถึงพี่ชายตัวเอง

“พี่วายุ…..” อาโปชะงัก ยิ้มแป้น  แต่ชื่อที่อาโปเอ่ย ทำเอาเดียร์ใจกระตุก รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

“วายุทำไม?” น้ำเสียงเดียร์แสดงอาการร้อนรน จนรุ่นน้องต้องรีบเอ่ยขัด

“พี่วายุไม่ได้เป็นอะไรครับ แต่ว่า…” อาโปชะงัก เดียร์เผลอลุ้นตาม “พี่วายุ…ดีขึ้นบ้างแล้วครับ”

จบประโยค เดียร์เผลอร้องลั่นด้วยความดีใจ ทุกคนในร้านหันมามองเดียร์เป็นตาเดียว คนตัวเล็กรีบยกมือไหว้กล่าวขอโทษ

เดียร์สบตากับรุ่นน้อง ดวงตาใสๆของอาโป มีความสุขจนเดียร์ไม่กล้าถามอะไรอีก เผลอสบตากับวายุ ได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้

หรืออาการของวายุ…คือสัญญาณอะไรบางอย่าง?


# My dear





เริ่มมีสัญญาณอะไรบ้างแล้ว ^^

แสดงความคิดเห็นกันหน่อยน่อ TT''

พอลงเนื้อเรื่องยาวๆแล้วแอบตาลาย ^^''




เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^^



ออฟไลน์ t_cus

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น้องเดียร์น่าร้ากกก  :mew1:

รอตอนต่อไปจ้า  :L2:

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2

Chapter 13




เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นในตอนเช้า เจ้าของนาฬิกาปรือตาน้อยๆ หาที่มาของเสียง พอเจอตัวการแล้ว จัดการตะปบปิดสุดแรง เมื่อทุกอย่างอยู่ในความสงบ คนตัวเล็กพลิกตัวหนีนาฬิกาที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างๆ เข้าสู่นิทราต่อทันที

ทันใดนั้น เดียร์รู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ออก เหมือนถูกของหนักทับลงบนร่างกาย เดียร์พยายามออกแรงเปลี่ยนท่านอน บางทีอาจเป็นเพราะนอนผิดท่า เลือดในร่างกายจึงไม่ไหลเวียน หากแต่คนตัวเล็กไม่สามารถขยับกายได้เลยแม้แต่นิดเดียว  พยายามเปล่งเสียงร้องออกไป เผื่อว่าจะมีใครช่วยได้บ้าง แต่เดียร์ไม่สามารถส่งเสียงใดๆได้เลย คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนร่างกายถูกดูดพลังงานออกไปจนหมด เดียร์กลั้นใจลองพยายามลืมตาขึ้น  … ลืมตาได้ง่ายกว่าที่คิด กระพริบตาน้อยๆ ปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างในตอนเช้า ภาพตรงหน้าค่อยๆชัดเจนขึ้น ดวงตาใสเบิกกว้างทันที

วายุ!!!!!

ร่างสูงแนบริมฝีปากประทับริมฝีปากอมชมพูของคนตัวเล็กมาพักใหญ่ ไม่เห็นเดียร์มีปฏิกิริยาตอบสนอง มิน่าล่ะ ขนาดนาฬิกาปลุกดังขนาดนั้น ยังเอาไม่อยู่

ทีแรก วายุเพียงจะแกล้งเล่นๆ แค่กระซิบปลุกเบาๆ แล้วรอให้เดียร์ตื่นมาโวยวายเล่นๆ แต่ครานี้ ต่างออกไป…

ไหนๆก็สัมผัสคนตัวเล็กได้แล้ว…ใช้โอกาสนี้ให้คุ้มสิ

วายุตัดสินใจแนบริมฝีปากเข้ากับแก้มเนียน แต่คนตัวเล็กยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตื่น พอเป็นอย่างนั้น กลายเป็นว่ายิ่งเปิดโอกาสให้วายุได้สัมผัสคนตัวเล็กมากขึ้น  ริมฝีปากหนาแนบลงไปบนริมฝีปากอมชมพูทันที

ยิ่งสัมผัส ยิ่งหลงใหล …

ร่างสูงใหญ่ของวายุ คร่อมทับร่างของคนตัวเล็กช้าๆ สองมือหนารวบข้อมือคนตัวเล็กกดแนบไว้กับเตียง  ใช้น้ำหนักตัวกดทับขาเรียวเล็กทั้งสองข้างไว้  ริมฝีปากยังคงกอบโกยสัมผัสหวานชื่นจากคนใต้ร่าง …  กลิ่นกายของคนตัวเล็กค่อยๆกระทบโสตสัมผัสของวายุ  ร่างสูงยกยิ้มอยู่ในใจ

 … ไม่ต้องรอให้เข้าร่างได้  ก็ได้กลิ่นกายของคนตัวเล็กได้นี่หว่า….

เดียร์ค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา คนตัวเล็กดิ้นสุดแรง เหมือนลมหายใจใกล้จะหมดจากปอด พยายามส่งเสียงโวยวายออกไป แต่ทำได้ยากเหลือเกิน

วายุเห็นอย่างนั้น ได้แต่ยอมผละออกให้อย่างอ้อยอิ่ง แค่ยอมละจูบให้เท่านั้น ร่างสูงใหญ่ไม่ได้ลุกออกไปจากคนตัวเล็กเลย

“นายทำบ้าอะไรฮะ!!” คนตัวเล็กตวาดลั่น พยายามกอบโกยอากาศเข้าปอดไปด้วย เห็นวายุอมยิ้มน้อยๆ …น่าหมั่นไส้! ท่อนแขนเล็กพยายามดันไหล่กว้างให้ออกไปจากร่างกายตัวเอง แต่วายุกลับไม่ขยับเลยสักนิด

“มันหนักนะ! ออกไป” เดียร์รวบรวมแรงอีกครั้ง ดันไหล่กว้างจนสุดแรง วายุรวบข้อมือบางทั้งสองข้างไว้แน่น

“ทำไมขี้เซาจังนะ? ถ้ารู้ว่าปลุกแบบนี้แล้วจะตื่น ผมปลุกตั้งนานแล้ว”  ไม่พูดเปล่า ร่างสูงโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าใส  คนตัวเล็ก เผลอเม้มปากแน่น หลับตาปี๋ … วายุกดริมฝีปากแนบแก้มใสทันที  …โทษฐานมาทำท่าน่ารักใส่

“ไอ้บ้า! ปล่อยนะ …อื้อ…วายุ!! หยุด!! อื้อ!”

คนตัวเล็กดิ้นหนีริมฝีปากหนาที่เริ่มคลอเคลียเข้าใกล้ริมฝากอีกครั้ง  พยายามหันหน้าหนี แต่วายุก็ดักไว้ได้ทุกทาง   เรี่ยวแรงของเดียร์ไม่สามารถสู้แรงมหาศาลของวายุได้  คนตัวเล็กยกขาปัดป่ายไปมา พยายามดึงมือออกจากการถูกตรึง แต่ทำไม่ได้เลย เมื่อเดียร์ยังถูกวายุฉกพลังงานไปเสียเกือบหมดตัวแบบนี้

วายุสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากเล็ก ดูดชิมเหมือนผึ้งที่ควานหาน้ำหวานในดอกไม้ ลิ้นเล็กเอาแต่ถดหนี วายุบดริมฝีปากแนบชิดมากยิ่งขึ้น สอดเรียวลิ้นประสานกับลิ้นเล็กได้ในที่สุด

…ร่างสูงยิ้มพอใจอยู่ในอก

“ไอ้เดียร์!!!” เสียงของเพื่อนร่วมห้องดังเข้ามา เดียร์พยายามร้องขอความช่วยเหลือ แต่ทำอะไรไม่ได้เลย วายุยังคงแนบริมฝีปากอยู่แบบนี้

“เป็นไรวะ!!” เดียร์ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอน แต่ได้ยินเสียงพู่กันตอนนี้ เดียร์รู้สึกโล่งขึ้นมานิดหนึ่ง แต่พู่กันจะช่วยเขายังไงล่ะวะ! ไม่ต่างกับพู่กันที่ได้แต่เดินไปทั่วห้อง อย่างทำอะไรไม่ถูก

จะเข้าห้องมาเอาของ แต่เจอเดียร์นอนดิ้นอยู่แบบนี้!

“อื้อ!!!” เดียร์ส่งเสียงออกไปในลำคอ พลางทุบแผ่นหลังกว้างของร่างสูงที่คร่อมทับอยู่ ร่างเล็กหลับตาแน่น ลิ้นเล็กยังถูกเกี่ยวกระหวัดไม่ปล่อย จนพ่อคุณเขาพอใจแล้วนั่นแหละ เดียร์ถึงได้หายใจด้วยตัวเองได้  วายุยอมลุกออกจากร่างเล็ก เดียร์รีบชันตัวนั่ง ดันตัวเองหนีวายุไปจนชิดหัวเตียง

“มึงเป็นไรวะ?!” พู่กันถามร้อนรน นั่งลงข้างๆเพื่อนตัวเล็ก เอื้อมมือไปอังหน้าผากเพื่อน… บางทีมันอาจจะไม่สบาย ไอ้เดียร์มันถึงได้หน้าแดงแบบนี้

“กู….กูโดนผีอำ”

“ฮะ?!”

คำตอบของเดียร์ทำเอาพู่กันอดตกใจไม่ได้ อยู่กับไอ้เดียร์มาตั้งนาน ถึงมันจะบอกว่ามันเห็นวิญญาณได้ แต่มันก็ไม่เคยบอกว่ามันถูกผีอำ

เดียร์พยายามไม่สบตาวายุ ไม่รู้ว่าจะเจอสายตาแบบไหนตอบกลับมา

เพิ่งถูกมันจูบมาเลยนะเว้ย! จูบแรกน่ะจูบแรก!

โธ่ว้อย! ไอ้วายุ!

หัวเสียอยู่คนเดียว มีพู่กันนั่งไถ่ถามด้วยความเป็นห่วงอยู่ข้างๆ 

“สายแล้วนะเว้ย” เดียร์ทักออกไปในที่สุด หลังจากเจอพู่กันปลอบมาพักใหญ่

 “มึงอยู่คนเดียวได้หรือวะ? ..”

