LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557  (อ่าน 78554 ครั้ง)

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2014 20:33:03 โดย Serin »

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL บทนำ ในห้วงฝัน
«ตอบ #1 เมื่อ26-05-2014 19:01:06 »

LosT Angle


บทนำ  ในห้วงฝัน

   
              สีแดง...สีของเลือด สีของผลองุ่นที่นำมาหมักเป็นไวน์ชั้นเลิศ สีสันของหยาดโลหิตที่สาดกระเซ็นผิวหน้า..ตัดกับสีขาว...สีของผิวเนื้ออันอ่อนละมุนงดงาม สีของปีกขนนกอันชดช้อย อ่อนละเอียดนุ่มราวกับผืนไหม..

         ข้ามองดูสีฟ้าของนัยน์ตาที่วาววับราวกับลูกปัดสีสวย  สีฟ้าอันงดงาม ความงามของเทพบุตรแห่งสวรรค์ผู้ลือชื่อ.. มันงดงามนักนัยน์ตานี้มิใช่หรือที่คนผู้นั้นทอดมองราวกับเพ้อคลั่ง แววตาคู่นี้มิใช่หรือ ที่ได้แลสบความรักอันเปี่ยมล้นจากนัยน์ตาที่ข้าแสนรักคู่นั้น

      ดวงตาคู่นี้มิใช่หรือ ที่ถูกยกย่องว่างามนักหนา ดวงเนตรอันงดงามนี้หรือมิใช่ ดวงตาที่เหล่าเทพบุตรเทพธิดาใหญ่น้อย
ต่างสรรเสริญเยินยอ...

งามนัก...งามเหลือ เกิน ท่านเทพบุตรผู้งดงามแห่งสรวงสวรรค์...

งามนัก ผิดกับดวงตาอันมืดมิดราวกับความมืดของรัตติกาล...ดวงตาอันแห้งผากและไร้ชีวิต..

       นัยน์ตาคู่นี้ยังงามงด แม้จะถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงสดเปรอะเปื้อน ดวงตาคู่นี้มันกลมใหญ่และมีเส้นสีแดงของเลือดอยู่โดยรอบ อา...ข้าจ้องมองมันอย่างหลงใหล จ้องมองมันด้วยความเพ้อคลั่ง มิไยดีเสียงกรีดร้องร่ำไห้อันน่ารำคาญหูใต้ร่าง...
เสียง...ไม่สิ เสียงนี้ เสียงนี้ก็ยิ่งมีคนรักไคร่นัก...

       ข้าทอดมองดวงตากลมใหญ่บนฝ่ามือ ก่อนจะออกแรงบีบมันแน่น ก่อนจะอ้าปากกลืนกินมันเข้าไปอย่างรวดเร็ว พลันร่างกายนี้รู้สึกราวกับพลังล้นปรี่  ราวกับว่าดวงตาที่กลืนกินลงไปทำให้ดวงตาของข้านั้นงามนัก...

       อา...ข้าทอดมองกองเลือดตรงหน้า เอื้อมมือไปยังลำคอที่ส่งเสียงครางผะแผ่ว ข้าเอื้อมมือไปหาปลายเล็บที่มีสีซีดดำพลันยาวขึ้น มันแทงเข้าไปในลำคอที่ขาวเพรียวงามระหง ข้าออกแรงสะบัด ดึงเอาสายเอ็นที่ให้ส่งเสียงออกมา เลือดสีสดไหลพุ่งออกมาจากลำคอของร่างตรงหน้าราวกับหิมะ หากข้าไม่สนใจ ข้ากลืนเส้นสีขาวนั้นลงไปในลำคอ พลันเปล่งเสียงหัวเราะออกมา รู้สึกราวกับว่าเสียงอันแหบห้าวไร้สเน่ห์ของข้า กลับกังวานใสราวกับระฆังทอง ดังเช่นคนที่เจ้าผู้นั้นหลงใหล..

        ปีกสีขาวนี้แสนนุ่มละมุนนัก สีขาวบริสุทธิ์มิมีแปดเปิ้อน ผิดแผกกลับปีกสีดำสนิทราวกับขนกาของข้ามากนัก สวรรค์เอ๋ย เหตุใดจึงไม่เป็นธรรมเหตุใดจึงเอนเอียงรักผู้หนึ่ง ให้คนผู้นั้นได้รับความรักมากมายเสียจนล้นปรี่ หากอีกผู้หนึ่งกลับไร้ผู้แยแสยินดี ทั้งที่กำเนิดเกิดมาจากสิ่งเดียวกัน

        "..อาโลอิส...อาโลอิส...." ข้าได้ยินเสียงเรียกพร่ำจากที่ไหนสักแห่ง หากตัวข้าไม่สนใจจะฟังมัน ข้ามองเห็นปีกคู่นี้โดดเด่นอยู่กลางแผ่นหลังงาม ข้าจึงเอื้อมมือไปหาแผ่นหลังนั้น เอื้อมไปฉีกกระชาก ออกแรงฉุดรั้งมันเพื่อมาเป็นของตน ด้วยแรงจากมือที่มีปลายปลายเล็บสีดำอันน่ารังเกียจ

     เสียงกรีดร้องที่ดังอยู่ค่อยแผ่วหาย ด้วยลำคอนั้นมีเลือดไหลปานน้ำพุ หากข้าหัวเราะเเผ่วเบา กังวานไปทั่ว

     เส้นผมสีทองเงางามทิ้งตัวอยู่บนตักของข้า ข้าก้มมองมันด้วยสายตาหลงใหล สีทองประกายของเส้นผมนี้ช่างงามนัก ผิดแผกกับเส้นผมสีแดงแห้งผากและเเข็งกระด้างของข้าเสียเหลือเกิน

      ข้ากระชากเส้นผมนั้นออกมาด้วยแรงของตน มันหลุดร่วงอยู่ในมือข้าเป็นกำใหญ่ ข้าเอื้อมมือหยิบมันมาลูบไล้
ข้าก้มมองร่างที่อยู่บนตักตน มันมีสภาพราวกับมิใช่เทพผู้งดงามคนนั้น เลือดสีเข้มไหลอาบทั่วผิวกายสีขาว ดวงตาสองข้างต่างกลวงโบ๋มีเพียงเลือดสีเข้มไหลเอ่อนอง ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยรอยกรีดจนจำสภาพไม่ได้ เส้นผมสีทองหลุดแหว่งออกมาจากศีรษะดูน่าสมเพชนัก ลำคอของมันเอียงกระเท่ ด้วยมีเลือดสีเข้มไหลนองออกมาไม่ขาดสาย แล้วที่หลังของมันเล่า หลังของมันถูกกระชากปีกสีขาวออกมาจนไม่เหลือซาก มีเพียงร่างกายนอนทรมานบิดเบี้ยวราวกับมิใช่ร่างของเทพผู้งดงาม ทุกสิ่งเป็นของข้า ทั้งใบหน้า ดวงตา เส้นผม หรือแม้กระทั่งปีกสีขาว

        ได้มาแล้ว ข้าได้มาตามต้องการ ทั้งดวงตาสีฟ้าที่ท่านรัก ทั้งปีกสีขาวที่ท่านหลงใหล เส้นผมอันงดงามที่ท่านเคลียคลอและเสียงกังวานใสที่ท่านรักนักหนา

เพียงแย่งชิงมา ทุกสิ่งก็เป็นของข้า

....ข้าจะได้มัน ตามที่เจ้านายของข้าเอ่ย จะได้ความรัก เช่นที่เทพผู้เป็นเจ้านายขับขาน

เพียงแค่แย่งชิงมา ช่างงายดายเสียนี่กระไร ...

...เพียงเท่านี้ท่านก็จะรักข้า เพียงเท่านี้ท่านก็จะหลงใหลข้า จะมองข้าเพียงผู้เดียว เช่นที่ท่านมองมันผู้นี้...

 ...นี่จะเป็นข้า หาใช่ของเทวทูตตนนี้อีกต่อไป..














« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-05-2014 19:04:41 โดย Serin »

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL Lost 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก
«ตอบ #2 เมื่อ26-05-2014 19:09:14 »

Lost 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก



             เฮือก !!!
         
            แสงไฟสาดส่องเข้ามาในห้อง ผ่านม่านสีครีมที่พลิ้วไหว ทำให้ห้องที่เคยตกอยู่ในเงามืดสลัวสามารถมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ร่างเพรียวนั่งหอบหายใจแรงบนเตียง หลังจากผุดลุกขึ้นจากหมอน โดยมีเหงื่อท่วมกาย...

       ฝ่ามือขาวซีดลูบใบหน้าตนเองอย่างหวาดหวั่น ชายหนุ่มเพ่งมองฝ่ามือที่สั่นไหวของตนเองด้วยดวงตาที่พร่ามัวด้วยหยดน้ำตา  ขณะที่เสียงอื้ออึงดังขึ้นเบื้องนอก ทำให้เขาต้องลุกขึ้นจากเตียงด้วยฝีเท้าไม่มั่นคง นัยน์ตาสีฟ้าเพ่งมองไปด้านนอกอย่างงวยงง เขามองเห็นภาพของกองไฟที่คุระอุอยู่ไม่ไกล แสงสว่างนั้นจัดจ้าเสียจนสามารถเห็นมันได้ชัด...ภาพบ้านเรือนอยู่ในกองไฟ ถูกเผาห่างออกไปจากที่พักของตนห่างเพียงเส้นถนนคั่น..


           ก๊อกๆ   

   เสียงเคาะประตูห้องทำให้ร่างสะดุ้งไหว แววตาสงสัยวาบผ่านดวงตาก่อนจะค่อยจางหาย ชายหนุ่มเดินผ่านเตียงและโต๊ะหนังสือของตนไปยังประตูห้อง จ้องมองรูเล็กๆที่ประตูและเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาจึงค่อยเปิดประตูออก

         " ครับ ? "  ใบหน้างดงามโผล่ออกมาจากบานประตู กระทบเข้ากับแสงไฟในตะเกียงโบราณซึ่งอยู่ในมือของชายชราตรงหน้า

         " ตอนนี้มีไฟไหม้อาคารเก็บพัสดุของรัฐที่ถนน เกรยมองต์ ...ผมเกรงว่าคุณชายจะตกใจ เลยมาตรวจสอบดูครับ " สีหน้าและแววตาแสนห่วงใยของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้คนฟังพยักหน้ารับด้วยสีหน้าแจ่มใสขึ้น

             “ ไม่มีอะไรหรอกลุงฟาเอล..ผมสบายดี.." เขาพยักหน้ารับคำเบาๆ ทำให้ชายชราค่อยวางใจ ฝ่ามือนั้นจึงปิดประตูห้องให้อย่างแผ่วเบา

             เสียงคำรามของเครื่องบินรบบินผ่านอาคารชวนให้คนฟังนึกหวาดหวั่น ร่างเพรียวถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะก้าวไปปิดบานหน้าต่างที่เปิดอ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ ชายหนุ่มสบถเบาๆในลำคอ ด้วยความแปลกใจ ทั้งที่แน่ใจว่าตอนนอนเขาปิดมันแน่นหนาดีแล้วเชียว

             ถึงจะพักอยู่บนชั้นสี่ของอพาร์ตเมนต์ ทว่าหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ก็เป็นเหยื่อล่อขโมยชั้นดี ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจเริ่มฝืดเคืองเพราะไฟสงคราม โจรผู้ร้ายก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว

             อีกทั้งด้วยฐานะของตน การถูกลอบจับเป็นตัวประกันหรือลอบสังหารจากคู่แข่งของบิดาก็มีโอกาสไม่น้อย นี่ถ้าผู้เป็นพ่อบ้านรู้ เขาคงมิวายโดนบ่นเป็นแน่

             งึมงำกับตัวเองพลางถอนหายใจ ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตการเหตุการณ์เบื้องนอก เอนีลกวาดนัยน์ตาสีฟ้าสดของตนไปยังเบื้องล่าง มองเห็นโคมไฟสีนวลส่องสว่างอยู่ด้านล่างของอพาร์ตเมนต์ที่ตนพักอาศัย และเงาร่างของความโกลาหลจากอุบัติเหตุในถนนเส้นถัดไปอยู่รางๆ..

          " เอ๊ะ....? " ครางในลำคอเบาๆเมื่อพบเงาร่างสีดำน่าสงสัยยังตรอกเล็กๆเบื้องล่าง ชายหนุ่มเบิกตาเขม้นจ้องหากราวกับคนผู้นั้นจะรู้...นัยน์ตาสีดำสนิทที่วาววับท่ามกลางแสงไฟสีนวลจึงหันมาจ้องทันควัน..

           ดวงตา...สีดำ...?     

   จู่ๆเศษฝุ่นผงและสายลมหนาวยะเยือกก็พัดโชยมาปะทะร่างอย่างรุนแรงจนต้องยกมือขึ้นกั้นอย่างลืมตัว ลมหนาวท่ามกลางค่ำคืนที่ร้อนอ้าวทำให้ความรู้สึกแปลกๆแล่นวาบ..หนาวสันหลังวูบและขนลุกทั่วกาย  แพทย์หนุ่มละมือลงจากใบหน้า จ้องมองตรอกนั้นอีกคราก็ไม่เห็นอะไร ความหวาดหวั่นลึกๆและลางสังหรณ์ประหลาดที่แล่นเข้ามาทำให้เขายกมือลูบแขนตนเองช้าๆ ก่อนจะรีบล็อกบานประตูอย่างแน่นหนาด้วยสีหน้าหวั่นระแวง

             ปลายเท้าที่จะก้าวเข้าไปบนเตียงสะดุดลงเมื่อเหลือบแลเห็นเงาของตนในกระจกบานใหญ่ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกระตุกโคมไฟบริเวณโต๊ะขนาดเล็กข้างเตียง ทำให้แสงสีนวลสาดผ่านทั่วห้อง

             ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองภาพของตนผ่านกระจกบานยาวด้วยสีหน้าครุ่นคิด มองมันตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าหวาดหวั่นไม่หาย...ประหวัดคิดไปถึงบางสิ่งที่ทำให้เขาจ้องตื่นขึ้นมากลางดึก...ทุกคืน...ทุกครา....
   
         ....กับความฝัน...ฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนตัวเอง....   

           ความฝันที่ถูกชายคนหนึ่งทำร้ายเสียจนทรมานแทบสิ้นชีวิต ความเจ็บปวดนั้นหลอกหลอนมาแม้กระทั่งเขายังตื่นอยู่ จำได้ดีถึงวินาทีที่ปลายเล็บคมนั้นจิกเข้าไปที่ดวงตาแล้วกระชากมันออก จำได้ชัดถึงความเจ็บปวดยามปลายเล็บสีดำฉีกกระชากเส้นเลือดและกล่องเสียงที่ลำคอ...และรู้สึกเจ็บปวดราวกับจะสิ้นใจ ในยามที่ปีกสีขาวบนหลังถูกกระชาก อีกทั้งปลายเล็บนั้นยังกรีดลึกเข้าที่ใบหน้าและร่างกายจนมันชุ่มโชกไปด้วยเลือด...

             ในจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว หวาดระแวง และความสงสัย......เจ็บ..เจ็บเหลือเกิน เหตุใดจึงทำร้าย เหตุใดจึงชิงชังและทรมานเขา...

         ตึก !!           

           ร่างทั้งร่างถึงกับผงะ เซไปชนเข้ากับข้างเตียงเมื่อภาพของตนที่ยืนนิ่งมองกระจกกลายเป็นภาพของร่างโชกเลือดนัยน์ตากลวงโบ๋และลำคอนองไปด้วยเลือด ชายหนุ่มใช้กำปั้นอุดริมฝีปากปิดเสียงกรีดร้องของตนไว้แน่นด้วยสีหน้าซีดขาวตกตะลึงแทบสิ้นสติ  หากเพียงกระพริบตา ภาพนั้นกลับเลือนหาย กลายเป็นร่างของตนที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีทุกประการนั่งผงะผึงอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเผือดหวาดหวั่น...
         
   เอื้อมมือไปกุมหัวใจตนไว้ ฟังเสียงมันกำลังเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งด้วยความหวาดกลัว  จ้องมองภาพของตนเองในกระจกอีกครั้งด้วยสีหน้าเคลือบแคลง หากทว่า แสงไฟสีนวลที่สาดส่องมาให้มองเห็น ก็ยังเป็นภาพของตน ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีทองระไหล่ ดวงตาสีฟ้าสวยและใบหน้างดงามผู้เดิม...ชายคนเดียว กับบุรุษในความฝัน ที่ถูกปีศาจร้ายตนหนึ่งทรมานเสียจนสิ้นชีพ...

           ฝ่ามือที่สั่นระริกเอื้อมมือลูบใบหน้าและลำคอตนด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟและทอดกายลงนอนบนเตียงอีกครั้ง

         นัยน์ตาของเขาจ้องมองเพดานของเตียงสี่เสาบนศีรษะ ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและสายตาครุ่นคิด..พยายามบอกให้หัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งนี้สงบลงอย่างยากเย็น...เฝ้าบอกตัวเองว่าเขาคือ เอนีล ชาส์เดอร์ตง เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นคนธรรมดา หาใช่เทพบุตรหรือซาตานตนใดในฝันนั่น แม้รูปลักษณะจะคล้าย แต่นี่มันเป็นเพียงความฝัน...ฝันอันเหลวไหลไม่มีจริงเท่านั้น...

       ขมวดคิ้วแน่น พยายามคิดหาสาเหตุและที่มาของความฝันอันน่าสยดสยองของตนเองอย่างสับสน...ความฝัน....ฝันนี้ที่คอยหลอกหลอนเขามาเนิ่นนานนับแต่รู้ความ ฝันว่าตัวเองถูกทำร้าย ฝันว่าเขาถูกปีศาจผู้น่ากลัวฉีกกระชากปีก ดวงตาและทุกสิ่งของตนไป ฝันที่เริ่มสมจริงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งความเจ็บปวดและเสียงหัวเราะเยาะหยันที่ก้องอยู่ในหู..

        ....เอนีลไม่เคยทราบว่าสาเหตุใดเป็นที่มาของความฝันนี้ เขาเป็นนายแพทย์ และช่วงเวลาที่เรียนอยู่เขาก็ได้ปรึกษากับอาจารย์ผู้สอน หรือกระทั่งพยายามวิเคราะห์อาการของตัวเองว่ามันเป็นเพราะเหตุใดด้วยต้องการให้ฝันร้ายนี้จางหาย แต่ก็ไม่เคยได้ผล คำอธิบายถึงสาเหตุของความฝันร้ายและวิธีที่จะทำให้มันหายไปจากปากผู้คนมากมายที่ส่งผ่านมาให้ ไม่เคยจะทำให้ความฝันนี้จางหายไปสักครา ไม่เคยเลยที่จะเป็นผล และยิ่งนานวันขึ้นมาก็ยิ่งสมจริงขึ้นทุกที ราวกับยิ่งพยายามวิ่งหนี มันกลับเกาะติด คอยหลอกหลอนอยู่ไม่ห่าง...

         ...เพราะอะไร.... ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น...ริมฝีปากขบเข้าหากันอย่างเป็นกังวล..

         ...ทำไม? ในฝันนั้นมันคืออะไร มันต้องการบอกอะไรเขา คนๆนั้นเป็นใคร ชายที่ฆ่าเขาด้วยมือเป็นใคร...
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา...


       ชายหนุ่มฝ้าครุ่นคิดอย่างเป็นกังวล จนกระทั่งเผลอหลับไปตอนใกล้รุ่งสาง ท่ามกลางเสียงของฝูงบินรบที่บินผ่านน่านฟ้า และสีแดงของกองเพลิงที่ลุกโชน...

             หน้าต่างที่เคยปิดแน่นเปิดออกอย่างง่ายดาย พร้อมกับสายลมหนาวที่พัดเข้ามาภายในห้อง ทำให้ม่านสีครีมปลิวสะบัดไหว เผยให้เห็นร่างในชุดสีดำของบุรุษผู้หนึ่ง ที่ประดับรอยยิ้มไว้บนริมฝีปากในมือของเขามีอีกาสีดำเกาะอยู่เจ้านกสีดำตัวนั้นส่งเสียงร้องเบาๆ ก่อนทั้งคู่จะจางหายไปราวกับธาตุอากาศ เหลือเพียงขนนกสีดำสนิทที่ปลิวเข้าไปในห้องตามแรงลม........

......................


 ปารีส , ฝรั่งเศส ปี 1939           

   ท้องฟ้าสีครึ้มหม่นและเมฆหมอกที่ลอยต่ำในต้นเดือนพฤษภาคมทั้งที่เป็นฤดูใบไม้ผลิ ทำให้สภาพอากาศทั่วกรุงปารีสขมุกขมัวยิ่งนัก ผู้คนในชุดโค้ดสีเข้มเดินจูงสุนัขตัวโปรดบ่ายหน้าไปยังสวนสาธารณะ ขณะเครื่องบินรบสีเหล็กทึมที่บินผ่านน่านฟ้า ทำให้หลายคนเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

    ตึกอาคารทรงสี่เหลี่ยมทาด้วยสีน้ำตาลอิฐ มีป้ายชื่อเขียนไว้อย่างเรียบง่ายบอกว่าที่นี่คือ "คลินิกโรคผู้ป่วยทั่วไป โดย นายแพทย์ ชาส์เดอตง "  ร่างของแพทย์ผู้เป็นเจ้าของคลินิกกำลังง่วนอยู่กับการตรวจอาการคนป่วย เอนีล ชาส์เดอตงในชุดกาวน์สีขาว เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครึ้ม ผ่านกระจกใสภายในคลินิกของตน เขาหยิบชาร์ตจดบันทึกอาการของคนไข้ขึ้นมาเขียนอีกครั้ง

       เสียงของคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงบ่นขึ้นมาลอยๆ

               "...ช่วงนี้มีแต่ข่าวไม่สู้ดี...... " น้ำเสียงที่แผ่วเบาของผู้พูดบวกกับสีหน้ากังวลทำให้คนฟังพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

               "  เรื่องสงคราม...หมอไม่ถูกเรียกไปรบเหรอครับ ? "

    " ไม่ครับ....แต่ถ้าสงครามมาถึงฝรั่งเศสเมื่อไหร่ก็ไม่แน่ ผมอาจจะถูกเรียกไปเป็นแพทย์สนาม...ไม่สิครับ...ผมอาจจะสมัครไปเป็นแพทย์สนามเพราะในสมรภูมิ...กองกำลังผู้ช่วยเหลือ หาได้ยากกว่าพลรบ.."คำตอบนั้นทำให้ผู้ฟังพยักหน้ารับก่อนเจ้าตัวจะเริ่มบ่นขึ้นมาเบาๆ

           " แต่กับลูกชายผมนี่สิ...มีแววว่าจะถูกเรียกไปแน่ๆ...ถ้าเยอรมันบุกโปแลนด์เมื่อไหร่..."

              "...ผมว่าสงครามไม่ได้อยู่ไกลเราแล้วนะ ...พวกนาซีนั่นฉีกสัญญาจะไม่รุกรานดินแดนในยุโรปแน่ๆ..." เสียงของคนไข้อีกรายที่อยู่บนเตียงข้างๆซึ่งมีผ้าม่านสีขาวปิดไว้ เอ่ยออกมาบ้าง

              "...ฝรั่งเศสมีทางเดียวเท่านั้นคือต้องรบ เพราะเราไปประกันเอกราชให้โปแลนด์แล้ว.... แบบนี้ฮิตเลอร์ต้องหาทางบุกมาโจมตีแน่เชียว.." คนไข้รายที่แพทย์หนุ่มกำลังดูอาการรับคำ

              " ผมว่าเรื่องแบบนี้ต้องพึ่งตัวเอง... " เสียงวิเคราะห์เรื่องการเมืองของสองคนไข้วัยชรา ทำให้หมอหนุ่มอมยิ้ม เขาพยักหน้าเรียกผู้ช่วยที่เดินตัวปลิวเข้ามาให้ไปจัดการคนไข้อีกรายที่นอนนิ่งอยู่

              " ....แต่เราไปรับประกันอิสรภาพให้พวกเขานะคุณ เรื่องนี้น่ะมันเป็นพันธะของคนผิวขาว ไปช่วยเหลือเขาแล้ว.... "

              "  แต่ตอนนี้เรายังเอาตัวแทบไม่รอดเลยนา ดูรัฐบาลเราสิ...ยังมีปัญหากันอยู่เลย  "

            น้ำเสียงทุ่มเถียงจริงจังของสองคนไข้ทำให้ผู้ช่วยของเขาหัวเราะเบาๆในลำคอ นายแพทย์ เอนีล ชาส์เดอตง แอบถลึงตาใส่ผู้ช่วยของตนเสียงทีหนึ่งโทษฐานที่ฝ่ายนั้นแอบขำจนเสียมารยาท หากแต่นิโกลัส ผู้ช่วยก็ทำเพียงโคลงศีรษะ ยิ้มขบขัน...

          " ครับๆ....มาเริ่มการรักษากันได้แล้วครับท่านผู้มีเกียรติ....เมอซิเยอร์ปิแอร์โร่...รบกวนหันหน้ามาทางผมหน่อยนะครับ เราจะได้ตรวจสุขภาพคอของคุณ.." น้ำเสียงทุ่มเถียงที่เริ่มโขมงโฉงเฉงของสองคนไข้ ทำให้นิโคลัสต้องเดินไปเริ่มงานเพื่อเป็นการห้ามทัพ ฝ่ายผู้ช่วยเดินไปตรวจคนไข้รายที่รออยุ่ คุณหมอเจ้าของคลินิกเดินไปทางเตียงผู้ป่วยของตน ชายหนุ่มยื่นท่อนแขนของตนให้คนไข้วัยใกล้ฝั่งเอื้อมมือเกาะพยุงกายด้วยรอยยิ้ม

                "..นี่ยาทานนะครับ เมอซิเยอร์....ผมเขียนรายละเอียดไว้แล้ว รบกวนเอากระดาษนี่ให้ลุกสาวของคุณที่รออยู่ด้านหน้าด้วยนนะครับ..." ปลายนิ้วสีขาวจัดยื่นยาในถุงให้กับผู้ป่วยด้วยรอยยิ้มบาง เอนีลอมยิ้มขบขันเมื่อแว่วเสียงโอดโอยดังมาจากห้องตรวจ ซึ่งคงไม่พ้นเป็นผู้ช่วยของเขากับคนไข้เมื่อครู่...

                ร่างของนายแพทย์หนุ่มเดินส่งคนไข้ออกมายังเคาน์เตอร์ด้านหน้าคลินิก เขายื่นใบเสร็จให้กับเลขาสาวผู้มีหน้าที่รับชำระเงิน นัยน์ตาสีฟ้าสดจ้องมองนาฬิกาลูกตุ้มตั้งพื้น ที่บอกเวลาเที่ยงสิบห้าด้วยสีหน้างวยงงเล็กๆ...

               " นี่เที่ยงแล้วหรือ? เเปลกนะ เมื่อกี้ผมไม่ได้ยินเสียงเลย " เอ่ยถึงเวลาเที่ยงที่นาฬิกามักจะส่งเสียงหง่างเหง่งดังก้อง เลขาของเขาหัวเราะเบาๆ จ้องมองแพทย์หนุ่มด้วยแววตาพราวหวาน

                "คุณหมอก็คงมัวแต่สนใจคนไข้อยู่ล่ะมั้งค่ะ ...ออกมาให้ฉันมองตาก็ตอนนี้นี่เอง" น้ำเสียงทอดสนิทคุ้นหู ที่ได้ยินมาไม่เว้นวันทำให้นายแพทย์หนุ่มเพียงแต่ยิ้มบางๆไม่ให้เธอเสียงหน้า เอนีลปลดสเต็ทโทสโคปที่สวมอยู่ออกจากลำคอ ..หยิบเสื้อกาวน์สีขาวที่ตัวเขาถอดออกเมื่อครู่มาพาดไว้บนท่อนแขน

                " งั้นผมจะออกไปทานอาหารก่อนนะ....ถ้ามีคนไข้....."


              กริ๊งง...

         เสียงกริ่งประตูดังขึ้นเบาๆ ทำให้แพทย์หนุ่มหันขวับไปมอง เขามองเห็นร่างสูงของชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในคลินิก ชายหนุ่มสวมชุดโค้ทสีดำ หมวดทรงกลมถูกถอดออกและหนีบไว้ตรงข้อศอก  เขาแขวนเสื้อคลุมลงบนที่แขวน พร้อมกับวางกระเป๋าเดินทางที่ติดตัวมาวางไว้ข้างๆกัน และมีกระเป๋าเอกสารสีทึบขนาดกลางวางอยู่ข้างกาย นายแพทย์หนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย จับจ้องชายหนุ่มที่เดินเข้ามาด้วยท่าทีสงสัย

         พลันใบหน้านั้นก็หันมาสบตา...เอนีลชะงัก..นัยน์ตาสีฟ้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่จ้องมองตรงมา ใบหน้าหล่อเหลาสมชายนั้นแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ปลายนิ้วเรียวค่อยยกขึ้นเสยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงให้เข้าทรง นายแพทย์หนุ่มสบมองรอยยิ้มอ่อนที่ติดตรึงตรงมุมปากของชายผู้นั้น....ชั่วขณะหนึ่งหัวใจวาบลึก...ราวกับจะหยุดเต้น..

      ฝ่ามือสั่นระริกไหว สัญชาตญาณบางอย่างที่ฝังลึกในวิญญาณร่ำร้องบอกว่าเขากำลังพบเจอกับบางสิ่งบางอย่าง...สิ่งที่ตัวเขาควรจะหนี หากแต่ก็ไม่ควรผละห่าง ทั้งน่าหวาดหวั่น แต่ทว่าก็น่าหลงใหล รักใคร่ยิ่งนัก...
ริมฝีปากสีจางเม้มเข้าหากัน อย่างเผลอไผล นัยน์ตาหรี่ลงช้าๆด้วยความระแวดระวังและ...ด้วยความสนใจใคร่รู้


             หง่างงงงงง     หง่างงงงง

            นาฬิกาตั้งพื้นส่งเสียงร้องลั่น ทั้งที่เลยเวลาเที่ยงมาแล้วทำให้นายแพทย์หนุ่มถึงแก่สะดุ้ง เอนีล ชาส์เดอตงหันขวับไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่นั้นอย่างงวยงงไม่น้อย ใบหน้าขาวนั้นซีดเผือดไม่รู้ว่าด้วยความตกใจหรืออะไรกันแน่จ้องมองลูกตุ้มนาฬิกาที่เเกว่งไกวขณะส่งเสียงร้องลั่นห้องรับรองผู้ป่วยและญาติ..ทั้งยังนานและเสียงดังผิดปกติจนเขาหน้าเสีย

           " ตายจริง...แบบนี้นาฬิกาคงเสียแล้วละค่ะคุณหมอ " เเว่วเสียงเลขาสาวบ่นออกมาดังๆ เอนีลพยักหน้ารับคำเธออย่างเลือนลาง นัยน์ตาสีฟ้าสดเบือนกลับมาสบนัยน์ตาสีน้ำตาลของชายหนุ่มเบื้องหน้าอีกครั้ง  เขานิ่งงันจ้องมองร่างร่างของชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าของชายปริศนายังคงเปื้อนด้วยรอยยิ้ม..

           " คุณหมอ ชาส์เดอตงส์ใช่ไหมครับ...ผมมีข่าวมาจากพ่อและพี่ชายคุณ รบกวนเวลาสักครู่ได้ไหม ? " น้ำเสียงนุ่มทุ้มสำเนียงรื่นหูดังขึ้นเพียงแผ่วเบา พร้อมกับปลายนิ้วที่ยื่นมาแตะสัมผัสกันตามธรรมเนียมปฏิบัติ เอนีลยื่นมือทายทักหากเพียงปลายนิ้วสัมผัส กลับยังผลให้ร่างทั้งร่างสะดุ้งวาบ แพทย์หนุ่มเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ขณะที่สบมองแววตาจืดเจื่อนของชายที่เขาชักมือกลับ..

            " อ่า...ขอโทษครับ...พอดีผม..เอ่อ.....เหนื่อยไปหน่อย คุณ....." ลำคอของเขาแห้งผาก น้ำเสียงตะกุกตะกัก...และ...หัวใจสั่นไหว..เต้นรัว...

             " สไตรเซอร์ครับ.. ไคลน์  สไตรเซอร์...ยินดีที่รู้จัก..."...ดวงตาทอดยิ้มของชายหนุ่มเบื้องหน้าช่างแสนติดตรึงตรา...เอนีลยิ้มออกมาอย่างเผลอไผล เขาเอื้อมมือแตะเข้ากับชายตรงหน้าอีกครั้ง...คราวนี้มันอุ่นวาบ...อุ่นไปถึงหัวใจ..

             " ครับ..ผม เอนีล ชาส์เดอตง ยินดีที่ได้รู้จัก " ปลายนิ้วที่แตะกันผละออกห่างเชื่องช้าราวกับไม่อยากให้เวลาผ่านผัน..และรอยยิ้ม...ที่พาดผ่านบนใบหน้าหล่อเหลานั่นยังคงทอดมองมาที่ตนไม่ละวาง.

             " เราไปหาที่คุยกันดีไหมครับ ...ส่วนสัมภาระ ฝากไว้ที่นี่ก็ได้ ผมกำลังจะไปทานข้าวพอดี " นายแพทย์หนุ่มเอ่ยชักชวน หลังจากยืนนิ่งตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนในคลินิกมาครู่ใหญ่ ชายหนุ่มเบื้องหน้าพยักหน้ารับ เขาเอ่ยปากขอใช้ห้องแต่งตัวและออกมาในสภาพเสื้อสูทพาดลงบนท่อนแขน ก่อนจะเดินตามหลังนายแพทย์หนุ่มไปอย่างว่าง่าย...ด้วยรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าและดวงตาที่วาววับถูกใจ..

................................

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL Lost 2 : ไคลน์ สไตรค์เซอร์
«ตอบ #3 เมื่อ26-05-2014 19:18:39 »

Lost 2 : ไคลน์ สไตรค์เซอร์



          ร้านอาหารแบบBrasserie เปิดขายทั้งวันไม่มีพัก ทำเลตั้งอยู่ใกล้ๆคลินิกเป็นที่ชื่นชอบของแพทย์หนุ่มพอสมควร เขาเดินนำแขกไม่ได้รับเชิญมาถึงอย่างรวดเร็ว ตัวร้านที่ตกแต่งย้อนยุคมีข้าวของโบราณจากหลายแห่งทั่วโลกประดับโดยรอบนั้นถูกรสนิยมคนฝรั่งเศสนัก เพราะมีลูกค้าแวะเวียนมาไม่ขาดสาย

        เอนีลเดินนำชายแปลกหน้าเข้ามาภายในร้านอย่างเคยคุ้น เขาโบกมือทักเจ้าของร้านและยิ้มรับเสียงทายทัก  ภายในร้านมีผู้คนอุดหนุนกันหนาตาพอควรเนื่องจากถึงเวลาเที่ยงวันนัยน์ตาสีฟ้าสดกวาดมองคร่าวๆก่อนจะก้าวไปยังบันไดที่อยู่ใกล้กับเคาน์เตอร์เก็บเงิน ซึ่งนำไปสู่ชั้นสองของร้าน โดยที่มีบุรุษแปลกหน้าเดินตามไม่ห่าง....

      ย่ำขึ้นบันไดเวียนแคบๆ รองเท้าบู๊ตกระทบเหล็กส่งเสียงโกร่งกร่าง ไม่กี่ก้าวก็โผล่มายังชั้นสองที่คับแคบกว่าตัวร้านด้านล่าง หากแต่เงียบสงบเหมาะสำหรับเป็นที่พูดคุยชั้นดี

          “..โอ....." ชั้นสองของร้านนั้นแคบลงทั้งด้วยพื้นที่และของประดับตกแต่ง ด้วยมีรูปภาพสีน้ำหายากและตำราหนังสือกับอุปกรณ์ดาราศาสตร์เก่าๆจัดวางอยู่อย่างมีสไตล์บ่งบอกความชื่นชอบและหลงใหลในวัตถุโบราณของเจ้าของร้านได้อย่างดี  แพทย์หนุ่มอดจะยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อแว่วเสียงครางเบาๆในลำคอของชายหนุ่มแปลกหน้า

      ดวงตาของชายหนุ่มผู้มองวาววับเต็มไปด้วยความประทับใจ ไคลน์กวาดตามองรอบห้องอาหารบนชั้นสองแล้วแทบจะผิวปากหวือ ตะเก้าอี้เข้าชุดกันกระจายสี่ห้าตัวรอบบริเวณ  บนเพดานมีรูปวาดเลียนแบบการโคจรของสุริยะจักรวาลของดาร์วินชี  ผนังทั้งสองด้านมีหนังสือเล่มหนาวางเรียงอยู่บนชั้น และด้านหน้าของร้านเป็นระเบียง ที่เปิดออกกว้าง ชวนให้ก้าวไปนั่งบนเก้าอี้ใกล้ระเบียงที่มีพันธ์ไม้เลื้อยขนาดเล็กปลุกไว้ในกระถาง

          ทรุดกายนั่งตามหลังนายแพทย์หนุ่ม ถอนหายใจอย่างพึงใจในความงดงามและเงียบสงบ คงบรรยากาศเก่าๆในปลายศตวรรษที่18 นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจึงยิ่งวาววับชอบใจ และหันไปมองสบตาคนที่พามาอย่างชื่นชม..

             “...ร้านนี้สวยมากเลยครับ...Beautiful ...” อุทานออกมาโดยไม่รู้เลยว่าทำให้เด็กหนุ่มผู้รับออร์เดิอร์ถึงกับหน้านิ่ว...ไม่ต่างจากผู้ฟังที่คลายรอยยิ้มลงช้าๆ...หากก็ยังยิ้มรับ..
         
            “..รับอะไรดีครับ? “บริกรหนุ่มน้อยในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลอ่อนและกางเกงสีเดียวกันคาดเอี๊ยมสีขาวออกปากถาม ในมือถือดินสอและกระดาษเตรียมพร้อม

            “...กาแฟคาปูชิโน่...แล้วของผมขอซุปหัวหอมกับตับบดแล้วก็บาแกตต์ด้วยนะ...คุณล่ะครับ ทานอาหารกลางวันมารึยัง? “ เอนีลออกปากถามชายหนุ่มเบื้องหน้า

     “ ยังครับ...เอาแบบคุณเลยก็แล้วกันแต่เปลี่ยนจากบาแกตต์เป็นครัวซองต์นะ...” ออกปากสั่งพลางกระชับเสื้อสูทสีดำที่ใส่อยู่ ไคลด์แย้มรอยยิ้มส่งให้แพทย์หนุ่มตรงหน้าอย่างเป็นมิตร นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนสบกับดวงตาสีท้องฟ้าสด ทั้งอ่อนโยนทั้งเริงรื่น....

              ...สายตาจับจ้องไม่กระพริบ...จ้องมอง...ราวกับรอคอย มองหาคนๆนี้มานานแสนนาน...       

   “..เอ่อ...ที่คุณบอกว่า มีข่าวจากพี่ชายผมมาแจ้ง..” กระแอบเบาๆ ด้วยความขัดเขินกับแววตาหวานๆแสนจะมีสเน่ห์ของผู้มาใหม่ซึ่งเอาแต่จับจ้องไม่วางเสียจนประหม่า นัยน์ตาสีฟ้าสดเสหลบ..ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าดวงตาวาววับนั้นทำให้เขาขัดเขิน และผิวแก้มเริ่มผ่าวร้อนอย่างไม่ควรจะเป็น..

           “..อ่า...ใช่ครับ....ก่อนอื่น....นี่ครับ..จดหมายจากนายพลชาส์เดอตงส์ คุณพ่อของคุณ “ ปลายนิ้วยาวเรียวเอื้อมไปคว้ากระดาษสีน้ำตาลปึกหนาจากกระเป๋าเสื้อสูท ส่งซองกระดาษหนามาให้ เอนีลเลิกคิ้วนายแพทย์หนุ่มยื่นมือรับ มองดูสัญลักษณ์ตราประจำตัวของผู้เป็นบิดาที่อยู่ข้างตราประจำตระกูลและลายมืออันเคยคุ้น..มองสำรวจมันจนแน่ใจเขาจึงพยักหน้ารับก่อนจะร้องหากรรไกรจากเด็กเสิร์ฟ..

           มองเห็นสีหน้าที่งวยงงมาวูบหนึ่งของชายหนุ่มตรงหน้า นายแพทย์หนุ่มจึงโคลงศีรษะ แย้มรอยยิ้มขัดเขินอยู่ในที

           " คุณอาจจะมองว่าผมเจ้าระเบียบไปนะ..แต่ว่ามันเป็นความเคยชินไปแล้วน่ะ .." นัยน์ตาพราวระยับขบขันยามเอ่ยถึงพฤติกรรมของตัว ใบหน้าหวานขยับกระซิบกระซาบราวกับกับเด็กหนุ่มนินทาผู้ปกครองชวนให้นึกขันปนเอ็นดู..ไคลน์หัวเราะรับเบาะสบมองนัยน์ตาสีฟ้าสวยมีสเน่ห์ของบุรุษผู้งดงามเบื้องหน้าอย่างสนใจ...

           ปลายนิ้วเรียวยาวซ้ำยังเนียนสวยอย่างหาได้ยากช่างดูเหมาะสมกับอาชีพแพทย์นัก ไคลน์ สไตรเซอร์ ทอดมองกริยาของนายแพทย์หนุ่มชาวปารีเซียงที่ขยับสอดปลายนิ้วเข้าไปในกรรไกรอันเขื่องเพื่อตัดปากซองจดหมายอย่างประณีตด้วยความชื่นชม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายชอบใจอย่างเห็นได้ชัด...

            "...อาหารมาแล้วครับ " เด็กเสิร์ฟเดินถือกาแฟและถาดอาหารมาวางบนโต๊ะอย่างชำนิชำนาญ กลิ่นอาหารหอมฉุยเรียกน้ำย่อยประกอบด้วยซุปหัวหอม ตับบด และขนมปังบาแกตต์กับครัวซองต์อย่างละชุด พร้อมกาแฟคาปูชิโน่ส่งกลิ่นหอม  " กาแฟคาปูชิโน่สอง ซุปหัวหอมและตับบดอย่างละสองชุด...ขนมปังปาแกตต์หนึ่งกับครัวซองต์หนึ่ง...ได้รับอาหารครบนะครับ เมอร์ซิเยอร์ .."
       
           ..เอนีลพยักหน้าขอบคุณปลายนิ้วเรียวหยิบเอาธนบัตรใบสิบเหรียญวางบนถาดใส่รายการอาหาร ขณะที่เด็กเสิร์ฟโค้งรับเอ่ยปากขอบคุณสำหรับทิปก่อนจะรับเอากรรไกรจากมือเรียวแล้วเดินจากไป
         
          ค่อยคลี่กระดาษออก นัยน์ตาสีฟ้าใสกวาดมองตัวอักษรบนกระดาษสีขาวอย่างถี่ถ้วน พลันใบหน้าของผู้อ่านก็เคร่งขึ้น ไคลน์ลอบสังเกตอาการนั้นอย่างพิจารณา พลันสบกับนัยน์ตาของชายหนุ่มเบื้องหน้าซึ่งเงยหน้ามามองอย่างเผลอไผล

          "...โอ้...ขอโทษ...เชิญคุณทานก่อนได้เลยครับ..." นายแพทย์หนุ่มพับจดหมายลงพร้อมกับเอ่ยปากด้วยท่าทีเกรงใจ ทำให้ผู้ฟังขยับรอยยิ้มบาง

         "....ไม่เป็นไร...ผมรอได้...." วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ...ใบหน้าหล่อเหลาทอดมองไปยังนอกร้านที่บัดนี้ท้องฟ้าครึ้มต่ำ..ฝนตกมาปรอยปราย...

         "... คุณเป็นทหาร? " ผ่านไปสักครู่...เอนีลเลิกคิ้ว หลังจากอ่านจดหมายจากบิดาจบ แพทย์หนุ่มกุมมือสอดประสานปลายนิ้วของตนเข้าหากัน ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยท่าทีสุภาพและป็นทางการ  ผิดกับอาการสบายๆเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง

         " ผมเป็นแพทย์ทหาร " ไคลน์เอ่ยตอบ จ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าที่มีท่าทีเคร่งขรึมขึ้น  ผิดแผดจากบรรยากาศเป็นกันเองเมื่อครู่ราวกับคนละคน นั่น.. ทำให้เขานึกรู้ ว่าผู้ชายคนนี้คงไม่ได้มีความชื่นชอบในตัว"ทหาร"เสียเท่าไหร่

         “ คุณเป็นคนอังกฤษเหรอ? เมื่อครู่ผมได้ยินเสียงอุทานของคุณ “ เอนีลเลิกคิ้ว เอ่ยถามอีกครา..

         “ ทำไมหรือ..? รึว่านั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณมีท่าทีแบบนี้ ? “ นายทหารหนุ่มเลิกคิ้ว.. นั่นทำให้ผู้ฟังมีสีหน้าละอายวูบ..

         “ ไม่ๆ ผม....ผมแค่สงสัย...ว่าทำไมคุณมาอยู่ที่ฝรั่งเศส..ก็เท่านั้น ” แพทย์หนุ่มแก้ตัวเบาๆ ไม่อยากให้ถูกมองว่าเป็นพวกมีอคติ ไม่ชอบหน้าใครเพียงแค่เหตุผลว่าเป็นชนชาตินั้นชนชาตินี้...แม้ว่าเรื่องที่คนฝรั่งเศสกับอังกฤษไม่ถูกกันจะเป็นเรื่องที่...รู้ๆกันอยู่ก็เถอะ

           “ ผมเป็นลูกครึ่ง ฝรั่งเศส-อังกฤษ...และก่อนที่คุณจะถาม... “ ไคลน์ยกแขนขึ้นวางบนพนัก หลังมือเท้าคางตัวเองอย่างสบายๆผ่อนอารมณ์ ต่างกับคนฟังที่มีท่าทีเคร่งขรึม “ ผมเลือกจะรับใช้กองทัพฝรั่งเศส..”

          "....ขอบคุณครับ..ที่คุณเล่าให้ผมฟัง..และอีกเรื่อง ในจดหมายนี้พ่อผมเขียนว่าคุณเคยประจำที่แคว้นไรน์แลนด์ " เอนีล ชาส์เดอตงส์ยกรอยยิ้ม หากเป็นรอยยิ้มเครียดขึงแปลกตา "..ผมคิดไม่ออกเลยว่าทำไม นายทหารที่มากด้วยความสามารถอย่างคุณ ถึงต้องถ่อมาหาผม...ตามคำสั่งบ้าๆของพ่อ "

         "ผมไม่คิดว่าความห่วงใยของท่านนายพลที่มีต่อคุณ จะเป็นอะไรที่บ้าๆบอๆหรอกนะครับ เมอร์ซิเยอร์..." ไคลน์ยกรอยยิ้มให้กับแพทย์หนุ่มที่มีท่าทีเครียดเคร่งเบื้องหน้า " และ...นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าคุณก็รู้...ว่าตอนนี้ทหารฝรั่งเศสไม่ได้ประจำที่แคว้นนั้นอีกต่อไป ...นั่นไม่ใช่"พื้นที่"ของประเทศเราในตอนนี้...มันจึงไม่มีเหตุผลอะไร ที่ผมจะไม่ออกมาจากที่นั่น "

          ".....แล้วมันจำเป็นเหรอครับ ที่คุณต้องมา"คุ้มครอง"ผมตามคำสั่ง...ไม่คิดว่ามันเสียเวลาเปล่าบ้างรึไง ? " เอนีลขยับยิ้มเครียดอย่างไม่นึกขัน ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องแคว้นไรแลนด์ที่ถูกเยอรมณียึดครอง ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าผู้เป็นพ่อของตน..นายพล  เกรฟฟิน ชาส์เดอตงส์ ผู้กำลังกุมอำนาจกองทัพและลงไปสู้ในเวทีแย่งชิงความเป็นใหญ่ของประเทศ จะนึกห่วงใยความปลอดภัยของลูกชายคนเล็กของบ้าน...ที่อาจจะถูกพวกคู่แข่งตามปองร้ายเอาได้

       ทว่าเพียงแค่การซื้อตึกทั้งหลังและจ้างยามรักษาความปลอดภัยแน่นหนา อีกทั้งให้คนรับใช้เก่าแก่ของบ้านมาตามดูแล นั่นก็เพียงพอแล้ว เขาไม่เข้าใจเลยว่าผู้เป็นบิดาจะส่งแพทย์ทหารนายนี้มาอีกทำไม...เพื่ออะไรกัน "ชีวิต"ของเขาไม่ได้สำคัญมากขนาดจะมีใครเฝ้าปองร้ายตลอดเวลาเสียหน่อย

          "...มันเป็นคำสั่ง...ผมต้องทำตาม และไม่คิดว่ามันเป็นการเสียเวลาเปล่าหรอกครับ... " ไคลน์จ้องมองดวงตาสีฟ้าสดของชายหนุ่มเบื้องหน้าพร้อมยกรอยยิ้มบาง " ผมเต็มใจและพอใจ"อย่างยิ่ง"ที่จะมาปกป้องคุณ..”

       “......จากทุกๆสิ่ง "     

    ".........." เอนีลชะงัก...แพทย์หนุ่มหรี่ตาลงช้าๆนิ่งไปกับคำพูดประโยคหลังของชายหนุ่มเบื้องหน้านั้น ไม่ใช่ว่ามันจะลึกซึ้งตรึงตรา..หากแววตาสีน้ำตาลคู่นั้น กับฝ่ามือที่เลื่อนมากุมมือเขาและบีบแน่นนี่ต่างหากเล่า...ที่ชวนให้ต้องนิ่งงัน


              คำพูดที่เอ่ยว่าจะปกป้อง...จากทุกสิ่งและดวงตาที่จ้องมองมาคู่นั้น  ชั่ววูบหนึ่ง ชวนให้คิดคำนึงถึงสิ่งที่ตกตะกอนคั่งค้างอยู่ในความทรงจำ...สิ่งที่เรียกว่าฝันร้าย..ความฝันที่ไม่จางหายของเขา

              ....และลางสังหรณ์บางอย่าง....ที่ผุดขึ้นในใจอย่างเงียบงัน...
     

    " คุณคงไม่ใจร้าย...ขนาดจะไล่ผมกลับไปหรอกใช่ไหม? " ทหารหนุ่มผู้ตรงดิ่งมาจากสมรภูมิ   รบอันร้อนระอุเพื่อมาปกป้องตน เอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มบางด้วยตาแฝงแววเว้าวอน...ปลายนิ้วสีอ่อนนั้นไล้เบาๆบนหลังมือและข้อนิ้วแผ่ไออุ่น

          "....แล้วพี่ผม....." ริมฝีปากบางค่อยเอ่ยคำ เอนีลหรุบนัยน์ตาลงอย่างเชื่องช้า หลังมือที่ชายหนุ่มแตะไล้นั้นยังคงทิ้งสัมผัสอุ่นวาบ ทั้งที่ปลายนิ้วนั้นละห่างออกไปแล้ว

          "...พี่ชายคุณ...ฝากฝังมาดูแลคุณเช่นกัน...และ...ในกรณีนี้ เขาได้เล่าถึงความฝันของ...."

        ตึก !          

            ฝ่ามือขาวจัดกำแน่นและออกแรงทุบโต๊ะไม่เบานัก ทำให้ทหารหนุ่มที่กำลังเอ่ยคำพูดชะงัก เขาจ้องมองนัยน์ตาสีฟ้าสดที่ฉายแววไม่พอใจอย่างลึกซึ้งด้วยสีหน้าตกใจไม่น้อย ขณะที่เอนีลลุกพรวด

        "....อ้อ แบบนี้นี่เอง..." นายแพทย์หนุ่มหัวเราะหึ ยิ้มออกมาอย่างขับขันปนหงุดหงิด " แบบนี้เองสินะ ทั้งจดหมายจากพ่อ ทั้งคำสั่งจากพี่ผม...ก็ว่าอยุ่แล้วว่ามันแปลกๆ....”

         “...หึ ฝากมาดูแลงั้นเหรอ? พวกเขากลัวว่าผมจะเป็นบ้าใช้ไหม?กลัวว่าผมจะไปทำอะไรให้พวกเขาเสียชื่อเสียงใช่รึเปล่า ถึงส่งคุณมาควบคุมผม ...เป็นห่วงงั้นเหรอ บ้าบอทั้งเพ ! "

             " คุณ...."
         
             " กลับไปเลย เชิญเลย ผมเชิญคุณกลับไปในที่ๆคุณมา...เมอร์ซิเยอร์สไตร์คเซอร์ ...ผมไม่-ได้ -เป็น- บ้า ผมปกติดีและมีคนคอยคุมมากพออยู่แล้ว ออกไปให้พ้นหน้าผมซะ  ! " ปฏิกริยาที่รุนแรงขึ้นมาทันควันเมื่อถูกเอ่ยถึงความฝันของตนทำให้ทหารหนุ่มหน้านิ่ว  ไคลน์มองใบหน้าของหนุ่มฝรั่งเศสเบื้องหน้าที่ฉายแววโกรธเกรี้ยวไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดอย่างฉงนฉงาย  ได้แต่มองนัยน์ตาสีฟ้าสวยคู่นั้นถลึงมองเขาอย่างไม่พอใจเป็นที่สุด

        "...นี่คุณ ใจเย็นก่อนได้ไหม? " ไคลน์ยกมือขึ้นเชิงยอมแพ้กับท่าทีโวยวายไม่พอใจของนายแพทย์หนุ่ม...ผู้ซึ่งเคยยิ้มแย้มต้อนรับเขาเป็นอย่างดี แต่พอเอ่ยถึงธุระที่มาเท่านั้นแหละ...

          "...ไม่ จะให้ผมเย็นอะไรอีก...ให้ตาย ผมหงุดหงิดมามากพอแล้วนะ ผมเหนื่อยกับการต้องถูกเชิญไปพบหมอ ถูกตรวจนั่นโน่นนี่...พอผมปฏิเสธก็ให้มาหาถึงที่งั้นเหรอ? เอาผมไปช๊อตไฟฟ้าเสียดีไหม!? " แพทยืหนุ่มสถบอย่างหัวเสีย เอนีลเอื้อมมือคว้าเสื้อคลุมที่พาดไว้บนพนัก บ่งชัดว่าจะไม่ขออยู่ร่วมบทสนทนาอีกต่อไป เขาเสือกเก้าอี้ที่ลุกพรวดออกมาเข้าไปในโต๊ะอย่างรุนแรง

            "ให้ตายสิ พอกันที !! "
       
            " ....โอ้ยยย คุณนี่อารมณ์ร้อนเป็นบ้า นั่งลงแล้วคุยกันก่อนได้ไหม? " ไคลน์ลุกพรวดไปคว้าแขนแพทย์หนุ่มที่ทำท่าจะเดินออกไปอย่างรีบร้อน

           "ไม่....เรื่องนี้ผมจะไปคุยกับพ่อผมเอง " เอนีลพยายามสะบัดแขนออกมจากมือหนา อย่างหงุดหงิดสีหน้าบูดบึ้งไม่พอใจ

           " นี่...ฟังผม มองตาผมสิ !! " ฝ่ามือของไคลน์ สไตร์เซอร์เอื้อมมาบีบไหล่ทั้งสองข้างแน่น ทำให้เขาถึงกับหน้านิ่ว เอนีลเม้มปากแน่นอย่างไม่พอใจ เขาคำรามในลำคอกับการดูหมิ่นนี้ ก่อนจะถลึงตาพรืด มองตาชายหนุ่มตรงหน้าอย่างประสงค์ร้าย

           "...อะไรอีก คุณ ผมจะไป........."

             "....คุยกับผมก่อน..." นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นลึกลับและยากจะหยั่งถึง เปลี่ยนจากแววตาเริงรื่น เป็นดวงตาแฝงความนัยบางอย่างที่แสนลึกซึ้ง...แฝงพลังบางอย่างที่ไม่อาจรู้..เอนีลชะงัก..หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจค่อยคลายลงช้าๆอารมณ์ที่เคยเร่งร้อนไม่พอใจค่อยสงบลงอย่างประหลาด..

       นัยน์ตาสีฟ้าสดจ้องมองแววตาคู่นั้น และมองริมฝีปากที่เอ่ยถ้อยคำบางอย่างที่เขาไม่รู้จัก แต่มันก้องในสมอง ชวนให้มึนงง เบลอพร่า...ก่อนที่เขาจะค่อยพยักหน้าอย่างเชื่องช้า...แววตาลอยเหม่อ

        " .....ครับ..คุยกับผมก่อน...ใช่..." ถ้อยคำเอ่ยราวกับกระซิบ หากแต่ก้องในสมอง ฝ่าเท้าที่เคยก้าวออกไปพลันหมุนกลับและทรุดกายลงบนเก้าอี้อย่างรวดเร็ว...ดวงตาสีฟ้าสดใสยังคงจ้องมองนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นไม่วางตา..

          " ฟังนะ....เอนีล ผมไม่ได้คิดว่าคุณเป็นบ้า...ผมแค่อยากมาดูแลคุณ.." ปลายนิ้วนั้นไล้หลังมือของเขาไปมาอย่างนุ่มนวล แผ่วเบา...ผสานกับถ้อยคำเอ่ยนุ่มหู...

        "...แต่...ผม...."

        " ใครๆก็มีความฝัน ใครๆก็มีเรื่องฝังใจและลืมไม่ลงกันทั้งนั้น...ผมอยากให้คุณเชื่อว่าผมห่วงคุณ และอยากให้คุณเชื่อว่าผมหวังดีต่อคุณจริงๆ จึงได้อยากคอยดูแลใกล้ๆ..."

       "... คุณ...ผม...." ดวงตาคู่สวยลอยคว้าง ริมฝีปากบางเอ่ยถ้วยคำเพียงแผ่วเบา ไม่ปะติดปะต่อ

      " ครับ..ผมห่วงคุณและอยากอยู่ดูแลคุณ...ให้โอกาสผมได้ไหม? "เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบแผ่ว ฝ่ามือหนาดึงมือขาวนั้นเข้ามาจุมพิตแผ่วเบา....แสดงความรักใคร่อย่างชัดเจนทว่ามันก็ดูแสนจะแปลกประหลาดสำหรับคนที่ได้พบกันเพียงไม่นาน แต่เอนีลกลับไม่แม้แต่จะออกปากท้วง ดวงตาคู่นั้นเหม่อลอยราวกับไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น....ไร้อาการชะงัก สะดุ้งไหวแม้กระทั่งริมฝีปากหนาของชายหนุ่มแตะลงบนขมับแผ่วเบา เขาก็นิ่งงันราวกับไม่รู้...ไม่เห็น...

             ....ที่ได้ยิน มีเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบา....หากหวานล้ำ
             เสียงของคนพูดนั้นสั่น....สั่นไหวระริกราวกับจะขาดใจ


             .... “ ผมรอเวลานี้มานานแล้ว..ที่รัก...”

       อย่างเชื่องช้า...ชายหนุ่มผู้ฟังจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มลอยเหม่อ รับรู้คำถามที่ต้องการคำตอบ อ้อมกอดและใบหน้าที่แนบชิด..ริมฝีปากที่แตะลงบนขมับและฝ่ามือจึงค่อยผละห่าง..วางท่าเช่นเดิม ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะยกขึ้นแล้วโบกผ่านใบหน้าที่ยังคงเหม่อลอยอย่างรวดเร็ว..

       " อ๊ะ....นี่ ...." ราวกับหลุดจากภวังค์ความคิด นัยน์ตาคู่สวยที่เคยเลื่อนลอยกลับมาสดใสวาววับ มันเกลื่อนด้วยแววประหลาดใจเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหันไปมองชายผู้นั่งอยู่ตรงหน้าซึ่งยิ้มอาดูร...อ่อนหวาน

      "....คุณอารมณ์เสียทุกครั้งที่มีคนพูดเรื่องนี้รึเปล่า " คำถามเรียบเรื่อย ไม่ได้เจาะจง หากแต่ค่อยเอ่ยอย่างเป็นกันเอง ลดอาการต่อต้านลงไปได้มาก

      "...ก็ผม....." เอนีลเม้มปาก สีหน้าลังเล

       " เข้าใจครับ ว่าเป็นใครก็คงไม่พอใจ " ไคลน์ยิ้มให้ชายหนุ่มเบื้องหน้า “ แต่ผมไม่ได้มาจับคุณไปช๊อตไฟฟ้าเสียหน่อย ผมแค่ของมาอยู่ด้วย ได้ไหม? “

         “ ชั้นสี่....ของอพาร์ทเม้นท์มีห้องว่างให้เช่า “ นิ่งอยู่นาน ไตร่ตรองผลดีผลเสียและปฏิกริยาของคนรอบข้าง เอนีล ชาส์เดอตงส์จึงถอนหายใจเฮือก ยินยอมในที่สุด..

           “ อย่างนี้สิ...” ไคลน์ยิ้มกว้าง เขายื่นมือจับกับบุรษเบื้องหน้าแล้วเขย่าอย่างยินดี..

           “ ยังไงผมก็ไล่คุณไปไม่ได้แล้วนี่ แต่ค่าเช่าแพงนะ บวกค่าอาหารด้วย “หนุ่มปาริเวียงยักไหล่ จิบกาแฟแก้อาการขวยเล็กๆ..

           “ เท่าไหร่ก็ยอม..” เพราะสีหน้ามาดมั่นและยินดีนักหนานั่นแหละ ทำให้ต้องหลบตากันเป็นพัลวัล แพทย์หนุ่มขบริมฝีปากเข้าหากันน้อยๆ...ชักจะรู้สึกถึงเสียงหัวใจที่ไม่ปกติของตัวเอง..

                ....รู้สึก...แปลกๆ
 
                 เหมือนอะไรหายไปสักอย่าง...บทสนทนา...ความจำ หรือ...อะไรคล้ายๆอย่างนั้น...

                 มองรอยยิ้มกรุ่มกริ่มแล้วหัวใจร้อนผ่าว..ริมีฝีปากอีกฝ่ายบางเฉียบแย้มเป็นรอยยิ้ม..ทำไม....ถึงได้รู้สึกราวกับว่ามันเคยสัมผัสแตะต้องร่างกายของเขา...ทั้งที่....เพิ่งพบเจอกันแท้ๆ...

         นัยน์ตาสีฟ้าสดหรุบต่ำ..เม้มปากแน่น พยายามปัดความสงสัยหรือความตะขิดตะขวงแปลกๆที่เกิดขึ้นในใจออกไป บอกตัวเองว่าเขาชักจะเบลอไปหน่อยแล้ว คงเพราะฝันร้ายและอาการนอนไม่พอ สะดุ้งตื่นมากลางดึกทุกคืนๆแน่ๆ ที่เล่นงานให้เขากลายเป็นพวกเพ้อพกชอบคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย…ไอ้ความหลงหรือภาพหลอนนั่น มันต้องพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์สิ !.

     ...มันส่งผลให้ชื่นชอบหรือตกหลุมรักคนง่ายไปรึเปล่านะ...เอนีลก้มหน้าจิบกาแฟอีกครั้ง ก่อนจะครางออกมาเบาๆเมื่อความร้อนเล่นงานปลายลิ้นจนชาวาบ


.................................

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL Lost 3 : ระวังภัย
«ตอบ #4 เมื่อ26-05-2014 19:29:35 »

Lost 3 : ระวังภัย


        การรักษาในช่วงบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่แฝงความทุลักทุเลเอาไว้ สมาธิที่ไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวมากนัก ทั้งสมองที่วนเวียนคอยแต่จะคิดถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงเที่ยงวันและชายผู้มาเยือน เรื่องเหล่านี้มันทำให้แพทย์หนุ่มนึกหงุดหงิดกับตัวเองไม่น้อย การทำตัวเช่นนี้มันไม่ใช่ปรกติของเขาเอาเสียเลยพฤติการณ์ลอยเหม่อไม่เป็นมืออาชีพชวนให้กระแสความหงุดหงิดยิ่งพาดผ่าน แต่ทว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจจะสลัดใบหน้าของชายคนนั้นออกจากสมอง..

        ....ไคลน์ สไตรค์เซอร์      

               ชายผู้ที่เพิ่งพบเจอหากแต่ติดตรึง..อย่างที่ไม่ควรจะเป็น อีกทั้งคุ้นอย่างที่ไม่ควรจะคุ้น..

        ..ลางสังหรณ์กรีดร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง สัญชาตญาณบอกให้ระวังภัย ทว่าในหัวใจกลับเหมือนมีวิญาณที่ขัดแย้งบางอย่างคอยกระซิบให้จ้องมอง จับจ้อง และสนใจไว้ใจชายผู้นั้นอย่างใจภักดิ์

          เสียงที่น่ารำคาญนั้นบอกให้เชื่อทุกคำที่ได้ฟังจากริมฝีปากนั้น หัวใจที่เหมือนไม่ใช่ของตัวเองกำลังร้องหาความอบอุ่นจากฝ่ามือคู่นั้นมาแนบชิด

        ...น่ารำคาญ ชวนให้หงุดหงิด สับสนและไม่แน่ใจเอาเสียเลย     

    คิดมากไปก็เหมือนจะเปล่าประโยชน์..ถอนหายใจเฮือก หยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อนิ่มมาสวมและโยนเสื้อกาวน์ของตนลงตะกร้าซักรีด มองนาฬิกาที่บอกเวลาหกโมงเย็น ท้องฟ้ายามเย็นในต้นเดือนพฤษภาคมของวันที่ฝนตกปรอยปรายนั้นมืดหม่น ขมุกขมัวด้วยแสงอาทิตย์ที่ลาลับ ดวงไฟสีเหลืองอ่อนจางหน้าคลินิกที่ปิดทำการส่องเเสงจ้า สาดผ่านประตูกรุกระจกมายังภายในตัวอาคาร สรรพเสียงเคลื่อนไหวของผู้คนที่เคยพลุกพล่านในยามเช้าเหลือเพียงความเงียบงัน คลินิกถูกพลิกป้ายปิดทำการ

        แพทย์หนุ่มเจ้าของสถานที่เปลี่ยนชุดลำลองแล้วเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า สวนกับผู้ช่วยคนเก่งที่กำลังเก็บข้าวของอยู่ในห้องพัก

           " ว่าไง นิโคลัส เหนื่อยหน่อยนะวันนี้ "  เอนีลทักผู้ช่วยของตนด้วยรอยยิ้ม

           " ไม่เป็นไร ผมเต็มที่อยู่แล้ว " นิโกลัสหัวเราะรับคำทายทักออกปากหยอกเย้าด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตามองร่างของนายจ้างหวังให้ฝ่ายนั้นหันมาหา ทว่าก็เป็นเขาที่ต้องขมวดคิ้ว ออกปากทักเมื่อคนที่เคยยิ้มแย้มเริงร่ากลับเงียบงันอย่างไม่ควรจะเป็น..

          " เป็นอะไรไปครับวันนี้ ดูคุณใจลอยนะ " ผู้ถูกทักสะดุ้งโหยง สบถในใจงึมงำว่าขนาดคนอื่นยังสังเกตเห็น..ว่าแล้วเอนีลก็ถอนหายใจอีกเฮือก

           "ขอโทษด้วยนะ..อา... แล้วนี้จะไปโรงพยาบาลเหรอ? " มองร่างของนิโกลัสที่กำลังหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาแล้วใส่เสื้อโค้ตตัวเก่ง ผู้ช่วยของเขาคนนี้ยังเป็นนักศึกษาแพทย์จบใหม่อายุน้อย เขากำลังศึกษาต่อทางด้านแพทย์เฉพาะทางและทำงานเป็นผู้ช่วยของเอนีล อีกทั้งเจ้าตัวยังมีหน้าที่ขึ้นเวรดูแลผู้ป่วยของโรงพยาบาลประจำเขตอีกด้วย

          " ครับ...วันนี้ผมมีคนไข้อีกสองรายต้องตามอาการน่ะ.." นิโกลัสพยักหน้ารับ มองเสี้ยวหน้าของผู้เป็นเจ้านายตนแล้วโคลงศีรษะ " ช่วงนี้คุณดูเหนื่อยๆนะ อย่าเครียดให้มากนักนะครับ..."

          "อืม ขอบใจ...." พยักหน้ารับคำเตือนนั้นแล้วโบกมือลาให้ผู้ช่วยคนเก่งรีบจ้ำออกไปจากด้านหลังคลินิก มองตามแผ่นหลังที่ค่อยลับไปช้าๆ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อแว่วเสียงพิมพ์ดีดดังขึ้นเบาๆด้านหน้าโถงรอญาติ

         แพทย์หนุ่มเดินออกไปมองเหตุการณ์ ด้วยสีหน้างวยงงไม่น้อยก่อนจะพบกับดวงตาสีเขียวสดของเลขาสาวที่จ้องมองมายังเขาด้วยแววตาพราวระยับ ทำให้ตนยิ้มออก และนึกตำหนิตัวเองในใจที่ลืมไปว่าคลินิกแห่งนี้ยังมี
ผู้ช่วยสาว ผู้น่ารักอยู่อีกคน

          " คุณหมอ...ช่วยมาดูบัญชีค่าใช้จ่ายเดือนนี้ด้วยค่า " เจ้าหล่อนส่งเสียงหวานมาให้แล้วยิ้มยินดี เอนีลพยักหน้าและก้มมองกระดาษในแฟ้มสีเข้มนั้น เขากวาดตามองมันอย่างถี่ถ้วน พยายามให้ความสนใจทว่าในยามนี้ตัวเลขใดๆก็ดูจะไม่เข้าสมองทั้งสิ้น

        " ขอบคุณครับ ทำงานเร็วตลอดเลยนะเมลิสสา...ยังไงคืนนี้ผมขอเวลาดูรายละเอียดแล้วกันนะ " เอนีลยิ้มเอาใจสาวเจ้า เรียกพวงแก้มขาวของหล่อนแดงขึ้นด้วยความชื่นมื่น แพทย์หนุ่มยิ้มรับ ก่อนจะออกปากอนุญาตให้เธอเลิกงานและกลับบ้าน กระทั่งเมื่อร่างนั้นเดินหายไปจากห้องโถง ก็เหลือเพียง เอนีล ชาส์เดอตงส์ นายแพทย์หนุ่มยืนเคว้งอยู่ท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเสียงพัดลมดังเบาๆเท่านั้น..

         จ้องมองบรรยากาศภายในคลินิกของตน ร่างของเอนีลยืนอยู่ท่ามกลางห้องที่เงียบสนิทไร้ผู้คน ทั้งที่เคยคุ้น...ทั้งที่เป็นที่ทำงานและที่พักของตนมานานวัน ทว่ายามนี้...ในวันที่ฟ้าครึ้มหม่น มีสายฝนหล่นโปรยปรายและบรรยากาศร้อนอ้าว หน้าต่างที่ถูกปิดลงและเก้าอี้ที่ว่างเปล่าถูกคลุมทับด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่ พัดลมเพดานกำลังทำงานอยู่อย่างขันแข็งส่งเสียงครางเบาๆท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงจากหลอดอินแคนเดสเซนต์สาดสีเหลืองอ่อน ไล้ตามโครงร่างของวัตถุจนเกิดเงาดำสลับลดหลั่นกันไป ความเงียบ และสีสันของบรรยากาศแปรเป็นความเย็นยะเยือกและเคว้งคว้างเสียจนน่าขนลุก..

         เส้นขนอ่อนๆลุกเกรียวกราวขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกวาบลึกของผู้เป็นเจ้าของร่าง... นัยน์ตาสีฟ้าสดหรี่ตาลงช้าๆกับความรู้สึกแปลกที่ไหลผ่านทั่วกาย...

        ฝืนสูดหายใจลึก ควบคุมฝ่าเท้าที่เริ่มสั่นไหวให้มั่นคงแล้วก้าวออก แพทย์หนุ่มสาวเท้าไปยังนาฬิกาลูกตุ้มที่แกว่งไหวไปตามกลไก เขายืนจ้องมองการทำงานอย่างเที่ยงตรงและยังคงเป็นปกติของมันอย่างครุ่นคิด สมองไพล่นึกถึงระบบกลไกที่แปลกประหลาดไปในยามเช้าของวันอย่างนึกสงสัย...ทว่าชายหนุ่มก็บอกตัวเองไว้ว่ามันสมควรถูกซ่อม..เช่นเดียวกับตัวเขาที่สมควรพักได้แล้ว..

         ..สูดหายใจลึก ฝ่ามือเย็นชืดกำรวบเข้าหากันแล้วบีบแน่นรวบรวมพลังใจ แพทย์หนุ่มค่อยกำหนดลมหายใจ..สูดลึก...ค่อยปล่อยลงเนิบช้า...ยาวนานตามหลักการแพทย์เพื่อสงบอาการตื่นกลัว

        กระซิบบอกตนเองอย่างหนักแน่น..ความรู้สึกเย็นวาบ..หัวใจที่เต้นหน่วงเป็นจังหวะอันแปลกประหลาดเหล่านี้เป็นเพียงการอุปาทานเท่านั้น..เพราะเขาเหนื่อย เพราะตนเจอแต่เรื่องน่าประหลาดใจ จึงเกิดความระแวงสงสัยและมีพฤติการณ์เช่นนี้..

      ..เรื่องความรู้สึกแปลกประหลาดนี้เป็นเพียงการคิดไปเอง..ไม่ควรจะสนใจและจมจ่ออยู่กับมัน เพราะมันไม่มีจริง มันเป็นแค่ผลกระทบจากความเครียดและอาการนอนไม่พอเท่านะ..

              แกร๊ก... 

     เงาดำตัดกับแสงนวลของดวงไฟตัดผ่านมาด้านหลังอย่างรวดเร็ว  เสียงฝ่าเท้าและความเคลื่อนไหวที่ดังขึ้นด้านกลังทำให้ความคิดสะดุดลงและคนเหม่อถึงกับสะดุ้งสุดตัว!

      เอนีลใจหายวาบ ชายหนุ่มหันขวับไปมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและอารมณ์หวาดหวั่นสะท้านลึก หากพลันร่างที่เกร็งเขม็งค่อยคลายลงและตนเป็นฝ่ายถอนใจยาว..ค่อยกลับเป็นปกติเมื่อพบว่าร่างที่อยู่ด้านหลังคือไคลน์ สไตรค์เซอร์ ผู้อยู่ในชุดลำลองสบายๆและมีสีหน้างวยงงทั้งกังขา

        "ขอโทษ...ผมทำคุณตกใจรึเปล่า? " ชายหนุ่มเอ่ยถาม เลิกคิ้วขึ้นอย่างงวยงงไม่น้อย..

        " อา...ผมใจลอยเองล่ะ " แพทย์หนุ่มส่ายหน้าช้าๆ นัยน์ตาสีฟ้าสวยจ้องมองนายทหารหนุ่มเบื้องหน้าด้วยอาการโล่งใจขึ้น ความอบอุ่นที่แทรกผ่านบรรยากาศขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่มีการปรากฏตัวของชายหนุ่มเบื้องหน้าชวนให้คิดว่ามันเป็นเพราะความเงียบเหงาและวังเวงนี้รึเปล่า เมื่อมีคนเข้ามาพูดคุยจึงได้รู้สึกอุ่นใจนัก

         " คุณดูเหนื่อยๆนะ.." ไคลน์เอียงคอริมฝีปากหยักยิ้มจ้องมองใบหน้าและท่าทีของชายหนุ่มเบื้องหน้า เขามองเห็นดวงตาสีฟ้าสดน่าหลังไหลคู่นั้นเกลื่อนด้วยความขวยเขินเพียงชั่วครู่ก่อนจะเเปรเป็นรอยยิ้มบางอันแสนเคยคุ้น  เอนีล ชาส์เดอตงส์ยิ้มรับคำพูดของเขา เจ้าตัวพยักหน้าแล้วถอนหายใจ

          " นั่นสิ....ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน..." เอนีลเสหลบตาคนพูดที่มีท่าทีห่วงหานักอย่างรวดเร็ว แพทย์หนุ่มหันไปจ้องมองทางเดินสั้นๆด้านหลังของไคลน์เป็นการปกปิดความหวั่นไหว ก่อนจะเงยหน้ามองคนพูดอีกครั้ง " ...แล้วคุณ..หิวรึยังครับ ผมจะบอกให้พ่อบ้านจัดอาหารให้ "

           " ...รอคุณทำธุระเสร็จก่อนก็ได้...เราต้องทำความรู้จักกันอีกมากไม่ใช่หรือ?  " ไคลน์ยิ้มให้คนพูด ฝ่ามือของเขายกขึ้นและแตะลงบนเส้นผมสีทองอย่างเผลอไผล

          "..........." เอนีลสะดุ้ง นัยน์ตาสีฟ้าสดตวัดขึ้นจ้องมองชายหนุ่มผู้กระทำการอุกอาจอย่างตกใจไม่น้อย ชั่วขณะที่กวาดผ่านด้วยอารามตกใจ แพทย์หนุ่มมองเห็นดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเป็นประกายล้ำลึกด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่กล้าเข้าข้างตัวเอง..ว่ามันคือความรักใคร่โหยหา...หากพลันมันค่อยแปรเป็นความละอายวูบเมื่อสบดวงตาของเขา

           " ผมขอโทษ " ไคลน์รีบเอยปากเมื่อดวงตาคู่นั้นมองมา ทหารหนุ่มละมือจากเส้นผมสีทองหยักสลวยที่ตนเผลอใจไล้เล่นอย่างลืมตน สีหน้าเคอะเขินเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดนั่นทำให้เอนีลลอบถอนใจ

             ...ปัดความรู้สึกผิดหวังที่ตีตื้นขึ้นมาชั่วครู่แล้วยิ้มให้อีกฝ่ายเห็น     


    "  ...ไม่เป็นไร....ผมขอตัวไปพักก่อนนะ " เอ่ยปากแล้วเดินผ่านร่างที่ยืนนิ่งอยู่ตรงทางเดิน ริมฝีปากเม้มแน่นช้าๆ และเมื่อเดินผ่านมานั่นแหละ...ใบหน้าที่เคยนิ่งเฉย อีกทั้งร่างที่เดินผ่านออกมาอย่างองอาจราวกับไม่สนใจสิ่งใดจึงแปรเปลี่ยนไปทันควัน

       ..เอนีลขบปลายฟันลงกับริมฝีปากของตนอย่างเผลอไผล รู้สึกถึงใบหน้าที่แดงก่ำและลมหายใจสะดุดไหวของตนยามที่ปลายนิ้วนั้นแตะลงบนเส้นผม อีกทั้งเสียงเต้นเร่าของหัวใจและความรู้สึกบางอย่างที่ไหลผ่านร่างกาย..

     ....ทั้งคุ้นชิน...หลงใหล และรักใคร่...ทั้งปลายนิ้ว ฝ่ามือ เรือนกายหรือกระทั่งใบหน้าและดวงตาสีน้ำตาลของคนผู้นั้น ..
  .....รัก....ข้ารักเขาเหลือเกิน....


         ตึ่ก...         

             ฝ่าเท้าที่ก้าวขึ้นบันไดมายังชั้นสามของอพาร์ทเมนท์ และหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องของตนพลันชะงัก..เอนีลจ้องมองฝ่ามือของตนที่กำแน่นอยู่บนลูกบิดประตูสีทองด้วยความฉงนฉงาย นัยน์ตาสีฟ้าสดกระพริบถี่อย่างงวยงง  บังคับตนเองให้สูดหายใจลึกเพื่อระงับอาการเต้นแรงของหัวใจ
          
             ก้มมองฝ่าเท้าและร่างกายของตนเองด้วยความงุนงงยิ่งนัก แพทย์หนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดทั้งงวยงงและไม่เข้าใจว่าตัวเขาก้าวมาถึงหน้าห้องได้เร็วขนาดนี้เลยหรือ เขาขึ้นมาถึงเมื่อไหร่? เดินผ่านบันไดไปตอนไหน? กระทั่งฝีเท้าของตนที่ก้าวผ่านขึ้นมาและเสียงลมหายใจเหือดแห้งเพราะความเหนื่อยล้าก็ยังไม่อาจรับรู้เสียด้วยซ้ำ..

            ..ฝีเท้าที่ไร้ที่มา การเคลื่อนไหวที่หายไปจากความทรงจำ สมองที่ไม่อาจจดจำถึงวินาทีที่ก้าวขาขึ้นมายังห้องบังเกิดความงวยงงและตะลึงพรึงเพริดเกินบรรยาย..

      ...สมองเริ่มปวดตุบ..ฝ่ามือที่กำลูกบิดค่อยสั่นระริก ชื้นเหงื่อ..

      เสียงบางอย่างกำลังกรีดร้องขึ้นในหัว หนึ่งนั้นแสนเจ็บปวด และอีกหนึ่งกลับมากความสุขนัก..

       ริมฝีปากของเอนีลอ้าค้าง โกยเอาอากาศเข้าสู่ปอดและเพราะลมหายใจที่ทะลายทะลักมากเข้าในร่างนั้นเองเป็นผลให้ร่างไหวยะเยือก...หอบสั่น..

       หน้าแดงก่ำจากออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกายมากเกินปกติ หูอื้อ นัยน์ตาผ่าวร้อนเพราะอารมณ์สะท้านลึก หากร่างกายที่ผิดแปลกไปยังไม่อาจจะลบเสียงตะโกนอันไร้ที่มาจากในอก..

      ....ข้า...รักเขา....

       หมอหนุ่มหอบแฮ่ก สะบัดมือออกจากลูกบิดประตูราวกับต้องของร้อน ทาบปลายนิ้วทั้งห้าเข้ากับประตูไม้แกะสลักหน้าห้องอย่างมึนเบลอ เอนีลยกมือซ้ายแตะลงบนหน้าผากด้วยสีหน้าซีดเผือด ทั้งงวยงงและไม่เข้าใจว่าเสียงนั้นมันมาจากที่ไหน...ทั้งที่มาจากอกของเขา ความคิดของเขา..หัวใจของเขา..ทว่า...มันก็เหมือนไม่ใช่ตัวเขา...

     และกับคนที่เพิ่งพบเจอคนนั้น ...ความรู้สึกรักใคร่หรือหลงใหลมันเกิดขึ้นได้อย่างไรกันเล่า?

         จะรักได้อย่างไร..จะคิดถึง จะคุ้นเคย....กับผู้ชายคนนั้นมาจากไหน ในเมื่อตัวเขาเพิ่งได้พบเจอแท้ๆ

       แล้วยัง..ร่ายกายที่ผิดปกติ ความจำที่เลือนหาย..มันอะไร นี่มันอะไรกัน?

        "...บ้าไปแล้ว " ฝ่ามือบีบขมับแน่น เอนีลส่ายหน้าร้องครางออกมาอย่างสุดจะกลั้น ชายหนุ่มจ้องมองลูกบิดประตูทองเหลืองหน้าห้องอีกครั้ง ก่อนจะแตะลงไปอีกคราเพื่อเปิดมันแล้วนอนพักผ่อนอย่างที่ตั้งใจ

         “ อ่ะ..!!” ความร้อนวาบเล่นงานปลายนิ้ว ผิวเนื้อไวความรู้สึกกระตุกห่างออกจากลูกบิดประตูเบื้องหน้าโดยอัตโนมัติ เอนีลเบิกตากว้างแพทย์หนุ่มอ้าปากค้างเขาก้มมองปลายนิ้วตัวเองด้วยสีหน้ากังขา...หากสิ่งที่สัมผัสเมื่อครู่คือลูกบิดประตูที่ร้อนราวกับเหล็กเผาไฟ หากประสาทสัมผัสไม่ผิดพลาด สิ่งที่จะเห็น ควรเป็นปลายนิ้วแดงวาบหรือพุพอง หากสีสันของผิวเนื้อที่ยังเป็นปกติถึงกับทำให้ร่างของแพทย์หนุ่มสะท้านสั่นไปทั้งร่าง..

        “ ไม่...นี่มันอะไรกัน ..” ยกมือขยุ้มเส้นผมสีทองอร่ามอย่างงวยงง..ทั้งข้องใจทั้งสับสน ใบหน้าที่ซีดเผือกบิดเบี้ยวด้วยความไม่เข้าใจและความหวาดหวั่น อีกทั้งสัญชาตญาณกำลังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ว่ามันมีบางอย่างที่น่ากลัวนักรออยู่เบื้องหลังประตู..!

        “ อึ่ก....” กุมขมับที่เต้นตุบบีบรัดด้วยความเครียดที่รุมเร้า ริมฝีปากเม้มแน่นกดย้ำจนเจ็บแปลบ เอนีลกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ รู้สึกเกลียดชังความรู้สึกบ้าๆที่คอยรังควานเขาอยู่เป็นที่สุด

        ..ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาแค่เหนื่อย แค่เบลอ แค่พักผ่อนไม่เพียงพอเท่านั้น!

           ดวงตาสีฟ้าสดใสวาววับ ปลายนิ้วสั่นไหวแตะลงไปบนลูกบิดอีกคราอย่างไม่ยอมแพ้ ผิวเรียบลื่นของโลหะและความเย็นเช่นปกติของมันทำให้นึกเบาใจขึ้นโข ชายหนุ่มถอนหายใจพรู...ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไปหายากล่อมประสาทหรือยาอะไรสักอย่างมาทานก่อนที่จะเพ้อคลั่งหนักไปกว่านี้ ถ้าได้ยาดีและนอนพักผ่อนสักงีบ อาการพวกนี้คงจะกายไปแน่ๆ..
   ....เขาคงจะเหนื่อย และอ่อนล้าเกินไปจริงๆนั่นล่ะ...

              แกร่ก...        

           ส่ายหน้าแล้วถอนใจแรง กดปลดล็อกพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอน เอนีลหรุบตามองพลางพื้นถอนหายใจพยายามสะกดกลั้นอารมณ์..
           
          ...หากแต่ฝีเท้าที่ก้าวต่อพลันหยุดชะงัก..นัยน์ตาที่หรี่ปรือด้วยความอ่อนล้าและปวดรุมสะดุดกับสีสันของอะไรบางอย่างบนพื้น..

       สีแดง...สีแดงเข้มมากมายที่เอ่อท้นอยู่ตรงหน้า...สีแดงอันน่าหวาดหวั่นและน่าขยะแขยง ชวนให้อาการคลื่นเหียนและความหวั่นกลัวแล่นสู่ไขสันหลัง..

     ...อีกทั้งชวนให้คิดถึงความฝันอันน่าหวาดหวั่นนั้นเสียเหลือเกิน..

               สะบัดหน้าขึ้นพร้อมปัดภาพฝันอันน่าชังนั้นออกจากสมอง กระซิบบอกตัวเองว่าเขาตาฝาดและมันไม่มีทางเกิดขึ้นจริงพร้อมกับเงยหน้าขึ้นจากพื้น...ทว่าภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ากลับทำให้ร่างทั้งร่างนิ่งงัน..

        ดวงตามัวพร่า ลมหายใจถี่แรง มือเท้าชาทั้งยังอ่อนแรงจนไม่อาจทรงตัวได้ และต้องทรุดกายลงกับพื้นในสภาพสลบไสลไม่ได้สติในที่สุด..

       ในความทรงจำสุดท้าย..ภาพที่ยังค้างคาและปรากฏชัดเจนคือสีสันของเลือด..และใบหน้าของปีศาจปีกสีดำที่ตนเคยคุ้นทั้งยังหวาดกลัวนัก มือนั้นกำศีรษะของเขาอยู่เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มแสยะอันเต็มไปด้วยความพึงใจ..

............
     

   

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL Lost 3 : ระวังภัย
«ตอบ #5 เมื่อ26-05-2014 19:30:29 »

           ปลายนิ้วแตะลงใต้จมูกเบาๆราวกับจะสูดกลิ่นของเส้นผมที่ตนแตะต้อง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนตวัดจ้องมองไปยังด้านหลังของแพทย์หนุ่มที่เดินจากไปเมื่อครู่ด้วยรอยยิ้ม แววตานั้นอ่อนหวานนัก..

       หันกลับมาอีกครั้ง...กวาดดวงตาจับจ้องบริเวณด้านหน้าของคลินิกด้วยแววตาวาววับ..ครู่หนึ่งจึงเป็นประกายวูบขึ้นพร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวตรงไปยังนาฬิกาตั้งพื้นที่ยังคงแกว่งไกวอย่างสม่ำเสมอ

        ฝ่ามือแตะลงบนหน้าปัด..จ้องมองกระจกที่สะท้อนเงาตนเองอยู่เพียงครู่ ก่อนจะเเสยะยิ้ม..ทาบปลายนิ้วลงยังหน้าปัดนาฬิกาที่เดินบอกเวลาเข็มยาวๆนั้นยังคงเดินตามวงกลมอย่างเชื่องช้าทว่าซื่อสัตย์นัก ด้านใต้เป็นลูกตุ้มสีเข้มที่ไหวตามกลไก..ทุกสิ่งยังคงเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน..แต่ที่ชัดเจนกว่า คือขนนกสีดำเส้นเล็กที่ตกอยู่ด้านใน อย่างน่าสงสัยนักว่าใครเป็นคนทำให้มันมาอยู่ในนั้นได้

       นัยน์ตาเหลือบมองทั่วบริเวณอีกครั้ง มันยังคงมีเพียงเสียงเดินของนาฬิกาและเสียงพัดลมตัวใหญ่ ไคลน์ สไตรค์เซอร์ถอนหายใจเบาๆ เขาวางฝ่ามือลงบนหน้าปัดกระจก..จ้องมองมันครู่ใหญ่ก่อนจะออกแรงทุบไม่เบานัก ให้ตัวฝาครอบหลุดออกจากด้านหน้าของนาฬิกา

        เอื้อมมือหยิบขนนกสีดำขนาดเล็ก ไคลน์จ้องมองมันครู่หนึ่งก่อนจะแสะยิ้ม นัยน์ตาสีอ่อนที่แฝงความอ่อนโยนค่อยแปรเป็นเข้มขึ้นและมากด้วยกระแสความเย็นยะเยียบ ชายหนุ่มกำขนนกนั้นไว้ในมือซ้าย มือขวาติดกระจกนั้นไว้ยังที่เดิมได้อย่างรวดเร็วราวปาฏิหาริย์ ก่อนที่กลิ่นเหม็นไหม้และควันเอื่อยๆจะลอยออกมาจากฝ่ามือของชายเขา...และขนนกสีดำนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านไปในพริบตา !

        ฟึ่บ ! 

    สะบัดมือเพียงครั้งเดียว เศษควันและเถ้าถ่านทั้งหมดก็เลือนหายไปในพริบตา พลันดวงตาสีน้ำตาลก็ตวัดจ้องมองยังที่มุมสำหรับแขวนเสื้อโค้ทของเหล่าผู้มาใช้บริการ มองสบดวงตาสีแดงก่ำวาววับในความมืดที่จ้องมองมาเช่นกัน ไคลน์แสยะยิ้มเหี้ยม ฝ่าเท้าก้าวตรงเข้าไปหา หากแต่เงาดำนั้นกลับขยับตัว มันลัดเลาะไปตามผนังสะท้อนแสงไฟอย่างรวดเร็ว ฝีเท้าว่องไวไต่เลาะตามผนังเป็นเงาสะบัดไหวหลอกล่อให้ตัดกับก่อนจะเลือนหายไปยังบริเวณด้านบนของอพาร์ทเม้นต์ทันควัน!

         "....นี่มัน.." ไคลน์คำรามในลำคอด้วยความขัดใจ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก หันหลังเดินกึ่งวิ่งผ่านทางเดินนั้นไปสู่ด้านบนของอพาร์ทเม้นต์โดยเร็ว ด้วยรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

        "...เมอร์ซิเยอร์สไตรค์เซอร์ " น้ำเสียงแหบพร่าหากแต่เต็มไปด้วยความเข็มแข็ง เอ่ยทักทันทีที่ก้าวเท้าขึ้นไปยังชั้นสอง ไคลน์ผงะเล็กๆ เขาจ้องมองใบหน้าของคนรับใช้วัยชราผู้ยืนมองหน้าตนเงียบๆด้วยความตกตะลึงไม่น้อย ทว่าความร้อนใจที่มีมากกว่านั้นทำให้ชายหนุ่มส่ายหน้า คำรามในลำคอเบาๆด้วยความร้อนรน

          "...ขอทางหน่อย ผมรีบ "

          " ทางนั้นเป็นทางไปห้องของคุณชาย..ห้องของคุณอยู่ด้านนี่ครับ " ฟาเอล เอ่ยกับแขกผู้มาใหม่ ดวงตาสีเทาฟ้าฟางหากยังว่องไวนัก จับจ้องกริยาของชายหนุ่มผู้มาใหม่อย่างเพ่งพินิจ คนรับใช้เฒ่ามองเห็นสีหน้าขัดใจขึ้นมาครู่หนึ่งขอชายคนนั้น เจ้าตัวมีท่าทีลังเลวเพียงชั่ววูบ ก่อนจะเอ่ยปากออกมาอย่างรวดเร็ว

           " ผมจะไปพบเอนีล... "

           " คุณชายกำลังพักผ่อน เห็นทีจะไม่ได้ " ฟาเอลเอ่ยขัดสั้นๆ

          " ...เดี๋ยวนี้...ก่อนที่เขาจะเป็นอะไรไป ! " ไคลน์คำรามด้วยความไม่พอใจ ทหารหนุ่มสะบัดมือออกแรงผลักร่างนั้นเบาๆให้ต้องเซไปด้านข้าง และเขาก็ก้าวเท้าผ่านฟาเอลไปอย่างรวดเร็ว จ้ำเท้าวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นสาม เพื่อไปยังห้องของคนที่ตนเอ่ยถึงอย่างรวดเร็ว
       

              ปัง!    
   
    ประตูเปิดออกอย่างเร่งร้อนด้วยฝีมือของนายทหารหนุ่ม  ไคลน์กวาดสายตาไปทั่วห้องด้วยอารามร้อนรน พลันเขาก็ชะงักฝีเท้านัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองร่างของเอนีล ชาส์เดอตงส์ ซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ที่ปลายเท้าท่ามกลางห้องนอนหรูหราโอ่โถงอันไม่ปรากฏความปิดปกติใดๆให้เห็นแม้สักนิด

        นัยน์ตาสีอ่อนแปรเป็นสีเข้มขึ้นและตวัดมองทั่วบริเวณ หางตามองเห็นเงาดำที่เขาเคยคุ้นโผออกจากห้องไปด้วยความรวดเร็ว ชายหนุ่มคำรามในลำคอเบาๆ ก้มลงช้อนร่างของชายผู้สลบไสลไม่ได้สติมาไว้ในอ้อมกอดด้วยอาการร้อนรนยิ่ง..

         " มันเกิดอะไรขึ้น? "  ฟาเอลเดินมาถึงและออกปากถามด้วยสีหน้าข้องใจเมื่อมองเห็นร่างอันไร้สติของนายน้อยที่เขาดูแลแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของผู้มาใหม่ พ่อบ้านวัยชราจ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าวางร่างเจ้านายตนลงบนเตียงนอนหนาอย่างพินิจพิเคราะห์  และมองไปยังใบหน้าที่ซีดเซียวและสีหน้าเหนื่อยอ่อนของชายที่เขาดูแลและรักใคร่เช่นลูกในอุทร อาการผิดปกตินั้นทำให้ความสงสัยและความฉงนฉงายแล่นวาบขึ้นในใจ

           " ผมได้ยินเสียงเขาล้ม " ไคลน์เอ่ยสั้นๆ แม้จะรู้ดีว่ามันน่าแปลกใจเพียงใดที่คนซึ่งอยู่ชั้นแรกได้ยินเสียงล้มของชายผู้อยู่บนชั้นสาม..แน่นอนว่ามันไม่น่าเชื่อ ฟาเอลฟังแล้วจึงเลิกคิ้ว

            "...ผมประสาทหูดีกว่าคนทั่วไป..และ...ผมได้ยินเสียงร้อง " ไคลน์ละสายตาจากร่างของเอนีล จ้องสบตาหัวหน้าคนรับใช้ที่ยังคงมองมาด้วยท่าทีครุ่นคิดและจับผิด  " สำหรับคุณพ่อบ้าน...ผมคิดว่าด้วยวัยของคุณ จะไม่ได้ยินก็ไม่แปลกตรงไหน "

           "........"ความชราภาพ..ข้อกล่าวหานั้นไม่อาจจะปฏิเสธได้ฟาเอลจึงได้แต่นิ่งเงียบ ไม่เอ่ยคำ แม้ความสงสัยในใจจะไม่ได้จางไปแม้แต่น้อยเลยก็ตาม

           " ขอผมตรวจดูอาการคนป่วยหน่อยแล้วกัน "หลังจากจ้องหน้ากันเงียบๆผ่านไปสักครู่จึงออกปากบอก  ไคลน์ผ่อนลมหายใจช้าๆและนั่งลงบนข้างเตียงนุ่มของผู้ป่วย  ฝ่ามือแตะลงบนท่อนแขนบางจับมือของคนป่วยมาวัดชีพจรและการเต้นของหัวใจอย่างเชี่ยวชาญ

          " ขอน้ำสะอาด ผ้าเช็ดเนื้อตัว และยาของเอนีลให้ผมด้วยครับ "

            ฟาเอลนิ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหมุนกายหันหลังเดินไปยังด้านล่าง เพื่อจัดหาสิ่งที่ไคลน์ สไตรค์เซอร์ร้องขอ แม้ในใจจะนึกสงสัยท่าทีของชายหนุ่ม และการกระทำที่ค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่เช่นเดิม แต่ความห่วงใยในตัวผู้เป็นนายมีมากกว่าตนจึงยอมทำตามเงียบๆโดยไร้ปากเสียง ความสงสัยไม่คลายแต่ทว่ากับคนที่นายพลชาส์เดอตงส์สั่งการมาให้คอยดูแลแล้ว ตนก็มิอาจจะขัด

           คล้อยหลังฟาเอลและประตูที่งับปิดลงช้าๆ...นัยน์ตาที่จ้องมองชายหนุ่มผู้นิทราสนิทอยู่ค่อยแปรจากความสงบนิ่งเป็นรวดร้าว ไคลน์เม้มปากแน่น จ้องมองใบหน้าซีดเซียวและร่างที่นอนสลบไสลด้วยแววตาเจ็บปวดนัก..

        ฝ่ามือของเขาสั่นไหวระริก ยามที่แตะลงบนเส้นผมนุ่มและใบหน้างดงาม..ไคลน์ สไตรค์เซอร์แตะปลายนิ้วลงยังลำคอขาว สัมผัสเส้นชีพจรที่เต้นเร่า...ปลายนิ้วของเขาลูบมันเบาๆอย่างครุ่นคิด..นัยน์ตาที่ล้ำลึกครู่นั้นจ้องมองมันเงียบๆก่อนที่จะเป็นฝ่ายถอนหายใจเบาๆและดึงผ้าห่มมาคลุมกายของคนป่วยอย่างอาดูร..

            ดวงตาสีเข้มกวาดมองทั่วบริเวณ จ้องมองภายในห้องด้วยสายตาระวังระไว ...ห้องนอนหรูหราสมฐานะบุตรชายของนายพลใหญ่ระดับประเทศมีของตกแต่งเพียงน้อยนิดบ่งบอกถึงนิสัยสมถะของเจ้าตัว.. ตำราแพทย์และเอกสารต่างๆถูกเรียงอย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่กลางห้อง ถัดจากนั้นเป็นโต๊ะเครื่องแป้งที่กลายเป็นที่วางข้าวของสารพัดสารพัน ตู้เสื้อผ้าสองตู่ใหญ่ ชั้นหนังสือขนาดใหญ่ยาวจรดเพดาน และ...กระจกบานยาวใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างเตียงขนาดใหญ่หรูหรา

       ...นัยน์ตาคู่นั้นลอบพิจารณากระจกใสเบื้องหน้าอย่างถี่ถ้วน..แต่เพราะไม่พบสิ่งใดปกติทหารหนุ่มจึงลุกจากเตียง ก้าวเท้าไปยังหน้าต่างบานใหญ่รวบเปิดผ้าม่านสีเข้มที่ปิดทางเข้าของแสง...แม้จะสลัวเรือนลางด้วยเป็นเวลาย่ำค่ำแล้วก็ตาม

          ไคลน์แตะปลายนิ้วลงปลดล็อก เปิดหน้าต่างกระกระจกหนาออกกว้าง..เขาชะโงกหน้าลงมองเบื้องล่างเผยให้เห็นภาพของถนนหน้าคลินิกยามมืดโพล้เพล้ร่างของผู้คนที่อาศัยอยู่ ณ กรุงปารีสในชุดโค้ทสีเทาปรากฏอยู่ประปราย สายฝนเม็ดเล็กสาดซัดเข้ามาใส่ใบหน้าตามแรงลมที่ลอดผ่านจนผ้าม่านไหวพริ้ว..ชั่วขณะหนึ่งที่มีขนนกสีดำขนาดเล็กปลิวเข้ามาเช่นกัน แต่ไคลน์ยกมือกำมันไว้ได้อย่างรวดเร็ว..

          ชายหนุ่มตวัดสายตาจ้องท้องฟ้าหม่นครึ้ม มองแสงวิบวับของเครื่องบินรบที่บินผ่าน ก่อนที่ดวงตาสีอ่อนจะจ้องมองไปยังซอกตึกฝั่งตรงข้าม อันมีดวงตาสีดำและร่างในชุดคลุมสีทึมเทาซ่อนอยู่

         ฝ่ามือขาวจัดกำแน่นจนเกร็งเขม็ง ขนนกสีดำในมือแปรสภาพเป็นเพียงถ่านเถ้าสีซีดจางและเปราะสลายไปตามแรงลม ร่างของเขาและเจ้าของดวงตาสีแดงก่ำนั้นยืนจ้องมองสบดวงตากันท่ามกลางการกระทำที่ราวกับประกาศศัตรู..  ไคลน์จ้องมองดวงตาภายใต้ผ้าคลุมนั้นเขม็ง..นัยน์ตาของเขาวาววับไม่ยอมแพ้ทั้งยังฉาบฉายไปด้วยความไม่พอใจ...ต่างจ้องมองกัน กระทั่งมันค่อยเลือนหายไปจากสายตา


     แกร๊ก....     

   เสียงประตูเปิดอีกครั้งพร้อมกับของที่ต้องการมาถึงด้วยฝีมือของพ่อบ้านวัยชรา ไคลน์ปิดหน้าต่างกระกระจกใสลงอีกครา เขากดล๊อกฝ่ามือคว้าผ้าม่านสีเข้มมาไว้พร้อมกับกระซิบถ้อยคำบางอย่างผ่านรอยเชื่อมของหน้าต่างสองบานเสียงเบา..

        ปิดผ้าม่านลงอีกคราพร้อมกับห้องที่ค่อยส่วงจ้าด้วยสีนวลของหลอดไฟ ไคลน์เดินเข้ามานั่งลงข้างเตียงคนป่วยอีกครั้ง ชายหนุ่มแตะมือลงบนร่างของคนป่วย ลงมือตรวจอาหารและดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิดท่ามกลางการจับตามองของพ่อบ้านเฒ่า ในเสื้อโค้ทตัวยาวของฟาเอล กีโยต์  ยังคงมีจดหมายจากนายพลชาส์เดอตงส์และประวัติของ"ไคลน์ สไตรค์เซอร์" ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วอย่างละเอียด กระนั้น ฟาเอลก็มิอาจะไว้ใจชายคนนี้ได้อยู่ดี

       ..สัญชาตญาณบางอย่าง  อีกทั้งประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชน กระซิบบอกผ่านในใจอย่างเงียบงัน ว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา..


..............

  :try2: สวัสดีค่ะ หายไปซะนานจนหลายๆคนคิดว่ามันยังมีชีวิตอยู่มั้ย ช่วงนี้เน็ตเน่ามากกว่าจะอัพได้ มากันทีเอาเเบบยาวๆกลัวไม่ได้โผลาจากหลุมมาอีก รู้สึกตื่นเต้นกับการมาอัพนิยายจริงๆ เอาไว้เจอกันตอนต่อไปนะคะ รอบนี้หลอนเเค่นี้พอเป็นพิธีค่ะ o22


ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6
Re: LOST ANGEL ** Lost 3 : ระวังภัย ** 26/5/57
«ตอบ #6 เมื่อ26-05-2014 19:45:30 »

มาแล้ววววว  :sad4:

hanahana

  • บุคคลทั่วไป
Re: LOST ANGEL ** Lost 3 : ระวังภัย ** 26/5/57
«ตอบ #7 เมื่อ26-05-2014 20:30:55 »

อืมครึม ลึกลับ น่ากลัว น่าสงสัย 
แล้วก็สงสารเอนีล :sad4: ไม่รู้ทำอะไรผิด คือทุกคนดูลึกลับ
ยิ่งคนใส่ชุดดำมีอีกาเกาะนี่คงไม่ใช่คนที่่ควักตาเอนีลใชมั๊ย..... แบบ จิตมากกกกก :katai1: :katai1: :katai1:
บรรยายบรรยากาศแบบว่าเราหลอนตามเลย :mew5:

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: LOST ANGEL ** Lost 3 : ระวังภัย ** 26/5/57
«ตอบ #8 เมื่อ26-05-2014 22:23:58 »

คราวนี้ตามมาปกป้องคนรักให้ได้นะไคลน์

คิดดูว่าเทพองค์น้อยจะทรมานแค่ไหนที่โดนทำร้ายขนาดนั้น คนที่รักยิ่งเจ็บกว่าเป็นพันเท่า
แถมมีทีท่าว่าตนเองคือสาเหตุแห่งความทรมานนั้นอีก ต้องเห็นสภาพนั้นของคนรัก ต้องรอคอยที่จะเจออีกครั้ง
สู้ๆนะไคลน์


ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Lost : 4  ฝันที่กลายเป็นจริง


     

             เสียงกรีดร้องยังดังระงม ผสานเสียงหัวเราะและเสียงของผิวเนื้อที่ถูกฉีกกระชาก..หากภาพเบื้องหน้าไม่มีสิ่งใดปรากฏ มีเพียงสีแดงแผ่ซ่านจนมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น หากยังรู้สึกถึงความเจ็บปวด ความทรมานและความไม่เข้าใจ น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างเหลืออด หัวใจกรีดร้องก้องกังขา เพราะอะไร ทำไมถึงได้เจ็บปวด ทำไมถึงได้ทุกข์ทรมานกับความฝันที่ไม่รู้จักจบสิ้น...
 
              ปลายนิ้วเรียวยาวสีขาวจัด และเล็บยาวสีดำสนิทปรากฏขึ้นมาในแสงแดงนั้น ฝ่ามือนั้นโฉบเข้าหา กำเส้นผมแน่นพร้อมทั้งฉีกกระชากมันจนขาดร่วง ในหูแว่วเสียงฉีกขาดของผิวเนื้อด้วยปลายเล็บแหลมคม ที่ค่อยกรีดเข้า..เชือดลึก..กระทั่งรู้สึกถึงลมหายใจที่หลุดออกจากร่างและมองเห็นเส้นเลือดสีแดงพวยพุ่งลงเปื้อนกาย..

               ร่างของคนที่คุ้นแสนคุ้นแน่นิ่งอยู่บนพื้น ร่างถูกชโลมด้วยสีแดงของโลหิต แน่นิ่งไม่อาจขยับกาย นัยน์ตาที่เหลือเพียงข้างเดียวเบิกค้าง ไม่อาจส่งเสียงใดออกมาได้ หากแต่เพียงชั่วเเล่นภาพกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นร่างของตนในสภาพมีชีวิตสมบูรณ์เดินเข้ามาใกล้ พลันดวงตาสีฟ้าสดจึงเบิกค้าง ใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วแปรเป็นไร้สีเลือดและทรุดกายแน่นิ่งลงทันใด..

                ปีศาจที่กำศีรษะอันไร้ร่างอยู่พลันหัวเราะลั่น ดวงตาของมันเบิกขึ้นด้วยความสาใจ ดวงตาที่เคยเป็นสีดำสนิท ค่อยแปรเป็นสีแดงเลือด..ยามจ้องมองราวกับได้กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง หยาดหยดสีแดงที่สาดกระเซ็นตกต้องอาบผิวแก้มขาวซีดของปีศาจตนนั้น พร่างพรมใส่ร่างที่ไร้สติและศีรษะที่ไร้ชีวิตนี้อย่างต่อเนื่อง จนอาบย้อมห้องให้กลายเป็นสีโลหิต กระนั้น เสียงหัวเราะก้องกังวานของมันก็มิได้ลดลงเลย..


              เฮือก!

             นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างเปิดขึ้นพบกับภาพเพดานเตียงแสนเคยคุ้นของตนสาดปะทะ ความมึนงงเกิดขึ้นเพียงครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นความหวานหวั่นจากความฝันอันเลวร้ายที่ยังจำได้ตรึงตรา ความรู้สึกนั้นก็มิได้คลายลงผิวแก้มจึงยังซีดขาวไร้สีเลือด ฝ่ามือสั่นระริกยกขึ้นกุมขมับของตนแน่นเอนีลรู้สึกเหมือนเสียงหัวเราะของมันจะยังก้องกังวานในหู ช่างน่ากลัวและชวนให้หวานผวาเหลือเกิน..

              ร่างทั้งร่างสั่นไหวราวกับลูกนก ดวงตาเบิกค้างจ้องมองเงาดำของเครื่องเรือนและแสงสีอ่อนจากดวงไฟ แม้จะเคยคุ้นกับห้องนี้มาหลายปี แต่กระนั้นยามนี้ไม่ว่าสิ่งใดก็ดูน่าหวาดกลัวไปเสียหมด..เอนีลซุกหน้าลงกับเข่าตัวสั่นกลั้นเสียงสะอื้นด้วยความหวั่นหวั่นและทุกข์ทรมานที่จะเล็ดลอดออกมาจากลำคออย่างยากเย็น



                แอ๊ด..

                 "คุณหนู" ประตูเปิดออกพร้อมเสียงของพ่อบ้านคนสนิท กระนั้นด้วยความหวาดหวั่นร่างทั้งร่างจึงยังสะดุ้งเฮือก สั่นไหวหวาดกลัวต่อทุกสิ่งที่พานพบ หลังจากประสบเหตุการณ์เลวร้ายที่ยากจะอธิบาย

              "ลุงฟาเอล..." เอนีลครางในลำคอแผ่วเบา ปลายนิ้วสั่นระริกเอื้อมคว้าแขนเสื้อของพ่อบ้านผู้ชราไว้แน่น.."ผม.."
 
              "คุณเป็นลมล้มพับไปอาจจะเพราะทำงานหนัก ร่างกายเลยอ่อนแอ"เสียงของหนึ่งบุรุษผู้มาใหม่ดังขึ้นข้างกายทำให้เอนีลสะดุ้งโหยง ใบหน้าหวานหันขวับไปสบนัยน์ตาสีน้ำตาลที่แฝงแววห่วงหาคู่นั้น ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันน้อยๆเมื่อพบว่าร่างสูงนั้นนั่งกอดอกจ้องมองตนเงียบๆอยุ่บนเก้าอี้ข้างเตียงซึ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะนั่งตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว..

              "คุณ.."
       
                "ผมนั่งเฝ้าคุณอยู่จนถึงเมื่อครู่นี้..ขอโทษด้วยที่ไม่ส่งเสียงทัก แต่ผมคิดว่าคุณอาจอยากได้เวลาสงบจิตใจ"ไคลน์อธิบายสั้นๆแก่แววตาหวั่นไหวของเอนีล นัยน์ตาสีเข้มสบมองแววตาไหวระริกของผู้ฟังด้วยอาการหนักใจไม่น้อย ใช่ว่าตัวเขาจะมองไม่เห็นอัปกริยาของหมอหนุ่ม ร่างที่สะดุ้งเฮือก และผุดลุกขึ้นมาด้วยอาการหวาดกลัว หวั่นผวา ฝ่ามือยกขึ้นปิดหน้าตาพลางจ้องมองไปรอบกายด้วยอารามหวาดระแวง กริยาท่าทางนั้น บ่งบอกถึงฝันร้ายที่ไม่มีวันจางหายของชายหนุ่มตรงหน้า...

             ริมฝีปากของเอนีลเหยียดยิ้ม จ้องมองชายหนุ่มที่กอดอกมองตนเงียบๆด้วยสีหน้าขื่น "แล้วยังไง ตอนนี้กำลังนึกสมเพชผมอยู่เหรอ? หรือว่ากำลังคิด..ว่าจะใช้ตำราแพทย์เล่มไหนมารักษาผมกัน"

            "เห็นได้ชัดว่าการเจอกับเรื่องไม่สบอารมณ์แม้ในฝันทำให้คุณหงุดหงิดง่าย ผมจะไม่ถือสาแล้วกัน"

            "ไม่สบอารมณ์"เอนีลทวนเสียงสูง เป็นจริงที่ว่าอารมณ์ของเขาไม่คงที่และหวั่นไหวง่ายจากการประสบกับฝันร้ายและภาพบ้าๆที่ปรากฏขึ้นก่อนจะสลบไสล ทว่าแม้จะเป็นเช่นไรเขาก็ยังไม่พอใจกับท่าทีวางเฉยและบอกว่าอาการของเขามันเป็นแค่ผลกระทบจากฝันของชายตรงหน้า

            "ก็ใช่ที่ผมกำลังหวั่นไหว แต่ความโกรธของผมไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะเยาะ!" หมอหนุ่มคำรามเสียงขุ่นด้วยอาการหงุดหงิดใจ ลืมแม้มารยาทหรือกระทั่งสาเหตุที่ชายตรงหน้ามาอยู่ที่นี่ไปโดยสิ้นเชิง "คุณลองมาเจอแบบผมบ้างดีไหม? นี่มันไม่ใช่ฝันแล้ว เหมือนกับมีวิญญาณร้ายตามมาหลอกหลอนกระทั่งตอนที่ผมมีสติ คิดว่าผมอยากเจอเรื่องแบบนี้นักรึไง!คิดว่าผมชอบใจเหรอที่ต้องกลายเป็นเคสศึกษาของอาการป่วยทางจิตที่รักษาไม่หายนะ!"

 
              หมอหนุ่มกัดฟันกรอดเมื่อมองเห็นสีหน้าเรียบเฉยของผู้ฟัง เอนีลกำหมัดแน่นออกแรงเขวี้ยงหมอนใส่ร่างของไคลน์อย่างรวดเร็วด้วยความหงุดหงิดจนแทบคลั่ง

               ..เขาไม่รู้ความหงุดหงิดมันมาจากไหน ความน้อยใจและความทรมานในใจมันผุดมาจากไหนนักหนา แต่มันทรมาน...ทรมานจนน้ำตาแทบไหลเมื่อมองเห็นท่าทีเฉยชาของคนตรงหน้า..

               ..หัวใจของเขากำลังกรีดร้อง อ้อนวอนร้องขอ...มองสิ..มองมาที่ผม อย่าเมินเฉย อย่ามองเลยผ่านไปหาคนอื่นอีกเลย..

               "เห็นได้ชัดว่าเครียดจนต้องระเบิดออกมา"เสียงพ่นลมหายใจแรงของไคลน์ดังขึ้นเหนือศีรษะ ร่างสูงใหญ่ของนายทหารหนุ่มปราดเข้ามาจับแขนทั้งสองข้างและใช้เขาของตนกดทับต้นขาของเอนีลไว้แน่น นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววหงุดหงิดไม่น้อยกับการอาละวาดของหมอหนุ่ม  ขณะที่เอนีลเม้มปากแน่น พยายามจะขยับกายแต่ทำไม่ได้เพราะถูกคนตัวสูงกว่าจับไว้แน่น

               "คุณเอาแต่พล่ามว่าคนอื่นคิดว่าคุณเป็นโรคจิต และคิดว่าคุณบ้าอย่างโน้นอย่างนี้ไปเพื่ออะไร? ต่อให้คุณจะมีประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำจากการรักษา แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุที่คุณจะเอามาตัดสินหมอคนต่อๆไปของตัวเอง ถ้าคุณไม่เปิดใจ แล้วใครถึงจะสามารถช่วยให้ฝันร้ายนี้หายไปได้"

              "ผมไม่ได้บ้า!"เอนีลตวาดลั่น

              "ผมไม่ได้บอกสักคำว่าคุณบ้า!อาการของโรคจิตเภทน่ะมีหลายอย่าง คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ?อย่าเอาความรู้สึกของคนทั่วไปมาตัดสินสิ นี่แค่ฝันร้าย มันก็แค่ฝันร้ายเองจะกลัวมันไปทำไม?"

              "ตอนนี้มันไม่ใช่แค่ฝันแล้ว..." เอนีลพูดเสียงขื่น มือไม้ที่ถูกกำไว้อ่อนแรงเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตนพบ นัยน์ตาสีฟ้าสดจึงยิ่งสั่นไหวหัวไหล่ลู่ลงพร้อมอาการสั่นระริก..

              "ไม่ใช่แค่ฝัน..แต่ผมเห็น..เห็นมันมาอยู่ตรงหน้า ทั้งเลือด..ทั้งเสียงหัวเราะของเจ้าปีศาจนั่นหรือกระทั่งภาพหัวขอตัวเองขาดออกจากร่าง..นั่นน่ะ...มัน..."เอนีลเอ่ยเสียงสั่น ครานี้เขาดึงมืออกจากการเกาะกุมของไคลน์ สไตรค์เซอร์อย่างง่ายดายเพราะชายหนุ่มเหมือนจะรู้ว่าเขาไม่คิดอาละวาดขัดขืน ฝ่ามือสั่นไหวของหมอหนุ่มทาบลงบนใบหน้าซบซุกกลั้นสะอื้นด้วยอาการหวาดผวา..

              "ผมเห็นมัน..มันเหมือนเดินออกมาจากฝัน..ทำไมมันต้องมาหาผม ทำไมมันต้องทำร้ายผม..ทำไมต้องเป็นผม..ทำไม..."           

            ".............."
             
                 "ทำไมกัน...."

                 "นั่นสินะ....ทำไม...." ฝ่ามือหนาแตะลงบนต้นแขนขาว นัยน์ตาสีน้ำตาลของไคล์น ไสตร์คเซอร์ จ้องมองมายังคนที่กำลังตัวสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น ครู่หนึ่งดวงตาคู่นั้นจ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยความนัยน์อันลึกลับ สีน้ำตาลของแววตาแปรเป็นความมืดมน กระทั่งใบหน้าก็ยังชาเฉยแปลกตา

              ความฝันที่ไม่มีวันหาย..ความโหดร้ายที่ตามมาหลอกหลอนอย่างนั้นหรือ..

              เรื่องเลวร้ายแบบนั้น...คนที่ทำเรื่องแบบนั้น ทำไปทำไมกัน จนบัดนี้ตนก็ยังไม่อาจเข้าใจเสียเลย..


             "..ผมก็...ไม่เข้าใจจริงๆ..."  ริมฝีปากหนาเอ่ยเสียงเบา นัยน์ตาและใบหน้านั้นจ้องมองเส้นผมสีทองของบุรุษที่กำลังร้องไห้ด้วยความอัดอั้นเบื้องหน้า หากแต่ดวงตาคู่คมกลับไม่ได้สะท้อนเงาของเอนีล ชาส์เดอตงส์ มันไม่สะท้อนสิ่งใดเลยราวกับมองทะลุผ่านไปเสียอย่างนั้น..

              ปลายนิ้วเรียวยาวออกแรงกำแน่น..แน่นขึ้น...กำและบีบรัดท่อนเเขนของบุรุษตรงหน้าราวกับไม่รู้ตัว หากความเจ็บปวดนั้นเองทำให้หมอหนุ่มผู้กำลังหวาดกลัวเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย และยิ่งแปรเป็นงวยงงมากขึ้นเมื่อมองเห็นสีหน้าและแววตาของคนตรงหน้า..

             ..ดวงตาสีน้ำตาลเข้มลึกลับ...ดำมืดราวกับห้วงทะเลที่ไม่อาจหยั่งถึง  ชั่วขณะหนึ่งความรู้สึกบางอย่างแล่นปราดเข้ามาในหัวใจ แทรกผ่านกระดูกสันหลังและกระจายไปทั่วร่าง ให้ดวงตาเบิกกว้าง..ไหล่สั่นระริก..

             "คะ...ไคลน์" ริมฝีปากสีขาวเอ่ยเสียงสั่น เช่นเดียวกับทั้งร่างที่สั่นไหว สีฟ้าของท้องทะเลสะท้อนอยู่ในเงาตาทำให้ร่างสูงชะงัก ไคลน์สบมองดวงตาสีฟ้าสดที่จ้องมองตนมาด้วยความหวาดหวั่นก็พลันสะดุ้ง แขนทั้งสองของเอนีลนั้นพยายามจะดึงออกจากมือของเขา ร่างของชายหนุ่มเบื้องหน้านั้นสั่นระริกราวกับมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่น่าหวาดกลัวหนัก

             "เอนีล" ทหารหนุ่มเรียกคนที่กำลังตัวสั่นเทาราวกับลุกนกอย่างห่วงใย หากแต่ร่างนั้นเอาแต่ถอยหนีและส่ายหน้าหวาดหวั่น

             "คุณหนู" ฟาเอลก้าวเข้ามาประชิดปลายเตียงเมื่อมองเห็นท่าทีผิดปกติของนายตน ใบหน้าของพ่อบ้านวัยชราเครียดขึง จ้องมองท่าทีนายน้อยของตนก่อนจะสะบัดหน้าขึ้นสบมองดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นอย่างงวยงงไม่แพ้กัน

             "เอนีล...เอนีล!" ปล่อยมือลงจากแขนขาวที่ตนบีบแน่นอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นข้างหนึ่งคว้าหมับที่ไหล่และอีกข้างคว้าหมับที่ปลายคางให้ใบหน้างดงามนั้นเงยขึ้น ให้ตาสบตา ให้ดวงตาสีฟ้าสดที่แสนหวาดหวั่นนั้นได้มองนัยน์สีน้ำตาลที่แสนห่วงหา


              ปลายนิ้วเรียวไล้ผิวแก้มขาว สัมผัสแผ่วเบาและปลอบประโลมให้คนตรงที่กำลังหวาดกลัวเงยหน้าขึ้นมาสบตาอย่างงวยงง เอนีลทำท่าจะหันหน้าหนีแต่ทันทีที่สบดวงตาสีน้ำตาลเข้มร่างทั้งร่างก็พลันสะดุ้งเฮือก!
         
                 ร่างที่ดิ้นรนพลันอ่อนยวบลงทันควัน ไหล่ขาวที่เคยสั่นระริกคลายลงเหลือเพียงอาการนิ่งเงียบ ใบหน้าก้มต่ำ...
 ฟาเอลอ้าปากค้างมองกริยาของนายน้อยตนที่แปรจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีที่ได้สบตาชายผู้มาใหม่ ชายชราสะบัดหน้าไปมองไคลน์ทันควัน หากที่เขาพบเจอคือดวงตาสีน้ำตาลที่เปล่งประกายวาววับ แต่เพียงกระพริบตามันกลับจางหายไปราวกับเป็นความฝัน

            "ขอโทษ คุณเจ็บมากไหม" น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นดังผ่านโสต ฟาเอลมองชายหนุ่มผู้เอ่ยปากถามไถ่นายน้อยของเขาด้วยอาการอ่อนโยน ใบหน้าชาเฉยที่เขาเห็นแปรเปลี่ยนเป็นดวงหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนเช่นเคยเป็น ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยวาววับด้วยประกายความนัยน์บางอย่างที่ตนไม่อาจรู้กลับมาฉายรอยอุ่นอีกครั้ง และทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นเอนีลที่อยู่ในสภาพก้มหน้าก้มตาและเงื่องหงอยราวกับไม่มีสติก็พลันเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาของนายน้อยมีเพียงความมึนเบลอที่ฉายชัด หากเมื่อสบมองดวงตาของไคลน์ สไตรค์เซอร์อีกครา แพทย์หนุ่มก็สะดุ้ง.นัยน์ตาสีฟ้าสดกระพริบถี่อย่างงวยงง

            "ไม่..ผมไม่เป็นไร"เอนีลเอ่ยเบาๆครู่หนึ่งที่เขานิ่งเงียบไปด้วยความไม่เข้าใจกริยาอาการของตัวเอง รู้สึกไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อได้สบตาไคลน์เขาก็สามารถสงบใจได้มากขึ้น แม้เมื่อครู่เขาจะอาละวาด โวยวายกับไคลน์ราวกับเด็กๆ อาการประหลาดๆที่ตัวเองแสดงออกมาเขาก็พยายามบอกว่ามันเป็นเพราะความเครียดที่อยากระบายออกเท่านั้น  ความรู้สึกหวาดกลัวปนกับความปวดร้าวลึกๆอันหาที่มาไม่ได้เท่านั้นเป็นเพียงอาการอุปปาทานไปเอง เพราะใจจริงแล้วเขาก็ต้องการชายผู้อบอุ่นอย่างไคลน์มาคอยดูแลเช่นกัน

              เอื้อมมืออันสั่นเทารับยาจากฟาเอลพร้อมแก้วน้ำมาจิบเพื่อนสงบอารมณ์พลุ้งพล่าน เอนีลสบตาที่ฉายแววห่วงใยปะปนด้วยความตกตะลึงบางอย่างของพ่อบ้านตนแล้วยิ้มให้บางๆ  แม้จะนึกสงสัยทว่าก็ปล่อยผ่านไป เพราะคาดว่าฟาเอลก็คงจะนึกห่วงเขาเช่นทุกครั้ง เขาหันไปมองสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่จ้องมองมาที่ตนเงียบๆ ปล่อยให้ความเงียบแขวนค้างอยู่กลางห้อง ขณะที่ความคิดกลับไปวนเวียนหาสิ่งที่ตนพบเจออีกครา..ความฝัน ความจริง ภาพหลอน เรื่องโกหก เรื่องปั้นแต่ง การคิดไปเอง หรือความจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้า มันคืออะไร มันคือสิ่งไหน ที่เขาประสบอยู่ ตอนนี้เขาแยกไม่ออกแล้ว

              "เมื่อกี้ผมทำตัวแย่ๆกับคุณ..ขอโทษด้วย" เอนีลเอ่ยเบาๆด้วยความละอายเมื่อนึกถึงพฤติกรรมก้าวร้าวซ้ำยังเหมือนเด็กเอาแต่ใจของตัว
         
              "ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ" ไคลน์จ้องหน้าเขานิ่งครู่หนึ่งด้วยท่าทีครุ่นคิดก่อนจะพ่นลมหายใจลงช้าๆ "ใครเจอเรื่องแบบนี้ก็ต้องรู้สึกไม่ดีเป็นธรรมดา อาการที่คุณแสดงออกมายังน้อยนักถ้าเทียบกับคนที่พบเจอแบบนี้คนอื่นๆ"

             "..คนที่ป่วย..แล้วบอกว่าตัวเองเห็นภาพหลอน คนจะมาฆ่าหรือมาทำร้ายตัวเอง ผมก็คงอยู่ในประเภทนั้นใช่ไหม" เอนีลเอ่ยช้าๆ เขาจ้องมองถ้วยชาในมือที่รับมาจากพ่อบ้านแล้วระบายยิ้มขื่น "ความจริงที่ผมเรียนหมอ ก็เพราะอยากจะรักษาอาการนี้ของตัวเอง ขนาดผมนั่งวิเคราะห์อาการตัวเองแล้วยังบอกได้แลยว่านี่มันไม่ปกติ..มีคนที่ไหนจะฝันว่าตัวเองโดนฆ่าซ้ำๆซากๆได้ทุกคืน"

               "...แต่ตอนนี้..มันไม่ใช่แค่ฝัน ตอนนี้ผมกลับเห็นมันยืนอยุ่ตรงหน้า" เอนีลเอ่ยช้าๆ นัยน์ตาสีท้องฟ้าจ้องมองใบหน้าของไคลน์ราวกับขอความช่วยเหลือ ด้วยความอับจนและสับสนเกินกำลัง หยาดน้ำใสๆเอ่อคลอดวงตาที่แดงก่ำผ่าวร้อนด้วยความตระหนก "จากฝันร้าย กลายเป็นประสาทหลอน อีกไม่นานก็คงได้กลายเป็นไอ้บ้า"

             เสียงหัวเราะขื่นๆของหมอหนุ่มดังขึ้นในห้องสั้นๆก่อนจะเงียบไปด้วยต่างรู้ว่าไม่อาจขัน  ไคลน์หรี่ตาลงจ้องมองร่างของเอนีลที่นั่งนิ่งก้มหน้ามองผ้าห่มของตนเองเงียบๆด้วยแววตาครุ่นคิด ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลจะกวาดมองรอบบริเวณห้องนอนที่บัดนี้สว่างจ้าด้วยแสงจากดวงไฟ ขณะที่เบื้องนอกนั้นพระอาทิตย์ลาลับ แสงเงาในห้องกระทบกับเครื่องเรือนเกิดเป็นเงาสีดำทาบผ่านตู้เสื้อผ้า ตู้หนังสือ เงาของพัดลมติดเพดานที่พัดใบอย่างเชื่องช้า และร่างของพ่อบ้านวัยชราที่ยืนนิ่งอยู่ปลายเตียงด้วยใบหน้าสงบนิ่งหากดวงตาวาววับ

             "ผมคิดว่า...เราจะได้คุยเรื่องนี้กันหลังอาหารเย็น" ไคลน์จ้องสบมองดวงตาของพ่อบ้านชรา ริมฝีปากเอ่ยช้าๆ "แต่...เห็นได้ชัดว่าคงรอถึงเวลานั้นไม่ได้แล้ว"

             "กระผมคิดว่า...."

             "ผมขอคุยอะไรกับเอนีล"เป็นการส่วนตัว"สักครู่หนึ่งจะได้ไหมครับ" ใบหน้าหล่อเหลาแย้มรอยยิ้ม ส่งไปให้พ่อบ้านวัยชรา หากรอยยิ้มนั้นไม่ได้รวมไปถึงแววตาที่ยังคงกร้าวเเข็ง ฟาเอลมองร่างของนายน้อยที่ตนดูแลกับผู้มาใหม่ที่บัดนี้บังเกิดสัมพันธ์ประหลาดบางอย่างต่อกันอย่างไม่วางใจ ยิ่งเหตุการณ์ที่แสนจะน่าสงสัยเมื่อครู่ได้มองเห็นด้วยตาของตนแล้วฟาเอลยิ่งไม่อาจปล่อยไปใด้ พ่อบ้านชราจ้องมองบุรุษผู้มาใหม่เขม็ง สัญชาตญาณมันบอกว่าคนๆนี้อันตรายเกินกว่าจะปล่อยให้อยู่กับคุณหนูของเขาตามลำพังได้

              แต่...


           

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
               "ลุงฟาเอล..ผมยังไม่หิว" เสียงอันอ่อนระโหยโรยแรงของนายน้อยที่ตนดูแลรักใคร่มาหลายปีดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าซูบซีดชวนให้นึกสงสาร ฟาเอลนั้นดูแลเอนีลมาแต่เกิด เขารักและห่วงใยคุณชายคนเล็กของบ้านไม่ต่างกับบุตรในอุทร รับรู้ถึงปัญหาและความทุกข์ใจ ทรมานต่อความฝันและอาการแปลกๆของนายน้อยที่ตนรักมาตลอด อาการของเอนีลไม่เคยหายมีแต่จะมากขึ้น..มากขึ้นตามวันเวลา และยามนี้เล่า..ในตอนที่นายน้อยขอให้ตนออกไปก่อนด้วยสภาพอ่อนแรงเพราะความหวาดกลัว ต้องการจะพูดคุยและสนทนาเกี่ยวกับเรื่อง"ความฝัน"นั้น พ่อบ้านอย่างเขาจะขัดขวางการรักษาของนายน้อยผู้เป็นที่รักได้อย่างไร
แม้จะยังไม่นึกวางใจ แม้สัญชาตญาณจะบอกว่าอย่าไว้ใจชายตรงหน้า แต่ ฟาเอลก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับคำ ใช้ดวงตาจ้องมองส่งนายน้อยของตนด้วยความรักกระทั่งงับประตูลงไปเท่านั้น..

              พ่อบ้านเฒ่าแตะมือลงไปในเสื้อสูทที่ตุงหนาขึ้นด้วยกระดาษเอกสารภายในนั้น ใบหน้าเคร่งขรึมขณะที่ก้าวเท้าลงไปเบื้องล่างเพื่อโทรศัพท์หานายพลชาส์เดอตงส์และคุณชายคนโต ตนอยากสอบถามข้อมูลและยืนยันความมั่นใจว่าชายคนนี้ไม่ได้มาด้วยเจตนาร้ายใด และเป็นหมอจริงๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง..แม้ว่าการมาของคนๆนั้นจะน่าสงสัยเพียงใดก็ตาม!

     
  ..................

                 เสียงประตูปิดลงดังขึ้นเบาๆขณะที่เอนีลถอนหายใจพรู เขาเอนกายพิงหัวเตียง ดวงตาสีฟ้าสดจ้องมองไคลน์ที่นั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าประดับรอยยิ้มเฝื่อนอย่างบ่งว่ารู้ดีว่าอาการของตนนั้นอยู่ในเกณฑ์ผิดปกติแค่ไหน

              "ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีกับการต้องมาอยู่กับคนบ้าๆบอๆแบบผม ผมจะโทรไปหาพ่อให้เลิกกวนใจคุณก็ได้นะ"ชายหนุ่มเอยปากเสนอทางออก

              "คุณนี่ชอบคิดอะไรในแง่ร้ายเสียจริงๆ" ไคลน์เงยหน้ามาสบมองใบหน้าของเอนีลด้วยท่าทีระอาหน่าย ดวงตาสีน้ำตาลลึกล้ำคู่นั้นจ้องมองใบหน้าและสบตาเขาพลางเอ่ยคำเบาๆในลำคอ "ทั้งมองโลกในแง่ร้าย ทั้งพูดจาชวนโมโหไม่เคยเปลี่ยน"

            "เอ๋?"เอนีลขมวดคิ้ว เมื่อไดยินเสียงพึมพำของชายหนุ่มเบื้องหน้า

            "ไม่มีอะไร..ผมแค่จะบอกว่าคุณน่ะควรจะสงบใจและเลิกคิดว่าตัวเองบ้า"ไคลน์ถอนหายใจช้าๆ ขยับตัวเอนกายมาสบตาผู้ป่วย "ผมประจำอยู่ในสนามรบ พบเห็นทหารที่เป็นบ้าหรือมีอาการผิดปกติเพราะความเครียดมามากมาย แต่ไม่เห็นว่าคนบ้าที่ไหนจะขี้หงุดหงิดแถมเอาแต่พูดว่าตัวเองไม่ปกติแบบนี้ คุณเคยได้ยินไหม ที่ว่าคนบ้า มักจะมักไม่รู้ว่าตัวเองบ้าน่ะ""

            "แต่อาการของผมมันอาจจะใช่ก็ได้นี่ " ริมฝีปากบางบิดขึ้นพร้อมใบหน้าขึ้นสีน้อยๆด้วยความไม่พอใจที่ถูกดุ ทำให้คนมองแย้มรอยยิ้ม

            "ครับๆ...ตอนคุยกันเรื่องนี้ครั้งแรกคุณบอกตัวเองไม่บ้า และเย็นนี้คุณบอกว่าตัวเองบ้า...โอเค ผมจะจำไว้ว่าครั้งต่อไปคุณจะบอกว่าตัวเอง"ไม่เป็นไร"

            "เอ๊ะ...ก็ผม...."เอนีลหน้านิ่วเมื่อถูกล้อเลียน ขยับปากจะประท้วง

            "วันนี้เราไม่ได้มาคุยกันว่าใครบ้า หรือใครไม่บ้า" ไคลน์เอ่ยพลางส่ายหัวช้าๆ "ผมไม่คิดจะมาพูดว่าคุณมีอาการเป็นคนป่วยประเภทไหน ไม่ได้บอกว่าคุณเป็นพวกประสาทหลอนหรือเป็น Schizoaffective Disorder  โรคก้ำกึ่งระหว่างจิตเภทกับอารมณ์แปรปรวน..ถึงมันจะเหมือนแค่ไหนก็เถอะ"

               "หา..ว่าไงนะ "

                "เห็นไหมล่ะ" เอนีลไม่ทันจะอ้าปากโวยทหารหนุ่มก็สวนคำขึ้นมาก่อน "คุณบอกว่าตัวเองบ้า แต่พอมีคนพูดบ้างก็รับไม่ได้ แถมหงุดหงิดอารมณ์แปรปรวนเสียอีก" ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของแพทย์หนุ่มแล้วคลึงมันเบาๆ "เอนีล ชาส์เดอตงส์ สิ่งแรกที่คุณควรจะทำตอนนี้คือทำใจให้สบายและพักผ่อน ไม่ใช่มานั่งคิดว่าตัวเองบ้าไม่บ้า หรือสิ่งที่เห็นมันเป็นความจริงหรือภาพหลอน"

                "...แต่"

                "ที่ผมขอเวลาคุยกับคุณ ไม่ได้อยากจะตรวจอาการหรือคุยเรื่องโรคนั้นโรคนี้  รึมานั่งวินิจฉัยว่าคุณเป็นอะไร แต่ผมอยากคุย และผ่อนคลายให้พื้นอารมณ์คุณเเจ่มใสเสียก่อน" ทหารหนุ่มเอ่ยช้าๆ "ที่จริงแล้วอาชีพแพทย์ของคุณน่ะมันเป็นหนึ่งในอุปสรรคการรักษาเลยรู้ไหม เพราะใช้สมองมากเกินไป เพราะเรียนรู้มามากพอจะรู้เรื่องทฤษฏีโรคจิตวิทยาหรือเรื่องต่างๆ มันทำให้คุณยิ่งคิด ยิ่งเครียด และยิ่งกังวลว่าตัวเองจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จนกระทั่งเครียดเกินไปและลืมกระทั่งจะผ่อนคลายอารมณ์"

                "สิ่งที่ผมเห็นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเครียด" เอนีลยกมือขึ้นเสยผม ยิ้มเเสยะอย่างไม่เห็นขัน

                "นั่นไงล่ะ...ผมบอกแล้วว่าคุณเอาแต่คิดวิเคราะห์มากเกินไป ต่อให้เป็นหมอ แต่คุณก็ไม่ใช่หมอด้านจิตวิทยา หรือแม้คุณจะเป็น ก็มีแพทย์ที่วินิจฉัยอาการของตัวเองผิดอยู่ถมเถ" ไคลน์เอ่ยพลางถอนหายใจช้าๆ "ผมไม่คิดจะสนใจว่าที่คุณเห็นมันคืออะไร เพราะตอนนี้ผมอยากให้คุณเลิกคิดและหลับตาลงซะ.."

                "ผม....ไม่กล้าหลับ..."เงียบไปนาน เสียงพึมพำเบาๆจากปากของเอนีลก็ดังขึ้น หากใจใจความนั้นทำให้คนฟังขมวดคิ้ว

             ไคลน์จ้องมองใบหน้าที่ก้มมองผ้าห่มของตนเงียบๆสีหน้าเศร้าสร้อยและแผ่นหลังงองุ้มจนน่าสงสาร แววรวดร้าวลึกในดวงตาบ่งชัดว่าเจ้าตัวเจ็บปวดและทรมานกับฝันร้ายนี้มากเพียงใด ทหารหนุ่มจ้องมองร่างของชายเบื้องหน้า ครู่หนึ่งแววตาของเขาเข้มขึ้นและใบหน้าแปรเป็นตึงขึง..ฝ่ามือกำแน่นคล้ายจะเอ่ยบางสิ่ง...

             "ถ้าผมหลับ ผมก็ต้องเห็นมันอีก..มันโหดร้ายเกินไป" ฝ่ามือขาวกุมใบหน้าของตนไว้แล้วร่ำไห้ออกมาเงียบๆ เอนีลเม้มปากแน่น สะอื้นเบาๆในลำคอขณะที่ขอบตาร้อนผ่าว ศีรษะปวดระบมเมื่อภาพฑัณทรมานอันโหดร้ายยังคงคิดตามแม้เพียงหลับตา ศีรษะอันไร้ร่างของเขาจ้องมองมาด้วยดวงตาว่างเปล่ามีเพียงเลือดเอ่อนอง ชวนให้ร่างทั้งร่างสั่นไหวด้วยความหวาดผวา หัวใจปวดร้าว ทั้งหวาดกลัวและไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงต้องพบเจอเรื่องราวเช่นนี้..

             กี่วันที่หลับตาแล้วเจอแต่ภาพเดิมๆ...ความฝันเดิมๆ กี่คืนที่ต้องตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ส่งเสียงหวีดร้องด้วยลำคออันแห้งผากและดวงตาไร้หวัง

             เขาปรารถนาจะตะกายออกไปจากกรงขังที่โหดร้าย อยากจะลบเลือนภาพฝันที่คอยหลอกหลอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจบรรเทา

             ทำไม...ทำไมถึงต้องพบเจอ ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้กัน

            "หลับเสียเถอะ..." ฝ่ามือหนาแตจะลงบนเส้นผม ความอบอุ่นที่แผ่ลงมายังหัวใจทำให้ร่างทั้งร่างนิ่งงัน เอนีลเงยหน้าไปมองสบแววตาอ่อนโยนของบุรุษหนุ่มที่ตนรู้จักเพียงชั่ววันด้วยความงวยงง สิ่งที่เขาพบเห็นมีเพียงรอยยิ้มอุ่น แววตาอ่อนโยน และถ้อยคำปลอบประโลมที่ค่อยกำซาบเข้าไปในหัวใจ...

            "ตะ...แต่...ผม " หากเขายังไม่อาจลืมเลือนได้ ว่าสิ่งใดจะตามมาหลังจากเข้าสู่นิทรา..

            "ไม่เป็นไร เชื่อผม " ไคลน์ขยับตัวขึ้นนั่งข้างเตียงหน้า ร่างสูงเอนกายเข้าหาแพทย์หนุ่มที่เอนตัวพิงหัวเตียงไว้ช้าๆ ฝ่ามือค่อยไล้ลงมาจากเส้นผมสู่ผิวแก้ม ละเลียดไล้และสัมผัสแตะต้องมันอย่างแผ่วเบา เต็มไปด้วยความรักใคร่ "มองตาผม..สบตาผม และเชื่อที่ผมพูด.."

            "...ผม...กลัว" ริมฝีปากบางพึมพำเสียงแผ่ว นัยน์ตาไหวระริกจ้องสบแววตาสีน้ำตาลที่แสนอบอุ่น เอนีลรู้สึกว่าหัวใจที่เต้นแรงด้วยความหวาดหวั่นค่อยแปรเปลี่ยน มันยังคงเต้นแรง หากแต่เป็นเพราะสัมผัสของชายตรงหน้า..

            "ไม่ต้องกลัว.."ปลายนิ้วแตะไล้ปลายคางแล้วแตะให้มันเงยขึ้นสบมองแววตาสีน้ำตาลและจ้องมองใบหน้ากันตรงๆ "ผมอยู่ที่นี่...ไม่ต้องกลัว..."

            "...ไคลน์...." ริมฝีปากบางเอ่ยพึมพำเสียงแผ่ว จ้องมองดวงตาคู่นั้นนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด หากความปวดร้าวขมปร่าอันไม่มีที่มากดทับให้ครางออกมาด้วยน้ำเสียงกลั้นสะอื้น และ...น้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาอย่างรวดเร็ว

            "...เอนีล?" ไคลน์รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ชายหนุ่มค่อยขมวดคิ้วน้อยๆ จ้องมองดวงตาสีฟ้าใสที่มีน้ำตาเอ่อนองและดวงตาแดงช้ำ ใบหน้าเดิม..คนๆเดิม ทว่ากลับมีบางสิ่งที่แปลกไปอยู่..และนั่นทำให้คนมองขมวดคิ้ว ด้วยนึกรู้ ว่ามันคือสิ่งใด

             "...ข้าขอโทษ.." น้ำเสียงที่ออกมาจากริมฝีปากบางดังขึ้นแผ่วเบา แต่ใจความนั้นทำให้ร่างของแพทย์หนุ่มเกร็งเขม็ง
.นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองใบหน้าของเอนีล ชาส์เดอตงส์อันเคยคุ้น หากครู่หนึ่ง เขามองเห็นใบหน้านั้นแปลกไปกว่าที่เคยเห็น

               ดวงตาสีเดิม..ใบหน้าเดิมๆ แต่ทำไมถึงได้ทุกข์ระทมและรวดร้าวนัก?

           "ไคลน์?..." ชั่วพริบตา แม้จะไม่เนิ่นนานหากกลับชัดเจนนักในความรู้สึก ร่างของเอนีล ชาส์เดอตงส์ที่เอนกายมาเบียดร่างของเขาก็พลันสะดุ้ง ใบหน้าและผิวแก้มแดงวาบด้วยความตกใจเมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในลักษณะไหน หมอหนุ่มรีบยันตัวออกห่าง ใบหน้าร้อนๆพยายามมุดลงไปในกองผ้าห่มอย่างสุดความสามารถเมื่อเเว่วเสียงหัวเราะในลำคอของคนที่ถูกลวนลามดังขึ้น
           
            "ผมขอโทษ! ผมไม่ได้ตั้งใจ ไคลน์ คือว่า...."เอนีลอ้าปากกุกกัก พยายามเหลือเกินที่จะอธิบายเรื่องราวให้คนตรงหน้าได้เข้าใจ แม้ว่าตัวเขาก็ไม่รู้ว่าเผลอตัวไปทำท่าทางแบบนั้นเอาตอนไหนหรือเมื่อไหร่

            "พอๆ ไม่ต้องพูดแล้ว หลับซะเถอะ "ไคลน์หัวเราะเบาๆในลำคอ ฝ่ามือดันร่างของเอนีลที่ยังคงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนให้เอนกายลงบนเตียง "ไปพักผ่อนสักสองสามชั่วโมง ประมาณสามทุ่มผมจะให้พ่อบ้านของคุณมาปลุกไปทานข้าว"

            "แล้วคุณ..?"เอนีลเอ่ยถาม ดึงผ้าห่มจากบั้นเอวขึ้นมาจรดปลายคาง

            "ผมขอไปจัดเสื้อผ้าแล้วก็จัดการธุระส่วนตัวก่อนแล้วกัน ผมยังไม่หิว"ไคลน์ยิ้มขันกับท่าทีเหมือนเด็กน้อยของชายหนุ่มตรงหน้า

            "อ่ะ...เอ่อ...."เอนีลร้องทักเบาเมื่อเห็นว่าไคลน์ทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียง ทำให้ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นหันมาหา นัยน์ตาสีฟ้าสดหรุบต่ำ ผิวแก้มแดงวาบอย่างปิดไม่มิดขณะเจ้าตัวพูดเบาๆด้วยความขัดเขิน "คุณ..ช่วยอยู่ตรงนี้ก่อนได้ไหม"

             "...?" ไคลน์มีสีหน้าสงสัย

            "คือ...ผมนอนไม่หลับ..ถ้าไม่มีใครอยู่ด้วย" เอนีลเอ่ยปากขออกมาเบาๆถึงเรื่องน่าอายของตนที่ไม่คิดจะเผยให้ใครรู้เด็ดขาด กับความจริงที่ว่าเพราะความฝันนั้นทำให้เขาหวาดกลัวคามมืดยามปิดดวงตาลงมากมาย มันฝังใจมาตลอดจนไม่อาจสลัดนิสัยนี้หาย ที่ผ่านมาฟาเอลพ่อบ้านจะต้องอยู่เฝ้าเขาตลอด เจ้าตัวจะยืนถือเชิงเทียนและเฝ้ามองเขาด้วยแววตาอ่อนโยนกระทั่งเขาหลับไปทุกวันๆจนกลายเป็นความเคยชิน

            "อ้อ..." เอนีลคาดว่าเขาจะได้รับเสียงหัวเราะหรือท่าทีขบขัน เพราะตัวเขาที่อายุขนาดนี้แล้วยังทำตัวเหมือนเด็กๆ  แต่เปล่าเลย ไคลน์เพียงแต่พยักหน้าและยิ้มรับ และทรุดกายลงข้างเตียงอีกครา

             ".........." ฝ่ามือขาวจัดถูกดึงไปกุมไว้อย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วที่ไล้หลังมือเบาๆสร้างความผ่อนคลายและอบอุ่นนั้นรู้สึกดีจนตัดใจดึงมันออกไม่ลง เอนีลเงยหน้าขึ้นสบมองแววตาอบอุ่นจากชายหนุ่มเบื้องหน้า เขามองเห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นเป็นประกายอ่อนโยนอย่างที่พบเห็นได้ยาก ทั้งรอยยิ้มและใบหน้ายิ้มแย้มนั้นช่างติดตรึง แม้จะชวนให้นึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดคนที่ได้พบกันไม่ถึงชั่ววันถึงได้มีท่าทีแบบนี้กับเขา ทว่า...ปลายนิ้วที่แตะลงบนหน้าผากและไล้เส้นผมเบาๆ ช่างแสนอบอุ่นจนนึกเสียดายหากจะมัวแต่นั่งระแวง

              ความเงียบดำเนินไปอย่างเชื่องช้า สรรพเสียงภายในห้องนอนนี้ไม่มีสิ่งใดนอกจากเสียงลมหายใจแผ่ว ท่ามกลางแสงไฟสีส้มอ่อนๆที่ส่องแสงนวลตาทั่วทั้งห้อง ภาพของบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหล่า มีใบหน้ายิ้มแย้มและแววตาอ่อนโยนช่างตราตรึง ทั้งสัมผัสอุ่นจากฝ่ามือหนาก็ยิ่งชัดเจนนัก..

               นัยน์ตาสีท้องฟ้าค่อยปรือปิดลงช้าๆ ชั่วขณะหนึ่งเอนีลมองเห็นปลายนิ้วของไคลน์แตะลงมาที่หน้าผาก มันคงไม่แปลกหากจะไม่มีแสงนวลสีอ่อนๆออกมาจากปลายนิ้วเรียวงามนั้น แต่ความสงสัยเกิดขึ้นเพียงเสี้ยวหนึ่งทุกอย่างก็จางหาย ทันทีที่ปลายนิ้วนั้นแตะลงบนหน้าผาก กลิ่นหอมๆก็ชายโชยพร้อมกับสติที่เลือนรางค่อยหลุดลอยไปอย่างรวดเร็ว

              ก่อนที่ประสาทรับรู้ทั้งหมดจะปลาสไปสิ้น เอนีลยังได้ยินเสียงกระซิบของไคลน์..มันดังขึ้นเบาๆหากแต่ซาบซึ้งและน่าฟังยิ่งนัก

              "ผมอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครทำอะไรคุณได้อีกแล้ว"

              นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยปิดลงพร้อมกับเสียงลมหายใจดังขึ้นเบาๆหากสม่ำเสมอเป็นสัญญาณที่บอกว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าเข้าสุ่ห้วงนิทรา ไคลน์กวาดตามองคนที่อยู่บนเตียงอยู่ครู่หนึ่ง เขาละปลายนิ้วออกจากหน้าผากบางและค่อยแกะมือออกจากการเกาะกุมพร้อมกับลุกออกมาจากเตียง หากกลับหันมามองอีกครั้งราวกับห้ามใจไว้ไม่อยู่ เขากวาดมองคนที่นอนหลับอยู่อีกครั้ง และความคะนึงหาที่รุนแรงในหัวใจทำให้ฝ่าเท้าของเขาก้มตัวไปหาเจ้าของเส้นผมสีทองอร่ามบนเตียง ใบหน้างดงามหลับตาพริ้ม สีหน้ายามนิทราช่างแสนงดงามและสงบสุข ทำให้ไคลน์ยิ้มออกมาบางๆ

              ปลายนิ้วแตะไล้เส้นผมสีทองคำ ไล้เล่นอย่างสเน่หารอยยิ้มประดับบนใบหน้าคมพลางจ้องมองใบหน้าของเอนีล ชาส์เดอตงส์อย่างหลงใหล แต่เมื่อกระพริบตาอีกครั้ง..นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกลับค่อยแปรเป็นสีเข้ม ใบหน้าคมก้มแนบชิดหากไร้รอยยิ้ม และท่ามกลางความเงียบที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ฝามือหนาค่อยไล้ลงบนลำคอขาว แตะปลายนิ้วลงบนเส้นชีพจรเพียงแผ่วเบา..

              "อือ.." เสียงครางในลำคอของคนที่กำลังหลับสบายและใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มราวกับกำลังฝันดีนั้นทำให้คนมองชะงัก ไคลน์ละมืออกจากลำคอขาว ยืดตัวขึ้น เขาจ้องมองใบหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทีครุ่นคิด ที่สุดจึงผ่อนลมหายใจยาวใบหน้าคมปรากฏรอยยิ้มอีกครา ฝ่ามือหนาจัดการดึงผ้าม่านที่ถูกรวบไว้ข้างเสาเตียงออกอีกครั้ง คลี่มันออกและให้มันทิ้งตัวปิดบังภาพเจ้าชายผู้งดงามซึ่งกำลังนอนนิทราบนเตียงท่ามกลางแสงไฟอ่อนๆด้วยรอยยิ้ม

              ฝ่าเท้าก้าวผ่านเตียงหนา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองทั่วห้องเพื่อสำรวจตรวจตราเป็นครั้งสุดท้าย เขาเดินไปยังบริเวณหน้าต่างอีกครั้ง ชายหนุ่มดึงม่านออกกอย่างแรง เผยให้เห็นภาพของมหานครปารีสในยามค่ำคืน แสงไฟจากบ้านเรือนและอาคารต่างๆยังคงสว่างไสวบ่งบอกถึงความมีชีวิต และตรอกซอยตรงข้ามกับคลินิกไม่มีร่างเจ้าของดวงตาสีแดงคู่นั้นทำให้ตนนึกเบาใจ กระนั้นก็ไม่อยากประมาท ปลายนิ้วเรียวจึงแตะลงบนกรอบหน้าต่างริมฝีปากหนาพึมพำเอ่ยคำอย่างแผ่วเบาอีกคราเพื่อความมั่นใจ ก่อนจะดึงม่านปิดลงอีกครั้ง

                แกร๊ก...
 
               ร่างสูงก้าวออกมาจากห้องนอนของผู้เป็นเจ้าของห้องพัก พลันสะดุดกับร่างของพ่อบ้านวัยชราเบื้องหน้า ไคลน์หรี่ตาลงน้อยๆ สบมองแววตากร้าวของฟาเอล กีโยต์ ที่โยนกระดาษใส่หน้าเขาด้วยความไม่พอใจ!

...........................




 :katai5: กระดื๊บบบบบบ  เเว้บมาค่า ดีจายที่เน็ตใช้ได้ ตอนนี้มาเเบบหวานๆอบอุ่นๆ //เหรออออ 55++ :mew5://เจอกันตอนหน้าค่าาาาาา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2014 12:50:17 โดย Serin »

ออฟไลน์ greenapple

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-5
 :mc4:
ถ้าเป็นกลางคืนจะไม่กล้าอ่านนะเนี่ย
ขอแว่บไปอ่านต่อ มาแบบยาวววว
 :L2: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-05-2014 13:28:00 โดย greenapple »

ออฟไลน์ pedgampong

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 193
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตามมาจากพี่โต ตามมาอ่านเงียบๆ แบบ งงๆ
รอตอนหน้าเผื่อจะหายงง สับสนว่าใครเป็นใคร :really2:

มาให้กะลังใจคนเขียนค้าาาา  :katai4: ฮึบๆ

ออฟไลน์ oreena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
LOST ANGEL ** Lost 5 : Remember ** UP.28/5/57
«ตอบ #14 เมื่อ28-05-2014 12:45:32 »

Lost 5 : Remember



                   กระดาษเอกสารสี่ห้าฉบับซึ่งถูกโยนใส่ใบหน้าทันทีที่ปิดประตูและเดินออกมาจากห้องพักของคุณหมอเอนีล ดวงตาสีน้ำตาลเข้มไม่แม้แต่จะกระพริบเสียด้วยซ้ำยามเห็นกิริยาหยาบคายผิดวิสัยอาชีพ ใบหน้าหล่อเหลาจ้องมองแผ่นกระดาษที่ร่วงกราวลงอย่างรวดเร็ว เอกสารแจ้งข้อมูลพิมพ์ด้วยกระดาษเนื้อดียับย่นด้วยอารมณ์กรุ่นเคืองของผู้ถือ ฟาเอล กีโยต์ พ่อบ้านผู้ชราประจำตระกูลชาส์เดอตงส์จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยแววตาวาววับ ริมฝีปากผากแห้งเม้มแน่น เต็มไปด้วยความไม่พอใจที่แสดงออกอย่างชัดเจนต่อชายเบื้องหน้า..

                   แกร่บ..


                   กระดาษเนื้อดีหล่นอยู่ตรงปลายเท้า ถูกหยิบขึ้นมาด้วยปลายนิ้วของไคลน์ สไตรค์เซอร์ ใบหน้าหล่อเหลางดงามที่คงรอยยิ้มอ่อนโยนเรียบเรื่อยแสนจะเป็นสุภาพบุรุษยามอยู่ต่อหน้าบุตรชายของนายพลใหญ่บัดนี้จางไปเหลือเพียงสีหน้าเรียบเฉยไม่ต่างกับแผ่นกระดาษในมือ..

                    นัยน์ตาสีเข้มสบมองความไม่พอใจในดวงตาของพ่อบ้านชรา ใบหน้าหล่อเหลางดงามนั้นไม่ปรากฏความงวยงงขึ้นเสียด้วยซ้ำยามทอดมองใบหน้าของชายผู้หนึ่งที่อยู่ในกระดาษ

                    เอกสารนั้นเป็นประวัติโดยละเอียดของชายคนหนึ่ง..บุรุษผมสีน้ำตาล ดวงตาสีเดียวกัน เชื้อสายฝรั่งเศษ-อังกฤษ ประกอบอาชีพรับราชการทหารกับกองทัพฝรั่งเศส อดีตเคยประจำอยู่ที่แคว้นไรน์แลนด์  ชายผู้มีชื่อว่า ไคลน์ สไตรค์เซอร์..

                    ..แต่ใบหน้าของบุคคลในรูปนั้น ไม่ใช่ ไคลน์ สไตรค์เซอร์ที่ยืนอยู่ตรงนี้!!!
 
                     "แก..." พ่อบ้านเฒ่าคำรามด้วยความไม่พอใจ ลางสังหรณ์ที่มีนั้นถูกต้องในที่สุด ตนนั้นนึกเคลือบแคลงสงสัยท่าทีของบุรุษผู้มาใหม่ไม่น้อย จึงได้ขอประวัติของไคลน์ สไตรค์เซอร์ จากเจ้านายตนเพื่อมาตรวจสอบให้แน่ใจ ฟาเอลคิดว่าชายคนนี้มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ ตนคิดว่าอาจจะได้เงื่อนงำในการเป็นสายลับ ชายคนนี้อาจจะมาสืบข่าวคราว หรือเป็นคนของคู่แข่งที่ส่งมากำจัดคุณชายก็เป็นได้

                      ... แต่ฟาเอลไม่คิด..เขาคาดไม่ถึงเลยว่าชายคนนี้จะมีใบหน้าแตกต่างกับคนในรูปอย่างสิ้นเชิง

                     ทั้งรูปร่างหน้าตา ลักษณะหรือแม้กระทั่งส่วนสูงมันผิดแผกไปหมด มันเป็นเพียงการแอบอ้างชื่อ ไม่ใช่คนเดียวกัน ไม่มีอะไรเหมือน ไม่ใช่การปลอมตัวเสียด้วยซ้ำ!! แต่ทำไมบอดี้การ์ดที่คอยคุ้มกันนายน้อยและดูแลอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ถึงได้ไม่รู้เรื่อง!? การ์ดพวกนั้นไม่ได้ตรวจสอบอะไรเลยหรือ? นี่พวกเขาเลินเล่อมากเท่าไหร่กันถึงปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ ซ้ำพวกตนยังเป็นฝ่ายปล่อยให้มันเข้าใกล้คุณชาย..

                      ปึง!

                   "จะไปไหนครับ?" เร็วเท่าความคิดฟาเอลกระโจนพรวด พยายามถีบตัวไปหาประตูห้องอย่างไม่คิดจะสนใจสภาพร่างกายของตน จิตประหวั่นคิดไปถึงนายน้อยที่เขาห่วงหานัก ทว่าเพียงแตะมือลงบนบานประตู  ท่อนแขนก็ถูกกระชากกลับซ้ำยังบีบแน่น แล้วเรี่ยวแรงชายชราอย่างตนหรือจะสู้บุรุษหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่ได้ไหว

                   "เจ้าสายลับ!แกทำอะไรคุณชาย" ฟาเอลร้องตวาดสวนคำไปอย่างไม่ยอมแพ้ พ่อบ้านเฒ่าใช้ดวงตาอันฝ้าฟางของตนจ้องมองหน้าคนพูดเขม็ง ในใจร้อนรนยามคิดถึงคุณชายคนเล็กของบ้าน ฟาเอลนึกละอายใจนักที่ตนเองนั้นเลินเล่อ ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมเข้าถึงตัวคุณชายเพียงเพราะมีจดหมายมาจากท่านนายพล ทั้งๆที่มันอาจจะเป็นสายลับ อาจจะชิงหนังสือมาจากผู้รับคำสั่งตัวจริง มันอาจเป็นมือสังหารมาทำร้ายแก้วตาดวงใจของท่านนายพลก็เป็นไปได้

                   "เงียบหน่อยสิครับ เสียงดังเดี๋ยวเอนีลจะตื่นเอา" ฝ่ามือซ้ายบีบแขนพ่อบ้านเฒ่าและเอ่ยตอบด้วยสีหน้านิ่งเฉย มืออีกข้างของไคลน์แตะลงบนลูกปิดประตู แสดงชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้สุ้มเสียงการทะเลาะวิวาทนี้เข้าถึงหูชายหนุ่มผู้กำลังนิทราอยู่เด็ดขาด แน่นอนรวมถึงไม่ยอมให้ใครเข้าไปรบกวนเจ้าชายผู้นิทราสนิทในนั้น

                   "แกทำอะไรคุณชาย! สายลับสองหน้าอย่างแกน่ะกำลัง..อึ่ก..."

                   “กล่าวหากันแบบนี้ไม่ดีนะครับ” ริมฝีปากหนายังคงหยักยิ้มอ่อนเช่นที่เคยพบเห็น ทว่ากับฟาเอลแล้วเขาถือว่ารอยยิ้มนี้เชื่อไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!

                   “กล่าวหาอะไร...กับไอ้คนที่แอบอ้างชื่อผู้อื่นอย่างแก!!” พ่อบ้านเฒ่าพยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม หรืออย่างน้อยก็ยังคงพยายามตะโกนให้สุดเสียงเผื่อว่าเหล่าการ์ดข้างนอกจากได้ยินบ้าง

                   “ชื่อนั้นสำคัญฉไน...?” คิวเข้มเลิกขึ้นเนิบช้า อัปกริยาฉงนฉงายกลับทำให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูน่ามองขึ้นนับเท่าตัว ก่อนที่ ไคลน์ สไตร์คเซอร์จะถอนหายใจแผ่ว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องสบดวงตาของพ่อบ้านเฒ่าด้วยสีหน้าจริงจัง..

                    “รู้เพียงว่าผมมาเพื่อปกป้องดูแลคุณชายที่คุณรัก และมาช่วยขจัดปัดเป่าฝันร้ายของเขาให้หายไป เพียงเท่านั้นยังไม่พออีกหรือ?”

                     ใบหน้าหล่อเหลานั้นจ้องมองสีหน้าโกรธเคืองนั้นคล้ายฉงน ราวกับชายผู้นี้ไม่อาจเข้าใจความเคืองแค้นที่มุ่งมาสู่ตนได้ชัดเจนนัก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นยังพยายามจับจ้อง หวังเพื่อแสดงความจริงใจราวกับไร้เดียงสา

                     “แกพล่ามอะไร?” พ่อบ้านเฒ่าแค่นหัวเราะ สำหรับฟาเอลแล้ว ท่าทีเมื่อครู่นั้นน่าหัวร่อนัก “พยายามแสดงความจริงใจ ทั้งที่โกหกมาแต่แรกน่ะรึ น่าขำสิ้นดี!!”

                     “สำหรับมนุษย์ที่มีความเชื่อใจให้กันเพียงน้อยนิด ก็คงไม่พอจริงๆล่ะนะ...” ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว แม้ร่างสูงจะมีท่าทีระอาใจ แต่ฝ่ามือที่กำแขนของพ่อบ้านเฒ่าไว้ยังคงแน่นแข็งปานคีมเหล็ก ฟาเอลพยายามกรอกตาซ้ายขวามองหาจากชั้นสามเพื่อหวังพบเจอเงาหรือร่างของบอดี้การ์ดฝีมือดีที่ถูกจ้างมาสักนิด แต่ยามนี้ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเสียเลย ด้วยแม้สักเส้นผมยังไม่ปรากฏเสียด้วยซ้ำ

                   “ระ...รอสซะ...อั่ก!!”

                   "อย่าแม้แต่จะคิดบอกพวกการ์ดรักษาความปลอดภัยข้างนอก" คราวนี้ไคลน์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้ว ริมฝีปากบางเฉียบเอ่ยเสียงแผ่ว นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงน้อยๆยามจ้องมองสีหน้าหวาดหวั่นและดวงตาที่เบิกกว้างของชายชราเบื้องหน้า..บุรุษที่ถูกปิดปากด้วยฝ่ามือของตนที่ขย้ำลงไปในลำคอเหี่ยวย่นนั้นโดยแรง..

                   "ฮึ่ก...ฮั่ก..." ร่างของฟาเอลดิ้นอย่างรุนแรงเมื่ออากาศหายใจเริ่มขาดห้วง พ่อบ้านชรารู้สึกหูอื้อและสมองอื้ออึงด้วยเสียงลม ดวงตาเบิกค้าง หากนัยน์ตาฟ้าฟางยังคงจ้องมองไปยังบุรุษตรงหน้าเขม็ง

                   “คุณไม่ควรดูถูกน้ำใจของคนอื่น เพราะมันจะทำให้ผมโกรธ...” ไคลน์ถอนหายใจ ฝ่ามือข้างที่ว่างทิ้งลงข้างตัวยังคงมีท่าทีไม่สะดุ้งสะเทือนแม้กำลังใช้กำลังประทุษร้ายร่างกายของผู้อื่นอยู่ ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นจ้องมองชายแก่ผู้มีสีหน้าบิดเบี้ยวพลางเอ่ยพร่ำคำสอน

                   “ทั้งที่ผมพยายามดูแลเขาด้วยใจจริง..เหตุใดถึงต้องเข้าใจผิดกันด้วยนะ มนุษย์..”     

                    ผู้ชายตรงหน้าจะพุดอะไรบัดนี้ไม่อาจเข้าหู ยิ่งนานลำคอยิ่งปวดร้าว พยายามดิ้นรนและต่อสู้ก็แล้วแต่เหมือนจะไร้ผล ฟาเอลมองเห็นแววตาเหนื่อยหน่ายที่แฝงความเย็นยะเยียบของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วหนาววูบในใจ สำนึกรู้ว่าเขากำลังจะตาย กำลังบอกให้น้ำตาค่อยทะลายหลั่งทะลักลงมาพร้อมกับร่างที่ดิ้นเร่าด้วยความทรมาน

                    หัวสมองมึนเบลอ คิดอะไรไม่ออก กระนั้นพ่อบ้านชราก็ยังไม่ข้าใจ แม้ชายหนุ่มตรงหน้าจะเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์เรี่ยวแรงแตกต่างกับตนที่เป็นเพียงชายชราวัยไม้ใกล้ฝังอยู่แล้ว แต่นี่มันเกินไป ผู้ชายที่ใช้มือเดียวบีบคอเขาซ้ำยังสามารถยกร่างของตนขึ้นจนปลายเท้าไม่แตะพื้นด้วยท่าทีสบายๆ มันเหนือจริงเกินไป

                    ความประหวั่นพรั่นพรึงแทรกเข้ามาในใจอย่างเฉียบพลัน ใบหน้าแสดงอาการหวาดหวั่นหวาดกลัวชัดเจนเมื่อได้สบมองดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น..แม้จะยังเป็นสีน้ำตาลที่ดูอบอุ่น ทว่ากลับรู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วตัวราวกับโดนทุบกระดูกเสียอย่างนั้น

                   ตุบ..

                   “อ่า...พอทำแบบนี้แล้วจะทรมานสินะ ลืมไปเสียสนิท..” อีกนิดเรียวแรงทั้งหมดจะหมดลงพร้อมทั้งเปลวเทียนแห่งชีวิตที่ไหวระริกจะดับวูบ แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับละฝ่ามือออกแล้วปล่อยให้พ่อบ้านเฒ่าทรุดกายลงหอบเอาหายใจเข้าปอดเพื่อยื้อชีวิต

                  "โชคดีที่ผมลงมือกับมนุษย์ไม่ได้" ริมฝีปากบางเอ่ยเสียงเรียบ หากใจความนั้นทำให้ความงวยงงบังเกิด ฟาเอลนึกสงสัยแม้บัดนี้เขาจะสำลักกระอักกระไอด้วยอากาศที่เผลอสูดเข้าไปอย่างตะกรุมตะกรามเมื่อพ้นเงามัจจุราช กระนั้นหูก็ไม่ได้ฝาดพอจะไม่ได้ยินคำๆนั้น..

               ลงมือ? มนุษย์?
               หมายความว่าอย่างไรกัน..?


                   "แต่ก็คงปล่อยไปไม่ได้" ร่างของไคลน์ทรุดกายลงเบื้องหน้าพ่อบ้านชรา นัยน์ตาคู่นั้นยังคงวาววับด้วยความนัยน์บางอย่างที่ฟาเอลมิอาจรับรู้ความหมาย พ่อบ้านชราจ้องมองกระดาษที่มีใบหน้าของ"ไคลน์ สไตรค์เซอร์" ซึ่งมีรูปลักษณ์แตกต่างกับชายหนุ่มรูปงามตรงหน้ามากนัก ลางสังหรณ์บางอย่างกรีดร้องให้หลีกหนี สัญชาตญาณเบื้องลึกกู่ก้องให้ผละห่าง มันกำลังพร่ำบอกอย่างหวาดกลัวต่อคนที่อยู่เบื้องหน้า และเมื่อดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นตวัดผ่าน พ่อบ้านเฒ่าถึงกับสั่นระริกไปทั้งตัวด้วยความหวั่นกลัว
     
                    "แก....เป็นใครกันแน่" น้ำเสียงแหบแห้งด้วยลำคออันบวมช้ำจากการบีบแน่นเอ่ยออกมาอย่างกระท่อนกระแท่น ร่างอันสั่นไหวของพ่อบ้านเฒ่าพยายามคลานหนีร่างของบุรุษปริศนาเบื้องหน้าอย่างทุลักทุเล แม้ยากลำบาก..หากแต่ในใจยังนึกห่วงหาชายหนุ่มซึ่งตนรักดั่งลูกในอุทร เอนีล ชาเดอตงส์ คุณชายผู้นอนหลับอยู่ภายในห้องนั้น

                  แกร่กๆๆๆ

                     ฝ่ามืององุ้มง้างประตูห้องของคุณชายเอนีลออกอย่างสุดแรงแม้ดวงตาจะจับจ้องร่างของชายผู้นั้นไม่ห่าง ไคลน์  สไตรค์เซอร์ ยังคงยืนมองร่างของเขาอยู่แบบนั้น ดวงตาสีน้ำตาลจ้องเขม็ง ท่าทีลังเลราวกับไม่รู้จะทำอย่างไรกับตัวเขา ใบหน้านั้นจึงปรากฏรอยยิ้ม หากแต่เป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือกราวกับฆาตกรที่มีความสุขกับการเห็นเหยื่อทรมานและหวาดกลัว..

                    ฟาเอลตัวสั่นระริก พยายามเสือกกายสอดแขนขาเข้าไปในห้องของนายน้อยตนอย่างสุดความสามารถ แม้จะทำได้ยากนักด้วยเรี่ยวแรงที่ยังไม่กลับมา และเขายังหมอบคลานอยู่กับพื้นพรมหนาเช่นนี้

                    ..แต่ไม่ว่าอย่างไร ชีวิตของ เอนีล ชาส์เดอตงส์นั้นจะจบลงเพราะคนผู้นี้ไม่ได้!!

                   "คุณชาย..คุณชาย! ตื่นเถอะครับ คุณชาย!" ฟาเอลร้องเรียกหมอหนุ่มที่นอนอยู่ในห้องด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง ทว่าน่าเสียดายนักมันช่างแผ่วเบาจนไร้การเคลื่อนไหวใดๆตอบกลับ ผ้าม่านที่โรยลงรอบเตียงอันเป็นที่นิทราแสนสุขไม่มีอาการขยับไหวให้เห็นแม้สักนิด แม้จะพยายามเปล่งเสียงตะโกนเช่นไรก็ดูจะไร้ผล..

                   "คุณชาย!..รอสโซ่! ฟรานเชสโก้! คริสเตียะ...."

                   "เสียเวลาเปล่า" เสียงถอนหายใจดังขึ้นเหนือร่าง ฝ่ามือหนาตะปบลงบนริมฝีปากแห้งผากที่ตะโกนเรียกเหล่าบรรดาบอดี้การ์ดรักษาความปลอดภัยด้วยสีหน้าแตกตื่นไว้เพียงเท่านั้น ใบหน้าเหล่อเหลาก้มลงสบมองดวงตาอันฟ้าฟางของพ่อบ้าเฒ่าที่ดิ้นรนไม่หยุดด้วยสีหน้าครุ่นคิด และใช้เรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะกระชากร่างของฟาเอลให้ออกห่างจากประตูห้องของคุณหมอเอนีล

                  "แกทำอะไร" ฟาเอลถามเสียงเครียดด้วยใบหน้าเผือดขาว ตกใจซ้ำยังงวยงงและไม่พอใจหนัก แม้ร่างสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่นและบางสิ่งที่ตนสามารถสัมผัสได้ชัดเจน..

                   ...ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา

                   "คุณหมอชาส์เดอตงส์กำลังไม่สบาย สมควรจะพักผ่อน ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะรบกวน" ไคลน์ สไตรค์เซอร์ตอบออกมาสั้นๆด้วยริมฝีปากระบายยิ้ม "คุณฟาเอลห่วงคุณหมอเอนีลมากไม่ใช่หรือครับ ตอนนี้เขาอุตส่าห์ได้นอนหลับอย่างไร้กังวลเสียที การไปรบกวนแบบนั้นมันเสียมารยาท....”

               “และผมก็ไม่ชอบคนไร้มารยาท”


                    เฮือก!!!

                   ร่างของชายแก่ผงะ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดหวั่นที่แล่นพรวด ร่างนั้นเสือกไถลตัวห่างออกจากชายหนุ่มเบื้องหน้าตามสัญชาตญาณจนแทบติดผนังห้อง ริมฝีปากของฟาเอลสั่นระริกยามได้สบมองแววตาสีน้ำตาลที่เย็นยะเยียบจับจิต...

                   ไคลน์ สไตร์เซอร์ จ้องมองร่างที่ผงะออกห่างและท่าทีหวาดกลัวของพ่อบ้านเฒ่าอย่างเฉยชา ชายหนุ่มพยายามควบคุมเพลิงโทสะที่ถูกกวนขึ้นมาจนขุ่นมัวในใจด้วยตนเองเงียบๆ รู้ว่าตนเองนั้นแสดงอารมณ์รุนแรงออกไปได้ในทันทีเมื่อมองเห็นกริยาของพ่อบ้านเฒ่า

                  “คุณเป็นคนดี..รักและห่วงใยเอนีล...รักมาก” ริมฝีปากหนาเอ่ยอย่างแช่มช้า พลางจ้องมองชายชราตรงหน้า ผู้ที่บัดนี้เป็นดั่งคนที่อยู่ในกำมือ   

                 “ถ้าเขาขาดคุณไป..เอนีลคงจะเศร้า” ไคลน์เอ่ยขึ้นช้าๆ สีหน้าแววตาครุ่นคิดราวกับกำลังติดสินใจอะไรบางอย่าง “อ่า...เศร้า...เศร้ามากแน่ๆ ผมไม่ต้องการให้เขาเจ็บปวดเลย”

                   ครู่หนึ่งดวงตาสีน้ำตาลฉายแววโศก ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมายังฟาเอลราวกับจะวอนขอ “แล้วทำไม ทำไมคุณถึงไม่เข้าใจกันนะ..ผมไม่อยาก”จัดการ”แบบเดียวกับที่ทำกับพวกบอดี้การ์ดข้างล่างนั่นเลยจริงๆ”

                  “กะ...แก...แกทำอะไรกับคนพวกนั้น!!” ฟาเอลตะโกนถามอย่างตกตะลึง พลันเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเขาถึงไม่เห็นใครเลย ทั้งๆที่สุ้มเสียงวิวาทหรืออย่างน้อยความผิดปกติหลายสิ่งน่าจะทำให้พวกการ์ดเข้ามาตรวจสอบสถานการ์ณกันแล้วแท้ๆ

                  “คุณไม่ชอบผม เพียงเพราะหน้าตาไม่เหมือนในใบประวัติเท่านั้นหรือ?” ไคลน์ไม่สนใจคำถามของคนเป็นพ่อบ้าน ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามออกมาตรงๆ

                 แกร่บ..

                 “เรื่องหน้าตาไม่เห็นต้องคิดมากนี่ครับ ในเมื่อมัน"เปลี่ยน"ได้อยู่แล้ว" สิ้นคำ กระดาษที่มีข้อมูลของไคลน์ สไตค์เซอร์ตัวจริง ที่มีหน้าตาไม่เหมือนกับไคลน์ผู้อยู่ตรงนี้สักนิดก็ถูกดึงขึ้นให้อยู่ในระดับสายตาอีกครั้ง บุรุษผู้ที่บัดนี้ฟาเอลไม่รู้ว่าเขาคือใครกันแน่ โบกกระดาษสีขาวรูปใบหน้าขึ้นมาในระดับเดียวกันกับใบหน้าของตน ยิ่งมองยิ่งชัดเจนว่าไม่มีทางที่คนสองคนนี้จะเหมือนกันไปได้...


                 หากเพียงแค่คิด พลันกระดาษแผ่นนั้นก็เกิดการแปรเปลี่ยน ใบหน้าของชายในรูปเริ่มเปลี่ยนแปรไป จากผมตัดสั้น ใบหน้าคร้ามเข้ม คิ้วดกหนา ดูเคร่งขรึมจริงจัง กลายเป็นเส้นผมยาวสลวยระต้นคอและใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพบุตร..ใบหน้า..ที่เหมือนผู้ถือราวกับพิมพ์เดียวกันอย่างน่าอัศจรรรย์!

                 "คราวนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่ไหมล่ะ" ไคลน์ปล่อยประดาษให้ร่วงลงกับพื้น พริบตาเดียวก็ใช้มือข้างนั้นฝ่าตะครุบริมฝีปากของพ่อบ้านเฒ่าไว้ บุรุษปริศนาผู้ใช้นามว่า ไคลน์ สไตร์เซอร์ยืดตัวขึ้นมองร่างของฟาเอลที่ผงะหงาย กรีดร้องออกมาได้แค่เสียงอู้อี้ แต่ก็ยังเบิกตากว้างมองดูเขาตาถลนราวกับไม่เชื่อกับสิ่งที่ตนกำลังประสบ

                 "กะ..แก...ปีศาจ เจ้าปีศาจ..." ทันทีที่ละมือลง ริมฝีปากของพ่อบ้านเฒ่าก็สั่นระริก ร่างสะท้านขยับกายห่างด้วยความหวาดหวั่นผวา  ใบหน้าซีดขาว ซ้ำน้ำเสียงแหบพร่านั้นก็พึมพำหาพระผู้เป็นเจ้าและเอ่ยประณามว่าคนตรงหน้าคือปีศาจไม่หยุดหย่อน..

                 ..ปีศาจที่จะมาพรากชีวิตของคุณชายเอนีล ปีศาจร้ายที่คุณชายมองเห็นในความฝันอันไม่รู้จบ    มันต้องเป็นปีศาจตนนั้น มันต้องใช่เจ้าปีศาจร้ายนั้นแน่ๆ    เจ้าของความฝันโหดร้ายกำลังย่างก้าวเข้ามาคุกคามชีวิตคุณชายของเขา!!

                  "ปีศาจงั้นหรือ?" ไคลน์เลิกคิ้ว ชายหนุ่มถอนหายใจพลางมองพ่อบ้านเฒ่าที่เริ่มควักเอาไว้กางเขนมาสวดภาวนาด้วยท่าทีราวกับอ่อนใจ นัยน์ตาค่อยอ่อนแสงลงก่อนเป็นฝ่ายระบายลมหายใจแผ่วเบา " เสียมารยาทจริงๆน้า...แต่..มนุษย์น่ะมักจะคิดหวาดกลัวและมองการกระทำผิดธรรมชาติเป็นเรื่องเกี่ยวกับภูติผีปีศาจไปหมด..ข้าก็ไม่น่าจะลืม..."

                  "อย่าเข้ามานะ ..ยะ...อย่าเข้ามา!" ฟาเอลครางเสียงสั่น เขาพยายามขยับกายหนีด้วยความหวาดกลัว หากแต่ไม่มีโอกาสจะทำได้เมื่อร่างสูงใหญ่นั้นเข้าประชิดกายของเขาอย่างรวดเร็วเพียงชั่วอึดใจ..

                   ฝ่ามือหนาแตะลงบนหน้าผากกลมเกลี้ยงร้างไร้เส้นผมด้วยวัยที่ร่วงโรยอย่างรวดเร็ว สัมผัสนั้นแม้จะแผ่วเบา แต่ด้วยความหวาดกลัวที่มีอยู่เป็นทุนเดิมและมันจึงน่ากลัวยิ่งนัก!

               "ปล่อยข้า! เจ้าปีศาจ ปีศาจ อ้าก ก กกก!! "

               "ก็ดูเป็นชายแก่ใจดี แต่ทำไมถึงชอบโวยวายเสียจริง" ริมฝีปากหนาเอ่ย พร้อมกันนั้นก็พ่นลมหายใจเบาๆ ราวกับระอานักหนา..

                ไคลน์มองร่างของชายชราที่สลบไสลไปแล้วด้วยสายตาขบขันกึ่งระอา ชายหนุ่มจ้องมองสร้อยกางเขนที่อยู่ในมือฝ่ายนั้นซึ่งกำแน่น เขาค่อยแกะมันออกมาและจัดที่จัดทางให้พ่อบ้านเฒ่าพิงกายอยู่หลังบานประตูห้องของเอนีล ชาส์เดอตงส์ด้วยสีหน้าขบขัน ร่องรอยเขียวช้ำบนลำคอทำให้ใบหน้าคมแสดงอาการเจ็บปวดไม่น้อย ก่อนเขาจะค่อยๆรวบรวมเอกสารที่ตกเกลื่อนแล้วยัดไว้บนตักพ่อบ้านเฒ่าเงียบๆ

                    กระดาษที่แปรเป็นรูปของตนเองชัดเจนนั้นทำให้ไคลน์ยิ้มบางๆ  ชายหนุ่มมองใบหน้าซีดขาวนั้นแล้วถอนกายใจ ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏความลังเลขึ้นชัดเจน

                   “ถ้าหากยอมเชื่อ...ก็คิดว่าจะไม่ทำแบบนี้แล้วเชียวนะ” ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองชายแก่ที่อยู่ในอาการช็อคจนสลบไปพลางถอนหายใจพรู ”แต่มันคงเป็นไปได้ยาก..ยากยิ่งสำหรับมนุษย์ที่ไม่อาจรับรู้ถึงปาฏิหาริย์”

                   แตะปลายนิ้วลงบนแผ่นอกด้านซ้ายเผื่อสัมผัสถึงหัวใจที่ยังเต้นระรัวในทรวงอกผ่ายผอม ฝ่ามือของไคลน์แตะลงบนหน้าผากของฟาเอลอีกครั้ง เพียงไม่นานแสงสีขาวอ่อนจางก็ค่อยปรากฏออกจากฝ่ามือและครอบคลุมทั่วร่างของพ่อบ้านเฒ่าให้ขาวโพลน มันปรากฏอยู่เพียงไม่กี่อึดใจก็จางหาย รวมทั้งรอยแผลบนลำคอและสีหน้าขาวซีดของ ฟาเอล กีโยต์ด้วย..   

               "ขอโทษด้วยนะ ที่ทำอะไรรุนแรง..แต่ข้าน่ะไม่อาจจะรอได้อีกแล้ว.."

                   นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงช้าๆ ก่อนจะหยัดกายขึ้นจากพื้น
 
                  "ข้า..ปรารถนาจะปกป้องเขาจากทุกสิ่ง เช่นเดียวกับเจ้านั่นแหละ ฟาเอล กีโยต์...."

                   น้ำเสียงที่เคยรื่นเริงกลับแฝงความเศร้าสร้อย ไคลน์ สไตรคเซอร์นิ่งอยู่ครู่หนึ่งหลังเอ่ยถ้อยคำจากใจออกมาเพียงแผ่วเบา ริมฝีปากเปื้อนรอยยิ้มกลายเป็นนิ่งขรึม ร่างสูงยืนนิ่งจ้องมองร่างของพ่อบ้านเฒ่าอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาขอลุแก่โทษ

                   ความเงียบไหลผ่านไปได้ไม่นานร่างของฟาเอลก็เริ่มเคลื่อนไหว เสียงครางเบาๆก็ดังออกจากร่างของพ่อบ้านเฒ่าทำให้ไคลน์ค่อยปรับสีหน้า ชายหนุ่มจ้องมองคนที่ขยับกายอีกครั้งและค่อยลืมตาขึ้นช้าๆอยู่เงียบๆ

               "เป็นอะไรรึเปล่าครับ?" น้ำเสียงถามห่วงใยดังขึ้นเหนือร่าง ฟาเอล กีโยต์ สะดุ้งเพียงเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า พ่อบ้านเฒ่าขยับแข้งขา หยัดกายลุกขึ้นมาได้ด้วยฝ่ามือของไคลน์ที่ส่งมาให้เป็นดั่งที่เกาะ พ่อบ้านวัยชราผู้รับน้ำใจนั้นจึงเอ่ยขอบคุณแผ่วเบา..

               "เกิดอะไรขึ้น...นี่ผมเผลอหลับไปเหรอ"

               "ไม่ทราบเหมือนกันครับ พอผมออกมาคุณก็อยู่ในท่านี้เสียแล้ว " ไคลน์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ข้ามความจริงที่ว่าหากตนออกมาแล้วพบร่างของพ่อบ้านนั่งขวางประตู้ห้อง จะข้ามมาโดยไม่ให้ฟาเอลตื่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ทว่า..เหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้คิดถึงข้อเท็จจริงนั้นเลยสักนิด

               ทั้งใบหน้า ท่าทาง หรือการกระทำ ดูไร้ความหวาดหวั่น ราวกับความทรงจำที่ผ่านมาจางหาย สีหน้าของพ่อบ้านเฒ่าจึงราบเรียบและไม่มีอะไรไปมากกว่าการรับใช้อย่างเป็นทางการต่อชายผู้เป็นทั้งแขกและยังจะมาคุ้มครองนายน้อยของตน

               "แล้วคุณชาย.." ฟาเอลเอ่ยปากถาม สีหน้าห่วงใย

               "กำลังพักผ่อนอยู่ครับ ท่าทางจะหลับสบาย" คำตอบและสีหน้าแสดงความมั่นใจนั้นทำให้พ่อบ้านเฒ่ายิ้มรับ..

               "ค่อยโล่งใจ ขอบคุณมากครับ" พ่อบ้านเฒ่าเอ่ยปากพร้อมกับโค้งตัวให้อย่างสุภาพ “นานมากแล้วที่คุณชายไม่ได้เจอหมอที่เข้ากันได้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าการมาถึงของคุณจะเป็นข่าวดีแก่นายท่านและพี่น้องทุกคน”

              “ผมจะพยายามให้ดีที่สุด” ไคลน์เอ่ยรับคำ

              “ขอบพระคุณมากจริงๆครับ”

              "ไม่เป็นไรครับ งั้นผมขอตัวไปพักผ่อนก่อน" ไคลน์เอ่ยรับคำขอบคุณนั้นอย่างสุภาพ ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้พ่อบ้านเฒ่าเล็กน้อยเป็นคำจากลา เช่นเดียวกับฟาเอลที่พยักหน้ารับด้วยสีหน้าแช่มชื่น พร้อมกับมองตามแผ่นหลังของชายที่เดินจากไป แล้วก้มมองกระดาษเอกสารที่อยู่ในอ้อมแขนซึ่งมันคือใบประวัติของชายหนุ่มเอง ฟาเอลจ้องมองรูปถ่ายของไคลน์ สไตรค์เซอร์ซึ่งมองตรงมาด้วยสีหน้าพึงใจ

                  ประวัติไม่มีปัญหา ทุกอย่างไม่มีปัญหา ชายคนนี้คือคนที่ท่านนายพลมอบหมายให้มาดูแลอาการเจ็บป่วย รวมทั้งคุ้มครองคุณชายของตนอย่างแท้จริง...

                    แอ๊ด...

                  เปิดประตูห้องนอนของคุณชายอย่างแผ่วเบาเพื่อตรวจความเรียบร้อย ฟาเอลจ้องมองภาพเตียงนอนสี่เสาที่มีผ้าม่านบางเบาโรยตัวปิดล้อมด้วยรอยยิ้ม ไม่กล้าจะก้าวเดินเข้าไปใกล้ด้วยกลัวคุณชายที่ตนรักจะตื่นจากนิทรา เพียงได้มองบรรยากาศแห่งนิทรารมย์อันแสนสุขจากบานประตูแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

                  ฝ่าเท้าก้าวถอยออกมาจากห้องแล้วงับบานประตูลงด้วยใบหน้าแช่มชื่นยิ่งนัก ฟาเอลนึกขอบคุณนายทหารผู้นั้นจากใจ ไคลน์ สไตร์เซอร์ผู้เข้ามาช่วยให้คุณชายเอนีลของเขาสงบลงจากเรื่องราวเลวร้ายที่พบเจอ ช่างเป็นบุรุษที่ควรค่าแก่คำขอบคุณนับร้อยนับพันครั้งยิ่งนัก 

                  คุณชายที่เขารักและห่วงใยก็กำลังพักผ่อนอยู่อย่างสงบ ประวัติของชายผู้มาใหม่ก็ไร้ปัญหา ทุกอย่างเรียบร้อยแต่ฟาเอล กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป บางอย่างที่แสนสำคัญนัก..หากแต่เขาพยายามคิดเท่าไหร่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้ พ่อบ้านเฒ่าจึงเลิกสนใจมันเช่นเดียวกับเอกสารในมือที่ถูกทิ้งลงถังขยะใกล้ตัวอย่างรวดเร็ว

       
  .................................


เชื่อค่ะ เชื่อคุณไคลน์มากเลยค่าาาาา  เเค่ไม่เชื่อถึงกับโดนเลยทีเดียว เเถมยังต้องมีมารยาทกับเค้าด้วย โอ้เเม่เจ้า :katai1: ตอนนี้เอนีลไม่รู้เรื่องอะไรเลยขอเวลาพักบ้าง ปล่อยคุณพ่อบ้านโดนจัดเต็ม   เจอกันตอนหน้าค่าาาาาาา
 

 :t2:

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8

Lost 06  ความฝันที่แปรเปลี่ยน


  เชิงเทียนยาวที่มีลำเทียนสีเข้มปักไว้ไหวระยับตามแรงขยับกาย มันถูกยกติดมือเหี่ยวย่นของผู้เป็นพ่อบ้านนามว่าฟาเอล กีโยต์ ที่บัดนี้กำลังกุลีกุจอจัดโต๊ะอาหาร ผ้าปูสีขาวถูกดึงจนเรียบกริบไร้รอยย่น จานกระเบื้องเนื้อดีถูกวางลงเบื้องหน้าชายหนุ่มผู้เป็นคุณชายและอีกหนึ่งผู้เป็นแขกคนสำคัญของบ้าน เมนูอาหารเลิศรสถูกจัดนำมาขึ้นโต๊ะส่งกลิ่นชวนน้ำลายสอ ขณะที่ชายผู้เป็นเจ้าของห้องพักนั่งมองด้วยรอยยิ้มพึงใจ ดวงตาสีฟ้าสดใสดั่งท้องฟ้าในฤดูไร้เมฆหมอกเป็นประกายระยับ


      "ขอบคุณมากนะครับ ลุงฟาเอล" เอ่ยบอกผู้เป็นพ่อบ้านเสียงเบา รอยยิ้มหวานของผู้เป็นนายถูกตอบรับด้วยยิ้มอันเปี่ยมด้วยความภักดีของพ่อบ้านชราด้วยเช่นกัน


     ไคลน์ สไตร์คเซอร์ผู้อยู่ในฐานะของคนอาศัยจ้องมองภาพเบื้องหน้าเงียบๆ รอยยิ้มสุภาพเป็นทางการปรากฏอยู่บนริมฝีปาก ชายหนุ่มเฝ้ามองท่าทีของคุณชายเอนีลและพ่อบ้านชราเงียบๆก่อนจะละสายตาในที่สุดเมื่อฟาเอลโค้งให้ตนแล้วสะบัดกายหันหลังจากไป


     "...ช่างเป็นเกียรติจริงๆ ที่พ่อบ้านของคุณอุตส่าห์ช่วยจัดเลี้ยงต้องรับผมเสียขนาดนี้" ไคลน์เอ่ยพลางมองบรรดาอาหารบนโต๊ะ ซึ่งถือได้ว่าเป็นดินเนอร์มื้อหรูเลยทีเดียว


     "ไม่หรอกครับ ผมเสียอีกที่ต้องขอบคุณ" เอนีลตอบยิ้มๆ นายแพทย์หนุ่มกวาดตามองอาหารเบื้องหน้าเงียบๆ "ที่ผ่านมาผมมักจะทานข้าวคนเดียวเสมอ อาหารที่ลุงฟาเอลทำมา ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทานได้ไม่หมดเสียที ตอนนี้พ่อบ้านของผมคงกำลังดีใจ ที่มีคุณมาช่วยทานด้วย"


     ไคลน์ฟังแล้วหัวเราะเบาๆ ด้วยตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววอุ่นวาบยามสบดวงตาสีฟ้าสดคู่นั้น "....แค่พ่อบ้านหรือครับ?"


     "...อ่ะ" ผู้ฟังชะงัก ผิวแก้มร้อนวาบหากก็เสไปมองแก้วน้ำทรงสูงเบื้องหน้า"ผมก็ด้วยครับ..ผมดีใจและขอบคุณในหลายๆอย่าง.."


     ".........." ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากของไคลน์ สไตร์เซอร์ หากดวงตาของนายทหารหนุ่มจับจ้องมาไม่ละวาง ดั่งคำขอให้อธิบายอย่างเงียบๆ


    "...ขอบคุณ.." เอนีล ชาส์เดอตงส์กระแอมเบาๆในลำคอ นายแพทย์หนุ่มขยับกายเล็กน้อย ยืดตัวขึ้นพลางเอื้อมมือสอดปลายนิ้วขาวจัดไปยังก้านเพรียวบาง..ราวกับจะหักของแก้วไวน์เบื้องหน้า


    "..ขอบคุณ และมีความยินดีอย่างยิ่งที่นับจากนี้คุณจะมาคอยดูแลอาการป่วยของผม..รวมทั้งช่วยเป็นเพื่อนร่วมทานอาหาร โดยเฉพาะข้อแรก ผมต้องขอขอบคุณให้หนักเลยล่ะครับ" นายแพทย์หนุ่มเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆในลำคอด้วยท่าทีอารมณ์ดี แม้จะดูเหมือนเป็นการยกยอปอปั้นตามมารยาท ทว่าแท้จริงแล้วมันหาได้เป็นเช่นนั่น เอนีลกำลังเอ่ยขอบคุณ..ขอบคุณชายตรงหน้าจากใจจริง


    "..คุณก็พูดเกินไป ชมเสียขนาดนี้ ผมก็ตัวลอยกันพอดี" ไคลน์หัวเราะ หากฝ่ามือก็เอื้อมไปหยิบแก้วไวน์มาชูขึ้นสูงพลางชนขอบปากแก้วกับแก้วไวน์ของคนตรงหน้าเพียงแผ่วเบา "ตัวผมต่างหากที่ได้รับเกียรติ"


   เสียงแก้วไว้กระทบกันดังกริ๊ก ขณะที่ดวงตาทั้งสองคู่สบมองกันอย่างเผลอไผล เอนีลยิ้ม..ดวงตาสีฟ้าสดใสฉายแววพึงใจยามคิดถึงเรื่องที่ตนเองเอ่ยปากไปเมื่อครู่


    ยามหลับตาลง แม้หัวใจจะอุ่นวาบหากส่วนลึกในใจยังคงไว้ซึ่งความประหวั่นพรั่นพรึง เอนีล ชาส์เดอตงรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ จิตสำนึกบอกเขาว่าฝันร้ายนั้นจะยังคงตามหลอกหลอนเช่นเคยทุกคืนวัน ทว่าเมื่อได้หลับตาลงในอ้อมแขนของนายทหารผู้มาใหม่เบื้องหน้า แม้น่าอาย..หากยามที่หลับตาลง ฝันร้ายนั้นกลับไม่ปรากฏ


     ...ครั้งแรกในรอบหลายปีที่สามารถหลับตานอนได้อย่างมีความสุขและไม่ผุดลุกขึ้นมาด้วยความหวาดหวั่นเช่นในทุกค่ำคืน ความสุขที่ได้รับจากนิททราอันเต็มเปี่ยมส่งผลให้พื้นอารมณ์แจ่มใส นั่นรวมทั้งความรู้สึกที่มีต่อแพทย์หนุ่มแปรเปลี่ยนไป จากความหวั่นระแวงไม่เชื่อใจไปจนถึงเคลือบแคลงและสงสัย กลับเป็นความพึงใจและนับถืออย่างมากล้น


  ...คนแรก...ไคลน์ สไตร์เซอร์คือผู้ที่สามารถทำให้ความฝันของเขาจางไปจางนิทราอันยาวนานได้เป็นคนแรกนับแต่ตนได้พบเจอผู้รักษาทั้งหลายมา ไม่ใช่หมอที่จะจับเขายัดลงไปในโรงพยาบาลโรคจิต หาใช่นายแพทย์ผู้ชื่นชอบที่จะให้ตนไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ไฟฟ้า หรือตัวสั่นงันงกอยู่ในห้องมืดๆ ด้วยทฤษฏีระงับอาการฝันร้ายมากมาย ที่แลกมากับความทรงจำข่มขืนสุดประมาณ..


   ไม่ต้องใช้วิธีการใด ไม่ต้องมีแม้แต่ยาสักเม็ด ชายผู้นี้เพียงแค่เดินเข้ามา เอ่ยปากปลอบประโลม ให้คำมั่น กอดเขาไว้แล้วนั่งรอจนนิทรามาเยือนพร้อมๆกันราวกับบิดาผู้อารีไม่ก็คู่รักที่ผู้พันธ์ลึกซึ้ง..


    ชะงักไปไม่น้อยกับข้อสันนิษฐานหลักสุด ทว่าเอนีลก็ปัดมันทิ้ง นายแพทย์หนุ่มนึกเสียว่ามันเป็นการเปรียบเทียบ ปลายนิ้วขาวละแก้วไวน์ลงข้างตัวช้าๆ เอ่ยปากสานต่อบทสนทนาด้วยท่าทีผ่อนคลายกว่าหะแรกยามพบเจอกันอย่างมาก


    “ที่จริง...ผมต้องขอโทษ หลายสิ่ง หลายอย่าง” ดวงตาสีฟ้าสดสบมองแววตาคู่นั้น “นับแต่พบหน้า..ผมทำกริยาแย่ๆไว้กับคุณเยอะมากๆ...คุณสไตร์คเซอร์”


     “ผมบอกแล้วไง...เรียกผมว่าไคลน์เถอะ” เอ่ยประท้วงกับชื่อนั้น ส่วนผู้พูดก็ชะงักแล้วยิ้มเหย


    “...ขอโทษครับ” ออกปากพร้อมรอยยิ้มขอลุแก่โทษบางเบา ชวนให้ผู้ได้มองขยับยิ้มบาง “ครับ ไคลน์”


    “ดีมากครับ งั้นเรามาทานข้าวกันต่อดีไหมเอ่ย ส่วนเรื่องการรักษาหรืออย่างอื่น ค่อยมาว่ากัน” นายทหารหนุ่มเอ่ยปากเสนอเมื่อเห็นว่าเวลาชักล่วงเข้ามาดึกดื่นเต็มที่ นั่นทำให้ผู้ฟังพยักหน้า เอนีลเริ่มจับช้อนส้อมเริ่มมื้ออาหาร บทสนทนาเต็มไปด้วยความรื่นเริงและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็น ช่างแตกต่างกันในยามกลางวันของวันนี้นัก ท่าทีผ่อนคลายอารมณ์ดีของผู้เป็นเจ้าของที่พักทำให้คนมองเผลอยิ้มตามอย่างเผลอไผล ริมฝีปากสีเข้มกระตุกยิ้มพึงใจ ขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองตามและคอยจับจ้องคนตรงหน้าทุกอิริยาบถอย่างไม่ปิดบังความสนใจใดๆ


    ใช่ว่าเอนีลจะไม่สังเกตเห็นท่าทีนั้น ทว่านายแพทย์หนุ่มก็ไพล่คิดไปเสียว่ามันคงเป็นการสังเกตสังกาตามประสาผู้ดูแลและถือเป็นหน้าที่เสียมากกว่า ในยามคืนคืนที่อารมณ์ผ่อนคลายมากกว่าที่ผ่าน เขาไม่คิดจะนำความสงสัยใดมากวนใจให้ต้องหงุดหงิดครุ่นคิดกันอีกรอบ


    ...ท่าทีของไคลน์หาใช่ปัญหา ตัวเขาเห็นว่าชายหนุ่มเป็นคนดีและชักเจนส่าสามารถรักษาอาการฝันร้ายที่เขาเป็นอยู่ได้จริง ฟาเอลก็คงท่าทีเป็นมิตรอย่างยิ่งยวดต่อชายหนุ่มผู้มาใหม่แล้ว เห็นได้ชัดว่าประวัติและทุกสิ่งไม่มีปัญหา ไคลน์ สไตร์เซอร์คนนี้คือคนที่จะมาช่วยดูแลและปกป้องเขาจากทุกสิ่งตามที่เจ้าตัวเอ่ยปาก


    ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี...ไร้ปัญหาให้กังวลใจ..


     วางแก้วไวน์แดงที่พร่องลงไปมากบนโต๊ะ เพราะเพลินกับมื้ออาหาร และบทสนทนามากมายทำให้ดื่มหนักไปโดยไม่รู้ตัว เอนีลจ้องมองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาวันใหม่พลางเอ่ยปากขอตัวเสียงเบาแล้วยืดตัวลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร หากความมึนเมาทำให้เขาเสียหลักเซวูบ รู้สึกถึงอ้อมกอดหนาเข้ามาประคองไว้ สติสัมปะชัญญะสั่งให้ดวงตาสีฟ้าสดใสปรือขึ้นมองผู้ที่รับร่างของตนอย่างเหม่อลอย และเมื่อเห็นว่าเป็นเขาใครก็ปิดตาลงอักครั้งแล้วหลับไปแทบจะในทันที


     ไคลน์จ้องมองร่างของคุณหมอหนุ่มที่หลับพับไปด้วยด้วยความเมาในอ้อมแขนตน ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลงเล็กน้อย เขาออกแรงอุ้มร่างนั้นมาไว้ในอ้อมกอดอย่างไม่ยากเย็น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองใบหน้านั้นเงียบๆ ขณะที่ปลายนิ้วดีดเบาๆ ทั้งเปลวเทียนและทุกสิ่งในห้องก็พลันมืดมิด ปกปิดทุกอย่างจากดวงตาสีแดงวาววับที่จ้องมองอยู่นอกหน้าต่างได้อย่างไม่ยากเย็น


    ชายหนุ่มจ้องมองดวงตาคู่นั้นผ่านจุดที่ตนยืนอยู่ กระชับอ้อมแขนรั้งร่างที่หลับใหลไม่ได้สติไว้แน่น ก่อนจะเหยียดยิ้มออกมาอย่างพึงใจ เมื่อเจ้าของดวงตาคู่นั้นก็ผละจากไปในที่สุด


    “have a nice dream…”


      กระซิบเอ่ยกับชายหนุ่มผู้หลับใหลเสียงแผ่วเบา ภายในห้องนอนที่ตนเคยคุ้น เพียงเดินเข้ามาห้องที่เคยมืดมิดก็พลันสว่างไสวด้วยแสงไฟ ไคลน์วางร่างของเอนีลไว้บนเตียงของเจ้าตัว จ้องมองร่างที่หลับใหลนั้นผ่านผ้าม่านสีอ่อนจางที่โรยลงมาจากเตียงสี่เสาทำให้เจ้าตัวดูราวกับเจ้าชายนิทรา


      ยืนจ้องมองเงียบๆราวกับประสงค์จะเก็บภาพนี้เอาไว้ในใจ หากแววตาอ่อนโยนพลันเคร่งเครียดขึ้นมาครู่หนึ่ง ไคลน์ยืนหันหลังให้ชายหนุ่มในห้อง หากกอดอกจ้องมองกระจกเบื้องหน้าด้วยแววตาขุ่นมัว


    ปลายนิ้วยื่นไปแตะบานประจก ลูบเบาๆ เพียงไม่นานก็พบเจอเศษขนนกสีดำสนิทที่กลายเป็นเถ้าถ่านคามือผู้ถือได้อย่างไม่ยากนัก  ไคลน์ก้าวยาวๆไปหาร่างของคุณชายเอนีลที่ยังคงหลับสนิท แตะริมฝีปากลงบนหน้าผากมนหนักๆอย่างถือสิทธิ์ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง โดยไม่ลืมล็อกหน้าต่างและประตูอย่างแน่นหนา


      ชายหนุ่มเดินลงมายังชั้นล่างด้วยความรวดเร็ว เพียงดีดนิ้วอีกหนึ่งครั้ง ห้องที่เคยมืดมิดก็กลับมาสว่างไสว ร่างของพ่อบ้านนามฟาเอลที่ตรงรี่เข้ามาเก็บจานหากชะงักอยู่ตรงประตูก็ขยับเข้ามาเก็บข้าวของอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่ผู้กระทำเดินไปเมียงมองริมหน้าต่าง จ้องมองออกไปยังถนนเบื้องหน้าที่ร้างไร้ผู้คน ทว่าก็ยังมีเงาของสิ่งมีชีวิตเดินผ่านประปราย


     “...ผมขอตัวออกไปเดินเล่นก่อนนะครับ” เอ่ยกับพ่อบ้านเฒ่าด้วยรอยยิ้ม ไม่ลืมจะกำชับให้ดุแลคนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ที่ชั้นสาม เมื่อฟาเอลพยักหน้ารับ ไคลน์ก็เดินตรงไปยังประตูด้านหน้า สวมเสื้อโค๊ทลวกๆแล้วเดินออกไปทันที


       ปิดประตูด้านหน้าอพาร์ทเมนต์ แล้วกระชับเสื้อคลุมเข้าหากัน หากดวงตาไม่ได้มองเลยไปยังสิ่งใด นอกจากเจ้าของดวงตาสีแดงก่ำในชุดเสื้อคลุมสีดำสนิทที่กลืนไปกับรัตติกาล ผู้ที่จ้องมองมาก่อนแล้วจากตรอกเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามกัน


     ฝีเท้าของนายทหารหนุ่มสาวเข้าไปใกล้อย่างไร้ท่าทีกังวล ใบหน้าของเขานิ่งขึงไร้รอยยิ้ม ความไม่พอใจปรากฏชัดเจนเพียงครู่เดียวก็ไปประจัญหน้ากับเจ้าของดวงตาสีแดงคู่นั้น ไคลน์เอื้อมมือขึ้น ฝ่ามือตรงเข้าไปจับหวังยึดร่างนั้นไว้  หากแต่ลมพัดแรงๆมาวูบหนึ่ง คล้ายมีเศษฝุ่นผงปลิวเข้าตาจนต้องชะงัก และเมื่อลืมตามาอีกครั้งร่างนั้นก็จางหายไปในความมืดของตรอกนั้นราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่


     สถบเบาๆในลำคออย่างไม่พอใจเมื่อชักเจนว่าตนเสียรู้ ขณะที่บนชั้นสาม เขาแว่วเสียงตึงตังบางอย่างแปลกหู ก่อนที่ผ้าม่านจะไหวพะยาบและใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของห้องมองออกมา


    ใบหน้างดงามของเจ้าของห้องตวัดมองมาหาแล้วยิ้มให้ ทว่าด้านหลังเจ้าตัว...กลับมาเงาร่างสีดำสนิทนั้นปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบงัน มันวางมือลงบนไหล่ของชายหนุ่มที่ยังไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นราวกับเย้ยหยันตัวเขา แล้วพลันก็จางหายไปพร้อมเสียงหัวเราะอันแผ่วเบา


-------------


ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8


          ...หะแรก ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเหมือนเคยเป็น


     เพียงหลับตาลง ความฝันดำมืดก็คืบคลานเข้ามาหา ความเจ็บปวดที่เสียดแทงทั่วร่าง เสียงกรีดร้องร่ำไห้ของตนเอง กลิ่นคาวเลือด และความรู้สึกยามถูกฉีกกระชากร่างกาย


    ความฝันอันน่าขยะแขยงที่บังเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า..


     ร่างของคนที่เคยนอนสงบนิ่งเริ่มกระส่ายกระสับ ใบหน้าปรากฏร่องรอยแห่งความเจ็บปวดและฝันร้ายที่เคยคิดว่าจางหาย กลายเป็นเพียงมลายไปชั่วครู่แล้วกลับมาอีกคราราวกับจะตอกย้ำให้รู้ว่ามีตัวตนอยู่


    ริมฝีปากแห้งผากคล้ายจะเปล่งเสียงกรีดร้อง หากไม่นาน..ภาพฝันอันเลวร้ายนั้นกลับแปรเปลี่ยนไป


       จากทิวทัศน์อันเปื้อนโลหิตและแววตาสีแดงอันน่ากลัวของปีศาจตนนั้น แปรเปลี่ยนมาเป็นหมอกหนาของยามค่ำคืนในที่ซึ่งไม่เคยพบเห็น เสียงร้องของนกกลางคืนดังมาชวนหนาวยะเยือกในอก เชิงเทียนที่ถือติดมือมาเพื่อนำทางนั้นไหวระริกยามต้องลม ทว่าเขากลับไม่มีท่าทีหวาดกลัวใดๆ


      จ้องมองฝ่าความมืดและเมฆหมอกยามค่ำคืน ดวงตาสีฟ้าสดใสฉายแววรอคอยนั้นโลดขึ้นอย่างปรีดายามเห็นร่างอันเคยคุ้นในชุดเสื้อโค้ทสีรัตติกาลตรงเข้ามาหา เหตุเพราะหมอกลอยหนาทำให้มองเห็นใบหน้านั้นไม่ชัด หากแต่ที่ชัดเจน คือความรู้สึกสุขสมและพอใจเมื่อได้พบเจอคนๆนั้น


      ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนโยนเมื่อมือนั้นเอื้อมมารับเชิงเทียนในมือของตนไว้ รับรู้ได้ถึงความปรีดาที่ล้นอกและหัวใจที่เต้นโลดเร่าดังเสียจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน เขาเงยหน้าขึ้น..ปราถนาจะมองเห็นใบหน้านั้นและได้จ้องมองดวงตาคู่นั้นยิ่งนัก...


เฮือก!


     สะดุ้งพร้อมกับลืมตาโพลง เอนีลกระพริบตาช้าๆ จ้องมองเพดานเตียงสี่เสาอันคุ้นตาของตนเองและกวาดสายตาไปรอบๆ ทัวทัศน์อันคุ้นตาบ่งชัดว่านี่คือห้องนอนของเขา ..ผู้เป็นเจ้าของห้องลุกขึ้นนั่งบนเตียงช้าๆ จ้องมองผ้าม่านสีควันบุหรี่โรลตัวลงมารอบเตียงป้องกันไม่ให้แสดงไฟสาดแรงจนเกิดไปเสียจนต้องตื่นลืมตาขณะที่มือกุมอกซ้ายซึ่งหัวใจเต้นโลดแรงเสียจนเจ็บแปลบ..


 ....แปลก...


   ...นิ่วหน้าน้อยๆ ยามนึกถึงความฝันประหลาดนั้น เอนีลหวนคิดถึงความฝันแรกที่ตนคุ้นเคย หากแต่ความเจ็บปวดที่คลื่นเหียนซึ่งมันจะตามติดมาดั่งเงาตามตัวของฝันอันน่าสะพรึงกลับจางลงไปอย่างประหลาด...มันเจือจางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตัวตนของความฝันอีกหนึ่งฉากซึ่งแปรเปลี่ยนไปต่างหากที่ชัดเจนยิ่งนัก...


    ที่นั่นคือที่ไหน..ชายหนุ่มไม่รู้ ภาพรอบกายนั้นถูกบดบังด้วยเมฆหมอกที่หนาทึบเสียจนมองไม่ออก ทั้งที่บรรยากาศนั้นแสนจะน่ากลัวราวกับอยู่ในหนังสยองขวัญ ทว่าตัวเขา..ผู้ซึ่งอยู่ในฝันนั้นกลับไร้ท่าทีประหวั่นพรั่นพรึงใดๆ เอนีลสัมผัสได้ถึงการรอคอยและจดจ่ออยู่กับคนๆหนึ่ง...เขาสัมผัสได้ถึงความยินดีปรีดาที่ล้นอกยามได้จ้องมองชายหนุ่มในเสื้อโค้ทสีเข้มผู้นั้น คนๆนั้นคือใครเขาไม่รู้..ใบหน้าหรือก็ไม่ปรากฏ


    ตัวเขาในความฝันนั้นช่างเต็มไปด้วยความยินดีปรีดายามเห็นร่างของอีกฝ่าย เสียงหัวใจเต้นโลดแรงในอกนั้นบัดนี้ยังดังก้องไม่หาย มันสะท้อนจนอดจะเจ็บนิดๆไม่ได้ ...คิด พลางเอื้อมมือไปยังแผ่นอกที่เต้นตุบของตนแล้วลูบเบาๆ


.....ความฝันนี้มันอะไรกันแน่นะ


     ไร้ความน่ากลัว ไร้ความประหวั่นพรั่นพรึง ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความน่าขยะแขยงหรือสิ่งใด มันเต็มไปด้วยความยินดีปรีดาและบางสิ่ง.....บางสิ่งที่เอนีลอดจะคิดไม่ได้ว่านั่นคือความรัก


   แผ่นอกที่เต้นตุบรัวแรงของตนเองยังคงสะท้อนเต้นเป็นจังหวะบนฝ่ามือที่ทาบทับ เอนีลหวนไปนึกถึงฝันนั้นอีกครา คิดถึงมันด้วยความอยากรู้ปนความสุขเล็กๆ...นึกเสียดายขึ้นมาเป็นครั้งแรกที่ตนเองตื่นจากฝันนั้นก่อนจะได้จ้องมองใบหน้าของชายคนนั้นชัดถนัดตา


     ยิ้มออกมาอย่างเผลอไผล..นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ชายหนุ่มมีความสุขกับความฝันของตนมากเสียขนาดนี้ ไม่ใช่ความฝันเปื้อนเลือดอันน่าสยดสยอง แต่เป็นความฝันถึงใครคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จักแต่มีความสุขนักที่ได้พบเจอ


    ...สุขมากเสียจนความรวดร้าวจากฝันอันน่าสยดสยองนั้นเบาบางลงจนไม่อาจเข้ามากล้ำกรายสร้างความพรั่นพรึงและหวาดผวาเช่นเคย


     นิ่งคิดอยู่นาน...ก่อนที่เอนีลจะค่อยรู้ตัว นายแพทย์หนุ่มกระพริบตาปริบๆมองรอบกายก่อนจะค่อยๆทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นช้าๆ แล้วครางออกมาแผ่วเบาในลำคอเมื่อพบว่าตนเองนั้นเมาเปราะสียจนต้องลำบากคนอื่นอีกแล้ว


      สาวเท้าลงจากเตียง ตั้งใจจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเสียก่อน หากจังหวะหนึ่งเซวูบด้วยความมึนเมาจากฤทธิ์ไวน์ เอนีลเผลอเตะตั้งหนังสือในห้องที่เก็บไว้ใกล้ผนังเสียจนมันล้มตึง ชายหนุ่มครางอู้ด้วยความเจ็บปวด หางตามองเห็นหน้าต่างที่ถูกปิดไว้ เพราะอะไรดลใจไม่รู้ เขาจึงเดินไปใกล้ เอื้อมมือคว้าผ้าม่านแล้วแหวกออกด้วยความเคยชิน


    ....ดวงตามองออกไปด้านนอกก่อนจะตวักมองไปยังตรอกเล็กๆฝั่งตรงข้ามด้วยความเคยชิน กระพริบตาปริบๆเมื่อมองเห็นใครคนที่คุ้นตายืนอยู่ในตรอก เอนีลจ้องมองเสื้อโค้ทสีเข้มของไคลน์ สไตรค์เซอร์ด้วยความคิดแบบพิลึกพิลั่นของตนว่าช่างดูเหมือนคนในฝันคนนั้นนัก เขายิ้มยามที่คนๆนั้นเงยหน้ามามอง ขณะที่ไคลน์มีสีหน้าแปลกๆแล้วรีบเดินเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว


    ...กลัวจะถูกเขาเอ่ยปากถามหรือแสดงความสงสัยที่ออกไปเดินที่แบบนั้นตอนดึกๆดื่นๆหรืออย่างไร?


   นิ่งคิดด้วยความสงสัย ขณะที่สายลมเย็นๆ จากเบื้องนอกพักพามาชวนให้รู้สึกดี เอนีลแว่วเสียงเดินอย่างรีบร้อนขึ้นมาด้านบน ชายหนุ่มกำลังคิดอย่างขบขันว่าจะเอ่ยปากบอกคนที่ขึ้นมาอย่างไรให้เข้าใจว่ามีสิทธิ์ไปที่ไหนก็ได้โดยเขาไม่คิดจะห้าม


   ปึง


    เสียงเปิดประตูดังซ้ำยังดูรีบร้อน ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววตระหนกเล็กๆ ยามที่โผล่หน้าเข้ามาในห้องของผู้เป็นเจ้าของที่พัก สีหน้าร้อนรนแปลกๆนั้นทำให้เอนีลหลุดอาการยิ้มขำ


    “...ไคลน์...ดูรีบร้อนเชียวครับ มีอะไรหรือ?” เอนีลเอ่ยถาม ยังคงเอนตัวพิงกรอบหน้าต่างห้องตนเองที่มีสายลมพลิ้วโชยท่าทีสบายอุรา ทว่าในสายตาของคนมองแล้วหาใช่แบบนั้น ไคลน์รีบเดินไปหาเจ้าตัว สีหน้าดูเป็นห่วงเป็นไยทั้งยังดูขัดใจแปลกๆ ดูพิลึก..


      “....คุณ...ตื่นขึ้นมา” ชายหนุ่มไพล่ว่าไปอีกเรื่อง ราวกับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรก่อน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องเขาเขม็ง


      “อ่ะ...ครับ” เอนีลยิ้มรับก่อนจะพยักหน้า “พอดีผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา..เลยว่าจะมาเปลี่ยนชุดเสียหน่อย ขอโทษนะครับที่ลำบากให้คุณต้องมาดูแลอีกแล้ว”


      “อา....” ไคลน์กระพริบตาช้าๆ จ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าก่อนจะยิ้มออกมาและเรียกท่าทีสุขุมกลับมาอีกครั้ง “..ไม่เป็นไร ผม...คิดว่าคุณฝันร้ายน่ะ”


      ใจความของประโยคนั้นทำให้เอนีลชะงัก ดวงตาสีฟ้าใสเกลื่อนไปด้วยความลังเลครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม “...ผมแค่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเฉยๆน่ะ”


      “...ครับ” ไคลน์พยักหน้า รับคำเบาๆแล้วจ้องมองคนตรงหน้าเงียบๆครู่หนึ่ง สีหน้าที่มองดูราวกับจะบอกตนเองให้แน่ใจถึงบางสิ่งของชายหนุ่มนั้นดูแปลกตาจนอดจะเอ่ยปากถามไม่ได้


     “ไคลน์..? ”


    “...ไม่มีอะไร” เสียงปฏิเสธดังขึ้นเมื่อเห็นท่าทีสงสัยของเขา เอนีลยิ้มให้คนพูด ขณะที่อีกฝ่ายเอื้อมมือผ่านตัวเขาไปยังหน้าต่างบานใหญ่เบื้องหลัง งับลมแล้วใส่กลอนไว้ โดยที่มีตนเองยืนแทรกอยู่ช่างเป็นอะไรที่แปลกประหลาดยิ่งนัก


     ไออุ่นจากตัวคนที่ใกล้เสียจนได้กลิ่นของสายลมเบื้องนอกของชายหนุ่มโอบล้อมไว้เงียบๆ เอนีลยืนนิ่ง อยากจะอ้าปากประท้วงทว่ากลับได้แต่นิ่งขึง ดวงตาสีฟ้าสดจ้องมองเสื้อโค้ทสีเข้ม ชั่วขณะหนึ่งเขาไพล่นึกไปถึงชายปริศนาในฝัน หากก็ต้องรีบดึงตัวเองออกมาจากความคิดพิลึกพิลั่นโดยพลัน


     “...ถ้าอย่างนั้น..ผม...ควรให้คุณได้พักผ่อนต่อ” หลังจากผละออกมาได้ เหมือนไคลน์ สไตร์คเซอร์จะจำได้ในที่สุดว่าตนเองทำตัวแปลกๆไป ท่าทีเงอะงะปนประหม่านั้นจึงดูน่ามองแบบแปลกๆ เอนีลจ้องมองท่าทีนั้นผ่านเส้นผมสีทองของตนซึ่งทิ้งตัวลงปรกนัยน์ตา เขาพยักหน้าเงียบๆพลางยิ้ม


      “ครับ...ขอบคุณมาก” กระซิบบอก ขณะที่ปลายนิ้วสีขาวนั้นเอื้อมมาหา ช่วยจับเส้นผมของเขาทัดหูให้แล้วผละออกมาด้วยรอยยิ้ม


    “ราตรีสวัสดิ์”


    “ราตรีสวัสดิ์ครับ”


    เอ่ยปากบอกเสียงเบาพลางมองตามร่างของชายหนุ่มที่เดินจากไป เอนีลจ้องมองแผ่นหลังคู่นั้นไปจนกระทั่งเจ้าตัวปิดประตูลงในที่สุด ขณะที่ความคิดวนเวียนไปถึงความฝันแปลกๆนั้นอีกครั้ง


   ...เพราะอะไรถึงไม่บอกออกไปว่าฝันถึงสิ่งใดไปบ้าง


     คำถามที่ถามถึงตนเองดังขึ้นเงียบๆในใจ ขณะที่เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน เอนีลมองดวงตาของตนเองผ่านกระจกบานหนา ก่อนที่คำตอบจะดังขึ้นมาในใจอย่างเงียบงัน


    ...เพราะว่ามันไม่ใช่ฝันร้าย..และต่อให้มีฝันร้าย แต่ตัวเขาก็มีอาการทุเลาลงมากและไม่ได้ทรมารอะไรอีกแล้ว


    เขาไม่ใช่เด็กอมมือ ไม่จำเป็นต้องบอกความฝันทุกอย่างกับไคลน์เสียหน่อย


    เอ่ยบอกตัวเองอย่างแผ่วเบาขณะแทรกกายลงไปบนเตียงแล้วกระตุกโคมไฟให้ห้องมืดสนิทลง เอนีลมองเพดานเตียงเงียบๆก่อนจะพลับตา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่นึกหวาดกลัวว่าหลับตาไปแล้วจะเจออะไร ซ้ำยังนึกอยากรู้เสียด้วยว่าเรื่องราวในฝันจะดำเนินไปอย่างไรต่อ


    ...ความอยากรู้แปลกๆของตนเองนี่ช่างเป็นภัยเสียจริงๆ


    ความคิดวนเวียนอยู่ตรงนั้นก่อนที่สติจะค่อยๆเลือนราง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ ว่าประตูห้องได้เปิดออกอีกครั้ง และไคลน์ สไตร์คเซอร์ก็เข้ามาเงียบๆ พลางยืนมองใบหน้ายามนิทราของตนอยู่จนเกือบรุ่งสาง..

--------------

ตอนนี้มีเหตุการณ์อะไรแปลกๆ อยู่เยอะแยะพอดู แอบมุ้งมิ้งสวีตแบบแปลกๆ

แถมพ่อไคลน์ยังมาทำโรแม้งแบบหลอนๆอีก

(...เป็นอิชั้นคงหลอนนะคะมีใครมายืนจ้องตูทั้งคืนเนี่ยถถถ)

ไว้เจอกันตอนหน้าค่า *0*/

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ออกแนว โหดๆ หลอนๆ ลึกลับมากๆ

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL ** Lost 07 : แฝงเงา ** UP.31/5/57
«ตอบ #18 เมื่อ30-05-2014 23:40:00 »



Lost 7 แฝงเงา


   บ่ายสี่โมงเย็น แสงแดดอ่อนส่องผ่านหน้าต่างบานหนาเข้ามายังภายในห้องตรวจที่ผ้าม่านถูกรูดปิดไว้ เมฆครึ้มของฤดูฝนเหมือนจะย่างเท้ามาไม่ถึงในวันที่สดใสเช่นนี้ เอนีล ชาส์เดอตงส์ นายแพทย์หนุ่มเจ้าของคลีนิกกำลังถือชาร์ตจดอาการของคนไข้และซักประวัติผู้ป่วยอยู่ในห้อง ขณะที่ภายนอกมีเสียงกระดิ่งดังขึ้นเป็นระยะยามเมื่อมีคนเข้าออก บรรยากาศอันเป็นปรกติของสถานที่นี้ดูสดใสมากขึ้นยามได้เห้นรอยยิ้มบนใบหน้าของนายแพทย์ผู้เป็นเจ้าของคลินิก ที่ระยะนี้ดูอารมร์ดีและรื่นเริงกว่าเดิมอย่างน่าประหลาดใจ


     "มีอะไรดีๆเกิดขึ้นรึ คุณหมอ" ผู้ป่วยรายหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงตรวจ เอ่ยปากถามด้วยรู้สึกสงสัยเสียจนอดรนทนไม่ไหว


     "เอ๋?"ผู้ถูกเรียกหันไปสบตาก่อนจะอมยิ้ม "มีอะไรหรือครับเมอร์ซิเยอร์ปิแอร์โร่ต์"


     "ช่วงนี้คุณหมอดูแจ่มใสกว่าที่เคย" ผู้ป่วยที่มากด้วยวัยเอ่ยพร้อมดวงตาจ้องมองใบหน้าอ่อนวัยที่ดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่า


     ผู้ถูกทักอมยิ้ม นายแพทย์เอนีล ชาส์เดอตงส์วางชาร์ตตรวจอาการลงกับโต๊ะทำงานของตนเงียบๆ "ไม่มีอะไรหรอกครับ.."


       "แค่ช่วงนี้ผมหลับฝันดีเท่านั้นเอง"



     นายแพทย์หนุ่มหยิบผ้าสะอาดออกมาจากถาดพลางเดินไปหาผู้ป่วยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม "อ้าปากสิครับเมอร์ซิเยอร์ปิแอร์โร่ต์ แล้วเรามาตรวจสุขภาพคอของคุณกัน"


       "ชอบพูดอะไรเป็นปริศนาอยู่เรื่อยเลยนะครับ คุณหมอ"


     น้ำเสียงทักทายคุ้นหูดังขึ้นหลังจากเดินเข้ามาบริเวณส่วนพักผ่อนเพื่อล้างมือและเปลี่ยนเสื้อผ้า เอนีลโยนเสื้อลงบนตระกร้าซักรีด พลางเงยหน้ามองผู้ถาม นิโคลัส ผู้ช่วยแพทย์ของเขากำลังยืนกอดอกยิ้มกริ่มอยู่ด้านหลัง เจ้าตัวยังสวมเสื้อผ้าชุดไปรเวทบ่งบอกว่าเพิ่งมาถึง ขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลวาววับนั้นแสดงความอยากรู้อยากเห็นอย่างโจ่งแจ้ง


        "ผมเปล่าเสียหน่อย ว่าแต่คุณไม่ดีใจเหรอ ที่ตอนนี้ผมอารมณ์ดีน่ะ นิก" เอนีลเอ่ยถามกลับ ยังคงมีท่าทีรื่นเริง


        "ดีใจสิครับ แต่แหม..แบบนี้ความนิยมผมก็ลดลงแล้วสิ" นิโคลัสเอ่ยพลางทำหน้าเสียอกเสียใจ นั่นทำให้ผู้มองหลุดขำ เอนีลเดินไปหยิบเสื้อตัวใหม่มาเปลี่ยนพลางเอื้อมมือไปปัดเศษฝุ่นออกจากศรีษะของเจ้าตัวเบาๆ


       "มาทำงานกันดีกว่าครับเมอร์ซิเยอร์นิโคลัส อย่าลืมไปล้างมือฆ่าเชื้อโรคแล้วปัดฝุ่นออกจากผมยุ่งๆนี่ก่อนล่ะ เดี่ยวผู้ป่วยของเราจะป่วยเอาได้"


      ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางพลางดึงเอาขนนกสีดำที่ติดอยู่กับเส้นผมของลูกจ้างมือหนึ่งออกแล้วเดินจากไป นิโคลัสขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอื้อมมือไปปัดไรฝุ่นออกจากศรีษะ นึกฉงนว่าตัวเขาไปเผลอมุดซอกสกปรกตรงไหนถึงได้มีเศษฝุ่นเศษขนนกติดมาได้ ทว่าความสงสัยนั้นอยู่เพียงครู่ก็จากไป ดวงตาของชายหนุ่มเบิกขึ้นน้อยๆ ยามมองเห็นผู้เป็นเจ้านายของตนยืนคุยอยู่กับชายหนุ่มผู้หนึ่งทางด้านหลังคลีนิก ก่อนจะผิวปากเป็นทำนองเพลงออกมาเบาๆ


       เอนีลปิดประตูด้านหลังพลางเดินเข้ามาในคลีนิกอีกครั้งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในมือของเขายังมีอาหารว่างเล็กๆน้อยๆสำหรับรองท้องที่ได้รับมาจากอีกหนึ่งผู้อาศัยของบ้าน นั่นคือ ไคลน์ สไตร์คเซอร์ แม้ว่าเอาเข้าจริงๆตัวเขาจะมีอาหารของตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่ของที่ได้รับฝากมาก็ทำให้รู้สึกยินดีมากกว่าเคย


      "อะแฮ่ม"


เสียงกระแอมดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง


    "ที่แท้มีหนุ่มหล่อมาคอยดูแลนี่เอง แบบนี้กระผมก็หมดโอกาสแล้วสิครับ"


    "นิค" เอนีลหันขวับไปมองผู้ช่วยที่บัดนี้อยู่ในชุดฆ่าเชื้อเตรียมทำงานเรียบร้อยแล้ว นิโคลัสยิ้มส่งแววตารู้ทันมาให้พลางมองของที่อยู่ในมือของเขา ก่อนจะก้มลงกระซิบเบาๆ


   "แต่ถึงอกหักรักคุด ผมจะไม่ปูดเรื่องของนายจ้างแน่นอน ขอสัญญานะครับ"


     ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะแผ่วเบาๆในลำคอ


   "..เอ๋ อารมณ์ดีอะไรกันคะเนี่ย" เสียงทักทายอีกหนึ่งดังมาจากเบื้องหลังทำให้นายแพทย์หนุ่มสะดุ้งอีกคำรบ เอนีลหันไปยิ้มให้ธุรการสาวของเขา เมลิสสาเดินมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาคู่โตสีเขียวสดของหล่อนจับจ้องที่ผู้เป้นเจ้านายพลางเอ่ยปากถามด้วยความฉงนสนเท่ห์


     "ครับ...มีอะไรหรือเมลิสสา?" เอนีลเอ่ยถามออกไป และพยายามปรับให้ตนเองแสดงท่าทีปรกติที่สุด


     "อ๋อ ก็ฉันเห็นนิคเดินยิ้มอารมรืดีไปโน่นน่ะค่ะ เลยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น" ใบหน้าสะสวยจัดนั้นเมียงมองมาพร้อมรอยยิ้มหวานฉ่ำ "ช่วงนี้คุณหมอก็อารมณ์ดี วันนี้นิกก็รื่นเริงออกเสียอย่างนั้น ฉันก็อยากรู้บ้างสิคะว่าคลินิกเรามีเรื่องบันเทิงอะไรกัน"


     "ไม่มีอะไรหรอกครับเมลิสสา แค่ผมกับนิกคุยล้อเล่นกันเท่านั้นเอง" เอนีลรีบปฎิเสธแล้วยิ้มหวานกลบเกลื่อนให้หล่อน ซึ่งผู้ฟังก็ทำหน้าเข้าอกเข้าใจ


      "น่าเสียดายนะคะ ที่ฉันไม่ค่อยได้หยอกล้อกับคุณหมอบ้างเลย อิจฉาจังค่ะ..อ่ะ..นั่นของฝากจากรูมเมทของคุณหมอเหรอคะ?" เสียงหวานๆบ่นกระเง้ากระงอดเพียงครู่ก็เปลี่ยนมาจ้องมองกล่องของว่างในมือแพทย์หนุ่มด้วยท่าทีอยากรู้ "เขาชื่ออะไรนะคะ เมอร์ซิเยอร์สไตรค์เซอร์ใช่ไหม..พ่อหนุ่มอังกฤษคนนั้น"


      "เขาเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศสด้วยครับ" เอนีลแก้ไข้ข้อมูลที่ถูกต้องให้หญิงสาวตรงหน้ารับรู้ พลางยิ้มจางๆให้แล้วชูกล่องของว่างขึ้นในระดับสายตา "มาทานด้วยกันไหมล่ะ"


      "เกรงใจค่ะคุณหมอ ฉันอยู่ในช่วงลดน้ำหนักเสียด้วยสิ " หญิงสาวออกปากปฏิเสธแม้มีท่าทีเสียดาย "แต่รูมเมทของคุณหมอนี่ใจดีเสียจริงนะคะ เอาของฝากมาให้ไม่เว้นแต่ละวันเชียว...ไม่รู้ยังโสดอยู่ไหมนะ"


      เสียงบ่นพลางพึมพัมในประโยคหลังเล็ดรอดออกมาก่อนที่สาวเจ้าจะตวัดสายตามองเขาแล้วรีบบอกด้วยท่าทีร้อนรน "อ่ะ ฉันแค่พูดลอยๆนะคะคุณหมอ ไม่ได้คิดอะไรหรอกนะคะ แค่เห็นว่าเขาเป็นหนุ่มหล่อใจดีเท่านั้นเอง"


      เอนีลหัวเราะ  "ผมไม่ได้ว่าอะไรนะครับ..แล้วก็เห็นจริงตามที่คุณพูดล่ะ"


      "แต่แหม..." เมลิสสาหรี่ตาลงน้อยๆพลางทอดถอนใจ "คุณหมอนี่ละก็ ทำไม่รู้ไม่เห็นแบบนี้ฉันก็เหนื่อยนะคะ..เฮ้อ...ต้องไปทำงานต่อแล้วด้วยค่ะ พักให้สบายนะคะ"


      เอ่ยแล้วเจ้าของร่างอรชรก็เดินจากไป ทิ้งให้ผู้ฟังมองตามแล้วลอบถอนหายใจแผ่วเบา


   ...ไม่มีใครแล้วกระมัง


       นายแพทย์หนุ่มมองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาใกล้บ่ายสี่โมง อันถือเป็นเวลาพักของตนพลางเดินถือกล่องของว่างไปยังห้องพัก เอนีลงับประตูห้อง นั่งเอนหลังบนม้านั่งตัวโปรดเงียบๆพลางเคาะปลายนิ้วลงบนกล่องกระดาษในมือด้วยท่าทีใจลอย


      หลังจากวันที่ไคลน์ สไตรค์เซอร์ เดินทางมาพบและตกลงจะอยู่ร่วมอพาร์ทเมนต์ด้วยกันในฐานะบอดี้การ์ดและผู้ดูแลผ่านมานับสองอาทิตย์แล้ว ถือเป็นการอยู่ร่วมกันที่สงบสุข..ไม่มีเรื่องราวชวนลำบากใจใดๆ ไคลน์เข้ากันได้ดีกับพ่อบ้านและเหล่าบอดี้การ์ดของเขา รวมไปถึงรู้จักลูกน้องที่ทำงานร่วมกันอย่างเมลิสสาและนิคโคลัส


     ชายหนุ่มยังคงเปี่ยมด้วยสเน่ห์และอัธยาศัยไมตรี แทบทุกวันที่ไคลน์จะนำของว่าง ของฝากมาให้เขาในช่วงพัก และหลายครั้งยังเอ่ยปากชวนไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน มิพักต้องเอ่ยถึงอาการจากฝันร้ายที่ทุเลาลงมาก พื้นอารมณ์ของเขาจึงรื่นเริงแจ่มใสขึ้นจนมีผู้สังเกตุและเอ่ยปากทัก ซึ่งทั้งหมดนั่นมาจากการดูแลของชายหนุ่ม ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่องทั้งในฐานะเพื่อน รูมเมท บอดี้การ์ด และหมอประจำตัว


      คิดพลางอมยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะเงียบลงไปอีกครั้งยามที่ได้ยินเสียงของผู้ร่วมงานดังมาจากด้านนอก เอนีลขมวดคิ้วเล็กน้อย..ผู้ช่วยทั้งสองของเขา..นิคโคลัสและเมลิสสา แม้ทั้งคู่จะไม่ได้เป็นอริต่อไคลน์ แต่แน่นอนวาการแสดงออกนั้นแตกต่างกัน นิคโคลัสดูจะอยากรู้อยากเห็นและสนอกสนใจเรื่องราวระหว่างเขาและไคลน์ว่ามีอะไรมากกว่านั้นแทรกอยู่หรือไม่ ชะรอยสัญชาติญาณบางอย่างของคนเป็นหมอจะรับรู้ได้กระมัง แน่นอนว่านิคไม่ได้ทราบเรื่องอาการป่วยหรือฝันร้ายของเขา รวมทั้งไม่ทราบว่าไคลน์มาอยู่ในฐานะหมอประจำตัวของเขาด้วย


      ผู้ช่วยทั้งสองของเขาทราบเพียงไคลน์มาอยู่ในฐานะผู้ร่วมเช่าอพาร์ทเมนต์ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติยามที่สงครามใกล้เข้ามาและเศรษฐกิจเริ่มฝืดเคือง แต่แน่นอนว่ามันส่งผลต่อความเชื่อถือของเขาอยู่ไม่น้อย เพราะตัวเจ้าของคลินิกยังต้องหาผู้ร่วมเช่าเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแล้วบรรดาลูกจ้างจะไม่วิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ความเป็นอยู่ของตนได้อย่างไร


    แต่กระนั้น มันก็คงดีกว่าให้ทั้งสองทราบว่าแท้จริงแล้วไคลน์อยู่ในฐานะใดกันแน่..


        และมันคงไม่ดีแน่หากนายแพทย์ผู้เป็นเจ้าของคลีนิกจะมีอาการป่วยไข้ทางจิตใจเสียจนต้องมีหมอประจำตัวแบบนี้ แม้มันจะไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตประจำวันหรือการทำงาน แต่ในสายตาของผู้อื่นจะคิดอย่างไรต่อตัวเขาก็ไม่อาจทราบ จะอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรให้ทราบจริงๆ       


     ส่วนเมลิสสา....


       เอนีลเปิดกล่องแซนวิชที่ได้รับมาแล้วทานเงียบๆ ครุ่นคิดถึงแม่สาวธุรการประจำคลีนิกของเขา คำพูดของหล่อนและแววตาหวานๆที่ส่งมาให้มีนัยยะใดเขาใช่จะไม่รู้ เมลิสสาเป็นผู้หญิงที่ดี...ดีมากและเป็นสาวสวยเสียขนาดนั้น แต่กระนั้นเขากลับรู้สึกกับหล่อนเพียงเพื่อนร่วมงาน ไม่ได้มีนัยยะเชิงชู้สาวใดๆ ชายหนุ่มรู้สึกว่าในเร็วๆนี้ ตัวเขาคงต้องเอ่ยปากบอกหล่อนถึงสิ่งที่ตนคิดเพื่อไม่ให้ความหวังไปมากกว่านี้ และเปิดโอกาสให้เธอได้เจอผู้ชายดีๆแทนที่จะมานั่งรอเขาจนสังขารร่วงโรย



ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL ** Lost 07 : แฝงเงา ** UP.31/5/57
«ตอบ #19 เมื่อ30-05-2014 23:44:27 »



       สรุปเรื่องราวกับตัวเองเงียบๆ ขณะที่แซนวิชในมือค่อยหมดไป เอนีลเดินออกไปหยิบน้ำเปล่ามาทาน สายตารับรู้ถึงการเคลื่อนไหวเบื้องหลังทำให้เขาต้องหันไปถาม


     "ว่าไงครับนิค มีอะไรรึเปล่า?"


     "................"


     "นิค?"


     "..............."


          ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากของผู้ช่วยหนุ่มของตน ท่าทีนั้นทำให้เอนีลขมวดคิ้ว นายแพทย์หนุ่มอ้าปากจะเอ่ยถาม ทว่าบรรยากาสบางอย่างทำให้เขาชะงัก


      เสียงพูดคุย เสียงพิมพ์ดีด เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเหมือนจะอยู่ไกลออกไป ทั้งที่เมื่อครู่ภายในห้องยังสว่างไหสวด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น ทว่าบัดนี้มันกลับมืดครึ้ม วังเวงและเงียบสงัดราวกับถูกเมฆหมอกของฤดูฝนเข้าปกคลุม


     บรรยากาศเย็นยะเยือกทำให้ชายหนุ่มขนลุกวาบ..


    "นิค!" เอ่ยเรียกผู้ช่วยของตนเสียงดังขึ้นอีกนิด นิโคลัสผู้ที่นับแต่ย่างเท้าเข้ามาในห้องพักยังไม่เอ่ยปากพูดอะไรแม้สักครึ่งคำ และจดจ่ออยู่กับการหันหลังให้กับเขาถูกสะกิดด้วยปลายนิ้ว ทว่าร่างของผู้ช่วยหนุ่มไม่แม้จะแสดงอาการรับรู้ใด


    ".....นิค...." เอนีลเริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่าง สัญชาติญาณกำลังกรีดร้องบอกเขาว่ามีสิ่งใดผิดปกติ มันกำลังบอกให้เขาก้าวเท้าออกไปจากห้องนี้ ทว่า..จะให้ออกไปแล้วทิ้งผู้ช่วยของตนยืนนิ่งอยู่อย่างไม่รู้ชะตากรรม ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถจะทำได้


    "....นิโคลัส.." เอ่ยเรียกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเขาไม่อาจจะนับ รอบกายมีเพียงความเงียบอันเยือกเย็นและน่าขนลุกโผล่มาปกคลุมอย่างเงียบเชียบเสียจนไม่รู้ตัว กว่าจะนึกได้ก็ยามที่เงยหน้าขึ้นมานั่นล่ะ เขาจึงได้เห็นว่าหลอดไฟในห้องนี้ดับวูบไปเสียแล้ว


     แสงสว่างจากที่เคยริบหรี่มีน้อยอยู่แล้วบัดนี้หายไปอีกยิ่งทำให้บรรยากาศมืดครึ้ม กระจกใสสะท้อนแสงอาทิตย์เบื้องนอกดูไร้ประโยชน์ใดเมื่อมีเพียงเมฆหมอกสีครึ้มที่กำลังจะลงเม็ด และเบื้องหน้าของเขา..ร่างของผู้ช่วยที่คุ้ยเคยกลับยืนนิ่งอยู่ตรงมุมห้องไม่ขยับกายหรือเคลื่อนไหวใดๆแม้จะถูกเรียกหรือสะกิดทัก


     เอนีลขมวดคิ้วแน่น  คืบคลานไปที่ประตูพลางแตะลูกบิดอย่างระมัดระวัง สัญชาติญาณบอกให้หนี แม้ว่าจะนึกห่วงใยและสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เขาอยู่ต่อไปไม่ดีแน่..ไม่ควระยืนอยู่ตรงนี้ท่ามกลางบรรยากาสชวนขนลุกที่ทำให้ประหวัดนึกถึงเรื่องราวแปลกประหลาดที่ตนได้พบเจอ


ปึ่ก!


  ".......!!!" เสียงฝ่ามือทาบลงกับประตูเบื้องหน้าทำให้ร่างสะดุ้งโหยง เอนีลกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ เย็นหลังสรีษะวาบเมื่อพบว่าร่างของตนถูกกักไว้ในอ้อมแขนของผู้ช่วยหนุ่มที่มีท่าทีแปลกประหลาด มือที่เริ่มสั่นอย่างช่วยไม่ได้กำลูกบิกแน่นแล้วพยายามเปิดออกไปเบื้องนอก ทว่าก็เป้นอีกครั้งที่เขาต้องนิ่งอึ้ง..


   ...เปิดไม่ออก


    ความไม่เข้าใจทำให้เผลอเขย่าลูกบิดประตูแรงขึ้นโดยอัติโนมัติ  แม้จะเป็นประตูที่ปิดล็อกได้ ทว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีการกดล็อคใดๆเพื่อสะดวกต่อการเข้าออกของตัวเขาและผู้ช่วยทั้งสอง แม้จะรู้ว่าทำแบบนี้หากเรื่องราวรู้ไปถึงหูของบรรดาผู้ป่วยที่รออยู่ภายนอกชื่อเสียงของเขาจะเสื่อมเสีย ทว่าจะให้ยืนนิ่งอยู่ในบรรยากาศแสนน่ากลัวเช่นนี้เขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน


    ..แต่ตอนนี้แม้จะเปิดออกไปก็ทำไม่ได้หรือ?


      "..นิโคลัส คุณมีอะ----------"  ฝืนทำใจแข็งหันกลับไปมองด้วยความกล้าเพื่อเผชิญเหตุการณ์เมื่อรู้ว่าไม่อาจหลีกหนี  ทว่าเพียงหันกลับไปมอง เอ่ยเสียงทายทักไม่ทันจบประโยค ชายหนุ่มกลับต้องนิ่งงัน


    เอนีลเบิกตากว้าง เขาจ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง  แม้ผู้ช่วยของเขาจะไม่ได้มีหน้าตาหรือรูปร่างที่แปลกประหลาดต่างไปจากเดิม ทว่าเพียงได่สบมองดวงตาสีน้ำตาลที่บัดนี้แปรเป็นสีแดงก่ำ นายแพทย์หนุ่มก็สะท้านเฮือก


     ร่างที่สูงใหญ่กว่าตนแม้ไม่มากกำลังยืนคร่อมทับอยู่พลางจ้องมองมาด้วยดวงตาแดงก่ำ แววตาที่เขาไม่เคยประสบพบเจอและใบหน้าที่นิ่งเฉยไร้อารมณ์นั้นสั่นประสาทได้อย่างรวดเร็ว  เบื้องหลังชายหนุ่มคือความมืด มืดมิดชนิดที่ไม่อาจรับรุ้ได้ว่าเขากำลังยืนอยู่ที่ไหน มืดเสียจนเอนีลไม่แน่ใจเสียแล้วว่าที่นี่คือห้องพักของตนหรือที่ใดกันแน่


    ".......!! " ฝ่ามือของผู้ช่วยตะปบเข้าที่ไหล่ของเขาแล้วบีบแน่น เอนีลสะดุ้งโหยง เงยหน้าไปมองดวงตาแดงก่ำคู่นั้นอย่างจนใจ สมองเริ่มจะเป้นเหน็บชาไปแล้วด้วยความสับสนและตระหนก ทว่าอีกครึ่งมันก้ยังร่ำร้องวิ่งวนหาทางออกอย่างบ้าคลัง


     "...แก..." น้ำเสียงแหบแห้งดังออกจากริมฝีปากของนิโคลัสนั้นดูราวกับไม่ใช่เสียงของเขา  จังหวะการขยับนั้นช่างเชื่องช้าและเต็มไปด้วยความยากลำบากยิ่งนัก ฝ่ามือนั้นบีบไหล่เขาแน่นขึ้น และเค้นประโยคต่างๆออกมาอย่างยากเย็น


    "...มาแล้ว"


    "นะ...นิค" เอนีลเอ่ยเสียงเรียกผู้ช่วยของตนเบาๆ


    "..หายไปซะ มิฉะนั้น เจ้าจะต้องตกอยู่ในความทุกข์ทรมารชั่วนิรันดร์.."


    "...นิค? "


    "..อาโลอิส..." ชื่อเรียกของบางคนที่ติดตรึงอยู่ในความฝันทำให้เอนีลสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหวั่น ยามเมื่อนึกถึงเสียงกรีดร้องชื่อน้ำซ้ำไปซ้ำมา..เสียงร้องอันโหยหวนเย็นยะเยือกที่ทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ


  ...ทำไมนิโคลัสถึงรู้จักชื่อนี้


  ไม่...


นี่ไม่ใช่นิค



    "............" สิ่งที่รับรู้ได้ทำให้เนื้อตัวสั่นระริก เอนีลจ้องมองดวงตาสีแดงของผู้ช่วยตน ซึ่งบัดนี้เขาแน่ใจแล้วว่านี่ไม่ใช่คนที่ตนรู้จัก ไม่ใช่นิโคลัสผู้ช่วยคนนั้น แต่เป็นใครสักคนที่เขาไม่เคยพบเจอ


....ใครสักคนที่มีดวงตาสีแดงก่ำ ใครสักคนที่รู้ชื่อในความฝัน ใครสักคน...ใครที่เป็นเจ้าของน้ำเสียงเย็นยะเยียบจับใจนี้


   "อั่ก!" สะดุ้งเฮือก หลุดออกจากภวังค์เมื่อฝ่ามือใหญ่ตะปบเข้าที่ลำคอแน่น  ปลายนิ้วที่เคยแต่หยิบจับเครื่องมือแพทย์และทำการศึกษาเพื่อช่วยชีวิตคนบัดนี้มีเป้าหมายที่ลำคอของเขา เอนีลสะดุ้งเฮือก ใบหน้าบิดเบี้ยวทันทีที่รับรู้ได้ถึงความเจ็บหนึบที่แล่นเข้ามาจากฝ่ามือนั้น นายแพทย์หนุ่มพยายามดิ้นรน ฝ่ามือของเขาตะกุยท่อนแขนของผู้ช่วยตน ทั้งดึงรั้งแตะต่อยและดิ้นรนทุกวิธีให้ฝ่ามือนั้นคลายออก แต่กลับไร้ผลใด  ท่อนแขนนั้นยังคงแข็งแกร่งและมั่นคงไม่เคลื่อนไหวราวกับไม่ใช่เนื้อหนังมนุษย์


    จ้องมองเส้นเลือดบริเวณลำคอที่เกร็งเห็นเป็นแนวเส้นขึ้นมายามเจ้าของร่างออกแรง กานดิ้นรนที่ไร้ประโยชน์เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เอนีลเงยหน้าขึ้นจ้องมองดวงตาสีแดงก่ำคู่นั้นดว้ยความไม่เข้าใจ สมองที่มึนงงและตื้อทึบหนักเนื่องจากขาดอากาศไปหล่อเลี้ยงเริ่มร้องอุธรณ์ด้วยความทรมาร เช่นเดียวกับร่างของเขาที่กระตุกไหวด้วยความเจ็บปวด ดวงตาสีท้องฟ้าเอ่อด้วยน้ำใส


    " หายไปซะ" เสียงกระซิบหนักแน่นดังขึ้นแทรกขึ้นมาในอนุสติอันเลือนราง เจ้าของน้ำเสียงแหบพร่านั้นกระซิบบอกซ้ำๆ ย้ำเจตนาของตนอยู่เบื้องหน้า เอนีลรับรู้ว่าฝ่ามือของตนที่พยายามดิ้นรนนั้นเริ่มไร้เรี่ยวแรง สติของเขากำลังใกล้จะเลือนหายไปแล้วในที่สุด..


ปึงๆๆๆๆ



   เสียงเคาะประตูดังลั่นเหมือนจะแทรกเข้ามาไม่ถึงด้านใน รวมทั้งเสียงเอะอะจากเบื้องนอก เอนีลแว่วเสียงคุ้นหูคล้ายว่านั่นจะเป็นเมลิสสา ธุรการสาวของเขา และอีกหนึ่งเสียงที่เรียกชื่อเขาด้วยความร้อนรนนั้น คือ ไคลน์ สไตร์คเซอร์ ชายหนุ่มที่คอยดูแลคนนั้นนั่นเอง


    "............" แม้จะอยากเอ่ยปากตอบออกไปทว่าไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกจากริมฝีปาก เอนีลจ้องมองภาพเบืองหน้าอย่างเลื่อนลอย ดวงตาพร่ามัวมองเห็นสิ่งใดไม่ชัด..และคงเพราะเหตุนั้น เขาจึงได้อนุมานไปเอง ว่าเบื้องหน้าไม่ใช่นิโคลัส..ผู้ช่วยของเขาคนนั้นอีกแล้ว แต่เป็นใครสักคน..ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าซีดขาว เส้นผมยาวสีดำสนิท กำลังจ้องมองตนที่ใกล้จะหมดลมหายใจด้วยแววตาเย็นยะเยียบจับใจ


   ".............." ริมฝีปากของคนผู้นั้นขยับไหว ทว่าสำเนียงที่จับต้องได้กลับเบาแสนเบาจนไม่อาจจับใจความ ในหูของเขาอื้ออึงด้วยเสียงวิ้งๆ ดวงตาใกล้จะปรือปิดเช่นเดียวกับฝ่ามือที่เคยเกาะอยู่บนท่อนแขนของผู้ประทุษร้ายค่อยตกลงข้างกาย


ปัง!


   "เอนีล!!" เสียงตะโกนร้อนรนดังขึ้นพร้อมกับร่างของผู้บุรุกพากันกรูเข้ามา แรงถีบที่ทำให้ประตูเปิดผางเมื่อครู่เป็นผลให้ร่างของนายแพทย์หนุ่มและผู้ช่วยกระเด็นออกไปโดยอัติโนมัติ เอนีลรู้สึกว่าตัวเขาถูกใครคนหนึ่งโอบกอดไว้แล้วเขย่าตัวแรงๆ ขณะที่ตนเองนั้นสำลักกระอักกระไออย่างรุนแรง ทั้งยังปวดหัวจี้ดด้วยเผลอสูดลมหายใจแรงอย่างตะกรุมตะกราม


    สรรพเสียงแห่งความวุ่ยวายดำเนินต่อไปโดยที่เขาไม่อาจรู้ตัวแม้แต่น้อย ลำคอที่ปวดระบมและสมองมึนชาเรียกร้องการพักผ่อน ดวงตสีท้องทะเลจ้องมองภาพชุลมุนวุ่นวายเบื้องหน้าอย่างเลือนลาง ภาพฝันสะเปะสะปะไม่เป็นรูปร่างบอกเขาว่า ไคลน์ สไตร์เซอร์คือคนที่โอบกอดเขาไว้ในอ้อมแขนพลางช่วยปฐมพยาบาลให้ด้วยความเป็นห่วง ขณะที่เบื้องหน้า ร่างของนิโคลิส ผู้ช่วยของตนถูกชายฉกรรจ์สามสี่นายซึ่งเป็นบอดี้การ์ดของเขาคอยจับตัวไว้ เอนีลมองเห็นร่างที่ดิ้นรนทุรนทุรายของนิโคลัส ขณะที่หูก็แว่วเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของเมลิสสา


    "นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย!!" น้ำเสียงที่ใกล้เคียงกับคำว่ากรีดร้องดังแทรกเข้ามาในอนุสติอันเลือนราง


    "นิค..คุณหมอ อะไรกันคะ นี่มันอะไรกัน!?"


  "ใจเย็นครับคุณเมลิสสา ไม่มีอะไรแล้ว อย่าตกใจไปเลย!"


   "จะให้ฉันไม่ตกใจได้ยังไงคะ ในเมื่อมัน...นี่นิคทำอะไรคุณหมอกันแน่!"


    "ไม่มีอะไรแล้วครับ ไม่มีอะไร แค่อาการลมบ้าหมูของเขากำเริบเท่านั้นเอง!!" 


        เสียงทุ่มเถียงเอะอะดังอยู่รอบตัว ดวงตาอันพร่ามัวจับอยู่ที่เสี้ยวหน้าหล่อเหลาอันเต็มไปด้วยความตระหนกและเคร่งเครียดของไคลน์ เอนีลเอื้อมมือไปหาชายหนุ่ม ทว่าเพียงครึ่งทางเขาก็หมดแรง สติที่แทบจะประคองไม่ไหวกระซิบบอกตัวเองท่ามกลางความวุ่นวายก่อนจะหลับตาลง ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น..ไม่ได้เป็นเพราะลมบ้าหมูแน่ๆ..



++++++++++++++


ยังคงความซวยกันอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ไคลน์โผล่มานิดเดียวแต่หล่ออีกแล้วว ส่วนเอนีลคะ เราไปวัดกันเถอะะะะ

/เอนีลบอกซวยขนาดนี้เพราะใครล่ะะ

ส่วนเรื่องราวจะเป็นไงต่อ พ่อนิคกี้จะทำเรพาะลมบ้าหมูจริงๆหรือไม่ โปรดติดตามค่าาา  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: LOST ANGEL ** Lost 07 : แฝงเงา ** UP.31/5/57
« ตอบ #19 เมื่อ: 30-05-2014 23:44:27 »





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: LOST ANGEL ** Lost 07 : แฝงเงา ** UP.31/5/57
«ตอบ #20 เมื่อ31-05-2014 01:32:11 »

มันหลอนมาก อันไหนจริงอันไหนเท็จไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร

ออฟไลน์ Maii2206

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: LOST ANGEL ** Lost 07 : แฝงเงา ** UP.31/5/57
«ตอบ #21 เมื่อ31-05-2014 17:03:02 »

มาตามอ่านในเล้าค่ะ ฮี่ๆๆๆ  o13


ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL ** Lost 08 : สับสนวุ่นวาย ** UP.01/06/57
«ตอบ #22 เมื่อ01-06-2014 02:08:43 »


Lost 08  สับสนวุ่นวาย


    เปิดดวงตาขึ้นมาช้าๆ สติที่เลือนลางยังไม่แจ่มชัดทำให้สมองยังคงมึนเบลอ สิ่งแรกที่สามารถจับได้คือภาพอันพร่ามัวของเพดานบนหัวเตียงอันเคยคุ้น เอนีล ชาส์เดอตงส์ครางเบาๆในลำคอ ก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบเสียจนกลืนน้ำลายยังลำบาก สติที่เริ่มแจ่มใสขึ้นทบทวนเรื่องราวที่เกิดเงียบๆ  พลันก็ต้องเบิกตากว้างแล้วลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเตียงเมื่อจำได้ถึงเรื่องราวทั้งหมด


...ทั้งเรื่องที่ตัวเขาถูกทำร้ายโดยนิโคลัส ผู้ช่วยที่เชื่อใจ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น และ..สภาพอาการที่เหมือนไม่ใช่ปกตินั่น..


    ความมืดในห้องพักที่ราวกับมาจากโลกอื่น ภาพทับซ้อนของชายหนุ่มผมดำยาวผิวขาวซีด และน้ำเสียงอันแหบพร่าน่ากลัวที่บอกให้เขาหายไป...หายไปซะ


...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


   "ฟื้นแล้วเหรอครับ?"  ไม่ได้นิ่งคิดหรือหวาดกลัวนานพอจะเพ้อเจ้อวุ่นวาย น้ำเสียงทุ้มๆนุ่มหูที่ดังขึ้นเบื้องหลังก็ทำให้เอนีลชะงัก นายแพทย์หนุ่มหันไปหาเจ้าของเสียงอันเคยคุ้น คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังม่านสีควันบุหรี่ที่โรยรอบเตียง คือหมอประจำตัวของเขา และคนที่ช่วยเหลือเขาออกมาจากเหตุการณ์แปลกประหลาดนั้น ไคลน์ สไตร์คเซอร์นั่นเอง


      ชายหนุ่มเบื้องหน้ายังมีท่าทีอ่อนโยน รอยยิ้มอบอุ่นยังทาบอยู่บนริมฝีปากคู่นั้น แม้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนซึ่งจับจ้องมายังตัวเขาจะแฝงแววกังวลก็ตาม ไคลน์นั่งลงข้างเตียง พลางเอื้อมมือปัดผ้าม่านหนาออกจากสายตาแล้วแทรกกายเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบ 


      "..เป็นยังไงบ้างครับ เอนีล?" คำถามเบาๆที่มาพร้อมกับฝ่ามือแนบศรีษะทำให้เขาสะดุ้ง


       "เอ่อ...ผม...." นายแพทย์หนุ่มมีท่าทีอึกอักก่อนจะค่อยผ่อมลมหายใจลงช้าๆ เขารู้สึกสงบลงอย่างประหลาดเมื่อฝ่ามืออุ่นๆนั่นแตะลงบนผิวแก้มแล้วไล้เบาๆ แม้จะเป็นอัปกริยาที่ดูแปลกประหลาดเกินไปกว่าการสำรวจดูอาการหรือวัดไข้ ทว่าในยามนี้เขาไม่มีเหตุใดจะให้ติดใจสงสัย ความสบายที่เกิดขึ้นทำให้เอนีลยิ้มตามได้ไม่ยาก


       "ครับ.." ผู้ที่เฝ้าพิจารณาใบหน้าของตนอย่างอ่อนโยนและไล้เบาๆทั่วผิวแก้มละมือออกพลางตั้งใจฟัง เอนีลอดจะก่นด่าตัวเองเบาๆไม่ได้เมื่อรู้ว่าเขากำลังนึกเสียดายที่สัมผัสอุ่นๆชวนสบายใจนั้นผละจาก


      "ไม่เป็นไรแล้วครับ..ผมแค่..." ฝ่ามือคลำลงไปที่ลำคอซึ่งปวดระบม ไม่ต้องบอกเอนีลก็พอจะทราบว่ามันคงเกิดร่องรอยฟกช้ำจากฝีมือของผู้ช่วยตนเป็นแน่


     "อ้อ..." เพียงมองฝ่ามือที่แตะลงบนลำคอ ไคลน์ก็เข้าใจได้ไม่ยาก "ที่คอของคุณมีรอยช้ำจากการถูกทำร้ายนิดหน่อย..ถึงจะบอกว่านิดหน่อยแต่ถ้ามีคนเห็นคงไม่ดีแน่ ช่วงนี้เริ่มเข้าฤดูมรสุมแล้ว ใส่ผ้าพันคอสักผืนก่อนออกไปข้างนอกน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีนะครับ "


      ".....แล้ว..นิค" เอนีลพยักหน้ารับคำเตือนนั้นเงียบๆ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามถึงคนก่อเหตุอย่างอดรนทนไม่ไหว


      "ตอนนี้เขาได้สติแล้วครับ ขอพักงานสักอาทิตย์..หวังว่าคุณจะไม่ว่าอะไร" ไคลน์ตอบอีกฝ่ายพร้อมกับช่วยหยิบหมอนมารองหลังให้คนตรงหน้าเอนตัวพิงลงบนหัวเตียง "...และนอกจากนี้ เขายังฝากมาขอโทษ และหวังว่าคุณจะไม่เอาเรื่อง"


      "ผมไม่เอาเรื่องเขาหรอกครับ ไม่เอาแน่ๆ " เอนีลโบกมือทันที "ที่จริงผมอยากคุยกับเขา คือ..ผมคิดว่านั่นนิดไม่น่าจะตั้งใจ..เขาไม่ใช่คนแบบนั้น นิคเป็นผู้ช่วยผมมาตั้งหลายปี..."


     "แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นเมื่อผมพังประตูเข้าไปคือเขาทำร้ายคุณ" ไคลน์ขมวดคิ้วน้อยๆยามเอ่ยปากถกเถียง "ทั้งจากพยานและจากสิ่งที่ได้เห็น..มันเชื่อยากครับว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ.."


      "...แต่"


      "เขาล็อคกลอนประตูไว้ด้วย...จากที่ผมถามเมลิสสา ห้องนั้นไม่เคยล็อคประตูไม่ใช่เหรอครับ นั่นยิ่งเป็นหลักฐานบอกชัดว่าเขาทำไปโดยตั้งใจ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ.."


      "..............." เอนีลเงียบไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไร เพราะหากดูจากสภาพแวดล้อมแล้ว มันบ่งชัดว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ


     "ตอนนี้คุณฟาเอลกำลังรอคุยกับคุณอยู่..เห็นว่าอยากปรึกษาเรื่องแจ้งกับทางบ้านของคุณ ที่คุณถูกทำร้าย" เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปไคลน์ก็เอ่ยปากเล่าเรื่องราวต่อ "..ฟาเอลกังวล..ว่านิโคลัสอาจจะถูกซื้อตัวน่ะครับ "


      "ซื้อตัว?" เอนีลถามซ้ำ เลิกคิ้วอย่างไม่เห็นขัน "อย่างนิคน่ะเหรอครับ?"


     "คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่มันก็มีทางเป็นไปได้ คุณพ่อของคุณมีคู่แข่งทางการเมืองมากมาย..." ไคลน์เปรยขึ้นเบาๆ ถึงข้อสันนิษฐานที่ถูกคิดไว้ อันเกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองและการชิงอำนาจซึ่งบิดาของชายหนุ่มตรงหน้าร่วมลงเล่นในเกม


      "...ฆ่าผมไปแล้วได้อะไร" เอนีลส่ายหน้าอย่างไม่เป็นด้วย "ผมเป็นแค่ลูกชายคนเล็ก ไม่ใช่คู่แข่งทางการเมือง ไม่ใช่ลูกชายคนโปรด...ผมไม่เห็นประโยชน์ในการปองร้ายนี้"


      "แต่มันก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้"


      "ไคลน์" เอนีลหันไปจ้องสบตาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ "คุณก็เชื่อแบบนั้นงั้นหรือครับ?"


      "...ผม...." ชายหนุ่มผู้ถูกถามนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบาง "คำตอบของผมไม่ใช่ทุกสิ่ง"


      "ตอนที่เมลิสสาโวยวาย..ร้องถามว่าผมเป็นอะไร ตัวคุณแท้ๆ..ที่พูดไปว่านิคเป็นลมบ้าหมู.." เอนีลจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของชายหนุ่มเบื้องหน้า ขณะที่ความทรงจำนึกย้อนไปยังตอนที่เกิดเหตุ "แล้วตอนนี้ คุณบอกว่าเขามีสิทธิเป็นคนที่ถูกส่งตัวมา ซื้อตัวมาเพื่อสังหารผม โดยหวังทำลายคุณพ่อของผม...งั้นหรือครับ?"


      "ผมบอกเธอไปแบบนั้นเพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องใหญ่...ตอนนั้นมีคนไข้อยู่ด้วย..ถ้าหากมีคนรู้ว่าคุณถูกผู้ช่วยตัวเองทำร้าย คลินิกของคุณจะเสียชื่อ" ผู้ถูกถามเอ่ยตอบพลางจ้องมองดวงตาสีฟ้าสดคู่นั้น


     เงียบอยู่ครู่หนึ่ง นิ่ง..นาน...ท่ามกลางดวงตาสองคู่ที่สบมองกันอย่างเงียบงัน เอนีล ชาส์เดอตงส์ก็ถอนหายใจเบาๆ


     "ขอผมใช้โทรศัพท์สักครู่"


+++++++++++++++++++++

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL ** Lost 08 : สับสนวุ่นวาย ** UP.01/06/57
«ตอบ #23 เมื่อ01-06-2014 02:12:26 »



         วางสายลงพลางเดินขึ้นบันไดมาเงียบๆ เอนีลมองผ่านสายตาห่วงใยของพ่อบ้านตนไปเสีย ขณะที่สมองก็นิ่งครุ่นคิดถึงบทสนทนาที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อครู่ คนที่เขาเอ่ยปากขอคุยด้วยนั้นไม่ใช่ทั้งผู้เป็นบิดาหรือใครที่ไหน แต่กลับเป็นนิโคลัส..ผู้ช่วยของตนที่บัดนี้ถูกกล่าวหาจากเหตุการณ์ทั้งหมดว่าตั้งใจในการทำฆาตกรรมเขา


   เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจริง ทั้งความเจ็บที่ลำคอ รอยแผลที่กลายเป็นสีม่วงคล้ำ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยามเย็นของวันนี้ไม่ใช่ความฝันหรือเรื่องราวเพ้อพก และเพราะมันเกิดขึ้นจริงนั่นล่ะ ชายหนุ่มจึงต้องคุยกับผู้ถูกกล่าวหาให้เรียบร้อย


     หากถามถึงความคิดส่วนตัว เอนีลไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อเลยว่าคนอย่างนิโคลัสจะทำร้ายเขาเพียงเพื่อหวังรางวัลหรือถูกซื้อตัวจากคู่แข่งทางการเมืองของพ่อ ไม่นับเรื่องราวแปลกประหลาดที่เขาพบเห็น มิพักเอ่ยถึงความผิดปรกติต่างๆที่สังเกตุได้ ลำพังแค่การกระทำของนิโคลัสก็ถือว่าไม่น่าเชื่ออยู่แล้ว


       จริงอยู่ที่ว่าชายหนุ่มลงมือทำร้ายเขา ทั้งการเข้ามาในห้องพักแล้วล็อคปิดประตูพลางลงมือบีบคอกันให้ขาดอากาศหายใจ แต่หากมาลองคิดแล้ว..หลังจากนั้นล่ะ นิโคลัสจะใช้ชีวิตยังไงหรือ ต่อให้ทำลงไปแล้วสำเร็จ หลักฐานทั้งหมดก็ต้องบ่งชี้ไปที่ตัวเขาอยู่ดี นิคไม่มีทางจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่มีทางจะได้เรียนแพทย์ต่อ ไม่มีทางจะได้ทำอาชีพที่เขาใฝ่ฝัน แล้วนิคจะทิ้งทุกอย่างนั่นเพื่อลงมือฆาตกรรมเขาเพื่ออะไร


       เอนีลรู้จักนิคมาหลายปี นิโคลัสนั้นเป็นนักเรียนแพทย์รุ่นน้องที่รู้จักกันผ่านเพื่อนคนหนึ่งของเขา เป็นเด็กหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นขยันขันแข็งทั้งยังอารมณ์ดีเป็นที่หนึ่ง ตัวเอนีลทราบมาตลอดว่าความฝันของอีกฝ่ายคือการเป็นศัลยแพทย์ ฉะนั้นเขาจึงให้โอกาสนิคในการเป็นผู้ช่วยของตนเพื่อเสริมทักษะ ทั้งเวลาที่รู้จักกัน ทั้งระยะเวลาที่เป็นผู้ช่วยของตนไม่มีเลยสักครั้งที่นิคจะมีท่าทีไม่พอใจหรือเป้นอริกับเขา พวกเขาทั้งคู่ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้ง ไม่เคยมีความแค้นใดๆต่อกัน


     หากพุดถึงความรู้สึกส่วนตัวแล้วยังไม่พอ นายแพทย์หนุ่มนึกไปถึงการกระทำของอีกฝ่าย นิคบีบคอเขา...บีบคอไม่ใช่วิธีการฆาตกรรมที่ฉลาดเอาเสียเลย ทั้งรอยนิ้วมือที่ตามตัวได้ ทั้งการดิ้นรนของเหยื่อที่มีโอกาสหนีรอด ทั้งที่นิคนั้นเป็นหมอ เจ้าตัวรู้ถึงวิธีการมากมายในการช่วยชีวิตคน รวมไปถึงวิธีการมากมายในการคร่าชีวิตมนุษย์ด้วยเช่นกัน การวางยา ฉีดยาพิษ การทำร้ายด้วยอย่างอื่นจนถึงแก่ความตายโดยจับมือใครดมได้ยากนั้นมีอยู่มากมาย อย่างนิคน่ะหรือจะเสี่ยงใช้วิธีแบบนี้เพื่อฆ่าเขา..ทุกๆอย่างนั้นล้วนไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย


     ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เอนีลโทรไปหาอีกฝ่าย นิโคลัสผู้ซึ่งรับสายด้วยอาการละล่ำละลัก เอ่ยปากขอโทษเสียจนหายใจหายคอไม่ทันนั้นดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่คนที่ต้องการคร่าชีวิตเขาเสียเลย เจ้าตัวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่าพลางเอ่ยปากขออย่าให้เขาเอาเรื่อง ซึ่งอาจจะทำให้เจ้าตัวถูกไล่ออกจากวิทยาลัยแพทย์ ซึ่งเอนีลเอ่ยปากรับคำทันที และทั้งนี้ก้เอ่ยถามถึงสาเหตุของการกระทำนั้นไปในตัว


    ไม่มีคำตอบใดจากนิโคลัส เจ้าตัวได้แต่เพียงนิ่งเงียบ ไม่อาจตอบอะไรมาได้ นิคบอกเพียงว่าเขาจำอะไรไม่ได้ รู้ตัวอีกที ก็เป็นยามที่ถูกบอดี้การ์ดของเขาคุมตัวไว้แล้ว อีกฝ่ายยืนยันว่าไม่เคยใช้สารเสพติดประเภทหลอนประสาทซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจนลุกมาทำร้ายร่างกายเขา แต่ก็ไม่รู้เช่นกันว่าด้วยเหตุผลกลใดถึงได้ลงมือทำเรื่องนี้ลงไป..สรุปแล้ว..อย่างไรนิคก็ไม่อาจเป็นคนที่ตั้งใจฆ่าเขาได้เลย


..แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?


   เอนีลไม่ได้เอ่ยปากถามถึงคำพูดที่ออกมาจากปากอีกฝ่าย น้ำเสียงที่เหมือนไม่ใช่ของเจ้าตัว หรือวาจาแปลกประหลาดนั้น ชายหนุ่มเก็บมาคิดกับตัวเองเงียบๆ ยามก้าวเท้าขึ้นบันใดไปยังห้องพัก ทว่ายิ่งคิด ก็ยิ่งไม่มีคำตอบใด


..นิคไม่ได้ตั้งใจฆ่าเขา..ไม่ใช่แน่ๆ


แต่ก็ปฏิเสธเรื่องที่นิโคลัสเอื้อมมือมาบีบคอเขาไม่ได้อยู่ดี


 แล้วยังดวงตาสีแดงก่ำ น้ำเสียงแหบพร่าและภาพหลอนอันเลือนรางที่เขาเห็น..ทุกอย่างนั่นผสมปนเปกันจนชายหนุ่มชักจะปวดหัว..


  ตอนนี้เอนีลเริ่มสงสัย ระหว่างเขากับนิค ใครกันแน่..ที่กำลังใกล้จะสติแตก   


     "คุณไม่เอาเรื่องเขาจริงๆสินะครับ" เสียงถามที่ดังขึ้นทำให้ชะงัก ละออกจากภวังค์ เอนีลเงยหน้าขึ้นมองคนพูด เขาสบตากับไคลน์ สไตรค์เซอร์ที่ยืนอยู่หน้าห้องนอนของตน อีกฝ่ายคงรอดูท่าทีของเขาแล้วมารอพูดถึงที่


    "....และจะไม่มีการบอกพ่อผมด้วยครับ" นายแพทย์หนุ่มเอ่ยในสิ่งที่คาดว่าอีกฝ่ายต้องการจะรู้ต่อจากนี้


   "เขาจะ"ฆ่า"คุณนะครับ" ไคลน์จ้องมองคนพุดอย่างไม่เข้าใจ หัวคิ้วขมวดมุ่น


   "นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของนิค มันเป็นแค่อุบัติเหตุ..เขาไม่เคยคิดจะฆ่าผม"


       นิ่งไปครู่หนึ่งหลังเอ่ยประโยคนั้นออกมา ไคลน์ก็ถอนหายใจเบาๆ ชายหนุ่มสบตาผู้พูดเงียบๆ พลางยิ้ม...แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยมีความสุขเสียเท่าไหร่


    "คุณนี่ดูจะ ชอบ เขาเสียจริงๆนะครับ..เอนีล"


    "ผมไม่เข้าใจความหมายของคุณครับ" เอนีลขมวดคิ้ว


    "ไม่มีอะไรครับ" ผู้ถูกถามโคลงศรีษะบางๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องของบุรุษเบื้องหน้าเงียบๆ "เมื่อเจ้าทุกข์ไม่คิดเอาเรื่องผมก็ทำอะไรไม่ได้...รบกวนเวลานอนของคุณมามากแล้ว คุณคงต้องการพักผ่อนต่อ ราตรีสวัสดิ์ครับ"


     เอ่ย..แล้วเจ้าของคำพูดนั้นก็โค้งตัวให้เงียบๆ เอนีลมองตามแผ่นหลังที่เดินห่างออกไปด้วยความไม่เข้าใจ นายแพทย์หนุ่มมีสีหน้างวยงง ฉงนกับการกระทำที่ใกล้เคียงกับคำว่าไร้มารยาทของอีกฝ่าย ทว่าที่สุดก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้อง ปิดประตูแล้วเตรียมตัวนอน



   มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้...ในสายตาของชายหนุ่มที่มีหน้าที่ทั้งคอยรักษาและดูแลตัวเขา..คงจะไม่พอใจที่นิโคลัสทำร้ายเขา และยิ่งไม่พอใจมากกว่าที่เขาปล่อยคนร้ายไปง่ายๆ เพียงเพราะความใจอ่อนหรือรู้จักกันส่วนตัว เอนีลรู้ว่าการทำแบบนี้นั้นไม่ฉลาดเอาเสียเลย การที่เขาบังคับทุกคนกรายๆให้ปล่อยผ่านเรื่องใหญ่ถึงขนาดนี้ไป


     แต่เหตุผลของเขา จะให้อ้าปากอธิบายกับใครคงเป็นไปไม่ได้ จะอย่างไรมันก็เป็นความรู้สึก ให้อ้าปากพูดไปหรือว่าเวลานั้น..เวลาที่โดนทำร้าย เขารู้สึกว่านั่นไม่ใช่นิค จะให้พูดว่ามองเห็นนิคมีดวงตาสีแดงก่ำ มองเห็นเงาของใครไม่รู้ซ้อนทับกับร่างผู้ช่วยของเขา และยังได้ยินเสียงพูดแปลกหูอย่างนั้นหรือ


     ทั้งหมดนั่น..เรื่องราวประหลาดเหล่านั้นจะมีใครเชื่อ มันก็ไม่ต่างจากความฝันของเขานั่นล่ะ..ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนกับอาการวิตกจริตเหมือนคนบ้า หากนำมาประกอบกันแล้ว ไปๆมาๆ เอนีลอาจจะถูกจับส่งโรงพยาบาลบ้าเสียก็ได้ ใครจะรู้ 


     แต่อย่างหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ..คำพูดของไคลน์นั่น..ทำไมฟังเหมือนคำประชดประชันกันด้วยความหึงหวงเสียก็ไม่รู้


     คิดแล้วแพทย์หนุ่มก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธกับตัวเองเป็นพัลวัน  ไม่ใช่เสียล่ะ ที่ได้ยิน มันเป็นเพราะเขาทำตัวให้ชายหนุ่มหงุดหงิดเท่านั้นเอง


   ก๊อกๆ..


      เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเบาๆระหว่างที่กำลังสวมชุดนอนทำให้เจ้าของห้องชะงัก เอนีลรีบติดประดุมเสื้อเชิ๊ตเนื้อนุ่มที่ตนสวมอยู่ ก่อนจะเดินไปที่ประตู


     "ครับ?"


     "ไม่ต้องเปิดประตูก็ได้ครับ ผมแค่อยากจะถามอะไรนิดหน่อย" กำลังเอื้อมมือไปที่ประตูแท้ๆ ทว่าเสียงที่ดังขึ้นก่อนราวกับรู้ทันนั้นทำให้ชะงัก เอนีลลดมือลงจากลูกบิด แม้จะงวยงงและไม่เข้าใจแต่ก็ทำตามที่อีกฝ่ายร้องขอ


      "มีอะไรเหรอครับ" คงเป็นเรื่องประหลาดแน่หากจะเอาแต่ยืนจ้องประตูเป็นวรรคเป็นเวร เอนีลจึงหันหลัง เอนตัวพิงประตูห้องพลางจ้องมองสภาพห้องนอนของตนเองเงียบๆ


      เตียงหลังใหญ่มีสี่เสาเหมือนที่นอนของเจ้านายสมัยโบราณ ผ้าม่านสีควันบุหรี่โรยรอบเตียง ข้างเตียงมีโต๊ะเครื่องแป้งที่กลายเป็นจุดวางหนังสือ  ที่พื้นมีหนังสือวิชาการมากมายกองไว้ ผนังมีชั้นวางหนังสือที่สูงจรดเพดาน ตู้เสื้อผ้าสีน้ำตาลเข้มใบโต กระจกบานยาวและที่กั้นสำหรับแต่งตัว และถัดจากนั้นก็เป็นหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งเปิดกว้างรับแสงจันทร์ยามค่ำคืน และผ้าม่านสีขาวโชยพลิ้วด้วยแรงลม...


  แกว๊ก!


     เสียงร้องของนอกกลางคืนดังลั่นพลางบินผ่านประตูไปทำเอาสะดุ้งเฮือก เอนีลยกมือลูบอกใจหายวาบ ขณะที่หูแว่วเสียงเคาะประตูปึงปังเบื้องนอก


     "มีอะไรรึเปล่าครับ เกิดอะไรขึ้น?" คำถามร้อนรนนั้นดังมาจากปากของไคลน์ สไตร์คเซอร์ไม่ผิดแน่ เอนีลถอนหายใจเบาๆ บอกตัวเองให้สงบสติอารมณ์ รวมทั้งบอกให้เชื่อว่าภาพดวงตาสีแดงก่ำของนกตัวนั้นที่เหมือนจ้องมองมาที่ตอนนั้นเป็นการคิดไปเอง ชายหนุ่มกระแอมเบาๆก่อนจะเอ่ยปากตอบ


    "ไม่มีอะไรครับ ผมแค่เหม่อนิดหน่อย เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ"


    "ผมขอโทษที่เมื่อกี้แสดงกริยาไม่เหมาสม.." เมื่อได้รับคำตอบ ความร้อนรนในน้ำเสียงนั้นก็เหมือนจะลดลงไปครึ่งหนึ่ง รวมถึงอาการตระหนกตกใจของผู้ฟังที่ลดลงจนแทบไม่เหลือ "ผมแค่เป็นห่วงคุณ.."


    ฟังแล้วคนฟังก็ยิ้มน้อยๆ เอนีลเอ่ยตอบออกไปอย่างแผ่วเบา "ครับ..ผมรู้"


    "ความจริงผมรู้ว่านั่นเป็นการตัดสินใจของคุณ และตัวเองไม่มีสิทธิก้าวก่าย ผมขอโทษด้วย"


    "ไม่เป็นไรจริงๆครับ ไคลน์..อย่าคิดมากไปเลย"


     "เพื่อเป็นการขอโทษ..พรุ่งนี้วันอาทิตย์ เราไปเที่ยวกันดีไหมครับ" ข้อเสนอนั้นทำให้ผู้ฟังชะงัก เอนีลเงยหน้าขึ้นมาจากพื้นพรมแล้วหันไปมองบานประตูห้องตัวเอง เขายิ้มออกมาแม้จะรู้ว่าคนที่อยู่อีกฝั่งไม่มีทางเห็น ก่อนจะเอ่ยปากตอบรับเงียบๆ


    "ได้สิครับ.."


     "ขอบคุณที่ตอบรับคำเชิญ.." เสียงแกร๊กกรากเบื้องนอกทำให้คนในห้องเลิกคิ้วฉงน ไม่ทันจะอ้าปากถาม บานประตูก็ถูกเปิดออก แล้วใบหน้ายิ้มแย้มที่แสนอ่อนโยนของไคลน์ สไตร์เซอร์ ก็โผล่มาอย่างรวดเร็ว


     "ราตรีสวัสดิ์ครับ เอนีล" รอยยิ้มทั้งในใบหน้าและแววตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นทำให้ผู้สบมองยิ้มตามได้ไม่ยาก


     "ราตรีสวัสดิ์ครับ..ไคลน์"


    "แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะครับ" เอ่ยแล้วคนที่เปิดประตูเข้ามาอย่างอุกอาจก็ปิดประตูไปด้วยรอยยิ้ม เอนีลอมยิ้มขบขันนึกชอบใจไม่น้อยกับการกระทำท่าราวกับเด็กหนุ่มห่ามๆของคนตรงหน้า ความประทับใจและชื่นชอบมีมากเสียจนไม่คิดจะสงสัยถึงข้อที่ว่าอีกคนเปิดประตูเข้ามาได้อย่างไรทั้งที่เขาล็อคไปแล้ว ยามเอ่ยปากตอบรับคำพูดอีกฝ่ายเบาๆ เขาจึงรื่นเริงยิ่งนัก


     เอนีลปิดประตูลงแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ชายหนุ่มซุกตัวลงนอนกับเตียงพลางหยิบหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา ทว่าก็อ่านไปได้เพียงเล้กน้อย เพราะความตื่นเต้นและรอคอยวันพรุ่งนี้นั้นมีมากเกินไปเสียจนไม่มีสมาธิจดจ่อ นายแพทย์หนุ่มอดจะบ่นใส่ตัวเองไม่ได้ที่มีท่าทีรื่นเริงเกินไปเสียขนาดนี้  กระนั้นยามล้มตัวลงนอนเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความคิดมากมายเกี่ยวกับการไปท่องเที่ยวในวันพรุ่งนี้อยู่ดี


     พื้นอารมณ์ที่แจ่มใสมากขึ้นทำให้เอนีลหลับสนิทไปโดยง่าย ผู้ที่เผชิญเหตุการณ์เลวร้ายในยามเย็นมาบัดนี้แทบปลดความวิตกเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านั้นออกไปจากสมอง ดังนั้นในคำคืนนี้ จึงเป็นอีกคืนที่เขาไม่รู้ว่าประตูห้องถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง และเอนีลถูกเฝ้าดูจากเจ้าของแววตาสีน้ำตาลอันแสนอบอุ่น กับอีกหนึ่งดวงตาสีแดงก่ำเบื้องนอก


....และภายในค่ำคืนอันเงียบสงบที่ใครหลายคนกำลังหลับไหล เรื่องราวมากมายก็ยังดำเนินต่อไป



++++++++++++++++++


ตอนแรกเหมือนจะดราม่า ตอนหลังแอบมุ้งมิ้งเล็กๆ (เล็กมาก)


พ่อหนุ่มไคลน์นี่แอบหึงเอนีลชิมิ  //ทำหน้ารู้ทัน


และเรื่องราวก็ยังดำเนินแบบสวีทชวนหลอนต่อไป ฮ่าา แล้วเจอกันตอนต่อไปค่ะ

ปล. แจ้งข่าวนิยายเล็กน้อย อยากรู้กดเลยค่า http://my.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=715758&chapter=21


ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
555+ โรเเม้งเเบบหลอนๆนี่มันยังไงล่ะนั่น เเต่สนุกม๊ากมาก รอตอนต่อไปนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL ** Lost 09 : เรื่องเล่า ** UP.02/06/57
«ตอบ #25 เมื่อ02-06-2014 16:11:22 »



Lost 09 เรื่องเล่า


     ผืนน้ำกว้าง ทะเลสาบน้ำใสราวกับกระจกจนมองเห็นต้นหญ้าและสาหร่ายเบื้องล่างสะท้อนอยู่ในเงาตา ร่างของนายแพทย์หนุ่มยืนอยู่ริมน้ำ นัยน์ตาสีท้องฟ้าจ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มพึงใจ  ริมฝีปากอ้าออกอุทานอย่างตื่นตาไม่น้อยเมื่อเห็นห่านสีขาวตัวยักษ์บินร่อนลงในทะเลสาบแล้วลอยคอว่ายน้ำจับปลาตัวเล็กกิน  ชนบทที่ดูเงียบสงบ วันที่ท้องฟ้าใสกระจ่างไร้เมฆหมอกของฤดูฝน แสงแดดอ่อนๆทอลอดยอดไม้เขียวชอุ่มบอกเวลาสิบเอ็ดโมงเช้าของวันอาทิตย์แห่งการพักผ่อน


     "นึกไม่ถึงเลยครับ ว่าแถบนี้จะมีที่แบบนี้ด้วย ผมอยู่มานานแท้ๆ รู้ไม่เท่าคุณเลย" หันไปหาผู้ที่ชวนมาด้วยรอยยิ้ม เอนีลจ้องมองไคลน์สไตร์เซอร์ที่กลับมาจากการเอารถไปจอดใต้ร่มไม้แล้วถือตระกร้าหวายใบใหญ่ติดมือมาด้วย ชายหนุ่มในชุดไปรเวทสวมโค้ทสีน้ำตาลเข้ม เสื้อเชิ๊ตสีขาวเขนยาวตัวในและกางเกงขายาวสีดำ การแต่งตัวดูเรียบง่ายธรรมดา ทว่ามันกลับดูดีอย่างประหลาดเมื่ออยู่บนร่างของชายหนุ่มตรงหน้า ซึ่งมีรอยยิ้มประดับอยู่บนริมฝีปากและมีท่าทีอ่อนโยนเป้นมิตรยิ่งนัก


      "วันก่อนผมขับรถหลงทาง.." ไคลน์ตอบเสียงกลั้วหัวเราะพลางเดินตรงมาหาอีกฝ่าย "ก็เลยมาเจอที่นี่..อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นโชคดีในความโชคร้ายนะครับ ที่ทำให้คุณอารมณ์ดีเสียขนาดนี้"


      "สถานที่สวยๆแบบนี้ ใครได้มาก็ต้องอารมณ์ดีทั้งนั้นแหละครับ" เอนีลอมยิ้ม ปูพรมผืนเล็กลงบนพื้นหญ้าสีเขียวสดใต้ร่มไม้ใหญ่ "ชานเมืองปารีสยังมีที่สงบๆแบบนี้อยู่ด้วย...น่าแปลกใจจริงๆเลย"


     "ผมดีใจครับที่คุณอารมณ์ดี.." ไคลน์ยิ้มให้อีกฝ่าย "นึกว่าคุณจะเครียด ไม่ก็เคืองผมแทบแย่จากเรื่องเมื่อวาน"


     "อา..." เมื่อนึกถึงเรื่องราวเมื่อวานเอนีลก็อดจะเอื้อมมือไปแตะต้นคอของตนที่ยังถูกพันไว้ด้วยผ้าพันคอไม่ได้ "มันผ่านไปแล้ว..ผมไม่คิดมากหรอกครับ แต่นั่นก็เป้นการตัดสินใจของผม..ต้องถามคุณมากกว่าว่าไม่โกรธใช่ไหม"


    "ผมจะโกรธคุณยังไงได้ลงคอล่ะครับ" ไคลน์วางตระกร้าหวายลงบนพื้นพรมนุ่มๆ "ถูกแล้วที่เป้นการตัดสินใจของคุณ แต่ถ้าจะถามเรื่องที่แอบหงุดหงิด ก็คงเป็นคุณนั่นล่ะที่ไม่ห่วงตัวเองเอาเสียเลย"


    "เอ๋?" ฟังแล้วนึกฉงน เอนีลเลิกคิ้วมองดูคนที่เดินตรงเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีสลักสำคัญ


    "คุณน่ะ ไว้ใจคนง่ายมากเกินไป แถมไม่ยอมโกรธเอาเสียเลยทั้งที่ตัวเองถูกทำถึงขนาดนี้ เรื่องนี้ต่างหากล่ะครับที่ผมโกรธ" เจ้าของคำพูดดุว่านั้นจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีน้ำตาลอ่อนซึ่งฉายแววห่วงหา คำตำหนิแสนอ่อนโยนพร้อมกับฝ่ามือที่กุมมือตนเองไว้เงียบๆทำให้หัวใจเต้นโลดแรงขึ้นด้วยความปรีดามากกว่าจะเคืองโกรธ


       "ห่วงตัวเองหน่อยสิครับ ผมน่ะเป็นห่วงคุณ ไม่อยากให้คุณได้รับอันตรายหรอกนะ.." ไคลน์เอ่ยพลางส่ายหน้าช้าๆ ขณะที่เอนีลสบตาคู่นั้นเงียบๆจ้องมองแววตาห่วงหาอาธรของอีกฝ่ายอย่างอดยินดีไม่ได้


      "ขอบคุณครับ..ผมจะระวัง.." พึมพัมรับคำเบาๆ พลางออกแรงบีบมือนั้นกลับเงียบๆ


      "จะระวังแล้วยิ้มแก้มปริแบบนั้นหมายความว่ายังไงล่ะครับ ดื้อเหมือนกันนะคุณเนี่ย" ไคลน์ส่ายหัวช้าๆ อมยิ้มพลางจูงมืออีกฝ่ายให้นั่งลงบนพรมที่ขนมาปูรองพื้นด้วยกัน ส่วนคนถูกดุก็นั่งลงข้างๆ ท่าทียิ้มแย้มไร้วี่แววสำนึกผิดจนน่าจะถูกดุต่อแต่ก็น่ารักเสียจนชวนใจอ่อน


      "จะระวังไงครับ..ปกติผมก็ระวังตัวอยู่..." เอนีลเอ่ยปากแก้ตัว แม้จะไม่ได้บอกว่าหลังๆ เพราะอารมณ์ดีจากความฝันร้ายๆที่จางหายไปและการปรากฏตัวของใครบางคนนั่นล่ะทำให้เขาลดการป้องกันตัวลงเกือบหมด


       "ดีแล้วล่ะครับ ผมก็จะช่วยดูแลคุณอย่างเต็มที่เหมือนกัน.." ชะรอยว่าไม่พูดตัวการก็พอจะรู้อยู่ รอยยิ้มของไคลน์ สไตร์คเซอร์ที่มองตอบมาจึงได้อ่อนโยนยิ่งนัก


       "...ครับ.." รับคำเบาๆพลางเบนสายตาไปมองผืนน้ำทะเลสาบเบื้องหน้าเสีย เอนีลทำทีเป็นสนอกสนใจกับเจ้าหงส์ขาวตัวนึงที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดขนของมันราวกับน่าสนใจเสียเต็มประดา แม้จะรู้สึกถึงดวงตาของอีกฝ่ายที่จับจ้องมองเขาไม่ห่างและสัมผัสอุ่นๆจากฝ่ามือที่ยังกอบกุมกันอย่างเงียบเชียบ


       เงียบไปนาน..ราวกับต่างฝ่ายต่างพอใจที่จะได้จ้องมองผู้ที่ตนปราถนา เสียงของไคลน์ก็ดังขึ้น "คุณชอบดนตรีรึเปล่า.."


       "ดนตรี.." เอนีลหันไปมองอีกฝ่ายซึ่งกำลังเอนตัวนอนสบายๆพลางสบตามองเงียบๆเบื้องหน้า "..ก็ชอบ..ครับ"


       "ผมพอจะเล่นฟลุ๊ตได้..ครั้งหน้าที่เรามาด้วยกัน จะรังเกียจฟังมั้ยครับ?" เอ่ยถาม..แต่นั่นไม่ต่างกับคำชักชวนเพื่อมาที่นี่อีกรอบเสียเท่าไหร่ เอนีลสบตาอีกฝ่ายแล้วพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว เขายิ้มกว้างอย่างเผลอไผล


       "ไม่เลยครับ ผมจะรอฟัง..คราวหน้า ถ้าเรามาด้วยกันนะครับ.."


       "ขอบคุณครับ.." รอยยิ้มของผู้ชายที่กำลังเอนตัวจ้องมองคนเองอย่างสบายอารมณ์นั้นช่างเปี่ยมสเน่ห์ยิ่งนัก เอนีลรู้สึกตัวว่าเขากำลังหน้าแดงมากขึ้นเรื่อยๆ นายแพทย์หนุ่มจึงต้องเสไปมองอย่างอื่น ก่อนจะนิ่งไปเหมือนนึกขึ้นได้เมื่อมองเห็นตระกร้าหวายบนพรมผืนเล็ก


        "ออกมาตั้งแต่เช้า ยังไม่ได้กินอะไรกันเลย ทานข้าวกันเถอะครับ" ชักชวนพลางดึงมืออกจากการเกาะกุมเงียบๆ นายแพทย์หนุ่มมองเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเสียดายอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเขาก็แสร้งไม่เห็น  กุลีกุจอหยิบเอาแซนวิชและน้ำชาที่ฟาเอล..ผู้เป็นพ่อบ้านของเขาช่วยจัดการให้มาวางไว้พร้อมยื่นผ้าสะอาดสำหรับเช็ดปากและมือให้อีกฝ่าย


        ไคลน์เอื้อมมือหยิบแซนวิชพลางเอาผ้าปูรองวางไว้บนตัก ชายหนุ่มนั่งทานไปพลางจิบชาและมองทิวทัศน์เบื้องหน้าเงียบๆ ก่อนที่จะมองเห็นโบสถ์สีขาวหลังเล็กอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบ


        "..มีโบสถ์อยู่เสียด้วย ผมนึกว่าแถวนี้จะไร้ผู้คนเสียอีก" ไม่ได้มีเพียงแต่เขาที่สังเกตุเห็น นายแพทย์หนุ่มเอนีล ชาส์เดอตงส์ก็สังเกตุได้เช่นเดียวกัน ชายหนุ่มเคี้ยวแซนวิชไส้เบคอนในมือพลางชะเง้อมองไปยังโบสถ์สีขาวที่อยู่อีกฝั่ง "เหมือนภาพในเทพนิยายเลยนะครับ..ทะเลสาบสวยๆกับหงส์ตัวหนึ่งและโบสถ์สีขาว.."


         "เหมือนเรื่องทะเลสาบหงส์ขาว?" ไคลน์เอ่ยชื่อเทพนิยายเรื่องหนึ่งขึ้นมายิ้มๆ


        "...ก็อาจจะคล้ายล่ะมั้งครับ..เอ๊ะ..พูดไปผมก็เหมือนเด็กสินี่" เอนีลหันไปมองคนขำด้วยท่าทีเหมือนถูกจับได้ ขณะที่ไคลน์หัวเราะรับ


   "ผมเปล่านะครับ ไม่ได้มีใครว่าคุณเหมือนเด็กเสียหน่อย" ชายหนุ่มปฏิเสธยิ้มๆ "แต่มองไปก็เหมือนภาพฝันจริงๆล่ะครับ ดูสวยงามจนไม่น่าเชื่อเลยล่ะ...เหมือนกับ...สรวงสวรรค์"


         "สรวงสวรรค์?" เอนีลเอ่ยทวนช้าๆมีสีหน้าประหลาดใจกับคำพูดของอีกฝ่าย


          "ครับ..กำลังคิดอยู่รึเปล่า ว่าท่าทีของผมไม่เหมาะเสียเลยที่จะพูดเรื่องแบบนี้" ไคลน์โคลงศรีษะพลางถามกลับยิ้มแย้ม "เห็นแบบนี้..ตอนเรียนอยู่ ผมเลือกวิชาเทววิทยาเป็นวิชาเลือกด้วยนะครับ"


         "เอ๋?"..คราวนี้ผู้ฟังดูแปลกใจอย่างจริงจัง


         "ดูแปลกใช่ไหมล่ะครับ ที่ผมจะมาสนใจอะไรแบบนี้" ไคลน์มองดูคนที่มีท่าทีงวยงงแล้วยิ้ม "แต่ผมชอบนะครับ..เป็นวิชาที่พูดถึงเรื่องลึกลับได้โดยไม่รู้สึกว่ามันแปลก"


         "..........." เอนีลพยักหน้าเงียบๆ แต่กำลังคิดถึงเรื่องราวในวันวาน และใคร่ครวญว่าจะบอกอีกฝ่ายดีหรือไม่


       "คุณมีอะไรจะบอกผมรึเปล่า?" คำถามราวกับรู้ใจที่ดังขึ้นนั้นทำให้ความคิดของนายแพทย์หนุ่มชะงัก


       "ครับ?" เอนีลทวนคำถามซ้ำ พลางจ้องมองใบหน้าคนพูด


       "เรื่องเมื่อวาน คุณมีอะไรจะบอกผมรึเปล่าครับ?" เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นมองมาก่อนแล้วด้วยท่าทีจริงจัง แววตาที่มองมานั้นทำให้เอนีลเงียบกริบ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ


       ".....ผม"


      "........" ไคลน์ไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มจ้องมองเงียบๆ สีหน้าแสดงออกชัดว่ากำลังรอฟังอยู่


      "มันอาจจะเป็นเรื่องแปลกๆและอาการประสาทหลอนของตัวเอง..ผมว่าไม่ควรจะให้รบกว------"


     "เรื่องของคุณไม่ใช่เรื่องรบกวน และไม่เคยรบกวนผม" คำตอบที่เอ่ยสวนขึ้นมาทั้งที่ยังพูดไม่จบนั้นทำให้คนฟังนิ่ง เงียบไปนานก่อนจะเม้มปากแน่น เอนีลมีสีหน้าใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจช้าๆ


      "ถ้าอย่างนั้น..ถือว่านี่เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าแปลกในวิชาเทววิทยาก็แล้วกันนะครับ"




ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL ** Lost 09 : เรื่องเล่า ** UP.02/06/57
«ตอบ #26 เมื่อ02-06-2014 16:16:56 »



         เอ่ยพร้อมกับถอนใจเบาๆแล้วยกน้ำชาขึ้นมาจิบ เอนีลเงียบอยู่ครู่หนึ่งเหมือนจะคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมด แน่นอนว่าเขาใคร่ครวญอีกครั้งว่าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คนที่อยู่ข้างๆฟังดีไหม ทว่าความลังเลนั้นก็เกิดเพียงชั่วครู่ก่อนจะจางหายไป หากนี่เป็นเรื่องแปลกประหลาด ไคลน์ก็เป็นคนที่ได้พบเจอเรื่องประหลาดเกี่ยวกับเขามามากมาย และหากนี่เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ..ตัวเขาก็ควรจะระบายมันออกมาเสียบ้างเพื่อ จะได้ไม่คิดมากไปมากกว่านี้


      "ที่ผมไม่อยากเอาเรื่องนิค...ส่วนนึง เพราะผมเชื่อ ว่าคนทำไม่ใช่เขา.." เปรยขึ้นมาเงียบๆพร้อมกับสบตาอีกฝ่าแล้วยิ้มบาง "อาจจะดูโง่นะครับ ที่ไม่เชื่อทั้งที่เขาก็ลงมือทำอยู่ เรื่องนี้ผมรู้..รู้และเห็นอยู่เต็มตา แต่เรื่องที่ผมไม่เชื่อ ไม่ใช่เพราะสัญชาติญาณหรือว่าความเชื่อใจที่มีต่อนิค..แม้ว่ามันจะมีส่วนบ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมดแน่ๆ"


      ".................." ไคลน์ไม่พูดอะไร ชายหนุ่มพยักหน้าเงียบๆ แสดงอาการรับฟัง


     "ตอนที่ผมนั่งอยู่ในห้อง แล้วจู่ๆนิคเข้ามา..." เอนีลประสานมือเข้าหากันช้าๆท่าทีครุ่นคิด "ผมไม่ได้คิดว่าเขาจะทำอะไรผมก็จริง แต่ผมก็รู้สึกแปลกๆ.."


      "นิคเอาแต่เงียบแล้วยืนอยู่ตรงหน้าห้อง พอผมคิดว่ามันประหลาดเกินไปแล้ว ตั้งท่าจะออกไป นิคก็เข้ามาขวาง..และ ใช่ เขาลงมือบีบคอผม"


      ...ไคลน์เอื้อมมือไปบีบมืออีกฝ่ายเงียบๆ แสดงอาการรับฟังและเป็นกำลังใจอยู่ในที


     "แต่ว่า...ผม..ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนั้นเลยนะไคลน์ นิคเขามีตาแดงก่ำ..สีแดง..อย่างที่ไม่ได้เกิดเพราะเหล้าแน่ๆ ดวงตาสีแดงก่ำไปจนแก้วตาและทุกอย่าง ไม่เหลือกระทั่งตาดำเสียด้วยซ้ำ..นั่นมันแค่ตาแดงปกติเหรอ...มันไม่เคยมีอยู่ในตำราแพทย์เสียด้วยซ้ำ..ตอนแรกผมก็นึกว่าตัวเองตาฝาด แต่ต่อให้จ้องมองกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็ยังเป็นเหมือนเดิม.."


      "แล้วยัง..เสียงของเขา...เสียงที่เขาพูดออกมา นั่นไม่ใช่เขาแน่..ไม่ใช่เสียงของนิค..." พูดพลางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนเองต้องการจะสื่อ "..เสียงของนิคไม่ใช่แบบนั้น เสียงที่เขาพูดออกมามัน...แหบ ต่ำ..เย็นยะเยือก..แค่ฟังผมก็รู้สึกขนลุก...มัน....มันเหมือนกับ..."


     "เอนีล..." ไคลน์เอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายเบาๆ เพราะคนตรงหน้ามีท่าทีหวาดกลัวบางอย่างจนเขาไม่รู้ว่าควรจะให้เล่าต่อดีหรือไม่


    "เสียงนั้นมันเหมือนกับที่ผมได้ยินในฝัน...เขาเรียกชื่อ...." เอนีลกลืนน้ำลายลงช้าๆ เขาตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้เมื่อนึกถึงชื่อที่ออกมาจากริมฝีปากของผู้ช่วยเขา ชื่อที่เขาหวาดกลัวเหลือเกิน "เขาเรียกชื่อคนที่อยู่ในฝันนั่น เขาบอกว่าผมต้องหายไป...หายไปจากที่นี่ซะ.."


       "ผมไม่เข้าใจ ผมไม่เคยเล่าเรื่องฝันนี้ให้กับนิค ไม่เคยแม้แต่จะคิด แล้วทำไม..ทำไมนิคถึงรู้ ไมนิคถึงพูดชื่อนั้น เขาเรียกชื่อคนที่อยู่ในฝันของผม คนที่ทำร้ายผม เขาเรียกชื่ออาโลอิสซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วบอกให้ผมหายไป..หายไป..ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ข้างหลังของเขาก็มืดไปหมด ผม...ผม.."


     "พอแล้ว...พอแล้วครับ ไม่ต้องเล่าอะไรแล้ว.." แว่วเสียงสถบอุบในลำคอพร้อมกับอ้อมแขนอบอุ่นที่โอบล้อม เอนีลเพิ่งได้รู้ว่าเขาตัวสั่นสะท้าน สั่นไปทั้งกายยามระลึกไปถึงน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกและความนัยอันเป็นปริศนา มันช่วยไม่ได้จริงๆที่เขาจะกลัว แม้ว่าระยะนี้ความฝันอันเลวร้ายจะไม่ได้กล้ำกรายเข้ามา แต่ทว่าความหวาดกลัวที่ถุกมันหลอกหลอนมาหลายปีก็พันธนาการให้เขารู้สึกหวาดผวาทุกครั้งที่พูดถึง


     ความฝันอันเลวร้าย...ความฝันที่เขาถูกทรมารอย่างไม่จบสิ้น

    ความเจ็บปวดที่เหมือนจริงมากขึ้นทุกที และเรื่องราวที่กลับมาดำเนินซ้ำๆในทุกค่ำคืน


  ....เอนีลไม่รู้เลย ไม่รู้เลยจริงๆว่าตอนนี้เขากำลังเผชิญกับอะไรอยู่


     "ใจเย็นๆนะ คุณไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว.." น้ำเสียงปลอบนุ่มหูพร้อมกับฝ่ามือที่ลูบแผ่นหลังเบาๆนั้นแสนอ่อนโยนเสียจนหัวใจที่เต้นกระหน่ำด้วยความหวาดกลัวค่อยๆสงบ เอนีลสูดหายใจลึก เขาหลับตาลงพลางซบไหล่ของไคลน์เงียบๆครู่ใหญ่ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง


       "ขอบคุณครับ...ขอบคุณ" เอนีลพึมพัมเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่ายเงียบๆกับไหล่หนา นายแพทย์หนุ่มกระพริบตาตั้งสติเงียบๆก่อนจะยิ้มเจื่อนๆเมื่อนึกได้ว่าตัวเองนั้นช่างทำตัวอ่อนแอน่าอายเสียเหลือเกิน "ขอโทาด้วยนะครับ เล่าเรื่องบ้าๆบอๆแบบนี้ไป..ทำให้คุณคิดมากเสียเปล่าๆ"


      "คุณต่างหากล่ะครับที่คิดมาก ผมไม่เป็นไรเลย..." ไคลน์ลูบผมอีกคนเบาๆพลางคลี่ยิ้มอ่อนโยน แม้ตัวเขาจะไม่เข้าใจเรื่องราวที่อีกฝ่ายประสบมากนัก แต่ทว่าก็ยังยิ้มด้วยความอ่อนโยนและห่วงใย "อย่าคิดมากไปเลย..ทำใจให้สบายๆนะ..เชื่อผม"


      "คุณคิดว่าผมบ้ารึเปล่า...เรื่องนี้มันเป็นเพราะผมประสาทหลอน เพราะใกล้ตายเลยจับเอาความฝันบ้าๆบอๆมารวมกันจนเป็นแบบนี้ใช่ไหม?" เอนีลเอ่ยถามพลางเยียดยิ้ม สีหน้าทุกข์ระทม


     "ไม่เลย...ผมไม่เคยคิดว่าคุณเป็นแบบนั้น"


    "แต่ผม....!..." ชั่วครู่หนึ่งนายแพทย์หนุ่มอ้าปากจะตวาดคนตรงหน้าด้วยความขุ่นเคือง ทว่าก็เงียบ เอนีลกัดริมฝีปากตน ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจที่เผลอแสดงท่าทีหงุดหงิดฉุนเฉียวออกมาทั้งที่อีกฝ่ายมีแก่ใจห่วงใยตนเองเสียขนาดนี้ "..ขอโทษด้วย ผม.."


     "ไม่เป็นไร คุณคิดมาก ผมเข้าใจดี" ไคลน์ยิ้มออกมาบางๆอย่างอาดูรพลางลูบเส้นผมสีทองของอีกฝ่ายอย่างเบามือ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายครุ่นคิด "...ขอโทาด้วย ที่ผมบังคับคุณเล่าเรื่องนี้ รวมทั้งเมื่อวาน ที่ผมพูดจาไม่ดีใส่คุณอีก "


     "ไม่หรอก...ผมก็เป็นเสียอย่างนี้ ไม่ยอมเล่าเอง คุณจะหงุดหงิดก็สมควรแล้ว ...ไม่สิ ตอนนี้คุณได้รู้ คุณก็คงคิดมากยิ่งกว่าเดิม.." เอนีลยิ้มออกมาเศร้าๆพลางถอนใจ "..เพราะกลับกลายเป็นว่าผมไม่ปกติเอามากๆเสียแล้ว"


      "คุณนี่ชอบมองโลกในแง่ร้ายเสียจริง..แบบนี้ต้องปรับปรุงตัวนะครับ คุณหมอ" น้ำเสียงหยอกล้อทีเล่นทีจริงของอีกฝ่ายดังขึ้นพร้อมกับหน้าผากถูกดีดเบาๆ ความเจ็บแปลบเล็กๆที่แทรกผ่านเข้ามาพร้อมความห่วงใยทำให้ผู้ถูกประทิษร้ายอดจะอมยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะชะงักไปอีกคราเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างเย็นๆที่กระทบใบหน้า


      "อ้าว..ฝนลงเม็ดเสียแล้ว อากาศช่วงนี้ไว้ใจไม่ได้เสียจริง" ไคลน์เงยหน้ามองท้องฟ้าที่แม้จะยังสดใสทว่ากลับโปรยเม็ดฝนลงมาอย่างไม่บอกกล่าว "รีบหลบฝนกันก่อนเถอะครับ ก่อนคุณจะไม่สบาย"


     เอนีลพยักหน้ารับ พลางช่วยเก็บพรมและข้าวของที่นำมาด้วยกันอย่างรวดเร็ว และเมื่อตระกร้าใส่ของกินกับพรมผืนเล้กถูกม้วนเก็บใส่ไว้ด้านหลังรถเรียบร้อย ฝนเม็ดโตก็โปรยปรายลงมาอย่างรวดเร็ว


       "ยังดีนะครับที่เก็บทัน" เข้ามานั่งประจำที่นั่งข้างคนขับ เอนีลเอื้อมมือปัดๆเม็ดฝนที่พร่างพรมลงมาบนศรีาะตนเอง เช่นเดียวกับคนข้างกาย นายแพทย์หนุ่มมองออกไปด้านนอกที่เริ่มมืดครึ้มและฝนตกแรงขึ้นเรื่อยๆ ครู่หนึ่งเขาก็อดจะยิ้มขึ้นมาไม่ได้


        "แปปเดียวแท้ๆ..แบบนี้นัดเที่ยววันหยุดของเราพังหมดเลย" คนข้างตัวเขาเอ่ยปากบ่นอุบ นั่นทำให้ผู้ฟังยิ้มขันๆ เอนีลมองตระกร้าหวายบนตักก่อนจะเอื้อมือไปค้นกุกกัก เขารินชาให้อีกฝ่ายและตัวเอง ขณะที่ภายนอก เม็ดฝนยังคงพร่างพรามไม่ขาดสาย ซ้ำท้องฟ้ายังร้องครืนคราง


       "ไม่เสียเปล่าหรอกครับ ผมสนุกมาก...น้ำชาไหม?" ยื่นถ้วยชาให้อีกฝ่าย จิบชาร้อนๆพลางจ้องมองสายฝนโปรยปรายเบื้องหน้า ครู่หนึ่งที่เขาต้องยิ้มกับความคิดที่ว่า มันช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขและอบอุ่นเสียจริงๆ


       "...มาปิกกันในรถก็แปลกใหม่ดีนะ" ถ้อยคำที่เอยขึ้นราวกับรู้ใจนั้นทำให้เอนีลหัวเราะ นายแพทย์หนุ่มหันไปสบมองแววตาสีน้ำตาลแสนอบอุ่นและรอยยิ้มของอีกฝ่าย อดจะคิดอย่างขบขันไม่ได้ว่ามันสร้างความอบอุ่นมากเสียยิ่งกว่าน้ำชาในมือเสียด้วยซ้ำ


       เป็นเวลาครู่ใหญ่ที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมานอกจากนั่งดื่มน้ำชาและจ้องมองกันเงียบๆ เบื้องนอกยังคงมีสายฝนโปรยปรายและฟ้าร้องไม่หยุด ทะเลสาบที่พวกเขานั่งเชยชมเมื่อครู่บัดนี้มีแต่สายฝนพร่างพรมลงไปจนมองเห็นสิ่งใดไม่ชัด เจ้าหงส์ขาวตัวโตโผบินออกไปแล้ว ส่วนโบสถ์สีขาวของอีกฝั่งน้ำก็ลั่นระฆังบอกเวลาอย่างแผ่วเบา


      "...เราไปพักหลบฝนที่นั่นกันดีไหมครับ" ข้อเสนอที่ดังขึ้นทำให้เอนีลพยักหน้า ชายหนุ่มเก็บเอาถ้วยชาจากมืออีกฝ่ายและของตนลงไปไว้ในตระกร้าบนตัก ขณะที่ไคลน์บิดกุญแจสตาร์ทรถ ขณะที่อุ่นเครื่องให้เครื่องยนต์ร้อนขึ้น น้ำเสียงของคนขับก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา


     "เอนีล..."


     "ครับ?"


     "เรื่องที่คุณพูด..ผมเชื่อคุณนะ"


         ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ฟังหันไปมองคนเอ่ย เอนีลจ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของไคลน์ สไตร์คเซอร์เงียบๆ ขณะที่อีกฝ่ายจ้องมองไปด้านหน้าแล้วเรุ่มหมุนพวงมาลัยถอยรถเข้าสู่ถนนเล็กๆที่จะนำพาไปยังโบสถ์สีขาวของอีกฟากฝั่งทะเลสาบ ครู่ใหญ่กว่านายแพทย์หนุ่มจะละสายตาออกมา ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองภาพอันพร่ามัวของเม็ดฝนและถนนลูกรังเบื้องหน้า ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเงียบงันแล้วเอนหลังพิงเบาะรถอย่างผ่อนคลาย


...แค่มีคนๆเดียวที่เชื่อเรื่องราวทั้งหมด ก็เพียงพอแล้ว...



++++++++++++++++++++


ช่วงนี้เอาแต่ฝนค่ะ เพราะร้อนมากเลยโหยหาฝน 555


ส่วนตอนนี้ //ปัดๆมด สองคนนี้มันสวีตกันจริ๊งงง หมั่นไส้เล็กๆค่ะ  :laugh:


แล้วตอนนี้เราไปแต่งงานกันที่โบสถ์ /ไม่ใช่ ตอนหน้าเราไปเที่ยวโบสถ์กันต่อเน้อออ

ปล. ประกาศเกี่ยวกับนิยายค่าา http://my.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=715758&chapter=21


ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: LOST ANGEL ** Lost 09 : เรื่องเล่า ** UP.02/06/57
«ตอบ #27 เมื่อ02-06-2014 18:31:06 »

เกาะอยู่เบาะหลังแอบดูสองหนุ่มจู๋จี๋กัน

 :impress2:

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8


Lost 10 เทวดาและปีศาจ


       รถยนต์เเล่นฝ่าฝนไปตามทางลูกรังขนาดเล็ก ถนนที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้พาหนะขนาดใหญ่สัญจรนั้นทั้งแคบและเต็มไปด้วยกรวดหินขนาดใหญ่ เส้นทางขรุขระทำให้ผู้ที่โดยสารภายในรถถึงกับเคลงเคลงกระดอนไปมาตามจังหวะ กระนั้นคนที่อยู่ภายในก็เหมือนจะอารมณ์ดีนัก ชายหนุ่มทั้งสองสนทนากันไปพลางและช่วยกันบ่นพร่ำเรื่องสภาพอากาศไปพลางอย่างถูกคอ


      เอนีลจ้องมองทางเบื้องหน้า ใบหน้าของนายแพทย์หนุ่มเปื้อนยิ้ม ริมฝีปากแย้มออกเป็นยิ้มขำๆและหลุดเสียงหัวเราะทุกครั้งที่คนข้างกายพูดอะไรชวนขบขันออกมา ส่วนไคลน์ สไตร์คเซอร์ ก็บังคับพวงมาลัยไปและเล่าเรื่องโจ๊กในค่ายทหารออกมาอย่างคล่องปาก สภาพอากาศเบื้องนอกยังคงมืดครึ้ม สายฝนโปรยปรายอย่างหนักหน่วงและสร้างบรรยากาศทึบทึมราวกับอยู่ในม่านหมอก นายแพทย์หนุ่มจ้องมองเส้นทางเบื้องหน้า ขณะที่กำลังคิดว่าเมื่อไหร่จะไปถึงโบสถ์หลังนั้น ภาพอาคารสีขาวที่มีเครื่องหมายกางเขนก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า


     รถยนต์คันโตจอดลงที่หน้าโบสถ์ ไคลน์ยังคงไม่ดับเครื่อง นายทหารหนุ่มชะเง้อมองดูโบสถ์หลังเล็กที่ประตูถูกปิดไว้อย่างใคร่ครวญ ขณะที่เอนีลก็พยายามกวาดตาหาผู้คนหรือผู้ที่เป็นเจ้าของสถานที่ ทั้งสองเงียบอยู่นานก่อนจะมองเห็นร่างในชุดนักบวชที่ออกจากด้านหลังของโบสถ์แล้วเปิดประตูให้เป็นการเชื้อเชิญ


     มือคว้าตระกร้าหวายพลางเปิดประตูรถยนต์แล้ววิ่งลิ่วเข้าไปยังภายในโบสถ์  แม้จะพยายามวิ่งแต่กระนั้นสายฝนเบื้องบนก็สาดเทเข้ามาจนได้ เอนีลเอื้อมมือปัดละอองฝนให้พ้นจากศรีษะ พลางรู้สึกถึงมือที่แสนเคยคุ้นของใครอีกหนึ่งคนเอื้อมมาหา นายแพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้นมองสบตาคู่นั้นพลางอมยิ้ม


    เสียงงับบานประตูดังเข้าหูทำให้ชายหนุ่มชะงัก เอนีลสบตากับอีกฝ่ายครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองผู้ที่เอื้อเฟื้อให้ที่หลบฝนแก่พวกเขา สาธุคุณวัยชราในชุดบาทหลวงสีดำประดับด้วยสัญลักษณ์ไม้กางเขนและมีกางเขนเงินห้อยอยู่ตรงลำคอ ใบหน้าอิ่มเอบด้วยความกรุณาและแววตาที่เต็มไปด้วยความอาทรนั้นทำให้ผู้มองยิ้มตามได้ไม่ยาก


     "....อรุณสวัสดิ์ครับสาธุคุณ..ขออภัยด้วยที่พวกผมมารบกวน" เอนีลยิ้มบางพลางเอ่ยปากขออภัยชายชราเบื้องหน้า ผู้ถูกทักทายมีสีหน้ายิ้มแย้มพลางส่ายหัว


     "ไม่เป็นไรหรอก..ฝนกำลังตกหนัก พ่อดีใจที่โบสถ์แห่งนี้ได้เป็นที่พักพิงให้กับพวกลูกๆทั้งสอง" ฝ่ามือถือยื่นมาจับเป็นการทายทัก เอนีลยื่นมือไปหาอีกฝ่ายพลางบีบเบาๆ เช่นเดียวกับไคลน์ที่เข้าไปทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


     "สายฝนคงตกอีกนาน นั่งพักกันก่อนจะเป็นไรไป" บางหลวงวัยชราเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนพร้อมกับเดินเข้าไปจุดเทียนเพิ่มตรงหน้าแท่นบูชา เอนีลเอ่ยปากขอบคุณแล้วเดินเข้าไปนั่งตรงม้านั่งสำหรับผู้มาเยือนด้านหน้า ชายหนุ่มวางตระกร้าหวายในมือลงบนเก้าอี้ไม้ นัยน์ตาสีฟ้าสดกวาดมองรอบๆด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น


      แม้ที่แห่งนี้จะเป็นเพียงโบสถ์เล็กๆแต่ภายในกลับตกแต่งได้อย่างงดงามและเรียบง่าย  ด้านหน้าของพวกเขาคือแท่นพิธีสำหรับกล่าวคำสอน ถัดไปอีกไม่มากคือรูปปั้นของพระเยซูคริสต์ยามทรงถูกตรึงกางเขน เบื้องหลังคือกระจกหลากสีสันถูกนำมาประดับเป็นรูปของนักบุญและพระเเม่มารีซึ่งกำลังโอบอุ้มพระบุตรด้วยสีหน้าอ่อนโยน  แสงสว่างที่ส่องเข้ามานั้นมีไม่มากนักเนื่องจากสภาพอากาศภายนอก แต่หากเป็นวันที่อากาศสดใส เอนีลเชื่อว่าแสงสีทองของพระอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาจะต้องอาบไล้รูปปั้นของพระเยซูคริสต์อย่างอ่อนโยนเป็นแน่แท้


      "ที่นี่สวยมากเลยครับ" เอ่ยปากชมจากใจ ขณะที่บาทหลวงผู้จุดเทียนเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังยืนสงบอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นพลางเอ่ยสวดภาวนาเบาๆ


     "ขอบคุณลูกมากสำหรับคำชม ...แต่น่าเสียดาย นานๆทีจะมีผู้แวะชมมาเสียครั้ง" บาทหลวงชราเอ่ยพลางนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล แววตาอ่อนโยนที่ทอดมองมาดูอบอุ่นยิ่งนัก


     "ไม่ค่อยมีคนมาหรือครับ?" ไคลน์เอ่ยถามบ้าง สีหน้าของชายหนุ่มคล้ายจะฉงน ว่าเหตุใดผู้คนถึงลืมสถานที่อันสวยงามและเงียบสงบเช่นนี้ไปได้


     "...ยามนี้...ศาสนาไม่จำเป็นเท่าศึกสงคราม.." เอ่ยแล้วบาทหลวงชราก็ถอนหายใจเพียงเเผ่วเบา


     "...น่าเสียดายนะครับ" ได้ฟังแล้วเอนีลทำได้เพียงยิ้มจาง สถานการณ์ในเวลานี้ใกล้ถึงคราวแตกหักเข้าไปทุกที สงครามใหญ่กำลังจะเริ่มแล้ว ฮิตเลอร์เถลิงอำนาจ ประกาศจะนำดินแดนเยอรมันที่ถูกแบ่งสรรปันส่วนไปในยามสงครามโลกครั้งที่หนึ่งคืนกลับมาแล้วตั้งเป็นจักรวรรดิไรซ์ที่สาม ฝรั่งเศสที่ครอบครองแคว้นซูเดเตแลนด์อยู่ก็จำต้องถอนกำลัง ทว่าสถานการณ์ยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นซ้ำร้ายเหมือนเวลาแห่งสงครามใหญ่จะใกล้เข้ามาทุกที


     "...พระผู้เป็นเจ้าโปรดอวยพร" เสียงพึมพัมดังขึ้นแผ่วเบาพร้อมกับริมฝีปากที่ทาบบนไม้กางเขน นายแพทย์หนุ่มจ้องมองภาพนั้นเงียบๆ ต่อให้รู้สึกโศกเศร้าแต่ตัวเขาก็ทำอะไรไม่ได้


      "...ดื่มชาไหมครับหลวงพ่อ" เสียงของไคลน์ดังขึ้นพร้อมกับถ้วยชาที่อยู่ในตระกร้าหวายถูกนำมาจัดเรียงไว้เมื่อใดก็ไม่ทราบ "อากาศเย็นๆอย่างนี้ต้องดื่มชาอุ่นๆ..พวกผมนำติดมือมาด้วยพอดี ถ้าไม่รังเกียจเชิญเลยครับ"


    เอ่ยแล้วชายหนุ่มก็นำชาไปยื่นให้กับบาทหลวงชราเบื้องหน้าด้วยกริยาอ่อนโยน เอนีลจ้องมองภาพเบื้องหน้าเงียบๆก่อนจะเอื้อมมือรับน้ำชาที่ถูกส่งมาให้เช่นเดียวกัน น้ำชาอุ่นๆ ล่วงคอเข้ามาทำให้รู้สึกดีไม่น้อย กลิ่นหอมของชาจัสมินทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ไม่ใช่เพียงแค่เขาที่รู้สึกเช่นนั้น เอนีลมองเห้นรอยยิ้มของบาทหลวงชราเบื้องหน้าปรากฏขึ้นเงียบๆ


      "ขอบคุณมากสำหรับน้ำชา พ่อนี่ช่างแย่เสียจริง ต้องให้แขกมาคอยบริการ...ซ่้ำยังเอาแต่พูดเรื่องหดหู่เสียได้"


       "พูดอะไรอย่างนั้นล่ะครับ หลวงพ่ออุตส่าห์เอื้อเฟื้อที่หลบฝนกับพวกเรา แค่น้ำชาตอบแทนยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ" เอนีลรีบเอ่ยตอบเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมา ทำให้เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆในลำคอของบาทหลวงผู้ได้ฟัง


       "เป็นหน้าที่ของพ่ออยู่แล้ว..ว่าแต่ลูกทั้งสองมาจากไหนรึ...แถวนี้ไม่ค่อยมีคน นานๆทีถึงจะมีผู้แวะเวียนมา"


      "พวกผมเจอทะเลสาบสวยๆเลยแวะมาพักผ่อนกัน เห็นโบสถ์สีขาวสะดุดตาก็เลยแวะเข้ามาหลบฝนน่ะครับ" ไคลน์ตอบพลางยิ้มบางๆ "ที่นี่ทั้งสงบและสวยงาม น่าเสียดายจริงที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก"


      "ผมเองก็ไม่รู้เลย ว่าจะมีที่แบบนี้อยู่ชนเมือง นึกว่าต้องไปไกลถึงชนบทเสียอีก" เอนีลหัวเราะเบาๆ


      "โบสถ์นี้กับที่ดินแถวๆนี้ถูกเศรษฐีกว้านซื้อไว้ตั้งนานแล้วน่ะ จึงไม่มีใครเข้ามาตั้งรกรากอยู่..เห็นว่าเป็นมรดกตกทอดกันมานานหลายร้อยปี" บาทหลวงชราเอ่ยยิ้มๆ "พ่อเองก็ได้รับความกรุณาจากเจ้าของที่ดิน ถึงได้มาประจำอยู่ในโบสถ์เล็กๆที่เงียบสงบแห่งนี้"


      "แสดงว่านี่คือโบสถ์ประจำตระกูลงั้นหรือครับ?" เอนีลเอ่ยถาม


      "ที่ดินเป็นที่มีเจ้าของก็จริง แต่โบสถ์แห่งนี้รับใช้ทุกคนที่แวะเวียนเข้ามา" รอยยิ้มในดวงตาสีเทาคู่นั้นยังอ่อนโยนอยู่เสมอ "ด้านข้างนี่มีสุสานประจำตระกูลอยู่ แต่ไม่ได้ใช้มานานแล้วล่ะจะเรียนสุสานร้างก็ว่าได้"


     เอนีลฟังแล้วพยักหน้ารับ แม้จะนึกฉงนอยู่ไม่น้อยก็เถิด ดูท่าว่าคนเป็นเจ้าของจะดูแลแต่ก็เหมือนไม่ใส่ใจดูแลเสียชอบกล หากมีที่ดินกว้างใหญ่ขนาดนี้ จะนำไปทำประโยชน์อื่นๆก็ย่อมได้ แต่กลับปล่อยทิ้งร้างไว้แบบนี้ ชะรอยว่าจะเป็นวิสัยแปลกๆของเศรษฐีเก่ากระมัง


     "...ฟ้าเริ่มสางแล้ว พ่อของตัวออกไปดูแปลงดอกไม้ข้างนอกก่อน ฝนตกแรงขนาดนี้กลัวว่าจะช้ำหนัก..ลูกทั้งสองคนเชิญพักผ่อนตามสบาย" บาทหลวงชรามองไปยังเบื้องนอกที่ท้องฟ้าเริ่มสดใสและมีแสงแดดทอเข้ามาด้านในรางๆ


    "ขอบคุณมากครับ" เอนีลรีบตอบรับทันทีด้วยรอยยิ้ม


   "พ่อชื่อฌอง..หากมีเรื่องอยากปรึกษาหรือทุกข์ใจใดๆก็มาหาได้ทุกเมื่อ..ขอบคุณมากสำหรับน้ำชา" ชายชรายิ้มอ่อนโยนพลางเอ่ยปากขอตัวแล้วเดินไปเปิดประตูด้านหน้าโบสถ์ เอนีลมองตามแผ่นหลังงองุ้มนั้น เป็นไปตามที่คาดว่าสายฝนนั้นหยุดลงแล้ว เหลือเพียงเม็ดฝนที่ค้างจากหลังคาไหลรินลงมาเงียบๆ รวมทั้งแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างเจิดจ้าราวกับไม่น่าเชื่อว่าเมื่อครู่เพิ่งมีมรสุมพัดผ่าน


     "...ฝนหยุดแล้วจริงๆเสียด้วย อากาศช่วงนี้แปรปรวนจังนะครับ" เอนีลเก็บถ้วยชาใส่ตระกร้าหวายพลางเอ่ยปากชวนคุย


     ความเงียบที่เป็นคำตอบกลับมาทำให้ผู้เอ่ยเลิกคิ้วฉงน เอนีลหันไปจ้องมองผุ้ร่วมเดินทาง เสี้ยวหน้าคมคายหล่อเหลานั้นจ้องมองไปยังภาพของรูปปั้นพระเยซูคริสต์ที่ถูกแสงสว่างจากหน้าต่างกระกระจกสีเบื้องหลังส่องลงมา อาบไล้ให้ดูอ่อนโยนและงดงามยิ้มนัก นายแพทย์หนุ่มจ้องมองใบหน้าที่เหม่อมองไปราวกับตกภวังค์เงียบๆ ตัดสินใจไม่เอ่ยถามต่อ


      "...เมื่อกี้...." เงียบไปครู่ใหญ่ผู้ถูกจ้องจึงจะรู้สึกตัว ไคลน์หันกลับมาสบดวงตาสีฟ้าสดใส แววตาอ่อนโยนและรอยยิ้มบางในดวงหน้าหล่อเหลางดงามนั้นทำให้ผู้ถูกมองชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะระบายรอยยิ้มบางพลางเอื้อมมือไปลูบไล้เส้นผมสีทองสุกสว่างนั้นเบาๆ


     สะดุ้งน้อยๆยามปลายนิ้วนั้นแตะลงบนปลายผม ทว่านายแพทย์หนุ่มก็ไม่ได้ขัดขืน เอนีลจ้องสบตาคู่นั้นเงียบๆ แววตาเกลื่อนไปด้วยความเคอะเขินเบาบางก่อนจะค่อยจางลงไป แม้ว่าเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำจะไม่ได้ลดลงเลยก็ตาม


      "...อา...อากาศดี" หลังจากจ้องมองกันเงียบๆครู่หนึ่ง ปลายนิ้วสีขาวนั้นก็ผละออกแล้วเอ่ยปากขึ้นมาในที่สุด เอนีลกระพริบตาช้าๆ ความรู้สึกเสียดายแล่นขึ้นมาวูบหนึ่งจนรีบปัดทิ้งแทบไม่ทัน เขายิ้มบางๆ สบมองดวงตาสีเข้มคู่นั้นแล้วพยักหน้ารับ


      "..นั่นสิครับ อากาศดี" พยักหน้าพลางลูบเส้นผมตัวเองเบาๆก่อนจะมองเลยไปยังรูปปั้นเบื้องหน้าที่คนข้างตัวเฝ้าจ้องมองมันเมื่อครู่ "...สวยมากนะครับ สมแล้วที่คุณจะจ้องอยู่แบบนั้น"


     "...ที่จริง..." เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่ไคลน์จะหัวเราะออกมาเบาๆ "..มันชวนให้ผมคิดถึงบางสิ่ง"


     "เอ๋?" คนฟังเลิกคิ้ว


     "เมื่อกี้คุณมีเรื่องเล่ามาเล่าให้ผมฟัง ตอนนี้สนใจฟังเรื่องเล่าของผมบ้างไหมครับ คุณหมอ" ร่างสูงใหญ่ของนายทหารหนุ่มลุกขึ้นพลางขยิบตาให้เขาราวกับซุกซน ท่าทีนั้นทำให้เอนีลเบิกตาขึ้นราวกับตกใจเล็กๆแล้วยิ้มรับ 


      "เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิชาเทววิทยารึเปล่าครับ?"


      "ใช่แล้ว" ไคลน์วางถ้วยชาที่ตนถือติดมือมาลงไปในตระกร้าหวาย "อากาศดีออกอย่างนี้ เราไปเดินชมรอบๆแล้วฟังเรื่องเล่าของผมไปด้วย ...ดีไหมครับ"


      "ตกลงครับ" เอนีลตอบรับทันทีพร้อมกับลุกขึ้นยืนเคียงข้างชายหนุ่ม ทั้งสองหยิบตระกร้าหวายติดมือมาด้วยแล้วนำไปวางไว้ด้านหลังรถ ก่อนจะเอ่ยปากขอเที่ยวรอบๆนี้กับสาธุคุณฌองซึ่งก็อนุญาติแต่โดยดี  ดวงอาทิตย์ที่เริ่มสาดแสงร้อนๆมาให้ถูกบังไว้หลังเงาเมฆสีขาว ท้องทุ่งที่มีหญ้าสีเขียวสดและดอกไม้เล็กๆงอกขึ้นเต็มไปหมดนั้นดูเหมือนพรมผืนโตน่ากลิ้งเล่น ขณะที่ร่างของชายหนุ่มทั้งสองเดินไต่ขึ้นเนินอย่างเชื่องช้า ใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้มบาง...


++++++++++++++++++++


ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8



       "..เรื่องเล่าของผม ออกจะแปลกสักหน่อยนะ" หลังจากเดินออกมาสักพักจนคาดว่าพ้นรัศมีการได้ยินของบุคคลภายนอก ไคลน์จึงเริ่มเอ่ยปากเล่า "เป็นเรื่องที่ไม่ว่าผมจะเอาไปเล่าให้ใครฟังก้ไม่ค่อยมีคนเชื่อด้วยล่ะ"


         "..ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?" เอนีลเลิกคิ้ว นึกฉงนว่าคนอย่างไคลน์มีเรื่องที่เล่าไม่ได้และไม่มีใครคิดจะเชื่อถือเหมือนเขาด้วยหรือ


         ชายหนุ่มพยักหน้า "มันคงจะ...เป็นเรื่องที่ขัดกับสามัญสำนึกของคนส่วนใหย่กระมังครับ เลยไม่ค่อยมีคนเชื่อถือ"


        "..หืม...จะบอกว่ามันเป็นผลมาจากวิชาเทววิทยา เลยทำให้การวิเคราะห์ดูแปลกไปรึเปล่าครับ?"


        "อาจจะใช่นะ" ไคลน์ยิ้มขันพลางยกมือเสยเส้นผมสีน้ำตาลของตนเงียบๆ "...เป็นทั้งแพทย์ เป็นทั้งทหาร...แถมยังร่ำเรียนวิชาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยอย่างเทววิทยา ความคิดความอ่านของผมคงแปลกพิลึกกว่าคนทั่วไปกระมัง"


        "อย่าคุณเรียกว่าแปลก แล้วผมจะเรียกว่าอะไรล่ะ" เอนีลโคลงศรีษะ "น่าจะเข้าข่ายคนบ้าได้เลยนะครับ"


        "คุณไม่ได้บ้า.เชื่อผมซิ" ฝ่ามือใหญ่วางลงบนเส้นผมของอีกฝ่ายแล้วลูบเบาๆ "มาเข้าเรื่องกันดีกว่า เรื่องที่ผมเล่าไม่ค่อยมีคนเชื่อ ..ที่ผมว่ามันขัดกับสำนึกของคนส่วนใหย่ อาจจะเป็นเพราะมุมมองที่ผู้คนมีต่อมันก็เป็นได้"


        "......" เอนีลพยักหน้า รอรับฟัง


        "ในสายตาของคุณ..ไม่สิ..ส่วนใหญ่แล้ว สีดำจะให้ความรู้สึกอย่างไร..?"


        คำถามแปลกๆนั้นทำให้ผู้ฟังเลิกคิ้วฉงน แต่ก้ยังเอ่ยปากตอบ "ดูลึกลับ...อันตราย..และเป็นสื่อแสดงถึงความชั่วร้ายกระมังครับ"


       "..ส่วนสีขาว ก็แสดงถึงความสะอาด บริสุทธิ์ และสดใสใช่ไหมล่ะครับ" ไคลน์ยิ้ม "สีทั้งสองสีเป็นเหมือนด้านขั้วตรงข้าม ขาวกับดำ..ตัวแทนของความดีและความเลวร้าย สิ่งนี้จะเป็นสื่อที่เราสามารถพบเห็นได้เสมอ..ทั้งในตำนาน หรือในเรื่องราวของศาสนา สีดำที่ปรากฏตัวขึ้นมา ก็ยังคงเป็นนัยยะแห่งความชั่วร้ายเช่นกัน"


         นายแพทย์หนุ่มพยักหน้ารับเงียบๆ


        "...ความดีคือสีขาว ความชั่วร้ายคือสีดำ..เทวดาที่ครอบครองปีกสีขาวบริสุทธิ์ กับปีศาจที่มีปีกสีดำสนิท นรก..และสวรรค์" ทั้งสองก้าวขึ้นมาบนเนินพลางทอดสายตาไปรอบๆ "นี่เป็นสิ่งที่คนทั่วไปรับรู้และเข้าใจ...แต่ทว่า พอลองมองลึกลงไป คุณก็จะพบว่าทั้งสองล้วนมีจุดกำเนิดเดียวกัน"


       "หากเป็นในมุมมองของจิตวิทยา..จุดกำเนิดที่ว่านั่นอาจจะมีจากมนุษย์ที่มีทั้งความดีงามและความชั่วร้าย ใช่หรือไม่ครับ"


       "ถูกต้อง" ไคลน์ยิ้มรับ "แต่หากเป็นมุมมองของศาสนาหรือวิชาเทววิทยา ...ปีศาจและเทวดา เกิดขึ้นมาแต่พระเจ้า..ตามตำนานที่เล่าขานกันมา..ว่ากันว่าเเรกเริ่มเดิมที ปีศาจนั้นคือเหล่าสมุนของอัครสาวกอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า..ลูซิเฟอร์..ผู้ซึ่งริษยามนุษย์...สิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นและทรงรักใคร่เหลือเกิน ทั้งที่มนุษย์นั้นชั่วร้าย เลวทราม เขาจึงได้ปลอมตัวเป็นงูเพื่อหลอกล่อให้อีฟทานผลไม้ต้องห้ามในสวนของพระเจ้า จนมนุษย์ถูกขับไล่ลงมายังโลก"


      ตำนานที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและเรื่องเล่าต้นกำเนิดของมนุษย์ถูกเอ่ยมาจากชายหนุ่มข้างกาย เอนีลยืนฟังเงียบๆ พลางเงยหน้ารับสายลมเย็นอันแสนสดชื่นและหอบไอฝนเข้ามาหา


      "ลูซิเฟอร์ก่อกบฏต่อพระเจ้าและถูกขับไล่ลงไปยังนรก เขาถูกพรากปีกสีขาวอันแสนงดงามไป และหลงเหลือเพียงปีกสีดำอันเป็นเครื่องหมายของความชั่วร้าย...นี่เป็นสิ่งที่พวกเรารู้ " ไคลน์เอยช้าๆแววตาใคร่ครวญ "...แต่สิ่งที่ผมจะพูด..คือ...ถ้าหากว่า..แท้จริงแล้วสีดำ ไม่ใช่เครื่องหมายของความชั่วร้ายล่ะ...ถ้าหากมันเป็นเพียงอีกหนึ่งหน้าที่ๆต้องกระทำเล่า"


      "หน้าที่?" เอนีลเลิกคิ้ว


     "...ว่ากันว่า.." ไคลน์สบตาสีฟ้าที่ดูฉงนนั้นแล้วเอ่ยปากเล่าเรื่องราวต่อ " เทวดาและปีศาจกำเนิดมาจากพระเจ้าเช่นเดียวกัน เทวดา คือผู้ที่มีหน้าที่รับวิญญาณของมนุษย์ซึ่งทำความดีไปเสวยสุขอยู่ในสรวงสวรรค์ และปีศาจ มีหน้าที่รับเอาวิญญาณอันชั่วร้ายของมนุษย์ไปชดใช้กรรมในนรก...เทวดาไม่ใช่สัญลักษณ์ของการทำความดี ปีศาจไม่ใช่สัญลักษณ์ของความชั่วร้าย พวกเขาเพียงทำหน้าที่ซึ่งแตกต่างกันตามที่ตนเองเลือกเท่านั้น"


       "ในสีขาวก็ย่อมมีทั้งความดีงามและชั่วร้าย เช่นเดียวกับในสีดำ ที่ยังมีความดี..และความเลวเช่นเดียวกัน แต่กระนั้น ผู้คนก็เลือกจะเชื่อว่าสีขาวคือความดี และสีดำคือความชั่วร้าย เพราะสิ่งที่ตนเห็นและเชื่อมาโดยตลอด"


     "แล้วคุณล่ะครับ..เชื่อแบบไหน?"


     คำถามที่เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับดวงตาที่จ้องกลับมาเงียบๆนั้นทำให้เอนีลชะงัก ดวงตาสีฟ้าสดจ้องมองสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ยังคงมองมาอย่างอ่อนโยนเช่นเดียวกันทว่าก็แฝงด้วยความจริงจัง ชายหนุ่มคิดตามทีอีกฝ่ายพูดเงียบๆ เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า


    "ไม่รู้สิครับ"


    "หืม?"


    "หากนี่เป็นบททดสอบทางจิตวิทยา มันก็เหมือนคำกล่าวโดยอ้อมๆว่าจงอย่ามองคนที่ภายนอก สิ่งที่เห้นอาจไม่ใช่อย่างที่เป็น..และทุกสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอ" นายแพทย์หนุ่มหมุนตัวเดินไปอีกด้านเมื่อเห็นรั้วเหล็กสีดำแปลกตา "แต่หากมองในมุมของตำนาน เรื่องราวในวิชาเทววิทยาที่คุณว่า..ผมก็ไม่อาจจะตอบอะไรได้ อาจเป็นเพราะผมยึดติดว่าความดีคือสีขาว ความชั่วร้ายคือสีดำก็คงใช่..แต่เหนือกว่านั้น คือความไม่แน่ใจ เพราะผมคงไม่อาจตัดสินใครด้วยสีสันที่เขาสวมใส่ หรือเรื่องราวที่เขาเป็น"


    "นั่นสินะ" ไคลน์หัวเราะเบาๆ พลางมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายเงียบ


  "แล้วคุณล่ะครับ?" คำถามนั้นทำให้ผู้ถูกถามเลิกคิ้วฉงน


   "คุณเชื่อแบบไหน..อย่างไหน ระหว่างสีขาวคือสีขาว สีดำคือสีดำ กับสีขาวมีสีดำ และในสีดำก็มีสีขาว"


   "ผม...." ไคลน์หรี่ตาลงน้อยๆเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม


   "ผมไม่อาจจะเชื่อเรื่องสีดำหรือสีขาวพอๆกับคุณ แต่ก็มีอย่างหนึ่งที่ตัวเองแน่ใจ....นั่นคือ...จะอย่างไรสีดำของปีศาจ ก็คือสิ่งที่น่ารังเกียจอยู่ดี"


   "น่ารังเกียจ..." เอนีลนิ่งไปชั่วครู่ วูบหนึ่งหัวใจหดเกร็งอย่างน่าประหลาดเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


   "...ไม่ว่าในสีดำจะมีสีขาวหรือไม่...จะอย่างไรปีศาจก็คือปีศาจ" แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง ดวงตาที่เคยอ่อนโยนกระด้างแข็งเสียจนผู้มองนิ่งเงียบ "...ผมก็คง..ถูกครอบงำด้วยมายาคติเดิมๆเหมือนทุกคนล่ะมั้งครับ"


     "...อา นั่นสินะครับ" ได้แต่หัวเราะยามดวงตาคู่นั้นตวัดมามองพร้อมแววตาอบอุ่นและรอยยิ้มบางๆเช่นเดิม เอนีลยิ้ม..แม้ว่าจะรู้สึกแปลกๆขึ้นมาก็ตาม..


   ทั้งที่ความคิดนี้ก็เป็นปกติ..แต่..ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่สบายใจอย่างน่าประหลาด


    "ทำให้คุณทำหน้าไม่สบายใจเสียแล้ว เรื่องเล่าของผมคงน่าเบื่อ.." เหมือนผู้พูดจะจับความรู้สึกเขาได้ ไคลน์จึงเอ่ยปากออกมาเงียบๆ


    "ไม่หรอกครับ..เรื่องเล่าของคุณสนุกมากเลยนะครับ..แล้ว..ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อหรอกนะ" เอนีลยิ้มเกลื่อน หันเหความสนใจของตนไปยังสิ่งก่อสร้างเบื่องหน้า เกาะดูเสาเหล็กเตี้ยๆที่โผล่พ้นเนินเดินแล้วชะงักฝีเท้า "จริงๆคือผมแทบจะเป็นพวกไม่เชื่อถือในกระเจ้า..เพราะฉะนั้นสีดำหรือสีขาว..ผมก็ไม่รู้จะเชื่อถืออย่างไหนเหมือนกัน...อ่ะ..นี่สินะครับสุสานที่หลวงพ่อฌองพูดถึง"


    "...เป็นสุสานที่เก่ามาก..แต่ก็อยู่ในสภาพดี เจ้าของที่ดินคงเป็นพวกขุนนางเก่าแน่ๆ" ไคลน์จ้องมองภาพสุสานขนาดใหญ่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด


    "น่าเสียดายนะครับ.." เอนีลลดมือลงพลางมองฝ่ามือตัวเองที่มีคราบสนิมจากรั้วเหล็กติดมาบางๆ


    "คุณชอบสุสาน?" ไคลน์เลิกคิ้ว


    "..มันดูสงบดีครับ..แต่สุสานนี้..ดูเศร้า...เศร้ามาก" นายแพทย์หนุ่มเอ่ยพลางจ้องมองเหล่าโลงหินและป้ายสลักรูปหินประดับหน้าหลุมศพรวมทั้งรูปปั้นพระแม่มารีและเทวทูตตัวน้อยที่บัดนี้ถูกกาลเวลาชะล้างจนกลายเป็นสีหม่น ต้นไม้ใบหน้าที่ควรจะเลื้อยปกคลุมกลับไม่มีอยู่ ไม่ได้แสดงถึงการดูแลเพราะต้นไม้ใหญ่ที่ไร้ใบปกคลุมบ่งบอกว่าพวกมันกลายเป็นเพียงซากต้นไม้แห้งๆ ไร้ชีวิตและไม่อาจจะผลิดอกออกใบได้อีก ไม่ต่างไปจากร่างของผู้คนที่หลับไหลอยู่ในสุสานแห่งนี้ ซึ่งไม่อาจจะลืมตาขึ้นได้อีกแล้ว


    ความเศร้าสร้อยบางอย่างอวลอยู่ในอก ระคนกับความโหยหาและทุกข์โศกเสียจนแปลบใจวูบ เอนีลยกมือขึ้นลูบอกตัวเองเบาๆ สีหน้าที่เคยยิ้มแย้มค่อยซีดจางลงจนคนข้างกายสังเกตุ ฝ่ามือหนาวางลงบนไหล่เบาๆ ส่งผ่านความอบอุ่นและอาทรมาให้โดยไร้คำพูด สัมผัสนั้นสร้างความอุ่นใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ เอนีลเงียหน้าขึ้นยิ้มกับชายหนุ่มเงียบๆเป็นการขอบคุณ


    "...เดินมานานพอสมควรแล้ว เราไปกันเถอะครับ" เอ่ยปากชักชวน ซึ่งอีกคนก็พยักหน้าตามโดยง่าย เอนีลเดินออกจากสุสานแห่งนั้นโดยที่ไหล่ของเขายังมีมือของไคลน์วางอยู่ ใบหน้าของนายแพทย์หนุ่มกลับมาเต็มด้วยรอยยิ้มดังเดิมราวกับสลัดเรื่องที่เคยทุกข์ร้อนออกจากใจ ทว่าครู่หนึ่ง..เพราะสังหรณ์บางสิ่งทำให้เขาหันกลับไปมองเบื้องหลัง


     ...ด้านหลังต้นไม้ที่ยืนต้นตายอย่างน่าเศร้านั้นกลับมีร่างหนึ่งปรากฏ เสื้อคลุมสีดำและเส้นผมสีขนกาสะบัดไหว เอนีลชะงักวูบ เขารู้สึกได้ถึงดวงตาสีแดงคู่นั้นที่จ้องมองมาราวกับรู้อยู่ก่อนแล้ว นกสีดำบนไหล่ของคนผู้นั้นกรีดเสียงร้องดังลั่นหูเสียจนสะดุ้งเฮือก เอนีลบอกให้ตัวเองหันหลังกลับไป ทว่าทำได้ยากเหลือเกินเมื่อถูกจ้องมองโดยดวงตาสีแดงคู่นั้นไม่วางตา


       เสียงของใครบางคนร้องเรียกอยู่ใกล้ๆ ควรจะหันกลับไปหาพร้อมกับเอ่ยปากพูดคุยด้วยอย่างปกติแต่ทว่าทำไม่ได้ เอนีลชะงักฝีเท้า ยืนตัวเเข็งทื่อจ้องมองหนึ่งคนปริศนาและอีกหนึ่งนกสีดำ  ก่อนที่เขาจะมองเห็นนกตัวนั้นขยับปีกแล้วโผบินเข้ามาหา เสียงร้องแหลมเย็นยะเยือกของมันดังลั่น เช่นเดียวกับดวงตาสีดำก่ำที่จ้องมองมาและร่างที่โผเข้าหาราวกับจะบินเข้าชน


    หลบ...ต้องหลบ...เสียงเตือนดังขึ้นในหัวตามสัญชาติญาณ ทว่าไม่อาจจะทำได้ เอนีลจ้องมองร่างนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ขนกาสีดำสนิทจะปิดดวงตาของเขาทั้งคู่จนไม่อาจจะมองเห็นสิ่งใดอีกเลย



+++++++++++++++


...ตอนแรกๆเหมือนจะสวีต แต่ตอนหลังๆมาแบบแอบสยองอีกแล้ว นี่คือสเตปของนิยายเรื่องนี้สินะ ฮ่าาาา


เรื่องปีศาจสีดำสีขาว คนเขียนโมเมเองทั้งสิ้น ไม่ได้อิงมาจากตำนานไหนนะคะ เป็นแค่แนวคิดอะไรประมาณนั้น


ส่วนตอนหน้าเอนีลของเราจะเจอเรื่องชิพหัยอะไรต่อไป โปรดติดตามมม //โดนขุ่นหมอเอาเสื้อกาวน์รัดคอ



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด