Chapter 22
ท่ามกลางความมืดมิด… ไร้แสงสาดส่อง …
ไม่สามารถรับรู้ผ่านการมองเห็นได้ว่ามีใครอยู่แถวนั้นหรือไม่
ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจหรือเสียงลมพัดผ่าน
มืด… ทำไมมืดอย่างนี้
ที่นี่ที่ไหน…?
เท้าเล็กก้าวเดินออกไปอย่างไร้จุดหมาย คลำทางสะเปะสะปะไปตามความรู้สึกที่เท้าพาไป
ยิ่งเดินไกลออกไปเท่าไร ยิ่งไร้ทางออกมากเท่านั้น
ร่างเล็กหันซ้ายหันขวาอย่างทำอะไรไม่ถูก
ทันใดนั้น เสียงร้องโหยหวนดังแว่วเข้ามา เสียงที่อยู่ไกลออกไป
เสียงที่ฟังดูเจ็บปวด…
“ใครน่ะ!!!” เสียงหวานตะโกนฝ่าความมืด ไร้เสียงตอบโต้ หากแต่เสียงร้องนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
คนตัวเล็กออกวิ่งตามหาที่มาของเสียง
เท้าเล็กวิ่งฝ่าความมืดเข้าไป
เสียงร้องนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องเลย
ร่างเล็กสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเจ้าของเสียง
ใบหน้าหวานเหยเกน้อยๆ…
ยิ่งเสียงร้องดังขึ้นเท่าไร น้ำตาใสๆค่อยรินไหลอาบแก้มเนียนมากขึ้นเท่านั้น
“โอ๊ย!!!” ความเจ็บปวดแทรกซึมเข้ามาในร่างกาย ร่างเล็กทรุดลงกับพื้น หอบจนตัวโยน น้ำตาใสๆไหลรินไม่หยุด ใบหน้าหวานส่ายไปมา มือเล็กยกขึ้นปิดหูทั้งสองข้าง ยิ่งได้ยินเสียงร้องนั้น ยิ่งเจ็บปวด คล้ายมีคนเอามีดมากรีดแทงคว้านก้อนเนื้อออกไปจากร่างกาย
ทำไมเจ็บปวดแบบนี้….
ไม่อยากได้ยินเสียงร้องนั้นอีกแล้ว
พอแล้ว…
พอเสียที…
ไม่เอาแล้ว!!!!
“เดียร์!!”
ร่างเล็กบนเตียงผู้ป่วยสะดุ้งสุดตัว รู้สึกได้ว่าตัวเองหอบหนักเอาการ ใบหน้าใสชุ่มไปด้วยเหงื่อ…
ภาพแรกที่ประจักษ์แก่สายตาของเดียร์ คือใบหน้าคมของ..
…พี่ล็อค
“ไม่เป็นไรนะครับ ไม่เป็นไรนะ ฝันร้ายหรือ?” มือหนาของล็อคกุมมือเดียร์ข้างหนึ่งไว้แน่น
ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆห้อง
ที่นี่….ไม่ใช่ห้องนอนที่หอ
สายตาเหลือบมองผ้าห่มสีขาวที่คลุมร่างอยู่ เห็นสัญลักษณ์พร้อมป้ายชื่อของโรงพยาบาล พอจะเดาได้ทันทีว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
ที่ข้างเตียงอีกฝั่งมีโต้งกับพู่กันยืนลุ้นอาการเดียร์อย่างใจจดใจจ่อ
ความสว่างที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลากลางคืน…
แล้วความมืดที่เจอเมื่อกี๊คืออะไร?...
แล้วเสียงร้องนั่นล่ะ
ทั้งหมดเป็นความฝันอย่างนั้นหรือ?
ทำไมความฝันทำให้เขาเจ็บปวดได้ขนาดนี้…
เดียร์ยู่หน้าน้อยๆเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บในร่างกาย
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าวะมึง? ยังไงให้หมอเช็คอีกที”
พู่กันสังเกตอาการเพื่อนอยู่เงียบๆ เห็นเดียร์ยู่หน้าแล้วยกมือจับหน้าอก เหมือนมันจะช้ำใน คงจะเจ็บอยู่ไม่น้อย
“ทำไมกูถึงได้มาอยู่ที่นี่วะ?” เดียร์แค่นเสียงถามออกไป พยายามชันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ล็อคกับพู่กันช่วยกันประคองเดียร์ไว้คนละข้าง
“อยู่ๆมึงกูวูบลงไปกับเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ดีที่กูรับมึงไว้ได้ทัน ไม่งั้นหัวฟาดพื้นแน่ๆ แต่มึงดันกวาดของที่อยู่บนเคาน์เตอร์มาด้วย มันเลยหล่นทับมึงซ้ำมาอีก พี่ล็อคเลยรีบพามึงมาโรงพยาบาล” โต้งเขยิบขึ้นมานั่งบนเตียงผู้ป่วยที่มันเหลือพื้นที่เยอะมาก
ล็อคหันไปเทน้ำเปล่าใส่แก้วพร้อมหยิบหลอดส่งให้ร่างเล็กบนเตียง เดียร์ดื่มน้ำอย่างกระหายจนหมดแก้ว
“ขอบคุณครับพี่ล็อค”
ล็อคเพียงยิ้มอ่อนโยนมาให้
“หมอบอกว่ามึงอ่ะโหมงานหนัก ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ” พู่กันพูดบ้าง พลางยกแขนเพื่อนขึ้นมาดู
“ดูสิเนี่ย แขนก็เล็กแค่นี้ ตัวมึงก็แค่นี้ ยังจะทำงานหนัก ไหนจะเรียน ไหนจะงาน พักบ้าง ก่อนที่มึงจะแฮงค์เหมือนวันนี้” เดียร์ได้แต่ยิ้มแหยๆไปให้เพื่อน
“พู่กันพูดซะพี่เป็นเจ้านายใจร้ายเลยอ่ะ” ล็อคยู่หน้าน้อยๆอย่างทีเล่นทีจริง ทำเอารุ่นน้องอีกสามคนถึงกับหลุดขำเบาๆ
“พี่ไม่ได้บังคับให้เดียร์ทำงานหนักนะครับ..พี่อนุญาตให้ลาได้ พักได้ ตามสะดวก เล่นโหมงานจนต้องเข้าโรงพยาบาลแบบนี้ พี่เป็นห่วงนะ” มือหนาของรุ่นพี่ตัวโตลูบหัวรุ่นน้องบนเตียงคนไข้ด้วยความเอ็นดู รอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้าคม
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
ผู้มาใหม่ค่อยๆแง้มประตูกว้างออก ใบหน้าใสค่อยๆยื่นเข้ามา
“ฮาโหล” เมื่อรู้ว่าเข้าถูกห้องแล้วก็เดินเข้ามาทั้งตัว หันไปปิดประตูให้เรียบร้อยก่อนเดินมาหยุดอยู่ที่คนทั้งสี่คนในห้องที่อยู่ก่อนแล้ว
“อาโป! มาได้ไงเนี่ย” รุ่นพี่บนเตียงทักออกไปก่อน พู่กันยิ้มหวานอย่างดีใจ เดินเข้ามาจูงมือรุ่นน้องไปยืนข้างกัน โต้งขยับไปยืนรวมฝั่งเดียวกับพี่ล็อค
อาโปยกมือไหว้รุ่นพี่ทั้งสี่คน “สวัสดีครับ”
“ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้” พู่กันถามเสียงใส
“พี่ชายผมนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ ตอนผมลงไปซื้อข้าว เห็นพวกพี่เข้ามาพอดี เลยไปถามพยาบาลดู พี่เดียร์เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ?” อาโปยื่นมือไปจับมือรุ่นพี่ตัวเล็ก บีบแน่นๆอย่างสนุกมือ
“แค่เป็นลมน่ะ นอนน้อย” ตอนนี้เดียร์รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว
“เมื่อกี๊เราบอกว่าพี่ชายเราพักฟื้นอยู่ที่นี่หรือ?” เดียร์ถามกลับบ้าง
“ใช่ครับ พี่วายุกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น ต้องทำกายภาพบำบัดด้วย โห ก่อนหน้านี้พี่ชายผมสลบไปตั้งสี่เดือน อย่างกับเจ้าชายนิทราแน่ะ”
“แล้วพี่ชายเราเป็นอะไรมากหรือเปล่า?” พู่กันถามบ้าง
“ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วครับ กินแล้วก็นอนอยู่ในโรงพยาบาลไปวันๆ อ้อ พี่ชายผมน่ะ รุ่นพวกพี่เลยนะครับ” อาโปเจื้อยแจ้วอย่างสนุกสนาน ได้คุยกับรุ่นพี่แล้วมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
พี่รหัสอาโปก็น่ารักขนาดนี้ พี่พู่กันก็น่ารักอย่าบอกใคร พี่โต้งก็ใจดี แถมพี่เจ้าของร้านไอศกรีมยังใจดีอีก
“พี่เดียร์ต้องอยู่โรงพยาบาลอีกกี่คืนครับ ผมจะได้มาเล่นด้วย” คำถามของอาโปทำเอาเดียร์เพิ่งคิดได้
จริงสิ…โรงพยาลนี้ไม่ใช่เล่นๆเลย หรูขนาดนี้ ต้องแพงมากแน่ๆ… แล้วเขาจะหาเงินที่ไหนมาจ่าย
“พี่ว่าจะให้เดียร์พักที่นี่อีกสักคืน-สองคืน” ล็อคเป็นคนตอบ ทำเอาเดียร์ใจหล่นวูบ
“ไม่เป็นไรครับพี่ล็อค ผมกลับวันนี้เลยดีกว่า ผมหายดีแล้ว”
“พักต่ออีกสักหน่อยเถอะ ให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่”
“ผมกลับไปพักต่อที่หอดีกว่าครับ”
เดียร์กับล็อคเถียงกันไม่หยุดจนโต้งขัดขึ้นมา
“อยู่นี่แหละมึง เดี๋ยวกูกับพู่กันมานอนด้วย”
“แต่มึง…ค่ารักษามัน….”
“ไม่เป็นไรน่า พี่จัดการเอง” ล็อคอาสาอีกครั้ง เดียร์ได้แต่ยิ้มแหยๆไปให้ เกรงใจอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่เป็นไรครับพี่ล็อค ผม…”
“ทำไมดื้อจังเลยนะ หืม?” ล็อคแกล้งเก๊กเสียงเข้มขึ้นมาเล็กน้อย ทำเอาเดียร์หุบปากฉับ รุ่นน้องตัวเล็กที่มองอยู่เผลออมยิ้มน้อยๆ
“เอาน่าพี่เดียร์…ถ้าพี่เบื่อ เดี๋ยวผมพาไปหาพี่ชายผมก็ได้ อยู่ไม่ไกลกันด้วย ห้องริมสุดตรงนี้เอง” อาโปยิ้มหวานหยดย้อยให้รุ่นพี่
คนป่วยต้องการกำลังใจ ถ้ามีคนคุยด้วยก็จะไม่เหงา
ตอนกลางวันพาพี่เดียร์ไปคุยเล่นกับพี่วายุก็ได้ รุ่นเดียวกันคงคุยกันไม่ยาก พี่รหัสอาโปน่ารักขนาดนี้… พี่วายุคงไม่ว่าอะไรหรอก
หลังจากนั้นไม่นาน พยาบาลคนสวยเข้ามาดูอาการของเดียร์
เมื่อถึงเวลาพักผ่อนของผู้ป่วยแล้ว อาโปขอตัวกลับไปก่อน
ร่างเล็กเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยของพี่รหัส มุ่งหน้าไปยังห้องพักของพี่ชาย
มือบางเคาะประตูเบาๆ ค่อยๆแง้มเข้าไป
“ไปซนที่ไหนมาอีกล่ะ” เสียงทุ้มของร่างบนเตียงทักขึ้น
อาโปยิ้มแหะๆไปให้
“ซนที่ไหนล่ะพี่วายุ โปไปเยี่ยมรุ่นพี่มา” อาโปเดินเข้าไปอ้อนป้าแหม่มที่นั่งปอกแอ๊ปเปิ้ลใส่จาน ป้าแหม่มเลยป้อนแอ๊ปเปิ้ลชิ้นเล็กใส่ปากคุณหนูตัวน้อย วายุที่นั่งมองอยู่บนเตียงถึงกับส่ายหน้าเบาๆ
“โตขนาดนี้แล้วยังจะอ้อนป้าแหม่มอีก” วายุเอ็ดเบาๆ ไม่ได้จริงจังเท่าไร ออกจะเป็นเชิงแซวน้องชายเสียด้วยซ้ำ
“หืมม ตัวเองอ้อนได้ไม่น่ารักเท่าเค้าอ่ะดิ๊” อาโปแซวกลับ ก่อนวิ่งหนีสายตาคมดุของพี่ชาย ร่างบางเดินไปเปิดโทรทัศน์ เอารีโมทไปให้พี่ชาย
“รุ่นพี่เราเป็นอะไรหรือ? ทำไมถึงได้มาโรงพยาบาล” วายุรับรีโมทจากน้องชาย อาศัยช่วงที่น้องเดินเข้ามาหาไต่ถามออกไป
“พี่เดียร์เป็นลมนิดหน่อยครับ นอนน้อย เห็นว่าจะพักอยู่โรงพยาบาลก่อน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เดี๋ยวโปจะพาพี่เดียร์มาเยี่ยม นอนแห้งอยู่บนเตียงแบบนี้คงเบื่อแย่ใช่ไหมล่ะ” อาโปยักคิ้วให้พี่ชายก่อนเดินไปนั่งจุ้มปุ๊กกับป้าแหม่มที่ปอกแอ๊ปเปิ้ลอยู่
วายุบิดตัวน้อยๆ ค่อยเอนหลังพิงพนักโซฟา นั่งๆนอนๆรอเวลาให้พยาบาลมาทำกายภาพบำบัด
นี่ก็เกือบเดือนแล้วที่วายุฟื้น พอฟื้นมา ก็อยู่แต่ในโรงพยาบาล
ถ้าครบเดือนเมื่อไร คงต้องขอไปพักฟื้นที่บ้าน
อยู่โรงพยาบาลนานๆแบบนี้น่าเบื่อออก
เท่าที่ฟังจากที่พ่อกับแม่บอกมา นี่ก็จะห้าเดือนแล้วที่เขาอยู่โรงพยาบาล
ห้าเดือนนี่ไม่ใช่เล่นๆเลยนะ
จะครึ่งปีอยู่แล้ว…
ให้เขาได้กลับไปสูดอากาศโลกภายนอกบ้างเถอะ
เคยถามหมออยู่หลายครั้งว่าเขาจะหายดีเมื่อไร หมอบอกว่าอีกประมาณ 2-3 เดือนก็หายดีเป็นปกติ
วายุแอบนับเวลาเล่นๆ… ถ้าเรียนอยู่ก็คงจะเป็นช่วงเทอม 2 ของภาคเรียน ให้เขาได้กลับไปเรียนสักทีเถอะ อย่างน้อยก็ยังดีกว่านั่งๆนอนๆอยู่ในโรงพยาบาลแบบนี้
หนึ่งคืนผ่านไปกับค่ำคืนในโรงพยาบาล
แสงสว่างเล็ดลอดผ่านหน้าต่างบานใสเข้ามา
ร่างเล็กบนเตียงผู้ป่วยค่อยๆลืมตาช้าๆ กระพริบตาน้อยๆปรับสายตารับกับแสงสว่างของเช้าวันใหม่
เดียร์บิดตัวน้อยๆ พลิกซ้ายพลิกขวาจนพอใจ
ยอมรับว่าเมื่อคืนเขาหลับจนไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ
ไม่ได้นอนอิ่มๆแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ…
ดวงตากวาดมองไปรอบๆห้อง
โต้งกับพู่กันนอนกอดกันกลมอยู่บนโซฟา…ภาพที่เดียร์อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้เสียจริงๆ
คนตัวเล็กอมยิ้มน้อยๆอย่างนึกสนุก มองหาโทรศัพท์มือถือที่คิดว่าน่าจะอยู่ใกล้มือ ระหว่างนั้นเอง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ก่อนผู้มาเยือนจะแทรกกายเข้ามา
และเสียงเคาะประตูนั่นเองทำเอาสองคนที่นอนกอดกันกลมบนโซฟาค่อยๆงัวเงียตื่นขึ้นมา เดียร์อดเสียดายไม่ได้...ยังไม่ทันได้ถ่ายรูปเลย
“ตื่นแล้วหรือ?” เสียงทุ้มอ่อนโยนดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆตามจังหวะฝีเท้าที่เดินตรงเข้ามา
ล็อควางถุงข้าวต้มปลาและน้ำเต้าหู้อุ่นๆไว้ที่ชั้นข้างเตียง เท่าที่สังเกตแล้ว พี่ล็อคไม่ได้ซื้อมาอย่างละถุง
พี่ล็อคตื่นแต่เช้าไปซื้อเลยหรือเนี่ย…
“พี่ซื้อข้าวต้มกับน้ำเต้าหู้มาฝาก” ล็อคหันมายิ้มน้อยๆให้คนตัวเล็กที่อยู่บนเตียง โต้งกับพู่กันงัวเงียลุกไปล้างหน้าล้างตา เป็นโต้งที่เดินมาหาพี่ล็อคก่อน
“อันนี้เอาไปแกะใส่ชามนะ” ล็อคยื่นถุงข้าวต้มสองถุงให้โต้ง โต้งรับไปแกะใส่ชามอย่างที่พี่ล็อคบอก ไม่นานพู่กันก็ตามมาสมทบ โต้งยื่นชามข้าวต้มให้พู่กัน 1 ชาม
“ไปล้างหน้าล้างตากันก่อน” ล็อคเข้ามาประคองเดียร์ลงจากเตียง พยุงร่างเล็กไปยังห้องน้ำ
ล็อคยืนรอหน้าห้องสักพัก เดียร์ค่อยๆเปิดประตูออกมา ล็อคจึงพาเดียร์มานั่งพักบนเตียงผู้ป่วยตามเดิม
“เอ่อ…ผมไม่ได้เป็นอะไรมากนะครับพี่ล็อค” เดียร์ว่าอย่างเกรงใจ ล็อคหันไปเทข้าวต้มใส่ชาม เป่าไล่ความร้อน ช้อนคันเล็กถูกยื่นมาจ่อหน้าเดียร์พร้อมข้าวต้มเต็มช้อน
“อ้าปากเร็ว” ล็อคอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มน้อยๆ เดียร์กัดริมฝีปากล่างเบาๆ…ท่าทางที่ล็อคต้องเร่งเข้าอีก
“อ้าปากเร็ว เดี๋ยวพี่ป้อน”
“ม่ะ…ไม่เป็นไรครับ”
“น่า…เร็ว”
“คือ…ผม…”
ล็อคสบตากับร่างตรงหน้า สายตาคมดุถูกส่งมาให้ร่างเล็ก เดียร์ยอมเผยอปากน้อยๆรับข้าวต้มอุ่นๆเข้าปาก
“ที่เหลือให้ผมทานเองดีกว่าครับ” เดียร์ยังคะยั้นคะยอไม่เลิก
ล็อคแอบถอนหายใจน้อยๆ ยอมวางชามข้าวต้มบนโต๊ะทานข้าวของผู้ป่วย เลื่อนโต๊ะให้เข้าที่ เดียร์เอ่ยขอบคุณก่อนหันไปลงมือทานข้าวต้มด้วยตัวเอง
“พี่ล็อคไม่ทานด้วยกันหรือครับ?” เดียร์ไม่เห็นทีท่าว่าล็อคจะผละไปเลย เอาแต่ยืนจ้องเดียร์มาพักใหญ่แล้ว
“ทานครับทาน” ล็อคหลุดขำออกมาเบาๆ
เดียร์ไม่รู้ว่าพี่ล็อคขำอะไร แต่ถึงกระนั้น พี่ล็อคก็หันไปเทข้ามต้มใส่ชามแล้วก็ตักข้าวต้มทานโดยไม่รีรอ
แต่ละคำที่พี่ล็อคตักข้าวต้มเข้าปาก ทำไมเดียร์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นข้าวต้มที่ละลายในปากพี่ล็อคอย่างนั้นล่ะ…
กินข้าวต้มก็มองข้าวต้มสิพี่ล็อค จะมองเดียร์ทำไม!
ขึ้นชื่อว่าเดียร์ ชวนให้คิดถึงคำว่าดื้อ
ช่วงสายของวันนั้นเดียร์บอกกับพยาบาลว่าขอกลับไปพักต่อที่บ้าน ซึ่งก็คือที่หอของเดียร์นั่นล่ะ แต่พอเดียร์บอกพยาบาลไปแบบนั้น พี่ล็อคก็เข้ามาห้ามทันที เดียร์ไม่อยากนั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆแต่ในโรงพยาบาลแบบนี้ นี่ก็ขาดงานมาหลายวันแล้ว ไหนจะรายงาน ไหนจะเรียนอีก อยู่เฉยๆแบบนี้มันน่าเบื่อนะ
สุดท้ายพี่ล็อคก็ยอมใจอ่อนให้เดียร์ แต่ยอมแค่ให้กลับไปพักฟื้นที่หอ ส่วนงานที่ร้านไอศกรีมอย่าเพิ่งทำ เดียร์อดผิดหวังไม่ได้..แต่ก็นะ ดีกว่าให้อยู่แต่ในโรงพยาบาลแล้วกัน
“พี่เดียร์~” เสียงหวานใสเจื้อยแจ้วมาจากประตู ก่อนเจ้าของเสียงจะเดินเข้ามาใกล้รุ่นพี่ที่นั่งอยู่บนเตียง
ภาพในห้องแปลกตาจนคนมาใหม่อดแปลกใจไม่ได้
พี่เดียร์ในชุดลำลอง
พี่โต้งกับพี่พู่กันกำลังง่วนอยู่กับเสื้อผ้าที่ถูกพับลงประเป๋า พี่ล็อคกับพี่เดียร์กำลังคุยกับอยู่เบาๆ
“พี่เดียร์จะกลับแล้วหรือ?” อาโปเดินเข้าไปนั่งข้างๆรุ่นพี่ เดียร์อ้าแขนโอบเอวรุ่นน้องตัวเล็กไว้
“จะกลับแล้ว อยู่นี่ไม่รู้จะทำอะไร”
“หายดีแล้วหรือครับ?”
“หายดีเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ” รุ่นพี่ตัวเล็กยกแขนอวดกล้ามที่ไม่มีโผล่มาให้เห็น มีแต่ท่อนแขนขาวเนียนกระจ่างใส อาโปหลุดขำน้อยๆกับท่าทางของรุ่นพี่
“อย่างนี้พี่วายุก็ไม่มีเพื่อนคุยแล้วอ่ะดิ” อาโปว่าอย่างงอนๆ ท่าทางที่ทำเอารุ่นพี่ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นอดยิ้มออกมาไม่ได้
“จริงสิ พี่ชายเรา… พี่ไปเยี่ยมตอนนี้เลยได้ไหม?”
อาโปยิ้มร่า “ได้สิครับ ไปๆพี่ เดี๋ยวผมพาไป” อาโปออกแรงจูงมือรุ่นพี่ให้ลงจากเตียงไปด้วยกัน
เดียร์หันมาขออนุญาตพี่ล็อคอีกครั้งก่อนหันไปตะโกนบอกโต้งกับพู่กันให้รับรู้ ..ล็อคหลุดยิ้มออกมาน้อยๆกับท่าทางของพี่น้องรหัสคู่นั้น
เดียร์เดินเคียงข้างน้องรหัสไปจนถึงห้องริมสุด
อาโปยกมือเคาะประตูเบาๆก่อนค่อยๆเปิดเข้าไป
ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาของทั้งสองคนออกจะแปลกตาไปนิด… หรือบางทีอาจจะไม่นิดเลย…
“พี่บิ๊ก พี่ต้น พี่เพชร สวัสดีครับ” อาโปเข้าไปทักทายชายหนุ่มสามคนที่กำลังนั่งรุมเตียงของพี่วายุอยู่
“พวกพี่มากันตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย ผมออกไปแป๊บเดียวเอง” อาโปดูงงๆไม่น้อยกับการที่เข้ามาเจอเพื่อนพี่ชายทั้งสามคนในห้องแบบนี้ ไม่ต่างจากเดียร์ที่ทำตัวไม่ถูกไปกันใหญ่ เดียร์เหลือบไปเห็นหญิงสูงวัยนั่งนิ่งๆอยู่ที่โซฟาก็รีบหันไปยกมือไหว้ ป้าแหม่มรับไหว้พร้อมส่งสายตาอ่อนโยนมาให้
ชายหนุ่มทั้งสี่คนมองหน้ากันไปมาอย่างตัดสินใจว่าใครจะเป็นคนตอบ
“พี่เข้ามาก็เจอไอ้ยุกับป้าแหม่มอยู่กันสองคน แล้วเราน่ะ ไปซนที่ไหนมา” พี่เพชรที่นั่งอยู่ข้างเตียงเป็นคนตอบออกมา ประโยคของพี่เพชรทำเอาอาโปยู่หน้าน้อยๆ
“โปไม่ได้ไปซนที่ไหนมา โปพาพี่เดียร์มาเยี่ยมพี่วายุ”
อาโปจูงมือเดียร์ฝ่าชายฉกรรจ์ทั้งสามคนที่ล้อมรอบอยู่บนเตียงพี่ชายเข้าไปหาวายุ
“พี่เดียร์ พี่รหัสโปเอง… พี่เดียร์ครับ นี่พี่วายุ” อาโปแนะนำให้คนทั้งสองคนรู้จักกัน
สายตาคมของคนบนเตียงสบตากับดวงตาใสของคนตัวเล็กที่อาโปพามา
วายุรู้สึกถึงความรู้สึกแปลกๆลุกลามเข้ามาในร่างกาย มันเป็นความรู้สึกยินดีหรือมีความสุขหรือถูกใจอะไรเทือกนั้น
…ทำไมรู้สึกเหมือนเคยเจอกันมาก่อน
แต่จะเจอได้อย่างไร…
ก่อนจะเข้าโรงพยาบาลคงไม่เคยเจอกัน..และอีกอย่าง เขาอยู่แต่ในโรงพยาบาลมาห้าเดือนเลยนะ
“เป็นไงบ้างครับ? เห็นอาโปว่าไม่สบายมาก” เดียร์ตัดสินใจเอ่ยออกไป เมื่อเห็นว่าคนบนเตียงเอาแต่จ้องหน้าเดียร์ไม่เลิก
วายุกระแอมน้อยๆ กำลังจะอ้าปากพูด แต่เพื่อนตัวดีดันพูดขัดซะก่อน
“ไอ้ยุมันอึดครับ มันไม่เป็นอะไรหรอก ว่าแต่…เดียร์อยู่ปีไหนหรอครับ?” เสียงที่ดังมาจากข้างเตียงอีกฝั่งทำให้เดียร์ต้องเงยหน้ามองเจ้าของเสียง ทันทีที่สบตากัน ฝ่ายนั้นก็เอ่ยต่อทันที “ผมชื่อต้นครับ คณะวิทย์ เอกฟิลิกส์ ปี 2 เบอร์โทรศัพท์…”
“พอเลยไอ้เชี่ยต้น!! มึงแม่งม่อ” วายุฟาดมือลงบนหน้าผากเพื่อนข้างๆทันที
“เห็นไหม มันมีแรงฟาดเพื่อนมันขนาดนี้แล้ว ไอ้ยุมันไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ …มีคนไปส่งหรือยังครับ ผมว่างนะ จะไปตอนไหนบอกได้เลย”
“ไอ้พี่บิ๊ก!!ม่อว่ะ” อาโปแว้ดใส่เข้าให้ หันมายิ้มเจื่อนๆให้พี่รหัสตัวเอง
“พวกพี่เขาก็อย่างนี้ล่ะครับ อย่าไปถือสาเลย”
ถึงอาโปจะว่าอย่างนั้น แต่เดียร์ทำตัวไม่ถูกไปแล้ว
“พี่เดียร์จะกลับแล้วนะพี่วายุ โปเลยพาพี่เดียร์มาเยี่ยมพี่ก่อน” อาโปว่าพลางส่งสายตาบอกสามคนที่เหลือว่าให้เงียบ
“แล้ว…เดียร์เป็นไงบ้าง เห็นอาโปบอกว่าเพิ่งนอนโรงพยาบาลเมื่อวานเองไม่ใช่หรือ?” เป็นประโยคแรกที่วายุได้พูดคุยกับคนตัวบาง
รู้สึกดีอย่างประหลาด ไม่น่าเชื่อว่าแค่ได้คุยด้วยจะรู้สึกดีขนาดนี้
ทำไมกัน?
“เอ่อ…เราหายดีแล้ว ไหนๆก็ไหนแล้ว เลยแวะมาเยี่ยม” รอยยิ้มหวานถูกส่งไปให้คนที่นั่งอยู่บนเตียง
วายุรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนเพียงเพราะรอยยิ้มนั้น..
“ขอบคุณนะ…” ประโยคสั้นๆ แต่วายุรู้สึกว่าเค้นขึ้นมาจากลำคอได้ยากลำบากเหลือเกิน …เกิดทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“พี่วายุ เดี๋ยวโปพาพี่เดียร์ไปส่งที่ห้องก่อนนะ เดี๋ยวเพื่อนพี่เดียร์รอ”
เดียร์บอกลาทั้งสี่คนที่อยู่ตรงนั้น หันไปยกมือไหว้ลาป้าแหม่มที่นั่งอยู่ที่โซฟา
อาโปพาเดียร์ออกจากห้องไปแล้ว…
วายุมองตามร่างเล็กนั้นจนลับสายตา
“มอง มอง ไอ้นี่ก็มองเขาอยู่นั่นล่ะ ว่าแต่กูนะ” ต้นเป็นคนเอ่ยออกมา แววตาล้อเลียนแกมหมั่นไส้ถูกส่งไปให้คนป่วยที่นั่งอยู่บนเตียง
“กูมองขนาดนั้นเลยหรือวะ?”
คำถามประโยคเดียว ทำเอาเพื่อนทั้งสามคนตอบเป็นประโยคเดียวได้กันได้ดังๆว่า…
“เออ!!!”
# My dear
ชะแว้บบบบบบ
ฮี่ๆๆๆ
หลายคนเดาถูก
เจอกันตอนต่อไปค่ะ