“กูสบายดี ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูเคลียร์เอง หรือมึงจะอยู่ช่วยกูเคลียร์?” เดียร์ล้อพู่กันเข้าให้  พู่กันรู้ว่า ‘เคลียร์’ ของเดียร์ที่ว่า คือ ‘เคลียร์’ กับอะไร …  ไม่นาน พู่กันขอตัวไปเรียนทันที ปล่อยให้เดียร์อยู่ ‘เคลียร์’ไปแล้วกัน อย่างน้อยก็คุยกันรู้เรื่อง

พู่กันออกไปแล้ว… เดียร์มองร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ไกล  แค่นั้น เดียร์รีบวิ่งลงจากเตียงทันที เดินหนีออกจากห้องนอนไปที่โซฟา

สายตาวายุน่ากลัวเหลือเกิน…

สายตาที่มองเดียร์ราวกับจะกลืนกินเดียร์ไปทั้งตัว

“ตื่นแล้ว ยังจะมานั่งหมกตัวอยู่อีก”

วายุตามไปนั่งเบียดคนร่างเล็กบนโซฟา จงใจให้ท่อนขาเรียวเล็กพาดหน้าแข้งหนา เดียร์กระเถิบหนีไปจนสุดขอบโซฟา ตั้งท่ารับมือเต็มที่

พยายามหนีไปก็คงหนีไม่พ้น เมื่อวายุเดินทะลุทุกอย่างบนโลกใบนี้ ได้

ถ้าหนีเข้าห้องน้ำ จะมั่นใจได้อย่างไรว่าวายุจะไม่ตามเข้าไปด้วย

“เมื่อกี๊ก็กว่าจะตื่น ผมต้องช่วยปลุกเลยนะ หรือต้องให้ผมอาบน้ำให้ด้วย โอเค ได้” วายุยื่นแขนออกไปหาคนตัวเล็ก ยังไม่ทันโดนตัว เดียร์รีบปัดมือหนาออกจากระยะอันตรายทันที

“อาบเองได้ ไม่ต้องยุ่ง!” เดียร์เผลอกัดริมฝีปากล่างแน่น

คนมีเรียนตอนบ่าย แต่ถูกปลุกตั้งแต่เช้า

มันหงุดหงิดนะ!!!

“ทำไมชอบกัดปากตัวเอง หืม? มันสนุกนักหรือไง ไหนผมลองบ้างสิ” วายุยื่นมือไปจับแขนบาง ดึงร่างเล็กๆเข้ามาใกล้ตัว มือบางปัดป้องพัลวัน วายุต้องใช้มือทั้งสองข้างรวบข้อมือเล็กไว้ วายุยื่นใบหน้าเข้าใบใกล้ใบหน้าใส ปลายจมูกคมสัมผัสปลายจมูกของคนในอ้อมแขน

เดียร์เม้มริมฝีปากแน่น หลับตาปี๋ หนีสายตาคมของร่างสูง

วายุหัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจ

“แค่ผมจูบเมื่อกี๊มันก็แดงเจ่อพอแล้ว แล้วไปกัดปากตัวเองแบบนี้มันยิ่งแดงเข้าไปใหญ่เลย ดูสิ”  ริมฝีปากหนาประทับจูบเบาๆลงไปที่ริมฝีปากเล็ก 

“อย่ากัดปากตัวเองอีกนะ ถ้ากัดอีก ผมจะกัดให้เอง”

วายุยอมปล่อยร่างในอ้อมแขนให้เป็นอิสระ

เดียร์รู้สึกหายใจติดขัด รวบรวมสติ ปรับอุณหภูมิในร่างกาย

อยากจะต่อว่าด่าทอใส่ร่างโปร่งแสงตรงหน้า แต่กลับพูดอะไรไม่ออก เดียร์ได้แต่หายใจเข้าออกแรงๆ หวังว่าจะระบายอารมณ์ทั้งหมดออกไปได้บ้าง

“ไปอาบน้ำได้แล้ว ผมไม่แอบดูหรอก”

วายุว่าพลางเอนกายยืดแขนทั้งสองข้างวางไว้บนพนักโซฟา สายตามคมมองไปทางร่างเล็กที่ยังนั่งจ้องหน้าเขาเหมือนโมโหมาเป็นชาติ  ท่าทางน่ารักจนวายุอดใจไม่ได้ ยื่นนิ้วใบไล้แก้มใสเล่นเบาๆ

“ที่ไม่ไปนี่เพราะอยากให้ผมอาบให้จริงๆใช่ไหม?”

แค่นั้น เดียร์ก็วิ่งลงจากโซฟาทันที ยังไม่วายมีหันกลับมามองวายุเป็นระยะๆด้วย  วายุหัวเราะในลำคออย่างพอใจ

ใช้เวลไม่นาน คนตัวเล็กก็ออกมาจากห้องน้ำ

วายุแอบจับเวลาเล่นๆ …ช่วงนี้เดียร์ทำสถิติอาบน้ำได้เร็วขึ้นแฮะ

ร่างเล็กเดินไปที่มุมหนังสือ บนโต๊ะญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ มีโน้ตบุ๊ควางอยู่ เดียร์เปิดโน้ตบุ๊คเล่น ไม่สนใจอีกร่างที่อยู่ด้วยกัน

“โห มีแต่ผู้ชายทักแชทมาเต็มเลย” เสียงที่เดียร์ไม่ค่อยอยากได้ยิน ดังอยู่ข้างๆ คนตัวเล็กพยายามทำเป็นหูทวนลม ควานหาหูฟังมากั้นโลกซะ แต่วายุออกแรงรั้งหูฟังไว้จนได้  เดียร์เผลอเหลือบตามองวายุ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพลาด สายตาหมายมาดแบบนั้น มันทำให้เดียร์ทำอะไรไม่ถูก

“จะเปิดเพลงก็เปิด จะเล่นเฟสก็เล่น จะทำอะไรก็ทำ ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้แหละ”

คำพูดนั้น ทำให้เดียร์เริ่มควันออกหู

“ไม่ต้อง! นายนั่นแหละ จะไปไหนก็ไป” ว่าจบเดียร์ก็หันมาเสียบหูฟังกับตัวเครื่อง ยังไม่ทันเสียบหู หูฟังก็ถูกกระชากออกไป

“อยู่ด้วยกัน อย่าทำเหมือนอยู่คนเดียวสิ” สายตาออดอ้อนถูกส่งตรงมาให้คนตัวเล็ก เดียร์รู้สึกเหมือนความร้อนในร่างกายทั้งหมดมารวมกันอยู่ที่ใบหน้า ยอมวางหูฟังไว้ข้างตัว เปิดเพลงโดยใช้ลำโพง

วายุยกยิ้มน้อยๆ…

“เห็นไหม ตื่นแต่เช้า ทำอะไรได้ตั้งเยอะ ดีกว่านอนอยู่เฉยๆอีก”

วายุพูดออกมาเบาๆ สายตาคมเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของคนตัวเล็กที่วางไว้ข้างตัว ไม่รอให้เจ้าของเครื่องรู้ตัว วายุฉกมันมาทันที

“เขาเรียกว่าออมแรง เข้าใจไหม?” เดียร์เผลอหันไปต่อคำกับร่างสูง ทันทีที่รู้สึกตัว คนตัวเล็กรีบหันหน้าหนีมาจดจ่อกับหน้าจอคอมฯทันที

วายุเลือกที่จะส่งยิ้มน้อยๆให้คนตัวเล็ก แทนประโยคตอบโต้

เห็นท่าทางหงุดหงิดของเดียร์แล้ว อยากจะฟัดเข้าให้จริงๆ…

วายุหันมาจอจ่อกับโทรศัพท์มือถือของคนตัวเล็ก กดเข้าไปดูโซเชียลเนทเวิร์คทั้งหลายแหล่ที่คนตัวเล็กล็อคอินไว้
ในเฟสบุ๊คมีคนที่เพิ่มเพื่อนมาแล้วเดียร์ไม่รับตั้งหลายคน ในแชทบ็อกซ์ เต็มไปด้วยข้อความทักทายของผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งชายทั้งหญิง วายุไล่เปิดดูไปเรื่อยๆ บางอันเดียร์ก็ตอบ บางอันเดียร์ก็ไม่ตอบ เท่าที่สังเกต เดียร์ไม่ค่อยต่อบทสนทนายาวๆกับคนที่ไม่รู้จัก

ส่องจนพอใจแล้ว วายุล็อคเอ้าท์เฟสบุ๊คของเดียร์ แล้วล็อคอินเฟสบุ๊คของตัวเองบ้าง

ไม่ได้เล่นอะไรแบบนี้ตั้งหลายเดือน … ในนั้นมันจะเป็นยังไงบ้างนะ

เดียร์กับวายุหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเองกันพักใหญ่ จนเดียร์ร้องลั่นว่าใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว นั่นแหละวายุเลยรีบโยนมือถือไปข้างๆเดียร์

เดียร์ที่ควานหาโทรศัพท์มือถือได้ก็คว้ากระเป๋าที่เตรียมไว้ วิ่งออกไปจากห้องทันที



ไปเรียนวันนี้ เดียร์ได้รับข่าวจากอาจารย์ ว่าสัปดาห์หน้ามีลงภาคสนาม  ตกเย็นวันนั้น เดียร์จึงต้องหาจังหวะลางานไว้ล่วงหน้ากับเจ้าของร้านเลย

“โต้งด้วยหรือ?” ล็อคถามโต้งที่ยืนขนาบข้างอยู่ไม่ไกลเพื่อนตัวเอง

“ใช่ครับ พวกผมสองคนต้องไปลงภาคสนามอาทิตย์หน้า ไปประมาณสามวัน ผมเลยรีบแจ้งไว้ก่อน เผื่อฉุกละหุก” เดียร์เป็นคนอธิบายเรื่องราว มีโต้งรับคำเป็นลูกคู่

ล็อคแอบถอนหายใจเบาๆ มองไปยังพนักงานใหม่ทั้งสองคนที่กำลังรับ-ส่งลูกค้าอยู่

“ดีนะที่ได้พี่ข้าวกับพี่ปิ่นแล้ว ไม่งั้นพี่คงไม่รู้จะทำยังไง” ล็อคส่งสายตาเว้าวอนมาทางเดียร์ โต้งที่เห็นสายตาของเจ้าของร้านแล้วเผลอกระแอมเสียงดัง เรียกสติล็อคได้บ้าง

“ผมขออนุญาตไปทำงานก่อนนะครับ” โต้งว่าจบก็หายตัวเข้าไปที่อ่างล้างจาน เดียร์เห็นอย่างนั้นก็ขอตัวไปทำงานบ้าง

เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น ก่อนลูกค้าตัวเล็กที่ล็อคเริ่มคุ้นหน้า จะก้าวเข้ามา

ล็อคเผลอมองรอยยิ้มสดใสของคนตัวเล็กที่ก้าวตรงไปทักทาย’พี่รหัส’แล้วเผลอยิ้มตาม

รอยยิ้มที่เดียร์ส่งไปให้น้องรหัส…ช่างหวานไม่แพ้กันทั้งพี่ทั้งน้องเลย

เดียร์พาอาโปมานั่งที่โต๊ะว่าง รับออเดอร์จากรุ่นน้องได้ก็เข้าไปจัดการไอศกรีมถ้วยใหญ่มาให้รุ่นน้องตามหน้าที่ของพนักงาน

“ช่วงนี้อารมณ์ดีจังนะ~” เดียร์เห็นอาโปยิ้มแย้มร่าเริง อดทักไม่ได้ แต่อยู่คุยด้วยนานๆไม่ได้ ล็อคเริ่มส่งสายตาไล่ให้ไปทำงานแล้ว

อาโปกินไอศกรีมไปพลาง คอยอมยิ้มมาให้เดียร์เรื่อยๆ

ดูท่าว่าน้องรหัสเขา คงจะมีความสุขมากๆ

อาโปนั่งมองบรรยากาศรอบๆร้าน  เสียงเพลงเบาๆที่เปิดคลอ ทำให้ร้านดูมีชีวิตชีวามากขึ้น …อาโปซึมซับความรู้สึกเหล่านั้นไว้เต็มอก

อาโปหยิบโทรศัพท์มือถือมาเล่นฆ่าเวลา

เขาอยากอยู่ใกล้ๆพี่เดียร์ อยากกินไอศกรีมเย็นๆ

อยากอยู่แบบนี้นานๆ นั่งเล่นโทรศัพท์ตอนนี้คงไม่เป็นไรหรอก

อาโปเข้าเช็คแจ้งเตือนในโซเชียลเน็ทเวิร์คตามความเคยชิน

เข้าเฟสบุ๊ค….กดดูไปเรื่อยๆ… ทั้งแจ้งเตือน ทั้งแชทบ็อกซ์

…รู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ

อาโปพยายามหาสาเหตุของความรู้สึกนั้น พลันสังเกตเห็นจุดกลมๆสีเขียวที่แสดงสถานะออนไลน์ของใครบางคน
คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่น

พี่วายุ?

เฮ้ย…พี่วายุจะเล่นได้ยังไง พี่เขายังนอนต่อท่อออกซิเจนอยู่ที่โรงพยาบาล คงไม่ได้ฟื้นเมื่อเช้าแล้วมาเล่นโทรศัพท์ได้ตอนนี้หรอก

หรือเพื่อนของพี่วายุ?

แต่พี่วายุหวงเรื่องส่วนตัวยิ่งกว่าอะไร จะเพื่อนหรือแฟนก็คงไม่ให้ใครรู้รหัสผ่านทั้งนั้น

แล้ววงกลมสีเขียวกับชื่อที่ขึ้นอยู่นี่…

มาได้ยังไง?

วายุนั่งมองน้องชายสุดที่รักมาพักใหญ่ เห็นน้องนิ่งไป เลยก้มไปดูหน้าจอโทรศัพท์น้องบ้าง

ฉิบหาย…

“เดียร์…ผมยืมโทรศัพท์หน่อยสิ”วายุเข้าไปหาร่างเล็กที่จัดไอศกรีมอยู่

เดียร์หันมามองอย่างไม่เข้าใจ “เอาไปทำไม?”

“น่านะ…ให้ผมยืมหน่อย แป๊บเดียว เดี๋ยวให้คืน” วายุกระพริบตาปริบๆ หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือ แต่เดียร์กลับเดินหนีเสียดื้อๆ วายุรีบเดินตามทันที

“ผมไม่โทรหาสาวที่ไหนหรอกน่า ผู้ชายก็ไม่มีด้วย น่านะเดียร์” ประโยคนั้นทำให้เดียร์หันมามองเจ้าของประโยคทันที  วายุได้แต่ยิ้มแหยๆไปให้

“จะเอาไปทำอะไร?” ร่างเล็กถามอีกครั้ง  วายุชะงักไปเล็กน้อย เหมือนกำลังเรียบเรียงเรื่องราว ในที่สุดวายุก็ยอมเล่าให้ฟัง

“เมื่อเช้าผมล็อคอินเฟสบุ๊คไว้ในโทรศัพท์เดียร์ ผมไม่รู้ว่าเดียร์ได้กดออกหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมยังออนไลน์อยู่ในเฟสบุ๊คอยู่เลย อาโปเห็นแล้ว” วายุชี้ไปทางร่างเล็กๆของน้องชายตัวเอง

เดียร์อ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน มือบางควานหาโทรศัพท์ขึ้นมากดดู

เป็นอย่างที่วายุว่าจริงๆ… ชื่อบัญชีผู้ใช้มันไม่ใช่ชื่อเดียร์ แค่รูปประจำตัวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ เดียร์ลนลานรีบล็อคเอ้าท์ทันที

“ทำไมสะเพร่าอย่างนี้ฮะ?!” เดียร์แค่นเสียงลอดไปทางไรฟัน โวยวายเสียงดังไม่ได้ ลูกค้ายังนั่งอยู่เต็มร้าน

วายุ ยกมือในท่าพนม ถูมือไปมาตรงหน้าเดียร์ เป็นเชิงขอโทษ ยิ้มแหยๆไปให้คนตัวเล็ก

“แล้วอย่าขโมยโทรศัพท์ไปเล่นอีก ไม่ชอบ”

“ขอโทษคร้าบ..”



# My dear


ทักทายคุณ t_cus ค่ะ ^^

ขอบคุณที่ติดตามน้องเดียร์ค่ะ  :mew3:



หาคนคุยด้วย ไม่มีใครคุยด้วยเลย TT''

 

เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2

Chapter 14





เดียร์มาทำงานที่ร้านไอศกรีมหลังเลิกเรียนเหมือนทุกวัน

เดียร์เห็นพี่ข้าวกับพี่ปิ่นวิ่งทำงานกันให้วุ่น ไม่รู้เดียร์รู้สึกไปเองหรือเปล่า ว่าตั้งแต่มีพี่ข้าวกับพี่ปิ่นมาช่วยงานในร้าน ลูกค้าที่เยอะอยู่แล้ว กลับเยอะมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะลูกค้าผู้ชาย 

เดียร์โยนกระเป๋าสะพายไปเก็บใต้เคาน์เตอร์ หยิบผ้ากันเปื้อนมาคาดเอว เดินไปรับลูกค้าที่เข้ามาในร้านเรื่อยๆ

พี่ข้าวกับพี่ปิ่นยังอยู่หน้าถังไอศกรีมกันทั้งคู่ โต้งยังไม่มา ส่วนพี่ล็อค  ไม่รู้วันนี้เข้าร้านหรือเปล่า เจ้าของร้านจะมาหรือไม่มาก็ได้ แต่เดียร์ก็ยังเห็นพี่ล็อคมาแทบทุกวัน ไม่ยอมขาดเลยแม้แต่วันเดียว

ลูกค้าเดินเข้ามาระหว่างที่เดียร์กำลังยืนคิดอะไรเพลินๆ

ชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าชะงักไปนิดที่เดียร์เข้าไปต้อนรับ

“เชิญครับ” เดียร์ส่งยิ้มไปให้ แต่ดูท่าว่าลูกค้าคนนั้นไม่ได้สนใจเดียร์เลย เอาแต่มองไปรอบๆร้าน เหมือนกำลังหาใครอยู่ ขนาดเดียร์พาเดินมาจนถึงโต๊ะแล้ว ยังไม่สนใจเดียร์เลย

เดียร์ยื่นเมนูให้ลูกค้า บอกว่าอีกสักครู่จะมารับเมนู

“ลูกค้าคนนั้นเขาดูแปลกๆ” เดียร์เดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ พึมพำเบาๆ ข้าวกำลังตักไอศกรีมใส่ถ้วยอยู่ หันมามองเดียร์แว้บหนึ่ง

“ทำไมหรือ?” ข้าวถามพลางตกแต่งไอศกรีมเตรียมยกไปเสิร์ฟ

“ไม่รู้สิครับ คนนั้น…” เดียร์ส่งสายตาไปที่ลูกค้าชายคนนั้น ข้าวมองตามสายตาเดียร์  เห็นว่าเดียร์มองใครอยู่ ข้าวเผลอนิ่งไปชั่วครู่

“เอ่อ…พี่ไปเสิร์ฟไอศกรีมก่อนนะ” ข้าวก้มหน้าน้อยๆ เดินเลี่ยงออกไปอีกทาง  เดียร์ได้แต่มองตามข้าวนิ่งๆ

ไม่นานพี่ปิ่นกับพี่ข้าวก็เดินกลับเข้ามาด้วยกัน พี่ข้าวพูดอะไรกับพี่ปิ่นไม่รู้ ท่าทางดูเครียดๆ  เดียร์เผลอสบตากับพี่ข้าวที่ยิ้มแหยๆมาให้ เดียร์ได้แต่ส่งยิ้มน้อยๆตอบไป  แค่นั้น เดียร์ก็ต้องขอตัวออกไปรับออเดอร์ของลูกค้าก่อน

“ดูแปลกๆเนอะ สงสัยจะมีซัมธิง” เสียงที่ลอยอยู่เหนือศีรษะเดียร์แบบนี้ จะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากร่างโปร่งแสงที่ตามเดียร์มาตลอด

เดียร์ไม่ได้หันไปตอบประโยคของวายุ เดียร์รับออเดอร์จากลูกค้าที่มีท่าทีแปลกๆคนนั้น กำลังจะเดินกลับ ลูกค้าก็เรียกไว้อีกครั้ง

“ขอโทษนะครับ…ให้ข้าวมาหาผมหน่อยสิ”

เดียร์ชะงักไปหลายวินาทีทีเดียว..

อยากเจอพี่ข้าว?

สงสัยคงเป็นคนรู้จักกัน…

เดียร์รับคำจากลูกค้าหนุ่ม ตั้งใจจะเดินไปเรียกพี่ข้าว

ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรบอกพี่ข้าว เป็นพี่ข้าวซะอีกที่ดูลุกลี้ลุกลน เป็นฝ่ายเข้ามาหาเดียร์ก่อน

“ถ้าเขาถามหาพี่ บอกเขาว่าพี่ไม่อยู่นะ” ข้าวถูมือตัวเองไปมา สีหน้าดูกังวลจนผิดปกติ

เดียร์ได้แต่ส่งยิ้มแหยๆไปให้ “ผมบอกเขาไปแล้วว่าพี่ข้าวอยู่…”

ข้าวแทบทรุดตอนได้ยินประโยคนั้นจากน้องตัวเล็ก

เดียร์ไม่รู้ว่าพี่ข้าวกับผู้ชายคนนั้นเป็นอะไรกัน หรือมีเรื่องอะไรกัน แต่ท่าทางของพี่ข้าวตอนนี้ ทำเอาเดียร์รู้สึกผิดยังไงไม่รู้สิ…

ข้าวเดินไหล่ตกไปหาชายหนุ่มโต๊ะนั้น เดียร์แอบมองตามอยู่เงียบๆ  พี่ปิ่นก็คอยลุ้นอยู่ข้างๆด้วย  เหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะคุยอะไรกับพี่ข้าวนิดหน่อย แค่คุยน่ะคงนิดเดียว เพราะหลังจากนั้น ผู้ชายคนนั้นก็ลากพี่ข้าวออกไปจากร้านเฉยเลย  ไม่สนใจพี่ข้าวที่พยายามดิ้นให้หลุดจากข้อมือนั้น

เดียร์อดตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ได้  ได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากข้างๆ… พี่ปิ่นถอนหายใจซะดังเชียว

“เอาอีกแล้ว” ปิ่นพึมพำเบาๆ ตบไหล่เดียร์ปุๆ แค่นั้น พี่ปิ่นก็หันไปง่วนอยู่กับถังไอศกรีมเหมือนเดิม

เดียร์อยากจะถามออกไปซะเหลือเกิน แต่มันจะดูยุ่งไปหรือเปล่า ถ้าพี่เขาจะบอกก็คงจะบอกเองมั้ง จะถามดีไหม? ถามหรือไม่ถาม?

เดียร์มองตามพี่ปิ่นอยู่เงียบๆ ตัดสินใจไม่ถามอะไรออกไป ก้มมองถ้วยไอศกรีมที่ถือค้างไว้ในมือ …ที่จริงมันควรเป็นออเดอร์ของผู้ชายที่ลากพี่ข้าวออกไป ดีนะ..ยังไม่ได้ตักไอศกรีมใส่ถ้วย

ไม่นานโต้งก็เข้าร้านมา มาพร้อมพี่ล็อคซะด้วย

“โทษทีนะ พี่พาโต้งไปขนของมา เมื่อคืนพี่ลองคิดสูตรไอศกรีมเล่นๆ เลยอยากลองทำดู”

ของที่ว่านั่น ไม่พ้นพวกวัตถุดิบที่เอาไว้ตกแต่งไอศกรีม หรือส่วนผสมของเครื่องดื่มเย็นๆ ที่อยู่ในหน้ารายการอาหารของร้าน

เดียร์กำลังจะเข้าไปช่วยโต้งขนของจากรถพี่ล็อค แต่กลับถูกพี่ล็อคห้ามไว้ซะอย่างนั้น  ล็อคกับโต้งช่วยกันขนของจนเสร็จจนได้ หลังจากนั้น ล็อคมาประจำที่แคชเชียร์ ส่วนโต้งเดินเข้ามาทำงานหลังเคาน์เตอร์

เดียร์หันไปล้างผลไม้ ทั้งผลเชอร์รี่และสตรอเบอร์รี่สีแดงสด  ข้างๆเดียร์มีพี่ปิ่นคอยหยิบผลไม้เหล่านั้น จัดลงถ้วยไอศกรีม

“พี่ข้าวลาหยุดหรือครับ?” เสียงทุ้มดังมาจากแคชเชียร์ เดียร์เงยหน้าจากผลไม้ สบตากับพี่ปิ่นแว้บหนึ่ง สีหน้าพี่ปิ่นแลดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างไรไม่รู้

“เอ่อ…ครับ พี่ข้าวไปทำธุระนิดหน่อยครับ” เดียร์เป็นคนตอบออกไป  ปิ่นแอบถอนหายใจเบาๆ รีบหันไปเป็นลูกคู่ทันที “ข้าวมันรีบไปทำธุระนิดหน่อยครับ เลยไม่ทันลางานด้วยตัวเอง”

ล็อคพยักหน้าหงึกหงัก คิ้วหนาขมวดน้อยๆ “พี่ข้าวไม่สบายหรือเปล่าครับ ถ้ายังไงบอกผมได้นะ” ล็อคหันมาบอกปิ่นที่เริ่มตั้งตัวไม่อยู่แล้ว กระนั้นก็พยายามจบบทสนทนาให้ได้ จึงได้แต่รับคำไปเบาๆ “เอ่อ…ครับ”

การทำงานในร้านไอศกรีมดำเนินไปอย่างเช่นทุกวัน เจ้าของร้านไอศกรีมมองพนักงานแต่ละคน จากมุมประจำของเจ้าของร้าน
โต้งกำลังรับออเดอร์จากโต๊ะลูกค้าสาวกลุ่มหนึ่ง พี่ปิ่นกำลังยกไอศกรีมมาเสิร์ฟโต๊ะลูกค้าชายที่ล็อคเดาว่าโต๊ะนั้นคงเป็นนักศึกษาทั้งโต๊ะ  สายตาคมหยุดนิ่งอยู่ที่พนักงานตัวเล็กหน้าแคชเชียร์ คนตัวเล็กยิ้มส่งลูกค้าหลังจากที่ลูกค้าชำระเงินเสร็จ

เผลอนึกย้อนไปตอนที่เปิดร้านช่วงแรกๆ ตอนที่โต้งกับเดียร์มาสมัครงานที่ร้าน ล็อคสอนงานทุกอย่างในร้านให้ทั้งสองคน  ทั้งโต้งและเดียร์ทำงานได้เหมือนกันหมด ยกเว้นอยู่อย่างเดียวที่โต้งไม่ค่อยอยากจะทำนัก คืองานแคชเชียร์ โต้งให้เหตุผลว่า ไม่ถนัดนับเงิน ทอนเงิน งานนี้ค่อนข้างละเอียด ให้โต้งใช้แรงงาน ออกแรงจัดไอศกรีมลงถ้วยยังดีกว่า

ถามว่าล็อคไว้ใจโต้งกับเดียร์ไหม? ตอบได้เลยว่าไว้ใจมาก ทำงานด้วยกันมาเป็นปี เจอหน้ากันจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นครอบครับเดียวกันแล้ว

เสียงเพลงบรรเลงเบาๆคลอไปเรื่อยๆ ทำให้ร้านดูมีชีวิตชีวา บรรยากาศสดใสโอบล้อมร้านไอศกรีมแห่งนี้ไว้สายตาคมนิ่งมองพนักงานตัวเล็กที่ประจำอยู่ที่แคชเชียร์ …พลันจุดยิ้มน้อยๆประดับบนใบหน้าหล่อ

เจ้าของร้านเดินไปเปลี่ยนเพลงที่เปิดคลออยู่ เปลี่ยนเป็นเพลงสื่อความหมายเล็กๆ

…หวังว่าใครคนนั้นจะรับรู้นะ…

 เสียงดนตรีจังหวะสบายๆดังขึ้นเบาๆ… ล็อคเดินกลับมานั่งที่ประจำที่สามารถมองเห็นทุกคนในร้านได้

ถ้าคนไม่รักจะฝืนอย่างไร ทำดีแค่ไหนก็รับไม่ได้
เป็นเรื่องของหัวใจ ที่ต้องรู้และต้องเตรียมใจ
แต่คนที่รักเขาก็รักต่อไป ทำดีแค่ไหนคุณก็ไม่สนใจ
รู้ก็รู้ว่ายังห่างไกล แต่แอบคิดเข้าข้างตัวเอง


เนื้อเพลงท่อนแรกดังขึ้น… สายตาคมหยุดนิ่งที่ร่างเล็กที่ยังอยู่ที่แคชเชียร์เหมือนเดิม

อยากให้คุณมองมองตรงนี้ คนแอบรักคุณอยู่ตรงนี้
แอบส่งยิ้มเสมอ แต่คุณคงไม่สนใจ
อยากให้คุณมองมองอีกที คนแอบรักคุณอยู่ตรงนี้
แค่คุณหันมา ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้

ความรู้สึกถูกจับจ้องอยู่ ทำให้เดียร์หันกลับมาสบตาที่มาของสายตาคู่นั้น ล็อคเพียงส่งยิ้มน้อยๆไปให้ ความรู้สึกวูบวาบอัดแน่นเต็มแผ่นอกหนา เมื่อ…..ได้รับยิ้มหวานๆตอบกลับมา

ถ้าคนรักกันจะรู้อย่างไร ตั้งแต่แรกเจอหรือนานเท่าไหร่
ปล่อยตามหัวใจ ให้ความรักนำทางคุณไป
แต่คนที่รักเขาก็รักต่อไป อีกนานแค่ไหนก็จะรอเรื่อยไป
รู้ก็รู้ว่ายังห่างไกล แต่แอบคิดเข้าข้างตัวเอง

คนตัวเล็กหลบตาวูบ เพียงแค่สบตากับสายตาคู่คมแค่นั้น
ไม่รู้ว่าล็อคคิดไปเองหรือเปล่า ..แต่เขาเห็นแก้มใสขึ้นสีเรื่อ 

รู้ก็รู้ว่าคิดไปแล้ว รู้ก็รู้ก็เผลอไปแล้ว
เพิ่งจะรู้ตอนรักไปแล้วให้ถอนใจยังไงช่วยที (ช่วยที)
เฝ้าเตือนตัวเองทุกทีที่เจอ ใกล้ใกล้คุณห้ามใจไม่ไหว

เดียร์เผลอสบตากับเจ้าของร้านอีกครั้ง ร่างเล็กเผลอกัดริมฝีปากล่างแน่น

คนตัวเล็กไม่สามารถอยู่ที่แคชเชียร์ต่อไปได้แล้ว อาศัยจังหวะที่ไม่มีลูกค้ารอชำระเงิน เดินเข้าไปหลบอยู่ถังไอศกรีมทันที หวังว่าจะหนีสายตาคมคู่นั้นได้บ้าง

ทำไมสายตาพี่ล็อคมันหยาดเยิ้มได้ขนาดนั้น….

เสียงเพลงหยุดลง พร้อมๆกับที่เสียงใครบางคนดังขึ้นมา

 “เพลงเหี้ยอะไรวะ ไม่เห็นเพราะเลย!!”

เดียร์ตกใจกับเสียงตวาดนั้น เผลอมองหาที่มาของเสียง  แล้วก็ได้เจอ… วายุ…กำลังขมวดคิ้วแน่น มือหนากำเข้าหาตัวซะแน่น สายตาคมๆมองมาทางเดียร์อย่างเคืองๆ

เพลงต่อไปเริ่มบรรเลง เพลงจังหวะช้าๆ สบายๆ ชวนผ่อนคลายอารมณ์กับไอศกรีมเย็นๆ

“เป็นอะไรเดียร์ เขินหรือ? เขินกับเพลงที่ไอ้บ้านั่นมันเปิดหรือ?!!”  วายุตรงเข้ามาบีบแขนบางแน่น คนตัวเล็กยู่หน้าไปตามแรงบีบที่ดูเหมือนว่ามันจะมากขึ้น

“โอ๊ย! เป็นบ้าอะไรวายุ!! มาโวยวายอะไร!!!” เดียร์พยายามแค่นเสียงตอบโต้ ยังอยู่ในร้าน ส่งเสียงดังไม่ได้ ไม่งั้นคงได้มีคนจับเดียร์ส่งศรีธัญญาแน่

วายุเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเดียร์ เลยยอมผ่อนแรงลง แต่ยังไม่ปล่อยมือออกจากแขนเล็ก

“เดียร์อย่าหวั่นไหวไปกับมันนะ อย่าฟังใครนะ อย่ามองใคร อย่าคุยกับใคร” วายุตีหน้าเข้มใส่ร่างบาง ทำเอาเดียร์ขมวดคิ้วฉับ พยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม

“นายจะบ้าหรือไง!!  หวั่นไหวอะไร เพ้อเจ้อ! แล้วนายจะให้ฉันอยู่คนเดียวบนโลกหรือไง!!! อย่าเยอะ!!” เดียร์พยามสะบัดแขนให้หลุด แต่วายุดูท่าจะไม่ปล่อยง่ายๆเลย  ดวงตาใสเหลือบเห็นใครบางคนกำลังตรงเข้ามาหลังเคาน์เตอร์

ไม่ใช่โต้ง ไม่ใช่พี่ปิ่น แต่เป็น……พี่ล็อค

เห็นอย่างนั้น เดียร์ยิ่งพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุม แต่วายุกลับจับยึดแขนเดียร์ให้แน่นมากขึ้นเท่านั้น

พี่ล็อคมาแล้ว…พี่ล็อคเดินตรงเข้ามาแล้ว

“เป็นอะไรหรือเปล่าเดียร์?” ล็อคเดินเข้ามาหยุดตรงหน้า เดียร์ได้แต่อึกๆอักๆ …. เผลอสบตากับล็อค ก็คิดไปถึงสายตาคมที่มองมาเมื่อครู่ แก้มใสขึ้นสีระเรื่อโดยไม่ทันตั้งตัว

“ไม่สบายหรือ?” เจ้าของร้านไม่ถามเปล่า มือหนาอังหน้าผากเนียนของคนตัวเล็กตรงหน้า  แต่ไม่นานกลับถูกปัดออกด้วยแรงที่ล็อคมองไม่เห็น ล็อคผงะไปนิดหน่อย ขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ไม่วายยังเอื้อมมือมาจับแขนบางด้วย บังเอิญเหลือเกินว่าเป็นข้างที่วายุกำลังจับไว้อยู่พอดี

“ไปนั่งพักก่อนไหม?” ล็อคออกแรงดึงแขนเดียร์ แต่ทว่าล็อครู้สึกเหมือนมีแรงต้าน ไม่ให้ล็อคออกแรงดึงได้ง่ายๆ  เดียร์ได้แต่ส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษมาให้ล็อค

ไม่ได้ตั้งใจจะปฏิเสธ แค่ร่างกายเดียร์ เดียร์ยังควบคุมไม่ได้เลย แล้วนั่น…ไม่ใช่ฝีมือเดียร์ด้วย

เมื่อเดียร์ไม่เดินออกไปด้วยกัน ร่างสูงใหญ่ของเจ้าของร้านไอศกรีมเลยเข้าหาเดียร์ซะเลย

ล็อคเดินมาขนาบข้างคนตัวเล็ก ใกล้จนล็อคได้กลิ่นกายของคนตัวเล็ก ผสานกับผิวเนียนที่ล็อคสัมผัสอยู่ ทำให้ล็อคไม่อยากผละออกไปเลยจริงๆ

เดียร์อดตกใจไม่ได้ กับร่างสูงใหญ่ของเจ้าของร้านที่ยืนอยู่แนบชิดกัน ไม่ใช่แค่ไหล่ชนไหล่ หากแต่แผ่นอกกว้างของล็อค ซ้อนไหล่ข้างหนึ่งของเดียร์อยู่เต็มๆ

“มันจะใกล้ไปแล้วนะเว้ย!!” เสียงทุ้มที่ล็อคไม่ได้ยินตวาดลั่น มาพร้อมแรงฉุดที่ข้อมือบาง เดียร์เผลอสะดุ้งไปกับแรงนั้น

วายุตั้งใจดึงเดียร์ให้ห่างจากคนที่ยืนใกล้เดียร์เกินไป หากแต่แรงดึงของวายุกลับทำให้ร่างเล็กเซเข้าปะทะแผ่นอกกว้างของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังไปเต็มๆ … คนตัวเล็กรับรู้ได้ถึงแผ่นอกหนาที่แนบชิดอยู่กับแผ่นหลัง  เดียร์พยายามดิ้นหนีจากสัมผัสนั้น วายุไม่รอช้า รีบดึงข้อมือเดียร์ออกจากสถานการณ์บาดตาทันที เดียร์รีบหันไปขอโทษเจ้าของร้านซะยกใหญ่ ไม่สนใจวายุที่ยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่สักนิด

ไปขอโทษมันทำไมวะ!

“ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ ผมคงมึนๆนิดหน่อย” เดียร์รีบอธิบายต่อทันทีว่าคงไม่สบายนิดหน่อย

ล็อคยังไม่ทันได้ว่าอะไรเลย…

ถ้าเดียร์สังเกตดีๆ จะเห็นรอยยิ้มพอใจประดับอยู่บนใบหน้าหล่อของเจ้าของร้าน




# My dear




ขอบคุณเพลง ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้ ของ Basketband ค่ะ ^//////^

เขียนเรื่องร้านไอศกรีมตอนดึกๆนี่ทรมาณท้องไส้ดีจังค่ะ T T

ทุกคนคะ T T อย่าปล่อยให้แอมคุยคนเดียว ~~  :o12:


 :กอด1:

เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^ 

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สนุกมากเลยคะ ลุ้นอยู่ว่าเมื่อไรวายุจะเข้าร่างได้สักที

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2

 
Chapter 15


หลังจากวันนั้นที่พี่ล็อคบอกว่าได้ไอศกรีมสูตรใหม่มา วันนี้พี่ล็อคไม่รอช้า รีบลงมือทำไอศกรีมที่ว่าทันที

ล็อคง่วนอยู่กับถังไอศกรีมตั้งแต่ช่วงเย็น

เดียร์ โต้ง และปิ่น คอยรับ-ส่งลูกค้าอยู่เรื่อยๆ

พี่ข้าวยังไม่มาทำงานเลย… เหมือนได้ยินพี่ล็อคบอกพี่ปิ่นว่าวันนี้พี่ข้าวโทร.มาลางาน…

ขนาดพี่ปิ่นยังต้องรู้เรื่องพี่ข้าวจากพี่ล็อค...

แล้วพี่ข้าวไปไหน… พี่ข้าวเป็นอะไรหรือเปล่า?....จะเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นที่มาฉุดพี่ข้าวไปตั้งแต่วันนั้นหรือเปล่า..

เดียร์เหลือบมองเจ้าของร้านหลายครั้ง เห็นเจ้าของร้านหยิบนั่น ใส่นี่ ลงไปในถ้วยไอศกรีม เห็นตักชิมแล้วก็ตักออกจากถ้วย ดูเครียดจังแฮะ…

“เดียร์ มาช่วยชิมหน่อย” เสียงเจ้าของร้านเรียกเดียร์นิ่งๆ ทำเอาคนตัวเล็กที่เผลอคิดอะไรเพลินๆอยู่ ถึงกับสะดุ้งสุดตัว เดียร์รับคำอ้ำอึ้ง เดินตรงไปยืนข้างคนตัวโต

“ถ้าจะท้องเสีย ก็ท้องเสียกันวันนี้แหละ” ล็อคว่าพลางยิ้มแหยๆมาให้  คนตัวเล็กมองไอศกรีมในถ้วย…กล้วย มะม่วง มะละกอ สตรอเบอรี่ ราดช็อคโกแลต โดยด้วยลูกเกด … หมดหรือยังนะ … เดียร์ไม่รู้ว่าในถ้วยนั้นมีอะไรมากกว่านี้ซ่อนอยู่หรือเปล่า ... มันดูน่าทานนะ คงไม่ถึงกับท้องเสียหรอก

เดียร์เอื้อมมือไปคว้าช้อนที่วางอยู่ไม่ไกล ตั้งใจจะเอามาตักไอศกรีม ยังไม่ทันจะหยิบช้อนออกมา มือหนาของคนข้างๆก็คว้าไว้ซะก่อน

“กินนี่เลย” ล็อคจับมือบางไว้แน่น ยื่นช้อนที่มีไอศกรีมอยู่ไปตรงหน้าร่างเล็ก  เดียร์อึกอักอย่างทำอะไรไม่ถูกสายตาคมส่งแรงกดดันมาจนเดียร์รู้สึกได้ เดียร์รู้สึกแปลกๆไม่น้อย แต่กระนั้นก็ยอมอ้าปากรับไอศกรีมจากคนตัวโต

ล็อคยกยิ้มอย่างพึงพอใจ

“โอเคไหม?” ล็อคอดไม่ได้ที่จะลุ้นกับคำตอบของคนตัวเล็ก เดียร์ยังอมไอศกรีมไว้ในปาก ไอศกรีมเลอะขอบปากเรียวเล็กไหลย้อยเกือบถึงคาง  มือหนาของเจ้าของร้านยื่นไปปาดไอศกรีมออกจากใบหน้าใส ทำเอาเดียร์ถึงกับชะงัก

“ว่ายังไงครับ โอเคหรือเปล่า?” สายตาอ่อนโยนถูกส่งมาให้ร่างเล็ก รอยยิ้มจุดที่ริมฝีปากคม ยิ่งเห็นท่าทางเก้อเขินของเดียร์แล้ว… ชักอยากชิมคนตรงหน้าแทนไอศกรีม….

“เยอะไปแล้ว…เยอะปาย…”  เสียงที่ล็อคไม่ได้ยินดังแทรกเข้ามา เดียร์รีบเรียกสติเข้าร่าง หันไปมองวายุที่ลงแรงปัดมือล็อคออกจากมือเขา
ล็อคชะงักไปเล็กน้อย สายตาคมส่งแววตาฉงนไปให้ร่างเล็ก เดียร์เพียงแต่ยิ้มแหยๆไปให้ กล่าวขอโทษเจ้าของร้านตามมารยาท  กลับเข้าเรื่องไอศกรีมเถอะ…

“โยเกิร์ตหรือครับ?...” เดียร์เลียริมฝีปากน้อยๆ รสชาติจากไอศกรีมยังติดอยู่ในปาก

“ใช่แล้ว…พี่เอาโยเกิร์ตมาทำเป็นเนื้อไอศกรีมดู เดียร์ว่ามันโอเคไหม?”

“โอเคมากเลยครับ อร่อยมาก” เดียร์ชูนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้พี่ล็อค สีหน้ายิ้มแย้มจนล็อคอยากจะถ่ายภาพตรงหน้าตั้งเป็นหน้าจอโทรศัพท์

“จริงๆมีอีกนะ… พี่เพิ่งลองทำเองครั้งแรก ไม่รู้มันจะเป็นยังไง พี่พยายามชิมแล้วเปรียบเทียบกับร้านอื่นดู กะว่ารสชาติต้องไม่เหมือนกับร้านอื่น ไม่ว่าจะทำจากโยเกิร์ตหรือนมสดก็เถอะ” ล็อคเริ่มลงมือกับไอศกรีมนมสดต่อทันที มีเดียร์คอยยืนช่วยหยิบจับส่งของอยู่ข้างๆ  โต้งกับปิ่นเดินเข้าออกหลังเคาน์เตอร์อยู่เป็นระยะๆ ตามออเดอร์ไอศกรีมที่ได้รับมา เห็นเจ้าของร้านกำลังจีบสาวอยู่อดไม่ได้ที่จะพากันแอบไปหัวเราะเบาๆ

“เดียร์…ช่วยพี่ดูหน่อยสิ เดียร์ว่าพี่ต้องตวงน้ำเชื่อมเพิ่มอีกไหม?” คนตัวเล็กเผลอส่งสายตาปริบๆไปให้เจ้าของร้าน

ล็อคยืนอยู่หน้าเครื่องปั่นผลไม้… ถึงเดียร์จะไม่ค่อยเข้าใจว่าพี่ล็อคจะปั่นมะละกอผสมกับมะม่วงเพื่ออะไร แต่เดียร์ก็ยอมเขยิบตัวเข้าไปใกล้ๆคนตัวสูง

พี่ล็อคทำเป็นอยู่คนเดียวแท้ๆ….มาถามเดียร์ที่ไม่ค่อยรู้อะไร

ใบหน้าใสยื่นไปพิจารณาระดับน้ำเชื่อมในตัวเครื่อง…จริงๆมันก็คงพอแล้วมั้ง… น้ำแค่นี้มันก็คงไม่หวานเกินไป

ใบหน้าใสอยู่ในระดับอกของคนข้างๆ… เดียร์กำลังจะผละออก …โดยไม่ทันตั้งตัว จมูกรั้นของคนตัวเล็ก สัมผัสกับแก้มสากของคนข้างๆทันที

เดียร์ชะงัก ต้องเรียกว่าชะงักในระดับแข็งค้าง

คนตัวเล็กดึงตัวเองกลับมาตั้งหลัก เรียกสติ พยายามควบคุมระบบหมุนเวียนเลือดในร่างกายที่ดูมันจะทำงานเร็วกว่าปกติ

พี่ล็อค!!!!

ยื่นหน้าเข้ามาทำไม!!!!!

เดียร์เผลอสบตากับเจ้าของร้าน แล้วต้องรีบหลบสายตานั้นทันที

“เดียร์ว่าน้ำเชื่อมแค่นี้มันจะหวานไปไหม?” น้ำเสียงอ่อนโยนดังเข้ามา เดียร์ได้แต่ตอบอ้ำๆอึ้งๆไป “ผมว่า…”

ยังไม่ทันที่เดียร์จะพูดได้จบประโยค คนตัวเล็กก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อมะละกอกับมะม่วงที่มันควรอยู่ในตัวเครื่อง ถูกเทใส่ร่างของเจ้าของร้านจนหมด  …ถ้าคนอื่นมาเห็นตอนนี้ คงจะเห็นเพียงเครื่องปั่นผลไม้ ลอยอยู่กลางอากาศ

“พอแค่นี้! เลิกงาน! กลับ!!!” วายุโยนเครื่องปั่นผลไม้ลงพื้นอย่างไม่สนใจใยดี เดินตรงมาฉุดแขนเดียร์ลากออกไปนอกร้านทันที ทิ้งให้ล็อคยืนช็อคอยู่คนเดียว มองตามร่างบางที่เดินตัวปลิวออกไปนอกร้าน…เหมือนกำลังถูกใครบังคับจูงให้ออกไป

“พี่ล็อค โอเคไหม?” โต้งกระวีกระวาดเข้ามาทันทีเมื่อได้ยินเสียงฮือฮาของลูกค้าพูดถึงเหตุการณ์หลังเคาน์เตอร์ มีปิ่นวิ่งตามโต้งมาติดๆ  มองสภาพเจ้าของร้านแล้วอดตกใจไม่ได้ มือบางกระวีกระวาดเข้าไปปัดชิ้นมะม่วงที่ติดอยู่ตามไหล่กว้าง เข้าไปหยิบเครื่องปั่นผลไม้วางไว้ที่อ่างล้างจาน

“เมื่อกี๊ไม่ใช่ฝีมือเดียร์” ล็อคพึมพำออกมาเบาๆ   เจ้าของร้านไอศกรีมขมวดคิ้วแน่น

โต้งยืนมองนิ่งๆ ได้ยินที่ล็อคพูดทุกคำ…

ไม่ใช่ฝีมือเดียร์..แล้วฝีมือใคร….




“วายุ! หยุดนะ!! มันเจ็บ! ปล่อย!!”  เสียงหวานใสดังเรื่อยมาตลอดทาง

วายุไม่ได้ผ่อนแรงที่จับยึดข้อมือบางแม้แต่น้อย ตั้งแต่ร้านไอศกรีมจนมาถึงทางเท้าในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าเดียร์จะพยายามดิ้นแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดง่ายๆ

เดียร์ไม่สนว่านี่คือทางเท้าที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่

ไม่สนว่าตรงนี้จะมีรถหลากยี่ห้อขับผ่านไปผ่านมา

ไม่สนว่าใครจะคิดว่าเดียร์บ้า

เดียร์แค่ต้องการคุยกับวายุให้รู้เรื่อง!!

“วายุ! หยุด!! นายเป็นบ้าอะไรฮะ!!!” เสียงเล็กโวยวายลั่น วายุหันมามองคนตัวเล็กด้วยสายตาแววโรจน์ชั่ววินาที ร่างสูงฉุดข้อมือบางเข้าไปในตึกคณะที่อยู่ใกล้ๆ

วายุไม่สนว่าที่นี่คือตึกคณะอะไร

วายุต้องการที่สงบ เพื่อคุยกับคนตัวเล็กให้รู้เรื่อง!

เสียงซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ดังอยู่ไม่ใกล้เท่าไร แสงสว่างรายล้อมไปทั้งตัวตึก วายุหยุดนิ่งอยู่ที่ระเบียงทางเดิน เมื่อแน่ใจว่าคงไม่มีใครเดินผ่านมาแถวนี้แน่ๆ  ร่างสูงใช้สองมือจับยึดใบหน้าเรียวใสไว้แน่น ริมฝีปากหนาแนบจูบกับริมฝีปากเรียวเล็กตรงหน้าทันที คนตัวเล็กเบิกตากว้าง มือเล็กทุบหลังไหล่ร่างสูงสุดแรง แต่วายุกลับไม่สะทกสะท้านกับเรี่ยวแรงอันน้อยนิดนั้นเลย

“อื้อ.!” เสียงอู้อี้ดังมาจากร่างเล็ก คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนถูกแย่งอากาศหายใจ พยายามวอนขออากาศหายใจจากร่างตรงหน้า  แต่ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน เมื่อวายุยังกอบโกยความหวานหอมจากริมฝีปากเล็กอย่างไม่ลดละ   มือบางไร้เรี่ยวแรงขัดขืน เริ่มเกาะเกี่ยวท่อนแขนหนาของร่างตรงหน้าไว้แน่น มือหนาข้างหนึ่งไล้แผ่นหลังบางอย่างหลงใหล ค่อยๆโอบเอวบางเข้าหาตัว ประคองร่างในอ้อมกอดไว้ก่อนที่ร่างเล็กจะทรุดลงไปกองกับพื้น

เรียวลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กอย่างหลงใหล ดูดดื่มความหอมหวานจากรสจูบ จมูกคมไซร้แก้มใสทั้งสองข้าง ก่อนค่อยๆผละออกให้คนตัวเล็กได้หายใจชั่วขณะ ใบหน้าคมลากริมฝีปากซุกไซ้ไปกับซอกคอขาว ริมฝีปากหนาขบเม้มต้นคอเล็กจนเกิดรอย จมูกโด่งซอนไซไปตามเรือนผมนุ่ม สายตาคมผละออกมามองรอยสีแดงเข้มบนต้นคอขาวเนียนอย่างพึงพอใจ

วายุเข้าครอบครองริมฝีปากเล็กอีกครา

ไม่ชอบเวลาที่เดียร์ยอมให้ผู้ชายคนอื่นถูกเนื้อต้องตัว!

ไม่ชอบที่ไอ้ล็อคมันหอมแก้ม!!

มันจะเกินไปแล้ว!! …

ทำไมเดียร์ไม่ขัดขืนไอ้ล็อคบ้างวะ!!

วายุอยากจะใช้จูบนี้แสดงความเป็นเจ้าของ อยากจะสัมผัสให้เดียร์รู้ว่าวายุรู้สึกยังไงกับเดียร์  คิดว่าวายุล้อเล่นหรือไงกัน!

เนิ่นนาน กว่าร่างสูงจะพอใจ… คนตัวเล็กแทบประคองตัวไม่อยู่ ถ้าไม่ได้มือหนายึดเอวบางไว้กับตัว คนตัวเล็กคงร่วงลงไปกองกับพื้นแน่ๆ

“ทีหลังอย่าไปยอมมันง่ายๆอีก” วายุประคองใบหน้าใสไว้ ใบหน้าคมแสดงออกถึงความไม่พอใจ เดียร์พยายามปัดมือหนาออกไปจากหน้าตัวเอง พลางกอบโกยออกซิเจนเข้าปอดให้มากที่สุด  ใบหน้าใสขึ้นสีเรื่ออมชมพู ริมฝีปากเล็กบวมเจ่อ

ดวงตาใสวาววับไปด้วยหยดน้ำ….

น้ำใสๆที่เกาะขอบดวงตากลมโต ค่อยๆไหลรินอาบแก้ม

จากหนึ่งหยด…เป็นสองหยด…

วายุเริ่มใจเสีย เมื่อสายน้ำจากดวงตาใสยังคงไหลอาบแก้มเนียนต่อเนื่องไม่หยุด

“เดียร์…” เสียงทุ้มเรียกชื่อคนตรงหน้าแผ่ว  คนตัวเล็กยกมือปาดน้ำใสๆที่นองอยู่เต็มแก้ม

“เป็นบ้าอะไรวายุ!!! นายจะวุ่นวายกับฉันเกินไปแล้ว!!!!” เดียร์ออกแรงผลักแผ่นอกกว้างออกห่างจากตัว 

วายุรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงหดหาย เพียงเพราะน้ำใสๆที่นองแก้มเนียน … เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้

“ขอโทษ…” เสียงทุ้มแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด เดียร์ส่งสายตาเคืองโกรธไปให้ร่างสูง คนตัวเล็กกัดริมฝีปากล่างแน่น เดินหนีวายุไปทางที่วายุเพิ่งลากออกมา ร่างสูงคิ้วกระตุกทันที

“จะไปไหน?” วายุตามไปคว้าแขนเล็กไว้ คงออกแรงมากไปหน่อย คนตัวเล็กถึงกับเซมาปะทะแผ่นอกกว้าง

“อย่ามายุ่ง!!!”  เดียร์พยายามบิดแขนออกจากพันธนาการนั้น สายตาคมมองใบหน้าใสที่ขมวดคิ้วแน่น ได้แต่ยอมปล่อยแขนบางให้เป็นอิสระ

“เดียร์…ผมขอโทษ ผมไม่อยากให้เดียร์เผลอใจไปกับมันนะ” เดียร์ก้าวเดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจสายตาเว้าวอนของร่างข้างๆ

“ช่วยผมแล้ว ก็ต้องเชื่อใจผมด้วยนะ” วายุยังคงว่าต่อไป  คนตัวเล็กหันมามองด้วยความโมโห

“ทำไม! กลัวตัวเองเข้าร่างไม่ได้หรือไง!!”

วายุชะงักไปกับคำพูดของร่างเล็ก ร่างสูงมองร่างเล็กด้วยความตกใจ

ทำไมเดียร์คิดอย่างนั้น…..

“ผมจะเข้าร่างได้หรือไม่ได้ ผมไม่รู้ แต่ผมไม่ชอบที่เดียร์ปล่อยให้มันโดนตัวเดียร์แบบนั้น!” วายุเริ่มมีลมหวงขึ้นมาอีกครั้ง

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย!”

“ผมไม่ชอบ!  เพราะเดียร์เปิดใจให้ผมแล้ว!”

“เพ้ออะไรของนาย!”

“ตั้งแต่ที่ผมโดนตัวเดียร์ได้แล้ว!”

ทั้งคู่เงียบไป…

ร่างเล็กหยุดนิ่ง หันมองร่างสูงข้างๆ …วายุมองใบหน้าเนียนใสอยู่ก่อนแล้ว

“ยิ่งผมสัมผัสเดียร์ได้ ผมยิ่งรู้สึกเหมือนในร่างกายมีก้อนเนื้อเต้นอยู่ในอก” วายุสบตากับร่างตรงหน้า

“จำได้ไหม…อาโปเคยบอกว่าผมมีอาการดีขึ้น”

เดียร์สบตากับร่างโปร่งแสงตรงหน้า ดวงตากลมโตมองเหมือนพยายามเค้นหาความจริงอะไรบางอย่างอยู่ คนตัวเล็กมองรอยยิ้มน้อยๆที่ประดับอยู่บนใบหน้าคม
เดียร์ไม่เคยสังเกต… ไม่เคยรับรู้ถึงความผิดปกติเหล่านั้น

หรือที่วายุพูดมา…

จะเป็นเรื่องจริง….




# My dear




น้องเดียร์….  = =  ดูรั้นๆเนอะ

ทำไมรั้นได้ขนาดนี้ T T 


ทักทายคุณ B52 ค่ะ  :mew3: 
ฝากน้องเดียร์ด้วยนะคะ  :กอด1:


แสดงความคิดเห็นกันหน่อยน่อ ^^'' 



เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^

ออฟไลน์ iiam

  • อัยแอม Bulan
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2

Chapter 16



เดียร์มุ่งหน้ากลับไปที่ร้านไอศกรีม คนตัวเล็กพยายามไม่สนใจร่างโปร่งแสงข้างๆที่เดินตามมาห้ามไม่หยุด

ภาพที่เดียร์เห็นตอนเข้าไปในร้าน ทำเอาเดียร์อดตกใจไม่ได้

คราบหวานๆของผลไม้ที่เกิดจากฝีมือวายุ กระจายเป็นวงกว้างเต็มเสื้อของพี่ล็อค ดูเหมือนล็อคไม่ได้เดือดร้อนที่จะไปเปลี่ยนเสื้อนัก เดียร์เห็นพี่ล็อคเอาแต่เดินไปเดินมาอยู่หลังเคาน์เตอร์ ท่าทางเคร่งเครียด

เดียร์ส่งสายตาคาดโทษไปให้วายุ รีบเดินเข้าไปขอโทษเจ้าของร้านยกใหญ่ ดูเหมือนพี่ล็อคจะไม่ได้ติดใจเอาความอะไรมาก

“เดียร์ไม่ได้เป็นคนทำนี่ครับ ไม่ต้องขอโทษหรอก” ล็อคเอ่ยเสียงนุ่ม  คำพูดที่ทำเอาเดียร์ชะงักไป ดวงตาใสเงยขึ้นมองเจ้าของร้าน

“พี่ไม่รู้ว่า‘เขา’ทำ ทำไมนะ ไม่รู้ว่าพี่ทำอะไรไม่ถูกใจ’เขา’หรือเปล่า…”

เดียร์กระพริบตาปริบๆ ครางออกมาน้อยๆ.. “พี่ล็อครู้….?”

ล็อคเพียงแค่ยิ้มน้อยๆให้คนตัวเล็ก มือหนาวางลงบนศีรษะของคนตัวเล็ก โคลงไปมาเล็กน้อย “ขอโทษนะ… ”

“พี่สังเกตมาสักพักแล้ว… เพิ่งเชื่อจริงๆก็วันนี้ล่ะ”

ล็อคขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อ ปล่อยให้เดียร์มองตามอย่างอึ้งๆ

“ให้มันรู้ซะบ้าง” เสียงทุ้มๆลอยอยู่เหนือหัว เสียงที่เดียร์ได้ยินคนเดียว เรียกสติเดียร์ให้กลับเข้าร่างได้ คนตัวเล็กกัดฟันแน่น มองร่างสูงด้วยความโมโห ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งหงุดหงิด เดียร์ผละออกไปทำงานต่อทันที

วันต่อมา เดียร์มาทำงานตามปกติ

แอบนับถอยหลังวันไปลงภาคสนาม .. มันก็อีกไม่กี่วันแล้ว

พี่ข้าวยังไม่กลับมา ตอนกลางวันมีพี่ปิ่นอยู่ร้านคนเดียว บางวันพี่ล็อคที่ไม่มีเรียนก็จะมาเฝ้าร้านด้วย กว่าโต้งกับเดียร์จะมาทำงานก็หลังเลิกเรียน

“ไอ้ล็อค” เสียงดังมาจากทางเข้าร้านพร้อมๆกับเสียงกระดิ่งที่ประตู  เดียร์กำลังตักไอศกรีมลงถ้วยอยู่ เผลอหันมองไปยังที่มาของเสียง

พี่ข้าว!!

แต่ไม่ใช่พี่ข้าวคนเดียว … ข้างๆพี่ข้าว.. ผู้ชายคนนั้นนี่!

เจ้าของร้านลุกออกมาหาผู้มาเยือน พอเข้าไปยืนใกล้ๆกัน ถึงได้รู้ว่าความสูงของทั้งสองคนไม่ต่างกันแม้แต่น้อย

“พาพี่ข้าวไป ไม่มีบอกกูก่อนสักคำ”  พี่ล็อคเป็นฝ่ายเริ่มก่อน และได้รับการตอบโต้มานิ่งๆ

“กูก็โทรมาบอกมึงแล้วนี่หว่า”

“แล้วมึงจะเอายังไง?”

“ให้ข้าวอยู่กับมึงไปก่อน อย่างน้อยกูก็ไว้ใจมึง”

บทสนทนาดังขึ้น ไม่มีเกริ่นนำหรืออะไรทั้งนั้น

เดียร์ไม่ได้ตั้งใจจะฟังนะ แต่สองคนนั้นไม่ได้คุยกันเบาๆเลย

เดียร์ยกไอศกรีมไปเสิร์ฟลูกค้า เดินสวนกับคนสามคนที่ยืนอยู่กลางร้าน   เห็นโต้งกับพี่ปิ่นก็มีอาการไม่ต่างกันกับเดียร์

พี่ข้าวดูเกร็งๆไม่น้อยเมื่ออยู่ท่ามกลางพี่ล็อคกับผู้ชายคนนั้น

ไม่นานพี่ข้าวก็เดินตัวเกร็งเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ พี่ปิ่นรีบเข้ามาหาพี่ข้าวทันที ส่วนผู้ชายคนนั้นไปนั่งคุยกับพี่ล็อคที่มุมประจำของเจ้าของร้าน

แต่เดี๋ยวก่อน… แล้ววัตถุโปร่งแสงเดินได้นั่น จะเข้าไปนั่งร่วมวงทำไม!

“ใจเย็นๆบ้างก็ได้ไอ้เต้ มึงทำแบบนี้ กูสงสารพี่ข้าว” ล็อคเอ่ยบอกคนตรงหน้า 

“ใจเย็นเหมือนมึง แล้วเป็นไงล่ะ ไปถึงไหนแล้วล่ะมึง” เต้แขวะเพื่อนเข้าให้ ล็อคเผลอคิ้วกระตุก สายตาเจ้าของร้าน มองไปยังพนักงานตัวเล็กอย่างหมายมาด

“แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วน่า” คำพูดของล็อค เรียกเสียงหัวเราะในลำคอของเพื่อนตัวสูงได้

 เต้เป็นเพื่อนล็อคมาตั้งแต่มัธยมปลาย จนตอนนี้ก็เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน  ความใจร้อนใจเร็วของไอ้เต้ไม่ลดน้อยลงเลย ขนาดมันถูกใจพี่ข้าว มันยังจีบแบบไม่ให้โอกาสพี่ข้าวหายใจ ล็อคเคยเห็นพี่ข้าวตามร้านขายข้าวแกง ตามคำบอกเล่าของไอ้เต้ ตอนนั้นล็อคคิดว่าพี่ข้าวคงเป็นผู้หญิงที่ไอ้เต้มันหลงหัวปักหัวปำ จนพี่ข้าวมาสมัครงานที่ร้านนั่นแหละ ล็อคถึงได้รู้ว่าพี่ข้าวไม่ใช่ผู้หญิง

“คนอื่นมีเยอะแยะ ทำไมต้องเดียร์วะ” วัตถุโปร่งแสงเริ่มส่งเสียงบ้าง  วายุนั่งฟังคนสองคนคุยกัน จะว่าสอดรู้สอดเห็นก็ไม่ผิดนัก เพราะวายุทำอย่างนั้นจริงๆ  เก็บข้อมูลไว้ เผื่อมันจะเป็นประโยชน์

ที่วายุหงุดหงิดที่สุด คงไม่พ้นเรื่องที่ล็อคเอาแต่แอบมองเดียร์อยู่แบบนี้!!

เมื่อทนฟังต่อไปไม่ได้ วายุก็ได้แต่พาตัวเองออกจากการสนทนานั้น เดินตามเดียร์อยู่เงียบๆดีกว่า อย่างน้อยก็ได้อยู่ใกล้ๆเดียร์

ถึงคนตัวเล็กจะแสดงท่าทีรำคาญในบางครั้ง แต่วายุก็รู้สึกดีไม่น้อย เมื่อเดียร์ยอมให้วายุช่วยหยิบจับนั่นนี่บ้างในเวลาทำงาน ต้องอาศัยจังหวะดีๆโอกาสเหมาะๆ วายุรู้สึกเหมือนได้เล่นเกมอะไรสักอย่างอยู่ ต้องคอยช่วยเดียร์ ในจังหวะที่แน่ใจว่าไม่มีใครเห็น แล้วมันก็ได้ผลทุกครั้ง ไม่รู้วายุคิดไปเองหรือเปล่า แต่เห็นท่าทางสนุกสนานของเดียร์แล้ว อดคิดไปไม่ได้ว่าเดียร์เองก็คงสนุกไม่ต่างกัน

เดียร์เริ่มตระหนักถึงระยะเวลาที่ต้องไปลงภาคสนาม เมื่อเริ่มคิดได้ว่ายังไม่ได้เตรียมของใช้ หลังเลิกงานของวันนั้น เลยแวะเซเว่นหน้าหอสักหน่อย  ไอ้โต้งก็กลับหอมัน มันบอกว่าเดี๋ยวไปซื้อที่หน้าหอมันเอา

โทร.ถามพู่กันถึงของใช้ที่จะซื้อ เดียร์กลับได้รับคำตอบเพียงแค่ “มึงเอาอะไร กูเอาด้วย”

คนตัวเล็กเดินหยิบของใช้ที่จำเป็น  ไปลงภาคสนามแบบนี้  อย่าหวังเลยว่าจะได้นอนโรงแรม  ไปแบบประหยัดที่สุด ก็ไปอยู่กับชาวบ้านแถวนั้นเลย ของใช้จำพวกยาสระผม สบู่ ยาสีฟัน เตรียมไว้ดีกว่าต้องไปซื้อเอาข้างหน้า เพราะไม่รู้ว่าที่ๆจะไป จะสะดวกซื้อแค่ไหน

มือเล็กหยิบของลงตะกร้าสีส้ม ในใจลองคำนวณเงินกับราคาของ

ยาสระผมขวดเดียวใช้กับพู่กันก็ได้ อันนี้ 32 บาท กับสบู่เหลว ก็ใช้กับพู่กันได้ อันนี้อีก … 29 บาท  ยาสีฟันหลอดเล็ก ก็ใช้กับพู่กันได้ …  20 บาท แป้งขวดเล็กๆอีก 18 บาท  … ทั้งหมดมัน… เท่าไร?

เดียร์ยืนนับนิ้วอยู่หน้าชั้นขายของ เหมือนแค่นิ้วมันมันจะไม่พอ คนหัวช้าอย่างเดียร์ สุดท้ายก็ต้องพึ่งเครื่องมือหน่อย กำลังจะคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาช่วยคำนวณ เสียงทุ้มก็ดังขัดขึ้นซะก่อน

“99 บาทแล้ว ยังไม่ถึง 100 เลย เอาขนมจีบซาลาเปาเพิ่มไหม?” เสียงวายุลอยเข้าหูมา เดียร์ชะงักมือที่จะหยิบโทรศัพท์ทันที คนตัวเล็กเงยหน้ามองร่างสูงอย่างไม่ค่อยเชื่อ

“ผมเรียนฟิสิกส์นะ อย่าลืมสิ คำนวณแค่นี้ สบายมาก” วายุว่าพลางขยิบตาข้างหนึ่งให้คนตัวเล็ก ก่อนผละออกไป วายุเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้กระจก ด้านในมีก้อนแป้งสีขาววางอยู่ หน้าตาน่าทาน

“อยากกินแรบบิท” วายุส่งสายตาออดอ้อนมาให้เดียร์

เดียร์อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าให้น้อยๆ  แต่กระนั้นก็ยอมเอาซาลาเปาแรบบิทไส้ครีมมาให้วายุชิ้นหนึ่ง

อยู่กับวายุมาตั้งนาน ยอมรับว่าเริ่มชินกับการที่มีร่างโปร่งแสงของวายุวนเวียนอยู่ข้างๆ  เริ่มคุ้นชินกับพฤติกรรมหลายอย่าง ถึงช่วงแรกๆ เดียร์จะทำตัวไม่ค่อยถูก แต่เมื่อเวลาผ่านไป พฤติกรรมทุกอย่างของเดียร์กลับเป็นไปโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องคุยกับวายุในที่สาธารณะ  ต้องคอยลุ้นว่าจะมีใครสังเกตเห็นหรือเปล่า มันกลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับคนตัวเล็กไปเสียนี่
 

ในที่สุด วันที่ต้องไปภาคสนามก็มาถึง

เดียร์กับพู่กันต้องพากันตื่นแต่เช้ากว่าปกติ เพื่อไปขึ้นรถตามเวลานัด อาจารย์นัดตอน หกโมงครึ่ง ที่หน้าตึกคณะ ถ้าไปไม่ทัน มีวิ่งตามรถแน่ๆ

เดียร์กับพู่กันต่างหอบกระเป๋าเป้มาคนละใบ ทั้งสองคนมาถึงก่อนเวลานัด 15 นาที แต่เมื่อมองไปรอบๆ ยังไม่เห็นเพื่อนตัวโตอีกคนที่ควรจะมาถึงแล้ว นักศึกษาคนอื่นๆก็ทยอยมากันเยอะแล้วด้วย

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาระหว่างที่เดียร์กำลังยืนคิดอะไรเพลินๆ เดียร์สะดุ้งน้อยๆ แต่เสียงโทรศัพท์นั้นไม่ใช่เสียงโทรศัพท์ของเดียร์ แต่เป็นของเพื่อนตัวเล็กที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

พู่กันยู่หน้าน้อยๆ เมื่อเห็นชื่อหราบนหน้าจอ

“กูอยู่ที่จอดรถ” พู่กันกรอกเสียงไปเนือยๆ เดียร์เดาว่าคงเป็นไอ้โต้งนั่นแหละที่โทร.มา

“ที่จอดรถตรงไหนวะ?” เสียงทุ้มดังมาลอดโทรศัพท์มือถือเข้ามา ทำเอาพู่กันขมวดคิ้วฉับ

“ที่อาจารย์นัดไง”

“อาจารย์นัดตรงไหนวะ?”

“ตึกคณะไง”

“ก็ไม่บอกตั้งแต่แรก”

“เอ๊า!!”  พู่กันขึ้นเสียงน้อยๆ เดียร์หันขวับมองเพื่อนตัวเล็กทันที เห็นพู่กันยังสนทนากับคนในสายอยู่

“อะไร?”

“อะไร?”

“ก็แล้วอะไรล่ะ?”

“อะไรของมึง”

“อ้าว!”

พู่กันจิ๊ปากน้อยๆ ดูท่าไอ้โต้งคงกวนพู่กันได้แต่เช้า

หลังจากพู่กันวางสายไปไม่นาน พี่วินมอ’ไซค์ก็แว๊นพาไอ้โต้งมาส่งที่หน้าตึกคณะได้ทันเวลา

รถบัสของมหา’ลัย พาทุกคนเดินทางไปยังเป้าหมาย

ไปลงภาคสนามของโบราณคดี งานนี้มีไปพิพิธภัณฑ์ แล้วก็ไปดูที่ที่นักโบราณคดียังขุดไม่เสร็จ

ทุกคนดูชินกับการไปลงภาคสนาม เพราะเคยไปกันมาแล้วตั้งแต่ปี 1 และแทบจะไปกันทุกเทอม แต่มีอยู่คน… ไม่สิ ไม่ใช่… แต่มีวัตถุโปร่งแสงที่ตามเดียร์ไปทุกที่ ดูท่าจะตื่นเต้นกับการตามไปภาคสนามไม่น้อย

“ไม่ได้ขอให้ตามมา” เดียร์เอ่ยออกไปนิ่งๆ

เดียร์นั่งติดหน้าต่างในแถวเกือบถึงส่วนท้ายของตัวรถ ที่นั่งข้างๆเดียร์ไม่มีใครนั่งด้วย พู่กันกับโต้งนั่งคู่กันที่เบาะฟาก ตรงข้ามกับเดียร์  จะบอกว่าข้างๆเดียร์ไม่มีใครนั่งด้วยก็ไม่ถูกไปซะทีเดียว….

ร่างโปร่งแสงที่นั่งหน้าระรื่นอยู่ข้างเดียร์นี่ล่ะ….เดียร์เห็นวายุดูดี๊ด๊ามาตั้งแต่รถออกตัว  วายุหันมายิ้มหวานให้คนตัวเล็ก
“ไหนๆก็มีโอกาสแล้วน่า ที่ผมเรียน ไม่มีพาไปขุดหาโครงกระดูกแบบนี้หรอกนะ ผมอยากเห็นมานานแล้วเหมือนกัน เคยเห็นแต่ในทีวี” เดียร์นิ่งฟังอยู่เงียบๆ สีหน้าวายุไม่ได้ลดความตื่นเต้นลงเลย ท่าทางเหมือนเด็กเล็กๆกำลังจะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด

“อีกอย่างนะเดียร์” วายุว่าต่อ เดียร์เงยหน้าสบตาร่างสูงข้างๆ

“ผมจะได้ระวังไม่ให้มีใครมายุ่มย่ามกับเดียร์ด้วย”





# My dear


 :mew3:




เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อ่านจากตอนที่แล้วนึกกลัวว่าวายุจะน้อยใจเดียร์จนต้องหายไปสะอีก แต่ก็ต้องกลัวเก้อ นับถือความพยายามในความดื้อของวายุจริงๆ แอบหวั่นๆใจไปให้พี่ล็อคนิดหนึ่งเมื่อเจอความดี น่ารัก และความอดทนของเขาที่แอบรักมาเป็นปี คงจะมีคู่ให้น่ะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด