LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: LOST ANGEL *บทส่งท้าย จบเเล้วค่าาาาา + “แจ้งข่าวหน้า 4” UP 14/08/2557  (อ่าน 78555 ครั้ง)

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8


Lost 11 สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์



...เสียงฝีเท้า


     จ้องมองฝ่าเท้าสีซีดขาวเหยียบลงบนพื้นหญ้าเขียวสด การเคลื่อนไหวอันเงียบเชียบและแผ่วเบานั้นทำให้เจ้าของเรือนผมสีทองคำที่ยังจดจ่ออยู่กับบางสิ่งในมือมิได้หันมาหา  ดวงตาสีแดงเข้มจ้องมองแผ่นหลังแบบบางเงียบๆ นิ่งไปครู่ใหญ่ราวกับจะตัดสินใจบางสิ่ง และนั่นก็เป้นเวลาที่นานพอสำหรับผู้ถูกจ้องมองจะหันมาหา


    ดวงตาสีท้องฟ้าจดจ้องกลับราวกับกังขา เจ้าของใบหน้างดงามแย้มยิ้มเป็นมิตร  หากแต่ผู้ได้มองนั้นหาได้ยินดีไม่ เจ้าของฝ่ามือสีขาว เล็บมือสีดำสนิทยื่นมืออกไปช้าๆ กระชากร่างนั้นให้โผมาสู่อ้อมกอดอย่างรวดเร็วก่อนที่สีแดงฉานจะสาดกระจาย


     เสียงกรีดร้องร่ำไห้ เสียงอ้อนวอนที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง และอีกครั้ง เสียงนั้นทำให้เจ้าของเรือนผมสีทองคำซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงใหญ่ขยับตัวกระส่ายกระสับ ใบหน้าซีดขาวมีเม็ดเหงื่อผุดพราย  แสดงอาการบ่งบอกถึงฝันร้ายไม่มีที่สิ้นสุด


  ...ความฝันอันลึกลับ..ภาพที่เห็นซ้ำๆ..ทุกวันคืนที่ผ่านมา ตามกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง


   เสียงกรีดร้องร่ำไห้ ความเจ็บปวดที่ราวกับเกิดขึ้นจริง ฝันเลวร้ายจากเจ้าของดวงตาสีโลหิต เส้นผมสีเข้ม ผิวกายซีดขาวและใบหน้าเฉยชา ความฝันที่ไม่เคยปราถนาเดินทางกลับมาแสยะยิ้มราวกับจะบอกว่าไม่มีวันหลีกหนีพ้น


    ไม่มีวัน..จะหนีปีศาจปีกสีดำคู่นั้นได้เลย ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม..



  เฮือก!!


      ลืมตาโพลงแล้วลุกพรวดขึ้นมาจากหมอน  เอนีล ชาสต์เดอตงส์ นายแพทย์หนุ่มยกมือขึ้นกุมขมับตัวเองเงียบๆด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะลูบหน้าช้าๆ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอเงียบๆ ขณะทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยพยายามอย่างยิ่งในการไม่นับรวมเอาความฝันที่แสนน่าประหวั่นของตัวเองไปด้วยและตั้งสติให้อยู่กับเนื้อกับตัว


  ...กระนั้น เอนีลก็พบว่ามันทำได้ยากนัก


   ภาพสุดท้ายก่อนโลกทั้งใบจะจางหายไปคือดวงตาสีแดงก่ำของอีกาตัวใหญ่ ปีกสีดำสนิท..และชายหนุ่มปริศนาผู้อยู่ในชุดสีดำทึมเทาที่จ้องมองมาไม่วางตา


    ผมสีดำ...ดวงตาสีแดง...ผิวขาวซีด


   ..เหมือน คนที่อยู่ในความฝันนั้นเหลือเกิน


    มือสั่นน้อยๆยามยกมือขึ้นเสยผมแล้วดึงมันแรงๆราวกับจะระงับสติไม่ให้ฟุ้งซ่านมากยิ่งขึ้น นายแพทย์หนุ่มกวาดตามองรอบๆ นึกเบาใจขึ้นไม่น้อยที่กลับมายังที่พักได้ในที่สุด ทว่าเขาก็ต้องเอ่ยขอโทษกับผู้ที่ต้องลำบากลำบนพาร่างอันสลบไสลไม่ได้สติของตนกลับมาอย่างยากลำบากอยู่ซ้ำๆในใจ


     แล้ว...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


     สภาวะที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่ามีสติเต็มร้อยทำให้ชายหนุ่มต้องสูดหายใจลึกๆเพื่อเรียกเอากำลังและปลุกปลอบขวัญตัวเอง นายแพทย์หนุ่มหายใจเข้าออกซ้ำๆ พยายามบอกตัวเองให้ตั้งสติและสงบอาการตื่นตกใจของตัวเองให้เร็วที่สุดเพราะถ้าเขายังคงเอาแต่แตกตื่นกระวนกระวายอยู่แบบนี้คงเอาแต่คิดเรื่องบ้าๆบอๆจนไม่อาจทำอะไรได้


      ...เอนีลเรียบเรียงเรื่องที่เกิดขึ้นช้าๆ เขาไปเที่ยวกับไคลน์..เกิดฝนตก..พวกเขาทั้งคู่จึงไปหลบพักฝนในโบสถ์เล็กๆแห่งหนึ่ง ได้เจอกับหลวงพ่อผู้อารีย์ และจากนั้นก็เดินชมรอบๆ จนไปถึงสุสาน แล้ว...เขาก็หมดสติไป


    ..หมดสติไปหลังจากเจอชายหนุ่มในชุดสีดำและอิกาที่ปรี่บินเข้ามาหาตัวนั้น


     หรือเขาจะตกใจนกตัวนั้นจนสลบ?


     ถามตัวเองเงียบๆพลางยกมือขึ้นลูบดวงตาและใบหน้าราวกับจะสำรวจบาดแผล เอนีลยิ้มเฝื่อนๆเมื่อพบว่าไม่ได้มีแผลใดๆเกิดขึ้นบนใบหน้าและเขาก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเมื่อยเนื้อตัวตรงไหน บ่งชัดว่าข้อสันนิษฐานนั้นไม่อาจเป็นไปได้ แต่..ไม่สิ อาจจะเป้นไปได้ เอนีลหลบนกตัวนั้นพ้น แต่ตัวเขาเองก็ตกใจเสียจนสลบ ไม่รู้ว่าป่านนี้เจ้าของนกตัวนั้นกับไคลน์จะเป็นอย่างไร ไม่แน่ว่าเขาอาจจะนั่งรออยู่ข้างล่าง และจิบน้ำชากับพ่อบ้านของตนฆ่าเวลาอยู่ก็ได้..


     ยิ้มให้ตัวเองเงียบๆ แม้รอยยิ้มนั้นจะฝืดเฝื่อนเหลือใจ ยามนี้แล้วนายแพทย์หนุ่มยอมยกข้ออ้าง ข้อสันนิษฐานข้างๆคูๆหรือสาเหตุที่ฟังไม่ได้อะไรก็แล้วแต่มาบอกตัวเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงอาการหวาดกลัวเกิดเหตุของเขา จะเป็นเรื่องบ้าบอแค่ไหนก็ได้...น่าอายเพียงไหนก็ไม่ว่า ถ้าหากมันจะสามารถกลบทับความจริงที่เป็นหลุมดำๆซึ่งกำลังเจาะรูลึกอยู่กลางอก


    ...กับข้อที่ว่า..ไม่มีทางเลย..ที่ชายหนุ่มคนนั้นกับนกตัวนั้นจะยังมีอยู่


    ไม่ใช่ว่าตกลงกันแล้วเลยหายไป ไม่ใช่ว่าคุยกันเรียบร้อยเขาเลยกลับไปแล้ว ...แต่เป็นเพราะว่าไม่มีอะไรมาแต่ต้น


    อาการป่วยเพราะเห็นภาพหลอน..สันนิษฐานว่าจะมีคนมาทำร้ายตัวเอง ไม่ก็...ผลกระทบจากความฝันบ้าๆบอๆ


    .....กำลังป่วยทางจิต


   เหยียดยิ้มขึ้นมาอีกครั้งอย่างเศร้าๆ...ป่วย ที่ผ่านมาเขาคิดว่าตัวเองป่วย..เอนีลผู้ป่วยไข้ เป็นบ้า เป้นโรคผวาจากความฝันจนประสาทหลอน..เป็นคนที่ต้องได้รับการรักษา เอนีลเกลียดความคิดนนี้ เกลียดที่ต้องพบว่าตนเองเป็นเช่นนั้น


    แต่บัดนี้ การเป็นบ้า...อาจจะดีเสียกว่า


   ดีกว่าการต้องพบว่า มีตัวตนที่อยู่ในฝันร้ายนั้นกำลังเดินเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที..



      แอ๊ด..


     เสียงประตูเปิดทำให้เอนีลชะงัก ชายหนุ่มเงยหน้ามองผู้ที่มาพร้อมกับแสงไฟในห้องซึ่งสว่างจ้าขึ้น รอยยิ้มของไคลน์ สไตร์เซอร์ยังคงอ่อนโยนเช่นเดิม เช่นเดียวกับรอยยิ้มของฟาเอล กีโยต์ พ่อบ้านของเขา ทั้งสองคนจ้องมองมาที่เขาอย่างเงียบๆก่อนที่ไคลน์จะนั่งลงข้างเตียงช้าๆ


     "เป็นยังไงบ้างครับ.." ฝ่ามืออุ่นๆวางบนหลังมือตนแล้วลูบเบาๆ "หิวไหม..เจ็บตรงไหนรึเปล่า?"


     "อึ่ก..."เอนีลเม้มปากเน่น สีหน้าเครียดคล้ำ


     "..ช่วยไปเตรียมยากับซุปให้เอนีลหน่อยนะครับ คุณฟาเอล" ไคลน์หันไปบอกพ่นบ้านเฒ่าด้วยอาการอ่อนโยน และนั่นทำให้ผู้ฟังโค้งตัวออกไปเงียบๆ ไม่ได้ไปเตรียมยาหรืออาหารหรอก เอนีลรู้..แต่เพียงไคลน์อยากจะขอเวลาตรวจอาการเขาสักครู่เท่านั้นเอง


     "ว่าไงครับ" ฝ่ามือถูกกุมเงียบๆโดยมือทั้งสองข้าง ดวงตาที่จ้องมองมาอย่างอ่อนโยนนั้นทำให้ผู้ฟังหรุบตาลงช้าๆ เอนีลเม้มปากแน่น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความลังเลปะปนกับความทุกข์ใจและกระวนกระวาย ดวงตาสีฟ้าสดเต็มไปด้วยความว้าวุ่นเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสีน้ำตาลครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับขอความช่วยเหลือ ก่อนจะหรุบตาลงต่ำ เป็นเช่นนี้ซ้ำๆอยู่ครู่ใหญ่ราวกับคนตรงหน้าไม่รู้จะทำเช่นไรดี


      "นั่น...มัน" เม้มปากแน่น เอนีลก้มลงมองผ้าห่มที่ถุกเขาขยำจนยับยู่ราวกับกลัวคำตอบ


   หวาดกลัว...ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ความฝัน ภาพหลอน หรืออะไรก็ตาม..


      "ผม...."ไคลน์มีท่าทีอึกอักก่อนจะถอนใจเบาๆ "ถึงไม่อยากจะพุด ก็คงต้องพูด"


       "เขาไม่ใช่คน...เอนีล"


      คำตอบที่ได้ทำให้ผู้ฟังนิ่งอึ้ง เอนีลเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนพุดราวกับไม่เชื่อหู ดวงตาเบิกกว้างและท่าทีตกตะลึงนั้นทำให้ผู้ฟังทำได้เพียงแย้มรอยยิ้มบาง ขณะที่คนฟังรู้สึกราวกับมีหินสองก้อนที่กลิ้งอยุ่ในใจ


      ก้อนหนึ่งมันค่อยหลุดออกไปด้วยความยินดี...หรืออย่างน้อยก็ใกล่เคียงที่พบว่าตัวเขาไม่ได้โดดเดี่ยว เชื่อในสิ่งที่ไม่มีคนเชื่อหรือเอาแต่บ้า เพ้อหาและหวาดกลัวกับเรื่องราวแปลกๆเช่นนี้อีกแล้ว มีอีกคนนึงที่เขาใจ มีอีกคนหนึ่งที่รับรู้ และเห็นในสิ่งที่เขาเห็น


        หากแต่ก้อนที่สองอันหนักอึ้ง...คือความจริง ที่ตอกย้ำและบอกอย่างชัดเจน ว่าตัวเขาในตอนนี้ กำลังเผชิญกับสิ่งที่ตนไม่รู้ว่ามันคืออะไร


        ที่รู้มีเพียง...มันกำลังย่างก้าวคืบคลานเข้ามาในชีวิตของเขาด้วยเจตนาร้ายอย่างชัดเจน


        "ไม่ใช่คนเหรอ..แต่ แต่...." พยายามเอ่ยปากคัดค้าน เอนีลแสร้งหัวเราะเบาๆ "นี่มันโจ๊กหลัง..."


         "ไม่ใช่โจ๊กก่อนอาหารแน่ๆ.." ไคลน์ตัดบทอีกฝ่ายเงียบๆ "แม้ผมไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ..."


         "เขาหายไป...หายไปกับตา..ไม่ใช่แค่ผมที่เห็น แต่หลวงพ่อฌองก็ด้วย...ดังนั้นผมจึงไม่อาจจะปฎิเสธได้อีกแล้วว่าเรากำลังเผชิญกดับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์.."


           "................" ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง ขณะที่ไคลน์ทอดมองคนตรงหน้า และตัดสินใจเอ่ยปากในที่สุด


          "..และผมก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน..ว่ามันต้องการทำร้ายคุณ"


        เงียบไปนานราวกับไม่รู้จะเอ่ยบอกสิ่งใด ขณะที่ฝ่ามืออุ่นค่อยลูบเส้นผมสีทองสลวยช้าๆ  เอนีลนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ามองผู้กระทำด้วยสายตาเว้าวอน  เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจเสียจนไม่อาจทนไหว ความทุกข์ตรมและขื่นขมอัดแน่นอยู่ในใจราวกับพร้อมจะปะทุออกมาทุกเมื่อ เช่นเดียวกับสภาพจิตใจที่เหลือเพียงด้ายเส้นบางๆก่อนทุกสิ่งจะขาดวิ่นออกจากกัน


       สิ่งที่เห็นเบื้องหน้านั้นทำให้หัวใจของผู้มองปวดหนึบ ไคลน์นิ่งอยู่ได้เพียงคู่ก่อนจะคว้าตัวอีกฝ่ายไปซุกไว้ในอ้อมแขนเงียบๆ และนั่นเองที่ทำให้สิ้นสุดความอดทน ผู้ที่ถูกโอบกอดสะดุ้ง ขืนตัวเพียงเล็กน้อยก่อนจะแน่นิ่งแล้วซบหน้าลงบนแผ่นอกของตนราวกับไร้เรี่ยวแรง


     "....ไม่ไหวแล้ว" เสียงกระซิบพร่าสั่น ใบหน้าที่ซุกซนอยู่กับแผ่นอกนั้นกดต่ำจนไม่อาจเห็นสิ่งใด ทว่าความเปียกชื้นที่สัมผัสได้ทำให้รู้ได้ไม่ยาก อ้อมแขนของชายหนุ่มจึงกอดรัดอีกฝ่ายแน่นขึ้น "ผมไม่ไหวแล้วไคลน์..ทำไม...ทำไมถึง...."


       "................." ไม่อาจเอ่ยคำใดปลอบใจได้ ไคลน์สไตร์คเซอร์หลับตาลงช้าๆ สีหน้าปวดแปลบไม่แพ้ผู้ที่อยู่ในอ้อมแขน ชายหนุ่มกอดรัดผู้ที่อยู่ในอ้อมแขนเงียบๆขณะที่หัวใจเต้นแรงเสียจนเจ็บไปหมด


       "...ไคลน์...ผมจะเป็นบ้าอยู่แล้ว.." น้ำเสียงที่สั่นไหวจนไม่อาจจับใจความดังขึ้นอู้อี้ นายแพทย์หนุ่มในอ้อมกอดนั้นมีท่าทีราวกับใจหายไปจากตรงนี้ไม่ว่าวินาทีใดวินาทีหนึ่ง เสียงพึมพัมนั้นบอกให้รู้ว่ามันหมายความตามที่พูดจริงๆซึ่งนั่นยิ่งทำให้สีหน้าของผู้ฟังรวดร้าวมากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว


      "ไม่เป็นไรนะครับ...ไม่เป็นไร"กระซิบบอกเเผ่วเบาพลางลูบเส้นผมสีทองสว่าง "ไม่เป้นไรนะ เอนีล..มันเป็นแค่ฝันร้าย...แค่ฝัน..."


      "ไม่อยากฝัน...ผมไม่อยากฝันอีกแล้ว...ไม่..." ส่ายหน้าแรงๆพลางหลับตาแน่น เอนีลประหวัดนึกถึงความฝันของตน..ถูกคนๆหนึ่งฉีกทึ้ง ฆ่าทิ้ง เจ็บปวดและทรมารอยู่ทุกค่ำคืนราวกับไร้จุดสิ้นสุด


    เขานึกว่าฝันร้ายนี้จะจบลงแล้ว แต่เปล่าเลย..


    ...มันกำลังเดินมาหาเขา


      ความฝันนั้นกำลังคืบคลานเข้ามาหา และไม่ใช่แค่ความฝัน มันคือความจริง..เขากำลังถูกความจริงค่อยๆเล่นงานอย่างหนักหน่วงเสียจนตัวเองแทบจะเป็นบ้า


       ...วันไหนกันที่ตัวเองจะพบว่าถูกควักลูกตา เชือดเนื้อเถือหนัง และทรมารอย่างโหดร้ายเยี่ยงในฝัน


      ...วันใดที่เขาจะได้เจอเจ้าของดวงตาสีโลหิตอันน่าสะพรึงผู้นั้น




ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8



           "เอนีล..ฟังผม" ไคลน์ดึงเอาร่างของคนที่ซุกอยู่กับแผ่นอกตนเองมาจ้องเงียบๆ สบมองดวงตาสีแดงก่ำของชายหนุ่มที่ตนมาคอยคุ้มครอง "ผมบอกว่าผมจะมาปกป้องดูแลคุณ...ผมก็จะปกป้องดุแลคุณ..อย่าห่วงไปเลย..คุณจะไม่เป็นไร"


         "แต่........."


        "ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นอะไร ไม่ว่าคุณจะต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายแค่ไหน ผมจะคอยดูแลคุณ" คำมั่นสัญญานั้นแทรกซึมเข้ามาในดวงใจที่กำลังหวาดหวั่นเงียบๆ


       "..สิ่งนั้น...."


       "มันคืออะไรผมไม่รู้...แต่ผมจะไม่ยอมให้มันมาทำร้ายคุณเป็นอันขาด" ไคลน์จ้องมองดวงตาสีฟ้า เขาสัญญากับอีกฝ่ายอย่างหนักแน่น "เชื่อผม...เชื่อใจผม เอนีล"


        ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นจ้องมาอย่างจริงจัง เต็มไปด้วยความจริงใจและหนักแน่นจนสัมผัสได้ เอนีลมองสบดวงตาคู่นั้น ชั่วขณะหนึ่งที่หัวใจอุ่นวาบ...ความรู้สึกบอกว่าคุ้นแสนคุ้นกับแววตาและคำพูดเช่นนี้ ราวกับเมื่อนานมาแล้ว มีคนๆหนึ่งเคยเอ่ยคำนี้กับเขา


    "เชื่อสิ...เชื่อมั่น"


       เสียงกระซิบเเผ่วเบาดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือที่สัมผัสไหล่แล้วบีบแน่น ดวงตาสีน้ำตาลแสนอ่อนโยน ใบหน้ายิ้มแย้ม เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เจดจรัสงดงามเสียจนตาพร่าและทำให้คล้อยตามได้อย่างง่ายดาย


    ..รวมทั้ง ทำให้หัวใจที่ตายลงไปค่อยๆฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง...



    "ครับ" นิ่งไปสักครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แววตาของผู้พูดค่อยสดใส ความกังวลค่อยจางลงไปราวกับมีบางสิ่งพัดปัดเป่านั้นดูน่าฉงนไม่น้อย "ผมเชื่อคุณ"


     ดวงตาสีฟ้าสดใสจ้องกลับมาอย่างเชื่อมั่น แววตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อ...เชื่อตามที่ตนเองพูดออกไปทำให้หัวใจของผู้มองสั่นไหวอย่างประหลาด


       "ขอบคุณ" นิ่งไปครู่ใหญ่ แม้จะแปลกใจ ทว่าชายหนุ่มก็ยิ้ม ไคลน์ตอบรับคำพูดของอีกฝ่าย เขาออกแรงกอดแน่นขึ้น และนั่นเองที่ทำให้ทั้งคู่เพิ่งตระหนักว่าอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน..เอนีลยิ้มออกมาอย่างขัดเขิน ก่อนจะขยับห่างเงียบๆ


       "เดี่ยวผมจะไปเอาข้าวกับยามาให้...แล้วเรามาคุยกันต่อนะครับ" ไคลน์ยิ้ม ยกแขนกอดอีกคนแรงๆก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็วเหมือนไม่อยากให้คนถูกกอดนึกขึ้นได้ว่าโดนฉวยโอกาส


       "...อ่ะ" ความอบอุ่นที่ผละออกไปทำให้เอนีลชะงัก เสียงประท้วงดังขึ้นเบาๆก่อนจะเงียบกริบเหมือนลืมตัว เรียกให้ผู้ถูกทักเลิกคิ้ว..ซึ่งคนพูดก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ


      "...แล้วผมจะรีบกลับมา" ไคลน์ยิ้ม แววตาที่จ้องมองกลับมาราวกับรู้ทันท่าทีนั้น ก่อนที่จะลุกขึ้นเงียบๆ ชายหนุ่มสบตาผู้ที่นั่งบนเตียงแล้วยิ้มหวานมอบให้อีกคราก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว


     เอนีลมองตามแผ่นหลังอีกฝ่าย ดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชมกับความเสียสละที่อีกฝ่ายมีให้ ชายหนุ่มยกมือขึ้นวางบนแผ่นอกซ้ายตนเองช้าๆ นิ่งฟังเสียงหัวใจที่โลดแรงขึ้นของตัวเองเงียบๆ พลางหลับตาลงราวกับจะระลึกถึงความรู้สึกบางสิ่ง บางอย่างที่วาบผ่านขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ..


     ...รอบกายคือที่ไหนไม่รู้เขาไม่ทราบ เกิดอะไรขึ้นเอนีลไม่รู้ ทว่าที่จำได้ มีเพียงน้ำเสียงหนักแน่น สัมผัสที่หัวไหล่ ความอ่อนโยนหากแฝงไปด้วยพลังนั้นแทรกซึมเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ก่อเกิดเป็นความลึกซึ่งบางอย่าง


      ความทรงจำแปลกประหลาด....ไม่รู้ที่มา..หากแต่ชวนอุ่นใจเหลือเกิน


        เสียงขยับปีกดังขึ้นแหวกความเงียบทำให้ชายหนุ่มชะงัก ดวงตาสีฟ้าสดเปิดขึ้นมาอีกครั้ง เอนีล ชาส์เดอตงส์ หันไปมองต้นเสียง จากที่ๆเขานั่งอยู่ซึ่งก็คือบนเตียง เมื่อเหลียวมองไปยังหน้าต่างบานใหญ่ในห้องซึ่งเปิดกว้างรับแสงจันทร์ ผ่านม่านสีครีมสะบัดไหว ขนนกสีดำสนิทปลิวลงมาเงียบๆ การาเวนตัวใหญ่เกาะอยู่บนหน้าต่างใช้ดวงตาสีแดงจ้องมองเขาเขม็ง


       และ.ไม่ไกลจากนั้น ร่างของใครคนหนึ่งในอาภรณ์สีดำสนิท เส้นผมสีดำยาวและผิวหน้าซีดขาว เจ้าของดวงตาสีแดงก่ำที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ 


          ภาพนั้นทำให้ผู้มองเบิกตากว้าง เอนีลกลืนน้ำลายลงคอช้าๆรู้สึกถึงเนื้อตัวที่สั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ แต่กระนั้น ก็รุ้ดีว่าตนจะอยู่เฉยๆไม่ได้เช่นกัน


          ลุกขึ้นจากเตียงพยายามเดินไปที่ประตูแต่ก็ทำได้เพียงยืนนิ่งเมื่อดวงตาสีแดงก่ำนั้นจ้องเขม็ง แผ่นหลังหดเกร็งจ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยสีหน้าพรั่นพรึง "สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์" ยังคงยืนจ้องมองเขาอย่างเงียบเชียบไม่ขยับไปไหน เงียบอยู่อย่างนั้นราวกับว่าจะรอดู..ทดสอบว่าใครกันจะหมดความอดทน


       ไม่นาน...ท่อนแขนขาวจัดก็ยื่นมาเบื้องหน้า เผยให้เห็นปลายเล็บสีดำสนิทและนิ้วมือซีดขาว ขนนกสีดำเรืองรองปรากฏขึ้นมาในมืออีกฝ่าย ก่อนที่ริมฝีปากของคนผู้นั้นจะยิ้ม


     "ถ้าอยากรู้ ก็รับไปสิ"


     น้ำเสียงนั้นราวกับดังขึ้นในสมองมากกว่าจะผ่านออกมาจากริมฝีปาก ทั้งที่ควรจะหวาดกลัวหนักหนา ทว่าบางสิ่งกลับผลักดันให้เขาเอื้อมมือไปรับ ทั้งที่ต้องเดินเข้าไปใกล้ แต่เพียงกระพริบตา ขนนกสีดำสนิทก็ตกมาอยู่ในมือของตน


     "เอนีล"


    "............"


    "เอนีล"


    "...อ่ะ..." แสงสีขาวสาดกระทบแววตาทำให้ต้องชะงักไปอีกครั้ง เอนีลจ้องมองภาพเบื้องหน้า สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือเพดานเตียงเช่นเดียวกับทุกครั้ง ร่างที่ยังมึนงงพยุงตัวเองลุกขึ้นขณะที่ตาก็กวาดมองไปรอบๆ ไคลน์ สไตร์คเซอร์กลับมาแล้วพร้อมกับอาหารเย็นและยาทาน เจ้าตัวกำลังกุลีกุจอวางอาหารลงตรงหน้า  เอนีลหันไปมองหน้าต่าง พลันขมวดคิ้วเมื่อพบว่ามันปิดสนิท


      "มีอะไรรึเปล่าครับ?" คำถามนั้นทำให้ชายหนุ่มชะงัก เอนีลยิ้มให้ผู้ถาม เขาหันไปสนใจอาหารเย็นพลางเอ่ยปากของคุณผู้ที่นำมา ทั้งที่ความคิดยังเกลื่อนไปด้วยความงวยงง


  ...เมื่อครู่


มันเกิดอะไรขึ้น?         


++++++++++++++



ในที่สุดหนุ่มชุดดำก็มีบทพูดซักที ตั้งหนึ่งประโยคแหนะ //เหลอะ


แต่ไปๆมาๆกลายเป็นว่าไม่ใช่คนสินะ งานนี้จะคน ผี ปีศาจ เทวดา บลาๆ จะเป็นตัวอะไรก็ต้องรอดูกันต่อไปค่าา



ออฟไลน์ whitefang

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
ลุ้นอ่า อะไรยังไง :katai1:

ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL *Lost 12 พบหน้า + Lost 13 Red rose * UP.07/06/57
«ตอบ #34 เมื่อ07-06-2014 22:59:24 »



Lost 12  พบหน้า



     เสียงนกกลางคืนร้องออกมาเบาๆ ขณะที่บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือก หมอกสีขาวทิ้งตัวลงต่ำ น้ำค้างเย็นๆหยดจากปลายยอดไม้สีเขียวลงมากระทบไหล่ยามแทรกกายเพื่อผ่านไปยังที่นัดหมาย..หนาว หนาวเย็นเสียจนสั่นไปทั้งกาย หนาวมากเสียจนเสื้อคลุมตัวใหญ่ไม่อาจปกป้องจากความเย็นยะเยือกนี้ไปได้


       ริมฝีปากกระทบกันไม่หยุด หากแต่เจ้าของฝ่ามือขาวซีดไม่ละจากความพยายาม ยกตะเกียงเจ้าพายุในมือขึ้นสูง สาดแสงนวลของมันไปยังเบื้องหน้าเพื่อนำทางไปยังที่ซึ่งตนปราถนา หัวอกของเขาล้นปรี่ไปด้วยความคาดหวังและยินดี หาได้สนใจความหนาวเหน็บใดๆที่แผ้วพาน


      เปิดรั้วเหล็กช้าๆ เสียงครางของมันดังขึ้นแผ่วเบา ขณะที่บรรยากาศรอบกายยิ่งเงียบสงัด ดวงตาจ้องมองฝ่าแสงตะเกียงอย่างไม่ยอมแพ้ ย่ำฝ่าเท้าเปล่าเปลือยลงบนพื้นหญ้าสีเขียวสดที่เย็นเฉียบชวนสะท้านจนต้องเดินเร็วๆ ขณะที่รอบกายมีเพียงป้ายหินสีดำทะมึน


     ต้นเร้ดวู้ดขนาดใหญ่ที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางป้ายหินมากมายนั้นสะบัดใบไม้ไหวเอนไปตามลม แว่วเสียงเสียงสีของกิ่งราวกับเสียงกระซิบ ขณะที่ร่างนั้นเดินไปใกล้แล้วรอยคอยอย่างใจจดใจจ่อ


    ความยินดีและความพึงใจอวลอยู่ในอก ยิ้มแย้ม จ้องมองไปยังรอบๆราวกับมองหาใครบางคนโดยไร้ความกลัว ทั้งที่สถานที่แห่งนี้คือสุสาน รอบกายมีแต่อันตรายและดูน่าประหวั่นราวกับเป็นที่สิงสู่ของวิญญาณร้าย หากแต่ผู้ที่ยืนรออยู่กับไร้ความหวาดหวั่น มีเพียงความดีใจมากมายปรากฏ...มีความสุข เสียจนไม่คิดจะมองดูสิ่งอื่นใด


    "...มาแล้วหรือ.." เสียงที่เปล่งออกมาอย่างแผ่วเบานั้นดังขึ้นเมื่อร่างของใครคนหนึ่งปรากฏ บุรุษในเสื้อคลุมสีเข้ม ท่าทีดูลึกลับน่ากลัว แต่กับคนที่ยืนรออยู่กลับไม่มีความหวั่นเกรงใดๆทั้งสิ้น


      ย่ำเท้าเข้าไปหาแล้วโผเข้าสู่อ้อมแขนนั้น รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจนถึงในอก หลับตาพริ้ม...การรอคอยที่แสนจดจ่อจบลงพร้อมรอยยิ้มระบายความสุขบนใบหน้า เขายังคงยิ้มอยู่เช่นนั้น แม้ตะเกียงเจ้าพายุจะหล่นลงจากมือ และมีรอยเลือดซึมชื้นปรากฏอยู่บนร่าง


      ตุบ...


      เสียงของหนักๆทิ้งตัวลงบนผืนหญ้าดังขึ้นอย่างแผ่วเบา เสียงที่ไร้การเหลียวแลใดเมื่อปรากฏอยู่บนสุสานอันกว้างใหญ่ที่ไร้สิ่งมีชีวิต ร่างของชายหนุ่มผู้เดินทางมาถึงยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ในมือของเขาเปื้อนด้วยเลือดสีเข้มรวมทั้งบนเสื้อโค้ทและใบหน้า ทว่าเจ้าตัวดูจะไม่คิดใส่ใจใดๆ ดวงตาที่ฉายแววเย็นยะเยียบจับใจจ้องมองร่างที่แน่นิ่งอยู่บนพื้นข้างตะเกียงที่ส่องสว่าง ใบหน้าของชายผู้นั้นยังคงเปี่ยมด้วยความสุขสันต์ รอยยิ้มประดับบนใบหน้า ไม่รับรู้ถึงความตายและสิ่งที่ตนเองเผชิญจวบตนวาระสุดท้ายของชีวิต..


     สายลมเบื้องบนโชยพัดอย่างแผ่วเบาขณะที่แว่วเสียงฟ้าร้องครืนคราง กิ่งใบของต้นเร้ดวู้ดต้นใหญ่ยังคงเสียดสีและก่อท่วงทำนองแปลกประหลาด แมงมุมตัวใหญ่ซึ่งเกาะอยู่บนแผ่นหินหนาค่อยๆชักใยสร้างรังของมันอย่างตั้งอกตั้งใจ การาเวนตัวหนึ่งเกาะอยู่บนรูปปั้นพระแม่มารี มันใช้ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงครู่ก่อนจะส่งเสียงร้องลั่นแล้วสะบัดปีกโผบินจากไป


    ...หายไปเช่นเดียวกับชายหนุ่มปริศนา เหลือเพียงซากศพของคนผู้หนึ่งและตะเกียงซึ่งดับแสงลงในที่สุด




      ลืมตาขึ้นมาช้าๆ จ้องมองภาพเพดานสี่เสาที่แสนเคยคุ้น ดวงตาสีฟ้าเหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่ราวกับครุ่นคิดถึงสิ่งที่อยู่ในความฝัน เอนีล ชาส์เดอตงส์ขยับปลายนิ้วเบาๆหลังจากพบว่าเขากำลังกำมือแน่นเสียจนผ้าห่มในมือยับยู่ไปหมด


     ถอนหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า รอบตัวมีเพียงความมืดและแสงสว่างรางๆจากแสงจันทร์ที่ไม่อาจส่องผ่านผ้าม่านและหน้าต่างที่ถูกปิดไว้ ทั้งที่ในยามปกติ ควมมมืด ความเงียบและห้องของตัวเองในยามที่ลืมตาตื่นมาจากฝันคือสิ่งที่เขาหวาดหวั่นนักหนา แต่ยามนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรชายหนุ่มจึงได้แต่นิ่งเงียบ ไม่ได้รู้สึกถึงความกลัวนั้น ที่ตนสัมผัสได้มีเพียงความคิดที่วนเวียนอยู่ในความฝันเท่านั้นเอง


    ความฝันที่เคยมีความสุข..

    ความฝันแสนหวานที่เคยมาแทนฝันร้าย...จุดจบของมันคือแบบนี้น่ะหรือ?


      ขมวดคิ้วน้อยๆ เอนีลลุกขึ้นแล้วเอนตัวพิงหัวเตียงเงียบๆ  ครุ่นคิดถึงฉากฆาตกรรมที่เพิ่งผ่านพ้น หลังจากฉากพบปะอันแสนหวานในฝันครั้งแล้วครั้งเล่า จุดจบของตัวเขาหรือชายที่อยู่ในฝันผู้นั้น คือถูกชายหนุ่มปริศนาที่ตนรอคอยคร่าชีวิตอย่างรวดเร็วเสียจนแทบไม่รู้ตัว


     หัวอกวูบโหวง จะโศกเศร้าหรือก็เปล่า..อาจจะเพราะในความฝัน คนผู้นั้นยังคงตายไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข แต่เมื่อลองเรียบเรียง นึกถึงความฝันแสนสุขที่เขาเคยพอใจกับมันแล้ว ตอบจบที่เป็นแบบนี้ทำให้หัวใจแปลบวูบอย่างประหลาด


      ทั้งที่มันเป็นแค่ความฝัน

     เขาอ่อนไหวกับความฝันทั้งหลายเกินไปแล้ว...


   ถอนหายใจซ้ำๆ ควานมือเปะปะตามองหานาฬิกาเพราะอยากรู้เวลาแต่ก็ไม่พบ เอนีลลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปที่หน้าต่าง แม้เขาจะรู้ว่านี่เป็นเวลากลางคืนและการมาเปิดหน้าต่างดูคงไม่ทำให้รู้เวลามากขึ้น แต่อะไรบางอย่างก็ทำให้เอื้อมมือไปถอดสลัก ดึงผ้าม่านสีครีมให้เปิดออกและผลักบานหน้าต่างให้เปิดกว้าง รับเอาลมเย็นๆเจือความหนาวเหน้บของต้นเดือนกรกฏาคมเข้ามาในห้อง


     สายลมหนาวพรั่งพรูมาใส่ใบหน้า เย็นเสียจนอดนึกไปถึงเรื่องราวในความฝันนั้นไม่ได้ เอนีลวางมือลงบนขอบหน้าต่าง มองแสงจันทร์สะท้อนภาพปลายนิ้วและฝ่ามือของตนเอง ขณะที่ก้มลงครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ


    หลังจากงวยงงสงสัยมานาน..เขาก็พบว่าสุสานในความฝัน คือสุสานที่ตนพบเจอชายหนุ่มแปลกๆคนนั้นกับไคลน์ไม่ผิดแน่  นี่เป็นอาการจับเอาสิ่งที่พบเจอในยามกลางวันมาเรียงต่อกันเป็นความฝันงั้นหรือ? ทั้งกาตัวนั้น ทั้งชายหนุ่มผู้นั้นเป็นสิ่งที่ตนได้เจอไม่ผิดแน่


     แปลกไปบ้างก็มีเพียงสภาพของสุสานและต้นไม้สูงใหญ่ต้นนั้น ในความฝัน มันคือสุสานที่ยังคงได้รับการดูแลอย่างดี ค้นไม้สูงใหญ่ไม่ได้เหลือเพียงตอไม้แห้งโกร๋นไร้ใบ และช่วงเวลา ที่ดูจะเก่ากว่าในยามนี้ไม่น้อย


    ...เหมือนอยู่ในช่วงยุคกลาง ไม่ก็ในละครหรือนิยายย้อนยุค

    นี่อ่านหนังสือนิยายมากไปหรือไร



    คิดกับตัวเองอย่างขบขัน ถ้าชอบอ่านอะไรแบบนั้นจริงจะฝันถึงมันก็ไม่แปลกหรอก เสียแต่เอนีลอ่านแต่ตำราแพทย์ และไม่มีความสนใจใดๆเกี่ยวกับเรื่องราวอารยธรรมโบราณหรือนวนิยายยุคศักดินาแต่อย่างใด แล้วทำไมถึงได้ฝันถึงกันเล่า


      ความฝันนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไรนะ...


   ขมวดคิ้วน้อยๆ นับแต่ฝันร้ายที่คอยหลอกหลอน มาจนฝันดีๆที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จนถึงจุดจบของฝันดีในคำคืนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเกิดขึ้นจากอะไร มีสิ่งใดเชื่อมโยงกัน มีอะไรแฝงอยู่ในนั้น รวมทั้ง...นี่เป็นอาการบ้าบอไปเองอีกหรือไม่


    ถึงไคลน์จะบอกว่าคนที่เขาเจอนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกความฝันของเขาจะเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้น หรือเป็นเรื่องจริงแต่อย่างใด


     แกว๊ก


       เสียงร้องที่คุ้นหูทำให้ละออกจากภวังค์ เอนีลสะดุ้ง ตวัดสายตาหาที่มาของเสียง เขาพบเจอเจ้าการาเวนตัวใหญ่ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองมาจากหน้าต่างของอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามที่พัก นายแพทย์หนุ่มเม้มปากแน่น ความหวาดกลัวบอกให้เขารีบหนี ชายหนุ่มลนลานเอื้อมมือไปจับบานหน้าต่างแล้วงับปิด ทว่าก่อนจะสำเร็จ เสียงกระพืบปีกก็ดังผ่านหูอย่างแผ่วเบา


     "ฝันดีไหม?"


    ".............." ตัวเย็นวาบ เอนีลแข็งทื่อไปทั้งกายเมื่อสัมผัสได้ถึงฝ่ามือขาวซีดซึ่งวางอยู่บนหัวไหล่ เสียงกระซิบเย็นๆแฝงนัยยะยั่วเย้าดังขึ้นพร้อมกับสีดำที่ปรากฏเบื้องหน้า ฝ่าเท้าที่เยียบลงบนขอบหน้าต่าง เจ้าของเส้นผมสีดำยาว ดวงตาสีแดงก่ำจ้องกลับมาในระยะประชิด เรียวปากบางนั้นยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้หนาวสันหลังวาบ


    ผงะไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว พยายามสลัดเอามือที่วางอยู่บนไหล่ออกแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่หลุด เอนีลถอยกรูด จ้องมองคนที่เข้ามายืนในห้องและยังคงแตะไหล่ตัวเองอย่างร้อนรน แววตาสั่นระริกด้วยความกลัวและความหวาดหวั่น อยากจะอ้าปากร้องเรียกให้ช่วย แต่กลับไร้เรี่ยวแรงใดๆ


      "ตกใจทำไม เย็นนี้ยังกล้ารับของจ้าข้าไปเลยนี่" คำพูดนั้นทำให้ชะงัก เอนีลเงยหน้าขึ้นมองคนพูด นึกไม่ถึงเรื่องราวที่ผ่านผัน ในตอนเย็นของวันนี้เขารับของจากอีกฝ่ายอย่างที่ว่าก็จริง..เอื้อมมือไปรับขนนกสีดำนั้น แต่ทว่านั่นมันคือความจริงหรือ ไม่ใช่ความฝันหรอกรึ ก็ในเมื่อไม่มีอะไรอยู่ในมือ และเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งบนเตียงของตัวเองไม่ใช่รึไงกัน


     "...โง่สิ้นดี" น้ำเสียงเรียบเย็นนั้นทำให้หนาววูบ เอนีลกลืนน้ำลายลงช้าๆ เนื้อตัวพลันสั่นระริกอีกคราเมื่อนึกว่าตนเองต้องพบเจอกับอะไรบ้าง ในความฝันที่เขามีทั้งสองเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ทุกตอนจบของมันคือความตายอันทรมารของตนทั้งสิ้น


     สภาพหวาดกลัวและลนลานเสียจนทำอะไรไม่ถูกของตนเหมือนจะถูกใจชายหนุ่มเบื้องหน้านัก เรียวปากซีดขาวนั้นแสยะขึ้นเป็นรอยยิ้ม ดวงตาสีแดงเข้มหรี่ลงเล็กน้อยก่อนที่ขนนกสีดำอีกอันจะปรากฏอยู่ในมือ


     "อยากรู้ไหมล่ะ...ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก"


    "................" สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ต่างจากของที่เขารับมาเมื่อเย็นวันนี้ หากนี่คือต้นตอของันร้ายเขาก็ไม่ควรจะรับ หากมันคือสิ่งที่มาจากคนผู้นี้เขาไม่ควรจะเอื้อมมือไปหา ทว่าบางสิ่งกลับกระซิบให้เอื้อมมือออกไปและรับมันมาอยู่ในมือแต่โดยดี


   ...สิ่งที่เรียกว่าความอยากรู้ สัญชาตญาณที่ทำให้เอนีลนึกหงุดหงิดเคืองใจกับตัวเองไม่หาย ทำให้เขาเอื้อมมือไปรับมันมาไว้กับตัว แม้จะรู้ดีว่าต้องพบเจอกับความฝันเหล่านั้นอีกครา


     แต่หากไม่รับไว้...หากต้องจมอยู่กับความงวยงงและไม่รู้สิ่งใด ชายหนุ่มก็ไม่อาจทนได้เช่นกัน


     "เป็นแบบนี้อยู่เสมอเลยนะ" เสียงหัวเราะเเผ่วเบานั่นทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เอนีลจ้องมองชายหนุ่มที่ผละออกห่างจากตนไม่ไหล เงาร่างสีดำสนิทนั้นจ้องมองตรงมาขณะที่อีกาตัวใหญ่เกาะอยู่บนไหล่ เจ้าของเส้นผมสีดำสนิทยาวเหยีดนั้นแย้มรอยยิ้มเป็นปริศนา แสงจันทร์ที่สาดเข้ามาทำให้เอนีลได้เห็น ว่าคนตรงหน้านั้นไม่มีแม้กระทั่งเงาเสียด้วยซ้ำ


    ...ไม่มีเงา ไม่มี...แม้กระทั่งปลายเท้า ดูราวกับร่างที่ผุดขึ้นมาจากความมืดมนอนธกาลเพื่อหลอกหลอนเขาอย่างแท้จริง


     "เจ้าผู้ซึ่งพ่ายแพ้กับตนเองร่ำไป....สาสมแล้วจริงๆ"


     เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นพร้อมกับเสียงของปีกที่สะบัดโบกบินจากไปของการาเวนตัวนั้น มันหายไปพร้อมกับชายหนุ่มปริศนาอย่างรวดเร็ว ไม่เหลือสิ่งใดไว้นอกจากสายลมของฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกจับใจ


     เอนีลตัวสั่นระริก ถ้อยคำที่ราวกับคำสาปนั้นดังก้องอยู่ในสมอง ชายหนุ่มทรุดตัวลงกับพื้นห้องราวกับไร้เรี่ยวแรง ดวงตาสีฟ้าสดเบิกค้างจ้องมองเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย รู้สึกราวกับว่าถ้อยคำนั้นเป็นการเอ่ยปากตัดสินชะตากรรมของตนไปแล้วจริงๆ


     แอ๊ด..


  "เอนีล ..."


 "..........."


 "เอนีล ..นอนไม่หลับเหรอครับ?"


  เฮือก!


     ฝ่ามือที่วางบนไหล่ทำให้ร่างสะดุ้งเฮือก เอนีลละออกจากหวังค์ หันไปมองผู้พูดอย่างรวดเร็วราวกับกระตุก สมองกำลังคิดหาคำอธิบายหรือคำบอกกว่าใดต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทั้งการมานั่งทรุดตัวบนพื้นและถือของแปลกๆอยู่ในมือ ทว่าชายหนุ่มกลับพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่างเหมือนคนนอนไม่หลับธรรมดา และไม่มีอะไรอยู่ในมือสักอย่าง


    ....มันเกิดอะไรขึ้น นี่เป้นความฝันอีกแล้วเหรอ หรือเขากำลังทำอะไรโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว


     ถามตนเองอย่างสับสนขระที่ริมฝีปากก็ฉีกยิ้มโง่ๆมอบให้ไคลน์ สไตร์คเซอร์ผู้ที่เดินมาอาอย่างฉงน เจ้าของฝ่ามืออุ่นๆมองเขาอย่างงวยงงไม่น้อย แม้จะยิ้มกับรอยยิ้มขัดตาทัพที่เขามอบให้ เอนีลกลืนน้ำลายลงช้าๆ วางมือลงบนขอบหน้าต่างอีกครั้งและพยายามทำท่าทีให้สบายๆทั้งที่สมองกำลังมึนงงและสับสนอย่างหนัก


     "ผม...นอนไม่หลับน่ะ ก็เลย" หัวเราะเจื่อน  พลางเสมองออกไปยังเบืองนอก กวาดหาอย่างไม่ได้ตั้งใจถึงเจ้าของขนนกสีดำผู้นั้น  แล้วลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อพบว่าไม่มีสิ่งใดนอกจากความเงียบปรากฏ นายแพทย์หนุ่มหันกลับมาอีกครั้ง เขามองเห็นหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของไคลน์วูบหนึ่ง


    "มีอะไรรึเปล่าครับ?" เอ่ยปากถาม ไม่ได้ลืมว่าในยามนี้คือเวลากลางดึกและพวกเขาควรจะหลับอยู่ในห้องของตนเอง แม้ว่าเอนีลจะนอนไม่หลับ ไคลน์ก็ไม่จำเป็นต้องนอนไม่หลับด้วย และไม่จำเป็นจะต้องบุกรุกห้องเขายามวิกาลเช่นกัน


    "..เปล่าครับ พอดีผมได้ยินเสียงกุกกัก...." คำตอบนั้นทำให้ผู้ฟังทำได้เพียงยิ้มเจื่อน เอนีลไม่อาจจะเถียงอะไรได้หากพูดถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น จะให้ปกปิดคงเป้นไปไม่ได้ ตัวเขาก็เกือบจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือไม่แล้วด้วยซ้ำ


    "ขอโทษด้วยนะครับ ต้องทำให้คุณตื่นขึ้นมาด้วยเลย" ยิ้มเจื่อนๆให้อีกฝ่ายอย่างขอลุแก่โทา เอนีลทั้งกล่าวขอโทษคนตรงหน้าและก่นด่าตัวเอง ถ้าเขาไม่นึกคึกอยากรู้เรื่องบ้าๆบอๆก็ไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้แล้วแท้ๆ


    "ไม่เป็นไรหรอกครับ การดูแลคุณเป็นหน้าที่ของผม" ริมฝีปากแย้มยิ้ม ทว่าแววตาของผู้พูดฉายแววใคร่รู้ เอนีลมองดวงตาที่กวาดไปรอบๆบริเวณของอีกฝ่าย ไคลน์ส่งตะเกียงในมือให้เขาถือ ขณะที่เจ้าตัวเอื้อมมือไปปิดหน้าต่างเงียบๆ


   "ขอโทษนะครับ..แต่ผมว่าปิดหน้าต่างดีกว่า ช่วงนี้ขโมยชุกชุม มันอันตราย" คำอธิบายนั้นทำให้ผู้คิดจะเอ่ยปากค้างเงียบเสีย เอนีลทำได้เพียงยิ้มรับ มองดูไคลน์ปิดหน้าต่าง ลงกลอนและปิดผ่านม่านเงียบๆ


    เมื่อไม่มีแสงสว่างจากหน้าต่างบานใหญ่ ภายในห้องก็เหลือเพียงแสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันในมือ เอนีลยื่นมันกลับไปให้คนที่อุตส่าห์ตื่นมากลางดึกเพื่อดูแลความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มขอลุแก่โทษ ยิ้มแม้ในหัวใจจะยังมีแต่ความงวยงงสงสัยกับเหตุการณ์ก่อนหน้าและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


     "ผมทำให้คุณลำบากตื่นมาเสียกลางดึก ขอโทษจริงๆ" ยิ้มเจื่อนให้ไคลน์ อีกฝ่ายยิ้มตอบรับเขาเงียบๆแล้วกวาดตามองไปรอบๆห้อง สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งเครียดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผ่อนคลายลงแล้วหันมายิ้มตอบให้เขาราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


    "ผมบอกแล้วว่าไม่เป็นไร " ส่ายหน้าช้าๆ พลางทำท่าเดินไปยังประตูเพราะตนอยู่นานแล้ว โดยมีผู้เป็นเจ้าของบ้านเดินตามหลังมาส่งด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ


    "..ถ้าอย่างนั้น ราตรีสวัสดิ์อีกครั้งนะครับ" เอนีลเอ่ยปากบอกผู้ที่กำลังจะเดินออกไปจากห้อง


     ฝ่าเท้าของไคลน์ชะงักกึก ชายหนุ่มยืนนิ่งครู่หนึ่งซึ่งทำให้คนมองเริ่มงง หากยังไม่ทันจะอ้าปากถาม ร่างสูงใหญ่ก็หมุนตัวกลับมาประจัญหน้าแล้วจ้องมองกลับดวงตาสีฟ้าสดใสอย่างจริงจัง


    "เอนีล"


   "ครับ"


    "คุณเชื่อผมไหม?" คำถามแปลกหูนั้นทำให้ผู้ฟังเลิกคิ้ว เอนีลมีท่าทีงวยงง เขาจ้องมองคนที่เอ่ยปากบอกให้เชื่อมั่นในยามเย็น คนที่บัดนี้มาเอ่ยถามอีกครั้ง ด้วยสีหน้าอัดอั้นบางสิ่งเหมือนมีอะไรอยู่ในใจกระนั้น


   "....ครับ เชื่อ " แม้จะงง แต่เขาก็เอ่ยปากรับ นายแพทย์หนุ่มคลี่ยิ้มบางแล้วเอ่ยออกไป เชื่อออย่างยิ่งว่าความจริงใจในสีหน้าและแววตาของเขาจะทำให้ไคลน์รับรู้และสบายใจขึ้นได้ไม่ยาก


    "ผมเชื่อมั่นในตัวคุณ"


    "ขอบคุณนะครับ" ฝ่ามือถูกบีบเบาๆ ไคลน์สบตาเขาอย่างขอบคุณก่อนจะสุดหายใจลึก "ถ้าคุณเชื่อผม ทำตามที่ผมบอกสักอย่างได้รึเปล่า"


    "ทำอะไรเหรอครับ?" เอนีลเลิกคิ้วสงสัย


    "อย่าเปิดหน้าต่างบานนั้นอีกเลยนะครับ"


     ".............."



         คำพูดนั้นทำให้เอนีลเงียบกริบ นายแพทย์หนุ่มจ้องมองสบตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองกลับมาอย่างจดจ่อ ดวงตาคู่นั้นที่ทั้งหวาน อ่อนโยน และเต้มไปด้วยความเข้มแข็งบัดนี้แฝงไปด้วยนัยยะอ้อนวอนและเรียกร้องราวกับสัตว์เลี้ยงตัวโตกำลังอ้อนขอเจ้านาย อีกทั้งฝ่ามือทั้งสองข้างที่กุมมือเขาไว้แล้วบีบแน่นๆ บ่งชัดว่าคำตอบ..ของคำขอที่ดูเหมือนไร้สาระนี้สำคัญในสายตาอีกฝ่ายแน่นอน


     "ได้สิครับ ผมจะไม่เปิดมันอีก" นิ่งไปอึดใจ เอนีลก็ตกปากรับคำ แม้จะมีแต่ความงวยงงสงสัยที่มาของคำขอ ทว่าเขาก็ยังเอ่ยปากตกลงเมื่อคนขอคือคนๆนี้ นายแพทย์หนุ่มมองเห็นดวงตาคู่นั้นพราวระยับด้วยความยินดีทันที


      "ขอบคุณมาก" ถูกรวบไปกอดในอ้อมแขนหนา ใบหน้าคมซุกอยู่กับเส้นผมสีทองอร่ามพลางกระซิบขอบคุณอย่างจริงจัง ท่าทีนั้นทำให้ผู้ถูกกอดหน้าแดงวาบ เอนีลรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นโครมครามของตน ยังมิวาย คนกอดยังทิ้งท้ายด้วยจูบหนักๆที่หน้าปากเสียอีก


     "ราตรีสวัสดิ์ครับ เอนีล"


         เอ่ยส่งท้ายแล้วไคลน์ สไตร์คเซอร์ก็งับประตูบานนั้น ทิ้งให้คนถูกกอดเป็นรอบที่สองของวันยืนหน้าร้อนฉ่า เอนีลพาตัวเองมานอนบนเตียงในสภาพหัวใจเต้นระรัวแรง ทั้งความกลัวปะปนกับความขัดเขินเสียจนข่มตาหลับอย่างยากลำบาก


    แม้จะยังสงสัยเกี่ยวกับคำขอแปลกๆ ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ยังงวยงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งก่อนหน้าและตอนนี้ แต่ในที่สุดความง่วงงุนก็เอาชนะไปได้ในที่สุด นายแพทย์หนุ่มหลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยท่าทีผ่อนคลาย ขณะที่ไคลน์ สไตร์คเซอร์ ยืนถือตะเกียงน้ำมันอยู่นอกห้อง ใบหน้าของชายหนุ่มก้มต่ำไม่แสดงอารมณ์ ขณะที่ในมือมีขนนกสีดำหลายอันถูกแผดเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า



++++++++++++++++++


     คืนนี้แอบระทึกอึกอึกอึก //แอคโค่ว
ตอนจบของฝันหวานๆคืออาการม่องเท่งซะงั้น

ส่วนเอนีลเจอกับพ่อหนุ่มพกกา(?)แล้ว แถมนำพาด้วยความอยากรู้อีกล่ะ ส่วนไคลน์ก็ดมกลิ่นตามมาอย่างรวดเร็ว ฮ่าาา



ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL *Lost 12 พบหน้า + Lost 13 Red rose * UP.07/06/57
«ตอบ #35 เมื่อ07-06-2014 23:07:34 »

Lost 13 Red Rose


     หินสีดำทะมึนก่อร่างกันเป็นห้องที่มืดมิด  เปลวเทียนสว่างจากด้านบนสะท้อนให้เห็นอัญมณีมากมายเป็นประกายพราวด้านหลัง เสียงหยดน้ำตกกระทบแผ่นหินดังสะท้อนขึ้นภายในความเงียบงัน สลับกับเสียงครางของสายลมที่ลอดผ่านหุบผาฟังคล้ายเสียงหวีดร้องของปีศาจจากก้นนรกานต์


     ร่างในชุดสีดำยาวยืนหันหลังพลางพินิจจ้องมองบางสิ่งที่เกาะอยู่บนหลังมือ การาเวนตัวใหญ่ดวงตาสีแดงก่ำขยับปีกพลางขยับเกาะแล้วเสียดสีกายแนบชิดอย่างรักใคร่ เสียงร้องของมันดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่มันจะโผบินออกไปเกาะคอนที่แขวนไว้ด้านบนเมื่อแว่วเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา


     "มีอะไรรึ?" ถามพลางทรุดกายลงนั่ง นิ้วเรียวขาวซีดประดับทับทิมแดงก่ำประสานเข้าหากัน พลางจ้องมองผุ็ที่อยู่เบื้องหน้า


     "...ข้ามีเรื่องอยากถาม" วาจานั้นทำให้หัวคิ้วเลิกขึ้นสูง ผู้ถูกถามมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย หากก็แย้มยิ้ม


     "พูดมา"


    ".....สิ่งที่ต้องการ" น้ำเสียงเย็นเรียบเอ่ยขึ้นมา พร้อมดวงตาสีแดงเข้มตวัดมองสบอย่างเงียบเชียบ "หากมีสิ่งที่ต้องการ ทำอย่างไรจึงจะได้มันมา?"


    ".....เหตุใดเจ้าจึงไม่คว้า?" คิ้วเรียวเลิกขึ้นราวกับฉงน


   "........." ผู้ถูกถามนิ่งงันอีกครั้งก่อนจะเอ่ยเสียงเบาราวกับกระซิบ "เกิน...เอื้อม"


       ครานี้ดวงตาของผู้พูดเพ่งพินิจอีกครั้งอย่างตั้งใจ เส้นผมสีแดงเข้มเกือบดำระใบหน้าของผู้พูดจนแทบมองไม่เห็นใบหน้าอันก้มต่ำ ผิวซีดขาวและดวงตาแดงก่ำคู่นั้นไหวระริกคล้ายเปลวเทียนยามต้องแสงไฟ..น่ากังวลหากประหวัดนึกถึงความตั้งใจนั้น หากแต่ก็น่ายินดีเช่นกัน


...หัวใจ

ของเจ้าเต้นขึ้นมาแล้วงั้นหรือ?


     "ไม่มีสิ่งใดเกินเอื้อม" ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขยับกายเดินไปยังการาเวนสีดำที่มันร้องเรียกเบาๆราวกับรักใคร่ ดวงตาสีแดงก่ำเป้นประกายลึกซึ้ง ครู่หนึ่บปรากฏร่องรอยความรู้สึกเบาบาง ก่อนจะพลันจางไปเมื่อดวงตากระพริบปิดลง


    "หากคว้าไม่ได้ ก็จงทำลายมันเสียสิ" ริมฝีปากบางพรายยิ้ม "อาโลอิส"


...คำตอบนั้นทำให้ดวงตาสีโลหิตเป็นประกายวาบ



ก๊อกๆ


     เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างเลือนรางในอนุสติก่อนจะค่อยเเจ่มชัดขึ้น ดวงตาสีท้องฟ้าปรือขึ้นอย่างงวยงง จมอยู่กับความง่วงงุนและเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำรุนแรงเสียจนต้องยกมือกุมอก


    "คุณชาย ถึงเวลาทานอาหารเช้าแล้วครับ" เสียงบอกจากด้านนอกทำให้ผู้ฟังกระพริบตาถี่ๆอีกครั้ง เอนีลเงยหน้าขึ้นมอง พลันก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าบัดนี้เป็นเวลาสาย แสงอาทิตย์สอดเข้ามาภายในห้องทำให้สว่างขึ้นอย่างมาก และทำให้รู้เช่นกันว่าในยามที่ตนจมจ่ออยู่กับความฝัน โลกเบื้องนอกยังคงดำเนินไป


     "..ครับ..ขอเวลาผมสักครู่" เอ่ยตอบไปพลางป่ายผ้าห่มลงจากตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำ นายแพทย์หนุ่มรองน้ำอุ่นมาล้างหน้าบนอ่างทองเหลืองขณะที่จ้องมองก๊อกน้ำสีเดียวกันกับอ่าง ก็ประหวัดไพล่คิดไปถึงความฝันนั้นเงียบๆ


   ...ที่นั่นที่ไหน

เขาไม่ทราบ

คนพวกนั้นคือใคร

เขาไม่รู้

เอนีลจำได้เพียงบทสนทนาแปลกประหลาด การาเวนสีดำ และชายผู้มีดวงตาสีแดงก่ำคนนั้น

...กับ...อาโลอิส?


    ก้มลงล้างหน้า ลูบน้ำอุ่นให้สมองปลอดโปร่งขณะที่ความคิดยังจมจ่ออยู่กับความฝันของตนไม่หาย เอนีลนึกฉงนอย่างหนึ่ง..เพราะชายหนุ่มที่เขาพบเจอนั้น บัดนี้เมื่อมองเห็นในความฝัน เคียงคู่กับ"อาโลอิส"ผู้นั้น ตนจึงทราบว่าไม่ใช่คนๆเดียวกัน


    ผมสีดำสนิท ชุดสีดำ ดวงตาสีแดงก่ำ การาเวนตัวใหญ่ที่ส่งเสียงร้องชวนขวัญผวา นั่นคือสิ่งที่เขาจดจำได้ ทว่าบัดนี้ ในความฝัน เมื่อเห็นชายผู้ถูกเรียกว่าอโลอิสผู้นั้น ชายหนุ่มจึงได้ตระหนักถึงความแตกต่าง ทั้งสีผม รูปร่าง แววตาและลักษณะของคนสองคน ที่แท้ประพิมประพายคล้ายเหมือน แต่ก็ยังเป็นคนละคนกัน


   คนที่เขาได้พบเจอในยามค่ำคืนนั้น...ไม่ใช่อาโลอิส


   ไม่ใช่ปีศาจปีกสีดำอันบ้าคลั่งที่เคยฉีกทึ้งตนอย่างโหดร้ายในความฝันอันแสนน่ากลัว


  "ใช่แล้ว..."


เฮือก!!


    ขณะที่จดจ่ออยู่กับความคิดของตนและกำลังเช็ดหน้าตัวเอง เพียงเงยหน้ามาก็พลันสะดุ้งเฮือก เอนีลเบิกตากว้างจ้องมองกระจกที่สะท้อนเงาของตนเองซึ่งมีใบหน้าตกตะลึง..และ ในนั้นยังมีผู้อื่นอยู่อีกด้วย


    ชายหนุ่มผมดำยาว ดวงตาสีแดงก่ำคู่นั้นยืนจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก ท่าทีพึงใจ ทว่าอย่างไรก็แสนจะน่ากลัว การปรากฏตัวเช่นนี้ มิไยต้องถามถึงความปกติใด และแน่นอนว่าเมื่อหันหลังกลับไป ก็จะไม่มีร่างนั้นอยู่ด้านหลังแน่ๆ


      นายแพทย์หนุ่มเบิกตากว้างเบิ่งมองเงาในกระจกซึ่งสะท้อนภาพตนและชายผู้นั้น ริมฝีปากพะงาบๆของเขาคงน่าขันพอดูชายผู้นั้นจึงหัวเราะ...หัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก


     "ข้าไม่ใช่มัน" เจ้าตัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "แต่ก็เกลียดชังเจ้าได้ไม่แพ้กับมันหรอก"


ก๊อกๆ


   เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้นอีกคำรบทำให้เอนีลสะดุ้งเฮือก และเพียงหันขวับไปมองประตู กลับมาอีกครั้งภาพในกระจกนั้นก็หายไปแล้ว เอนีลกลืนน้ำลายลงช้าๆ กลับตาลงขณะที่สูดหายใจลึก


   "มีอะไรเหรอครับลุงฟาเอล"


   "..เมอร์ซิเยอร์ไคลน์บอกให้ผมมาดู เผื่อคุณหนูจะไม่สบาย" เสียงตอบนั้นทำให้เอนีลยิ้ม อุ่นวาบขึ้นมาในใจอย่างเงียบๆเมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อผู้มีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสดใส


    "ผมไม่เป็นไรครับ..แค่ตื่นสายเล็กน้อยเอง" เอนีลเอ่ยตอบยิ้มๆ เอื้อมมือไปจับลูกบิดแล้วปลดล็อด ตัดสินใจปักเรื่องราวประหลาดให้พ้นออกไปจากสมองก่อน มิฉะนั้นตัวเขาคงเอาแต่หมกมุ่นจนใกล้บ้าเสียแน่ๆ


   กริ๊ก...


     เสียงลูกบิดประตูครางเบาๆ หากแต่ครางนี้มันดูก้องในหูอย่างประหลาก เอนีเลิกคิ้วน้อยๆ ทว่าชายหนุ่มไม่ได้มีท่าทีสงสัยอะไร มือข้างขึ้นกำผ้าพันคอไว้ขณะที่ดันประตูห้องน้ำเปิดออก เพื่อจะแต่งตัวและร่วมรับประทานอาหารกับผู้คนที่ตนแสนคุ้นเคยเบื้องนอก และ..ได้พบเจอคนที่เขารู้สึกอบอุ่นยามเมื่ออยู่ใกล้ผู้นั้น


    "...ตื่นสายแบบนี้ไม่ดีนะครับ..." เสียงบ่นของพ่อบ้านชราดังขึ้นม้จะแง้มประตูได้เพียงน้อย "มันแต่ฝันอยู่รึยังไง..จะอย่างไรความฝันมันก็เป้นเพียงความฝัน ความจริงที่อยู่ตรงหน้าสิ จึงจะชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด..."


    "..............." ผ้าขนหนูในมือหล่นร่วงลงจากมือ  มืออีกข้างหลุดออกจากประตูลูกบิดเงียบๆ เอนีลเบิกตากว้างจ้องมองภาพเบื้องหน้า ขณะที่พ่อหน้าเฒ่าของตนเงยหน้าขึ้นช้าๆ


 ...ร่างของฟาเอลยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งการแต่งตัว รูปร่าง ลักษระท่าทาง ไม่ว่าอย่างไรนี่ก้คือฟาเอลไม่ผิดแน่ ทว่า..ใบหน้าที่ควรเต็มไปด้วยความชราภาพและเหี่ยวย่นตามวัยกลับเนียนกริบ ผิวหน้าแต่งตึงไร้รอยย่นใด  ริมฝีปากบางแย้มเปแนรอยยิ้มหวาน ยิ้ม...ด้วยใบหน้าของชายในชุดดำที่เคยอยู่ในกระจกเมื่อครู่..


    "ลุงฟาเอล!!" เสียงที่ใกล้เคียงกับคำว่ากรีดร้องดังขึ้นทันทีที่มองเห็นภาพเบื้องหน้า ร่างของฟาเอลที่มีใบหน้าของคนๆนั้นทำให้เอนีลถึงกับตัวสั่น นายแพทย์หนุ่มรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวที่เข้ามาจู่โจมหัวใจ พ่อบ้านของเขาเป็นอะไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น ใครมาทำอะไรลุงฟาเอลของเขา!!


     "ปล่อย...ออกไป ออกไปจากตัวเขาเดี๋ยวนี้!!" เอนีลร้องลั่นขณะที่ใบหน้าที่ไม่ใช่ลุงฟาเอลของเขานั้นกำลังอ้าปากเปล่งเสียงหัวเราะชวนสยองขวัญ นายแพทย์หนุ่มไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่มีทางเลยที่ลุงฟาเอลจะเป็นแบบนี้ไปได้ ไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหากฟาเอลไม่มาหาเขา ไม่มาเรียกเขาไว้


      "ไม่.." เสียงหัวเราะนั้นยังคงดังขึ้นพร้อมกับภาพเบื้องหน้าที่เปลี่ยนไป เอนีลตัวเย็นวาบ ชายหนุ่มหันไปมองเบื้องหลัง พลันพบว่าประตูห้องน้ำที่เคยอยู่ใกล้เพียงไม่กี่ก้าวกลับห่างออกไปโขโดยที่เขาไม่รู้ตัว ทิวทัศน์รอบกายกำลังแปรเปลี่ยนไป ไม่ใช่ห้องนอนอันเคยคุ้น ไม่ใช่ห้องน้ำที่เคยยืนอยู่ ไม่มีตู้หนังสือ เตียง ผ้าห่ม หมอน นาฬิกา หรือแม้แต่หน้าต่างบานใหญ่ ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปรวดเร็วเสียจนขาตั้งตัวไม่ทัน


     ที่นี่คือที่ไหน ชายหนุ่มไม่อาจจะรู้ ทว่านี่ไม่ใช่ห้องของเขา บ้านของเขา ไม่ใช่ปารีสแน่ๆ ไม่ใช่..แต่กลับเหมือนภาพที่ปรากฏอยู่ในฝันของเขาทุกๆอย่าง!!   


      "ที่นี่มันที่ไหน..." ริมฝีปากอ้าค้าง ไม่อาจเอ่ยถามสิ่งใดออกมาได้นอกจากรำพึงด้วยความฉงน เอนีลมองพื้นใต้ฝ่าเท้าที่เคยเป็นพรมนุ่มเท้าและปูหินอ่อนสีนวลตา ซึ่งบัดนี้มันเป็นผืนดินสีดำสนิทแตกระแหงคล้ายรกร้างมานานปี เมื่อมองออกไป รอบกายไม่มีใครนอกจากลุงฟาเอลที่มีใบหน้าของคนผู้นั้นซึ่งกำลังแสยะยิ้มราวกับสนุกสนานมาให้


     รอบกายที่เคยเป็นห้องกว้างบัดนี้แปรเป็นผนังสีดำ..หินสีดำมะเมื่อมในฝันนั้นดูน่ากลัวกว่าที่เคยพบเจอนับร้อยเท่าพันทวีเมื่อบัดนี้มันอยู่ต่อหน้า ห้องที่มีลักษณะเหมือนโถงใหญ่ในถ้ำกว้างนับร้อยพันปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ มันก่อร่างเป็นทางเดินสีโลหิต มีคบเพลิงประดับเรียงรายตามทางไปจนสุดทางออกที่เป็นสีขาวไกลลิบตา


   ฝ่าเท้าที่เคยเหยียบผืนดินแห้งแล้งไร้สิ่งใดบัดนี้รู้สึกถึงความเปียกชื้น เอนีลก้มลงไปมอง พลันตัวสั่นระริกเมื่อสัมผัสได้ว่ามันคือเลือด เลือดสีเข้มเจิ่งนองอาบย้อยเบื้องล่างให้กลายเป็นสีแดงฉาน..และ ไม่ไกลจากนั้น..มีเสียงกรีดร้องอันคุ้นหูแว่วมาแผ่วเบา


    "คุณหนู..."ถ้อยคำที่ลุงฟาเอลเคยเรียกขาน บัดนี้ช่างแสนน่าคลื่นเหียนสะอิดสะเอียนเมื่อออกมาจากปากของชายผู้นั้น เอนีลเงยหน้าขึ้นมองด้วยริมฝีปากสั้นระริก รู้สึกปวดร้าวเสียจนแทบร่ำไห้เมื่อมองดูสภาพที่แปลกประหลาดของพ่อบ้านตน


     "นั่นเสียงอะไร...อยากรู้จริง ไปดูกันไหม..ไปกันไหม.." น้ำเสียงระริกระรี้เชื้อเชิญราวกับมีความสุขนักหนา เอนีลส่ายฟน้า ก้าวถอยหลังทันทีเมื่อได้ยินคำชวนนั้น ขณะที่หัวใจเต้นแกว่งด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง สังหรณ์ร้ายกำลังกรีดร้องและบอกให้เขารู้ว่าไม่ควรจะเข้าไปหาเสียงนั้นเป็นอันขาด


เพราะนั่นมันคือเสียงเขา...เสียงกรีดร้องของเขา!!


     "ไม่ไปเหรอ น่าเสียดายจริง..." ลำคอที่เหีย่วย่นขยับไปมาเสียจนได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บ "เสียใจ จนหัวใจแทบสลาย..คุณหนุ อยากดูไหม..หัวใจข้าจะสลาย..."


     น้ำเสียงเสณ้าสร้อยเมหือนจะร่ำไห้นั้นดังขึ้นพร้อมกับปลายนิ้วอันเหี่ยวย่นนั้นแปรเป็นกรงเล็บคมกริบ เล็บสีดำข่วนจิกลำคอของตนเบาๆจนเลือดสีเข้มเริ่มซึมชื้น และค่อยๆฉีกเสื้อสีขาวของชายชราไปด้วย เลือกหยดไหลลงตามลำคอ ขณะที่ปลายนิ้วนั้นพลันแตะลงบนอกซ้าย..


     "ไป!!" เอนีลส่งเสียงกรีดร้องทันทีที่มองเห็นเล็บคมๆนั่นใกล้จะสัมผัสแผ่นอกผอมบางของพ่อบ้านเฒ่า แม้ฟาเอลจะเผลี่ยนไป แม้จะดูแปลกประหลาด ทว่า ไม่ว่าอย่างไรเขาก้จะไม่ยอมให้เจ้าสิ่งนี้ทำร้ายฟาเอลเป็นอันขาด!!


    "..ผมไป..ให้ผมไปลุงฟาเอล พาผมไปที!!" ชายหนุ่มพูดอย่างร้อนรน สีหน้คล้ายจะร่ำไห้นั่นทำให้ผู้ฟังยิ้ม มือข้างนั้นแปรเป็นฝ่ามือเหี่ยวย่นแต่อ่อนนุ่มและแสนอารีนั้น  ฟาเอลเข้ามาฟาเขา จับมือ และพาเดินนำไปอย่างอ่อนโยน พลางส่งเสียงหัวเราะไม่ขาดปาก


    เอนีลเม้มปากแน่น สีหน้าของนายแพทย์หนุ่มบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัวและทรมาร หัวใจของเขาเต้นหนักเสียจนได้ยินอยู่ข้างหู ชายหนุ่มก้าวขาไปตามแรงดึงนั้น ฝ่าเท้าสั่นระริกสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่มากขึ้นเสียจนชายกางเกงของเขาซับสีแดงก่ำ กลิ่่นคาวเลือนอวลหนักเสียจนน่าเวียนหัว ขระที่เสียงกรีดร้อง...เสียงหวีดร้องร่ำไห้ของตนเองดังขึ้นชวนให้สะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย


 "ได้โปรด...ได้โปรด.."


"ทำไม เพราะอะไร"


"ได้โปรด เจ้าอย่าทำร้ายข้าเลย"


    เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นอย่างทรมาร หากเนิ่นนานมันค่อยแผ่วระโหยด้วยไม่อาจต้านทานไหว เงาตะคคุ่มของสองร่างท่ามกลางเส้นรอยต่อของสีขาวและสีดำปรากฏเบื้องหน้า ทุกอย่างกลายเป้นสีแดงฉาน..ปีกสีขาว อาภรณ์อันงามบริสุทธิ์ ร่างที่นอนหายใจรวยริน...ดวงตาสีท้องฟ้าถูกควักจนกลวงโบ๋ ร่ำไห้ด้วยน้ำตาสีโลหิต เส้นเลือด ลำคอ ทุกอย่างถูกดึง คว้านควัก และนำมาร้อยเรียงเข้าไปในริมฝีปากของคนผู้หนึ่ง 


"ทำไม.....ทำ...ไม"


    เสียงแผ่วเบานั้นดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ปลายนิ้วขาวซีดจะกระชากเส้นเสียงออกจากลำคอบาง โลหิดสาดประเซ็นเป็นสาย..เจ้าของดวงตาสีท้องฟ้าที่เหลือเพียงข้างเดียวกันมามองสบตา...จ้องมาด้วยใบหน้าที่มีน้ำตาไหลพราก..


    ร่องรอยความเจ็บปวดยังปรากฏทุกอณู ทุกการขยับไหว แววตาสั่นระริกไหวคู่นั้นขยับเพียงแผ่วเบา ราวกับกำลังร้องของชีวิต..ขอความช่วยเหลือจากตัวเขา


   ..ดวงตาคู่นั้นยังเอ่ยถามว่าทำไม..ทำไมจนกระทั่งแน่นิ่งไม่ไหวติง


   เจ็บ...เจ็บเหลือเกิน


  ทำร้ายข้าทำไม เหตุใดจึงโหดร้ายกับข้าเช่นนี้...ทำไม ทำไม...


    คำถามปนเสียงสะอื้นดังอยู่ในมโนสำนัก ขณะที่ริมฝีปาากอ้าค้าง พยายามจะขยับไหว..พยายามเอ่ยพูดอะไร ทว่าก้อนสะอื้นก็จุกแน่นในลำคอเสียจนพูดไม่ออก


     "...คุณหนู..นั่นมันเจ้าไม่ใช่เหรอ?" คำถามดังขึ้นข้างหูพร้อมเสียงหัวเราะแผ่วเบา และปลายนิ้วเย็นยะเยือนวางลงบนไหล่ "...เจ็บไหม...เจ็บรึเปล่า..อาโลอิส หันมาซี ที่ตรงนี้ยังมีอยู่นะ..."


    วาจานั้นทำให้เจ้าของอาภรณ์สีดำสนิทที่กลืนนัยน์ตาสีท้องฟ้าลงไปในลำคอหันมามอง ใบหน้าเย็นชา ดวงตาสีดำสนิทเย็นยะเยียบจับใจ และเส้นผมสีแดงเข้มอันเปรอะเปื้อนด้วยสีสันของโลหิต


    เป็นครั้งแรก...หลายปีนับจากความฝันอันแสนยาวนาน ที่ชายหนุ่มได้มองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นชัดๆ


    ริมฝีปากของชายผู้นั้นขยับไหว เจ้าของปีกสีดำยื่นกรงเล็บเปื้อนโลหิตมาหา เอนีลรีบถอยห่าง หากแต่ฟาเอลมายืนขวางไว้ ชายหนุ่มแว่วเสียงหัวเราะดังขึ้นด้านหลัง เสียงหัวเราะที่ผสานกันระหว่างเสียงหัวเราะของชายผู้นั้นและลุงฟาเอลสะท้อนก้องอยู่ในหู มันดังขึ้น ดังมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับกรงเล็กสีดำสนิทที่ใกล้เข้ามา


.....จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบ


        "เอนีล...เอนีล ..เอนีล!"


     "คุณหนุครับ..คุณหนู"


       "ฟาเอล ไปเอายากับน้ำสะอาดมา"


       "ครับ..."


           เสียงเรียกคุ้นหู เสียงร้อนรนสั่นไหว น้ำเสียงและฝีเท้าที่ดูวุ่นวายดังขึ้นท่ามกลางอนุสติอันเลือนราง เอนีลลืมตาขึ้นช้าๆ นายแพทย์หนุ่มมองเห็นใบหน้าของไคลน์สไตร์คเซอร์ที่จ้องมองตนด้วยความห่วงใย ดวงตาสีฟ้ากระพริบเชื่องช้า เอื้อมมือไปหาใบหน้าคมคาย หากพลันความทรงยามทุกอย่างก็แล่นวาบ


    "เอนีล..เอนีล คุณเป็นอะไรไป เอนีล!" ไคลน์เอ่ยปากถามอย่างร้อนรน เมื่อคนที่จู่ๆก็หายไปนานเสียจนนึกห่วง ฟาเอลจึงเข้ามาดู เมื่อพบว่าเอนีลหมดสติอยู่บนพื้น เขาจึงเข้ามาช่วยเหลือ ทว่าเพียงลืมตาชายหนุ่มกลับลุกพรวดขึ้นจากเตียง แล้วซบหน้าลงกับฝ่ามือด้วยร่างอันสั่นระริก


    "เอนีล...เอนีล" ไคลน์เอื้อมมือลุบไหล่บางที่สั่นไหล สีหน้าห่วงใยและลำบากใจเหลือล้วน ด้วยไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยเหลือคนตรงหน้าได้อย่างไร


     ".....ก....ลัว..." เสียงกุกกักที่ออกมาจากริมฝีปากคนตรงหน้าทำให้ไคลน์ขมวดคิ้ว


    "เอนีล?.."


    "ผมกลัว..ผมกลัวเหลือเกิน!" น้ำเสียงร้องร่ำไห้ที่ใกล้เคียงกับคำว่ากรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นพร้อมใบหน้าที่เงยขึ้นจากฝ่ามือในที่สุด หากใบหน้างดงามที่เปื้อนน้ำตาทำให้หัวใจชายหนุ่มแปลกวูบ ไคลน์เอื้อมมือไปหา ชายหนุ่มหวังจะกอดปลอบประโลมคนตรงหน้าให้หายปวดใจ หากกพลันก็ต้องเบิกตากว้าง


   ตุบ...


   กลิ่นหอมกำจาย...กุหลาบ..กลีบกุหลานสีแดงเข้มร่วงพรูลงมาจากอุ้งมือของชายหนุ่ม เอนีลเผยอริมฝีปากค้าง เสียงสะอื้นถูกกลืนเข้าไปในลำคอ ก่อนจะก้มลงมองกลีบกุหลาบสีแดงเข้มที่หล่นลงมาจากมือตนเองอย่างงวยงง


   "นี่...มะ"...ยังไม่ทันจะได้ถามหรือเอ่ยปากทักอย่างงวยงงกับสิ่งที่เกิด ไคลน์ สไตร์คเซอร์ก็เอื้อมมือไปกำกุหลาบสีแดงเข้มดอกใหญ่แน่น  แรงบีบนั้นแน่นเสียจนกลีบบอบบางยับยู่ หากชายหนุ่มดูจะไม่สนใจ ดวงตาสีน้ำตาลนั้นแฝงความบ้าคลั่งและโกรธแค้นคุโชน


   "เอนีล!" ฝ่ามือของชายหนุ่มตะปบเข้าที่ไหล่ ดวงตาเต็มไปด้วยความพยาบาทอันลึกซึ้ง "คุณไปได้มันมาจากไหน!!!"



++++++++++++++


ตอนนี้ฟีลเหมือนระเบิดลงชอบกลฟฟฟ

ทั้งระเบิดจากพ่อหนุ่มชุดดำปริศนา ..เจ้าตัวบอกว่าไม่ใช่คนละคนซะงั้น

ส่วนระเบิดอีกลูกก็จากไคลน์ ถึงกับสติแตกกันเลยทีเดียว

พรุ่งนี้มาวางระเบิดอีกซักลูกกันเถอะค่ะ!

//เผ่น



ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8


Lost 14 : เผชิญหน้า


      กุหลาบดอกโต...สีแดงเข้ม กลิ่นหอมกรุ่นกำจาย กลิ่นของพันธ์ไม้ที่มีลักษณะเฉพาะ ต้นไม้ที่ว่ากับว่าเป็นสัญลักษณ์ของความงดงามและความรักอันลึกซึ้งที่ผู้คนนิยมมอบให้แก่กันเพื่อเป็นของกำนัล และแสดงความในใจ


      ..กุหลาบ..ไม่ใช่ลางร้าย ไม่ใช่ดอกไม้แห่งหายนะ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ได้ได้พบเห็นจะพรั่นพรึงและหวาดกลัว ทว่าบัดนี้ เมื่อมันร่วงหล่นลงมาจากตักของเอนีล ชายหนุ่มกลับตัวแข็งทื่อ


     กลีบกุหลาบร่วงพรู กลิ่นหอมเย้ายวนกรุ่นติดปลายจมูก กุหลาบดอกใหญ่ทั้งสวยและหอม หอมนัก..แต่ทว่าเพียงสูดหายใจ มันกลับมีกลิ่นคาวเลือดปะปนอยู่


     ..ความทรงจำย้อนไปนึกถึงเรื่องราวที่เผชิญ ภาพของซากชีวิตตนเองที่นอนแน่นิ่ง ดวงตาเหลือแต่โพรงอันกลวงเปล่ามีโลหิตสีแดงนองเอ่อ ใบหน้านั้นหันมาหา ริมฝีปากขยับ...อ้าอากและดิ้นรนร้องขอทั้งที่รู้ว่าไม่มีหวัง


     กลิ่นเลือดยังลอยวนอยู่ใต้จมูก..ฝ่าเท้า..รู้สึกราวกับชื้นแฉะและสัมผัสได้ถึงโลหิตสีเข้มที่รินไหล หยดเลือดสาดกระเซ็นใบหน้า  ฝ่ามือแดงฉานมีแต่โลหิต กลิ่นคาวชวนคลื่นเหียน และเสียงกรีดร้องร่ำไห้อันทรมารต่อผู้หวาดหวั่นกับความตาย..


   "เอนีล! คุณไปได้มันมาจากไหน!!!"


    เสียงที่คล้ายถ้อยคำตวาดลั่นดังอยู่ข้างหู ปลุกให้สติกลับมายังปัจจุบันเบื้องหน้า นายแพทย์หนุ่มเงยขหน้าขึ้นสบตาผู้ที่กำไหล่ทั้งสองข้างของเขาไว้ เอนีลจ้องมองใบหน้าและแววตาของไคลน์ สไตร์คเซอร์ ผู้ซึ่งบัดนี้เบิกตากว้าง แววตาเต็มไปด้วยโทสะและมีใบหน้าถมึงทึงแปลกตายิ่งนัก


   แรงเขย่ามากขึ้นอีกและถูกจ้องด้วยแววตาคาดคั้น ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองกุหลาบกลีบยับในมือของชายหนุ่ม ไม่ได้อุบปาทานไปเอง..นายแพทย์หนุ่มขมวดคิ้ว ได้กลิ่นอันคลื่นเหียนนั้นชักเจนกว่าเดิม


       "อึ่ก..." รีบเอามือปิดปากไว้ ใบหน้าเหยเก ด้วยรู้สึกคลื่นไส้เสียจนอยากจะอาเจียร


       "เอนีล!!" อยากพัก อยากลงไปล้างหน้าล้างตา ทว่าเสียงลั่นๆของคนตรงหน้าเหมือนจะไม่ยอมให้เขาได้ทำตามใจหวัง แรงบีบที่ไหล่มากขึ้นอีกเสียจนเจ็บแปลบ และเขาถูกเขย่าเสียจนหัวสั่นหัวคลอน ไคลน์ สไตร์คเซอร์ ดูจะงวยงง อยากรู้ และคับอกคับใจถึงที่มาของกุหลาบดอกนี้นัก


      "..ผมไม่รู้" แม้จะทั้งงวยงง ไม่เข้าใจ และพะอืดพะอมแค่ไหน นายแพทย์หนุ่มก็กลืนมันลงคอไปและพยายามตอบให้คนที่ตนอุ่นใจเสมอเวลาอยู่ร่วมกันได้ทราบ


      "ไม่รู้? ไม่รู้ได้ยังไง ก็มันหล่นมาจากตัดของคุณนะ!" แม้จะพยายามตอบอย่างใจเย็น แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่เย็นลงเสียแล้ว ท่าทีร้อนรน ไม่พอใจ และหงุดหงิดเสียจนแทบทนไม่ไหวที่ปรากฏนั้นสร้างความฉงนให้ผู้มองอย่างรวดเร็ว ..หากไม่ใช่เพราะรู้จักกันมาสักระยะแล้ว เอนีลคงไม่เชื่อว่าคนตรงหน้าคือ ไคล์น สไตรค์เซอร์ ผู้ที่มักมีท่าทียิ้มแย้มและใจเย็นเป็นนิจ คนที่คอยปลอบประโลมและดูแลเขายามที่สับสน ว้าวุ่นเสียจนใกล้บ้า


      ..แล้วคนๆนี้ กลับหงุดหงิด อารมณ์เสีย มีท่าทีราวกับทนไม่ได้เมื่อเห็นกุหลาบดอกหนึ่งหล่นลงมาจากตัดของเขาน่ะรึ?


     หากมองเป็นความผิดปกติ สิ่งที่น่าประหลาดก็ย่อมเป็นไปได้ เพราะจนถึงกระทั่งเมื่อครู่ ทั้งเอนีลและไคลน์ไม่ได้รู้ว่ามีกุหลสบดอกนี้อยู่ กระทั่งเขาเอื้อมมือกุมหน้าตัวสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น ครานั้น..กุหลาบดอกโตจึงปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบงันและร่วงหล่นลงจากฝ่ามือของเขา


     ..ทำไม เพราะอะไร?


   มันมาอยู่ได้ยังไง มันคืออะไร แล้วทำไม...เมื่อเห้นมัน ไคลน์ สไตร์คเซอร์ถึงได้มีท่าทีร้อนรนฉุดเแยวเสียขนาดนี้



      ""เอนีล ตอบผมสิ เอนีล!!" เพราะมัวแต่จมจ่ออยู่ในภวังค์ เสียงถามร้อนรนละล่ำละลักจึงยิ่งดังขึ้น ทว่าดังเพียงใดก็ยิ่งทำให้ความเข้าใจลดน้อยลงมากเท่านั้น เอนีลจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เคยอ่อนโยน จ้องมองความร้อนรนในแววตาชายหนุ่มด้วยดวงตาไม่เข้าใจ


       "ผมไม่รู้..ไม่รู้....ไม่รู้อะไรเลย" ทั้งที่เขาก็กลัวและหวาดผวาเสียจนแทบบ้า กลิ่นโลหิตชวนคลื่นเหียนยังตามมาหลอกหลอนไม่จางหาย จนท้องไส้และกระเพาะปั่นป่วน คนตรงหน้าก้ดูรางกับไม่เข้าใจ ไคลน์ยังคงเฝ้าถามย้ำๆซ้ำๆ ในสิ่งที่เขาไม่อาจจะรู้


      "...มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง..คุณไปไหนมา!!" คำถามล่าสุดเหมือนเสียงตวาดดังขึ้นมาไม่หยุด ทำให้ความหงุดหงิดแล่นริ้ว เอนีลเบ้หน้ากับแรงบีบที่ไหล่ เขาออกแรงดิ้นทันที


     "เจ็บ..ผม...อุ่ก...." ในที่สุดก็ไม่อาจทนต่ออาการคลื่นเหียนได้ไหว เอนีลพยายามปัดมืออีกฝ่ายออก ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดริมฝีปากตัวเองแล้วดีดตัวขึ้นจากเตียง ชายหนุ่มวิ่งพรวดพราดเข้าไปในห้องน้ำไม่ไยดีเสียร้องเรียกตามหลัง จากนั้นจึงปิดประตูโครมใหญ่แล้วทรุดตัวลงอาเจียรอย่างเอาเป็นเอาตาย


     "อึ่ก...." นานโขกว่าอาการคลื่นเหียนจะค่อยทุเลา เอนีลรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่คลอเอ่อของตนเอง ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดมันเงียบๆขณะที่ดึงสายชักโครกให้น้ำสะอาดไหลเวียน


    โซเซเดินมาที่กระจกหน้าอ่างทองเหลืองแล้วก้มลงล้างหน้าตัวเองด้วยน้ำเย็นแรงๆเพื่อให้สติกลับมา เอนีลหอบเบาๆ ขณะที่บ้วนปากเอารสชมๆของน้ำย่อยที่ออกมาจากกระเพาะ


      "อุ่ก..." อาการคลื่นเหียนชวนอาเจียรยังเกิดขึ้นเป็นระยะ ทว่าก็ไม่มีอะไรออกมา ท้องของเขาว่างเกินกว่าจะมีอะไรนอกจากน้ำย่อยสีเหลืองจากกระเพาะอาหาร นายแพทย์หนุ่มเอื้อมมือหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า พลางเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจกด้วยแววตาแดงก่ำ


       เขาไม่ได้ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวหรือเสียใจ ทว่าหยดน้ำที่ซึมออกมาจากดวงตากำลังบอกว่าร่างกายรับความเครียดไม่ไหว ทั้งความฝัน ทั้งสิ่งที่พบเจอ ทั้งกลิ่นเลือด และเสียงตะโกน ทุกอย่างที่รุมล้อมทำให้ชายหนุ่มแทบไม่อาจครองสติไว้อยู่


       เอนีลก้มมองฝ่ามือขาวซีดของตัวเอง ชายหนุ่มกำมือแน่นพลางเม้มปากเขาหากัน ความคิดในสมองยังคงสับสน หากสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน คืออาการคลื่นเหียนที่เกิดนั้นไม่ได้มาจากสาเหตุปกติ จะอย่างไรเขาก็เป็นหมอ..ไม่มีแพทย์ที่ไหนได้กลิ่นเลือดแล้วต้องวิ่งโร่ไปอาเจียร แต่หากกลิ่นของโลหิตที่ปะปนกับกลิ่นหอมของกุหลาบ กระตุ้นความทรงจำให้นึกถึงภาพที่ตัวเองถูกทรมารเสียจนไม่ใช่ผู้ใช่คน..


      ถอนหายใจยาว ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าเสียจนแทบทนไม่ไหว  เหตุการณ์ที่เข้าจู่โจมในยามเช้าของวันได้สูบเรี่ยวแรงและกำลังทั้งหมดออกไปจากร่าง เอนีลรู้สึกเหนื่อยหน่ายและล้าแรง ราวกับว่ากำลังวิ่ง..เหมือนเขากำลังวิ่งตามอะไรสักอย่างที่ตัวเองไม่อาจหนีพ้น ยิ่งวิ่งยิ่งเหนื่อย ยิ่งหนี ยิ่งถูกกระชากกลับมาด้วยแรงที่มากขึ้น...มากขึ้น


     ...มาบัดนี้ ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขาเหนื่อย เหนื่อยมากเสียเหลือเกิน


     ความฝันที่คอยหลอกหลอนมานานปีจางหายไปแล้วอย่างไร..มันหายไป แต่กลับมีเหตุการณ์ประหลาดเข้ามาแทนที่ มีความฝันแปลกๆมากมายฝุดขึ้นมาเสียจนนับแทบไม่หวาดไม่ไหว ผู้คนประหลาด..พฤติกรรมแปลกประหลาด และการที่มีคนใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของเขา


     เอนีลรู้สึกราวกับทุกวันนี้กำลังใช้ชีวิตอยู่บนสองโลกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หนึ่งคือความจริง และสอง..คือความฝันที่นับวันมันยิ่งกางปีกครอบคลุม แผ่ขยายอิทธิพลครอบงำตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆทุกที


      ...เมื่อก่อนเขาเคยหวาดกลัว เคยคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นบ้า มาบัดนี้...ในยามที่ล้าเหนื่อยแรงเหลือกำลัง ชายหนุ่มกลับคิดขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างประชดประชัน ว่าให้เป็นบ้าไปเสียเลยยังจะดีกว่า..


    ..อย่างน้อย ก็ไม่ต้องมานั่งปวดหัวคิดถึงสิ่งที่พบเจอ มองหาคำตอบ..ของเรื่องราวที่ไม่อาจมีคำอธิบายใดๆ


    เขาเหนื่อย..เหนื่อยมากจริงๆ


ก๊อกๆๆๆๆๆ


   "เอนีล...เอนีล คุณเป็นอะไรรึเปล่า เปิดประตูให้ผมหน่อย!" เสียงตะโกนร้อนรนดังขึ้นด้านนอกแทรกเข้ามาในความเงียบงัน เอนีลเปิดดวงตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาถอนหายใจเบาๆ เมื่อคิดว่ามีคนที่ยังรออยู่ด้านนอก ชายหนุ่มใช้ผ้าขนหนูในมือเช็ดหน้าตัวเองแรงๆ เขายืนมองกระจกอยู่จนรอให้ตัวเองไม่ได้มีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว จากนั้นจึงหันไปแตะลูกบิดจะเปิดประตู


   ...ฝีเท้าชะงักกึก


    ความทรงจำบางอย่างแล่นขึ้นมาอีกครั้ง เอนีลกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ชายหนุ่มไม่ได้ลืมว่าเมื่อครู่...หรือในยามเช้าของวันนี้ เวลาที่เขาแตะประตูเปิดออกไป สิ่งที่รออยู่หลังบานประตูกลับเป็นสถานที่อันแปลกประหลาดที่ตนไม่เคยพบเจอ


    ...แล้วครั้งนี้ล่ะ...มันจะ...จะเป็นแบบนั้นอีกไหม


    จ้องมองลูกบิดทองเลหืองเบื้องหน้า ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างหวาดหวั่น แม้จะเฝ้าบอกและปลอบตัวเองว่าไม่เป็นไร...เขาไม่เป็นไร และคนที่อยู่ข้างนอกนั้นคือไคลน์ ...ไคลน์ สไตร์คเซอร์ตัวจริงเสียงจริงที่กำลังรอเขาอยู่ คนๆนั้นเป้นห่วงเขา ยืนรอ และเฝ้าถามหาด้วยความร้อนรน ไม่มีเสียล่ะที่เหตุการณ์จะเป็นอย่างเมื่อครู่ไปได้


     ...แม้จะคิดเช่นนั้น แม้จะบอกตัวเองซ้ำๆ ทว่าปลายนิ้วที่แตะอยู่ก็ไม่อาจขยับไหว ความทรงจำที่น่ากลัวนั้นสดใหม่และชัดเจนจนเกินกว่าจะบอกตัวเองให้ลืมเลือนมัน


      เปิดสิ...เปิดออกไป..


    ชายหนุ่มกระซิบบอกตัวเองซ้ำๆ ดวงตาปิดลงเมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้  ภาพที่เกิดขึ้นหากมองจากสายตาคนอื่นมันคงเป็นเรื่องน่าขัน ชายหนุ่มคนหนึ่งมายืนตัวสั่น ท่าทีหวาดกลัวมากมายกับแค่การเปิดประตูบานเดียว


   ทัง้ที่แค่เอื้อมมือไป หมุนลูกบิดประตู แค่นั้น.. คนที่รออยู่หลังประตูนั่น ก็เป็นคนสำคัญคนหนึ่งของเขามิใช่หรือ


    ...แต่ทั้งๆอย่างนั้น


กริ๊ก...


     เสียงลูกบิดถูกหมุนดังขึ้นทั้งที่ไม่ได้ออกแรงอะไรชวนให้ใจหายวาบ เอนีลเปิดดวงตาขึ้นอย่างตกใจไม่น้อย ความคิดในแง่ร้ายทำงานทันทีเมื่อนึกว่าเขาอาจจะต้องเจอกับอะไรที่น่ากลัวกว่านั้น  ทว่าร่างที่สั่นระริกกลับถูกกอดไว้ในอ้อมแขนที่เคยคุ้น ความอบอุ่นที่แสนคุ้ยเคยโอบล้อมทำให้หัวใจกระตุกไหว..


    ...นี่มัน..


    "ไคลน์...." เงยหน้าขึ้นแล้วพึมพัมเสียงเบา เจ้าของอ้อมกอดที่เปิดเขามาหากอดเขาไว้แน่นทั้งยังซบหน้าลงกับไหล่ของเขาเงียบๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียก พลันอ้อมแขนนั้นก็รัดแน่นขึ้นอีกนิด..ก่อนจะถอนหายใจราวกับโล่งอกเมื่อเขายกมือขึ้นช้าๆ...เอนีลตัดสินใจโอบกอดแผ่นหลังของชายหนุ่มตอบโต้เงียบๆ


      ทั้งสองไม่มีคำพูดใดให้กันนอกเสียจากความเงียบ ร่างของผู้ชายสองคนมายืนกอดกันหน้าห้องน้ำดูน่าขัน ทว่าเสียงหัวใจที่เต้นประสานเป็นจังหวะเดียวกันนั้นนำมาซึ่งความสุขและอบอุ่นใจเสียจนแทบจะร้องไห้ด้วยความยินดี


     หัวใจที่เต้นระส่ำด้วยความกลัว ร่างที่สั่นระริกด้วยความหวาดกลัว และจิตใจที่อ่อนไหวเหนื่อยล้าจนไร้เรี่ยวแรง บัดนี้ค่อยฟื้นคืน เอนีลรู้สึกรางกับว่าเขาค่อยๆพลิกฟื้น กลับมามีชีวิตและได้รับพลังใจจากชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง ชายหนุ่มซุกหน้าลงบนแผ่นอกอีกฝ่าย ซึมซับความอบอุ่นและความอ่อนโยนนี้ด้วยความยินดียิ่งนัก..


   ชั่วขณะหนึ่ง หัวใจเต้นกระตุกเสียจนขอบตาผ่าวร้อน..เสียงของใครบางคนดังขึ้นในหูอย่างเงียบงัน


....ไคลน์....ไคลน์....ไคลน์


 รัก..ข้ารักเขาเหลือเกิน..



      เสียงอันแปลกประหลาดดังขึ้นราวกับไม่ใช่ตัวเอง ถ้อยคำที่เหมือนเคยได้ยินในยามที่พบหน้ากันคราแรกฟังดูน่ากลัวในความแปลกประหลาด แต่ในยามนี้มันกลับดูสอดคล้องได้อย่างไม่น่าเชื่อ


    แอ๊ด...


       เสียงเปิดประตูทำให้คนทั้งคู่สะดุ้งไหว ไคลน์ผละออกมาจากร่างของคนตรงหน้าอย่างจงใจอ้อยอิ่งพลางมองข้ามไหล่ตนไปยังเบื้องหลัง ชายหนุ่มมองเห็นพ่อบ้านเฒ่า ฟาเอล กีโยต์ ยืนถือถาดยาและผ้าเช็ดตัวมองมาที่พวกเขาทั้งคู่ด้วยแววตาบางอย่าง ขณะที่คนในอ้อมแขนของเขาส่งเสียงเหมือนสำลัก แดงก่ำไปทั้งหน้าจนถึงใบหู


      ภาพน่ามองนั้นทำให้ชายหนุ่มอมยิ้ม ยอมผละออกมาในที่สุดพลางจูงมืออีกฝ่ายออกมาจากห้องน้ำ เขายังไม่ยอมปล่อยแม้ว่าเอนีลจะพยายามดึงมือออกเมื่อมองเห็นแววตาของฟาเอล สีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ที่ดูน่าหมั่นไส้อย่างน่าประหลาดนั่นทำให้ชายแพทย์หนุ่มอดจะเขวี้ยงค้อนใส่ไม่ได้


      นั่งลงบนเตียง ขณะที่ฟาเอลนำยาและผ้าสะอาดมาให้ พ่อบ้านเฒ่าถอยไปยืนมองการรักษาอยู่เยื้องจากปลายเตียง ทว่าแววตารู้ทันก็ยังคงจ้องมองมือซึ่งประสานกันเขม็ง และเเมื้คุณชายเจ้าของอพาร์ทเมนต์จะพยายามดึงออกอย่างไร ชายหนุ่มผู้อาศัยก็ยังคงจับต่อไปด้วยท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ราวกับไม่รู้เห็นสิ่งใด


      "ไคลน์...." เอ่ยปากทักเบาๆในที่สุด เอนีลหน้าร้อนวาบหลบสายตาจากพ่อบ้านคนสนิทเสียจนไม่รู้จะหลบยังไงไหว


      "ครับ...ทานยาหน่อยไหม?" ริมฝีปากของชายหนุ่มแย้มยิ้มอ่อนโยนและอารมณ์ดีเฉกที่เคยเป็น ราวกับท่าทีอารมณ์ร้อนเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น เอนีลไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเบื้องหลังบานประตูหลังจากที่เขาโผเผเข้าห้องน้ำไป เมื่อกลับออกมา ไคลน์จึงมีท่าทีเปลีย่นเป้นคนละคนเช่นนี้ ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้ถาม เขารับยามาทานจากมือของไคลน์ผู้วึ่งยอมปล่อยมือที่ประสานกันอยู่ในที่สุด


       "ขอบคุณ..."หลังจากกินยาและดื่มน้ำตามเรียบร้อยแล้ว นายแพทย์หนุ่มก็เอ่ยเบาๆ เอนีลมองชายหนุ่มตรงหหน้ากุลีกุจอตรวจความดัน วาดไข้และดูจังหวะอัตราการเต้นของหัวใจอย่างขมักเขม้นตรงนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน


      "ความดันปกติ ดูท่าวันนี้คุณจะเครียดนิดหน่อย...เราหยุดพักกันสักอาทิตย์ไหมครับ?" ไคลน์เอ่ยถาม พลางวางอุปกรณ์ตรวจความดันลงไปบรรจุในกล่องเก็บรักษา ขณะที่เอนีลนิ่งครุ่นคิด หลังจากคลีนิดปิดทำการได้นับอาทิตย์ วันนี้คือวันที่เขามีกำหนดการจะเปิดอีกครั้ง ทว่า..ในเมื่อคนเป็นเจ้าของสถานพยาบาลมีอาการเช่นนี้ จะไปรักษาคนอื่นได้อย่างไร


      ชายหนุ่มถอนใจเบาๆ "นั่นสินะครับ..งั้นลุงฟาเอลครับ ช่วยโทรไปบอกผู้ช่วยผมว่าหยุดงานต่ออีกหนึ่งอาทิตย์นะครับ แล้วก็รบกวนไปเปลี่ยนป้ายประกาศ บอกเพิ่มเวลาหยุดอีกหนึ่งอาทิตย์ที่หน้าคลีนิกที"


      ฟาเอลพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกไปทำตามคำสั่ง หลังบานประตูปิดลง ก็มีเพียงความเงียบ ขณะที่เอนีลนิ่งครุ่นคิด เขาสังเกตุอีกอย่างว่าภายในห้องไม่มีกลิ่นหอมทว่าชวนอาเจียรของดอกกุหลาบดอกโตนั้นอีกแล้ว มันอันตธารหายไปที่ไหนเขาก็ไม่อาจรู้ ไคลน์อาจจะเป็นคนเอาทิ้งก็ได้..


     "คุณ......"หันไปจะถาม หากผู้ถูกเรียกจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ด้วยแววตาแปลกประหลาด


     "เจ็บไหม?" คำถามนั้นถามถึงอะไรเขาไม่รู้ มันจะแฝงนัยยะแปลกๆอะไรเขาไม่ทราบ เอนีลจ้องมองแววตาผู้พูดที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดอย่างไม่ปิดบัง รวมทั้งฝ่ามืออุ่นร้องที่ลูบแก้มเขาเบาๆอย่างอ่อนโยน


     "....หมายถึงที่ไหล่เหรอครับ ผมไม่เป็นไรหรอก" ชายหนุ่มรีบบอกในเรื่องที่เป้นไปได้มากที่สุด


     "อา...ผมขอโทษ" ไคลน์ยิ้มบางๆทว่าแววตายังคงเต็มไปด้วยอารมณ์บางอย่าง


     "...ไคลน์..." เอนีลเอ่ยชื่อชายหนุ่มเสียงสั่น พลันครู่หนึ่งเขารู้สึกอยากจะเล่าเรื่องราวทุกอย่าง บอกและระบายความรู้สึกทั้งหมดให้คนตรงหน้าฟัง เพียงเพื่ออย่างน้อยจะได้ไม่เห็นแววตาเศร้าๆคู่นั้น


     "พักก่อนดีไหมครับ...นอนหลับสักงีบ ทุกอย่างอาจจะดีขึ้น" ความคิดถูกหยุดไว้ด้วยถ้อยคำของอีกฝ่าย เอนีลอ้าปากจะค้าน หากเขาถูกดันให้นอนลง ก่อนที่ปลายนิ้วของอีกฝ่ายจะแตะลงบนหน้าผาก ลูบมันเบาๆ พลางเลยไปยังเส้นผมนุ่ม


     "...ไคลน์ ผม....ยัง..." ทั้งที่เพิ่งตื่น และบัดนี้ก็เป็นยามสายที่ไม่น่าจะมีวี่แววหลับลงได้ แต่ดวงตากลับปรือปิดอย่างรวดเร็วทันทีที่อีกฝ่ายสัมผัสลงบนหน้าผาก เอนีลรู้สึกงวยงงไม่น้อย ชายหนุ่มขยับริมฝีปากพูดออกมา แต่ที่สุดแล้วมันก็กลายเป็นเพียงเสียงละเมอเบาๆจากในลำคอ


      "...ฝันดีนะครับ" เสียงกระซิบดังขึ้นพร้อมกับจูบเบาๆบนหน้าผาก ทั้งที่ปิดตาลงและไม่อาจทราบถึงถ้อยคำนี้ แต่ริมฝีปากของอีกฝ่ายกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มมีความสุข ซึ่งขัดกับใบหน้าเรียบเฉยและแววตาเย็นยะเยือกขึ้นมาวูบหนึ่งของผู้ทำโดยสิ้นเชิง


      ไคลน์ สไตร์คเซอร์ยืนตัวขึ้นจากเตียง ชายหนึ่มดึงเขาผ้าม่านสีควันบุหรี่จากหัวเตียง ปล่อยมันคลี่ออกคลุมรอบเตียงราวกับจะปกป้องเจ้าชายนิทราเบื้องหลัง ขณะที่ฝีเท้าของชายหนุ่มก้าวออกไปเบื้องหน้า และยืนประจัญอยู่กับร่างของชายหนุ่มในชุดดำทะมึนซึ่งยืนอยู่บนหน้าต่างเบื่องนอกด้วยแววตาคุโชน


+++++++++++++++


ตอนนี้แอบมุ้งมิ้งอีกแล้ว อยากไปแทรกตัวในอ้อมกอดของสองคนนั้นจริงๆ .. //คาดว่าจะโดนฆ่าทิ้ง

ว่าแต่เอนีล แพ้ท้องเหรอคะ อย่าเพิ่งนะ ไคลน์ยังไม่ได้ซั่---------- //โดนแบน

สองหนุ่มเผชิญหน้ากันแล้ว..ว่าแต่นี่มันชั้นสามนะคะ ไปยืนอยู่นอกหน้าต่างกลางวันแสกๆ ช่าวบ้านเค้ามิช็อคแย่เร้อออออ พ่อหนุ่มชุดดำ

...หรือนี่เป็นวิธีช่วยหาลูกค้าให้ขุ่นหมอเอนีลกันนะะะะ (..........)


แล้วเจอกันตอนหน้าค่าาา

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8



Lost 15 : รูปภาพที่หลังหนังสือ


        กระจกหน้าต่างบานใหญ่ยาวที่ถูกปิดล็อคนับจากวันที่ผู้เป็นเจ้าของห้องได้เอ่ยปากสัญญาว่าจะไม่เปิดมันอีกขวางกั้นระหว่างคนสองคนไว้ ผ้าม่านสีขาวปิดบังเสี้ยวหน้าและแววตาของชายสองคนที่เผชิญหน้ากันอย่างเงียบเชียบ แม้เบื้องนอกจะเป้นเวลากลางวัน ทว่าบัดนี้กลับดูอึมครึม มืดครึ้มไปด้วยสาเหตุใดก็ไม่อาจจะทราบ


       ฝ่าเท้าของบุรุษในชุดสีดำสนิทแตะลงบนกรอบหน้าต่าง ขณะที่ไคลน์ สไตร์คเซอร์จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยสายตาราวกับพร้อมจะกระโจนใส่ทุกเมื่อ ใบหน้าของชายผู้มาเยือนนั้นยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มพราย ก่อนจะหายไปจากหน้ากระจกบานนั้น และปรากฏตัวอยู่ข้างเตียงของชายหนุ่มผู้หลับสนิทโดยพลัน


      "......!!" ไคลน์หันขวับ เบิกตากว้าง แทบจะกระโจนเข้าไปหาเมื่อปลายนิ้วของอีกฝ่ายตวัดม่านผ้าคลุมสีควันบุหรี่ออก


      "......ช่างหลับสนิทไร้ความกังวลใดๆซะจริง" น้ำเสียงเรียบเย็นเอ่ย พร้อมกันนั้นก็จ้องมองบุรุษที่ปราดเข้าหา และส่งสายตาเป็นอริอย่างชัดเจนมาให้


      "ปล่อย" ไคลน์เอ่ยเสียงต่ำ จ้องมองมาอย่างไม่พอใจ


      "...เจ้า...." เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังออกมาจากริมฝีปากอีกฝ่าย "ปิดหูปิดตาเขาไม่ได้ตลอดหรอก..."


      "ปล่อยมือ" ชายหนุ่มยังคงมีท่าทีหงุดหงิดใจ ไม่ได้สนใจคำพูดของอีกคนสักนิด


       "ข้าไม่ได้แตะต้องอะไรเสียหน่อย" คนถูกตวาดหัวเราะยอมรามือออกจากผ้าม่านในที่สุด ดวงตาสีแดงเข้มจัดจ้องมองใบหน้าผู้พูดเงียบๆก่อนจะยิ้มบาง "...และไม่ได้ทำผิดกฏใด"


      "ไม่งั้นหรือ.." ไคลน์จ้องมองผู้พูดแล้วยิ้ม " ท่านพาเขาไปที่ไหนมา.."


      "ข้าจำต้องตอบรึ?"


      "กุหลาบดอกนั้น...."


      "ใช่.." บุรุษปริศนารับคำและเอื้อมมือไปลูบขนการาเวนบนไหล่ตนเองเงียบๆ "ของเขา"


       "...นี่มันผิด!..ท่านเป็นคนนอก อย่าได้เข้าม-----"


      "ข้า ไม่ ใช่" ไม่ทันที่จะเอ่ยจบ ริมฝีปากของผู้ฟังก็เหยียดยิ้มและเอ่ยปากขัดสั้นๆ "เขาเป็นของข้า เจ้าก็รู้ดีแก่ใจ ไคลน์"


      ".....แต่ตอนนี้" ดูเหมือนคนฟังพยายามจะเอ่ยปากแย้ง..แม้จะทำได้ยากนัก


     "เขาเป็นของข้า ทั้งก่อนหน้ายามนี้ และตลอดไป" กาดำตัวใหญ่ส่งเสียงร้องเบาๆพลางขยับปีกของมันหลายครั้ง มันจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างท้าทาย "แค่เพียงได้โอกาส...หาได้หมายความว่าเขาคือของเจ้า..และแม้ดวงใจจะเป็นเช่นนั้น แต่พวกเรา..หากไม่ได้หัวใจ ก็ใช่จะเป็นเรื่องใหญ่"


       "หึ..." นิ่งฟังครู่หนึ่ง ไคลน์ก็เหยียดยิ้ม ริมฝีปากกระตุกราวกับกำลังขบขัน "ไม่ได้ใจใคร ก็ทำลายทิ้งเสีย นั่นเป็นวิธีการของพวกท่าน..ข้ารู้"


      "รู้แล้วไย...ข้าหาได้สนใจ" ปลายนิ้วสีดำละออกจากขนกาสีเดียวกัน "ความจริงคือของเจ้า ความฝันคือของข้า"


      "...เขาจะเชื่อสิ่งใด...ก็ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเอง"



    เอ่ยแล้วเงาร่างสีดำนั้นก็ลับหายไปจากสายตาเพียงกระพริบ ขณะที่ไคลน์ยืนนิ่ง ชายหนุ่มจ้องมองความว่างเปล่าเบื้องหน้า นิ่งซึมซับถ้อยคำที่ได้รับมาอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจะหันไปจ้องมองชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่เบื้องหลัง แววตาคู่นั้นหม่นแสงลงอย่างเศร้าสร้อยเพียงชั่วครู่ พลันก็เปิดขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้


       ก้าวขาไปยังเตียงใหญ่ มือป่ายเอาผ้าม่านผืนบางนั้นออกไปพลางโน้มกายเหนืออีกฝ่าย ไคลน์จ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าเงียบๆ ใบหน้างดงามยามนิทรา ดูผ่อนคลายและสงบนิ่ง เส้นผมสีทองระใบหน้าถูกปัดออกเงียบๆ ชายหนุ่มจ้องมองภาพเจ้าชายนิทราเบื้องหน้าเงียบๆครู่ใหญ่ ก่อนจะก้มลงจูบเบาๆที่หน้าผากบางอย่างอดรนทนไม่ไหว


        กดจูบเงียบๆครู่ใหญ่ก่อนจะผละออกมาในที่สุด ไคลน์ลุกมาจากเตียง จัดผ้าม่านให้อยู่ในระดับเดิมก่อนจะหันไปยังประตู


        ชายหนุ่มสบตา ฟาเอล กีโยต์เงียบๆ พ่นบ้านชราจ้องมองเขากลับด้วยดวงตาสีเทาที่ฟ้าฟางไปตามวัย บุรุษต่างวัยทั้งสองยังคงเงียบงันราวกับไร้บทสนทนา แต่เปล่าเลย...พวกเขากำลังนิ่ง และรอคอยว่าจะมีฝ่ายใดพูดขึ้นมามากกว่า


         "คุณชาย...."


         "ยังหลับอยู่ครับ อย่าใดห่วงเลย" ไคลน์เดินตรงเข้าไปหา ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนเช่นเคย


         "....ตัวคุณ" ฟาเอลขมวดคิ้วแน่น "กำลังทำอะ...."


        "อะไรเหรอครับ?" ไคลน์ถามด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม ฝ่ามือโบกตวัดผ่านหน้าพ่อบ้านเฒ่า คนที่กำลังอ้าปากเอ่ยถามถึงสิ่งที่เห้น แต่ฟาเอลไม่มีโอกาศจะพูดออกมา เพราะบัดนี้ร่างของเขานิ่งงัน ริมฝีปากอ้าค้าง ไม่อาจพูดสิ่งใด และไม่อาจทำอะไรได้นอกจากยืนนิ่งราวกับรูปปั้น


      ฝ่ามือที่ตวัดผ่านหน้าเมื่อครู่วางลงบนไหล่ ไคลน์ออกแรงบีบไหล่ชายชราเบาๆ ก่อนจะกระซิบเสียงเฉียบ


       "...ช่วยอยู่นิ่งๆจะได้ไหม"


      ...เสียงดีดนิ้วดังขึ้นเบาๆข้างหู  ฟาเอลชะงัก ชายชรากระพริบตาถี่ จ้องมองรอบกายก่อนจะพบว่าตัวเขายืนอยู่ในห้องคุณชายของบ้าน พ่อบ้านชราหันไปมองรอบกาย และได้สบมองรอยยิ้มเยื้อนแสนใจดีของไคลน์ สไตร์คเซอร์


       "...ผมมาถามอาการคุณชาย ถ้ายังไงช่วยอธิบาย..." พ่อบ้านเฒ่าเอ่ยถึงจุดประสงค์ของตน


      "ได้สิครับ ผมจะเล่าให้ฟัง ยังไงเราไปคุยกันข้างล่างไหม กลัวจะรบกวนคนป่วยน่ะครับ" ไคลน์ยิ้มรับ


      "ได้ครับ..ขอบคุณมาก" ฟาเอลเอ่ยปากรับคำ พลางเอื้มมือไปเปิดประตูแล้วเดินนำไปก่อนอย่างรวดเร็ว พ่อบ้านชราแทบไม่เหลือความสงสัยใดเกี่ยวกับความงวยงงของตนที่ยืนอยู่ในห้องของคุณชายของบ้านเมื่อไหร่ก้ไม่ทราบใด ฟาเอลตระหนักถึงเพียงจุดประสงค์ อยากรู้เหตุการณ์และเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคุณชายของเขาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ ตนจึงนำอีกฝ่ายไปอย่างไม่รีรอ


    ...และแล้วก็เป็นอีกดครั้ง ที่ชิ้นส่วนความทรงจำอันหายไปไม่ติดปะต่อครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกปัดทิ้งออกจากความคิดอย่างรวดเร็ว


      ขณะที่ประตูปิดพับลงอย่างเงียบงัน และภายในห้องมีเพียงความเงียบสงบ ดวงตาของคนที่นอนนิ่งนิทรา กลับค่อยๆเปิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เอนีลลุกขึ้นมานั่งอยู่กลางเตียง ชายหนุ่มจ้องมองบานประตูก่อนจะปิดพับดวงตาลงอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกุญแจรถ และลุกไปสวมเสื้อผ้าหน้ากระจกเงียบๆ  ด้วยแววตาใคร่ครวญ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


       รถยนต์คันเดิมที่เคยถูกนำมาเป็นพาหนะยามออกไปเที่ยวกันเมื่อวันอาทิตย์ถูกนำมาใช้งานอีกครั้ง เอนีลลอบออกจากห้องและผ่านสายตาของบอดี้การ์ดออกไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มขับรถออกไปท่ามกลางท้องฟ้าสีครึ้มหม่นและเสียงเครื่องบินรบที่บินผ่านเหนือศรีษะ ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองเบื้องหน้าเงียบๆ ขณะที่ความคิดล่องลอยไปไกล


       ยังคงมีคำถามในถ้อยคำและบทสนทนาอันแปลกประหลาดที่ได้ยิน เอนีลรู้สึกตัวตื่นมานับแต่ได้ยินเสียงของไคลน์ที่เอ่ยห้ามคนๆนั้นแตะปลายนิ้วลงมายังตัวเขาแล้ว แม้การจะหลับตาลงนั้นน่าแปลก หากเขากลับพบว่าการลืมตาตื่นนั้นน่าประหลาดกว่า คล้ายหลับไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าเวทย์มนต์ซึ่งไม่มีอยู่จริง ยามตื่นลืมตา จึงได้สับสนวุ่นวายยิ่งนัก


      ชายหนุ่มทบทวนบทสนทนาที่ได้รู้นั้นเงียบๆ..อะไรคือของเขา..หรือของคนอื่น สิ่งที่ชายหนุ่มคนนั้นและไคนล์พุดกันมันคืออะไร เป็นเหมือนเรื่องของเขา แต่ก็ไม่ใช่ตัวเขา สิ่งที่ไคลน์ สไตร์คเซอร์และชายในชุดดำผู้นั้นเอ่ยถึง มันช่างเป็นเรื่องราวที่ยากจะเข้าใจ


   แล้วยัง...ประโยคนั้น...


   "ความจริงคือของเจ้า ความฝันคือของข้า"


มันหมายความว่าอย่างไร?


     เกี่ยวข้องอะไรกับความฝันของเขา จะบอกว่าชายในชุดดำคนนั้นคือผู้ที่ทำให้เกิดฝันร้ายอันยาวนานกับเขากระนั้นหรือ...รึหมายถึงความฝันหลังจากนั้น ฝันดีบอกว่าตัวเองโดนฆ่าอีกครั้ง และเรื่องราวที่ถูกชักพาให้ไปยังดินแดนประหลาดนั่นน่ะรึ..คือความฝัน


  แล้วยัง...ดอกกุหลาบนั่น


เพราะไคน์รู้ว่ามันเป็นของชายคนนั้น ไคลน์ถึงได้โกรธ..ถึงได้มีท่าทีฉุนเฉียวขนาดนั้นงั้นเหรอ?


    ..และ ไคลน์...ทำอะไรกับพ่อบ้านของเขา


    เอนีลไม่ได้ลืมตา ชายหนุ่มไม่ได้แสดงอาการว่าตื่นขึ้นมาแม้กระทั่งยามที่ถูกจุมพิตหน้าผากด้วยความอ่อนโยนลึกซึ้งนั้น แม้หัวใจจะเต้นกระหน่ำด้วยความขัดเขินเพียงไหน ทว่าสิ่งที่ได้ยิน หลังจากนั้นไม่นาน นอกจากเสียงของบานประตูที่เปิดออก และคำถามชวนให้พูดไม่ออกของพ่อบ้านตน กลับเป็นเสียงที่เปลี่ยนไปของไคลน์ และ..หลังจากนั้นก็เป็นท่าทีที่แปลกไปของฟาเอลอีกด้วย


   ...ไคลน์ทำอะไรกัน?


     เมื่อไม่ได้ลืมตามาย่อมไม่อาจมองเห้น เอนีลได้แต่เดาจากเสียงที่ตนได้ยินเท่านั้น ซึ่งมันก็ไม่อาจยืนยันอะไรได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มรู้ คือด้วยพฤติกรรมและท่าทางของฟาเอล ไม่มีทางที่พ่อบ้านของเขาจะยอมปล่อยปละเรื่องราวนี้ไปได้ หากฟาเอลเห็นถึงพฤติกรรมและท่าทีอันเกิดปกติของพวกเขา ฟาเอลจะต้องถาม..และ...จะต้องนำเรื่องนี้ไปบอกกับบิดาของเขาแน่ๆ


     แต่แล้วทำไม..เพียงเงียบไปเสียครึ่งคำ หลังประโยคหนึ่งของไคล์นลุงฟาเอลของเขาถึงได้เปลีย่นท่าทีรวดเร้วราวกับไม่เห็นอะไรอีก


    ....มันผิดปกติ เกินไป..


   ทั้งชายคนนั้น  ทั้งไคลน์ ทั้งลุงฟาเอล


มันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนปกปิด ปิดบังเขาจากความจริงกันแน่


แล้วเขาจะต้องอยู่อย่างไม่รู้อะไรไปอีกนานแค่ไหน? ทำไมถึงไม่มีใครยอมพูด ยอมบอกอะไรกับเขาซักอย่าง!!



     เอ๊๊ยด


   เหยีบเบรคตัวโก่งหลังจากพบว่าเหม่อเสียจนเกือบเลยเป้าหมาย เอนีลหมุนพวงมาลัย ขับรถเข้าไปยังหน้าโบสถ์ก่อนจะจอดและดับเครื่อง แต่ทว่าชายหนุ่มไม่ได้ลงไป เขานั่งเงียบอยู่หน้าพวกมาลัยครู่ใหญ่ราวกับจะทบทวนบางสิ่ง


   โบสถ์สีขาวหลังเล็กเบื้องหน้าทะเลสาบกว้างใหญ่และงดงาม เขตแดนที่ไร้ผู้คนราวกับอยู่คนละโลก ที่ๆผุ้เป็นบาทหลวงบอกว่าผู้เป็นเจ้าของปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ทำมาใช้ประโยชน์ใด


   ...ที่มาถึงที่นี่ เป็นเพราะหนึ่งในฝันของเขา ความฝันนั้น...


ชายหนุ่มที่เหมือนจะเป็นตัวเอง.. ชายผู้รอคอยใครตคนหนึ่งมาหาในสุสาน และสุดท้ายก็ถูกคนผุ้นั้นฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม


  ความสงสัยเล็กๆ เกิดขึ้นอย่างเงียบงันทำให้เอนีลตัดสินใจมาที่นี่อีกครั้ง


....แน่นอนว่าเขามาคนเดียว 


ก๊อกๆ


     เสียงเคาะเบาๆที่กระจกรถทำให้ใบหน้าที่ซบอยู่กับพวงมาลัยรถเงยขึ้นมา เอนีลหันไปมอง เขาสบมองดวงตาสีเทาที่ฉายแววอบอุ่นของหลวงพ่อฌอง ชายหนุ่มยิ้มบาง ก่อนจะพยักหน้าทักทายแล้วเอื้อมมือเปิดประตูรถ


     "สวัสดีครับหลวงพ่อ ต้องทำให้ลำบากมาเรียก ขออภัยด้วยนะครับ" พอโผล่ออกมายืนเรียบร้อย เอนีลก็รีบขอโทษขอโพยเสียเป็นการใหญ่


     "ไม่เป็นไรหรอก ลูกมาเยี่ยมพ่อก็ดีใจ" รอยย่นบนใบหน้าบ่งบอกความใจดีและเปี่ยมด้วยเมตตา ก่อนที่หลวงพ่อฌองจะมองเลยไปยังด้านหลังของเขา "แล้ววันนี้ อีกคนไม่มาด้วยรึ"


      "เขาติดธุระน่ะครับ ผมเลยมาคนเดียว" เอนีลยิ้มให้แล้วเอ่ยปัดสั้นๆ ชายหนุ่มจ้องมองหลวงพ่อในชุดสีเข้มเบื้องหน้าก่อนจะกระแอมเบาๆ "พอดีผมมีเรื่องจะ..ปรึกษา"


     "...ได้สิ สารภาพบาปหรือ?" หลวงพ่อฌองเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน


    "เปล่าหรอกครับ ผม..เอ่อ..อยากถามเกี่ยวกับ..ที่นี่" นายแพทย์หนุ่มเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง


    "แปลกดี...ลูกเป็นคนแรกๆที่สนใจประวัติของที่นี่" บาทหลวงชราเอ่ยก่อนจะขยับก้าวเดินนำ "เข้าไปนั่งรอในโบสถ์ก่อนสิ พ่อมีรูปถ่ายแล้วก็หนังสือประวัติของโบสถ์นี้ ..แต่มันอยู่ในบ้าน ประเดี๋ยวจะเอามาให้ดู"


    "อ่ะ.ขอบคุณ ขอบคุณมากนะครับ" นายแพทย์หนุ่มรีบเอ่ยปากทันควัน "รวมทั้งเรื่องวันนั้นด้วย ผมหมดสติไปคงทำให้ลำบากหลายอย่าง"


    "หมดสติ?" สีหน้างวยงงนั้นทำให้เอนีลชะงัก


    "ที่ผม...." นายแพทย์หนุ่มอ้าปากจะอธิบาย หากก็นิ่งเงียบและเปลี่ยนเป็นยิ้ม "ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่จำผิดไป ยังไงจะไปนั่งรอหลวงพ่อในโบสถ์นะครับ"


    "...ได้เลย งั้นรอสักครู่" เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ผู้ฟังก็ไม่ได้เอ่ยปากซักไซ้ หลวงพ่อฌองเดินเลียบข้างโบสถ์ไปยังบ้านพักที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ขณะที่เอนีลผละออกมาเดินเข้าไปในโบสถ์


     ฝีเท้าย่ำเข้าไปในโบสถ์เล้กๆที่ไร้ผู้คน มันก้องสะท้อนเบาๆเนื่องจากความสูงของหลังคาที่ไร้ฝ้าเพดาน เอนีลยืนจ้องมองรูปปั้นของพระเยซูคริสต์เบื้องหน้า แสงอ่อนๆที่สาดส่องเข้ามานั้นน้อยนิดเหลือเกินจนตกกระทบเสี้ยวหน้าที่มีแต่ความโศกเศร้าของพระองค์เท่านั้น กระจกสีด้านหลังสะท้อนภาพเทวดาตัวน้อยได้อย่างเลือนรางเมื่อเบื่องนอกมืดครึ้มด้วยพายุฝน นายแพทย์หนุ่มยืนมองเงียบๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่แถวหลังสุดของโบสถ์


     ....หลวงพ่อฌองไม่ทราบว่าเขาหมดสติ


     ก็ไม่แปลกหรอก เพราะเอนีลไปกับไคลน์สองคน ดูจากท่าทางชายหนุ่มคงมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะอุ้มเขาคนเดียวได้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปเรียกหลวงพ่อฌองมาให้ยุ่งยาก จะแปลกอะไร..หากทำตัวเขามาแล้วเอาใส่รถพลางขับกลับไปเงียบๆ


    ...ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไม่มีคนเห็นหรอก..ไม่ใช่


   แม้ก่อนจะไปเขาจะได้ยินหลวงพ่อฌองบอกเต็มปากว่าตัวเองจะถอนหญ้าอยู่หน้าบ้าน แต่ใช่ว่าสาธุคุรผู้นั้นจะอยู่ตลอดเวลาเสียเมื่อไหร่..


 ก็แค่เรื่องธรรมดาสามัญที่มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้ก็เท่านั้น


     "รอนานรึเปล่า..." เหม่อลอยสักพัก เสียงของหลวงพ่อฌองก็ดังขึ้น เอนีลกระพริบตาช้าๆ ชายหนุ่มมองร่างของอีกฝ่ายที่ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าพลางถือเทียนมาด้วยแล้วยิ้มบางๆ


     "ไม่หรอกครับ นั่งอยู่ตรงนี้สงบดี..ผมชอบ"


     "...มีอะไรปรับทุกข์ก็บอกพ่อได้นะ.." คงเพราะสีหน้าของเขาชัดเจน เอนีรลได้แต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร ขณะที่หนังสือปกหนังเล่มใหญ่วางอยุ่ตรงหน้า


     "นี่...." เอนีลจ้องมองมันเงียบๆ "ดูเก่า..มากเลยนะครับ"


     "นับแต่สร้างโบสถ์ขึ้นมานะ มีอายุพอๆกันเลยเชียว" หลวงพ่อฌองเอ่ย ก่อนจะพลิกกระดาษสีน้ำตาลเก่าซีดช้าๆทีละแผ่น "เวลาจะอ่านต้องค่อยๆพลิก ...พ่ออ่านมันมาหลายรอบแล้ว แต่ครั้งนี้เพิ่งมีคนมาขออ่านด้วยกัน ก็รู้สึกแปลกดี"


      "...ผมคงรบกวน" นายแพทย์หนุ่มยิ้มเจื่อน


     "ไม่เลย..." บาทหลวงชราส่ายหน้าเงียบ"เป็นเรื่องดี หากมีคนรุ่นใหม่สนใจเรื่องเก่า...อา...นี่คือคำอุทิศ"


      เอนีลจ้องมองถ้อยคำในกระดาษ ชายหนุ่มอ่านมันเงียบๆ "โบสถ์หลังนี้สร้างอุทิศแด่ลูกชายของมาควิสแชร์ซอง..ผู้จากไปตั้งแต่อายุยังน้อย.."


      "เป็นการจากลาที่น่าเสียดาย ว่ากันว่าท่านมาควิสเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมา เลยตัดสินใจสร้างโบสถ์แห่งนี้อุทิศให้กับวิญญาณของบุตรชายตน" หลวงพ่อฌองเอ่ยสั้นๆ "โบสถ์แห่งนี้บูรณะมาแล้วสามครั้ง ครั้งล่าสุดเมื่อสิบปีก่อน จึงได้ทาผนังเป็นสีขาว ซึ่งแต่เดิมมันถูกก่อด้วยอิฐสีแดง"


       เอนีลพยักหน้ารับเงียบๆ ขณะที่หลวงพ่อฌองพลิกรูปวาดแสดงการบูรณะให้ดู


      "..ดูเหมือนจะมีพินัยกรรม หรือคำสั่งอะไรก็แล้วแต่ ที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ว่าห้ามขาย หรือทำลายที่ดินแห่งนี้ รวมทั้งห้ามทุบโบสถ์หลังนี้ทิ้งด้วย" สาธุคุณวัยชราเอ่ยต่อเบาๆ พลางพลิกกระดาษสีเหลืองกรอบช้าๆ "แต่ก่อนจะมีคนของตระกูลมาวางดอกไม้ และพวงหรีดเนื่องในวันเสียชีวิตของบุตรชายท่านมาร์ควิสที่นี่..แต่ระยะหลังก็ค่อยๆหายไป"


       "...อาจจะเปลี่ยนที่กระมังครับ เพราะที่นี่ค่อนข้างไกล"


       "อาจเป็นไปได้ เพราะสุสานที่อยู่ด้านหลัง แต่เดิมก็ไม่ใช่ของตระกูลอยู่แล้ว" ฝ่ามือของชายชราพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ "แต่ทว่า สาเหตุที่ต้องมาวางดอกไม้..เห็นว่าลูกชายของท่านมาควิสเสียชีวิตที่นั่น"


        "เอ๋" ข้อความนั้นทำให้เอนีลใจหายวาบ "หมายถึง...สุสานน่ะหรือครับ"


       "...ใช่แล้ว" หน้ากระดาษใกล้จะหมด ฝ่ามือเหี่ยวย่นจึงค่อยช้าลง "จากที่ได้ฟังมา..เห็นว่าเสียชีวิตอยู่ใต้ต้นเร้ดวู้ดที่ตอนนี้กลายเป็นต้นไม้ที่เฉาตายคาต้น...ว่ากันว่าถูกฆาตกรรม และจับมือใครดมไม่ได้ เพราะแบบนี้กระมัง ผู้เป็นพ่อถึงได้เสียใจนัก"
        "อา...นั่น...สินะครับ" นายแพทย์หนุ่มเม้มปากแน่น ฝ่ามือสั่นระริก


       "มีคำร่ำลือกันว่าเกิดอาถรรพ์จนต้นไม้ต้นนั้นเฉาตายคาต้นเสียแหนะ...สมัยก่อน เรื่องราวช่างมีหลากหลายเสียจริง" หลวงพ่อฌองเอ่ยก่อนจะยิ้ม "พ่อจำได้ว่ามีรูปวาดลูกชายท่านมาควิสอยู่ด้านหลัง วาดด้วยสีน้ำมันเสียสวย เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดี----------------"


       ถ้อยคำที่จะเอ่ยต่อไปกลับเงียบกริบ ฝ่ามือที่จะพลิกกระดาษสีน้ำตาลซีดจางไปยังหน้าสุดท้ายพลันชะงักอยู่แค่นั้น เอนีลเลิกคิ้วงงๆ หันไปหาบาทหลวงชราอย่างไม่เข้าใจ


      "มีอะไรรึเปล่าครับ?" เอนีลเอ่ยถาม


      "เปล่าหรอก..พ่อแค่นึกได้ว่าตากผ้าทิ้งไว้ นี่ฝนก็ใกล้จะตกแล้ว ยังไงก็ต้องไปอะ-----"



   ตุ๊บ


     ดูเหมือนบาทหลวงชราจะรีบร้อนเสียจนทำหนังสือหล่น เอนีลรีบก้มไปหยิบมาก่อนด้วยความรวมเร็วตามประสาผู้ที่ร่างกายแข็งแรงกว่า ชายหนุ่มหยิบมันมายื่นให้หลวงพ่อฌองแล้วยิ้ม


     "นี่ครับ  ผมขอบคุณมากสำหรับ............."


          ถ้อยคำที่จะออกมาจากปากของชายหนุ่มเงียบหายไปจนเหลือแต่เพียงถ้อยคำที่ไร้เสียง เอนีลจ้องมองภาพที่แลบออกมาจากด้านหลังของหนังสือ เส้นผมสีทองคำและดวงตาสีฟ้าของผุ้ที่อยู่ในภาพสีน้ำมันนั้นจ้องมองกลับมาอย่างเงียบๆ อะไรบางอย่างบอกให้เอื้อมมือไปหา เอนีลพลิกกระดาษสีน้ำตาลเก่าซีดนั้นช้าๆ ไปจนถึงหน้าสุดท้าย และได้มองภาพสีน้ำมันนั้นอย่างเต็มตา..


      บุรุษผู้หนึ่งในชุดแต่งตัวอย่างในยุคกลาง เสื้อสีขาวมีเน็คไทอันใหญ่ติดอยู่ตรงใต้คอ เสื้อคลุมสีน้ำตาลอ่อนขลิบขาว นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก ใบหน้าที่มองตรงมานั้นแฝงด้วยความอ่อนโยน ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองตรงมาเงียบๆ เส้นผมสีทองคำคลอเคลียไหล่ถูกมัดรวบไว้ด้านหลังด้วยริบบิ้นสีสด ริมฝีปากพรายยิ้ม ใบหน้างดงามยิ่งนัก ทั้งเปี่ยมด้วยบรรยากาศความอบอุ่นอ่อนโยนและเป็นกันเอง


      นายแพทย์หนุ่มเงยหน้าไปสบตาหลวงพ่อฌองเงียบๆ ขณะที่บาทหลวงชราเอื้อมมือไปคว้ากางเขนที่ห้อยอยู่ในลำคอมาแนบอกแล้วพึมพัมถึงพระเจ้าเสียงเบา


       กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ พลางยื่นหนังสือคืนไปให้ เอนีลไม่รู้จะเอ่ยปากพูดสิ่งใด เมื่อคนในรูปนั้นเหมือนกับเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน!


++++++++++++++++++++++++++++++++

สองหนุ่มเจอกันแล้วแต่ก็คุยกันได้นิดหน่อย  มารอบนี้คุณพ่อบ้านซวยเบาๆอีกล่ะ ฮ่า


ส่วนเอนีล ...อุตส่าห์ไปสืบคนเดียวทั้งที ดันมาเจอว่าตุเคยม่องที่นี่จริงๆซะงั้น แหม อาจจะเป็นแค่คนที่เหมือนกันก็ได้นะคะะะ


//ไว้รอตอนต่อไปเน้อออ

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8



Lost 16 : ความอยากรู้


       ...แค่คนหน้าเหมือนกัน..เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว


เวลาที่ห่างกันนับร้อยปี..เรื่องแบบนี้ใช่จะเพิ่งมีเสียเมื่อไหร่



       กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ขณะที่ใบหน้าก้มต่ำ เอนีลจ้องมองฝ่ามือตัวเองที่กุมเข้าหากันแน่นเสียจนขึ้นข้อขาว เขาแว่วเสียงหลวงพ่อฌองขอตัวเอาหนังสือไปเก็บหลังจากคืนหนังสือประวัติของโบสถ์เล่มหนาไปให้ ชายหนุ่มไม่เอ่ยคำใด เขาไม่ได้หันไปมองหรือสบตาหลวงพ่อฌองเสียด้วยซ้ำ อาจจะเพราะกลัว.. หากสายตาของอีกฝ่ายมองมาเยี่ยงเขาเป็นตัวประหลาด ชายหนุ่มคงยากจะทานทน


       ...มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นได้กระนั้นหรือ..


     ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม ด้วยความที่เรียนแพทย์ เอนีลมีคำอธิบายมากมายเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้อยู่ในสมอง ไม่ว่าเป็นความเกี่ยวข้องของเซล ยีนส์ หรือแม้แต่เรื่องรหัสด้านพันธุกรรมของมนุษย์


   ทว่าไม่มี...ไม่มีแม้คำอธิบายใด ที่จะบ่งบอกว่าทำไม...ความฝันของเขากับเรื่องราวความตายที่เกิดขึ้นจึงได้เหมือนกันขนาดนั้น
   ชายหนุ่มที่เดินออกไปในสุสานยามค่ำคืนเพื่อพบคนๆหนึ่ง ที่สุดแล้ว กลับถูกคนผู้นั้นสังหาร จากนั้นเขาก็หายไป และไม่อาจจับมือใครดมได้ว่าใครคือผู้ทำ


      ....เรื่องราวหลังจากความฝันนั้น คือที่มาของโบสถ์แห่งนี้


    และภาพก่อนหน้าความตายที่เขาพบเห็น ความสุขและความรักมากมายที่บุตรชายของหลอดเเชร์ซองพบเจอ นั่นคือค่าตอบแทนของคำว่ารักที่คนผู้นั้นมีให้ชายผู้หนึ่งที่เขาไม่รู้จักใช่หรือไม่..


       ...ไม่รู้จักงั้นหรือ...


       ไม่ใช่หรอก เขารู้จัก



       เอนีลกลืนน้ำลายช้าๆ ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเงียบๆก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นจากม้านั่ง ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองเสี้ยวหน้าอันอ่อนโยนของรูปพระแม่มารีที่กระจกติดหน้าต่างด้านหลังเงียบๆ ม้องฟ้าหม่นครึ้ม แสงที่สาดลงมานั้นแสนอ่อนแรงจนไม่อาจเอื้อมถึงใบหน้าอันทุกข์ตรมของพระเยซูเจ้าที่ถูกตรึงกางเขน ทุกอย่างดูมืดมัว แช่นเดียวกับดวงตาสีท้องฟ้าที่ราวกับมีเมฆหมอกปกคลุม


      นายแพทย์หนุ่มสุดหายใจลึกก่อนจะผ่อนออกมาช้าๆ ที่สุดก็ตัดสินใจหลับตาลงและเดินออกไปในที่สุด


      ย่ำเท้าขึ้นไปตามเนินสีเขียวสด ด้านหลังคือทะเลสาบกว้างใหญ่งดงามและโบสถ์สีขาวหลังเล็ก อาณาบริเวณกว้างขวางไร้ผู้คน สวยเสียจนน่าชื่นชม หากบัดนี้ผู้ที่กำลังย่ำเท้าไปเงียบๆนั้นไม่ได้รับรู้ถึงความงามนั้นสักนิด เอนีลก้มหน้าต่ำ ดวงตาจ้องมองฝ่าเท้าของตนเงียบๆ สลับกันเงยหน้าขึ้นมองรอบกายเป็นพักๆ


    เมื่อออกมาร่างของหลวงพ่อฌองก็หายไปแล้ว อาจจะอยู่ในห้องหรือที่ใดก็ตามชายหนุ่มสุดจะรู้ เอนีลเดินดุ่มขึ้นไปตามเส้นทางเดิมที่เขาไปกับไคลน์เมื่อวันนั้น ชายหนุ่มนิ่งคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆอยู่ในสมองเงียบๆ และไม่นาน..สุสานเก่าที่เขาเห็นในความฝันนั้นก็ปรากฏ


       ยืนมองรั้วเหล็กสีดำที่เหมือนจะมืดสนิทมากยื่งขึ้นเมื่อท้องฟ้าเบื้องบนนัน้มืดครึ้มด้วยเงาฝน เอนีลวางมือลงบนรั้วเหล็กนั้นเงียบๆ ออกแรงไม่มากก็สามารถผลักประตูสุสานที่ถูกงับปิดไว้ได้อย่างง่ายดาย


     ก้าวขาเข้าไปในสุสานที่เงียบสงบและเปลี่ยวเหงา เสียงลมพัดหวีดหวีวดังขึ้นใกล้ๆหูชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าตัวเองจะกลับไปเป็นคนนั้น เป็นชายหนุ่มผู้ถูกฆาตกรรมในค่ำคืนนั้นอีกครั้ง ทุกฝ่าเท้าที่ก้าวย่างไปราวกับซ้ำอยู่ที่รอยเดิม ทุกเสียงลมหายใจนั้นสั่นพร่าราวกับจะรู้ว่าเวลาแห่งชีวิตนั้นใกล้จะจบสิ้น


     หยุดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ที่กลายเป็นเพียงซากแห้งกรังไร้ชีวิต หากไม่ได้ทราบมาจากคำบอกเล่าเขาคงไม่รู้ว่านี่คือต้นเร้ดวู้ด เอนีลจ้องมองมันเงียบๆ พลางหันกายไปจ้องสุสานกว้างขวาง ชายหนุ่มมองดูรุปปั้นเทวดาตัวน้อยที่บัดนี้ปีกสีขาวของมันหักทั้งยังถูกกัดกร่อนด้วยกาลเวลา น้ำฝนที่หยดไหลลงมารวมตัวกันคล้ายหยดน้ำตาสีเข้มบนหินที่แกะสลักรูปเทพธิดาสาว ใบหน้าก้มต่ำนั้นถูกผ้าคลุมศรีษะปกปิดเสียครึ่ง ทว่าก็ไม่อาจจะปิดบังความโศกเศร้าและท่าทีหวนอาลัยของหล่อนไปได้


     แกว๊ก....


       เสียงที่เคยคุ้นดังขึ้นเบื้องหลังทำให้เอนีลสะดุ้ง ไหล่ของเขาสั่นระริกน้อยๆ แต่ฝีเท้าก็ยังคงหันไปหา หมนตัวกลับไปยังด้านหน้าต้นเร้ดวู้ด ในที่ๆคนๆนั้นถูกฆาตกรรมและตายอย่างโดดเดี่ยวไร้คนเหลียวแล


      ร่างในชุดคลุมสีดำปรากฏอย่างเงียบเชียบเบื้องหน้าทำให้เผลอสุดหายใจลึกอย่างไม่รู้ตัว เอนีลจ้องมองดวงตาสีแดงของคนผู้นั้นเขม็ง แม้จะกลัวแต่เขาก็ไม่ถอยหลัง แม้จะมีท่าทีอดทนอดกลั้นจนตัวสั่นระริกเขาก็ไม่ปริปากร้อง


      "เห็นแล้วสินะ.." แววตาคู่นั้นทั้งรู้ทั้นและดูขบขันอยู่ในที


      "................" เอนีลพยักหน้าเงียบๆ ไม่ต้องถาม เขาก้รุ้ชายคนนี้หมายถึงสิ่งใด มันก็คงจะเป็นรูปภาพสีน้ำมันของชายหนุ่มคนนั้นเป็นแน่


      "เด็กหนุ่มคนซื่อ..." เสียงผ้าคลุมสะบัดไหวดังขึ้นเมื่อชายผู้นั้นยกแขนขึ้นให้การาเวนตัวใหย่เกาะลงเงียบๆ "...บุตรชายของท่านมาร์ควิสเจ้าของที่ดินอันร่ำรวย เติบโตมาในครอบครัวที่ดี..และมีความสุข เสียก็แต่ มีบางอย่างรบกวนจิตใจเขามาเนิ่นนาน..."


      ".......ฝัน..." เอนีลพึมพัมเสียงเบาราวกับกระซิบ ชายหนุ่มรู้สึกว่ามือของเขากำแน่นขึ้น


      "ถูกต้อง..." ริมฝีปากคู่นั้นยิ้มเยื้อน จ้องมองมาอย่างรู้ทัน "ความฝันที่เจ้าคงเคยชินกับมันมิใช่น้อย...สิ่งที่เราไปดูด้วยกันวันนั้นอย่างไรเล่า...ความฝัน...."


       "ฝันของเจ้า แต่คือความจริงของใครหลายคน"


      "................."


      "....ที่สุดเหมือนเขาจะเจอใครบางคน ที่รักและเข้าใจเขาเสียเหลือเกิน ปลอบประโลม คอยเคียงข้าง เข้าอกเข้าใจ.." ชายผู้นั้นเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ "และสุดท้าย....จุดจบของเขา คือถูกชายผู้นั้นฆ่า"


       "....เจ้าก็เห็น ในฝันนั้นคือใคร"


       "...ผม..." เอนีลเม้มปากแน่น "...ไม่ ชะ--------"


      "ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าเชื่อ" ชายหนุ่มผู้นั้นหัวเราะแผ่วเบา "แต่เจ้าก็สงสัยใช่ไหมล่ะ ถึงได้มาที่นี่เพียงคนเดียว...ไม่เอาองค์รักษ์ของตนมาด้วย"


      "ผมแค่อยากรู้"


      "ความอยากรู้..." ดวงตาสีแดงคู่นั้นหันมาสบ "ใช่แล้ว เจ้านั้นมักพลาดพลั้งกับความอยากรู้เสมอ..นับแต่อดีต มาถึงยามนี้..ไม่เปลี่ยนแปลง"


      "ความอยากรู้ทำให้เจ้าหันมามองข้า ความอยากรู้ทำให้เจ้ารับของสิ่งนั้นไปจากข้า ความอยากรู้ ทำให้เจ้ามาที่นี่...ทั้งที่ทราบอยู่แก่ใจว่าจะพบข้า"


     "และความอยากรู้...จะทำให้ชีวิตเจ้าสั้นลงอีก"


    "กำลังขู่ผมเหรอ" เอนีลเม้มปากแน่น เงยหน้าไปจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาวาววับ


    "ข้าจำต้องขู่เจ้าด้วยรึ..." ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาอย่างเงียบเชียบ ขณะที่ปลายนิ้วเรียวไล้ขนนกสีดำสนิทของการาเวนบนแขนตนเบาๆ


    ".....คุณไม่น่าไว้ใจ" ชายหนุ่มเอ่ยสั้นๆ


    ชายผู้นั้นหัวเราะเบาๆ "ใครที่เจ้าไว้ใจได้บ้าง..ข้ายังสงสัย"


     "...เจ้าไว้ใจพ่อบ้านเฒ่าๆผู้นั้นรึ...หรือว่าเป็นพวกคนคุ้มครองที่อยู่รอบๆ...ไว้ใจชายหนุ่มที่เคยบีบคอเจ้า..หรือไว้ใจ....."มัน" ที่กำลังปกปิดและหลอกลวงเจ้าอยู่"


     "....ไคลน์ไม่ใช่คนแบบนั้น"


     "...บางทีสิ่งที่เหมือนเดิม..ในตัวเจ้าคงมีเพียงความดื้อดึงและดันทุรัง" ปลายนิ้วสีขาวละออกจากกาตัวใหญ่ พลางเอื้อมมือมาเบื้องหน้า เอนีลเบิกตากว้าง เขาอยากจะถอย แต่ทว่าฝีเท้ากลับนึ่งอึ้งราวกับถูกหินถ่วงและไม่อาจขยับไหว


     "...หากอยากรู้ความจริง จงเรียกชื่อข้า" ปลายนิ้วสีขาวแตะลงบนหน้าผากเพียงเเผ่วเบา หากกระแสเย็นยะเยีบที่แผ่ออกมาทำให้สมองชาหนึบ "เซดีส"


    ตุ๊บ.....


      เพียงออกแรงผลักเล็กน้อย ร่างของนายแพทย์หนุ่มก็ทรุดตัวลงไปนอนแน่นิ่ง ดวงตาทั้งคู่ของเขาปิดสนิทราวกับอยู่ในนิทรา หากใบหน้าแสดงชัดถึงความเคร่งเครียดไม่เข้าใจ ดวงตาสีแดงของผู้กระทำเหลือบมองเพียงเล็กน้อย ก่อนที่ร่างนั้นจะหายลับไปอย่างเงียบเชียบ


       สายฝนค่อยโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าสีหม่นราวกับท้องนภากำลังร่ำไห้ ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่นอนนิ่งไร้สติอยู่ในสุสานกว้างใหญ่นั้นยังไม่มีท่าทีราวกับจะลุกขึ้น เขานอนอยู่ที่นั่นพลางหลับตาลงและทอดกายลงบนผืน ใต้ต้นเร้ดวู้ที่ไร้ใบไร้ชีวิต ภายในสุสานรกร้างที่มีเพียงแมลงและสิ่งมีชีวิตอื่นอันไม่ใช่มนุษย์ ยิ่งสายฝนโปรยปรายหนักเท่าไหร่ หมอกสีขาวก็โรยตัวลงมากยิ่งขึ้น รอบกายดูขมุกขมัวราวกับเป็นดินแดนแห่งความฝัน และยิ่งดูราวกับ...เขานั้นได้ตายลงไปแล้วจริงๆ


 +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ปวดหัว.....


     สิ่งแรกที่รับรู้ยามลืมตา คือศรีษะที่ปวดราวกับถูกฆ้อนรุมกระหน่ำ ลมหายใจผ่าวร้อน และดวงตาที่หนักอึ้งจนแทบเปิดขึ้นไม่ไหว ทุกสิ่งนั้นทำให้เอนีลตระหนักได้ว่าเขากำลังไม่สบาย


      ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรง สิ่งแรกที่มองเห็นคือเพดานเตียงอันเคยคุ้น อดจะยิ้มแล้วคิดอย่างขบขันไม่ได้ว่าเมื่อไหร่กันที่เขาใช้ชีวิตอยู่บนเตียงนี้มากกว่าทำกิจกรรมอื่น ในระยะนี้ตัวเขาเดี๋ยวก็ป่วย เดี่ยวก้สลับ หมดสติไปจากสาเหตุหลากหลายเสียจนนับครั้งไม่ถ้วน


   ....และเกินกว่าครึ่ง มันยังเป็นสาเหตุที่ไร้คำอธิบายเสียด้วย


    ถอนหายใจอย่างระทดระท้อ รับรู้ได้ถึงสายตาของใครบางคนที่มองมา เอนีลเอียงใบหน้าจ้องมองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าอ่อนโยนนั้นถูกผ้าม่านสีอ่อนปิดบังไว้ หาากแต่ชายหนุ่มก้คุ้น คุ้นเสียจนแทบไม่ต้องเดาเลยว่าคนๆนั้นคือใคร


     "ขอบคุณที่ช่วยดูแลนะครับ" ชายหนุ่มเอ่ย พลันรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของเขาแหบแห้ง


     รอยแยกของผ้าม่านถูกเปิดออกพร้อมกับใบหน้าของไคลน์ สไตร์คเซอร์ ที่ฉายแววเคร่งขรึมมองมาเขม็ง "คุณหลับไปตั้งคืนนึงเต็มๆ"


    "นานจัง..." เอนีลยิ้ม นึกได้ว่าตอนที่เขาไปยังโบสถ์แห่งนั้น มันยังเป็นตอนบ่าย


    "คุณ...." สีหน้าของชายหนุ่มเหมือนจะถามและซักไว้เรื่องราวที่เกิดขึ้นหากแต่ก็เงียบและพยายามอดใจไว้ "หิวน้ำรึเปล่า"


    "...ขอน้ำอุ่นนะครับ"เอนีลพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะพยุงตัวเองนั่งพิงหัวเตียง แม้จะรู้สึกมึนอยู่ไม่มากก็น้อย


   "น้ำมาแล้ว ค่อยๆทานนะ" เสียงของไคลน์ทำให้เอนีลค่อยละออกจากภวังค์ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปรับน้ำอุ้นในแก้วที่ถูกส่งมาให้อย่างรวดเร็ว


หากพลันปลายนิ้วแตะกระทบกัน ร่างพลันกระตุกเฮือก!   


    "เอนีล!" ไคลน์ร้องเรียกอีกฝ่ายเสียงดัง ทันทีที่ปลายนิ้วของเอนีลสัมผัสกับมือของเขา ร่างของชายหนุ่มพลันสะดุ้งราวกับมีบางสิ่ง ซ้ำยังปละออกราวกับต้องของร้อน นั่นทำให้น้ำในแก้วหกลงรดผ้าห่มทันที ขณะที่เจ้าของห้องยกมือขึ้นกุมศรีษะตัวเองทันควัน!


    "เอนีล เอนีล ..! คุณเป็นอะไร?" ไคลน์ร้องเรียกชื่อชายหนุ่มอย่างร้อนรน ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววงวยงงและตระหนกกับเรื่องที่เกิด ขณะที่เอนีลไม่ได้ตอบรับใด ร่างของชายหนุ่มงองุ้มเข้าหากันพลางขมวดคิ้ว ใบหน้าซุกลงกับเข่าและมือทั้งสองข้างกุมศรีษะตนเองแน่น


    "เอนีล...เอนีล ตอบผมสิ!!" ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ไคลน์ดึงผ้าห่มออกไปจากร่างของคนป่วยพลางถลาเข้าหา ทันทีที่เขาแตะปลายนิ้วลงไปร่างของคนตรงหน้าพลันสะดุ้งเฮือก นอกจากผิวกายที่ร้อนจัดราวกับเปลวไฟเนื่องจากพิษไข้ ร่างที่สั่นระริกราวกับหวาดกลัวของชายหนุ่มเบื้องหน้าก็ทำให้แปลบใจวูบ หากแต่เมื่อตัดสินใจจะเข้าไปกอดไว้ มือของชายหนุ่มกลับยกขึ้นมากันราวกับนกรู้


     "ไม่......ไม่เป็นไร" เอนีลพึมพัมเสียงเบา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาในที่สุดด้วยดวงตาแดงก่ำ ครู่หนึ่งมันฉาบไปด้วยความเจ็บปวดบางสิ่งที่ตนไม่อาจเข้าใจ ไคลน์ชะงัก เขาขยับห่างออกจากเจ้าของร่างเมื่อผู้เป็นเจ้าของห้องค่อยๆลูบผมและลูบหน้าตัวเองช้าๆ ราวกับกำลังจัดการสติให้เข้าที่


    "...ขอโทษ เมื่อกี้ ผมปวดหัว ปวด....มากๆ" ปลายนิ้วสีขาวยกขึ้นสางผมตัวเองยังคงสั่นระริกและดวงตาสีท้องฟ้านั้นแดงก่ำ


    "....คุณ...มีไข้สูง" ไคลน์มองท่าทีนั้นอย่างห่วงใย


   "...ครับ..ผมขอโทษ ผมไม่ทันระวังตัว ผม..." จะเอ่ยถึงสถานที่ๆตนไปแต่ก็เงียบเสียงลง "...ผมปวดหัวมากจริงๆ"     


   "...กินยาไหมครับ เดี๋ยวคงดีขึ้น" ไคลน์เอ่ยเสียงเบา แม้จะรู้ว่ามีบางสิ่ง แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอกเขาก็สุดจะคาดคั้น


   "ก็ดีครับ..ขอบคุณนะ" เอนีลหันไปยิ้มบางๆให้ชายหนุ่ม หากมันคงเป็นเพราะพิษไข้เป็นแน่แววตานั้นจึงสั่นไหวและดูเสณ้าสร้อยอย่างน่าประหลาด


    รับยาไปกินพลางตามด้วยน้ำเงียบๆ แม้เอนีลจะมีท่าทีแปลกไปแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรอีกแล้วเมื่อปลายนิ้วสัมผัสกัน  ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองผ้าห่มที่เปียกน้ำเป้นวงกว้างแล้วยิ้มเจื่อน ".....ทำหกหมดเลย ผมนี่ซุ่มซ่ามจริงๆ"


    "อย่าคิดมากเลย เอาไปทำความสะอาดแปปเดียว" ไคลน์ยิ้ม เอื้อมมือไปบีบมือคนตรงหน้าเงียบๆ คล้ายจะบอกว่าผมอยู่ตรงนี้โดยไร้คำพูดใด


    "...อืม...ขอบคุณนะครับ" ดึงมือออกช้าๆ พลางเสไปดึงผ้าห่มออกไปจากตัว "คงต้องหาผืนใหม่เสียแล้ว...เห็นว่าเก็บอยู่ในตู้ใช่รึเปล่านะ"


   "...ผมจะลงไปบอกฟาเอลให้"  ไคลน์เสนอตัวอย่างมีน้ำใจ


   " ..อืม ครับ ผมไม่ต้องใช้ผ้าห่มก็ได้ ตอนนี้รู้สึกร้อนๆแล้ว สงสัยยาจะออกฤิทธิ์" เอนีลตอบยิ้มๆก่อนจะค่อยทรุกตัวลงนอนบนเตียงพลางหลับตาลงช้าๆ


    "นอนพักอีกสักครู่คงดีขึ้น..." เอ่ยบอกเบาๆ แต่กระนั้นไคลน์ สไตร์คเซอร์ก็ยังไม่ลุกไปไหน


    "...ครับ..." เอนีลรับคำเบาๆก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง "ผมขอนอนพักก่อน..คุณไปพักเถอะนะครับ.."


    "...ผมจะอยู่ตรงนี้ จนกว่าคุณจะหลับ" ถ้อยคำที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมาดูอ่อนโยนนัก


    "ไม่เป็นไรหรอกครับ" เอนีลส่ายหน้าช้าๆ "แค่นี้ก็รบกวนจะแย่อยู่แล้ว ...คุณไปพักเถอะ.."


    "แต่...."


    "นะครับ..ผมอยากนอนพัก....คนเดียว"


     ถ้อยคำนั้นทำให้ไคลน์นิ่งเงียบ ชยหนุ่มมองหน้าเอนีล สบตาสีท้องฟ้าที่ยังฉายแววเหนื่อยล้าครู่หนึ่งก่อนจะถอนใจเบาๆแล้วยิ้มรับ ชายหนุ่มลุกขึ้นจากข้างเตียง  หันไปจูบหน้าปากของคนป่วยเสียทีหนึ่งอย่างมิใยเสียงคัดค้านปนขัดเขินนั้น ก่อนจะปลดผ้าคลุมเตียงให้บังรอบเตียงของชายหนุ่มแล้วเดินออกมาช้าๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองคนที่นอนพักบนเตียงครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูแล้วงับปิดลง


     ผ่านไปครู่ใหญ่ ท่ามกลางเสียงลมหายใจที่ร้อนผ่าวด้วยพิษไข้ เอนีล ชาส์เดอตงส์ลุกขึ้นจากเตียงเงียบๆ ชายหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียงฝั่งขวามือของตนเองพลางมองประจกบานใหญ่เบื้องหน้า สิ่งที่สะท้อนออกมายังคงเป็นใบหน้าและแววตาเดิมๆของตนเองที่แสนเคยคุ้น


    นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาช้าๆ เอนีลยกมือทั้งสองข้างกุมใบหน้า ซุกตัวลงบนเข่าพลางร่ำไห้ด้วยเนื้อตัวสั่นระริก


+++++++++++++++



แว้บมาแบบตอนนี้แอบดราม่าาาา


ได้เจอหนุ่มพกกาอีกแล้ว ตอนนี้เฉลยแล้วนะคะว่าพ่อหนุ่มนี่ชื่อว่าเซดิส แต่จะเกี่ยวอะไรกันไหม โปรดติดตาม อุอุ

ส่วนตอนนี้เกิดอะไรขึ้นทำไมเอนีลถึงได้ร้องห่มร้องไห้  ทะเลาะดราม่าอะไรกับพ่อไคลน์ อันนี้ไว้ติดตามเช่นกันค่าา


ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8



Lost 17 เรียกตัว



เวลาล่วงเข้าไปถึงยามใกล้เที่ยง กว่าเจ้าของห้องจะลงมาทานอาหารเช้า..


    เอนีล ชาส์เดอตงส์มีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเงียบๆพลางจ้องมองผู้ที่รอตนอยู่บนโต๊ะอาหาร ดวงตาสีท้องฟ้าสบมองดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมองมาก่อนแล้วด้วยความแปลกใจไม่น้อย นายแพทย์หนุ่มยิ้มให้เงียบๆพลางนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วหยิบหนังสือพิมพ์กรอบเช้ามากวาดตามองดู


    บนหน้ากระดาษไม่ได้มีข่าวใดไปมากกว่าเรื่องราวเดิมๆที่เป็นอยู่ในขณะที่ การรุกรานของเยอรมันนี้ เคลื่อนพลไปโปแลนด์ ฝรั่งเศษเตรียมตั้งรับ อังกฤษรอดูท่าที บทเพลงของสงครามใกล้จะขับขานอีกครั้ง ทำให้เศรษฐกิจเริ่มฝืดเคืองมากขึ้นตามลำดับ นายแพทย์หนุ่มพับเก็บหนังสือพิมพ์หลังจากครัวซองต์ร้อนๆและซุปหัวหอมถูกวางลงเบื้องหน้า


     "ทานข้าวรึยังครับ?" เอ่ยถามอย่างมีน้ำใจ ยามเมื่อพับเก็บกระดาษหนังสือพิมพ์ลงแล้วชายหนุ่มเบื้องหน้ายังมองอยู่เงียบๆ


     "...รองท้องมาบ้างแล้วล่ะครับ" นั่นแสดงว่าไม่ได้กินอะไรแน่นอน เอนีลจึงหันไปขออาหารเช้าให้ไคลน์อีกหนึ่งชุด


     "....คุณคงมีเรื่องอยากคุยกับผม"ชายหนุ่มพอจะเดาท่าทีจากสายตาคู่นั้นออก


     "...มากพอดูด้วยครับ" ไคลน์ยิ้ม


     "อืม..." เอนีลรับคำพลางพยักหน้าเงียบๆ ชายหนุ่มกัดครัวซองต์เคี้ยวคำหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้ม ท่าทีสงบนิ่ง "พูดมาสิครับ..ผมจะรอฟัง"


      "เมื่อวาน..." ไคลน์ สไตร์คเซอร์เกริ่นขึ้นเงียบๆ แม้จะมีท่าทีงวยงงกับอาการของอีกคน แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรไปมากกว่านั้น และอีกอย่าง ชายหนุ่มอยากจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มากกว่า "คุณหายไปไหนมา"


      "น่าจะทราบไม่ใช่เหรอครับ.."เอนีลเลิกคิ้ว "น่าจะเป็นคุณ..ที่ไปรับผมกลับมา" จากการคาดเดาแล้ว จะเป็นคนอื่นยิ่งเป็นไปไม่ได้


      "นั่นมันก็จริงครับ" ไคลน์ขมวดคิ้วน้อยๆ สัมผัสได้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น "...ผมถึงยิ่งอยากถาม..ทำไม เพราะอะไร คุณถึงไปที่นั่นอีก ทั้งที่...มันไม่ใช่สถานที่ซึ่งมีความทรงจำดีๆ"


       "มีสิครับ" เอนีลขัดขึ้นเงียบๆพลางยิ้มบาง "ที่ๆคุณพาผมไป..นั่นคือความทรงจำที่ดี"


       "...ถ้าอย่างนั้น ผมก็อยากให้เราไปด้วยกัน"


       "อย่างที่เราเคยตกลงกันไว้น่ะหรือครับ? " เอนีลถามชายหนุ่มเบื้องหน้ายิ้มๆ


       "...ผมเป็นห่วง...ผมกลัวคุณจะเป็นอันตราย" ได้มองรอยยิ้มราวกับไม่รู้สึกรู้สาใดแล้วไคลน์กลับปวดฟันจี้ดขึ้นมาดื้อๆ รู้สึกราวกับคนตรงหน้ากลับไปเป็นคุณชายผู้เอาแต่ใจดื้อดึงในวันแรกที่พบกันอีกครั้ง ทั้งที่ไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขายังสนิทสนมกันมากมาย นายทหารหนุ่มอดจะคิดไม่ได้ ว่าตนเองทำความผิดอะไรไว้ คนตรงหน้าถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนไปเช่นนี้


       "เมื่อวานผมรู้สึก...ขอโทษนะครับ...คือผมรู้สึกแปลกๆ อึดอัดเหมือนจะเป็นบ้า..ผมคิดว่าตัวเองอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ต้องไปที่ไหนสักแห่ง..ต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นจะได้เสียสติเอาจริงๆ" เหมือนจะจับได้ถึงความไม่สบายใจของอีกคน เอนีลจคงรีบเอ่ยปาก นายแพทย์หนุ่มหัวเราะเจื่อนสีหน้าขอลุแก่โทษจ้องมองมาเงียบๆ


         "เพราะอย่างนั้นผมเลยออกไป..ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอก แต่เวลานั้น ผมรู้สึกอยากอยู่คนเดียว แม้จะรู้ว่าไม่ปลอดภัย แต่ผมก็อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ...คิดอะไรเงียบๆ ที่ๆผมนึกออก ก็เป็นที่นั่น"


        "จากนั้นก็อย่างที่เราเจอนั่นล่ะครับ ไม่นานฝนก็ตก ผมขับรถไปขอพักที่โบสถ์ของหลวงพ่อฌอง อยู่ดีๆก็นึกครั้มอยากเดินกลางฝนขึ้นมา..เล่นเอาป่วยเสียจนต้องมาวุ่นวายดูแลกันแบบนี้ ผมขอโทษนะครับ"


         "...แต่จากที่คุณ"....ไคลน์อยากท้วงถึงเรื่องที่ชายหนุ่มนอนสลบสไลอยู่ในสุสาน ด้วยสภาพราวกับคนตายเช่นนั้น เขาไม่อยากจะพูดเลยว่ายามนั้นตัวเองรุ้สึกหวาดกลัวและสังหรณ์ร้ายเพียงใดว่าจะเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นต่อคนๆนี้


        ".....ครับ"


        "ไม่มีอะไรมากกว่านั้น...จริงเหรอ?" ไคลน์จ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า แววตาคล้ายจะหมองลงไม่น้อยด้วยความเศร้าบางอย่าง


        "ขอโทษครับ..แต่ไม่มีจริงๆ" เอนีลถอนใจเบาๆ "ผมรู้ว่ามันน่าห่วง ครั้งก่อนผมก็เป้นลม สลบไปอย่างนั้น แต่คราวนี้ไม่มีอะไรหรอกครับ"


        "...ผู้ชายคนนั้น" ไคลน์เปรยขึ้นมาเบาๆ "ที่เราเจอเขาเมื่อวันก่อน..."


   เอนีลชะงัก วางแก้วกาแฟที่จะจิบลงทันควัน แววตาไหวระริก


....ชายที่พวกเขาว่ากันว่าไม่ใช่คน...ชายคนนั้น


        "....ผม ไม่ได้เจอเขา" เอนีลเม้มปากแน่นก่อนจะถอนใจเบาๆ "..ขอยอมรับนะครับ ว่าแอบคิดว่าจะได้เจอ จริงๆตอนนั้นผมช่างบ้าบิ่นเสียเหลือเกิน คิดว่าถ้าได้เจอแล้วถามให้รู้เรื่อง จะได้ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายอะไรกับตัวเองอีก ทุกอย่างจะได้จบลๆ ทั้งฝันีร้าย ทั้งเรื่องราวแปลกๆบ้าบอ โง่สิ้นดี.."


       "................"


       "แต่เหมือนจะไม่มีใครเข้าข้างผม..สิ่งที่รออยู่เมื่อไปที่นั่น มีเพียงสุสานเก่า ป้ายหิน รูปปั้นแตกหัก..กับสายฝนเท่านั้นเอง"
พูดแล้วชายหนุ่มก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงขื่นขม..


      ไคลน์ไม่พูดอะไร ชายหนุ่มมองคนที่จิบหาแฟเอสเพรสโซ่เข้มจัดเบื้องหน้าด้วยแววตาปวดร้าวอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่แม้จะเป้นเพียงครู่เดียว เขาก็สัมผัสได้ถึงความทุกข์ตรมขื่นขมของคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน


        "เอนีล...." ผ่านไปครู่ใหญ่ ไคลน์ก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง


        "ครับ?" ชายหนุ่มรับคำเสียงใส ใบหน้ายิ้มๆจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลเข้มของผู้เอ่ยถาม


        "......ผม" ท่าทางเหมือนไคลน์จะอึดอัดขัดข้องใจอะไรบางอย่าง จึงได้มีท่าทีกระวนกระวายปนครุ่นคิดเช่นนั้น "...ผมอยากถาม"


        "..............."


         "คุณยังไว้ใจผมอยู่ใช่ไหม?"


         ชายหนุ่มกระพริบตาปริบ "ใช่สิครับ"


         "ยังไม่ได้เปิดหน้าต่างบานนั้นใช่ไหม?"


          "ผมทำตามที่คุณบอกอย่างเคร่งครัด" เอนีลอมยิ้ม


          "ถ้าเช่นนั้น..." ไคลน์ถอนหายใจเบาๆ เอื้อมมือไปหาพลางกุมมืออีกฝ่ายไว้เงียบๆ สีหน้าและแววตาแฝงความจริงจังและมุ่งมั่นชัดเจน "...นับจากนี้..หากคุณมีอะไร ผมอยากให้คุณพูดกับผม บอกกับผม แม้ผมจะช่วยอะไรไม่ได้ แม้ผมจะเป็นที่ปรึกษาที่แย่ แต่ผมก็เป็นห่วงคุณ..ห่วงใยคุณมากๆ และกลัวว่าคุณจะเป็นอะไรไป ที่คุณหายไป...สำหรับผม มันคือเวลาที่เลวร้ายที่สุด"


        ดวงตาสีท้องฟ้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเงียบๆ กริยาอาการนั้นทำให้เอนีลนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเบาๆแล้วเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่าย เขาบีบมือไคลน์ไว้แน่นเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายจับมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน


         "ผมขอโทษนะครับ ที่ทำให้คุณไม่พอใจ..." นายแพทย์หนุ่มสบตาอีกคนเงียบๆ "ผมยอมรับว่าเมื่อวานทำตัวไม่ดี..คราวนี้ผมจะไม่ห่างสายตาคุณโดยไม่บอกอีกแล้ว..นะครับ...ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจคุณหรือคิดว่าคุณพึ่งพาไม่ได้ แต่บางครั้งผมก็แค่อยากคิดทบทวนอะไรเงียบๆคนเดียว.. ถ้ามันทำให้คุณไม่สบายใจ หลังจากนี้ผมจะบอกคุณทุกครั้งนะครับ"


         "...ขอบคุณครับ" เมื่อได้ฟังคำมั่นนั้นแล้วไคลน์ก็มีท่าทีผ่อนคลายลง "ขอบคุณมากๆ ที่คุณเชื่อใจและไว้ใจผม"


         ถ้อยคำนั้นทำให้ดวงตาของผู้ฟังไหววูบไปครุ่หนึ่ง หากเอนีลก็พยักหน้า "ครับ..ผมเชื่อ..และไว้ใจคุณ"


    แววหวั่นไหวในดวงตาของคนทั้งคู่หายไปแล้ว เหลือเพียงความอบอุ่นและเชื่อใจกันอย่างลึกซึ่งที่ส่งผ่าน พวกเขาจ้องมองกันอย่างเงียบๆโดยที่ปลายนิ้วและฝ่ามือยังกุมกันอยู่อย่างนั้นกระทั่งอาหารกลางวันถูกมาเสริฟ์พร้อมเสียงกระแอมของฟาเอลที่ดูจะดังกว่าปกติ ทำให้ผิวแก้มของเอนีลร้อนวาบ เสไปจิบกาแฟยามเช้ากลบเกลื่อนอาการเสีย ท่ามกลางแววตาวิบวับรู้ทันของไคลน์ สไตร์คเซอร์คนนั้น


       บรรยากาศแปลกๆทั้งชวนขัดเขินและกระอักกระอ่วนของมื้อเช้าในยามใกล้เที่ยงวันดำเนินไปเช่นนั้น ทั้งสองสนทนากันเรื่อสัพเพเหระพลางทานอาหารไปด้วย ทว่าไม่ทันจะได้จบมื้อ เสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้น


        เอนีลมองฟาเอล กีโยต์ พ่อบ้านของตนเดินไปรับโทรศัพท์ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมาหา


      "...นิโคลัสโทรมาครับ"


    เอนีลชะงัก วางครัวซองต์ในมือลงทันที พลางเช็ดมือกับผ้ารองบนตัก


      "ครับ ผมคุยเอง"



+++++++++++++++++++++++++++++



        กระชับเสื้อโค้ทสีน้ำตาลเข้มเข้ากับตัว พลางถือหมวกสีดำและกระเป๋าใส่เอกสารในมือขวา อากาศที่แปรปราวนของกรุงปารีสบอกให้ควรพกร่มติดมือไว้ จ้องมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบบ่ายโมง เวลานัดใกล้จะมาถึงแล้ว แต่ตัวเขายังออกจากบ้านไม่ได้ เพราะชายสองคนที่กุลีกุจอทำนั่นทำนี่ให้ไม่หยุด


         "กินยารึยังครับ?" นี่คือคำถามจากฟาเอล พ่อบ้านเฒ้าห่วงใยสุขภาพของเขาเสมอ


         "กินแล้วครับ เมื่อกี้นี่เอง" เอนีลตอบยิ้มๆ


        "อากาศแบบนี้ไม่น่าไว้ใจ ให้ผมไปส่งไหม" นี่ก้เป้นคนใหม่ที่เข้ามาห่วงใยและทำตัวเป็นผู้ปกครองของเขาอีกราย ไคลน์ สไตร์คเซอร์


         "ผมพกร่มมาแล้วนะ ไม่เป็นไรหรอกครับ"


        "ถ้าอย่างนั้นผมขอไปส่ง"


         "โถ่ ใกล้นิดเดียวเอง"


         "แบบนั้นก็ถือว่าผมไปเดินยืนเส้นยืดสาย ออกกำลังกายกับคุณแล้วกันนะครับ"


        "ห่วงกันเสียยิ่งกว่าคุณพ่ออีกแหนะ ผมไปคนเดียวเองได้ครับ ลุงฟาเอล...ช่วยห้ามไคลน์แล้วบอกให้เขาพักสบายๆอยู่ที่ห้องหน่อยสิ"


        "...ครั้งนี้ผมเห็นด้วยกับเมอร์ซิเยอร์สไตร์คเซอร์ครับ"


        "....เข้าขากันดีตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย"


           บทสนทนาที่เต็มไปดว้ยความห่วงใยแต่แสนจะวกวนไปมาในสายตาคนฟังดังอยู่เป็นหลายนาทีแล้วแต่ยังไม่อาจได้ข้อสรุป เอนีล ชาส์เดอตงส์รู้สึกอ่อนอกอ่อนใจล้นเหลือ  แม้เขาจะรู้สึกดี..รู้สึกพอใจและปลาบปลามเป้นอย่างมากในความห่วงใยที่ได้รับ ทั้งจากลุงฟาเอลผุ้เปรียบเสมือนบิดา และกับไคลน์..คนที่บัดนี้เขาถือว่ามีความพิเศษอยู่ในใจอย่างหนึ่งแม้ตนไม่อาจะรู้และจำแนกลักษระของความรู้สึกนี้ได้ก็ตาม ...คนสองคนที่สำคัญต่อเขา รุมห่วงใยและเต็มใจคอยดูแล ช่างแสนน่าปลื้มใจ...


         ..เอนีลก็ปลื้ม เขาปลื้มใจมาก หากแต่ชักจะเริ่มปลื้มไม่ไหว หลังจากพบว่าการ"ห่วงมากไป"ทำให้เขาไม่ได้ออกไปจากบ้านเสียที


       นายแพทย์หนุ่มมองเวลาแล้วถอนหายใจเบาๆ เขามีนัดที่มหาวิทยาลัยแพทย์ของปารีสหลังจากที่นิโคลัสโทรมาหา เรื่องที่ผู้ช่วยของเขาอาละวาดทำร้ายร่างกายตนนั้นหลุดรอดไปสุ่หุของอธิการบดีเมื่อใดก้ไม่อาจทราบใด ทว่ามันส่งผลร้ายต่อนิโคลัสเป็นแน่แท้ ชายหนุ่มจะถุกตั้งคระกรรมการสอบสวน และถูกประเมิณคุณลักษระในการประกอบอาชีพใหม่ และเขา..เอนีลก็เป็นเพียงคนเดียวที่จะไปให้การและช่วยเหลือนิโคลัสได้


      เขาไม่มีทางยอมให้อนาคตของคนๆหนึ่งต้องมาพังเพราะความผิดที่ไม่รู้ตัวว่าก่อไปตอนไหนแน่ๆ


      ...แต่ตอนนี้ สองชายในบ้านกำลังจะทำให้เขาสาย ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าลดความเชื่อถืออย่างยิ่ง


        "เดินไปไม่ทันเวลานัดแน่ๆ..แะนั้น ไคลน์ครับ รบกวนขับรถไปส่งผมหน่อย.." ที่สุดนายแพทย์หนุ่มก้จำต้องเอ่ยปาก "ส่วนลุงฟาเอล..ผมทานยา ผมจะรักษาสุขภาพให้ดีที่สุด ที่ๆผมไปคือวิทยาลัยแพทย์ชั้นหนึ่งของฟารีส.. แน่นอนว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผมต้องได้รับการดูแลรักษาที่ดีทีสุดแน่นอน"     


         " แต่ผมไม่อยาก...."พ่อบ้านเฒ่ายังเอ่ยปากค้าน


         "แน่นอนครับ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่อง ผมก็เช่นกัน เพราะแะนั้นผมจะดูแลตัวเอง" เอนีลจูบแก้มเหี่ยวย่นเบาๆ "..ก็แค่พุดเผื่อไว้ ต้องไปแล้วล่ะครับ"


         ว่าแล้วนายแพทย์หนุ่มก็เปิดประตูอพาร์ทเมนต์เดินออกไปด้านนอกทันที เขามองไคลน์ที่สตาร์ทเครื่องยนต์รออยู่แล้วเดินขึ้นไปนั่งข้างคนขับ พลางหันไปโบกมือให้ฟาเอลที่เดินมายืนมองอย่างอาลัยที่หน้าบ้านก่อนจะลดมือลงเมื่อพ้นจากแยก


          "....รู้สึกเมหือนพวกคุณวางแผนกันไว้เลย" ชายหนุ่มหมายถึงการเอาแต่ห่วงโน่นห่วงนี่เสียจนเขาไม่อาจจะเดินมาโดยง่าย แถมทำให้ช้าเสียจนต้องขอให้ไคลน์ขับรถมาส่ง


         "ผมเปล่า.." ไคลน์เอ่ยปากปฏิเสธยิ้มๆ แต่เอนีลกลับรู้สึกประหนึ่งชายหนุ่มกำลังบอกว่า "ใช่ คุณเดาถูกแล้ว" เสียมากกว่า


        "มันไม่มีอะไรหรอกครับ.." พอจะรู้ถึงความกังวลของทั้งสองคนได้ เอนีลถอนหายใจเบาๆ "ผมไม่เป้นไร ส่วนนิก..เขาไม่ทำอะไรแล้วล่ะ"


       ".........." ไม่มีคำตอบใดจากปากของชายหนุ่ม หากอาการขมวดคิ้วบ่งชุดว่าไม่เห็นด้วย


       "ที่นั่นเป็นมหาวิทยาลัย คนเยอะแยะ แถมพบกันต่อหน้าอาจารย์แพทย์ และทีมไต่สวน ถึงอยากจะทำเขาก็ทำอะไรผมไม่ได้หรอก.." เอนีลเอ่ยช้าๆ ยังพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ


        "...แต่หลังจากนั้นล่ะ" ไคลน์ขมวดคิ้ว ขณะที่ขับรถเลี้ยวไปตามวงเวียน


       "...ไคลน์..." สัญลักษณ์ป้ายมหาวิทยาลัยอยู่ไม่ไกลบ่งบอกว่าใกล้จะถึง "ขอบคุณที่คุณห่วงใย แต่ผมไม่ใช่เด็กอมมือนะครับ ผมดูแลตัวเองได้ ไม่อยากให้ห่วงมากเกินไปเลย ทั้งคุณ ทั้งลุงฟาเอล.."


        "ผมก็ไม่อยากจะพูด" ไคลน์ถอนใจ "แต่ครั้งสุดท้ายที่คุณออกไปไหนมาไหนคนเดียว ผลคือแบบไหนคุณก็รู้ดี..ผมไม่อยากจะตำหนิและควบคุมคุณ..แต่ผมเป็นห่วงคุณ อย่างที่เคยบอก"


     รถค่อยเคลื่อนช้าลงเนื่องจากบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยมีการสัญจรค่อนข้างติดขัด เอนีลมองไปยังด้านข้างรถ เขามองเห็นนักศึกษายืนแจกใบปลิวต่อต้านสงครามและต่อร้านรัฐบาลท่ามกลางผุ็คนที่ขวักไขว่เดินไปมา ดวงตาสีฟ้าหันกลับมาอีกครั้ง ปลายนิ้วเลื่อนไปกุมมือที่กำลังกุมกระปุกเกียร์รถยนต์อย่างเงียบเชียบ


       "...ผมรู้..ขอบคุณ" สบตาผู้พูดเงียบๆก่อนจะยิ้มบาง "ผมจะดูแลตัวเอง นะครับ..นะ"


       ไคลน์ถอนหายใจเบาๆ "...ผมจะรออยู่ที่นี่"


      "..ใช้เวลานานเท่าไหร่ไม่รู้ ผมว่าคุณกลับไปพักผ่อนเถอะ" เอนีลถอนใจเบาๆ เขาค่อยละมืออกหลังจากรถแล่นเข้าอาณาบริเวณในมหาวิทยาลัย "ลุงฟาเอลบอกว่าคุณเอาแต่เฝ้าผมจนไม่หลับไม่นอน แบบนั้นผมรู้สึกไม่ดีเลย"


       "ถ้าคุณอยากให้ผมพักผ่อน ก็ต้องดูแลตัวเอง.." ไคลน์นำรถเข้าจอดบริเวณใต้ตึกอธิการบดี "...ถ้าคุณไม่สบาย..ผมก็จะยิ่งไม่สบายใจ แต่ถ้าคุณมีความสุขเมื่อไรห่ ผมก้จะมีความสุขมากขึ้นไปด้วย"


      มองคนพูดครู่หนึ่ง เอนีลรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าว "คุณนี่..."


       "ผมจะรออยู่ตรงนี้..มาถึงเมื่อไหร่บอกนะ" แม้อีกฝ่ายจะเขิน แต่คนพูดกลับไม่มีท่าทีสะทนสะท้าน ซ้ำยังขยิบตาใส่หน้าตาเฉย


      "...ครับ ผมจะรีบกลับมา" ที่สุดก็ทำอะไรไม่ได้ เอนีลถอนใจเบาๆ แม้ริมฝีปากจะยังยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเสียจนรู้สึกว่าผิวแก้มเริ่มล้า ชายหนุ่มเปิดประตูรถลง ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้


       "ไคลน์!"


       "ครับ?"


       "...ขอบคุณครับ " ปรัทับริมฝีปากลงข้างแก้มเร็วๆเหมือนจูบขอบคุณแล้วผละออก เอนีลปิดประตูรถ เดินก้าวฉับๆไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังห้องพิจารณาสืบสวนคดีของนิโคลัส ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงยิ้มแก้ว ผิวแก้มแดงชัด ไม่ต่างกับคนถูกจูบแก้มที่ดวงตาเบิกขึ้นครุ่หนึ่ง หากแววตาพราวระยับชอบใจ


     เอนีลก้าวเท้าขึ้นไปยังชั้นสามอย่างอารมณ์ดี แม้จะรู้ตัวว่าควรสำรวจในยามนี้ ทว่ากลับควบคุมตัวไม่ได้ ชายหนุ่มพลอยแต่จะยิ้มและหลุดหัวเราะอยู่ร่ำไป แม้ว่าไม่ควรเอามากๆก็ตามที


     ทั้งที่ยังยิ้ม หากเมื่อก้าวขึ้นชั้นที่สามบรรยากาศก็พลันเปลี่ยนไป โถงอาคารที่ยังเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและสรรพเสียงต่างๆพลันเงียบลงอย่างน่ากังขา ทิวทัศน์เบื้องหน้าเริ่มพร่าเลือนราวกับอยู่ในเมฆหมอกทีละน้อย..ขระที่เบื้องหน้า มีร่างอันเคยคุ้นตายืนจ้องมองอยู่


      เอนีลชะงัก ฝีเท้าหยุดลงครุ่หนึ่งหากก็ก้าวต่อไป ใบหน้าแปรเป็นเรียบเฉยสบกับดวงตาสีแดงก่ำที่ฉายแววพึงใจอย่างประหลาดกับท่าทีนั้นของเขา นายแพทย์หนุ่มสุดหายใจลึก หยุดฝีเท้าลงเบื้องหน้าชายในชุดดำก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา


       "มาตามที่เรียกแล้วครับ เซดิส"


++++++++++++++++


ทำไมบรรยากาศมันเหมือนคบชู้ #เดี่ยว


เหมือนภรรยาหนีจากสามีที่แสนดีและบ้านที่อบอุ่นไปหาชู้แบดบอยเลยข่ะะะ #Nooooooooooooooooooo


แต่เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป คุณสามีแสนดี(?)จะเอาตัวคุณภรรยากลับมาได้หรือไม่ และคุณชู้สุดเร้าใจ(?)จะทำอย่างไรต่อ โปรติดตามค่าาา


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8

Lost 18 ภาพสะท้อน


  เอนีล ชาส์เดองตงส์ก้าวเท้าช้าๆ เดินตามหลังชายที่เขารู้ว่าชื่อเซดิส ชายหนุ่มก้มหน้าลงต่ำ ขณะที่สมองเฝ้าคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆอย่างเงียบเชียบ เบื่องหน้าเขาคือแผ่นหลังของชายคนนั้น ร่างนั้นเดินนำหน้า แต่การาเวนตัวโตที่เกาะอยู่บนไหล่อีกฝ่ายยังจ้องมองเขาเขม็งไม่วางตา ขณะที่ก้าวเท้าไปยังที่ไหนสักแห่ง ดินแดนที่เอนีลรู้ว่าไม่ใช่ที่เดิมที่ตนเองยืนอยู่แน่นอน


      ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ ว่ามาแล้วจะต้องพบกับอีกฝ่าย เอนีลพอจะรู้ ไม่ว่าด้วยลางสังหรณ์หรือสิ่งใด บางอย่างกระซิบบอกเขาตั้งแต่รับโทรสัพท์สายนั้น ว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าที่คิด


     ไปช่วยนิโคลัสน่ะอาจจะใช่ แต่...บางอย่างบอกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น  ดังนั้นเขาจึงพยายาม..จึงเอ่ยปากขอมาคนเดียว เพียงเพื่อจะไม่ได้ตกเป็นที่สงสัย


     ...เพราะเขามีบางสิ่งที่จะต้องรู้ให้ได้


      "...เห็นแล้วใช่ไหม" นิ่งคิดแยู่สักพัก คำถามนั้นก็ดังขึ้น เอนีลชะงัก กระพริบตาลงช้าๆ ก่อนจะพยักหน้า


    เรื่องราวทุกอย่าง..ที่เกิดขึ้นในที่แห่งนั้น


    ในความฝันอันยาวนานนับแต่หลับตาลงท่ามกลางสุสาน ราวกับทุกอย่างได้ย้อนไปในอดีต ช่วงเวลาที่"ชายคนนั้น"ยังคงมีชีวิตอยู่


     เอนีลไม่นึกกังขาอีกแล้วว่าบุตรชายของมาร์ควิสแชร์ซองจะใช่ตนหรือไม่ จะเป็นคนๆเดียวกันไหม รึจะเป้นเพียงอาการคิดไปเองของตน เขายืนอยู่ในร่างของคนๆนั้น รับรู้ความรู้สึกและเรื่องราวทุกอย่างที่ดำเนินไป ทั้งฝันร้าย ทั้งความหวาดกลัวที่มีเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน คนที่เข้ามา เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่เขาเฝ้าคะนึงหา และ...จวบกระทั่งคมมีดฝังอยู่บนร่าง..


     เช่นเดียวกับเขาที่มีใบหน้าคล้ายบุตรชายของมาร์ควิสแชร์ซอง....คนในฝันของเขา..ก็มีใบหน้าคล้ายกับ ไคลน์ สไตร์คเซอร์


     ....อาจจะเป็นการเล่นตลก โชคชะตา หรือการกลั่นแกล้งของใครสักคน ที่ดลให้เรื่องราวในยามนี้เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน


     ราวกับบอก และกระตุ้นเตือนเขาอย่างเงียบเชียบ ว่าหากมอบหัวใจให้กับไคลน์ ตัวเขาจะต้องตายเพราะคมมีดนั้นเช่นเดียวกันกับวันวาน   


      "แต่....."


     "ก็ยังไม่เชื่อทั้งหมด" เสียงนั้นเอ่ยตอบคำของเขา ขระที่เอนีลเงยหน้าขึ้น จ้องมองดูคล้ายจะถาม ว่าทำไมจึงได้รับรู้ความในใจของตน


    "ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เจ้าก็ยังเหมือนเดิม...เสียก็แต่ครั้งก่อน ไม่มีใครเอื้อมมือไปถึงตัวเจ้าได้ แต่ครานี้มันต่างออกไป"


   ชายคนนั้นหยุดฝีเท้า เอนีลกระพริบตามอง พลันเขาถึงรู้สึก ว่าตนเองได้มาถึงที่ไหนสักแห่งโดยไม่รู้ตัว เบื้องหน้าคือประตูบานใหญ่ หนา หนัก คล้ายทำจากเหล็ก แกะสลักเป็นรูปภาพและเรื่องราวที่เขาไม่เคยเห็น ทั้งดูสวย งดงาม น่ากลัว และลึกลับ


     ชายคนนั้นวางมือลงบนประตูเหล็กเงียบๆ หากแต่ไม่ได้ออกแรงผลักไป แต่หันมาสบตาตัวเขา


     เซดิสแย้มรอยยิ้มบาง


    "มาสิ....ผลักประตูเปิดเข้าไป แล้วไปพบกับอาโลอิสกัน"


    เอนีลเกร็งตัวเยือกเมื่อได้ยินชื่อนั้น ชายหนุ่มรู้สึกถึงฝ่ามือที่สั่นไหวของตน ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองท่าทีของบุรุษตรงหน้าอย่างหวั่นใจ หากที่สุดแล้วเขาก็เม้มปากแน่น เอื้อมมือไปข้างหน้า ยกขึ้นผลักบานประตูหนา..หนัก นั้นให้เปิดออกไป...


      .....เพื่อไปพบกับความจริง


++++++++++++++++++++++++++++++


..เพราะอะไรถึงได้ยอมมากับคนแปลกหน้า สิ่งที่ตนเองรู้ว่าไม่ใช่คน และ..ชายที่เคยหลอกหลอนทำร้ายเขาเสียจนหมดสติ


     หากใครได้มาเจอเอนีลในยามนี้ คงต้องมิแคล้วหัวเราะ ขบขันเสียเต็มประดาถึงการตัดสินใจอันโง่เง่าและบ้าคลั่ง ที่จะยอมทิ้งชีวิตและสิ่งสำคัญของตนเพื่อไล่ตามความอยากรู้อยากเห็นอันโง่งมของตนเอง


     เอนีลยิ้ม...ชายหนุ่มยิ้มออกมาเศร้าๆหลังจากประตูบานหนานั้นปิดลง และรอบกายเขามีเพียงความมืดมิด


    การกระทำของเขามันโง่เง่า ใช่ เขารู้ดี

    เชื่อคนที่ไม่รู้จักมันช่างโง่แสนโง่ ชายหนุ่มก็รู้

    แต่เพราะอะไร เพราะอะไรเขาถึงได้ย่างเท้าก้าวเข้ามา เพราะอะไรถึงได้มาที่นี่ เอนีลก็ยังไม่ทราบ

   ....อาจจะเพราะเขารู้ ว่าจะอย่างไรก็หลบไม่พ้นกระมัง


     จ้องมองภาพเบื้องหน้า ขณะที่รอบกายมืดมิด เอนีลมองเห็นแสงสว่างอันสลัวรางจากอีกฟากหนึ่งของความมืด รอบกายเหมือนจะเป็นอุโมงค์ที่ทอดยาว มีสีสันของเลือดและความมืดผสมกันอย่างน่าขนลุก ทว่าโดยรอบกลับมีกลิ่นกุหลาบอายอวล และฝั่งตรงข้าม ทางออกที่มีเพียงแสงสว่างอันเลือนรางกลับมีเสียงหวีดร้องร่ำไห้ดังออกมาอย่างแผ่วเบา


     ชายหนุ่มกลืนน้ำลายช้าๆ ฝ่าเท้าผงะถอยไปโดยไม่รู้ตัว


    ...สิ่งที่เกิดขึ้นในแสงสว่างนั้นคือภาพอะไร เขารู้...


    "...จงมองมัน" เสียงเย็นๆดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง เซดิสที่เขาคาดว่าหายไปแล้วกลับยืนจ้องมองอยู่อย่างเงียบเชียบด้วยดวงตาสีแดงวาววับ "อย่าหลับตา อย่าหลบ มองและจดจำไว้ให้ดีว่าอะไรได้เกิดขึ้นบ้าง"


     "....คุณบอกว่าจะพาผมไปหา..อาโลอิส"


     "นี่ไง อาโลอิส"


  สิ้นเสียงของเซดิส เปลวไฟจากคบเพลิงพลันถูกจุดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงให้แสงสว่างบังเกิดขึ้นทันควัน


    ทว่า สิ่งที่ปรากฏหลังจากแสงสว่างมาเยือนกลับทำให้เอนีลเบิกตากว้าง


   ...ศพ...รอบตัวเขามีแต่ศพ ศพที่ถูกเถากุหลาบนับร้อยพันยึดโยงเอาไว้ ดอกกุหลาบสีรแดงเข้มจนเกือบดำที่หอมจัดจบกลบกลิ่นคาวเลือดนั้นเป็นของที่เขาได้มาในวันนั้นไม่ผิดแน่ กุหลาบชูช่อเกาะเลื้อยตามผนังและรัดพันซากของสิ่งมีชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ไว้ ราวกับกำลังหยั่งรากและเติบใหญ่ได้โดยปุ๋ยที่มีชื่อว่าคน


     เอนีลยืนนิ่ง ชายหนุ่มนิ่งขึงไปทั้งตัวไปอาจขยับไหว ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างไหวระริกด้วยอารมณ์หลากหลาย แน่นอนว่าเขาเคยพบเจอศพมาก่อน แน่ละว่าเขาเคยเห็นคนตายมามากมาย แต่..มันไม่ใช่กับคนตายที่ทุกคนมีใบหน้าเหมือนเขาทั้งนั้น!!


     "นี่...." ชายหนุ่มเค้นเสียงแทบไม่หลุดออกมาจากลำคอ "นี่....มัน"


   ....ร่างของนายแพทย์หนุ่มสั่นระริก เอนีลยกมือขึ้นกอดเเขนตัวเองไว้พลางขบริมฝีปากลงกับปลายฟันเงียบๆ เนื้อตัวสั่นระริกไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ร่างกายของคนที่ตายแล้วซึ่งทั้งหมดต่างก็เหมือนเขา บ้างก็ถูกฆ่า บ้างก็ถูกรักคอ บ้างก็ถูกแทงที่หัวใจ และตายด้วยวิธีอื่นมากมาย ปรากฏขึ้นและตอกย้ำให้ความมึนงงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง


   ...อะไร ทำไม ทำไมเขาถึงต้องพบเจอเรื่องแบบนี้


ใคร ฝีมือใครกันแน่ ไคลน์เหรอ หรือว่าอาโลอิส ใคร...ใครกัน


   เสียงกรีดร้องที่แว่วมาทำให้เอนีลสะดุ้งเฮือก "...ฝีมือ เขา...งั้นเหรอ"


  "เขา..." เซดิสผู้ถูกถามเลิกคิ้ว พลางแย้มรอยยิ้มบาง "เขาที่เจ้าว่าคือเขาไหน...อาจจะใช่ หรือไม่ใช่คนเดียวกันกับที่เรารู้จัก"


  "ก็เขาคนนั้น คนที่กำลังทำแบบนั้นอยู่ไง!!" เอนีลกระชากเสียงห้วน แม้ปลายหางเสียงจะสั่นไหว ชายหนุ่มหมายถึงคนที่ทำให้เสียงกรีดร้องนี้ดังขึ้นเป็นแน่


    "....อาโลอิสงั้นรึ" เซดิสหัวเราะ "...มันคงอยากทำกระมัง...หากทำได้ คงอยากตามล้างปลาญเจ้าไปสักร้อยพันชาติภพ"


    ".........." ถ้อยคำนั้นทำให้อาโลอิสตัวหนาววูบ


    "....แต่ผู้ที่ลงมือน่ะ..คือ ไคลน์ สไตร์คเซอร์ คนนั้นต่างหาก"


    "ผมไม่เชื่อ!!" เอนีลร้องสวนทันที "ไคลน์มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาทำร้ายผม คุณหลอกผมต่างหาก ทั้งในฝันนั้น แล้วทั้งเรื่องนี้ ไม่มีทางเสียหรอกที่ไคลน์จะทำอะไรแบบนี้!!"


      "....ไม่ได้บอกให้เจ้าเชื่อ"


      "และถึงไคลน์จะทำ คุณจะให้ผมเทียบระหว่างสิ่งที่ผมเจอน่ะเหรอ ที่นั่นน่ะ!!" เอนีลชี้มือไปยังแสงสว่างอีกฝั่งของปลายอุโมงค์อย่างเกรี้ยวกราด เสียงหวีดร้องสะอื้นไห้อันแสนทรมารยังคงปรากฏเป็นระยะ


       "ผมไม่เข้าใจ คุณทำแบบนี้ทำไม พวกเขาเกี่ยวอะไร แล้วผมเป็นอะไร...ทำไม...ทำไมถึงเป็นแบบนี้!!" คล้ายกับจะสิ้นสิ้นความอดทน เอนีลโผเข้าไปหาชายตรงหน้าด้วยดวงตาวาวโรจน์ ทั้งที่ไม่เคยมีนิสัยชอบใช้กำลัง แต่สำนึกรู้ที่บอกว่าคนตรงหน้าคือคนที่ช่วยไขความสงสัยของตนได้กระตุ้นให้เอื้อมมือไปหา ไปคว้าชายเสื้อคลุมสีดำนั้นไว้


   แกว๊ก!!


     "โอ๊ย!" หากยังไม่ทันเอื้อมถึง การาเวนตัวใหย่กลับดผนมาจิกมือโดยแรง เอนีลร้องดังลั่น เขารีบปัดมันออกเป้นพัลวันแต่ไม่อาจหลีกพ้น จากการชุลมุลของคน กลายเป็นเพียงภาพของมนุษย์ตัวจ้อยตบตีกับนกกาตัวใหญ่อุตลุด


     ท่ามกลางวุ่นวาย เอนีลแว่วเสียงหัวเราะของเซดิสดังขึ้นแผ่วเบา มันทั้งขบขันและดูชวนหัวยิ่งนัก


    แต่สำหรับคนที่เจออย่างเขาแล้ว มันไม่ได้น่าชวนขันสักนิด!!


     "ปล่อยนะ ปล่อย ไป!!" เอนีลร้องแหวออกมาด้วยความหงุดหงิด ชายหนุ่มตวัดแขนใส่กาตัวใหย่ด้วยแววตาคุกรุ่น แสดงถึงพื้นอารมณ์ที่เริ่มหงุดหงิดและแปรปรวน


     "พอได้แล้ว" เซดิสสั่งเสียงเรียบเรื่อย นั่นทำให้การาเวนตัวนั้นโผนไปเกาะไหล่ของตน ดวงตาสีแดงสดจ้องมองผุ้ที่มองกลับมาด้วยแววตาวาววับ ก่อนจะยิ้มบาง


     "ถามว่าข้าเป็นใครรึ..."


    "ใช่..."เอนีลกลืนน้ำลายช้าๆ จ้องอีกฝ่ายเขม็ง


    "ข้าคือเจ้านายของเจ้า"


    "พูดอะไร ผมไม่เคยมีจะ----"


     "....เคยหรือไม่..ใครเล่าจะรู้" ริมฝีปากของชายหนุ่มยิ้มบาง "รึอาจจะเป็นเจ้านายของไคลน์กระมัง"


     "โกหก" ครานี้ชายหนุ่มเอ่ยสวนกลับชัดเจน ไม่มีทางเสียล่ะ ในเมื่อเขาได้ยินไคลน์เกรี้ยวกราดใส่คนตรงหน้านี้มากมายเพียงนั้น


     "...แล้วเจ้ารู้ความจริงใดเกี่ยวกับมันบ้างล่ะ" เซดิสเอ่ยถามคำถามนั้นแสนเรียบเรื่อย หากเอนีลชะงัก "แล้วทำไมเขาถึงมาหาเจ้า..รู้ไหม?"


    "เขามาตามคำ-----"


    "คำสั่ง...." เซดิสทวนพลางยิ้มขัน "คำสั่งจากบิดาของเจ้า..พ่อผู้ชราที่ห่วงใยบุตรชายนัก จึงได้ให้คนมาดูแล..ไม่ต่างจากบิดาคนก่อนๆของเจ้าเลย พวกเขาทั้งรัก และเฝ้าดูแล ทะนุถนอม.."


   "หากเพียงพริบตา..ชีวิตเจ้าก็ถูกคร่าไปโดยผู้อื่น!"


หมับ!


   แรงฝ่ามือที่บีบลงบนไหล่ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง ฝ่ามือกดเข้าแล้วออกแรงพลักตัวเขาให้หันเข้าผนัง หะแรกเอนีลนึกผวา เขาคิดว่าตัวเองต้องประจัญหน้ากับศพเหล่านั้น แต่ก็เปล่า เบื้องหน้ากลับกลายเป็นสิ่งที่คล้ายกระจก..เงาสะท้อน..สิ่งที่มองเห้นคือภาพของตนเองที่มีใบหน้าซีดเผือกและงุนงง


      เอนีลจ้องสบตากับภาพตนเงียบๆ หากพลันมันก็เริ่มเปลี่ยนไป จากตัวเขา..กลับเป็นตัวเขาอีกคน..ที่ยังมีใบหน้าและทุกสิ่งเหมือนเดิม ทว่ากลับอยู่ในการแต่งตัวและสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง มีลักษระไม่ต่างจาก"ศพ"ที่เขาได้เห็น ภาพสะท้อนนั้นแสดงเรื่องราวทุกอย่างของชายคนนั้น ทุกสิ่งช่างคล้ายคลึง คนที่เกิดมาพร้อมกับความฝันอันเลวร้าย ตกอยู่ในความหวาดกลัวจนได้พบกับใครคนหนึ่งที่ค่อยคลายความหวาดผวานั้น และอีกไม่นาน..ชายคนนี้ก็ถูกฆ่าอย่างง่ายดาย


        ภาพในกระจกแปรเปลี่ยนไป เงาสะท้อนเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ทว่าละครยังคงฉยอยู่ในฉากเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา


      ราวกับนั่งดูตัวเองในเสื้อผ้าแปลกๆ และการทำตัวที่ต่างออกไป แต่บทบาทกลับซ้ำกันเสียทุกตอน หวาดกลัว พบรัก ถูกหลอกและฆ่าให้ตาย ความทุกข์ตรมบางอย่างจากภาพที่เห็นค่อยทิ่มแทงจิตใจและตอกย้ำเข้าไปเสียจนรู้ตัวอีกที น้ำตาของเขาก็นองเอ่อ


      ในสมองของเขาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ทำไม...ทำไม และทำไม

      ทำไมถึงได้พบเจอแต่เรื่องราวแบบนี้

      ทำไมถึงได้ถูกหลอกซ้ำๆ...


        ทรุดตัวลงกับพื้นหินเงียบๆพลางเอื้อมมือจิกทึ้งเส้นผมสีทองของตนเอง เอนีลรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งร่างราวกับบางสิ่งถูกฉีกกระชากออก ความทรงจำที่เป้นของใครไม่รู้ต่างก็วาบผ่านเข้ามาในสมอง ปะปนกันและแทรกซึมเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับน้ำป่าทะลัก เจ็บ...เขาเจ็บในอกและอึกอัดแทบบ้า ทั้งยังปวดหัวและรู้สึกคลื่นไส้เหลือคณา


     "ไม่หรอก...ไม่" แต่กระนั้น ชายหนุ่มก็ยังพึมพัมสิ่งที่ตนเองย้ำคิดเสียงแผ่วเบา


    "ไคลน์...ไม่มีวันทำแบบนี้กับผม"


    เสียงพึมพัมแผ่วเบา ท่ามกลางอุโมงค์ที่ค่อยมืดทึบลงอีกครา เสียงครางแผ่วเบาและสั่นพร่า ราวกับจะวอนขอ อ้อนวอน และร่ำร้องให้ความปราถนาเดียวของตนสัมฤทธิ์ผล ท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่แว่วมาจากอีกฝั่งของอุโมงค์สีดำ แสงขาวหม่นสลัวเลือนราง เสียงหวีดร้องคละเคล้าเสียงพึมพัมสั่นพร่า..ซึ่งหากฟังไปฟังมา มันดูราวกับว่าประสานเป็นเสียงเดียวกัน


++++++++++++++++++++


บ่ายสี่โมงเย็น...ท้องฟ้าของกรุงปารีสเริ่มมืดครึ้ม


    ไคลน์ สไตร์คเซอร์นั่งอยู่บริเวณใต้ต้นไม้ ชายหนุ่มมองร่างของนักศึกษามากมายเดินผ่านไป พร้อมกับตวัดสายตามองเครื่องบินรบที่บินผ่านน่านฟ้า ดวงตาฉายแววครุ่นคิดจางๆ และนั่งรอคอยอย่างอดทนเพื่อให้คนที่เขามาส่งมาถึง


    "ไคลน์" น้ำเสียงทักคุ้นหูดังเข้ามาใกล้ทำให้เขาชะงัก ลุกพรวด


    "คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่ได้ยินเสียงเลย" ไคลน์เอ่ยปากทัก พลันขมวดคิ้ว "เป็นอะไรรึเปล่า..เอนีล หน้าคุณซีดมาก"


   "เปล่าหรอกครับ" นายแพทย์หนุ่มยิ้มเจื่อน มือป่ายเอามือของอีกฝ่ายที่เอื้อมมาสัมผัสใบหน้าตนออกอย่างเงียบเชียบ "ผมเหนื่อยน่ะ โดนซักซะเยอะ บรรยากาศก้เครียด กลัวช่วยนิคไม่ได้..แทบแย่เลยครับ"


     "อา..."ไคลน์ยอมลดมือลงแต่โดยดี แม้มีท่าทีห่วงใย "แล้วผล?"


     "ยังไม่ทราบครับ แต่นิคท่าทางโล่งใจน่าดู เรากลับกันเถอะครับ ฝนจะมาแล้ว ผมเหนื่อยด้วย อยากพัก"


     "นั่นสิ งั้นเชิญครับ" ไคลน์เดินเข้าไปหารถที่จอดอยู่แล้วรีบสตาร์ทเครื่องเปิดประตูให้อีกฝ่าย ขณะที่เอนีลก็นั่งตามมาพลางขดตัวบนเบาะนั่ง หลับตานิ่งอย่างเหนื่อยอ่อน


       "เย็นวันนี้...." ชายหนุ่มจะชวนคุย หากชะงักกับกลิ่นกุหลาบที่โชยมาจากร่างของอีกคนอย่างเงียบเชียบ "เอนีล..กลิ่น.."


   ไคลน์หันจะไปถาม หากพบว่าคนตรงหน้าหลับตานิ่ง ข้าสู่นิทราไปแล้วอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มมองใบหน้าเหนื่อยอ่อนและซีดเซียวนั้น พลันเอื้อมมือไปสัมผัสกลีบกุหลาบแดงเข้มบนศรีษะอีกฝ่าย เขาเม้มปากแน่น จ้องมองคนที่หลับอยู่ด้วยแววตาเครียดขึ้ง...



++++++++++++++++++


ถ้าอารมร์ตอนที่แล้วเหมือนคบชู้ อารมณ์ตอนนี้เหมือนคบชุ้แล้วโดนสามีจับได้ค่ะ ฮ่าา


แถมสามีเป็นพวกหึงโหดซะด้วยฟฟฟฟฟ




ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8

Lost 19 : Rose & Promise



...เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากรถถูกจอดไว้หน้าอพาร์ทเมนต์


     มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้ดีอย่างที่ว่ากันไว้ หลังจากเอาแต่ทำตัวน่าสมเพช เจอเรื่องชวนผวาหรือมีปัญหาทีไรไม่ร้องให้ใครช่วยก็เอาแต่หมดสติไปอย่างน่าสมเพช บัดนี้เอนีลพอใจในตัวเองมากขึ้น..แม้เพียงเล็กน้อย ที่เขาไม่ได้เอาแต่ร่ำไห้คร่ำครวญอย่างเดียว ทว่าอย่างน้อย ก็ยังรู้จักประคองตัวเองให้เป็นปกติได้


    การที่ตนเองสามารถเดินกลับมาที่รถและยิ้มแย้มสนทนาตามที่ตนต้องการได้ถือว่าดีนักหนา แม้จะไม่ตรงตามที่ต้องการ.."มากนัก" แต่ก็ดีกว่าที่ผ่านมา ดีกว่าจะง่อยเปลี้ยนเสียขาไม่อาจทำอะไรได้เช่นเดิม


    บัดนี้เเล้ว เอนีลพบว่าสิ่งที่เขาควรทำคือการออกไปสู่ความจริง ไม่ใช่การเอาแต่ขดตัวอยู่ในเปลือกแคบๆที่ห่อหุ้มตนเองไว้หรืออาคารที่ตนเรียกว่าบ้านเพื่อหลีกหนีจากฝันร้ายที่ตามมา


...อาจเพราะลึกๆแล้ว..ในใจเริ่มตระหนัก ไม่มีผู้ใดสามารถ"ปกป้อง"และช่วยเหลือเขาจากภยันตรายทั้งมวลได้


ไม่มี แม้แต่กับผู้ที่เอ่ยคำสัญญานั้น


       "ถึงแล้วครับ.." ถ้อยคำอ่อนโยนดังเข้าหู เอนีลหันไปมองคนข้างกายเงียบๆ ไคลน์ สไตร์คเซอร์ ยังคงมองมาที่เขาด้วยแววตาอ่อนโยนอยู่เสมอ ผู้ที่มาพร้อมกับคำสัญญาว่าจะคอยปกป้องเขาจากทุกสิ่ง ยังคงมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ของตนได้ดีเสียจนควรได้รับมากกว่าคำชม


 ไม่ว่าคนตรงหน้าจะเป็นใคร หรือเคยทำอะไรมาก่อนก็ตาม


       "ขอบคุณครับ.." เอนีลยิ้มรับ พลางพยักหน้า ชายหนุ่มเลื่อนปลดเข็มขัดนิรภัยรถเงียบๆก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ
   ทว่าเมื่อเอื้อมแขนไปถึงประตู มือของไคลน์กลับคว้าไว้เงียบๆ


       "...........?" ไม่มีคำถามใดจากนายแพทย์หนุ่ม เขาหันไปช้าๆ แม้จะมีท่าทีตกใจแต่ก็ไม่ได้สะบัดออก เอนีลเลิกคิ้วน้อยๆ แสดงถึงความอยากรู้ในสาเหตุที่ชายหนุ่มเบื้องหน้าทำพฤติกรรมเช่นนี้อย่างเงียบเชียบ


       "...คุณ" ดูเหมือนเมื่อไม่มีปฏิกริยาใดจากคนตรงหน้า ไคลน์ก็ดูราวกับจะอึกอักมากขึ้นและลังเลที่จะเอ่ยปาก "...อาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่เป็นไรมากใช่ไหม?"


     "ไม่เป็นไรหรอกครับ" เอนีลยิ้มให้ เขาดึงมือออกจากการเกาะกุมอย่างช้าๆ "ผมเหนื่อยอย่างที่บอก คุณก็รู้นี่ครับ เรื่องแบบนี้มันเดิมพันด้วยความเสี่ยงในวิชาชีพและจรรยาบรรณของแพทย์ ผมก็เลยค่อนข้างคิดมากน่ะ"


      "อา..." ไคลน์ยิ้ม..ทว่ามันไม่ใช่รอยยิ้มที่สดใสนัก "นั่นสินะครับ ผมก็เสียมารยาท ที่เอาแต่เซ้าซี้"


      "ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วง" เอนีลตอบเบาๆ และพูดราวกับจะย้ำกับตนเองไปด้วย "ขอบคุณจริงๆครับ"


   เปิดประตูรถออกมาพลางก้มศรีษะลงไปจ้องมองชายหนุ่มที่ยังนั่งอยู่หน้าพวงมาลัยอีกครั้ง "เดี๋ยวผมขอตัวแว้บเดี๋ยวนะ"


      "..อ่ะ เอนีล?" ไม่ทันที่คนถูกบอกจะได้เอ่ยปากอนุญาติหรือท้วงถามใดๆ ร่างของนายแพทย์หนุ่มก็เดินตัวปลิวออกไปจากบริเวณตัวรถเสียเเล้ว ไคลน์สถบอุบเบาๆในลำคอ แววตาเข้มขึ้นยามมองตามหลังอีกฝ่ายไม่กระพริบ พลางขยับถอยรถจอดให้เข้าที่เข้าทางไปด้วย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองตามแผ่นหลังในชุดเสื้อโค้ทสีดำสนิท ชายหนุ่มเบาใจลงไม่น้อยเมื่อพบว่าร่างนั้นหยุดอยุ่ไม่ไกล..ที่หน้าร้านขายดอกไม้ของมาดมัวเเซลโดโรธี สาวโสดในอพาร์ทเมนต์ฝั่งตรงข้ามนี่เอง


      "สวัสดีค่ะคุณหมอ หายป่วยแล้วหรือคะ?" คำถามแรกที่ดังขึ้นมื่อโผล่หน้าไปเยี่ยมเยียนยังร้านดอกไม้เล็กๆแสนน่ารักตรงฝั่งเส้นถนนตรงข้าม เอนีลยิ้มให้หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของร้านพลางหยิบหมวกสีดำที่ตนหนีบไว้ใต้รักแร้มาสวม


      "สบายขึ้นมาแล้วครับมาดมัวแซล..ขอบคุณที่ห่วงใยนะครับ" ริมฝีปากสีอ่อนระบายยิ้มหวาน มอบไมตรีให้แก่เจ้าของร้านผู้ซึ่งอุตส่าห์แสดงความห่วงใยต่ออาการป่วยไข้ของตน


     "ดีแล้วล่ะค่ะ ตอนคุณหมอปิดร้านขึ้นมาฉันใจเสียแทบแย่...นึกว่าจะโดนเรียกไปสนามรบเสียแล้ว" หล่อนส่งเสียงกระซิบ สีหน้าไม่วางใจต่อเหล่าเครื่องบินรบที่บินผ่านน่านฟ้าและข่าวคราวของสงครามแย่งชิงแคว้นซูเดเตแลนด์ที่ปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ รวมทั้งใบปลิวต่างๆที่โจมตีเยอรมันและโจมตีรัฐบาลฝรั่งเศสในยามนี้


     "ยังหรอกครับ...ผมจะอยู่รับใช้คุณอีกนานเลยล่ะ" เอนีลเอ่ยพร้อมขยิบตาให้อีกฝ่ายเงียบๆ ก่อนจะกวาดตามองพันธ์ไม้ในร้าน

 
     "อุ๊ย ขอบคุณค่ะ" ฟังคำยืนยันแล้วเจ้าของร้านสาวก็อมยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปข้างๆ ชายหนุ่มผู้จดจ่อกับดอกไม้นานาพันธ์เบื้องหน้าพลางเอ่ยปากเจื้อยแจ้วตามประสาคนค้าขาย "สนใจดอกไม้แบบไหนอยู่เหรอคะ อยากจะเอาไปปลูกเอง หรือว่าให้ใครกันเอ่ย?"


     "อืม...ผมว่าห้องว่างๆ เลยอยากได้ดอกไม้ไปประดับสักหน่อยน่ะครับ" เอนีลยิ้มให้สตรีสาวเบื้องหน้า


     "ชอบแบบไหนล่ะคะ ดอกเล็กๆน่ารักอย่าง---"


     "ผมเอากุหลาบก็แล้วกันครับ" เอนีลเอ่ยสวนขึ้นมาโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันพูดจบ หลังจากมองไปรอบๆร้านอยู่นาน ฝีเท้าก็พลันชะงัก ดวงตาสีฟ้าสดจ้องมองดอกกุหลาบสีแดงเข้มดอกใหญ่ที่ถูกตัดก้าน ริดเอาหนามออกเบื้องหน้า


      "...จะเอาไปให้สาวๆก็บอกสิคะ" มาดมัวเเซลโดโรธีออกจะขันกับท่าทีนั้น "..หล่อนคงปลื้มน่าดู ดอกกุหลาบสีแดงเข้ม "ความรักที่ลึกซึ้ง ไม่มีวันจืดจางไปจางหัวใจไม่ว่าจะนานสักแค่ไหน" โรแมนติกนะคะเนี่ย"


     เอ่ยพลางเอื้อมมือไปหยิบดอกกุหลาบสีแดงเข้มนั้นมาจัดแจง ตกแต่งและเข้าช่อผูกบูเกต์อย่างชำนาญ เอนีลมองตามปลายนิ้วเรียวนั้นขณะที่ฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าของร้านผู้ร่าเริงไปด้วย


      "...แต่ดอกนี้สีเข้มมากเลยนะครับ จนเกือบดำเชียว ดูหายาก" เอนีลมองดอกกุหลาบดอกใหญ่ที่ตนเอ่ยปากต้องการซึ่งบัดนี้ถูกประกบด้วยกุหลาบสีเข้มเพื่อประกบเป็นช่อดอกไม้อีกสองสามดอก ทว่ามันก็ล้วนมีขนาดเล็กลงไป


     "...คุณหมอโชคดีนะคะ" มาดมัวเเซลโดโรธีอมยิ้ม "กุหลาบสีดำก็ความหมายดี.."รักนิรันด์" เสียก็แต่มันต่อท้ายว่าดูจะไม่มีอยู่จริงน่ะสิ..ว้าย...แต่ฉันไม่ควรพูดสิ "


     "ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่อนี้ผมเอาไว้แต่ความหมายดีๆดีกว่า" เอนีลยิ้มพลางเอียงคอมองเงียบๆ "สวยมากเลยครับ มาดมัวแซล แค่ผูกริ้บบิ้นก็พอครับ ไม่ต้องตกแต่งอะไรมากหรอก.." เอ่ยปากห้ามเมื่อกระดาษลูกไม้หลากสีสันจะถูกนำมาพันรอบ 


     "..ค่ะ...งั้นเท่านี้นะคะ..เรียบร้อยแล้วค่ะ" มาดมัวแซลโดโรธียื่นช่อกุหลาบให้พลางเอ่ยปากคิดเงิน เอนีลรับมาพลางเอ่ยปากขอบคุรสาวเจ้า ก่อนจะผลักประตุเดินออกมาและไม่วายโบกมือกลับอีกครา


     ชายหนุ่มมองดอกกุหลาบในมือ ช่อดอกไม้สีสันสดใสถูกผูกด้วยริบบิ้นสีขาวอันใหญ่ กุหลาบสีแดงเข้มเสีนจนเกือบดำที่เป็นดอกใหญ่ที่สุดนั้นโดดเด่นอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกุหลาบสีแดงเข้มอีกสามดอกที่มีขนาดลดหลั่นกันลงไป กลิ่นหอมรวยรินที่โชยมาทำให้เอนีลอมยิ้มด้วยความพึงใจ พลางจรดปลายจมูกลงสูดดมกลิ่นหอมอย่างอดรนทนไม่ไหว


      "ผมนึกว่าหายไปไหนเสียนาน.." เสียงทักทายที่ดังขึ้นหลังจากเดินเข้ามาในเขตบล็อกอพาร์ทเมนต์ของตนทำให้เอนีลเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของชายหนุ่มดูจะยังแย้มยิ้มอารมณ์ดีกับช่อดอกไม้ในมือจึงส่งเสียงหัวเราะเบาๆ


      "เผอิญนึกครึ้มใจอยากซื้อดอกไม้ขึ้นมาน่ะครับ เลยแวะเสียหน่อย" ว่าแล้วก็ก้มลงจรดปลายจมูกสูดกลิ่นหอมๆอีกครั้งอย่างอดใจไม่ไหว


      "ผมนึกว่าจะเอาไปให้สาวที่ไหนเสียอีก.." ไคลน์มองช่อกุหลาบในมืออีกฝ่าย "แอบอิจฉาล่วงหน้าเลยนะ.."


     "พูดเป็นเล่นไป ผมจะซื้อให้สาวสวยที่ไหนกันล่ะครับ" เอนีลหัวเราะเบาๆ ขณะเดินกลับเข้าไปในอพาร์ทเมนต์ และแขวนโค้มกับหมวกไว้บริเวณที่แขวนด้านหน้าประตู


      "เพราะไม่รู้นี่ล่ะเลยตกใจ.." ไคลน์หัวเราะ ดูจะพึงใจกับท่าทีรื่นเริงของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก "..อันที่จริง.."


     "ครับ?.." เอนีลยื่นกระเป๋าเอกสารให้ฟาเอล พลางเลิกคิ้วยิ้มๆ


    "..ผมนึกว่าคุณจะไม่ชอบกลิ่นของมัน..หลังจาก...." ไคลน์เปรยขึ้นช้าๆ สีหน้าครุ่นคิด


    "อา.." ฟังแล้วชายหนุ่มชะงักก่อนจะยิ้ม "ไม่หรอกครับ ..ดอกไม้มันก็อยู่ส่วนดอกไม้นี่นา..กลิ่นหอมออกอย่างนี้ผมเกลียดไม่ลงหรอก"


    "นั่นสิครับ ผมนี่ก็คิดมากเกินไป" ไคลน์พยักหน้ารับ สีหน้ากลับมาเป็นปรกติ


     "อ้อ แล้วก็..." เอนีลมองตามหลังพ่อบ้านของตนที่หายเข้าไปในครัว ก่อนจะหันมาหาคนตรงหน้า "ที่บอกจะอิจฉา..ผมว่าคุณต้องอิจฉาตัวเองแล้วล่ะครับ เมอร์ซิเยอร์ สไตร์คเซอร์"


      ว่าแล้วก็ยัดกุหลาบทั้งช่อลงไปในมือของไคลน์ก่อนที่คนตรงหน้าจะมีโอกาสเอ่ยปากท้วงหรือพูดอะไรมากกว่านั้น เอนีลวิ่งตึงๆ ขึ้นบันไดไปไม่รอช้า เสียงรองเท้ากระทบพื้นเงาขัดมันดังเสียจนฟาเอลต้องออกมาดู พ่อบ้านเฒ่าทำได้เพียงมีสีหน้าฉงน ส่วนผู้ที่ได้รับก็กระพริบตาช้าๆ จ้องมองแผ่นหลังที่หายหลับไปหลังประตูห้องของผู้ก่อการ ก่อนจะมองของในมืออีกครา


      ช่อกุหลาบในมือส่งกลิ่นหอมยวนเย้า กุหลาบสีแดงเข้มจนเกือบดำถูกรายล้อมด้วยกุหลาบสีแดงเข้มเฉดใกล้เคียงกันและมัดด้วยริบบิ้นสีขาว ปลายนิ้วตวัดจับริบบิ้นอันโตช้าๆ สัมผัสความเรียบลื่นของมัน ขณะที่สูดกลิ่นหอมจางนั้นเข้าจมูก


     "ความรักที่ลึกซึ้ง ไม่มีวันจางไป...รักนิรันด์.." เอ่ยแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบในห้องโถง ไคลน์ถือกุหลาบช่อนั้นเดินขึ้นไปชั้นบนเงียบๆ แววตาเป็นสีเข้มกระด้างแข็งขึ้นอีกคราด้วยอารมณ์บางอย่าง


    "ที่ไม่มีอยู่จริง"


     เสียงเอ่ยแผ่วเบาราวกับจะขบขัน ไคลน์จ้องมองประตูห้องของผู้ซึ่งมอบของกำนัลให้ตนเงียบๆ ยกมือขึ้นจะเคาะเรียก หากก็เปลี่ยนใจแล้วเดินขึ้นชั้นสี่อันเป็นที่พักของตนเสีย แม้ไม่มีวาจาใดบ่งชัด ทว่าชายหนุ่มก็รับรู้ได้จากสัญญาณที่ส่งผ่านมาจากท่าทีและแววตาคู่นั้น


...ว่ามันมีบางสิ่งแปรเปลี่ยนไป



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดสนิทไร้แสงดาวเพราะดวงจันทร์กลมโตขึ้นไปอยู่เหนือยอดไม้ คืนพระจันทร์เต็มดวงทำให้แสงนวลของมันสาดเข้ามาภายในห้องอย่างชัดเจน หลอดไฟอินแคนเซนส์สีเหลืองนวลดูจะเทียบไม่ได้เอาเสียเลยกับเงาของพระจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างบานหนา เอนีลจ้องมองแสงสลัวที่เลือนรางไปไม่น้อยด้วยถูกผ้าม่านสีเข้มปกปิดไว้ ชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วลูบตัวอักษรในหนังสือเล่มหนาที่ตนเองอ่านอยู่อย่างใจลอย ที่สุดแล้วจึงถอดแว่นสายตาออกและลุกขึ้น เมื่อประจักษ์ว่าตนเองไม่ได้มีสมาธิในการอ่านเสียเท่าไหร่


     เอนหลังพิงกระจกหน้าต่างแล้วมองเงาตัวเองที่สะท้อนกลับมาเงียบๆ เสียงกึกที่ดังออกมาเบาๆบ่นบอกว่ากลอนยังคงทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ล็อคหน้าต่างไม่ได้ถูกดึงออกและเปิดนับตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาสัญญากับไคลน์ไว้ว่าจะไม่เอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างบานนี้อีก


   ..แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร


น่าขัน แม้จะไม่รู้สาเหตุ แต่เขาก็ยังทำตามอยู่ราวกับคนบ้าใบ้


ช่างเหมือน...เหมือนสิ่งที่ตัวเองมองเห็นเสียเหลือเกิน



     เอนีลหรุบตาลงช้าๆ ถอนหายใจแผ่วเบายามระลึกไปถึงเวลาในช่วงยามบ่าย ภาพของสารพัดความตายที่แรกผ่านเข้ามาในความทรงจำนั้นยังคงวนเวียนอยู่ราวกับไม่อาจลบออก ชายหนุ่มรู้สึกราวกับเสียงร้องไห้และคร่ำครวญของตัวเองที่ผสานกับเสียงกรีดร้องนั้นยังดังหลอกหลอนอยู่ข้างหู ราวกับว่าอีกไม่นานจะได้พบเจอกับภาพอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นอีกคราด้วยตนเอง


  ...ลางสังหรณ์บ้าๆ ที่เขาไม่อยากให้มันแม่นยำสักนิด


   ลืมตามาจ้องมองปลายเท้าตัวเองที่ไขว้หากันแน่น สิ่งที่อยู่ในฝันมันช่างแสนโหดร้าย ขณะที่ภาพซึ่งเขาพบเจอ คนที่ตายลงไปเพราะถูกชายคนหนึ่งฆ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้อยู่ในชาติภพและรูปลักษณ์ที่แตกต่างนั้นทำให้หัวใจเจ้บร้าวได้มากพอกัน


    เขามองเห็นไคลน์ฆ่าตัวเองซ้ำแล้ว...ซ้ำเล่า

    เขาจ้องมองศพของตัวเองถูกทิ้งไว้ท่ามกลางความไม่เข้าใจนับสิบครั้ง


    นั่นคือไคลน์..หรือว่าเป็นใคร เอนีลยังไม่อาจหาคำตอบ อาจจะเป็นไคลน์หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ จะคนหน้าคล้าย หรือเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นจากการสร้างของ"เซดิส"ก็สุดจะรู้


     ทว่ามีอย่างหนึ่งที่เอนีลรับรู้ได้..


   ระหว่าง "ไคลน์" กับ "อาโลอิส" ผู้นั้น ต้องมีบางสิ่งเชื่อมโยงกัน


   อาจจะด้วยศพของเขา ความตาย หรืออะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่เอนีลสามารถมองเห้น คือความหมกมุ่นที่อาโลอิสทำร้ายเขาในความฝันครั้งแล้วครั้งเล่า กับความอ่อนโยน หากแต่บางครั้งก็ดึงดันรุนแรงของไคลน์ ยามที่มี"บางสิ่ง"ขยับมาเข้าใกล้ตัวเขา


    ..อะไรคือความจริงทั้งหมด?

    บัดนี้ก็ยังไม่รู้

    คนเหล่านี้ต้องการอะไรจากเขา?

    เอนีลก็ยังไม่ได้คำตอบ

  ....ไม่รู้กระทั่งว่าเป็น"คน"จริงๆรึเปล่าเสียด้วยซ้ำ


     อดจะหัวเราะด้วยความสมเพชเวทนาตนเองไม่ได้ รู้สึกราวกับคนโง่ที่วิ่งวนไปมาในฝ่ามือของผู้อื่นไม่จบสิ้น เอนีลเม้มปากแน่น หันกลับไปหาหน้าต่างบานโตแล้วเอื้อมมือไปเปิดม่านให้อ้าออก แสงจันทร์สาดมากระทบดวงตาเต็มที่เช่นเดียวกับเงาของบานหน้าต่างที่ถูกปิดล็อกคล้ายกรงขัง ปลายนิ้วสีขาวไล้ไปยังกรอบหน้าต่างเงียบๆขระที่ประหวัดถึงคำสัญญาที่ตนมอบให้คนๆหนึ่งไว้


   "จะไม่เปิดหน้าต่างบานนั้นอีก"


   ....ถ้าผิดสัญญา จะเป็นยังไงนะ?

    จะโกรธเคือง ไม่พอจะ จะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นไหม?


      เอนีลขมวดคิ้ว จ้องมองออกไปด้านนอกด้วยความไม่เข้าใจ ในสายตาของเขา เบื้องนอกก็ยังคงเป็นเช่นเดิม มีอาคารห้องพัก มีรถจอดไว้ มีผู้คนที่กำลังทำกิจกรรมต่างๆไม่ก็หลับไหล มีสัตว์กลางคืนออกเที่ยวหากิน ภายนอกหน้าต่างยามค่ำคืน..ไม่เคยเป็นโลกที่เขาหวาดกลัวหรือตัวสั่นงันงกยามคิดจะก้าวออกไปแม้เพียงน้อย


      หากแค่คำขอร้อง..และคำสัญญานั้นทำให้บานประตูนี้ไม่ถูกเปิดออก


     ชายหนุ่มคงเปิดมันออกไปอย่างง่ายดาย ไม่คิดจะทำตามคำขอไร้สาระนั้นหากคนพูดไม่ใช่ไคลน์ สไตร์คเซอร์ ผุ้ที่เอ่ยถามถึงความเชื่อใจของเขาด้วยน้ำเสียงวิงวอน และแววตาวอนขอราวกับเรื่องการปิดหน้าต่างนั้นแสนสำคัญเสียจนไม่อาจละเว้นได้


     ...ไม่ใช่แค่คำสัญญา แต่มันเป็นเรื่องของความเชื่อใจ


      แต่ในตอนนี้...


       เอนีลมองออกไปด้านนอก ทั้งที่เป็นทิวทัศน์ธรรมดาๆ แต่มันกลับกระตุ้นเร้าให้เขาอยากเปิดออกไปสัมผัสเสียจนทนไม่ไหว ทั้งที่ผ่านมาเคยได้มองมันในยามค่ำคืนอยู่หลายครั้ง แต่ในเวลาที่ถูกบอกให้ปิดไว้ ห้ามเอื้อมมือไปหา มันกลับทำให้ความอยากพุ่งทะยานสวนทางกับสิ่งที่ควรจะทำ


        ไม่ต่างกับในเย็นวันนี้ที่เขาทำตัวแปลกๆไป..ปริศนาและความอยากรู้ในสถานการณ์ เรื่องราวที่ตนเผชิญ กำลังบอกให้เขามุ่งมั่นในการค้นหาทุกสิ่งที่อยากรู้ก่อนจะสายเกินแก้ แม้จะไม่รู้ว่าอะไรคือสายไป แต่หากไม่ลงมือทำ คงอยู่เฉยๆไม่ได้แน่แท้


       แค่เปิดหน้าต่างออกไป การขบฐเล็กๆที่แลกมากับความเชื่อใจและคำสัญญา มันคุ้มค่ารึยังหากจะแลกกับความจริงที่อยากพบเจอ?


    ก๊อกๆ


       เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นยามแตะปลายนิ้วลงไปและตั้งท่าจะเปิดหน้าต่างออกทำให้เอนีลถอนใจพรู แอบโล่งใจนิดๆที่มีบางสิ่งมาหันเหความสนใจตัวเองจากการทำผิดสัญญาไปได้แม้จะอดเสียดายอยู่ลึกๆเช่นเดียวกัน นายแพทย์หนุ่มเดินไปที่ประตู เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปจับลุกบิด มองลอดออกไปจากช่องประตูแมวก่อนจะเปิดออก


      "ครับ?" เอนีลยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้า "อ่ะ...."


      "ของตอบแทน" ไคลน์เอ่ยยิ้มๆ มือยื่นกุหลาบสีขาวดอกหนึ่งมาให้ เอนีลมองแล้วหัวเราะออกมาอย่างขัดเขิน แต่เขาก็เอื้อมมือรับ


      "..ผมไม่ได้ให้เพื่อรอของตอบแทนนะ" บ่นอุบอิบ แต่ก็ยกมันมาจรดปลายจมูกเพื่อดมดอมกลิ่นหอม


      "..ผมอยากจะให้ไง" ไคลน์ตอบยิ้มๆก่อนจะชะโงกตัวไปมองภายในห้อง "ขอผมเข้าไปได้รึเปล่า?"


      "ได้สิ..เชิญครับ" เอนีลเปิดประตูกว้างขึ้น ให้ร่างของชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้อง เมื่อเขางับบานประตูลงและหันมาอีกครา ร่างของไคลน์ สไตร์คเซอร์ก็ยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานหนานั้นเสียแล้ว


       "ผมดีใจ" เมียงมองครุ่หนึ่ง ชายหนุ่มก็หันมาหา "ที่คุณรักษาสัญญา"


       "..อืม..ขอบคุณครับ" เอนีลได้แต่รับคำ ก้มหน้ามองฝ่าเท้าตนเองขณะเดินมาสมทบกับอีกฝ่าย ไม่กล้าบอกว่าเมื่อครู่นี้เองที่เขากำลังตัดสินใจจะเปิดมันอยู่แล้ว


       "..เอ่อ....." เงียบไปครุ่ใหญ่ จากนั้นทั้งคู่ก็เอ่ยขึ้นพร้อมกัน เอนีลเงยหน้าขึ้นมาจากพื้นพรมแล้วสบตาไคลน์ที่จ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาทั้งคู่หัวเราะ ก่อนจะไคลน์จะยกมือทั้งสองข้างขึ้นแบบยอมแพ้


       "ผมขอพูดก่อนแล้วกัน" ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ "แต่ค่อนข้างยาวนะ.."


      "หือ..." เอนีลมีท่าทีสนอกสนใจ เมื่อเห้นว่ายาว เขาจึงหันไปลากเก้าอี้อ่านหนังสือของตนมานั่ง "เรื่องเล่าในวิชาเทววิทยา?"


     "ถูกต้อง" ไคลน์หัวเราะ ชายหนุ่มเอนตัวพิงหน้าต่าง ท่าทีสบายๆ


     "เรื่องของ..เทวดา..กับปีศาจ.."


    "..อืม" เอนีลพยักหน้า แม้จะแอบคิดในใจว่าอีกแล้ว..ก็เถอะ


   "ไม่ใช่เรื่องเดิมนะ" ไคลน์หัวเราะ ก่อนจะมีท่าทีจริงจังขึ้นขณะที่ทอดมองบุรุษผู้ใช้สายตาอ่อนโยนจ้องกลีบกุหลาบขาวของดอกไม้ในมือ "มันเป็นเรื่องของ..."


    ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตวัดมองข้ามไหล่ตนเองไปยังตรอกด้านล่างเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมามองผู้ฟังซึ่งจ้องมาตาแป๋ว


     "การถูกทำร้าย และ การเอาคืน"



+++++++++++++++++++++++++


ปัดๆกลีบกุหลาบที่ร่วงออกมาจากนิยาย 555

ตอนนี้กุหลาบหลายดอกกันเลยทีเดียว แถมความหมายยังอื้อหือ..กันอีกด้วย

แลดุเหมือนหลังจากพบชู้คุณภรรยา #ไม่ใช่ จะเเข็งข้อแปลกๆนะคะ คุณไคลน์..ถึงขั้นต้องมานั่งเล่านิทานให้ฟังต่อกันเลยทีเดียว ฮ่าาาา


  ส่วนตอนหน้าจะเป็นไงต่อก็ติดตามกันค่า  :กอด1:


ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8


Lost 20 สายลมที่พรั่งพรู 


"...เหมือนคำสอนเลยนะครับ"


    เอนีลเลิกคิ้วกับคำกล่าวของชายหนุ่ม เขายิ้มแล้วเอ่ยทักออกไป แขนสองข้างวางพาดกับพนักเก้าอี้ส่วนคางก็เกยอยู่บนสุด ในมือยังมีดอกกุหลาบสีขาวส่งกลิ่นหอมรวยริน ดวงตาจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่เป็นผู้มอบมันให้แก่เขา ไคลน์ สไตร์คเซอร์


    ..ภายในค่ำคืนของวันที่ท้องฟ้ากระจ่างไร้เมฆฝน เขาสองคนกลับมานั่งเล่า"นิทาน"ให้กันฟัง ช่างดูแปลกประหลาดนัก


      "อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะครับ" ผู้ถูกถามอมยิ้มน้อยๆ แผ่นหลังทาบอยู่กับกระจกบานหนาที่ถูกปิดล็อกไว้ไม่ให้สายลมจากภายนอกโชยพัดมา ผ้าม่านสีขาวถูกดึงออกรวบไว้ด้านข้างจนเผยให้เห็นดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่เบื้องนอก แสงสว่างที่สาดเข้ามานั้นกระจ่างมากเสียจนแทบไม่ต้องพึ่งหลอดไฟสีเหลืองนวลบนเพดานห้องเสียด้วยซ้ำ


       "...คำสอนที่ว่ากันว่า ได้มาเท่าไหร่ ก็ต้องตอบคืนไปเท่านั้น แต่ถูกทำร้ายเพียงใด ก็ต้องเอาคืนเท่ากันอย่างไม่อาจยกเว้น"


       "กฏแห่งความเที่ยงธรรม?" เอนีลเอ่ยเบาๆ


       "ครับ จะเรียกแบบนั้นก็ได้กระมัง" ไคลน์หัวเราะ "ผมไม่รู้จะใช้คำไหน..แต่จะเรียกว่ากฏก็คงได้ ไม่มีใครหลีกพ้นแม้แต่คนเดียว"


       "........" เอนีลพยักหน้าเป็นการรับรู้


       "...ไม่ว่าที่ไหน...ใคร หรือโลกใด กฏชนิดนี้ก็ไม่เคยงดเว้น" ไคลน์สบตาอีกฝ่าย เส้นผมสีน้ำตาลเข้มสะท้อนแสงจันทร์จนอ่อนจางลงและทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าดูสว่างไสวมากยิ่งขึ้น "...มันก็เลยเข้าสู่เรื่องเล่านึงของผม..เกี่ยวกับเทวดาหนึ่งตน และปีศาจอีกหนึ่ง"


       "..กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว" เอนีลเอ่ยปากขึ้น พอคนฟังทำหน้าฉงนเขาก็หัวเราะ "ผมแค่ขึ้นต้นให้นะ"


       ไคลน์หัวเราะ "ดีเลย ขอบคุณครับ..กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเทพอยู่องค์หนึ่ง ว่ากันว่าเขาเป็นเทพที่งดงาม...งดงามมากๆ...มากมายเสียจน..ไม่ว่าใครได้พบ ต่างก็หลงรัก หลงไหลและคลั่งไคล้"


      ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหันมาสบมอง แววตาพราวระยับด้วยความรักใคร่ยามเอ่ยถึงความงามนั้นทอดมองมาที่ตนราวกับจะบอกว่าเป็นคนที่ทำให้คนตรงหน้าซาบซึ้งกับสิ่งที่พูดนั้นคือตัวเขา เอนีลหลบตาวูบ เสก้มลงมองกุหลาบราวกับสนใจนักหนา ทั้งที่อดจะใจเต้นรัวกับแววตาคู่นั้นไม่ได้


      "เทพองค์นั้นมีนามว่าฟาราส.." เสียงทุ้มๆเอ่ยเล่าต่อด้วยจังหวะเนิบช้าชวนฟัง "ฟาราสมีคนรักเป็นเทพองค์หนึ่ง ..ว่ากันว่าเขาคือแม่ทัพแห่งสวรรค์ ทั้งสองเป็นคู่รักที่มีแต่คนชื่นชม กระทั่งวันนึง แม่ทัพคนรักของเขาต้องไปทำภารกิจในนรก และกลับมาพร้อมกับสหายศึก นั่นก็คือปีศาจตนหนึ่ง"


       "ทันทีที่ปีศาจตนนั้นได้พบกับฟาราส...ปีศาจตนนั้นหลงรักฟาราสทันที เหมือนกับทุกๆ และเหมือนกับ ผู้ที่พบเห็นความมมืดมิดมาเนิ่นนาน หลงไหลต่อแสงสว่างที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า"


        เอนีลนิ่งฟังเงียบๆ หากเขาค่อยขมวดคิ้วเข้าหากันน้อยๆ เมื่ออกค่อยปวดตุบ และหัวใจเต้นโลดแรงขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ


      "ปีศาจตนนั้นรู้ว่าฟาราสมีคนรัก และตัวมัน..มิอาจทำอันตรายใด ต่อแม่ทัพผู้เป็นคนรักของฟาราสได้ มันจึงคิด..." ไคลน์ยิ้มน้อยๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอดมองคนที่ก้มมองพื้นเบื้องหน้า ด้วยแววตาบางอย่าง"คิดว่า...หากดึงเอาเทพบุตรผู้แสนงดงามลงมาได้ เมื่อนั้น ฟาราสก็จะเป็นของตน..มันแย่งชิง ทุกๆอย่างไปจากเขา..ปีกสีขาว..ดวงตา..หัวใจ ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างๆ......."


        ".............." เอนีลกลืนน้ำลายช้าๆ เขาเงยหน้าขึ้นมามองไคลน์ขณะที่หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงมากขึ้นเสียจนนึกกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยินเสียด้วยซ้ำ


       "เพราะถูกทำร้าย หมดสิ้นพลัง ฟาราสก็เลยกลายเป็นเพียงคนธรรมดา ..และทุกๆครั้งที่เขาเกิดมา ปีศาจตนนั้นและเทวดาที่เป็นคนรักของเขา ก็จะย่างเท้าเข้ามาหา ทั้งสองตนกำลังทำสงคราม เพื่อแย่งชิงเอาคนที่ตนเองต้องการ และเอาคืนอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ"


        เอ่ยแล้วเจ้าของเรื่องเล่าก็เบือนหน้ามองท้องฟ้า ดวงจันทร์ส่องสว่างกระจ่างเต็มตาทำให้แววตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นยิ่งมองเหม่อไปไกล ราวกับจะระลึกถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น


       ".......แล้ว" เมื่ออีกคนเงียบไปนาน เอนีลก็เอ่ยถาม หากแต่หางเสียงของเขาสั่นไหว ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็แล้วแต่


       "จบแล้วล่ะครับ" ไคลน์หันมายิ้มให้ "ว่ากันว่านิทานเรื่องนี้ไม่มีวันจบ..และบางที..มันอาจจะเป็นแค่การเปรียบเทียบว่าระหว่างความดีกับความเลว อันไหนสามารถช่วงชิงพื้นที่ในชีวิตของเรามากกว่ากันก็ได้"


        ฟังแล้วเอนีลก็หัวเราะ นายแพทย์หนุ่มหัวเราะเบาๆขณะที่มือขวาจับลงบนหน้าอก อะไรบางอย่างในหัวใจเต้นแรงเสียจนมือไม้สั่นระริกไหว ดวงตาสีท้องฟ้าหรุบต่ำ พยายามทำท่าขลบขันเสียจนต้องก้มตัวก้มหน้าไม่ให้ไคลน์เกิดความงวยงง แต่ทว่ามันก็ดูจะเป็นไปได้ยากเต็มที


       "ดูเป็นตำนานธรรมดาๆ ที่น่าขันสินะครับ..เหมือนแปรเอามาเป็นเรื่องรักโรแมนติก..เพื่อดึงดูดไม่ให้น่าเบื่อ" ทั้งที่หากมองคงจะรู้ความผิดปกติ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับมองออกไปนอกหน้าต่างจึงไม่ได้สังเกตุเห็นใบหน้าซีดเซียวและท่าทีประหลาดของคนตรงหน้า ไคลน์มองเครื่องบินรบที่บินผ่านน่านฟ้า ชายหนุ่มยิ้ม


        "สงครามกำลังจะเริ่ม..."


        "..อา...นั่นสินะครับ" จู่ๆการเปลี่ยนเรื่องแบบนี้ทำให้เอนีลนึกงวยงง แต่เขาก็เออออไปตามเรื่อง มือขวาพยายามนวดอกที่ปวดหนึบช้าๆ ให้อัตราการเต้นของหัวใจกลับมาเป็นปรกติ นึกดีใจขึ้นมาวูบหนึ่งที่อีกคนไม่สังเกตุเห็นอาการแบบนี้ของตน
        " เวลา..." ไคลน์ยิ้มน้อยๆ แววตาแปรเปลี่ยนไปเป็นวูบไหว "ใกล้จะหมดแล้ว"


        "......นั่นสินะ....ครับ.." ก้มหน้าลงช้าๆ เอนีลไม่อาจจะตอบอะไรได้นอกจากคำตอบเดิมๆ ชายหนุ่มไพล่คิดถึงการที่คนในครอวครัวของตัวเองอาสัยตำแหน่งหน้าที่เรียกเอานายทหารผู้ทำหน้าที่ในสมรภูมิมาช่วยปกป้องเขา ในยามที่สงครามใหญ่ใกล้มา ไคลน์คงจะได้ถูกเรียกตัวกลับมาอีกครั้ง และ..เวลาก็ใกล้จะหมดลงอย่างที่ชายหนุ่มเอ่ยบอก


        "คุณรู้ไหม..ไม่ว่าจะที่ไหน ในตอนนี้ก็คงมีสงครามเหมือนกันนะครับ" ไคลน์หันมาในที่สุด ทำให้คนมองรีบลดมือลงจากอก แม้ชายหนุ่มจะแปลกใจกับท่าทีนั้นแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากมาย และเอนีลรู้สึกดีใจที่ตัวเองยิ้มออกมาได้เสียที


        "คุณหมายถึงส่วนอื่นๆของโลก?" หูยังพอฟังจับใจความรู้เรื่อง เอนีลเลยเอ่ยถามต่อไป


       "...ตามตำนาน....ในวิชาเทววิทยา" ไคลน์ยิ้มราวกับเป็นปริศนา "เวลาแบบนี้ ..จะมีปีศาจจากใต้ขุมนรกที่ตื่นขึ้นมา"


       ".............."


       "มันตื่นขึ้นมากวดล้างและทำลายทุกอย่าง  ในเวลาเดียวกันกับที่บนโลกมนุษย์มีสงครามใหญ่ ปีศาจที่เติบโตขึ้นมาด้วยความชิงชังและความเกลียดของผู้คนที่ตายไป แปรเปลี่ยนเป็นอสูรกายที่อยู่ใต้นรก ว่ากันว่าเวลามันตื่น จะต้องมีคนช่วยกันไปปราบ มิฉะนั้นแล้ว..ทุกอย่างก็จะสูญสิ้น" 


       "น่ากลัวจังนะครับ" เอนีลหัวเราะเจื่อน


      "เป็นเวลาเดียวที่สีขาวและสีดำจะรวมกันได้เลยนะครับ" ไคลน์ยิ้มขันๆ "แล้วเพราะแบบนั้น..สีดำเลยมาอยู่ในที่ของสีขาว และทำร้ายคนของสีขาวได้ยังไงล่ะ"


      เอนีลชะงักไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมาเบาๆ "ถ้าอย่างนั้น นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เชื่อมกับตำนานเรื่องแรกสินะครับ"


      "ใช่แล้วครับ.." ไคลน์ยิ้ม "มันน่าสนใจใช่ไหมล่ะ"


      ".........." ผู้ฟังพยักหน้าเงียบๆ แม้จะยิ้ม ทว่าแววตาของเขาไม่ได้เริงร่าเท่าทีปรากฏ


     "เป็นอะไรไปรึเปล่าครับ เอนีล?" เหมือนในที่สุดอีกฝ่ายจะสังเกตุได้ ไคลน์เอ่ยปากถามด้วยความห่วงใย "ผมไม่น่าเอาเรื่องแบบนี้มาเล่าให้ฟังเลย คุณคงรู้สึกไม่ดี"


      "ผมไม่เป็นไรหรอกครับ..ไม่เป็นไร" เอนีลหัวเราะเบาๆก่อนจะนิ่งไปแล้วกลืนน้ำลายช้าๆ "ผมแค่กำลังคิด..ว่าอีกไม่นาน..สงครามก็จะเริ่ม..."


     "แล้วคุณก็จะจากไป"


    ครานี้ไคลน์เป็นฝ่ายชะงักดวงตาสีท้องฟ้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเงียบๆ ก่อนที่ไคลน์จะเอื้อมมือมาลูบผิวแก้มของอีกฝ่ายเพียงแผ่วเบา และประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากมนหนักๆอย่างไม่รีรอ


      "...ผมจะอยู่กับคุณ เอนีล"


     "..แต่" เอนีลไม่ได้มีท่าทีต่อต้านใดราวกับการกระทำแปลกๆนั้นไม่ได้เกิดขึ้น ทว่าผิวแก้มแดงวาบขึ้นมา บ่งบอกว่าชายหนุ่มรับรู้ชัดเจน


     "ตามคำสัญญาของผม" ไคลน์ยิ้ม "หากคุณไม่ผิดสัญญากับผม ผมก็จะไม่ผิดสัญญากับคุณ"


     "ผมจะมาปกป้องและคอยอยู่เคียงข้างคุณเสมอ"


    ดวงตาสีฟ้าไหวระริกกับคำสัญญานั้น ขณะที่หัวใจเต้นระทึก เงียบไปครู่หนึ่งท่ามกลางความอึดอัดที่แขวนค้าง เอนีลก็เงยหน้าขึ้น เขาสบตาอีกฝ่ายเงียบๆ ทั้งสองจ้องสบตากันอยู่นาน ก่อนที่ฝ่ามือของนายแพทย์หนุ่มจะประคองใบหน้าของคนที่สูงกว่าให้โน้มตัวลงมาหา และประทับจูบเบาๆบนริมฝีปากของกันและกันอย่างเนิ่นนาน


     ริมฝีปากคลอเคลียอย่างอ่อนหวานไม่ได้เข้าไปรุกล้ำด้านในหรือทำอะไรมากกว่านั้น ทว่ากลับลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงจูบฉาบฉวยแค่ริมฝีปากสัมผัสกัน หากมันทำให้หัวใจอุุ่นวาบ ในอกที่เมื่อครู่พลุ้งพล่านและดิ้นรนคล้ายทุรนทุรายบางอย่างค่อยสงบลงอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีฟ้าปรือปิดลงเงียบๆ ขณะที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายวางลงบนบั้นเอวแล้วรั้งร่างของผู้เริ่มรุกเร้าให้แนบชิด พร้อมกับเริ่มสอดปลายลิ้นเข้าไปทักทายในที่สุด


      เสียงครางแผ่วเบาดังขึ้นราวกับประท้วงเมื่อสัมผัสเรียวปากอีกฝ่าย หากไม่นานก็เงียบไป เอนีลสะท้านอยู่ในอ้อมแขนแกร่งที่โอบล้อมเขาไว้ให้พ้นจากอันตรายทั้งมวล ปลายนิ้วกำชายเสื้อของชายหนุ่มแน่น ตัวสั่นนิดๆ กริยาอาการราวกับไร้เดียงสานั้นทำให้นึกเอ็นดูยิ่งนัก ไคลน์จึงโน้มตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายมากขึ้น สัมผัสและมอบความรู้สึกทั้งหมดที่ตนมีให้อีกฝ่ายรับรู้


       เนิ่นนานราวกับไม่รู้เวลา ริมฝีปากชาหนึบหลังจากจูบคลอเคลียกันอย่างอ่อนหวานจึงค่อยผละออก ดวงตาที่เหม่อลอยราวกับอยู่ในภวังค์นั้นแสนแปลกตานัก แต่คนทั้งคู่ที่ยังหลงอยู่ในมนต์ของจันทรายังคงเงียบงัน ไร้ถ้อยคำใดต่อกันและซุกอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ท่ามกลางเสียงเต้นของหัวใจที่สอดประสานกันเงียบๆ


        ดอกกุหลาบขาวที่หล่นจากฝ่ามือลงไปยังพื้นพรมปรากฏในสายตาอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปอีกครู่ เอนีลค่อยๆขยับตัว ผละจากอ้อมแขนของไคลน์แล้วก้มลงหยิบกุหลาบดอกนั้นไว้ในมือ กริยาอาการที่อาจทำไปเพียงเพื่อแก้ขวยแต่ก็ทำให้บรรยากาศเมื่อครู่ค่อยจางหาย ไคลน์กระแอมเบาๆ หันไปจ้องมองนอกหน้าต่าง เช่นเดียวกับเอนีลที่จดจ่ออยู่กับการมองกุหลาบขาวในมือ


       ..ไม่มีใครกล้าเอ่ยถามถึงความนัยของการกระทำเมื่อครู่ และสาเหตุของมัน


      ชายหนุ่มทั้งสองได้แต่ยืนนิ่งและเงียบงัน ไม่ใช่ด้วยความเขินอาย แต่เพราะความไม่แน่ใจ และ..ค้างคาในบางสิ่ง


      แม้จะรู้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายนั้นชื่นชอบ และอาจจะถึงขั้น ...รัก แต่พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ควรสัมผัสกันอย่างย่ามใจเช่นนี้


      ยังก่อน...ยังไม่ใช่ตอนนี้


       ไคลน์บอกตัวเองซ้ำๆขณะที่จ้องมองพระจันทร์เบื้องนอก ชายหนุ่มพยายามนิ่งคิดสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อนจะหันมาอีกครั้ง หากหัวใจก็เต้นโลดผิดไปอีกเมื่อสบตาสีฟ้าใสที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว ฝ่ามือที่จะเอื้อมไปหาชะงักก่อนจะยิ้มบางๆ


      "...วันนี้ดึกมากแล้ว...ถ้ายังไง.."


      "ไคลน์" เสียงเรียกเบาๆที่ดังขัดขึ้นทำให้ชายหนุ่มชะงัก


      "ครับ?"


      "กุหลาบสามดอกที่ผมเอาให้วันนี้.." เอนีลก้มหน้ามองพื้นเงียบๆก่อนจะเอ่ยเสียงเบา "ผมหมายความแบบนั้นจริงๆ"


      ".............."


      "ราตรีสวัสดิ์นะครับ"


      "ครับ ราตรีสวัสดิ์"


          ร่างของเจ้าของห้องเดินเข้าไปในห้องน้ำเมื่อเอ่ยจบประโยค ปากผู้ฟังนิ่งงัน ไคลน์เอื้อมมือไปรูดม่านปิดหน้าต่างช้าๆ ดวงตาเข้มขึ้นอีกครั้งขณะที่เดินไปยังบานประตูห้อง


       กุหลาบสามดอก...


"ผมรักคุณ"


+++++++++++++++++++++++++++++++


เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำ ร่างของไคลน์ก็ออกไปจากห้องแล้วดังคาด..


   เอนีลนั่งลงข้างเตียง จดกระดุมชุดนอนช้าๆ พลางมองร่างตัวเองที่สะท้อนอยู่กับกระจก ชายหนุ่มยกมือขึ้นนวดขมับเงียบๆ สีหน้าเคร่งขึ้นพลางถอนหายใจช้าๆ ท่าทีหนักใจบางสิ่ง ขณะที่ตามองไปยังกุหลาบขาวบนแจกัน


   ...บอกไปแบบนั้น..ถือว่าโง่รึเปล่านะ?


   เอ่ยถามตัวเองแผ่วเบา หากแต่ก็ไร้คำตอบ จะด้วยแรงกระตุ้นอะไร เอนีลไม่แน่ใจ เรื่องราวยามกลางวันนี้ ที่บอกวให้รู้ว่าเขาอาจะถูกคนๆนี้ฆ่า สมควรจะหวาดกลัวนักหนาแต่มันก็ไม่ใช่ เขากลัวก็จริง แต่ไม่ได้กลัวจะถูกพรากชีวิตไป เขากลัวจะต้องรับรู้ว่าชายหนุ่มหลอกลวงกันมากกว่า


    แล้วตอนนี้ พอมาคิดว่าไม่นานคนๆนี้จะต้องจากไป..ก็เลยเผลอไปจูบ แล้วก็พลั้งปากไปแบบนั้น


 ....ทว่ามันก็คือความจริง


   ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขารักคนๆนั้น


    ความรักที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและยึดที่มั่นในหัวใจมากขึ้นจนเกินจะรู้ตัว มานึกตระหนก สับสนและเสียใจเอาก็ในยามที่ได้พบว่าเรื่องราวแปลกๆที่พบเจออาจจะอยู่ภายใต้การกระทำที่ไคลน์มีส่วนร่วมด้วยนี่เอง


    ..ทั้งที่ไม่ควรพูดกลับพูดไป..


        "โง่งมเสียจริง" เสียงพูดที่ราวกับนั่งอยู่กลางหัวใจดังขึ้นเงียบๆ นั่นทำให้เอนีลชะงัก พลันสะดุ้งอีกครั้งเมื่อร่างนั้นปรากฏอยู่ในกระจก ชายหนุ่มหันขวับไปด้านหลัง ก่อนจะพบว่าชายคนนั้นนั่งเอกขเนกบนเตียงของเขาด้วยสีหน้ารื่งเริงเสียเต็มประดา


        "เซดิส..." เอนีลเรียกชื่ออีกฝ่ายเงียบ


       "...ทั้งที่รู้ว่าตัวเองอาจจะต้องตาย แล้วเจ้าพูดไปทำไม" ปลายนิ้วสีขาวเเตะเส้นผมสีดำสนิทของตัวเองเบาๆ เอ่ยถามเขาราวกับฉงน


       เอนีลเม้มปากแน่น "แอบฟังคนอื่นพูดไม่ดีนะครับ"


      "เจ้า จำได้ แล้วใช่ไหม?" ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองมาเงียบๆ


      "................." ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากของคนถูกถาม


       "...รู้ใช่ไหม ว่านั่นคือคำโกหก" เซดิสเปลี่ยนไปพูดอีกเรื่อง ไม่ได้สนใจซักถามต่อ


      "...จนป่านนี้ ผมยังไม่ทราบว่าใครพูดความจริงหรอกครับ" เอนีลตอบสั้นๆ "แต่ที่แน่ๆ ไคลน์น่าเชื่อถือกว่าคุณมาก"


     คำพูดนั้นทำให้ผู้ฟังหัวเราะราวกับถูกใจ


       "...น่าเชื่อถือ เชื่อถือเรอะ แล้วเหตุใด ถึงได้มีท่าทีแบบนั้นล่ะ..เวลาได้ยินชื่อฟาราสน่ะ" เซดิสยิ้มขัน "ฟาราส...ฟาราสผู้งดงามและแสนดี..เจ้าได้ยินชื่อเขาแล้วทำไมถึงรู้สึกแปลกประหลาดขนาดนั้น?"


       "..........."


       "เจ้านี่ไม่ว่าอย่างไรก็น่าขัน" เซดิสหัวเราะ สีหน้าขบขัน..เช่นเดียวกับริมฝีปากที่พรายยิ้มบาง "อุตส่าห์เอ่ยปากเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเจ้าก็ยังทำไมรู้....ตามใจเถิด"


      "....ทำไมผมต้องเชื่อคุณ" เอนีลสวนกลับ แววตาวาววับ "คุณก็ไม่เคยพูดจริงสักอย่าง บอกจะพาผมไปเจออาโลอิส นอกจากศพตัวเอง ผมก็ไม่ได้เจอสิ่งอื่นนี่"


       "....เจ้า" ผู้ฟังเลิกคิ้ว สีหน้าคล้ายฉงน "ก็ได้เจอแล้วมิใช่หรือ"


      "คุณหมายถึงเสียงกรีดร้องแล้วก็การทำ...ทำแบบนั้นน่ะเหรอ" เอนีลถามกลับ แววตาวาววับเมื่อนึกถึงภาพอันเลวร้ายในความทรงจำ


     "...เจ้าอาจจะโกหกผู้อื่นได้ แต่เจ้าโกหกตนเองไม่ได้" เซดิสเอ่ยเสียงเบา "เจ้ารู้ดี ว่านั่นมันคืออะไร"


     "ผม...."


    "หากไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็น เจ้าก็เดินไปถามมันเสียซิ...ว่ามันเคยฆ่าเจ้าไหม"


      "ผมจะพูดแบบนั้นทำไม ใครจะยอมรั-----"


      "เจ้าไม่ได้ไม่กล้าพูดเพราะกลัวมันเสียใจที่เจ้าระแวงสงสัย" เซดิสหัวเราะ "เจ้าพูดเพราะกลัวมันตอบว่า"ใช่"ต่างหาก"


       "..................."


          ปลายนิ้วสีดำยื่นมาตรงหน้า แววตาที่เข้มขึ้นของอีกฝ่ายทำให้เอนีลหนาววูบ เขาจะขยับหนี ทว่าก็ไม่อาจทำได้ ราวกับถูกบางอย่างตรึงเอาไว้ เนื้อตัวจึงชาดิก ไร้การเคลื่อนไหวายหนุ่มจ้องมองปลายนิ้วที่เคลื่นเข้าหมาใกล้อย่างงวยงงและหวาดกลัว ยิ่งมองเห็นแสงบางอย่างวาบขึ้น หัวใจก็ยิ่งเต้นโลดแรง


        สบตาสีแดงก่ำราวกับวอนขอ หากที่ได้รับตอบมามีเพียงแววขบขัน เรียวปากของเซดิสยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ


      "เวลาใกล้จะมาถึงแล้ว.."


      "ถือว่านี่...เป็น"ของขวัญ"จากเจ้านายของเจ้าก็แล้วกัน"


        ทันทีที่เอ่ยเช่นนั้น ร่างที่เเข็งทื่อของเอนีลก็ร่วงหล่นลงบนเตียงอย่างรวดเร็ว


     "สนุกกับความฝันครั้งสุดท้ายของเจ้าเสียนะ...เด็กน้อย"


        เอ่ยพร้อมกับสะบัดปลายนิ้วออกจากหน้าปากอีกฝ่าย เซดิสลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มกวาดตามองทั่วห้องก่อนจะสะบัดแขนโดยแรงหนึ่งที บานหน้าต่างที่ปิดล็อคมาตลอดก็พลันเปิดอ้า เสียงหน้าต่างกระทบผนังดังตึงใหญ่ มาพร้อมกับสายลมแรงที่หอบบางอย่างให้พรั่งพรูเข้ามาในห้อง


     แว่วเสียงฝีเท้าก้าวลงมาอย่างเร่งร้องและเสียงลูกบิดประตูถูกเขย่าเปิดออกโดยแรง ริมฝีปากของชายหนุ่มกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ยามเมื่อสบมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่วาววับด้วยความไม่พอใจ หากก่อนที่จะได้ทำอะไรมากกว่านั้น ร่างในชุดสีดำก็อันตธารหายไป เหลือเพียงผ้าม่านที่สะบัดไหวให้สายลมในยามค่ำคืนเข้ามาเยือน


     ..และร่างที่สลบไสลอยู่บนเตียงนอนราวกับจะไม่ฟื้นขึ้นมาชั่วนิรันดร์


      +++++++++++++++++++++++


ตอนนี้มีสองบรรยากาศ หนึ่งคือหวานมากและสองคือมึนมาก555

//ชาวบ้านบอกมึนตัลหลอดแหละะะ


ความลับซัมติงใกล้จะเปิดเผยแล้ววววว มาลุ้นกันเถอะค่ะว่าจะออกหัวออกก้อยยย เฮฮฮ *0*/



ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8


Lost 21 : ตื่นจากฝัน


    ไม่มีฝันครั้งไหนที่ยาวนานมากกว่าครั้งนี้..


     เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มันคือยามเช้าตรู่ หลังจากหลับหมดสติไปด้วยน้ำมือของเซดิส เอนีลไม่ได้หลับไปนานหลายวันหลายคืนแต่อย่างใด ทว่ามันกลับเนิ่นนานนักในความรู้สึก ความรู้สึกในยามที่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หลากหลายเสียจนต้องนิ่งตั้งสติครู่ใหญ่ ราวกับได้บางสิ่งกลับมาให้เป็นคนเดิมที่ควรเป็น ทว่าก็ราวกับต้องสูญเสียบางสิ่งที่แสนสำคัญไปด้วยเช่นกัน..


    ....ความทรงจำ ความฝัน และเรื่องราวประหลาดทั้งหลายเหล่านั้น


      ยิ้มคนเดียวอย่างเงียบงันครู่ใหญ่ ก่อนชายหนุ่มพยุงตัวลุกขึ้นเงียบๆเขาไม่พบร่างของใครอื่นที่อยู่รอบกาย เตียงสี่เสาหลังใหญ่มีผ้าม่านสีควันบุหรี่ปกคลุมโดยรอบนั้นเป็นสิ่งที่คุ้นตา สายลมเย็นๆพัดเข้ามาทำให้ม่านผืนบางไหวพริ้มตามแรงลม


     ดวงตาสีท้องฟ้าตวัดไปยังหน้าต่างบานใหญ่ในห้องของตน ไม่ผิดไปจากที่คิดเมื่อมันเปิดกว้างให้สายลมเย็นลอดผ่าน  แสงสว่างทอลอดเข้ามาอย่างอ่อนโยนในยามเช้าที่อากาศดีเช่นนี้ เอนีลละสายตาจากหน้าต่างบานใหญ่ ชายหนุ่มจ้องมองดอกกุหลาบสีขาวที่ถูกปักไว้ในแจกันข้างหัวเตียง ก่อนจะป่ายผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกขึ้นเงียบๆ


     ยืนกลัดกระดุมเสื้ออยู่หน้ากระจกบานหนา เอนีลจ้องมองใบหน้าและดวงตาของตนที่สะท้อนตอบมาอย่างเงียบเชียบ ชายหนุ่มเม้มปากแน่น รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วที่สั่นน้อยๆของตนและริมฝีปากที่เหยียดออกราวกับรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงบางสิ่งเกินจะทน


  แอ๊ด...


      "คุณหนู.." เสียงครางของพ่อบ้านเฒ่าแสนคุ้นหู เอนีลหันไปตามเสียงเรียกนั้น เขาสบตาฟาเอล กีโยต์เงียบๆ ดวงตสีเทาของชายชราสั่นระริก ใบหน้าเต็มไปด้วยความโล่งใจพลางเดินมายิ้มให้อย่างยินดี "ฟื้นเสียที..ผมเป็นห่วงมาก"


     "ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ..ขอบคุณมาก" เอนีลตอบรับเบาๆ ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองชายตรงหน้าเงียบๆ พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าเหี่ยวย่นตามวันเวลานั้น ฟาเอลมีท่าทีประหลาดใจ ทว่าก็เอื้มมือไปจับมือเขาแล้วบีบเบาๆเช่นกัน


     "ผมกลัวจะเป็นอะไรไปจริงๆ..."น้ำเสียงนั้นบ่งบอกความห่วงใยชัดเจนก่อนจะเงยหน้าขึ้น "เมื่อครู่ท่านนายพลโทรมา บอกว่าทางที่ดีให้เตรียมตัวไว้..สงคราม"


      "ผมรู้ครับ" เอนีลยิ้ม "ผมกำลังเตรียมตัวอยู่"


      "...ไม่ได้อยากสมัครเป็นแพทย์สนามใช่ไหม?" ฟาเอลอ้าปากค้าง ถามเสียงเบาราวกับกระซิบ


     "เปล่าหรอกครับ...ไม่ใช่หรอก" เอนีลเอื้มมือไปบีบมือคนตรงหน้าเบาๆอีกครั้ง "ผม...แค่เตรียมตัว"


     "............."


     "ขอบคุณมากนะครับ ที่คอยเป็นห่วงมาตลอด" เอนีลละฝ่ามืออกแล้วสวมกอดชายตรงหน้าเบาๆ "ผมนี่แย่เสียจริงๆ ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย"


     "คุณชาย...." น้ำเสียงของฟาเอลลังเล คล้ายสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาเบาใจได้เอาเสียเลย


     "...ผมหิวแล้ว" นิ่งไปครู่เอนีลก็หัวเราะ "เช้านี้มีอะไรบ้างครับ อยากกินซุปเห็ดจังเลย"


    "วันนี้มีซุปหัวหอมกับตับบด ถ้าอยากได้ซุปเห็ด ผมจะไปเตรียมมาให้นะครับ" เมื่อเห็นว่าคนป่วยขอ ฟาเอลก็ละล่ำละลักบอกทันที "..คุณหนูอย่าหักโหมมากนะครับ เดี่ยวลงมาทานข้าวด้วยกันแล้วไปให้หมดตรวจอีกรอบเถอะ"


     "ผมไม่เป็นไรแล้วครับ" ผู้ฟังยิ้มบาง "..หายแล้วล่ะ"


    "....คุณชาย" ฟาเอลจ้องมองผู้พูด ท่าทาสงบนิ่งและยิ้มแย้มเช่นนี้ควรทำให้วางใจแต่ก็เปล่า มันราวกับเป็นลางสังหรณ์ที่ทำให้ผู้มองนึกหวาดหวั่น "...ผมว่า..."


    "เดี๋ยวผมขอเป็นผู้ตรวจให้แทนนะครับ คุณฟาเอล" เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ทั้งสองชะงักอีกครา เอนีลหันไปมองผู้พูดที่ถือวิสาสะยืนมองเขาอยู่ที่ประตู ไคลน์ สไตร์คเซอร์กอดอกแล้วมองมาทางนี้เงียบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้จะพยายามทำท่าทีผ่อนคลายแต่ก็ไม่อาจเป็นไปได้ "หวังว่าคุณคงอนุญาต"


      "....ครับ..ได้" เอนีลพยักหน้ารับพลางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันไปหาฟาเอล "ผมจะให้ไคลน์ตรวจให้ เบาใจได้แล้วนะครับ"


     "..ถ้าแบบนั้นผมก็ยินดี" ฟาเอลยิ้มรับ "ผมจะลงไปเตรียมอาหารเช้า..ถ้าตรวจเสร็จแล้วลงมาทานมื้อเช้าด้วยกันนะครับ"


    "ได้เลยครับ" เอนีลกอดพ่อบ้านเฒ่าอีกครั้งแล้วผละออก ใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน


     "ด้วยความยินดีครับ.." ไคลน์รับคำ ชายหนุ่มเปิดประตูออกกว้างให้ขณะที่ฟาเอลเดินออกไปจากห้อง จวบจนเมื่อร่างของพ่อบ้านเฒ่าลับสายตาไปแล้ว ชายหนุ่มจึงงับประตูปิดอีกครั้ง และสาวเท้ามาหาคนที่อยู่ในห้อง


     "คึกคักกันจริงนะครับ..." เปรยขึ้นเบาๆ ขณะที่วางมือลงบนกรอบหน้าต่าง ตามองออกไปยังถนนเบื้องล่างซึ่งผู้คนเริ่มคลาคล่ำ ใบหน้ารับแสงอาทิตย์และสายลมเย็นๆที่ลอดเข้ามา "สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นทุกที..คงประกาศสงครามกันเร็วๆนี้แน่"


    "....อีกไม่นาน" ไคลน์เอ่ยปากรับคำเบาๆ


    "..แต่เดี๋ยวคุณก็คงต้องไป" ดวงตาสีฟ้ายังไม่ละออกจากภาพเบื้องนอก


    "คุณก็เหมือนกัน"


        เอนีลยิ้มรับคำนั้นและไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มหันมาสบตาคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ดวงตาสีฟ้าสดทั้งอ่อนโยนและฉาบฉายไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง เสื้อเชิ๊ตสีดำสนิทและกางเกงสีเดียวกันทำให้นายแพทย์หนุ่มดูแปลกตาไปไม่น้อยเพราะที่ผ่านมาเอนีลมักจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีอ่อนสบายตามากกว่า ทว่าความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นไม่ได้ทำให้ไคลน์เอ่ยปากพูดอะไร ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสบกับดวงตาสีฟ้าสดที่มันสงบอย่างน่าประหลาด ก่อนที่เจ้าของดวงตานั้นจะยื่นมือมาหา


     "...รู้สึกไม่มีแรงชอบกล ตรวจให้หน่อยได้มั้ยครับ"


     "...ได้สิครับ" จับมือขาวที่ยื่นมาหา สัมผัสปลายนิ้วเรียวขณะที่แตะลงบนแอ่งชีพจรตรงต้นแขน ไคลน์มีท่าทีสงบนิ่ง ไม่ได้ยิ้มแย้มหัวเราะ ไม่ต่างอะไรกับความเงียบอันมีที่มาจากคนตรงหน้า


      "คุณเคยบอกผม..." ผ่านไปหลายนาที และนายแพทย์ทหารนามว่าไคลน์ก็ยังจดจ่อกับการวัดชีพจร ซึ่งทำให้ภายในห้องเงียบกริบได้อย่างไม่น่าเชื่อ คนเป็นเจ้าของห้องก็เอ่ยปาก "ถ้าเรามีโอกาส..ได้ไปที่นั่นอีกครั้ง จะเป่าฟลุ๊ตให้ผมฟัง"


      "....ครับ ใช่" ไคลน์รับคำเบาๆ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาหา


     "ผมอยากไปจัง...วันนี้ว่างไหมครับ" เอนีลเอ่ยปากถาม ใบหน้าแย้มยิ้ม


    "ผมว่าง" ไคลน์ละสายตาออกจากข้อมืออีกฝ่ายในที่สุด "หน้าที่ของผมคือปกป้องคุณ ย่อมไปได้อยู่แล้ว"


     "ดีจังครับ" เอนีลยิ้ม..ก่อนจะดึงแขนออกจากปลายนิ้วอีกฝ่าย "แล้วอาการผมเป็นยังไงบ้าง?"


     "ปกติดี..ชีพจรเต้นอ่อนไปนิด แต่ก็ยังถือว่าไม่น่าห่วง" ไคลน์ตอบเบาๆ พลางเอื้อมมือบังผ้าม่านที่ปลิวเข้ามา ชายหนุ่มรวบผ้าม่านไว้กับกรอบหน้าต่างข้างหนึ่ง พลางสบตาคนถามไปด้วย


    "ร่างกาย...ปกติดีสินะครับ" รับคำเบาๆ ก่อนที่เอนีลจะลุกขึ้น "ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว..ไปทานข้าวกันเถอะ"


    ไคลน์พยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร


    "จริงสิครับ.." หลังจากเดินไปถึงประตู เอนีลละมือที่กำลังแตะลูกบิดออกแล้วหันมาหา "...หน้าต่างบานนั้นเปิดไปเสียแล้ว ผมขอโทษด้วย"


    "...ไม่ใช่ความผิดของคุณ" ไคลน์รู้ ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ลงมือเอง


    "...แต่ก็ผิดคำสัญญาไปซะแล้ว" เอนีลยิ้มบางๆ สบตาคนตรงหน้า "ขอโทษนะครับ"


    "มันแค่หน้าต่าง.." ไคลน์อยากจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่นัยยะบางอย่างในแววตาคู่นั้นทำให้เขาเอ่ยปากบ่ายเบี่ยงไปเสีย


    "นั่นสิครับ.." นายแพทย์หนุ่มพยักหน้า "...คำสัญญา..ไร้สาระ"


     "แต่ผมก็ดีใจที่คุณยึดถือมันไว้.."


     "ผมก็เหมือนกันครับ..แม้จะเป็นแค่ช่วงนึงก็ตาม" เอนีลหัวเราะออกมาเบาๆ แววตาของชายหนุ่มเป็นประกายประหลาด ยามสบตาสีน้ำตาลอ่อนของคนตรงหน้า


      "ในเมื่อหน้าต่างเปิดไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องผมอีกต่อไปแล้วล่ะครับ"


     ไม่มีคำตอบใดจากปากของไคลน์ ชายหนุ่มจ้องมองแผ่นหลังที่หายลับไปหลังบานประตูเงียบๆ ฝ่าเท้าก้าวเดินตามไป ขณะที่ตามองเห็นกุหลาบสีขาวที่เขาเป็นผู้ให้ถูกวางลงบนข้างเตียง ฝ่ามือออกแรงเปิดและปิดประตูห้องที่แสงสว่างจากภายนอกยังคงสาดจ้า ผ้าม่านปลิวไสว ร่อยรอยของการใช้ชีวิตยังคงปรากฏ ทว่ากุหลาบที่วางลงไปบนเตียงดูราวกับคำอาลัยวางไว้หน้าหลุมศพกระนั้น


++++++++++++++++++++


         มื้ออาหารที่เงียบเชียบดำเนินไปราวกับเป็นเรื่องปกติ..


     ในสายตาของผู้เฝ้ามอง ฟาเอล กีโยต์ พบว่ามันไม่เหมือนกับทุกครั้ง แน่นอนว่าคุณชายของเขาและแขกกิติมศักดิ์ไม่ใช่คนช่างพูด ทว่าทั้งสองก็มักมีเรื่องราวมากมายมาแบ่งปันกันอยู่เสมอ มีรอยยิ้มมอบให้กันไม่ได้ขาด บรรยากาศรื่นรมย์ เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสบายใจที่มอบให้กันนั้นเป็นสิ่งที่ตนเคยคุ้น หลายครั้งที่รู้สึกถึงความใกล้ชิดเสียจนเกินปกติ และความสนิทสนมที่ห่างไกลจากคำว่าธรรมดา ฟาเอลก็เงียบเสีย พ่อบ้านเฒ่ายอมสงบปากสงบคำไม่เอ่ยคำทักท้วงใด เพราะเห็นแก่ความสุขของคุณชายที่เขารักและผูกพันธ์ราวกับบุตรในอุทร


      หากแต่ในเช้าวันนี้ ความเงียบและบทสนทนาเรื่อยเปื่อยไม่อาจปกปิดความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ ใบหน้าของคนสองคนที่ยิ้มแย้มให้กัน ทว่าแววตานั้นฉาบไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ตนไม่กล้าคาดเดา ดูเงียบงันและสงบราวกับทะเลไร้คลื่นลมก่อนเกิดพายุ


   ....สังหรณ์ในใจบางอย่างของฟาเอลผุดขึ้นอย่างเงียบเชียบ ว่ามันต้องมีบางสิ่งที่ผิดแปลกไป


    "ลุงฟาเอล" เสียงของคุณชายที่ตนรักใคร่ดังขึ้นทำให้ละออกจากภวังค์ "วันนี้ผมจะออกไปธุระกับไคลน์ อาจจะกลับช้านะครับ"


    "จะออกไปแล้วเหรอครับ..." พ่อบ้านเฒ่าส่งเสียงคล้ายกังวลและห่วงใย ด้วยห่วงถึงอาการของคุณชายคนสำคัญ


    "ครับ..ผมไปกับไคลน์ไง ปลอดภัยแน่ครับ" เอนีลยิ้ม


     "....ผมรู้ แต่ อาการ..." ชายชรามีท่าทีอึกอัก


     "ผมตรวจดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ " ไคลน์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมา "อย่าห่วงเลยครับ"


      เอนีลยิ้มให้แล้วพยักหน้ารับคำกับพ่อบ้านเฒ่าเป็นมั่นเป็นเหมาะ ราวกับว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น และราวกับจะไม่สงสัย ว่าเหตุใด ไคลน์ สไตร์คเซอร์ถึงได้ไม่เอ่ยปากถามอะไรถึงเรื่องแปลกๆนั้น


       มองท่าทีรับคำเป็นมันเหมาะของทั้งสองคนแล้วพ่อบ้านเฒ่าก็ถอนใจแล้วยิ้มออกมา "เดินทางดีๆนะครับ"


     "ครับผม ขอบคุณมาก" เอนีลเดินมากอดอ้อนชายชราเช่นเดิม เมื่อสบกับดวงตาสีท้องฟ้าที่ฉายแววออดอ้อนรักใคร่นั้นชายชราก็ต้องใจอ่อนไปอีกครา ฟาเอลกอดตอบคุณชายของตนเงียบๆ และคอยดูแลเรื่องของกินและช่วยอำนวยความสะดวกต่างให้อย่างเต็มที่ กระทั่งส่งทั้งสองคนขึ้นรถจากไปแล้วนั่นล่ะ พ่อบ้านเฒ่าจึงได้พอใจ


     เดินกลับเข้ามาในบ้านแล้วจัดการเก็บกวาดทุกอย่างตามปกติ หากแต่ช่อกุหลาบที่เหี่ยวแห้งอยู่ในถังขยะทำให้ฟาเอลนึกแปลกใจไม่น้อย หากจำไม่ผิด นี่เป็นช่อกุหลาบที่คุณชายเอนีลถือติดมือมาเมื่อวาน ดอกกุหลาบสีแดงเข้มจนเกือบดำดอกใหญ่และดอกเล็กๆอีกสองสามดอกถูกมัดเป็นช่อสวย แม้มันจะถูกเหวี่ยงลงบนถังขยะราวกับไม่ใส่ใจแล้วกระนั้นยังสดและส่งกลิ่นหอมเจือจาง


      ทว่าสิ่งที่ทำให้ฟาเอลแปลกใจ คือทำไม..เพราะอะไรกันแน่ มันถึงได้ถูกเขวี้ยงลงถังขยะเช่นนี้ คนที่ได้รับมัน หากตนจำไม่ผิด คือไคลน์ สไตร์คเซอร์ผู้นั้นไม่ใช่หรือ...คนที่มีท่าทีสนิทสนมรักใคร่คุณชายของเขาเสียขนาดนั้น ทำไมถึงได้ทิ้งของที่ได้ไปเสียเล่า


    ...และคุณชายของเขา จะรู้ไหมนะ ว่าดอกกุหลาบที่ตนมอบให้ ถูกทิ้งไปไม่ไยดี


          ตะกร้าหวายที่บรรจุถ้วยน้ำชา มื้อเที่ยง และของหวานวางอยู่บนตัก ด้านหลังคือพรมผืนเล็กหากแต่นุ่มเท้าสำหรับปูนั่ง ข้าวของและสัมภาระไม่ได้ต่างจากครั้งที่แล้วสักกี่มากน้อย ถูกบรรทุกมาในรถคันเล็กที่สองหนุ่มใช้ท่องเที่ยว ด้านหน้าของไคลน์มีกล่องใส่เครื่องดนตรีที่ไม่รู้ชายหนุ่มเอามาจากที่ไหน ทว่าคนร่วมทางก็ไม่คิดจะถาม เอนีลนั่งมองท้องฟ้า ใบหน้าระบายยิ้มน้อยๆดูสงบ และราวกับมีความสุขนักหนาที่ได้เฝ้ามองดูรถรา ผู้คน อีกทั้งถนนหนทางไปเรื่อยๆ


       "ครั้งนี้ไปเยี่ยมหลวงพ่อฌองกันด้วยดีไหมครับ?" เอนีลเอ่ยถามยิ้มๆ "ครั้งที่แล้วคงทำให้ท่านตกใจพอดู"


      "...นั่นสินะครับ" ไคลน์ไม่ได้ถามว่าตกใจเกี่ยวกับอะไร หรือเรื่องไหน ทว่าชายหนุ่มอาจจะทราบแล้วก็เป็นได้


      "ครั้งนี้แปลกจัง..ที่คุณไม่ถาม" คำถามที่ดังขึ้นนั้นราวกับคนซักจะอดใจไม่ไหว "แปลกจริงๆนะ"


       ".....ผมคิดว่าคุณอาจไม่อยากพูด" ไคลน์ตอบเบาๆ ยังไม่ละสายตาจากถนนเบื้องหน้า


      เอนีลหัวเราะ "อาจจะจริง หรืออาจจะไม่จริง..."


      "หากผมถาม คุณจะตอบ?"


      "เรื่องประหลาดเยอะแยะ ผมว่าคุณคงไม่ชอบล่ะมั้ง" เอนีลยิ้มขันๆ


     "ผมอยากฟัง" ไคลน์ยืนยันหนักแน่น ท่าทีของวันนี้ดูเคร่งขรึม ไร้รอยยิ้มระรื่นเช่นที่เคยเป็น


     "คุณจำเรื่องที่เล่าให้ผมฟังเมื่อคืนได้ไหมครับ?" เอนีลไม่ได้ตอบคำถามนั้น ชายหนุ่มหันไปถามอีกเรื่องราวกับไม่ได้ยิน

"...ปีศาจที่หลงรักเทพบุตร..."



    "วันนี้ ผมก็มีบางสิ่งอยากเล่าให้คุณฟังเหมือนกัน" เอนีลยิ้ม "เรื่องของปีศาจ ที่หลงรักเทพบุตรคนหนึ่ง"


    "................" ไคลน์ไม่ตอบอะไร เขาจ้องมองคนพูดเงียบๆ


    "เป็นเรื่องที่มาจากความฝันของผม ซึ่งอาจจะขัดกับเรื่องเล่าในวิชาเทววิทยาของคุณก็ได้" เอนีลหันมาสบตาอีกฝ่าย ซึ่งละสายตาจากถนนมาจ้องเขาเงียบๆ "ระวังรถครับ"


    "ขอบคุณครับ" ไคลน์หันกลับไปมองถนนอีกครั้ง


     "....ความฝันของผม มันพิลึกพิลั่นมากเลยล่ะ" เอนีลเอ่ยปากเล่าต่อ ชายหนุ่มยิ้มบาง แววตาสงบนิ่ง "..ทุกอย่างเหมือนจะผิดไปจากที่ๆควรจะเป็น...แล้วไปๆมาๆ ยังเหมือนการเข้าข้างสีดำที่คุณเกลียดอีกด้วย"


     "................." ไม่มีคำตอบใด ขณะที่รถเลี้ยวออกจากถนนใหญ่เข้ามายังหมู่บ้านเล็กๆ และไต่ไปยังเส้นทางที่จะนำไปสู่ทะเลสาบอันมีโบสถ์สีขาวที่ตนเคยคุ้น


     "แล้วยังมีเรื่องนี้อีกนะครับ ที่ผมอยากจะเล่า" เอนีลเอ่ยปากพูดต่อเมื่อคนข้างกายไม่ตอบรับอะไรกลับมา ดวงตาของเขามองไปรอบๆ ด้วยท่าทีรื่นเริง ไร้อาการกังวลใจ  "เรื่องของ...การเอาคืน..แบบเดียวกับที่คุณเล่าเลย"


      "แต่สำหรับบางคน อาจจะเป็นการแก้แค้นกระมัง.."


      รถจอดลงในที่สุด เอนีลมองต้นไม้ใหญ่และทะเลสาบที่น้ำใสราวกับกระจกซึ่งตนแสนคุ้นตา  ทว่าเขาไม่ได้ลุกไปไหน ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งและนั่งอยู่ในรถต่อไปแม้ว่าคนข้างกายจะดับเครื่องยนต์ไปแล้วก็ตาม พวกเขาทั้งคู่นั่งนิ่ง เงียบอยู่อย่างนั้นจนท้องฟ้าด้านบนต้องส่งเสียงร้องครืนครางมาราวกับคำเตือน


      กลิ่นอาหารยังคงโชยฉุยออกมาจากตระกร้าหวายบนตัก ขณะที่ปลายนิ้วสีขาวนั้นไล้มือบนกรอบกระจกรถเงียบๆ ราวกับตกอยู่ในภวังค์


        "กุหลาบช่อนั้น ....น่าเสียดายนะครับ"


       "ผมเกลียดสีดำ" ไคลน์ตอบสั้นๆ ไม่มีท่าทีแปลกใจที่เอนีลรู้...ว่าเขาทิ้งของที่อีกฝ่ายมอบให้ รวมทั้งคำพูดและความหมายของดอกกุหลาบช่อนั้นไปเช่นกัน


       "ผมรู้..." เอนีลตอบรับเบาๆ "แต่มันเป็น การพนันเล็กๆน้อยๆ ที่อยากนึกสมหวังบ้าง"


       "............."


      "แบบเดียวกับหน้าต่างที่ปิด..และเปิดออกในเช้านี้" ดวงตาสีฟ้าสดกระพริบช้าๆ "นั่นคือคำตอบของผม และของคุณเช่นกัน"


      "ต่อให้มันไม่ถูกเปิด..คำตอบก็ไม่เปลี่ยนไป" ไคลน์หันมามองเสี้ยวหน้าอีกฝ่าย ตอบสั้น


       "................." ครานี้เอนีลเงียบ ไม่ตอบอะไรบ้าง และไคลน์ก็เงียบ..ไร้ถ้อยคำใดสานต่อเช่นกัน


    ...ราวกับพวกเขาไม่อาจสรรหาถ้อยคำใดมาสนทนากันได้อีกแล้ว


    และราวกับ..ภาพของการสนทนาเรื่อยเปื่อยไร้กังวล รอยยิ้ม ความใกล้ชิดที่มีจะค่อยเจือจางหายไปเช่นกัน


    หายไป เช่นเดียวกับความจริงที่คืบคลานมาแทนที่มันอย่างเงียบเชียบ


       "...จะฟังที่ข้าพูด หรือว่าจะฆ่าข้าก่อนละ ไคลน์.." เงียบไปนาน เสียงเรียบๆของเอนีลก็ดังขึ้น ดวงตาของชายหนุ่มยังคงมองไปเบื้องนอก ถนนเล็กๆที่ไร้ผู้คนสัญจรและดูเหมือนจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ


      สรรพนามและคำพูดประหลาดหูไม่ได้ทำให้ไคลน์แปลกใจหรือสงสัย ชายหนุ่มนั่งฟังอยู่ด้วยอาหารสงบ นิ่ง...นาน..จึงเอ่ยตอบคำ



      "ครั้งสุดท้ายของเจ้า พูดมา อาโลอิส"


     ผู้ฟังแย้มรอยยิ้ม ดวงตาสีฟ้าไหวระริกราวกับระลอกคลื่น ดวงตาคู่นั้นฉายแววเศร้าสร้อยอย่างน่าประหลาด ยามได้ยินเสียงเอ่ยเรียกชื่อแปลกหู เขายิ้ม..ทั้งที่อยากจะร้องไห้เหลือทน


      เสียงฟ้าร้องครืนคราง ดังมาเบาๆและประสานกับเสียงฝนที่สาดลงมากระทบหลังคารถ เอนีล...ผู้ถูกเรียกว่าอาโลอิสค่อยหัวเราะออกมาแผ่วเบา และเอ่ยเสียงเนิบช้า



     "Tuez-moi. Je desire etre tue par votre main."



+++++++++++++++++++++++++++


ตอนนี้เป็นอินโทรดราม่าค่ะะ //ชาวบ้านบอกแค่อินโทรเราะ 55


มีเรื่องให้ตกใจกันนิดหน่อยที่โดนเรียกว่าอาโลอิส ความจริงจังเป็นยังไง ติดตามกันได้พรุ่งนี้เลยค่าาา




ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
จะหักอีกสักกี่มุม
ปวดใจจัง

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8



Lost 22 : เรื่องเล่าของปีศาจ



"Tuez-moi. Je desire etre tue par votre main."


       สิ้นประโยคที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบาราวกับคำอ้อนวอนขอครั้งสุดท้ายของเอนีล ชาสด์เดอตงส์ ผู้ฟังกลับหัวเราะ เสียงหัวเราะไร้ความขบขันดังออกมาจากปากของไคลน์ สไตร์คเซอร์ ผุ้ซึ่งบัดนี้ใช้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เต็มไปด้วยความชิงชังอย่างปิดไม่มิดจ้องมองมาที่ชายหนุ่มข้างกาย


    "...คำขอนั่น.."


    "ย่อมเป็นจริงอยู่แล้ว ใช่หรือไม่" เอนีลเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ชายหนุ่มจ้องสบแววตาแข็งกระด้างคู่นั้น เขาไม่ได้มีท่าทีแปลกใจ..ตกใจราวกับไม่เคยเห็นมาก่อนหรือหวั่นกลัวใดๆทั้งสิ้น ตรงกันข้ามกลับนิ่งสงบ..แม้จะหวั่นไหว หากแต่น้อยนัก เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า ในยามที่ไคลน์ สไตร์คเซอร์ไม่คิดจะปิดบังตัวตนหรือความชิงชังของตนอีกต่อไป ก็ราวกับท้องฟ้าที่เก็บกักละอองน้ำมาเนิ่นนานได้กลั่นเป็นพายุฝนที่เต็มไปด้วยความโกรธกริ้ว


     "...ใช่" ไคลน์เอ่ยเสียงเบาราวกับกระซิบ แววตาแข็งกระด้างนั้นยังคงมองมา "แล้วเจ้าจะเอ่ยขอเพื่ออะไรรึ น่าขันนัก"


    "เพียงแค่การลงพนันขันต่ออันไร้สาระ" เอนีลตอบสั้น "วิสัยของปีศาจ..เจ้าคงไม่คิดสนใจกระมัง"


    ผู้ฟังเหยียดรอยยิ้ม อันเต็มไปด้วยความชิงชัง "ปีศาจเช่นเจ้า มีค่าใดล่ะ อาโลอิส"


    "....................." เอนีล...ผู้ที่บัดนี้ถูกเรียกว่าอาโลอิสเบือนสายตาไปยังกระจกรถ จ้องมองทิวทัศน์อันพร่ามัวด้วยละอองฝนอย่างเงียบเชียบ


    "ไม่มีคำใดจะกล่าวแล้วรึ..." ไคลน์เอ่ยถาม น้ำเสียงของเขายิ่งเรียบสนิทเท่าไหร่ ยิ่งเต็มไปด้วยความชิงชังมากขึ้นเท่านั้น "ไม่มี...แม้แต่คำขอโทษต่อฟาราสรึอย่างไร....ปีศาจเช่น..เจ้า.."


    ".....พูดไปไยเจ้าจะฟัง ไคลน์" ผู้ถูกซักถามหันมาจ้องด้วยดวงตาสีฟ้าสดใส ที่บัดนี้เรียบสนิทเช่นเดียวกับใบหน้าและน้ำเสียง "..."เรื่องเล่าในวิชาเทววิทยา"อันแสนน่าขันนั่นบอกให้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร แล้วทำไมข้าถึงต้องพูด"


    "ก็เลยร้องขอให้ข้าฆ่าเจ้าตัวมือตัวเองงั้นรึ อาโลอิส" ไคลน์จ้องมองผู้พูด ชายหนุ่มแสยะยิ้มอันเต็มไปด้วยความชิงชัง "ให้ข้าฆ่าเจ้าที่อยู่ในร่างของคนที่ข้ารัก นั่นคือสิ่งที่เจ้าพึงคิดได้ใช่ไหม ไม่มีแม้แต่คำขอโทษกับฟาราส ไม่มีแม้แต่ความสำนึกผิด ปีศาจที่น่ารังเกียจเช่นเจ้าบังอาจพรากเขาไปจากข้า มาบัดนี้แล้วยังกล้าขอสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนั้น!"


    "..............." ไม่มีคำตอบใดๆออกมาจากปากของผู้ฟัง ใบหน้านั้นจ้องมองตรงไปยังทิวทัศน์อันเลือนรางด้วยสายฝน ท่าทีราวกับไม่ได้ยินอะไรยิ่งทำให้ความหงุดหงิดในใจยิ่งคุโชน


    "เจ้าทำร้ายเขา!!" เสียงของไคลน์เต็มไปด้วยอารมณ์อันคั่งเเค้น "เจ้าทำร้ายคนรักของข้า! ทรมารเขา..แล้วตอนนี้ก็อยู่ในร่างของเขา!"


    "ฟาราสได้ทำอะไรให้เจ้า ฟาราสไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลยแล้วเหตุใดเจ้าถึงทำร้ายเขา..เจ้าที่ฉีกกระชากปีกของเขาออกไป เหยียบย่ำทำร้ายเขาทั้งเป็น! ความทรมารแค่นี้ยังนับว่าน้อยนัก ที่ปีศาจชั่วร้ายอย่างเจ้าต้องพบเจอ อาโลอิส!!"


     "คิดว่าข้าอยากทำรึ..."ไคลน์หัวเราะ หากสีหน้ากลับใกล้เคียงกับคำว่าคลุ้มคลั่งด้วยความเคียดแค้น "ตามฆ่า..ตามไปทำร้ายคนที่มีใบหน้าเหมือนผู้ที่ตนเองรัก แม้ข้าจะบอกว่าวิญญาณข้างในมันคือเจ้า แต่ใบหน้านี้ก็คือใบหน้าของฟาราส! ข้าต้องทนทุกข์ใจ ทำร้ายคนที่ตนรักมานับครั้งไม่ถ้วน...ยามที่ได้พบเจอเจ้าน่ะหรือ..มนุษย์ที่คร่ำครวญหวนไห้ด้วยความทุกข์ทรมารจากความฝัน..ทำไมข้าถึงต้องพบเจอเรื่องนี้ ทำไมข้าถึงต้องถูกทำร้ายอย่างในฝันนั่น..ข้าหวาดกลัวปีศาจปีสีดำตนนั้นเหลือเกิน..เจ้ารู้ไหมว่ามันน่าขันเพียงใด..น่าสมเพชแค่ไหน สนุกไหมอาโลอิส ที่เจ้าต้องมานั่งหวาดกลัวทุกข์ทนกับสิ่งที่ตนเองทำ เจ้ารับรู้และซาบซึ้งแล้วใช่ไหม ว่าฟาราสต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมารเช่นใด!!"


     "มาวันนี้...." หลังจากระเบิดอารมณ์ไปอย่างรุนแรง ไคลน์จึงค่อยระงับสติตัวเองได้บ้าง "ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย..ข้ามีเพียงความสงสัยเพียงเล็กน้อย..ความข้องใจที่อยากให้เจ้าช่วยไข.."


      "เจ้าทำร้ายฟาราส..คนรักของข้าเพราะอะไร อาโลอิส?"


       เอนีลหันไปมองผู้พูด..ตัวเขาผู้ที่บัดนี้ถูกเรียกว่าอาโลอิสสบตาไคลน์เงียบๆ ริมฝีปากของชายหนุ่มพยายามกระตุกเป็นรอยยิ้ม หลังจากนิ่งฟังถ้อยประณามหยามเหยียดที่อีกฝ่ายสาดเข้าหา แม้จะเจ็บปวดและแสบร้อนกับคำพูดเหล่านั้น ทว่าตนเองก็ไม่อาจแย้งได้แม้นสักครึ่งคำ เพราะทุกอย่างที่ถูกเอ่ยมานั้น ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น..


      ความจริงอันน่าขบขันปนสะอิดสะเอียนที่ตนเองเริ่มค่อยซึมซับ และตระหนักรู้อย่างเงียบเชียบหลังจากพบเจอเซดิสในสุสานค่อยไหลผ่านมาช้าๆ เศษซากความทรงจำที่กระจัดกระจายถูกนำมาต่อกันและเชื่อมเข้าหาอย่างเงียบเชียบ..มันค่อยๆก่อร่างขึ้นและสมบูรณ์แบบในความฝันอันยาวนานครั้งสุดท้ายนี่เอง....น่าขันนักที่ความจริงมันกลับตัลปัตร "ตัวเขา" นั้นไม่ใช่เอนีล ไม่ใช่ฟาราส..ไม่ใช่ชายหนุ่มที่มีผมสีทองระยับ ใบหน้างดงาม และดวงตาสีท้องฟ้าสดใส ไม่ใช่ แต่ในขณะเดียวกันก็"เป็น" ทั้งเอนีลและฟาราสด้วยเช่นกัน


    แต่ไม่ได้เป็นด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เลย เขาเป็นเพราะแย่งชิงมาต่างหาก


     อาโลอิส..ใช่..เขาคืออาโลอิส ปีศาจที่มีดวงตาสีแดงก่ำ เล็บสีดำ ผิวขาวซีดเผือดและเส้นผมสีดำเหลือบแดงที่แข็งกระด้าง ปีศาจปีกสีดำผู้ชั่วร้าย ปีศาจที่ปรากฏตัวในความฝันของตนครั้งแล้ว ครั้งเล่า เพื่อลงมือฆ่าเทวดาปีสีขาวแสนงามผู้หนึ่ง คนที่เขาละเมอเพ้อพกว่านั่นคือตัวเอง และต้องตื่นมาพร้อมกับความหวาดกลัว ขวัญผวาและหวาดหวั่น


       น่าขันเป็นที่สุด..น่าขำอย่างที่ไคลน์พูด ตัวเขาที่มานั่งหวาดกลัวตนเอง กลัวในสิ่งที่ตนเองทำไว้ เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วพฤติกรรมของเขาช่างน่าขำ เอาแต่หวาดกลัวตนเอง คิดว่าตนเองคือผู้ถูกกระทำอันโชคร้ายเสียเต็มประดา คร่ำครวญหวนไห้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดโชคชะตาจึงประทานเรื่องราวอันโหดร้ายมาให้


      แท้จริงแล้ว ทุกอย่างแล้วผิดพลาด และกลับตัลปัตรไปเสียสิ้น แท้จริงมันคือการลงโทษที่สาสมแล้ว..ควรแล้วที่ตนเองจะได้รับ


      โทษของการทำร้ายเทพบุตรที่แสนงดงามและแย่งชิงเอาทุกสิ่งของคนผู้นั้นมา ก็สาสมแล้ว ที่จะต้องทุกข์ทรมารซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีจบสิ้น ทั้งยังสมควรแล้วจริงๆที่ไคล์นจะเกลียดชัง และตามมาปองร้าย คร่าชีวิตเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกชาติไป...


     "ตอบคำถามข้ามา!!" ถ้อยคำเกรี้ยวกราดของไคลน์ดังขึ้นทำให้ละออกจากภวังค์ อาโลอิสสบตาคู่นั้น เขายิ้มออกมาเงียบๆ


     "..ดวงตา..ใบหน้า เส้นผม..เพราะข้ากินมันเข้าไป..จึงได้เหมือนเขา ใช่หรือไม่?" คำถามที่คาใจถูกเอ่ยออกมา "และที่เจ้าตามมา ฆ่าข้า เพราะต้องการนำกลับคืนไปให้เขา..ข้าคิดถูกใช่ไหม?"


    "ในยามที่เจ้าทำร้ายเขา ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่รึ!" ไคลน์ถามกลับห้วน ดวงตาวาววับด้วยความชิงชัง ความทรงจำย้อนกลับคืนไปยังช่วงเวลาที่ตนต้องพบเจอสภาพอันน่าอเนจอนาถของคนรัก ที่ถูกปีศาจตนหนึ่งทำร้ายเสียจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม


     ฟาราสผู้เคยงดงามและอ่อนหวาน..เทพบุตรปีกสีขาวที่ตนรักใคร่ ถูกปีศาจตนนึงทำร้าย คร่าชีวิตและกลืนกินทุกสิ่งของเขาไป ไคลน์จำได้ว่าเขาคลุ้มคลั่ง อาละวาดทำร้ายด้วยความเจ้บปวดจากการสูญเสีย ซ้ำเมื่อพบว่าคนทำคือใคร ความจริงที่ปรากฏทำให้เจ็บปวดใจเกินจะทานทน


     "ข้าเคยถือว่าเจ้าเป็นเพื่อน..แต่เพราะเหตุใดถึงทำร้ายคนรักของข้าแบบนั้น!!" ไคลน์ถามออกไปอย่างอดรนทนไม่ไหว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทั้งคั่งแค้นและเจ็บร้าว ปีศาจ...ใครต่างก็เอ่ยถึง พูดว่าเทพบุตรไม่สมควรรู้จักกับปีศาจปีกสีดำเหล่านั้น แม้จะมาจากที่เดียวกัน ทว่าเหล่าปีศาจที่อยู่ในนรกานต์ต่างก็ซึมซับความชั่วร้ายและความเลวทรามจนจิตใจมีสภาพไม่ต่างจากอสูรกาย


     ...ไคลน์ไม่เชื่อ..ตนเองแม้จะเป็นสีขาว หากก็เชื่อว่าในสีดำย่อมมีความดีงามอยู่ การได้พบเจอกับ"อาโลอิส" เทพบุตรที่มีปีกสีดำยืนยันความคิดนี้ ในยามนั้นพวกเขาได้พบเจอและร่วมทำภารกิจปราบอสูรกายที่แสนน่ากลัว มิตรภาพที่ก่อเกิดทำให้ไคลน์ยิ่งเชื่อว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นไม่ผิดพลาด เขายินดีกับมิตรใหม่เสียจนชักนำไปพบกับคนรักผู้แสนงดงามของตน หากใครจะรู้ ว่าเพียงหลังจากนั้นไม่นาน..เพื่อนของตนจะเป็นผู้ลงมือทำร้ายคนรักของเขาอย่างโหดเหี้ยม


      เมื่อถึงครานั้น ไคลน์จึงได้ตระหนัก แท้จริงแล้วความคิดของเขาช่างน่าขำนัก ปีศาจ..ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นปีศาจอยู่วันยังค่ำ!!


       "ข้าไม่เคยคิด..ว่าเจ้าคือเพื่อน" อาโลอิสตอบกลับเสียงเรียบเฉย ใบหน้าที่ยังคงงดงามเฉกเช่นเดียวกับคนรักของตน ทว่าแท้จริงแล้วคือคนที่ลงมือคร่าชีวิตคนสำคัญนั้นทำให้ไคลน์ทั้งเกลียดชังและอยากปกป้อง หนึ่งคือคนที่แค้น อีกหนึ่งคือคนที่รัก ทั้งสองกลับมารวมอยู่ในคนๆเดียวกัน ความจริงอันแสนน่าชังนี้ทำให้ชายหนุ่มนึกขมขื่นใจ


     "....เข้าใจแล้ว" ไคลน์หัวเราะ หากมันไม่ได้บ่งบอกความรื่นรมย์ แววตาที่คับแค้นนั้นยิ่งฉายแววคุ้มคลั่ง "เป็นความผิดข้าเอง ที่เชื่อใจเจ้า ให้เจ้าได้พบกับฟาราส..และทำร้ายเขา...ทั้งที่เขาไม่ได้มีความผิดใดเลย"


      "...เหตุที่เจ้ายังรั้งรอ..ไม่ลงมือฆ่าข้า เพื่อต่อว่าข้ารึ" อาโลอิสหลับตาลงช้าๆ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันราวกับสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่าง หากท่าทีไร้ความรู้สึกนั้นยิ่งทำให้ผู้มองคับแค้นเกิดจะทน


      "ทุกครั้ง.." ไคลน์เค้นเสียงออกมาจากลำคอแผ่วเบา "ที่ข้าลงมาเพื่อฆ่าเจ้า..ข้าไม่เคยถาม..ไม่เคยพูด ว่าเพราะอะไร..เพราะเหตุใด และเจ้าไม่เคยจำได้ ว่าทำไม เจ้าถึงต้องฝัน ถึงต้องตายด้วยน้ำมือข้า..."


      ".............." อาโลอิสไม่ตอบคำ เพียงสูดหายใจลึกขึ้น แสดงอาการรับรู้


      "..หากแต่ครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้าย" ไคลน์จ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง "เจ้าอาจจะรู้..จากการดิ้นรนของเซดิส..เจ้านายของเจ้าว่ามันมีบางสิ่ง..รึเจ้าอาจจะรู้จากความทรงจำนั้นก็ได้ ว่านี่คือครั้งสุดท้าย..ที่เจ้าจะมีชีวิต ทั้งในฐานะมนุษย์ และปีศาจ"


      "หากข้าลงมือ เจ้าจะหายไปตลอดกาล ไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว"


      "ข้า.....รู้" เสียงตอบดังมาจากอาโลอิสเบาๆ


      "ดังนั้นข้าจึงอยากถาม อยากให้เจ้าตอบ และบอกทุกสิ่ง ก่อนที่เจ้าจะหายไป ก่อนที่วิญญาณของเจ้าจะสูญสลายไปว่าเป็นเพราะเหตุใด" ไคลน์เอ่ยเสียงเย็นยะเยียบ "เป็นความจงใจของข้าที่จะทรมารเจ้า..หลอกให้เจ้าไว้ใจและปล่อยให้เจ้าจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะข้าอยากได้คำตอบ...ของสิ่งที่เจ้าทำทุกๆอย่าง"


      "นั่นรวมถึงการหลอกให้ข้ารักเจ้าด้วยรึเปล่า..ไคลน์ " อาโลอิสถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตาที่ปิดสนิท ไม่ได้ลืมขึ้นมาจ้องมอง ดังขึ้นเขาจึงไม่ได้เห็นว่าดวงตาของไคล์นนั้นไหววูบด้วยความรู้สึกบางอย่าง


      "นั่นคือคำโกหกของเจ้า" ไคลน์ตอบห้วน


      "........" ผู้ฟังลืมตาขึ้นมา อ้าปากคล้ายจะเอ่ยบางสิ่งทว่าเงียบไป ก่อนจะหัวเราะ "เจ้าจะถามข้าเพื่ออะไร หากเชื่อว่าทุกสิ่งคือคำโกหก"


      "เพราะข้าหวัง" ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องเขม็ง "หวังเป็นครั้งสุดท้าย ว่าเจ้าจะรู้สึกผิด...เสียใจ..และยอมตอบว่าเพราะเหตุใดจึงทำร้ายคนรักของข้า.."


      "...ข้าไม่รู้สึกผิด" เอนีล...หรืออาโลอิสหันไปสบตาผู้พูดอย่างเงียบเชียบ แววตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกบางสิ่งที่ไคลน์ไม่อาจคาดเดา "ที่ทำร้ายเขา..ไม่รู้สึกผิดเลย.."


      "เจ้า...!" เสียงคำรามดังขึ้นมาในลำคอทันทีที่เอ่ยจบนั้นไม่ได้ทำให้แปลกใจแต่อย่างใด อาโลอิสหัวเราะเบาๆ ขบขัน...ทั้งที่บางสิ่งในหัวใจกำลังค่อยๆพังยับ


    "เพราะข้าเป็นปีศาจ.." ดวงตาสีฟ้าเหม่อมองออกไปด้านนอกเงียบๆ "ปีศาจ..ย่อมไม่รู้สึกผิดใดๆ ไม่เสียใจที่ทำร้าย ทำให้คนรักของเจ้าต้องเจ็บปวด..ฟาราสที่ถูกข้าแย่งชิงทุกสิ่ง และเจ้าที่ต้องสูญเสียคนรักไป..ข้าไม่เสียใจ ไม่เลย"


    "รู้ไหมว่าเพราะเหตุใด" คำถามนั้นเบาราวกับกระซิบ ขณะที่ฝ่ามือของผู้ถามแตะลงบนประตูรถแล้วดันมันให้เปิดออก


    "เพราะข้าจงใจแย่งชิงทุกสิ่งมาไงล่ะ..ไคล์น"



+++++++++++++++++++++++++++++++++


       สายฝนยังคงพร่างพรมไม่ขาดสาย หากฝีเท้าของเอนีล ชาส์เดอตงส์ผู้ที่ถูกเรียกว่าอาโลอิสนั้นยังมั่นคง ร่างที่อยู่ในชุดเสื้อเชิตและกางเกงสีดำสนิทเดินลงจากตัวรถอย่างเชื่องช้า ก้าวขาไปบนทางถนนเล็กๆที่มีแต่หินและเศษฝุ่น สายฝนทำให้ฝุ่นผงแปรสภาพเป็นโคลนหนาเปื้อนเปรอะชายเกงเกงสีดำ หากแต่ผู้ที่เดินอยู่ไม่คิดจะใส่ใจ ร่างนั้นยังคงก้าวเท้าไปกลางสายฝน ท่ามกลางท้องฟ้าสีหม่นและบรรยากาศที่ราวกับมีหมอกหนาลงมาปกคลุมรอบกาย ร่างของเขาเหมือนจะหายไปราวกับวิญญาณ


      เส้นผมสีทองเปียกชื้น เม็ดฝนตกกระทบใบหน้าและกลิ้งลงไปตามผิวหนังเย็นเฉียบ ผู้เป็นเจ้าของไม่คิดจะใส่ใจเอื้อมมือไปปัดเช็ดมันแต่อย่างใด ดวงตาสีท้องฟ้ากระพริบอย่างเชื่องช้า จ้องมองต้นไม้ใหญ่ริมทะเลสาบแสนงามด้วยความรู้สึกบางสิ่ง ความเจ็บปวดและขมปร่าที่ลำคอทำให้ต้องกลืนมันลงไปช้าๆ เพื่อควบคุมความรู้สึกของตนอย่างเงียบๆ


      "ข้าไม่คิดจะหนีไปไหน..ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้" อาโลอิสเอ่ยทักผู้ที่ตามมาด้วยท่าทีเร่งร้อนและเกรี้ยวกราด ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม..


      "...เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อ..เจ้าอีกงั้นหรือ" ไคลน์หยุดฝีเท้าเบื้องหลังร่างนั้น แสดงความชิงชังออกมาอย่างชัดเจน


      "...เจ้าไม่เชื่อข้า แต่ก็ยังอยากรู้.." อาโลอิสเอ่ยแผ่วเบา ปลายนิ้วไล้เปลือกสีดำของต้นไม้ใหญ่เงียบๆ "...แปลกจริงนะ ไคลน์"


      "อาโลอิส.." ไคลน์กัดฟันกรอด บ่งชัดว่าหงุดหงิดจนแทบทนไม่ไหว


      "ข้ามีเรื่องเล่า..." น้ำเสียงแผ่วเบาดังขึ้น "อาจจะน่าขันเสียยิ่งกว่า "เรื่องเล่าในวิชาเทววิทยา"ของใครสักคนซะอีก..และ..เป็นเรื่องเล่าที่น่าสมเพชเสียยิ่งกว่า น่าขันยิ่งกว่าเรื่องใดๆที่เจ้าเคยได้ฟัง"


     ผู้ที่เอ่ยปากหันมาสบตา ใบหน้าที่ยังคงงดงามและเหมือนกับคนที่ตนรักทุกกระเบียดสะท้านชัดเจนในแววตาของไคลน์  ริมฝีปากของคนผู้นั้นแย้มออกเป็นรอยยิ้ม ยิ้มที่แฝงแววเศร้าลึก..ราวกับจะร่ำไห้เช่นเดียวกับตอนที่เอ่ยขอให้ตนเป็นผู้ลงมือฆ่าด้วยตัวเอง


     ..แต่คนที่ลงมือทำร้าย บอกว่าตนเองตั้งใจแย่งชิงทุกสิ่งของเขาน่ะรึ จะโศกเศร้าอะไร


    แววตานี้ ก็เป็นคำลวงเช่นเดียวกับดอกกุหลาบเหล่านั้น เช่นเดียวกับคำรักที่แสนน่าสะอิดสะเอียนนั่น


     "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..." ดวงตาสีท้องฟ้าหรุบต่ำ ไม่ได้สบตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นอีกต่อไป "...มีปีศาจตนนึงอยู่ในนรก..ว่ากันว่าปีศาจนั้นก็คือเทพบุตรที่มีปีกสีดำ แต่ใครเล่าจะสนใจ..พวกที่มีสีดำ ย่อมเลวร้ายอยู่วันยังค่ำ.."


     "วันหนึ่ง..ปีศาจตนนั้นได้พบกับเทพบุตรผู้หนึ่ง ที่มาช่วยเหลือเขา..ในการปราบอสูรกายตัวร้าย...เขาไม่ชอบมันหรอก เขาเกลียดมัน และคิดว่ามันก็ไม่ต่างจากเทพบุตรอื่น ที่มองว่าปีศาจนั้นคือสิ่งชั่วร้ายเสมอ.."


       ไคลน์นิ่งฟังถ้อยคำนั้น..เทพบุตรหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ ยามนึกไปถึงห้วงเวลาที่ตนเองได้พบเจอกับคนตรงหน้าเป็นครั้งแรก..พบกับอาโลอิส ผู้เป็นอาโลอิส ไม่ใช่ อาโลอิสที่อยู่ในรูปลักษณ์ของฟาราสเช่นนี้


      "การปราบอสูรกายตัวนั้นมันช่างยากพอดู.." เสียงหัวเราะนั้นดังขึ้นเพียงเเผ่วเบา ขณะที่ไคลน์ก็นิ่งทบทวนไปถึงเวลานั้น ยาก..ใช่ ตนจำได้ว่ามันร้ายกาจและจัดการได้ยากเย็นเพียงไร "...ปีศาจตนนั้นเเทบจะสิ้นหวังอยู่แล้ว เขาทำสิ่งใดไม่ได้ แล้วก็คงไม่วายตกเป็นเหยื่อ แต่ในยามนั้น ช่วงเวลาที่สิ้นหวัง เทพบุตรตนนั้นก็ยื่นมือมา แล้วบอกว่า..ให้เชื่อ...เชื่อในตัวข้าสิ เชื่อว่าข้าจะทำได้ เชื่อในตัวของข้า เช่นเดียวกับที่ข้าเชื่อในตัวเจ้า...เขาพูดแบบนั้น"


     "...แม้มันจะเป็นคำพูดอันน่าขัน..ดูช่างไร้สาระ แต่ทว่ามันกลับทำให้ปีศาจปีกสีดำตนนั้นเชื่อ และมีกำลังใจขึ้นมาจริงๆ เขาทำตาม เขาร่วมมือกับเทพบุตรตนนั้นจนสามารถเอาชนะได้ ..แล้วทั้งสองก็กลายเป็นมิตรกัน โดยไม่สนใจว่าจะเป้นสีดำหรือสีขาว..ช่างเป็นเรื่องราวที่งดงามเสียเหลือเกิน"


     "แต่มันมีบางสิ่งที่ทำให้เปลี่ยนไป..เจ้ารู้ไหม?"


    คำถาม..ที่ดังขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้นทำให้ไคลน์ชะงัก หลังจากนิ่งตกอยู่ในภวังค์และใคร่ครวญถึงอดีตที่ผ่านผัน ริมฝีปากขยับจะตอบ หากแต่เสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นต่อราวกับไม่ได้ตั้งคำถามใด


      "เหตุเพราะเป็นสหาย เป็นเพื่อนรัก...เทพบุตรตนนั้นจึงแนะนำให้ปีศาจปีกสีดำได้พบเจอกับ..อา...คนรัก" เสียงหัวเราะดังขึ้นมาเมื่อพูดจนจบประโยค เสียงหัวเราะเฝื่อนหูและแปร่งปร่าไปอย่างน่าประหลาด "...คนรักของเขา เทพบุตรปีกสีขาวผู้แสนงดงาม..เรื่องราวมันผิดแผกไปจากเรื่องเล่าของเจ้าจากตรงนี้แหละ..ไคลน์"


     "................." ไคลน์นิ่งเงียบ ไม่เอ่ยคำพูดใดๆต่อ เขายืนฟังเรื่องเล่าทั้งหมดท่าทมกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่หยุด
     "ปีศาจปีกสีดำตนนั้น...เขาหลงรัก" หัวใจของผู้ฟังกระตุกวูบเมื่อได้ยิน แต่อาโลอิสยังคงเล่าต่อไปเรื่อยๆ "...รักเทพบุตรตนหนึ่ง..เขาหลงรักเข้าแล้ว และเจ็บปวดทุกข์ทรมารกับสิ่งที่ตนเองได้รู้ ว่ารักของเขาไม่มีวันได้มา..ไม่มีวันเลย"


     "เพราะอยากรู้..เพราะกลุ้มใจหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาจึงได้ไปหาเจ้านายของเขา ปีศาจตนนั้นถาม..หากอยากได้แล้วไม่อาจคว้า ไม่อาจชนะ..จะทำอย่างไรล่ะ?...แล้วเจ้านายของเขาก็ตอบว่า..."จงแย่งชิงมันมาซะสิ"..."


     "เพราะรักฟาราส เจ้าถึงได้...." ไคลน์เอ่ยถามขึ้น ดวงตาวาววับ


     "...เทพบุตรปีกสีดำนั้นคิดตาม..ปีศาจ อย่างไรเขาก็ถูกเรียกว่าปีศาจ.." อาโลอิสยังคงเล่าเรื่องต่อไปรามกับไม่ได้ยินเสียงทักท้วงนั้น "..ปีศาจที่ไม่ว่าจะทำเช่นไร ก็ไม่อาจจะคว้าสิ่งที่ตนต้องการมาได้..เขาผู้ที่ความรักบดบังสายตาจนมืดบอด..และไม่เคยรู้จักสิ่งที่เรียกว่าการเสียสละหรืออื่นใด ก็ตัดสินใจลงมือ"


     "แย่งชิงทุกอย่างมาเป็นของตน เพื่อจะได้ครอบครองรักนั้นไว้ตลอดกาล"


    "...................."


       เสียงสายฝนสาดเทลงบนพื้นและเสียงครืนครางของท้องฟ้ายังคงดำเนินต่อไป ขระที่รอบกายของทั้งสองมีแต่ความเงียบงัน เทพบุตร..หรือปีศาจในร่างมนุษย์ทั้งคู่ได้แต่ยืนนิ่ง ต่างนิ่งไปอย่างจนถ้อยคำใดที่จะเอ่ย หนึ่งนั้นยังคงก้มหน้าจ้องมองผืนดินไม่เอ่ยคำใด อีกหนึ่ง..ยังคงจ้องมองผู้ที่ยืนพิงต้นไม้ใหญ่ไม่เคลื่อนไหวหลังเล่าเรื่องราวนั้นจบลง


     "...อาโลอิส" ไคลน์เอ่ยขึ้นช้าๆ สีหน้าราวกับกำลังใคร่ครวญและอดกลั้นบางสิ่ง "เพราะรักเขา..แต่สิ่งที่เจ้าทำ.."


     "...ข้าทำลงไปโดยไม่เสียใจ ไม่เสียใจใดๆ" อาโลอิสยังคงเอ่ยย้ำ น้ำเสียงนั้นยังเหมือนจะกลั้วหัวเราะขบขัน "ไม่เสียใจ ไม่เลย"


     "เจ้าทำร้ายคนที่รัก! ทำร้ายฟาราสแล้วเจ้าคิดว่าจะได้หัวใจเขาหรือ จะมีความสุขหรือ อาโลอิส!" ไคลน์จ้องมองผู้พูด ฝ่ามือเอื้อมไปบีบไหล่ผอมๆสองข้างนั้นเเน่น "เจ้าคิดว่าเพราะข้า เจ้าถึงไม่อาจได้หัวใจของฟาราสงั้นหรือ..เจ้าไม่อยากทำร้ายข้า หรือเจ้าไม่อยากทำร้ายใคร..รักของเจ้ามันคือการทำลายและครอบครองหรือ เจ้าถึงได้ทำร้ายฟาราสเช่นนี้!!"


   ปึ่ก..


     เสียงฝ่ามือกระทบกันพลางปัดออกจากไหล่ดังขึ้นเงียบๆ ขณะที่ผู้ฟังยังคงหัวเราะ เสียงหัวเราะนั้นเบาแผ่วและเต็มไปด้วยความขบขันราวกับประชดประชันบางสิ่ง


      "..ข้าถึงได้บอก..ว่ามันไร้ประโยชน์ ข้าถึงได้พูด..ไม่ว่าอย่างไร ก็ไร้ประโยชน์ที่จะบอกทุกอย่างออกไป"


      "อาโลอิส..."


      "....เรื่องเล่านั้นของเจ้าคือทุกสิ่งที่เจ้าคิดใช่ไหม..เทพบุตรปีกสีดำผู้ชั่วร้ายหลงรักเทพบุตรปีกสีขาวผู้แสนงดงาม เขาพบว่าเทพบุตรคนนั้นไม่อาจะเป็นของตน จึงได้ทำร้ายและช่วงชิงทุกสิ่งของเทพบุตรตนนั้นมา ในเมื่อเขาไม่ได้ คนอื่นก็ไม่มีทางได้ แบบนั้นใช่ไหม..ที่เจ้าคิด"


      "....แล้วจะให้เป็นอย่างไร หรือจะบอกว่าการช่วงชิงทุกสิ่งของฟาราส คือความหวังดี ความรักของเจ้า" ไคลน์เอ่ยท้วง


     "ไม่เลย" อาโลอิสเอ่ยตอบ ริมฝีปากกระตุกสั้นๆเป็นรอยยิ้มขึ้นมาวูบหนึ่ง ทว่าไคน์ไม่มีโอกาสได้เห็น "ไม่ใช่ด้วยความรัก ความหวังดีใดๆ ข้าบอกไปแล้วว่าไม่เสียใจ และไม่รู้สึกผิดแม้เพียงนิด"


     "แต่สิ่งที่น่าขันคือความคิดของเจ้า..ไคลน์ เรื่องเล่าของเจ้ามันน่าขัน..เจ้าคิดว่าข้ารักเขางั้นรึ? ฟาราส..เทพบุตรผู้งดงามที่มีแต่คนหลงไหล งามเสียจนแม้แต่ปีศาจที่ไร้หัวใจก็อดจะหลงรักไม่ได้.."


    ใบหน้านั้นเงยขึ้นมาสบตาในที่สุด แม้จะเป็นใบหน้าของคนที่ตนรัก ฟาราส เทพบุตรผู้งดงามคนนั้นหรือเป็นใบหน้าของเอนีลในชาตินี้ หากแววตาและบางสิ่งที่ปรากฏขึ้นนั้นแสดงถึงตัวตนและวิญญาณของอาโลอิส ที่อยู่ในร่างนี้ได้เป็นอย่างดี ดวงตาคู่นั้นสั่นไหว เต็มไปด้วยความเจ็บปวดระคนบางสิ่ง ขณะที่ริมฝีปากซีดขาวไหวระริก "เรื่องเล่าของเจ้ามันช่างน่าขำสิ้นดี...ปีศาจ..ไม่ตกหลุมรักใครด้วยความงามหรอก.."


    "แต่ปีศาจปีกสีดำตนนั้นหลงรักใครบางคนด้วยคำพูดและหัวใจของเขา...หลงรักสีขาว ที่ไม่ได้มองเพียงสีดำในตัวเขาแต่มองไปถึงหัวใจ หลงรักแต่ไม่อาจเอื้อมมือไปคว้าได้ เพราะเทพบุตรตนนั้นมีคนที่รักอยู่แล้ว..เพราะหลงรัก จึงได้แย่งชิงและทำร้ายคนรักของเขาได้อย่างไม่รู้สึกผิดและเสียใจใดๆ.."


     ริมฝีปากบางแย้มออกเป็นรอยยิ้ม รอยยิ้มสั่นไหวและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดบางเบา  ดวงตาสีท้องฟ้าที่ฉายแววปวดร้าวกลั่นน้ำตาออกมาปะปนกับสายฝนที่พร่างพรมลงสู่ใบหน้า และสบตากับเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เคยทอแววอุ่นหวาน ซึ่งบัดนี้มันเบิกกว้างขึ้นและเต็มไปด้วยความตกตะลึง


     "...ปีศาจตนนั้น...อาโลอิสหลงรักเจ้า ถึงได้ทำร้ายฟาราสและทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นเช่นนี้ไงล่ะ ไคล์น"


    สายฝนพร่างพรูลงมาจากท้องฟ้าสีหม่นไม่ขาดสาย เสียงครืนครางจากเบื้องบนดังไม่หยุดเช่นเดียวกับเสียงของเม็ดฝน ขณะที่ท้องฟ้าและทุกสิ่งยังคงดำเนินไป คำสารภาพที่ออกมากลับทำให้คนสองคนใต้ต้นไม้ใหญ่ได้แต่ตกอยู่ในความเงียบงัน



++++++++++++++++++++++++


พาร์ทนี้มาเฉลยความจริงอย่างอุกอาจค่ะฟฟฟ


แท้จริงแล้วพ่อหนุ่มโหดตอนต้นเรื่อง อาโลอิสที่หลายคนผวา ปรากฏว่าก็เป็นคนที่เราอยู่ด้วยมาตลอดนั่นล่ะ //ผ่าง


หลังจากวิ่งวนสงสัยคนโน้นคนนี้มาเยอะ ปรากฏคนร้ายตัวจริงคือผู้เสียหายซะงั้น ชาวบ้านบอกเอ็งหลอกตรูววว


ส่วนไคลน์ก็..มาตามฆ่าจริงๆนั่นแหละ แต่มาแบบมีเหตุผลประมาณนี้ ส่วนอาโลอิส..ถ้ารอบนี้โดนคิลก็ม่องจริง #มั่ยยยยยย

เรื่องที่หน้าตาเหมือนกิ๊กพ่อไคลน์ยังกะฝาแฝด อาจจะเฉลยเลาๆไปแล้ว แต่ถ้าจะชัดเจนก็ตอนหน้านะคะ


แต่ยังมีความจริงหลายอย่างต้องเฉลยกัน แถมด้วยว่านี่ตกลงพวกเอ็งจะฆ่ากันไหม มาติดตามกันตอนต่อไปค่าาาา *0*/

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8


Lost : 23  สิ้นพันธนาการ


     "...ปีศาจตนนั้น...อาโลอิสหลงรักเจ้า ถึงได้ทำร้ายฟาราสและทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นเช่นนี้ไงล่ะ ไคล์น"


ปีศาจตนนั้น..

อาโลอิสหลงรักเจ้า


    ถ้อยคำที่ได้ฟังค่อยซึมซัมลงไปในจิตใจของเทพบุตรผู้มีนามว่าไคลน์ช้าๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงครู่ใหย่ก่อนจะค่อยสงบลงช้าๆ นัยน์ตาคู่นั้นจ้องมองผู้ที่บัดนี้สบมองแววตาของตนอย่างเงียบเชียบ ดวงตาสีฟ้าสดใสนั้นคือของฟาราส..คนรักของตนไม่ผิดแน่ดวงตา ใบหน้า เส้นผม และทุกๆสิ่ง ของคนผุ้นี้คือของฟาราส..


    หากฆ่าเทพบุตรหรือปีสาจตนได้แล้วกลืนกลินมันเข้าไป เจ้าจะได้รับพลัง รูปลักษณ์ และทุกสิ่งทุกอย่างของคนผู้นั้น..


     "อาโลอิส..." น้ำเสียงของไคลน์ฟังดูช่างสั่นไหวและเต็มไปด้วยความรู้สึกบางสิ่ง..บางอย่างซึ่งตนไม่อาจยอมรับว่ามันคือความสงสารปะปนกับความรวดร้าวลึกๆ "...เจ้า..."


     "เจ้าชอบเทพบุตรผมสีทอง...ดวงตาสีท้องฟ้า.." น้ำเสียงของอาโลอิสดังขึ้นแผ่วเบา แม้ห้วงวลีนั้นจะเอ่ยมาด้วยสำเนียงของฟาราส หากแต่เมื่อได้สัมผัสอีกครามันกลับมีเค้าของอาโลอิสปะปนอยู่ "...ปีกสีขาว แสนบริสุทธิ์"


      "นั่นคือสาเหตุที่เจ้าฆ่าฟาราสงั้นรึ?" ไคลน์เอ่ยถามราวกับไม่อยากเชื่อ "เจ้าฆ่าฟาราสเพราะอยากได้ผมสีทองของเขา อยากได้ดวงตาสีฟ้าของเขา..อยากได้"


       "อยากได้ความรักของเจ้า ที่มีต่อเขา!" อาโลอิสจ้องกลับ ดวงตาคู่นั้นวาววับ อารมณ์ซึ่งปรากฏขึ้นน้อยนักเมื่อยามเป็นปีศาจปีกสีดำนั้นบัดนี้เกิดขึ้นชัดเจน "อยากได้..และต้องการเสียจนไม่เสียใจเลยสักนิดที่แย่งมา.."


       "...เช่นนั้นเจ้าก็ควรรู้..ข้าหาได้รักใครที่รูปลักษณ์ภายนอก"


       "ข้ารู้..." อาโลอิสกระวิบเสียงแผ่ว สำเนียงของมันราวกับจะกลืนไปในยามสายฝนพร่างพรม "เจ้าไม่เคยหยุดรักเขา ไม่ว่ารูปลักษณ์จะเป้นเช่นใด..สู้พยายามมา...ช่วงชิงทุกสิ่ง คืนจากตัวข้า...ข้ารู้ดี.."


        "..แต่มันสายเกินไปแล้ว เจ้าก็รุ้เช่นกัน" ไคลน์สบตาอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ "...ไม่ว่าสาเหตุของเจ้าคือสิ่งใด"


       อาโลอิสยิ้มรับ..ยิ้ม แม้หัวใจกำลังแหลกสลาย "ข้ารู้"


       "ข้าต้องลงมือ.." ไคลน์สุดหายใจลึก "อย่างที่รู้..ครั้งนี้เป้นครั้งสุดท้าย...หากฆ่าเจ้า จะไม่มี"ตัวเจ้า"เกิดขึ้นมาอีก ไม่ว่าจะเป็นที่ใด..และเมื่อฆ่าเจ้าไป ฟาราสก็จะฟื้นกลับคืนมาในที่สุด"


       อาโลอิสนิ่งฟัง ไม่เอ่ยปากทักท้วงใดๆ


      "ข้า..." ไคลน์ขยับริมฝีปาก เอ่ยพูด หากสุดท้ายกลับได้เพียงนิ่งเงียบ


     ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองร่างของชยหนุ่มที่ยืนเปียกฝนตรงหน้า แม้จะมีรูปลักษณ์ที่แตกต่าง ทั้งใบหน้า เส้นผม ผิวกาย แววตา แต่ในยามนี้ ไคลน์รู้สึกว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับอาโลอิสอย่างแท้จริง หาใช่อาโลอิสในร่างฟาราสผู้ที่ทำให้ตนปวดใจนักยามลงมือสังหาร และเจ็บปวดยิ่ง เมื่อถูกคำถามอันอันจน หวาดกลัวในความฝันกล่าวออกมาซ่้ำด้วยความรวดร้าวแล้ไม่เข้าใจ


      ทุกครา..เมื่อคะนึงถึงความดกรธแค้น ความเจ็บปวดและทุกข์ทรมารของฟาราส และการทรยศของบุรุษผู้ที่ลงมือสังหาร ไคลน์สามารถลงมือได้ง่ายนัก..เสียจนอาโลอิสคนนั้นๆม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดหรืออันตรายที่แผ้วผานเข้ามาแม้นสักนิด


      ...แต่ในยามนี้ อาโลอิสผู้จำได้ทุกสิ่ง กลับทำให้ไคลน์นิ่งงันไม่อาจลงมือ


     เพราะอะไร ความสงสารงั้นรึ?


     เมื่อทราบสาเหตุทุกสิ่งของการกระทำ มันช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง อาโลอิสผู้นั้นหลงรักตน แต่เมื่อพบว่าตนหลงรักฟาราส อาโลอิสก็ฆ่าฟาราสเพื่อแย่งชิงทุกสิ่งมา แย่งชิงทั้งที่รุ้ว่าไม่อาจครอบครองได้อย่างแท้จริง จิตใจของเทพบุตรปีกสีดำผู้นั้นซุกซ้อนความคิดและความนัยใดไว้..ไคลน์สุดจะหยั่งรู้


    ...เจ้ารักข้า แต่ก็พรากคนรักของข้า

    รักของเจ้า..คือการครอบครองงั้นรึ..อาโลอิส


       ความรักที่แสนเห็นแก่ตัวเช่นนั้นเป็นที่รู้กันว่าหาใช่วิสัยของเหล่าสีขาว...แต่เมื่อเป้นสีดำ อาโลอิสผู้ถูกย้อมสีนั้นจึงกระทำตามวิถีของตน นั่นคือการเเย่งชิง


    ควรโกรธแค้น เอ่ยปากป่าวประณาม หากครู่หนึ่งไคลน์ก็นึกสงสารจับใจ


    เจ้าไม่อาจคว้าความรักนี้มา..หาใช่เพียงเพราะข้ามีหาราส แต่เป็นเพราะเจ้าไม่รู้จักรัก..รักที่เป็นฝ่ายมอบให้ผู้อื่น อาโลอิส

    และด้วยเหตุนั้น..ข้าจึงไม่อาจลงมือสังหารเจ้าได้อย่างนั้นหรือ


   "ไคลน์" หลังจากจมอยู่ในภวังค์ครู่ใหญ่ เสียงของอาโลอิสก็ดังขึ้นเพียงแผ่วเบา น้ำเสียงนั้นนิ่งเรียบไร้อาการสั่นไหว ดวงตาสีท้องฟ้านั้นจ้องมองมาที่ตนเงียบๆ "ก่อนจะฆ่าข้า..ข้าขออะไรบางอย่างได้ไหม.."


    "...เจ้าพูดมาสิ" ไคลน์เอ่ยเบาๆ ดวงตาจ้องมองอีกฝ่าย


   "ช่วยกอดข้าหน่อยได้ไหม..ไคลน์" คำขอนั้นทำให้ไคลน์นิ่งอึ้ง "ข้าอยู่ในร่างของฟาราส มันคงไม่อยากใช่ไหม กอดข้าแล้วคิดถึงเขาก็ได้..ขอเพียงแต่กอดข้าไว้..เป็นครั้งสุดท้ายก็พอ"


    "อาโลอิส.."


    "ได้โปรด..." ถ้อยคำกระวิบนั้นช่างเบาแสนเบา


    "เจ้าจะต้องเจ็บปวด" ไคลน์จ้องมองอีกฝ่ายเงียบๆ "..เจ็บปวดเพราะข้าไม่ได้รักเจ้า"


    "ข้ารู้..." อาโลอิสหลับตาลงช้าๆ น้ำเสียงนั้นสั่นพร่าน่าสงสารยิ่งนัก "..แต่เพียงครั้งสุดท้าย..ก่อนข้าจะหายไปเท่านั้น.."


    เทพบุตรหนุ่มผู้ได้ฟังนิ่งไปครู่หนึ่ง ไคลน์รู้สึกไม่เข้าใจ เต็มไปด้วยความสงสัยและงวยงงในคำขอเหล่านั้น ริมฝีปากหนาขยับคล้ายจะตั้งคำถาม หากที่สุดแล้ว..ไคลน์กลับเอื้อมมือไปหา ปลายนิ้วสัมผัสใบหน้าที่เย็นเฉียบเพราะเม็ดฝน ก่อนจะโน้มตัวลงไปประทับริมฝีปากที่เรียวปากบางอย่างแผ่วเบา


    ดวงตาสีฟ้า..หากแววตานั้นไม่ใช่ฟาราส หรือแม้แต่เอนีลเงยขึ้นมองสบ


     "ตกลง" ไคลน์เอ่ยกระซิบ..นัยน์ตาจ้องมองดวงหน้าอันเคยคุ้นของเทพบุตรที่ตนรักยิ่ง ก่อนจะสบมองดวงตาคู่นั้น ดวงตาที่แดงก่ำและไหวระริก..ดวงตาของปีศาจปีกสีดำตนนั้น


     "ตอนนี้ข้าจะรักเจ้า..อาโลอิส"


        สายฝนพร่างพรมลงมาเป็นสายจากท้องฟ้าสีหม่นครึ้ม เม็ดฝนสาดกระทบผิวแก้มขาวจัดและเสื้อผ้าสีดำสนิทที่เปียกลีบติดเนื้อตัว หนาว..อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างฮวบฮาบเมื่อสายฝนยังคงสาดเทลงมาไม่หยุดหย่อน แม้จะมีรถจอดทิ้งไว้ หากแต่ร่างของทั้งสองผู้ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กลับไม่คิดเข้าไปอาศัย ปลายนิ้วขาวจัดเย็นเฉียบแทรกเข้าเกาะกุมไหล่หนา ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองใบหน้าที่ตนเคยคุ้น ทั้งจำหลักรักใคร่มาเนิ่นนานนั้นไว้ จ้องมองและจดจำอย่างเงียบงัน ขณะที่ปลายนิ้วของอีกฝ่ายวางลงบนแผ่นอก สัมผัสหัวใจที่เต้นแรงเสียจนสัมผัสได้ ด้วยแววตาแฝงความนัยบางสิ่งที่ตนไม่อาจหยั่งถึง


       อาโลอิสหรุบสายตาลงช้าๆ จ้องมองฝ่ามือนั้นที่วางลงบนแผ่นอกของตน หัวใจที่เต้นแรงเสียจนเจ็บ ความเจ็บปวดปะปนกับความสุขเพียงเล้กน้อยที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของผู้อันเป็นที่รักแม้เป็นเพียงชั่วครู่หนึ่งในยามหลับตาก็ตามที เนื้อตัวของชายหนุ่มเกร็งเยือกเข้าหากัน หาใช่ด้วยความเหน็บหนาว แต่ด้วยความรู้สึกบางสิ่งที่พลุ้งพล่านสะท้านไหว ร่างของผู้ที่ตนหลงรักนั้นอยู่ใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจ และฝ่ามือของอีกฝ่ายที่สัมผัสลากไล้สัมผัสทั่วกายา..


    เพียงเท่านี้ แม้จะเป็นความฝัน แม้จะถูกรัก และโอบกอดในนามของผู้อื่นก็ไม่เป็นไร

    ไคลน์...ข้ารักเจ้า..รักเจ้า..ไคลน์


        ถ้อยวลีที่ตนไม่อาจเอ่ยไปสะเทือนอยู่ในห้วงคิด ดวงตาสีท้องฟ้ากระพริบถี่เพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นแวะเวียนมาสบมอง ราวกับจะเอ่ยถามเป็นครั้งสุดท้าย..และราวกับไม่แน่ใจ หากคำตอบคือปีศาจ..ผู้อยู่ในร่างของเทพบุตรอันงดงามตนนั้นผ่อนลมหายใจ เอนกายไปพิงเปลือกไม้หนาและเเข็งหยาบด้านหลัง ให้ที่เรียวปากของอีกฝ่ายประพรม พร่างพรูทั่วใบหน้าและผิวกาย


       ลมหายใจร้อนผ่าวโฉบประทับ แวะเวียนและเฝ้ากระซิบแผ่วหวานฟังไม่ได้ศัพท์ ปลายนิ้วที่วางลงบนไหล่อีกฝ่ายจิกขยุ้มเสื้อเชิ๊ตสีขาวที่ปัดนี้เปียกชื้นไม่ต่างกันจนยับยู่ ระบายอารมณ์พลุ้งพล่านสะท้านไหว ผิวกายที่เคยเย็นเฉียบผ่าวร้อน...สลับกับเย็นยะเยือกชวนหวามใจ แปรเปลี่ยนจังหวะไปตามที่ริมฝีปากหนากดทับ ปัดผ่าน และผละออกมาย้ำซ้ำ สร้างรอยประทับแดงจัดราวกับกลีบกุหลาบบางเบา..


        หอม..กลิ่นอายอวลแปลกประหลาดค่อยแผ่ซ่านและหว่านล้อมอนุสติ หะแรกที่ความรู้สึกแปลกประหลาดปนกระอักกระอ่วนใจกล่าวกระซิบให้ลังเลและล้มเลิกไป แต่เมื่อสบมองดวงตาไหวระริกราวกับจะสลายไปได้ทุกเมื่อคู่นั้นร่างกายก็พลันเข้มโรมรัน โอบกอดแนบชิด ราวกับจะปลุกปลอบ เอ่ยถ้อยคำปลอบประโลมอย่างเงียบเชียบ แม้จะทราบดีแก่ใจว่าชะตากรรมโหดร้ายใดกำลังเฝ้ารอ


        สูดหลิ่นหอมลึก..กลิ่นของกุหลาบที่ยั่วเย้าและลึกลับ ราวกับกลิ่นของราตรีกาลกำลังโอบล้อม มนต์สเน่ห์ของสีดำอันยากจะหยั่งถึงที่ตนเคยสลับอาจเป็นสิ่งนี้ หอม..เย้ายวนและชวนให้หลงไหลคลั่งไคล้อย่างน่าประหลาด หากปะปนไปด้วยรสขมของน้ำตาและเสียงร้องผะผ่าวแฝงความร้าวไหว ไคลน์พรมรอยจูบบนผิวเนื้อขาวจัด ขบเม้ม เน้นย้ำและละออกมาอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วไล่แกะเสื้อเชิ๊ตสีดำนั้นเสียให้พ้นตา แผ่นอกขาวที่กำลังขยับสะท้อนเสียงหัวใจและเสียงครวญคล้ายสะอื้นปรากฏเบื้องหน้า ริมฝีปากหนาและปลายฟันคมจึงจรดลงจุมพิต สลับกับขบกัดแผ่วเบา


        "ไคล..น์" สำเนียงคล้ายกำลังพร่ำกระซิบราวกับจะร้องไห้ หากก็เต็มไปด้วยอารมณ์ปราถนา ปลายนิ้วขาวจัดขยุ้มหัวไหล่ของอีกฝ่ายช้าๆ ใบหน้าแหงนเงยขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อรับรู้ว่าอุ้งมือร้อนผ่าวนั้นกำลังสัมผัสส่วนอ่อนไหวของตน อาโลอิสกรีดเสียงสะอื้นซบหน้าลงกับหัวไหล่ของอีกฝ่ายท่อนเเขนผอมบางยกขึ้นกอดรัดรอบลำคอร่างสูงใหญ่ไว้ หลับตาลง และขบกัดปลายฟันยังเนินเนื้อบริเวณหัวไหล่ ร่างเล็กกว่าสะท้านไหว พลันรับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งแทรกเข้ามาในกายของตนอย่างรวดเร็ว


       ร้อน..ทั้งที่อากาศเย็นจัดแต่ผิวกายกลับร้อนระอุ  มึนเบลอ และเจ็บหนึบด้วยความไม่คุ้นชิน ริมฝีปากฉ่ำหวานเผยอครวญครางปนหอบสะท้าน ใบหน้าหวานจัดซบลงกับไหล่หนาอีกครา เปล่งเสียงกรีดร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างหลงลืมตน


      "ไคลน์...ไคลน์.." หลับตาลงกลั้นน้ำใส หากมันกลับไหลรินลงมาอย่างช้าๆ อ่อนเพลียและชาหนึบจรดปลายเท้า ทำได้เพียงเอนกายตามแรงสอดแทรกนั้น แผ่นหลังครูดผ่านเปลือกแข็งของต้นไม้ หากผู้รองรับหาได้สนใจ อาโลอิสกอดรักอีกฝ่ายไว้ หัวอกสะท้านไหวด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่ตนไม่เคยพานพบ ความรู้สึกของการถูกครอบครองและสัมผัสแม้ในที่ซึ่งตนไม่อาจมองเห็น ริมฝีปากสั่นไหวพร่ำชื่อของไคลน์ซ้ำไปซ้ำมาราวกับกำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน..ฝันที่งดงามและหวานล้ำจนไม่อยากตื่นมาพบปะกับความเป็นจริง


    ...ความฝัน..ที่มีเทพบุตรซึ่งตนหลงรักได้โอบกอดไว้และรักใคร่ไม่ยอมผละห่างออกจากกัน

    ...ฝันที่แสนงดงามเหลือเกิน


      "..ฟาราส..." น้ำเสียงหอบสะท้านสะดุดไหวลงราวกับมีบางสิ่ง อาโลอิสเบิกตาขึ้นคล้ายถูกตบหน้า ร่างของตนยังคงถุกสอดแทรกและสัมผัสอย่างร้อนแรงภายใต้สายฝนที่หนาวจนสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย แผ่นหลังบอบบางสะท้านไหว ขณะที่ไคลน์ซบใบหน้าลงกับไหล่ขาวบาง ดวงตาปิดสนิทและเอ่ยซื่อของคนรักตนซ้ำไป ซ้ำมา


     น้ำใสเอ่อท้น หยุดไหลลงมาอย่างเงียบเชียบไม่อาจกลั้น อาโลอิสนึกดีใจนึกเมื่อจังหวะแทรกลึกเปลี่ยนเสียงสะอื้นเป็นเสียงหอบครางได้ทันควัน หากปลายนิ้วจิกทั้งแน่นสั่นไหวและสะท้านเสียจนไม่อาจโอบกอดแผ่นหลังของอีกฝ่ายไว้มั่นเช่นเคย

       ..เจ็บ....


     ความเจ็บปวดที่ตนแสนเคยคุ้นทิ้งตัวแผ่ลงมาปกคลุมอย่างเงียบเชียบ ดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นไหว ดวงใจเจ็บร้าว หากร่างกายยังถูกกระตุ้นตามตลื่นอารมณ์หวามที่ชักพาไป เสียงคราวครางกึ่งสะอื้นปนปะนกับเสียงกระซิบพร่ำเรียกชื่อคนรักของเทพบุตรหนุ่มซ้ำไป..ซ้ำมา


     อาโลอิสอยากบอกเหลือเกิน...ข้าไม่ใช่เขา

      หากตนสุดใจจะเอ่ยคำใด ด้วยความเจ็บร้าวที่แทรกลึกไม่อาจถอนได้ และด้วยความขมขื่นที่เกาะกินอยู่ภายใน ดวงตาสีท้องฟ้าพลันหลั่งน้ำตาอีกครั้ง พร่างพรูลงไปท่ามกลางสายฝนซึ่งค่อยอ่อนแรงลง


      ...เจ็บปวด เจ็บ..เช่นที่ไคลน์บอกให้รู้

       ให้ข้ากอดเจ้า..ทั้งที่รู้ว่าข้ารักเขา...เจ้าก้ต้องเจ็บ


      ...เจ็บ..เจ็บ...ข้าเจ็บ เจ็บเหลือเกิน ทั้งปวดร้าวและชอกช้ำนักกับน้ำเสียงร่ำเรียกชื่อคนรักของอีกฝ่าย หากแต่ไม่อาจทำสิ่งใด ด้วยตนเองเป็นฝ่ายกระซิบ บอกออกไป..ยอมตกลงอย่างโง่งมให้กอดข้าไว้...แม้ใจเจ้าจะคิดถึงฟาราสผู้นั้นก็ตาม


     ...ข้ารู้ดี รู้ดีว่าเจ้านั้นรักเขา เจ้ากอดข้า...เพียงเพราะอยู่ในร่างของเขา

      รู้ดี..หากแต่ก็เจ็บ...เจ็บเหลือเกิน

      รักที่แย่งชิงมาได้แล้ว รักที่นำมันมาจากฟาราสซึ่งตนริษยายิ่งนัก..ที่สุด กลับทิ่มแทงและหวนคืนมาทำร้ายเสียจนหัวใจนั้นย่อยยับไม่มีชิ้นดี

      ...แย่งชิงมาแล้ว แต่ก็มิอาจนำมาได้ คว้าเอาไว้..แต่ทำได้เพียงสะอื้นไห้อย่างไร้หนทาง


       หลั่งน้ำตาลงอย่างไม่ขาดสาย แม้ร่างขยับไหวสะท้าน เสียงสะอื้นแปรเป็นเสียงครวญครางอย่างสุขสมไม่อาจระงับ ร่างกายยังคงเต็มไปด้วยหยาดหยดแห่งความปราถนา เนื้อตัวสั่นไหว กระตุกและรับรู้ถึงความสุขสมมากเพียงใด หากในใจเจ็บปวดและตรมตรอมเสียจนไม่อาจเยียวยา


       "อาโลอิส..." แว่วเสียงกระซิบแผ่วเบา..คล้ายชื่อของตนลอดออกจากริมฝีปากหนา ดวงตาสีฟ้าสดใสที่แดงช้ำกระพริบเชื่องช้าราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน หากพลันวูบหนึ่งในความงวยงงนั้นก็ถูกความสุขสมหอบทับ คลื่นความปราถนาซัดเอาเสียงสะอื้นไห้และน้ำตานั้นไหลไปกับน้ำฝนอันเย็นเฉียบ แปรเป็นสายน้ำแห่งความปราถนาที่หลั่งรินลงอย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกับหยาดหยดอุ่นร้อนซึ่งรินรนในร่างของตน


      เสียงหอบครางดังขึ้นแผ่วเบา ทั้งเหนื่อยอ่อนและเต็มไปด้วยความปราถนา ผิวแก้มแดงซ่าน และดวงตาสีท้องฟ้าแดงช้ำแปลกตา ถูกปกปิดไว้ท่ามกลางหยาดฝนและเสียงของท้องฟ้าร้องครืนครางแผ่วเบา


       สายฝนชะล้างน้ำตาและเสียงสะอื้นไป หากสิ่งที่ยังปรากฏชัดไม่อาจลบเลือนได้ คือเศษซากของหัวใจที่พังยับ...ไม่มีชิ้นดี


++++++++++++++++++++


         สายฝนที่พร่างพรูลงมาไม่ขัดสายค่อยซาลงช้าๆ ท้องฟ้าที่มืดครึ้มเริ่มมีสีสันต้อนรับดวงอาทิตย์ที่ทอประกายใต้ก้อนเมฆขาว ทะเลสาบน้ำใสราวกับกระจกสะท้อนเงาของคนผู้หนึ่งยืนมองมันเงียบๆ เส้นผมสีทองคำเปียกชื้น แนบติดผิวแก้ม ขณะที่เสื้อเชิ๊ตสีดำสนิทถูกกลัดกระตุมติดมันอย่างลวกๆ ไม่ต่างจากกางเกงสีเดียวกันที่ยังคงเปียกชื้นด้วยเม็ดฝน


         สายลมอ่อนคลอเคลียผิวแก้มเย็นๆราวกับจะปลอบให้เเจ่มใสและรื่นเริงขึ้น ร่างของเอนีล ชาส์เดอตงส์ หรืออาโลอิสผละจากทะเลสาบนั้น หันไปจ้องมองชายผู้หนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้า หลังจากพายุฝนพัดผ่านเช่นเดียวกับพายุอารมณ์ที่ผ่านพ้น เมฆหมอกที่ปกปิดตัวตนและทุกสิ่งไว้ถูกคลี่ออกให้แจ่มชัด..เช่นเดียวกับสิ่งที่ทั้งสองรู้ว่าจะต้องกระทำ


          "....อาโลอิส" นิ่งไปครู่ ขณะที่ทั้งสองจ้องสบตากันเงียบๆ ไคลน์จ้องมองร่างของอาโลอิสผู้ทรุดกายนั่งลงบนต้นไม้ใหญ่


          "ถึงเวลาแล้ว..ข้ารู้" น้ำเสียงแหบพร่าน้อยๆ จากการกรีดเสียงสะอื้นไห้ครวญครางนั้นฟังดูแปลกหู อาโลอิสหรุบตาลงต่ำ ก่อนจะเอื้อมมือไปที่ตระกร้าหวายใยใหญ่ ที่ตนเป็นฝ่ายของร้องให้ไคลน์นำมันมาให้


         "เจ้าจะ....." ไคลน์เอ่ยขึ้นช้าๆ ท่าทีไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะลงมือทำเช่นไร ดวงตาของเทพบุตรหนุ่มวูบไหว ความสับสนก่อเกิดขึ้นทั้งที่ตนไม่อยากให้มี


         ทั้งที่ควรจะฆ่า ควรจะลงมือ ควรทำ เพื่อฟาราส เพื่อคนรักของตนจะได้ฟื้นคืนกลับมา

         แต่เพราะเหตุใด..ถึงได้ยอมทำตามคำขอร้องของอีกฝ่าย และ...ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยังลังเล ไม่อยากลงมือ..

        สงสาร..งั้นรึ

        เป้นความสงสาร..ความเห็นใจ สมเพชเวทนาหรือเพราะเหตุใดกันแต่

       รึต้องเอ่ยชื่อของฟาราสซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อรั้งให้ตนเองไม่เผลอไผลไปกับความเย้ายวนและมนต์สเน่ห์ของปีศาจปีสีดำในอ้อมแขนเช่นเมื่อครู่

       ...ต้อง...ทำเช่นไรกัน


          "ข้าจะคืน.." ดวงตาสีฟ้า..หากแดงก่ำด้วยหลังน้ำตามากไปเสียจนบวมช้ำเงยมาสบ แววตาคู่นั้นหาได้สั่นไหว เต็มไปด้วยความเจ็บปวด โศกเศร้า รึหวนอาลัย..หากมันเรียบเฉย เย็นชา


          ...เช่นเดียวกับดวงตาของอาโลอิส..ที่ตนเคยสบมองมันในยามแรกเจอ


        ไคลน์ชะงัก ด้วงสังหรณ์บางอย่าง ทำให้ชายหนุ่มหันไปหา แต่ก็พลันนิ่งไปอีกครา เมื่อเอนีล ชาส์เดองตงส์หยิบเอามีดปลายเเหลม เนื้อดีออกมาจากตระกร้าหวายใบโต


          "ทุกสิ่งทุกอย่าง" อาโลอิสสบตาชายกนุ่มเบื้องหน้า ไร้ร่องรอยของความหวั่นไหว


         "อาโลอิส..." ไคลน์ไม่รู้..ไม่อาจเดาใจว่ายามนี้ ปีศาจปีกสีดำตรงหน้ากำลังจะทำอะไร


         "ของๆฟาราสที่เจ้ารัก..ข้าคืนให้" มีดแหลมคมจรดปลายลงบนข้อมือสีขาว..วางนิ่งอยู่ครึ่งหนึ่งแล้วออกแรงกด..ปาดลึก เชือดสุดแรงจนมองเห็นเนื้อกระดูกสีขาว ด้วยความเชียวชาญของวิสัญญีแพทย์ทำให้การกระทำครั้งนี้ทำได้อย่างไม่ยากเย็น

"เคยเอามาด้วยวิธีใด จะคืนกลับไปด้วยวิธีนั้น"


       เลือดสีแดงกระฉูดออกจากข้อมือราวกับน้ำพุ มันค่อยไหลรินลงไปเปื้อนเปรอะต้นขาและซึมลงเนื้อผ้าตามแรงโน้มถ่วง หากผู้กระทำ..ผู้ที่ถือมีดไว้ในมือกลับยังนิ่งเฉย สบมองแววตาที่เบิกขึ้นราวกับตกใจไม่น้อยอย่างเยือกเย็น แม้ฝ่ามือจะสั่นระริก


        ...เจ็บ...เจ็บมาก เจ็บยิ่งนัก ประสาทสัมผัสทุกส่วนกรีดร้อง ทุกเซลล์ในสมองเต้นเร่าพล่านไปด้วยความหนึบชา แม้จะเจ็บ เจ็บนักหนา แต่ทว่าไร้เสียงร้องอุทรใดๆ


        ...เจ็บใดเล่า จะเจ็บเสียยิ่งกว่าในหัวใจ


          "ฟาราสของเจ้า.." มือขวาที่ประคองไว้ได้ค่อยกรีดลงบนผิวเนื้อ เลือดสีเข้มซึมไปตามการขยับนั้นแต่ผู้กระทำยังขยับไม่หยุด "ทุกอย่างที่เป็นของเขา..เชิญเอากลับคืนไป"


         "อาโลอิส..." ไคลน์ได้แต่มองภาพเบื้องหน้าอย่างคาดไม่ถึง


        "ไม่ว่าจำเป็นเส้นผม...รูปลักษณ์ ใบหน้า...ดวงตา...ลมหายใจ..ทุกสิ่งของเขา เอาคืนไป เอาคืนกลับไปให้หมด" ดวงตาคู่นั้นยอมหันมาสบมองในที่สุด แววตาเจ็บช้ำ รวดร้าวและอดทนอดกลั้นเสียจนดวงตาแดงก่ำ "ของๆเขาที่เจ้ารัก..คืนมันกลับไป"


         "...เจ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้" ไคลน์กระซิบ จ้องมองปลายมีดที่กำลังเลื่อนมายังลำคอ บ่งชัดถึงเจตนาจะ"คืน"และมอบทุกสิ่งกลับไปยังคนที่ตนช่วงชิง "เพียงแต่พูด..ว่าสำนึกผิด และ..ขออภัย"


         "...ข้าไม่รู้สึกผิดใดๆ ยามนี้ก็ยังไม่รู้สึกผิด" ท่อนแขนมีเลือดซึมชื้น ฝ่ามือเต็มไปด้วยโลหิตสีแดงเปรอะเปื้อนกระนั้นยังคงกดปลายเข้ากับลำคอของตนเอง "ข้าไม่รู้สึกผิด..แต่จะคืน คืนทุดสิ่งที่นำมากลับไป"


         "...ข้าจำได้ดี เสียงร้องครวญครางของชีวิต เสียงของฟาราสที่เจ้ารักคือเสียงของข้า ดวงตาสีฟ้าของฟาราสที่เจ้ารัก คือดวงตาที่ข้าแย่งชิง กลืนกิน และนำมันมา ไม่ต่างกับเส้นผม และปีกสีขาว..ทุกสิ่งทุกอย่างของเขา ข้าคือผู้ทำร้าย ทำลาย ช่วงชิงมาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง!"


          "สาสมแล้ว สาสมกับสิ่งที่ข้าได้รับ สาสมเป็นที่สุดที่จะถูกทำร้าย ถูกตามคร่าชีวิต ถูกหลอกให้.." อาโลอิสสบมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่จ้องตนเขม็ง "หลงรัก...บัดนี้ข้าซาบซึ้ง ข้ารับรู้ และได้รู้แล้วว่าการแย่งชิงเพื่อครอบครองสิ่งที่ตนต้องการนั้น หากไม่ได้หัวใจ...ไม่ว่าเช่นไรก็ไม่อาจสำเร็จ.."


          "...คำขอของข้าไม่อาจเป็นจริงหรอกไคลน์" อาโลอิสสบมองดวงตาคู่นั้น ปลายมีดคมกรีดลึกบนลำคอมากยิ่งขึ้น  ฝ่ามือของอีกฝ่ายไหวระริกแม้สติจะเริ่มเลือนราง หากแต่ยังไม่ละสายตาไปไหน "...ข้าไม่เสียใจ ที่ทำทุกสิ่งลงไป"


            "ไม่เสียใจที่ทำร้ายคนรักของเจ้า ไม่เสียใจที่ทุกสิ่งจบลงเช่นนี้ หากข้าจะเสียใจ ก็มีเพียงอย่างเดียว.."


          ฝ่ามือกำแน่น ขยับปลายนิ้วแดงฉานรอบๆ..


             " ข้าไม่เคยสัมผัสถึงหัวใจของเจ้าได้เลยสักครา"


         เลือดสีแดงไหลซึมชื้น เปรอะลงบนเสื้อเชิ๊ตสีดำสนิท และอาบลำคอขาวผ่องที่มีร่องรอยรักสีกุหลาบเป็นตราประทับแห่งความใคร่...หาใช่รัก


              "ไคลน์" เอนีลกระพริบตาอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาสีฟ้าสวยบัดนี้มีน้ำใสหลั่งริน "...ข้ารักเจ้า สุดหัวใจ.."


              "รัก..มากมายเกินไป..จริงๆ"


         เสียงบางสิ่งดังกระทบผืนหญ้า เข่าทั้งสองข้างของไคลน์จมลงกับซากโคลนสีเข้มเจือโลหิตที่เอ่อท้น ดวงตาทั้งสองข้างของชายหนุ่มเบิกออกอย่างตกตะลึง ยามจ้องมองใบหน้าที่เนืองนองด้วยน้ำตามีโลหิตสีเข้มเเต้มอยู่ประปราย เลือดยังไหลไม่หยุด นองเนืองราวกับน้ำพุจากลำคอขาวที่ถูกปาดด้วยมีดด้ามเล็ก..คมกริบซึ่งหลุดออกจากปลายนิ้วอันไร้เรี่ยวแรง เช่นเดียวกับสติรับรู้ รวมทั้งลมหายใจที่แผ่วเบา..รวยริน


          เอื้อมมือไปหา รั้งร่างบอบบางที่ตนเคยโอบกอดนับครั้งไม่ถ้วนมาไว้ในอ้อมแขน เสื้อเชิ๊ตขาวเปรอะเปื้อนด้วยโลหิตสีแดงเข้มที่ส่งกลื่นชวนคลื่นเหียน หากแต่ไคลน์ไม่ได้ใส่ใจ ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเจ็บปวด..รวดร้าวลึก หัวใจเจ็บหนึบด้วยบางสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ จะด้วยความเจ็บปวด..อันต้องมาพบเจอกับซากศพของคนที่ตนรักซ้ำแล้ว..ซ้ำเล่า หรือด้วยความเจ็บร้าว..กับคำรักอันแสนเศร้าที่เป็นดั่งคำลาของดวงวิญญาณปีศาจสีดำที่ตนเคยชิงชัง


         "ข้ารักเจ้า..สุดหัวใจ..รัก..มากมายเกินไป..จริงๆ"


        ปีศาจตนนั้น ที่หลงรัก..รักเขาอย่างสุดหัวใจ


       ปีศาจปีกสีดำ..กลีบกุหลาบสีโลหิตกรุ่นกลิ่นหอมกำจาย ปีศาจที่แสนเลวร้าย แต่ก็รัก..รัก...มากมายเสียจนต้องดับสูญไป


         "อาโลอิส.." นิ่งอยู่เนิ่นนาน ราวกับทุกสิ่งได้หยุดเคลื่อนไหว ดวงตาของชายหนุ่มในอ้อมแขนปิดพับลง เฉกเช่นเดียวกับลมหายใจที่สงบนิ่ง ราวกับกำลังหลับสนิทอยู่ในนิทรา ..เสียงฟ้าร้องครืนครางแผ่วเบา ดังจะบอกให้ทราบถึงจุดสิ้นสุดของการวนเวียนตามล้างผลาญชีวิตของคนผู้หนึ่ง และการกลับมาของคนที่ตนรัก ท่ามกลางความยินดี..ปนขื่นขมเหล่านั้น น้ำเสียงแผ่วเบา..เบายิ่งก็ดังขึ้นราวกับกระซิบผ่านสายลม




          "อาโลอิส..."




--------------


ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8


       เสียงร้องของการาเวนดังแว่ว เช่นเดียวกับเสียงกระพือปีกขนาดใหญ่ที่ขยับไหว นกสีดำตัวใหญ่เกาะลงยังไหล่ของชายหนุ่มผู้มีผมสีดำสนิทยาวจรดปลายเท้า เซดิสกระพริบดวงตาสีดำสนิทของตนเองเบาๆ ก่อนจะหยักยิ้มคล้ายขบขัน เมื่อสลับรับฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเจ้ากาบนไหล่ ปลายนิ้วสีขาวไล้เส้นขนดำเงามัววับ ขณะที่ดวงตาวาววับราวกับลูกปัดของสัตว์เลี้ยงบนไหล่ขยับหลุกหลิกเมียงมองไปรอบๆไม่หยุด


        "ช่างโง่เง่าและซื่อตรงไม่เปลี่ยนแปลง.."


          น้ำเสียงเย็นยะเยียบ..เอ่ยแผ่วเบาพลางลุกขึ้นจากพื้นหลังคาสีดำที่ตนเหยีบย่าง บนโบสถ์สีขาวหลังเล็กที่มีเครื่องหมายกางเขนปรากฏชัดเจน ร่างในอาภรณ์สีดำสนิทมองตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งของทะเลสาบขนาดใหญ่ แม้ด้วยความจริง ระยะจากดวงตาคู่นั้นมิอาจมองเห็นสิ่งใด ทว่าเซดิสกลับรับรู้ ว่ามีร่างไร้ชีวิตที่ถูกจัดให้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหญ้าราวกับกำลังหลับสนิทอยู่ในนิทรา


        "...มันยังไม่จบหรอก"


          น้ำเสียงนั้นราวกับขบขัน หมุนกายหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว ขณะที่เสียงสะบัดผ้าคลุมแว่วผ่านสายลมอย่างเงียบเชียบ ร่างของเซดิสก็พลันหายไปจากหลังอาคารราวกับไม่เคยปรากฏ เช่นเดียวกับร่างของการาเวนตัวโตที่สะบัดปีกหายลับไปจากท้องฟ้าให้ดวงตาของชายหนุ่มผู้หนึ่งบนจักรยานกระพริบถี่ด้วยความงวยงง


         มือนั้นคว้ากระดาษจากกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ข้างตัวรถโยนเข้าไปยังใกล้ตู้ไปรษณีย์หน้าโบสถ์แล้วปั่นจักรยานผ่านไปอย่างรวดเร็ว สายลมหอบเอาหนังสือพิมพ์ซึ่งถูกโยนมากลิ้งลงบนพื้นหญ้า มันเกือบเลอะโคลนเอาเสียแล้วหากมือเหี่ยวย่นของหวางพ่อชราจะไม่ได้หยิบมาก่อนพลางแกะอ่านเงียบๆแล้วถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะก้าวเข้าไปในโบสถ์เพื่อสวดมนต์ภาวนา..


         
กระดาษหนังสือพิมพ์ม้วนใหญ่ที่ถูกวางทิ้งไว้นั้นบอกวันที่ 1 กันยายน 1939 มีตัวหนังสือขนาดใหญ่พิมพ์หราเต็มหน้าเป็นข้อความชัดเจน


"THE WAR IS ON"


         +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


...ตอนนี้มา..มาเเต่เลือดดด เลือดเต็มไปหมดดดดด

   คาดว่าจะไม่ได้นองจากฉากเรทแต่เป็นเนื่องจากฉากหลังมากกว่า อาโลอิสผู้ต้องการคืนทุกอย่างให้แต่ไม่เสียใจ ก็ปาดเลือดกระฉูดซะเลย ตอนแรกจะเอาควักตาด้วยแล้วแต่มันโหดไ------------ //โดนแบน

  จากนี้เราหมดธุระกับภาคมนุษย์แล้ว(?) จะเเล่นไปหาแฟนตาซีเต็มๆละทีนี้

  ส่วนเรื่องราวเป็นแบบนี้แล้ว..จะเกิดอะไรขึ้น เป็นยังไงต่อไป ไว้รอดูกันนะคะ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ EXILE07

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รอครับ>_< รอๆๆๆๆๆๆ
ตอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะครับ^^~

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8

Lost 24 : กลับสู่ตัวตน

 

 

              "ข้ารักเจ้า..สุดหัวใจ..รัก..มากมายเกินไป..จริงๆ"

 

 

               "อาโลอิส..."

 

 

                    "อาโลอิส..."

 

 

 

 

                 น้ำเสียงคุ้นหูดังแผ่วเบาก้องอยู่ในห้วงแห่งจิตสำนึก ค่อยดังขึ้นทีละเล็ก..ทีละน้อย.. เช่นเดียวกับสติที่ค่อยกลับคืนมาช้าๆ เสียงน้ำหยุดกระทบแผ่นหินและกลิ่นสีสนิมจางคุ้นจมูกกระตุ้มเตือนให้นึกถึงบางสิ่ง หัวคิ้วกระตุกไหวขมวดเข้าหากันน้อยๆ ยามเมื่อนิ่งคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆแล้วจดจำได้เพียงเลือนราง เสียงฝน..เสียงร้องไห้ น้ำคำสะอึกสะอื้นและกลิ่นคาวเลือดคละเคล้าอ้อมแขนอบอุ่น กระตุ้นให้หัวใจที่เต้นอย่างแผ่วค่อยกระตุกไหวเป็นจังหวะถี่แรง

 

 

                กระพริบเปิดดวงตาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหรี่ตาลงเมื่อถูกแสงจากคบเพลิงด้านบนสาดกระทบ ค่อยขมวดคิ้วเข้าหากันมากขึ้นเมื่อยันกายขึ้นมานั่งบนพื้นเงียบๆ ดวงตากวาดมองรอบกายเพื่อพบกันทิวทัศน์อันแปลกประหลาดหากแต่ก็คุ้นตา แผ่นหินสีเข้มมันวับ สะท้อนแสงไฟราวกับอัญมณี เสียงลมหวีดหวีดหวิวดังมาจากเหนือศรีษะ บ้างก็คลอเสียงพูดคุยและเสียงโลหะกระทบกันสะท้อนก้องมาจากเบื้องล่าง ให้ความทรงจำบางอย่างค่อยผุดพรายขึ้นมาช้าๆ เป็นเหตุให้ต้องก้มลงมองตัวเอง

 

 

                 เส้นผมสีแดงเข้มจัดราวกับโลหิตทิ้งตัวลงมาระแนวไหล่ อุ้งมือสีขาว ผิวขาวจัดจนเกือบซีดเอื้อมไปสัมผัส จ้องมองสีสันของผิวเนื้อตัดกันกับสีโลหิตแดงของเส้นผมที่ยาวจนถึงกลางหลัง เรือนร่างสูงโปร่งสวมอาภรณ์สีดำสนิทและเมื่อหยัดกายขึ้นลุกยืนช้าๆ เงาที่สะท้อนผ่านแผ่นหินสีดำเข้ามา คือใบหน้าอันซีดขาวเฉยชาและดวงตาสีแดงประกาย

 

                ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าย่ำบนแผ่นหินเรียบลื่นเย็นเฉียบ ดวงตากวาดมองรอบกายเงียบๆ ขณะที่ก้าวตามทางเดินหินโค้งอันสวยงามประดับด้วยคบเพลิงเพื่อให้แสงสว่าง เสียงหยดน้ำกระทบแผ่นหินยังคงดังสะท้อนอยู่ไม่ไกล เช่นเดียวกับเสียงของสายน้ำที่หลั่งไหลจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง อากาศรอบกายนั้นนั้นชื้น หากแต่ไม่ถึงกับหนาวเหน็บและไร้ร่องรอยของตระไคร่น้ำหรือพืชพันธ์ชนิดอื่นปกคลุม ทั้งยังเงียบกริบ นอกจากเสียงฝ่าเท้าและเสียงน้ำไหล โดยรอบนั้นนิ่งสงัดราวกับไร้ผู้คน

 

 

                 เสียงกระพือปีกดังขึ้นเบาๆพร้อมกับกรงเล็บสีดำที่เกาะลงบนไหล่ การาเวนตัวใหญ่สีดำสนิทและดวงตาสีแดงก่ำนั้นเคยคุ้นจนต้องยกมือลูบขนมันเงานั้นเบาๆ ซึ่งเจ้าสัตว์ที่เกาะอยู่ก็ตอบรับด้วยการจิกเบาๆแล้วคาบสางเส้นผมเล่นอย่างสนิทสนม

 

 

                "....กลับมาแล้วหรือ?" น้ำเสียงเรียบเรื่อยดังขึ้น ออกมาจากปากนกสีดำตัวนั้น หากแต่เป็นเสียงของมนุษย์ ดวงตาสีแดงสดหันไปจับจ้องนัยน์ตาวาววามเหมือนลูกปัดของกาตัวใหญ่บนไหล่ แล้วหยักหน้ารับเงียบๆ

 

 

                แกว๊ก..แกว๊ก

 

 

                 เจ้ากาตัวใหญ่อ้าปากร้องเบาๆ ด้วยเสียงที่แปรเป็นสำเนียงนกเช่นปกติ มันโผออกจากไหล่ผอมบาง น้ำหนักที่หายไปมากพอดูจนไหล่ไหวยวบ

 

 

                "แปลกใจอยู่รึเปล่า" น้ำเสียงที่ดังอยู่ห่างไปไม่มาก ทำให้ต้องหันไปหา ร่างของบุรุษที่ตนคุ้นตายืนอยู่บนพรมสีขาว สุดทางเดินจากอุโมงค์ยาว คือห้องที่มีลักษณะเหมือนห้องโถงขนาดเล็กที่ก่อร่างด้วยหินสีดำขนาดใหญ่ เสาต้นใหญ่แกะสลักประดิดประดอยงามตานับสิบๆต้นมีคบเพลิงแขวนไว้ มันค้ำยันเพดานสูงราวกับหลังคาราชวัง ด้านบนเจาะช่องจากแผ่นหินให้แสงสีทองส่องลอดเข้ามากระทบกับเนินโค้งของหลังคาเป็นภาพน่าชม

 

 

                ก้าวเท้าขึ้นไปยังบันไดเตี้ยๆสี่ห้าขั้นที่นำทางไปยังห้องโถง พรมสีขาวปูลาดยาวใช้เป็นทางเดินยามก้าวเท้าไปช้าๆ ดวงตาจ้องมองร่างของบุรุษผู้กำลังยืนมองนกสีดำตัวใหญ่ที่เกาะอยู่บนคอนด้วยท่าทีพึงใจนั้น ท่ามกลางเสียงหยดน้ำกระทบพื้นหินเป็นจังหวะคล้ายขับกล่อม

 

 

                "ท่านเซดิส..."

 

 

                คุกเข่าลงช้าๆ พลางก้มศีรษะให้อีกฝ่ายครู่ใหญ่ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีแดงฉานหันมาจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว ร่างในชุดสีดำสนิทจรดปลายเท้าเช่นเดียวกับตนเดินไปนั่งบนม้าหินที่ปูด้วยพรมขนสัตว์ เส้นผมสีดำสนิทยาวจรดปลายเท้าของอีกฝ่ายบัดนี้ถูกถักเปียไว้เรียบร้อย ปลายนิ้วสีขาวที่มีแหวนทับทิมเม็ดเขื่องปรากฏอยู่เอื้อมไปหยิบแก้วทรงสูงบรรจุของเหลวสีแดงเข้มก่อนจะหันกลับมาสบตาอีกครา แววตาพึงใจปรากฏขึ้นชั่วครู่ก่อนเจ้าตัวจะยิ้ม ริมฝีปากสีโลหิตแย้มพรายขึ้นอย่างปริศนา

 

 

                 "...ยินดีต้อนรับกลับ อาโลอิส.." น้ำเสียงนั้นแฝงความยินดีเจือจาง หากแต่สามารถสัมผัสได้ "..ของข้า"

 

 

                ".........." พยักหน้ารับน้อยๆกับคำเอ่ยตอนรับนั้น ทว่าแววตาก็ยังฉายความไม่เข้าใจ

 

 

                "แปลกใจงั้นหรือ?" เซดิสเอ่ยถาม "...เจ้าจำเรื่องทุกอย่างได้หรือยัง.."

 

 

                 "ยังไม่ทั้งหมด...แต่ก็จำได้มากพอดู.." นัยยะหนึ่ง คือจำได้มากพอจะรู้ว่าตนเองนั้นกระทำสิ่งใดลงไป

 

 

...อาโลอิสที่ฆ่าคนรักของไคลน์ เทพบุตรผู้งดงาม ช่วงชิงทุกสิ่งของอีกฝ่ายมา และกลายเป็นคนๆนั้น

 

 

ถูกคนๆนั้นฆ่าทิ้งซ้ำๆ จวบจนกระทั่ง..ในยามที่จะไม่เหลือแล้วกระทั่งวิญญาณ

 

 

                ควรจะสูญสลาย ควรจะจากไปไม่เหลือแม้กระทั่งวิญญาญ แต่เพราะเหตุใด...

 

 

                "..ดื่มนี่" น้ำสีแดงเข้ม คล้ายกับสีของไวน์องุ่นถูกยื่นมาตรงหน้า อาโลอิสจ้องมองดวงตาของผู้พูดครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือรับ และดื่มกินตามที่อีกฝ่ายสั่งการ

 

 

                รสหวานซ่านแผ่ลงมาจากลำคอไปยังทั่วกาย ร้อนวาบขึ้นมาเสียจนแก้มแดงจัด อาโลอิสไอโขลก ไม่ทันตั้งตัวกับรสหวานจัดและร้อนแผดกระเพาะของเครื่องดื่มในแก้ว ยื่นมือคืนไปให้ผู้เป็นนายแล้วหอบเบาๆครู่ใหญ่ ก่อนจะพลันรู้สึกถึงเรี่ยวแรงที่มีมากขึ้น และ..สัมผัสได้ถึงบางสิ่งผุดออกมาจากสะบักไหล่และขยับไหวอยู่เบื้องหลัง

 

 

                 เมื่อสัมผัสถึงการคงอยู่ของมันได้..เทพบุตรผู้มีปีกสีดำก็เข้าใจ

 

 

                ...ยังมีอีกสิ่งที่ไม่ได้ส่งคืนกลับไปยังเจ้าของ

 

 

                 ปีกสีขาว..ที่ตนกระชากแย่งชิงมา

 

 

                 ของๆฟาราส ที่ยังไม่ได้คืนกลับไป..

 

 

                "...ช่างไม่เข้ากับเจ้าเอาเสียเลย" ผู้เป็นนายเอ่ยคล้ายจะบ่น ดวงตาจ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ดูแปลกตา หนึ่งคือปีกสีดำสนิทราวกับขนกา แต่อีกหนึ่งกลับเป็นปีกสีขาวบริสุทธิ์

 

 

                 แม้จะงดงาม หากแต่ก็ไม่อาจรวมเป็นหนึ่ง

 

 

                ....สีขาวกับสีดำ ไม่มีทางหลอมรวมกัน

 

 

                "เพียง....เพราะสิ่งนั้น" ถึงได้ให้ตนเองยังคงอยู่..ยังคงมีตัวตน.. อาโลอิสรู้สึกข้องใจ

 

 

                 "สำหรับเจ้าอาจเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ปีกสีขาว..เทพทั้งหลายเห็นว่าคือสิ่งสำคัญนัก" เซดิสหัวเราะขบขัน คล้ายจะเยาะถึงนัยยะที่ผูกกันอยู่อย่างน่าขำไม่น้อย "...แต่นั่นก็หาใช่เหตุผลทั้งหมด เจ้าพูดถูกแล้ว"

 

 

                 "....แล้ว มันคือ?" อาโลอิสเงยหน้ามองผู้เป็นจ้านาย ดวงตาสีแดงเข้มวาววับคู่นั้นหันมาจ้องสบ แม้จะเป็นสีแดงเฉกเดียวกัน หากแต่สีสันก็ยังคงต่างไป ดวงตาของเซดิสนั้นเป็นสีแดงระยับไหวคล้ายเปลวไฟที่เต้นระริกอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย  ขณะที่ดวงตาของตน อาโลอิสนั้นมีนัยน์ตาสีแดงเข้มดั่งทับทิมส่องแสงประกาย

 

 

                "...หนึ่งนั้นคือ..ปีกสีขาว ไม่อาจถูกส่งมอบยามอยู่ในร่างมนุษย์" เซดิสเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยคล้ายทำนองของบทเพลง ดวงตาจ้องมองแผ่นหลังของอาโลอิส ซึ่งบัดนี้ข้างหนึ่งนั้นมีปีกสีขาวปรากฏอยู่ ช่างแตกต่างกับอาภรณ์สีดำสนิท และปีกสีดำที่อยู่บนไหล่อีกข้างอย่างล้นเหลือ สีขาวนั้นงามระยับ หากแต่ก็ขัดตา..และแตกต่างไม่อาจหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน

 

 

                เช่นเดียวกับความปรารถนา แม้นเจ้าจะต้องการเช่นไร สีดำก็ไม่อาจพลิกแปรเป็นสีขาวได้อีก

 

 

                ตัวตนของเจ้าของสีดำจะอย่างไรก็ไม่อาจหลีกพ้น..

 

 

                "แม้เจ้าจะ"คืน"ทุกสิ่งไปแล้วในยามนั้น แต่เจ้าก็ยืนยันว่าหาได้รู้สึกโศกเศร้าเสียใจ..สิ่งนั้นอาจทำให้ผู้ที่รอคอยได้ยินได้ฟังมันมาตลอดขุ่นเคือง แต่สำหรับข้า.." เซดิสยิ้มบาง หัวเราะเบาๆในลำคอ "การที่เจ้ายืนยันเช่นนั้น เป็นสิ่งที่บอกชัด ไม่ว่าจะแปรเปลี่ยนและลงมือกระทำสิ่งใดลงไป เนื้อในเจ้าก็ยังคงเป็นขุนพลผู้เก่งกาจของข้าเช่นเดิม"

 

 

                 "พวกเขาอยากให้ข้า...เอ่ยปากบอกว่าเสียใจ?" อาโลอิสทวนคำ นิ่งคิดสิ่งที่ผู้เป็นนายอธิบายอย่างช้าๆ

 

 

                ..การนำปีกสีขาวคืนไปนั้นสมควรแล้ว แต่สิ่งที่ต้องการมากกว่า คือถ้อยคำที่กล่าวว่ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกระนั้นหรือ?

 

 

                "มันไม่ได้ต้องการคำขอโทษ ขออภัย หรือการเอ่ยปากบอกว่าเสียใจของเจ้า อาโลอิส" เซดิสเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงดังชัด "เพียงแค่อยากเหยียบย่ำให้ได้อับอาย..ทั้งเจ้าและข้าผู้เป็นนาย"

 

 

                 "ข้า...." อาโลอิสหรุบตาลงช้าๆ รู้สึกละอายใจทันทีที่ตนนั้นชักนำผู้เป้นนายเข้ามาข้องเกี่ยวและต้องถูกเหยียดหยามจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครานี้

 

 

                 "...ข้าเป็นผู้บอกให้เจ้าแย่งชิงมาเอง" เซดิสยิ้มบาง ปลายนิ้วลูบขนสีดำของการาเวนตัวใหญ่ที่โผมาเกาะอยู่ข้างๆ "แม้ผลมันจะออกมาเช่นไร ข้าก็ได้ลงมือทำไปเฉกเดียวกัน แท้จริงแล้ว...ข้าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกสนุกสนานเสียเหลือเกิน"

 

 

                 "ควรทำให้ท่านอับอายมิใช่หรือ" อาโลอิสจ้องมองผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้า หากตนจะถูกลงโทษและด่าว่าฐานทำให้ผู้เป็นนายอับอาย นั่นย่อมสมควรแล้ว

 

 

                "อับอาย....ข้าน่ะหรือ?" ดวงตาของผุ้เอ่ยไหวระริกคล้ายจะขบขัน "อับอายทำไม สิ่งที่เจ้าทำน่ะรึ..? แน่นอนว่าในความคิดข้านั้นช่างเป็นการกระทำที่โง่งมนักหนา การทำร้ายและช่วงชิงทุกสิ่งเพื่อหวังจะเป็นที่รัก...สุดท้ายแล้วเจ้าก็ได้ตระหนัก แม้รูปลักษณ์เช่นไร แม้จะเหมือนเสียเพียงไหน เมื่อไม่ใช่ ก็ย่อมไม่ใช่ ไม่อาจแย่งชิงกลับมาได้ทั้งหมด และต้องได้รับโทษจากการกระทำอันโง่งมของตัวเอง"

 

 

                "หากข้าต้องอับอายเพราะเจ้าคือลูกน้องของข้า..อับอายเพราะของๆข้าไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ข้าควรจะอายกระนั้นหรือ มันน่าขันเสียมากกว่า ตัวข้าที่นั่งมองพวกมันดิ้นรนกระวนกระวาย ต้องการแย่งชิงสิ่งที่ถูกนำไปกลับคืนมา และมาถามทวนซ้ำกับข้านับพันๆครั้ง ว่าด้วยเหตุใดเจ้าถึงได้ทำเช่นนั้นลงไป ซ้ำยังโง่เง่าเสียจนเข้าใจผิดพลาดไป ว่าเจ้านั้นหลงรักในความงามของเทพบุตรผู้นั้นเสียเต็มประดา จึงอดใจไม่ไหวที่ต้องนำมาครอบครอง"

 

 

                 "ข้าที่นั่งมองพวกมันวิ่งวนราวกับหนูติดจั่น ตาบอดเสียจนมองทุกสิ่งผิดพลาดไป จะให้อับอายอะไร นอกจากเฝ้าหัวเราะขบขันกับผู้ที่คิด และมองทุกสิ่งเพียงแต่ภายนอก เป็นสีขาว..ที่แสนโง่งมจนข้านึกพิศวงเสียด้วยซ้ำ ว่าเจ้าไปหลงรักมันได้อย่างไร"

 

 

                 ".....ข้า" อาโลอิสได้แต่นิ่งงัน ไม่อาจตอบคำ

 

 

                "แต่ตัวเจ้าที่เป็นมนุษย์นั้นช่างโง่เง่าสิ้นดี หากข้าไม่เข้าไปเกี่ยวกัน เมื่อใดนะ เจ้าถึงจะจำได้เสียที" เซดิสหัวเราะ วางแก้วใสที่บัดนี้ว่างเปล่าลงข้างกาย

 

 

                "ข้าขอบคุณท่านในความกรุณา"

 

 

                "...เจ้าคิดว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องก็พูดมาเสียเถอะ" ผู้เป็นนายปรายตามองร่างที่คุกเข้าเบื้องหน้า "และข้าหาได้กรุณา..เพียงแต่ต้องการให้เจ้าตระหนักและจดจำถึงสิ่งที่ตนเองทำลงไปให้ได้...จดจำมันได้ด้วยตัวเอง ก็ย่อมเลือกหนทางของตัวเองได้ แม้เส้นทางที่เจ้าเดินไป จะซื่อตรงเสียจนแสนโง่งมก็ตาม"

 

 

                "...เมื่อช่วงชิงมาก็ย่อมต้องคืนกลับไป..ข้าคิดเช่นนั้น" อาโลอิสเอ่ยช้าๆ

 

 

                "เจ้าหวังว่ามันจะจบลง จึงได้บอกทุกสิ่งไปอย่างนั้นน่ะหรือ" เซดิสถอนใจ พลางลุกขึ้นยืนอีกครา "..หากแต่สุดท้าย ความปรารถนาของเจ้าก็ไม่เป็นผล พวกมันต้องการปีกสีขาวคืนกลับไป และต้องการลงโทษเจ้าให้สาสมอีกครา..."

 

 

                ปลายนิ้วสีขาวจัดแตะลงบนไหล่ของผู้ที่คุกเข่าลงเบื้องหน้า อาโลอิสเงยหน้าขึ้นมองอย่างแช่มช้า สบมองดวงตาที่ลึกล้ำและเย็นยะเยียบคู่นั้น

 

 

                "ส่วนตัวข้า...ต้องการให้เจ้ากลับมา..เพราะมันได้เริ่มขึ้นแล้ว"

 

 

                ดวงตาสีทับทิมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ขณะที่สายลมลอดผ่านเข้ามาอย่างแผ่วเบา ท่ามกลางเสียงของหยดน้ำที่รินไหล กลับแว่วเสียงคำรามของบางสิ่งที่ถูกพัดพามาตามลม

 

 

                "ได้ยินใช่ไหมล่ะ...เสียงของอสูรกายจากห้วงที่ลึกที่สุดของขุมนรก"

 

 

                อาโลอิสพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า แววตาที่แฝงความกังวลเจือจางถูกปกปิดไว้ใต้เปลือกตาที่หรุบลงต่ำและเสียงรับคำอย่างแผ่วเบา..

 

 

        ++++++++++++++++++++++++++++

 

 

                ทางเดินที่ทำจากแผ่นหินสีเข้มลักษณะคล้ายอุโมงค์ทอดยาว ด้านบนคือเสียงของสายน้ำที่หลั่งไหลไม่หยุด กลิ่นหอมของกุหลาบอวลกำจายจากเถาดอกไม้สีโลหิตที่เกาะเกี่ยวแทรกรากหยั่งลึกลงบนแผ่นหินและแผ่ปกคลุมเสียจนแทบไม่มีช่องว่าง มีคบเพลิงถูกจุดไว้นำทางเป็นระยะ และเบื้องหน้าอีกฟากของทางเดินยาวไกล แสงสีขาวที่อยู่อีกปลายฝั่งนั้นคือจุดหมายที่ตนต้องเผชิญ

 

 

                อาโลอิสก้าวเท้าตามผู้เป็นนายที่เดินนำไปอย่างเงียบเชียบ บนไหล่ของเซดิสยังคงมีเจ้าการาเวนตัวโตเกาะอยู่เช่นทุกครั้ง ทั้งเจ้านายและตัวมันไม่ได้หันมา ทว่าบางครา ตนกลับรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาแม้ไม่รู้ทิศทาง รอบกายไร้ผู้คน มีเพียงร่างของผู้เป็นนายเดินนำหน้า หากหูกลับได้ยินเสียงกระซิบของบางสิ่งแทรกผ่าน วิญญาณที่ไร้รูปร่างกำลังเอ่ยปากต้อนรับและร้องบอกข่าวคราวกันไปตามสายลม

 

 

                เสียงกระซิบนั้นบอกชัด "กลับมาแล้ว" ตนเองที่กลับมาอีกคราหลังจากหายไปด้วยเหตุผลอันโง่งมเช่นการทำร้ายเทพบุตรตนหนึ่งเสียต้องถูกลงโทษ แม้จะเป็นเรื่องราวอันโง่เง่า ทว่าสรรพสิ่งรอบกายนั้นกลับไร้ถ้อยคำต่อว่า คำยินดีที่แว่วมาตามสายลมโอบกอดประหนึ่งได้กลับมายังบ้านหลังเดิมที่เคยคุ้น ทุกคราที่เหยียบย่างลงบนแผ่นหินหนา หาได้เย็นยะเยียบแต่กลับแฝงความความอุ่นวาบและความรู้สึกผูกพันที่มากขึ้นตามจังหวะการก้าวเดิน

 

 

                เจ้าของดวงตาสีทับทิมจ้องมองผู้เป็นนายที่ยังคงก้าวเท้านำไปยังอุโมงค์เบื้องหน้า อาโลอิสมองเส้นผมสีดำสนิทของอีกฝ่ายซึ่งขยับเป็นจังหวะตามการเคลื่อนไหว ความทรงจำที่ค่อยฟื้นคืนกลับมานั้นค่อยๆเรียบเรียงและถักทอเรื่องราวทุกอย่างให้ตนตระหนักอย่างเชื่องช้า ถึงตัวตนของตนเองและทุกสรรพสิ่งโดยรอบ

 

 

                อาโลอิสนั้นคือเทพบุตร..เทพผู้มีปีกสีดำและอาศัยอยู่ใต้พื้นพิภพและถูกกล่าวขานคล้ายปีศาจ ปีศาจผู้มีหน้าที่ลงทัณวิญญาณอันชั่วร้ายตามคำกล่าวเล่าขานของสีขาว..เหล่าเทพผู้ที่อยู่บนสรวงสวรรค์อันงดงามและมีปีกสีขาวบริสุทธิ์ เทพบุตรที่มีปีกสีดำนั้นช่างดูต่ำต้อยและแตกต่างในสายตาของสีขาว เช่นเดียวกับเทพบุตรที่มีปีกสีขาว ที่แตกต่างในสายตาของสีดำเฉกเช่นเดียวกัน

 

 

                เหตุเพราะตนเองไปลงมือทำร้าย อาโลอิสผู้ที่ลงมือแย่งชิงทุกสิ่งและทำร้ายฟาราสอย่างทารุณจนต้องได้รับโทษ โทษทัณฑ์คือการต้องกลายเป็นมนุษย์ผู้จมจ่ออยู่กับฝันร้ายและถูกไคลน์ผู้เป็นคนรักของอีกฝ่ายตามมาคร่าชีวิตครั้งแล้ว ครั้งเล่า..จนถึงครั้งสุดท้าย..ในยามที่เขาเป็นเอนีล ชาส์เดอตง เซดิสจึงเอื้อมมือมาช่วยกระตุ้นเตือนความทรงจำ พยายามทำให้ตนจำทุกอย่างได้ เช่นเดียวกับไคลน์ ที่เข้ามาใกล้ชิดด้วยหวังจะให้ตนเอ่ยปากบอกสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมด

 

 

                ทว่าเมื่อลงมือไปแล้ว เมื่อเลือกจะคืนกลับทุกสิ่งไปและบอกให้รู้ถึงเหตุผลของทุกสิ่ง ตัวตนนี้กลับไม่ได้หายไป อาโลอิสยังคงต้องกลับมา..กลับมาเป็นอาโลอิสคนเดิม เป็นเทพบุตรปีกสีดำที่เป็นลูกน้องคนสนิทของเซดิส เป็นอาโลอิสที่ได้ตำแหน่งขุนพลปีศาจที่มีแต่คนหวาดกลัว เป็นตัวตนแต่เดิมที่เคยเป็น..และบัดนี้ก็ต้องไปสละปีกสีขาวซึ่งไม่ใช่ของตนคืนกลับไปเสีย ทั้งยังต้องได้รับโทษทัณฑ์อีกคราด้วยเช่นกัน

 

 

                 ...ทุกสิ่งนั้น เพื่อตอบแทนที่ตนเองเคยกระทำไว้

 

 

                 ได้เหยียบย่ำทำร้าย ทารุณเทพบุตรผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตนนั้นด้วยความปรารถนาอันโง่เง่าของตน

 

 

                มาบัดนี้ก็ต้องได้รับความอัปยศตอบแทนเฉกเช่นเดียวกัน..

 

 

                "อาโลอิส.." น้ำเสียงแสนคุ้นหูของผู้เป็นนายดังขึ้นหลังจมจ่ออยู่ในภวังค์มาเนิ่นนาน อาโลอิสเงยหน้าขึ้นจ้องมองแผ่นหลังอีกฝ่าย แม้จะไม่ได้หันมา แต่ก็เป็นอีกคราที่ตนรับรุ้ว่าถูกจ้องมอง

 

 

                "...ขอรับ ท่านเซดิส" เอ่ยรับคำเบาๆ พลางมองแสงสว่างที่ใกล้เข้ามาเบื้องหน้า

 

 

                "เจ้าพอใจที่จะหายไปจริงหรือไม่?"

 

 

                 ".....ข้า" นิ่งไปครู่กับคำถามนั้น อาโลอิสหรุบตาลงต่ำ "เพียงต้องการให้ทุกสิ่งจบลง"

 

 

                "ใช่...หากเจ้าหายไป ทุกสิ่งจะจบลง" เซดิสตอบรับแผ่วเบา "แต่ข้าอยากรู้ ในยามนี้ที่ได้รับรู้ทุกสิ่ง เจ้ายังอยากกลับมาหรือไม่"

 

 

                 "......................."

 

 

                 "หากเจ้าไม่ต้องการคงอยู่ คำขอของข้าคงไร้ค่า" ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ที่นิ่งเงียบอยู่ชะงัก "หากเจ้าไม่ต้องการจะกลับมา ย่อมเหมือนครานี้ข้าได้มอบการลงทัณฑ์ที่เลวร้ายไม่ต่างจากที่ผ่านมา"

 

 

                "ท่านเซดิส..."

 

 

                 "เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่าต้องพบเจอสิ่งใด?"

 

 

                "ข้า...ทราบ" ทราบดีว่าสุดปลายทางของอุโมงค์ ต้นทางของแสงสว่าง และจุดสิ้นสุดของความมืดมิดมีสิ่งใดรออยู่

 

 

                ...สีขาว...และคนผู้นั้น

 

 

                บทลงทัณฑ์...ค่าตอบแทนที่โหดร้าย

 

 

                "...และเจ้าทราบหรือไม่ ว่าหากเจ้าพลาดพลั้ง..จะต้องหายไปอย่างแท้จริง" ฝ่าเท้านั้นหยุดลง ร่างสูงโปร่งของผู้เป็นนายหันมาจ้องมองอย่างเงียบเชียบ ดวงตาสีแดงราวกับมีเปลวเพลิงเต้นไหวนั้นทอดมองมาเช่นเดียวกับนัยน์ตาวาววามราวกับลูกปัดของเจ้าการาเวนบนไหล่ อาโลอิสมองสบตาของทั้งคู่ ใบหน้าที่สงบนิ่งแลดูเฉยชาค่อยคลี่รอยยิ้มบางเบา..

 

 

                "...ข้าทราบดี"

 

 

                เซดิสหันหลังกลับไปเดินนำอีกครา ปลายนิ้วสีขาวที่ประดับด้วยเล็บมือสีดำสนิทเอื้อมไปลูบขนเจ้าการาเวนตัวไหล่บนไหล่เบาๆคล้ายกำลังเหม่อลอย

 

 

                 "...พิษของความรัก.." น้ำเสียงเรียบเรื่อยนั้นเอ่ยออกมาแผ่วเบา "...ก็โหดร้ายเฉกเช่นนี้แหละ อาโลอิส"

 

 

                 "...หัวใจที่เคลื่อนไหวแล้ว ไม่อาจมีสิ่งใดหยุดได้กระทั่งความตาย.." ดวงตาสีทับทิมมองไปยังเถากุหลาบสีสดบนผนัง คล้ายกำลังระลึกถึงบางสิ่ง..

 

 

                "............."

 

 

                "ช่างโง่งมเสียจริง"

 

 

                สิ้นเสียงกล่าวคล้ายจะรำคาญของผู้เป็นนาย ปีกของการาเวนตัวใหญ่นั้นก็สะบัดไหว มันเปลี่ยนที่มั่นจากไหล่ของเซดิสมายังไหล่ของตน น้ำหนักที่มากพอดูทำให้ไหล่ผมบางไหวยวบ แต่เนื้อตัวของมันก็อุ่นจนต้องเอื้อมมือไปสัมผัสเพียงเเผ่วเบา

 

 

                "แม้ข้าจะเป็นนายเจ้า แต่การตัดสินย่อมต้องเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรม" เซดิสก้าวไปถึงปากอุโมงค์ใหญ่ แสงสว่างที่ทอลอดเข้ามานั้นเจิดจ้าเสียจนแสบตา หากแต่อาภรณ์สีดำสนิทและเส้นผมสีขนกาก็ไม่ได้ถูกกลืนกินไปแต่อย่างใด "เมื่อเจ้าต้องการจะอยู่ต่อไป โทษทัณฑ์ที่ได้ ย่อมต้องสมน้ำสมเนื้อกัน"

 

 

                 "ข้าทราบดี" อาโลอิสเอ่ยปากรับคำเบาๆ ดวงตาไร้ร่องรอยหวั่นไหว เช่นเดียวกับใบหน้าที่ยังคงเรียบเฉยไม่อนาธรสิ่งใด แม้เสี้ยวหนึ่งในหัวใจ จะมีความกังวลแผ่ตัวลงมาอย่างเบาบาง

 

 

                "....เช่นนั้นก็จงเดินหน้าเข้ามา"

 

 

                 ...เพื่อเผชิญกับความจริง

 

 

                แม้ผุ้เป็นนายไม่เอ่ยปาก แต่อาโลอิสก็พอจะรับรู้ ฝ่าเท้าของเทพบุตรผู้ที่บัดนี้มีทั้งปีกสีขาวและสีดำสนิทจึงก้าวไปเบื้องหน้า ฝ่าเท้าเปล่าเปลือยนั้นยังคงรับรู้ถึงกระแสความอุ่นวาบจากพื้นพิภพที่ตนเดินทางมา หากแต่เมื่อสิ้นสุดทางเดิน และมองเห็นเพียงแสงสว่างสาดจ้า ฝ่าเท้าที่ก้าวผ่านออกไปยังอาณาจักรแห่งสีขาวสะอาดตา สัมผัสได้ถึงพื้นหญ้าอันเย็นเฉียบราวกับน้ำเเข็งเช่นเดียวกับดวงตาของเหล่าเทพบุตรปีกสีขาวที่จ้องมองมายังร่างของตนไม่วางตา

 

 

                  ...ถึงเวลา

 

 

                คืนทุกสิ่งกลับไปเสียที

 

 

++++++++++++++++++++++++++++

 

 

 

พาร์ทนี้ขึ้นมาแฟนตาซีเต็มที่แล้ว ทั้งตอนมีแต่อาโลอิสกับคุณเจ้านาย ฮ่าา

 

ที่จริงที่เซดิสไปทำตัวลับๆล่อๆใส่ลูกน้องเพราะต้องการช่วยสินะ โถ..แต่ดันทำเขากลัวซะงั้น

 

//เป็นอิชั้นก็กลัวค่ะ ก็เล่นทำตัวน่าสงสัยขนาดนั้น 555 #เซดิสถีบคว่ำ

ส่วนตอนต่อไปจะเป็นยังไง โปรดติดตามค่ะะ

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Lost 25 : ฟาราส และ คีเรส

 

 

                สีขาว เบื้องหน้าคือสีขาวและแสงสว่างเจิดจ้าเสียจนแสบตา อาโลอิสกระพริบตาช้าๆ รู้สึกมึนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพบว่าตนนั้นได้ยืนอยู่ ณ รอยต่อของเส้นทางระหว่างความมืดกับแสงสว่าง จุดผ่านหลังเดินออกมาจากอุโมงค์อันปกคลุมด้วยเถากุหลาบงดงามคือทุ่งหญ้าและท้องฟ้าที่เปิดกว้าง แสงสว่าง..สิ่งที่ผู้ซึ่งอยู่ใต้พื้นพิภพอันมีแต่เพียงปราสาทสีดำทะมึนและเสียงของน้ำหยดกระทบแผ่นหินไม่อาจพบเจอ บัดนี้คือหนึ่งเดียวกับสถานที่ซึ่งตนเหยียบย่างและผู้คนรอบกาย

 

                นัยน์ตาสีทับทิมกวาดมองโดยรอบช้าๆ ไม่รู้สึกแปลกใจหรือประหลาดใจแม้แต่น้อย เมื่อมองเห็นร่างของเทพบุตรผมสีทอง ดวงหน้างดงามและดวงตาสีท้องฟ้าผู้นั้น ใบหน้าซึ่งตนเคยเป็นเจ้าของ บัดนี้เมื่อเป้นผุ้จ้องมองแล้วรู้สึกประหลาดตาไม่น้อย เช่นเดียวกับท่าทีของอีกฝ่าย อาการหวาดกลัวและดวงตาที่ฉายแววหวาดหวั่นยามเมื่อตนได้สบตานั้นบ่งบอกว่าความทรงจำอันเลวร้ายนั้นยังคงติดตรึง และหาได้แปลกใจ เมื่อได้มองเห็นปลายนิ้วและฝ่ามือของเทพบุตรผู้มีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนและใบหน้าอันเคยคุ้นนั้นบีบกระชับและคอยเกาะกุมไว้ไม่ห่าง

 

                ภาพที่ตนเคยคุ้น เคยมองเห็นยามจ้องผ่านกระจกสะท้อน บัดนี้ชัดเจนอยู่ต่อหน้า เฉกเช่นเดียวกับความจริงที่ไม่อาจหลีกพ้น

 

                ไม่ว่าวิญญาณคือใคร เพียงผู้เดียวที่ไคลน์จะอยู่เคียงข้าง คือเทพบุตรผมสีทอง ดวงตาสีฟ้าผู้นั้น..

 

                ไม่มีเงาใดสะท้อนภาพของตน...

 

                 "มาแล้วหรือ" น้ำเสียงทุ้มลึกแปลกหูดังขึ้น ทำให้ต้องหันไปมองหาที่มา อาโลอิสมองบุรุษหนึ่งที่ตนไม่เคยคุ้น ชายผู้อยู่ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์เช่นเดียวกับเทพอีกสององค์ที่เหลือ หากแต่มีดวงตาสีน้ำเงินเป็นประกายลึกล้ำ แฝงรัศมีแห่งอำนาจ ดวงหน้าเข้มราวกับรูปสลักเต็มไปด้วยความขึงขังและจริงจังอยู่ในที เส้นผมสีเงินเจือสีทองจางๆแปลกตา ยามเมื่อถูกจ้องมองมา อาโลอิสรู้สึกราวกับถูกสำรวจลึกถึงจิตวิญญาณ

 

                 "...ไม่ตอบ พูดไม่ได้กระนั้นหรือ?" เสียงทุ้มต่ำนั้นเอ่ยถาม ดวงตาสีไพลินยังคงจ้องมองมาไม่ละสายตา

 

                 "ขออภัย..." ค้อมศีรษะลงน้อยๆ รับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่านี่คือผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย "ข้า...อาโลอิส"

 

                 "....คนของเจ้า..เซดิส" บุรุษผู้นั้นเอ่ยถาม พลางปรายตามองไปยังผู้เป็นนายของตน อาโลอิสจ้องมองเซดิสที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากชายผู้นั้น สบมองดวงตาสีเพลิงที่เต้นไหวระริกอย่างเงียบเชียบ อาภรณ์สีดำสนิท รวมทั้งเส้นผมจรดปลายเล็บ ช่างดูผิดแผกและแตกต่างจากชายผู้อยู่ในอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ที่ยืนอยู่ข้างกายนัก

 

                 ...ดั่งสีขาวและสีดำ ที่ไม่มีวันหลอมรวม..

 

                "ของข้า...ใช่" ผู้เป็นนายรับด้วยน้ำเสียงเย็นระเรื่อย "อาโลอิส...นี่คือ...คีเรส ผู้เป็นนายของพวกเขา และเป็นผู้ตัดสินเรื่องราวในครานี้ ร่วมกันกับข้า"

 

                 สิ้นคำ อาโลอิสก็น้อมตัวให้การเคารพขณะที่รู้สึกถึงน้ำหนักที่หายไปจากหัวไหล่ การาเวนตัวโตที่เคยเกาะอยู่ บัดนี้โผคืนกลับไปยังเจ้าของนั่นก็คือเซดิส และเมื่อน้ำหนักนั้นหายไป ก็พลันรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่แทรกผ่านมาอย่างเงียบๆ ความหนาวเหน็บและเย็นเยียบอย่างประหลาดค่อยไต่ลามมาจากปลายเท้าสู่ทั้งร่าง รับรู้ได้ถึงความเย็นเยือกและชาหนึบ ราวกับรอยอุ่นยามเมื่อสัมผัสแผ่นหินนั้นได้หายไปและใต้ผืนหญ้าสีเขียวราวกับแก้วใสคือแผ่นน้ำแข็งหนาชวนสะท้านทั่วสรรพางค์กาย

 

                เพราะคีเรสอย่างนั้นรึ? ความสงสัยวาบผ่านทำให้เงยหน้าขึ้นไปสบมองดวงตาคู่นั้น หากแต่ไม่นานก็รู้ว่าไม่ใช่ นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่นั้นแม้จะวาววับด้วยอำนาจและความเด็ดขาด หากแต่ก็ไร้ความชิงชังหรือสิ่งใด เช่นเดียวกับฟาราสและไคลน์..ที่แม้จะรู้สึกขุ่นเคืองตนเพียงใดก็คงมิกล้า และคงไม่ใช่เซดิส คำตอบเดียวของความหนาวที่เข้ามาปกคลุมกาย คงเป็นเพราะสีดำ..ไม่คุ้นชินกับที่แห่งนี้ เมื่อครู่ที่มีกาของเซดิสเกาะบนไหล่ตนยังไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง แต่เมื่อมันได้จากไป อาโลอิสก็พลันสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอของตน

 

                 ..เหตุเพราะแย่งชิง และถูกนำกลับคืนไป วิญญาณถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงได้อ่อนแอและไร้พลัง

 

เฉกเช่นเดียวกับที่เซดิสเคยบอกไว้ หากครั้งนี้ต้องจากไป...จะสูญสลาย ชั่วนิรันดร์   

 

                 "จะเงียบช้าอยู่ไย.." ครู่ใหญ่ที่ทั้งหมดนั้นเพียงแต่นิ่งไม่เอ่ยคำ เซดิสจึงเปรยขึ้นมาเงียบๆ "ถึงเวลาตัดสิน และนำของที่แย่งเอามา..คืนไปแล้วมิใช่หรือ"

 

                "นั่นคือลูกน้องของเจ้ามิใช่รึ" คีเรสหันไปถาม..คล้ายแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ต่อต้าน

 

                 "แล้วอย่างไร..อาโลอิสคือของข้า ขณะเดียวกันมันก็ทำผิด เจ้าต้องการให้ข้ากางปีกปกป้องกระนั้นรึ" เซดิสเอ่ยถาม ดวงตาคู่นั้นคล้ายมีรอยขัน

 

                "ของเจ้าไยไม่สอดส่องดูแลให้ดี ถึงมาทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน" นัยยะนั้นแฝงความไม่พอใจเเจ่มชัด

 

                 "....ทุกอย่างเกิดขึ้นจากข้า โปรดอย่ากล่าวโทษท่านเซดิส" ไม่ทันที่ผู้เป็นนายจะเอ่ยปากตอบโต้ อาโลอิสก็กล่าวตัดบทไปเสีย ด้วยตนนั้นไม่อยากให้เซดิสต้องลำบากหรือถูกตำหนิจากเรื่องราวครั้งนี้ ถ้อยคำนั้นทำให้ริมฝีปากของผู้ฟังกระตุกยิ้ม..แลเต็มไปด้วยความพึงพอใจ

 

                 "....เชิญตัดสินกันเสียที" เซดิสเอ่ยช้าๆ น้ำเสียงนั้นยังมีกังวานหัวเราะ "หรือต้องการเอ่ยประณามหยามเหยีดกันให้จบสิ้นเสียก่อน..ท่านเทพผู้มีปีกสีขาวจึงจะถือว่าจบสิ้นพิธีการ"

 

                "...ฟาราส" ดวงตาสีน้ำเงินพราวนั้นเข้มขึ้นด้วยความไม่พึงใจก่อนจะเอ่ยปากเรียกชื่อของเทพบุตรผู้มีผมสีทองที่ตกเป็นเหยื่อผู้นั้น..ฟาราส ซึ่งบัดนี้ก้าวยืนออกมาข้างหน้านั้นอยู่ในรูปลักษณ์เดิมของตน ดวงตาสีท้องฟ้างดงาม ใบหน้างดงามยากจะมีผู้ใดเทียบเคียงและเส้นผมสีทองงามระยับจับตา เป็นเทพบุตรที่งดงามไม่เหลือเค้าของผู้ที่ตนเคยทำร้าย ฉีกกระชากและทรมานเสียจนไม่เหลือซาก

 

                เมื่อคิดถึงสิ่งเลวร้ายที่ตนเคยกระทำต่ออีกฝ่าย อาโลอิสก็พลันหรุบตาลงช้าๆ

 

                 ...รู้ดีว่านี่คือความผิด สิ่งที่ลงมือกระทำไปแล้วนั้นโหดร้ายทารุณอย่างไม่อาจเอ่ยปากค้าน ทำร้ายเทพบุตรผู้งดงามเพียงเพื่อหวังแย่งชิงความรักซึ่งตนไม่อาจเป็นเจ้าของ ทั้งโง่งมและนัยน์ตามืดบอดเสียจนไม่รับรู้และตระหนัก ว่าแม้แย่งชิงมาเพียงใด หัวใจของคนผู้นั้นก็ยังคงรักใคร่หมายปองแต่ฟาราส..ฟาราส

 

                ไม่ว่ามีรูปลักษณ์งดงาม ไม่ว่ามีใบหน้าเป้นเช่นใด แม้เหมือนฟาราสเพียงไหน อาโลอิส ก็ยังคงเป็นอาโลอิส

 

                เป็นปีศาจปีกสีดำ..ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจอยู่ในหัวใจของเจ้าได้เลย

 

                 "...เจ้า ได้ลงมือทำร้ายฟาราส" น้ำเสียงของคีเรสดังแว่วทำให้หลุดออกจากภวังค์ "และช่วงชิงทุกสิ่งของเขา ใบหน้า ดวงตา เส้นผม รูปลักษณ์..รวมทั้งปีกสีขาว ความผิดนี้ เจ้าจะยอมรับหรือไม่"

 

                "ข้ายอมรับ" ดวงตาสีทับทิมกระพริบเชื่องช้า เอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

 

                "บัดนี้ เจ้าได้มอบทุกสิ่งคืนกลับมา แต่ยังเหลืออีกหนึ่งสิ่ง ที่เจ้ายังไม่ได้มอบกลับคืน นั่นคือปีกของฟาราส เจ้าจะยอมรับผิด กล่าวคำขออภัยแก่เขาหรือไม่"

 

                 "...ข้าจะพูด" อาโลอิสหันไปสบมองดวงตาสีฟ้าสว่างของฟาราสเงียบๆ ซึ่งผู้มองตาตนนั้นหลบตาวูบด้วยท่าทีหวาดหวั่น

 

                 "เจ้ารู้สึกเสียใจกับการกระทำเช่นนี้ และจะไม่ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สองใช่หรือไม่"

 

                "ข้าจะไม่ทำอีก" ครานี้อาโลอิสหันไปสบมองดวงตาสีน้ำเงินเข้ม คีเรส..เทพบุตรผู้องอาจและถือได้ว่าเป็นผู้ตัดสินชะตากรรมของตนในยามนี้ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเงียบๆ

 

                 "ที่ได้กระทำทุกสิ่งลงไป..เจ้าเสียใจหรือไม่" คีเรสเอ่ยถามซ้ำ ราวกับรู้ว่ามีบางสิ่งหลงเหลืออยู่

 

                อาโลอิสนิ่งฟังคำถาม ดวงตาสีทับทับทิมละจากนัยน์ตาของคีเรส ไปยังดวงตาของผู้เป็นนาย สบมองรอยยิ้มของเซดิสก่อนจะหันกลับไปจ้องมองดวงตาสีฟ้าสดของฟาราส และ..ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่แสนคุ้นของไคลน์

 

                ความเจ็บปวดเบาบางที่แทรกผ่านขึ้นมาอย่างเงียบงันทำให้ต้องกลืนน้ำลายช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มไหววูบ เป็นครั้งแรกนับจากที่ตนฟื้นสติคืนกลับมาที่ได้สบมองดวงตาของไคลน์อย่างจริงจัง ดวงตาคู่นั้นยังคงเป็นเช่นเดิม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ฉายแววอุ่นหวาน อบอุ่น และอ่อนโยนเช่นเดียวกับที่เคยได้เห็น หากแต่ในยามนี้ มันหาได้มอบให้ตนไม่นัยน์ตาคู่นั้นเพียงปรายตามองตนครู่หนึ่งราวกับรำคาญ แล้วหันจ้องมองไปยังบุรุษที่คนผู้นั้นหลงรัก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตามติดดวงตาสีฟ้า จ้องมองอย่างอ่อนโยนและห่วงใย ไม่เหลือบแลสายตาอันรักใคร่นั้นมามองตนแม้เพียงสักเสี้ยว

 

                ..แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจ ทว่าความเจ็บปวดในใจ ทำให้ริมฝีปากกระตุกไหวและเอ่ยตอบไปแผ่วเบาราวกับกระซิบ

 

                "ไม่"

 

                "เจ้าพูดอย่างไรนะ.." คีเรสถามซ้ำ ราวกับกลัวตัวเองได้ฟังผิด นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองเทพบุตรปีกสีดำผู้เป็นคนตอบ หากแต่ดวงตาและใบหน้านั้นกลับไม่ได้มองมาที่ตนสักเสี้ยว

 

                "ข้า...ไม่เสียใจ" ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นหันกลับมามองในที่สุด อาโลอิสจ้องมองแววตาที่ปรากฏร่องรอยของความฉงนและไม่พอใจซึ่งเข้มขึ้นยามที่ได้ฟังคำตอบออกมาจากปากของเขา "สิ่งที่ข้าทำลงไป ข้าไม่เคยเสียใจสักนิด"

 

                 "กระทั่งยามนี้ เจ้ายังพูดจาเช่นนั้นงั้นรึ?" ไคลน์จ้องกลับ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยแรงโทสะ รู้สึกราวกับตนกำลังถูกท้าทายและยั่วโมโหจากคนที่บัดนี้กลับเป็นเทพบุตรปีกสีดำที่มีใบหน้าเฉยชาและดวงตาสีแดงเข้มยากจะหยั่งถึง

 

                ...สบมองแววตาคู่นั้น มันยังคงจ้องมองมา หากแต่คำตอบของคำถามที่แปร่งหูนัก ทำให้ไคลน์ยิ่งรู้สึกเคืองขุ่น

 

                "คำตอบของข้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง"

 

                 "ท่านคีเรส.." ไคลน์หันไปมองผู้เป็นนาย ใบหน้าตึงขึงด้วยแรงโทสะ "...สิ่งที่ไร้สำนึกเสียใจหรือรู้สึกถึงความผิดใด ผู้นี้กระนั้นรึ ที่ท่านอุตส่าห์สู้นำมันกลับคืนมา!"

 

                 "นั่นเจ้ากำลังพูดถึงข้าอยู่รึเปล่า" เซดิสเอ่ยแทรกขึ้นมาทันควัน น้ำเสียงยังคงเรียบเรื่อย หากดวงตาวาววับด้วยความไม่พอใจ " สิ่งที่ไร้สำนึกและเสียใจกระนั้นหรือ เจ้าอยากได้ไปทำไมงั้นรึ คำกล่าวว่าเสียใจนักหนานั่น"

 

                 "ท่านเคยพูดว่าสีดำต่างก็มีแนวทางของตน แล้วเหตุใด เขาจึงไม่รู้สึกเสียใจแม้สักนิด..เช่นนี้น่ะหรือ ควรแล้วที่จะให้เขาฟื้นคืน" ไคลน์หันไปมองเซดิส เทพบุตรหนุ่มโต้กลับด้วยวาจาอย่างเผ็ดร้อน

 

                "เจ้า....." ริมฝีปากของผู้ฟังกระตุกไหว ดวงตาสีเพลิงนั้นเป็นประกายวาบ "กำลังดูหมิ่นข้าอยู่ ใช่หรือไม่"

 

                "ข้าเพียงแต่อยากให้เขาพูดว่าเสียใจ"

 

                 "แล้วทำไมไม่ถามข้าโดยตรง!" อาโลอิสสวนกลับน้ำเสียงเฉียบขาด วลีห้วนสั้นหากแต่กังวานน้ำเสียงที่ส่อแววอันตรายนั้นบ่งชัด ว่าผู้เอ่ยนั้นเต็มไปด้วยความไม่พึงใจ "..ควรออกปากถามข้ามากกว่าไปกล่าวโทษท่านเซดิสหรือใคร เจ้าต้องการสิ่งใดข้านำกลับคืนไปให้แล้ว อยากได้คำขอโทษข้าก็จะมอบให้ แต่รู้สึกเสียใจหรือไม่ นั่นหาใช่เรื่องที่เจ้าจะมาบังคับ"

 

                 "อาโลอิส...."

 

                "เรียกชื่อข้าเป็นแล้วงั้นรึ ท่านเทพ" นัยน์ตาสีแดงเข้มจ้องกลับยังผู้พูด ดวงตาคุโชนด้วยแรงโทสะ หากใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์เช่นเดียวกับถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากซีดขาว "เจ้าต้องการคำว่าเสียใจไปทำไม นี่คือสิ่งที่้ข้าลงมือทำไปแล้ว ข้ายอมรับ ข้ารู้ว่าผิด ข้าเอ่ยขอโทษ ทุกสิ่งนั้นข้าทำได้ แต่ข้าจะไม่มีวันเอ่ยปากว่าเสียใจ"

 

                "ทุกสิ่งที่ข้าทำนั้นคือสิ่งที่ข้าคิดและไตร่ตรองมาแล้ว แม้จะกระทำไปด้วยดวงตาที่มืดบอดหรือไร้สติ แต่ข้าไม่คิดกลับมาเสียใจภายหลัง ข้าสำนึกรู้แล้ว ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นช่างโง่งมและไร้สาระ แต่ถึงกระนั้น ข้าก็จะขอบอกอีกครั้ง ว่าข้าไม่เสียใจ ไม่ว่าจะเฝ้าถามอีกร้อยพันครั้ง ข้าก็จะไม่เสียใจ เชิญลงโทษ และจัดการตามสมควรได้เลย"

 

                 "ได้คำตอบแล้วใช่หรือไม่" เซดิสยิ้ม นัยน์ตาพราวระยับด้วยความชอบใจนัก "เชิญเจ้า คีเรส.."

 

                "ไม่เสียใจกระนั้นรึ..." ดวงตาสีน้ำเงินหรี่ลงช้าๆ จ้องมองผู้พูดที่ยังนิ่งขึง

 

                "ไม่" อาโลอิสจ้องสบดวงตาคู่นั้น ไม่ยอมละสายตา

 

                 "ในเมื่อคำตอบเจ้าเป็นเช่นนั้น...คุกเข่าลง"

 

                  อาโลอิสคุกเข่าลงเงียบๆ ใบหน้าก้มต่ำ

 

                "ถึงเวลานำปีกสีขาวของฟาราสกลับคืนแล้ว..ข้าคงไม่ต้องพูด..เจ้ารู้ดีว่ามันเจ็บเพียงใด" คีเรสเอ่ยสั้นๆ ขณะที่ผู้ฟังกลืนน้ำลายลงช้าๆ ฝ่ามือขาวซีดกำแน่น วางแนบอยู่ข้างลำตัว ขณะที่ดวงตาหรุบต่ำ รอรับเอาความเจ็บปวดที่ตนรู้ดีว่าจะเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ

 

                ....แม้จะเจ็บ หากชายหนุ่มก็รู้ มันเจ็บ...ยังไม่เท่าเจ็บที่หัวใจ

 

                คำพูดของไคลน์เมื่อครู่ยังดังอยู่ในหัว...สิ่งที่ไม่รู้สึกถึงความเสียใจ ไม่สำนึกผิด ไม่สมควรให้ฟื้นคืนกลับมาเสียด้วยซ้ำ

 

                ที่แท้...เจ้าก็ล้วนปรารถนาให้ข้าสลายกลับคืนไป

 

                แท้จริงแล้ว..เจ้าก็เกลียดชังข้ามาตลอด ใช่หรือไม่..

 

                หรุบตาลงช้าๆ นัยน์ตาสีดำเข้มไหวระริก แม้จะรู้ จะทราบดีว่าชายหนุ่มนั้นโกรธเกลียดตนเพียงใดที่ทำร้ายคนรักและแย่งชิงทุกสิ่งของฟาราสมา แต่กระนั้น..อาโลอิสก็ยังคงแอบคิด และหวังไว้อย่างเงียบๆ หวังเพียงว่าไคลน์นั้นจะรับรู้ถึงความรู้สึกในใจตนได้ไม่มากก็น้อย อ้อมแขนแกร่งและสัมผัสร้อนแรงท่ามกลางสายฝน กังวานน้ำเสียงที่แฝงร้อยเศร้าอาลัยยามที่ตนได้จากไปยังติดตรึง..

 

                 แต่ในยามนี้...ไคลน์ กลับกลายเป็นคนที่เอ่ยปากว่าอาโลอิสไม่ควรจะกลับมาอีก

 

                ใช่ ...ข้าไม่ควรกลับมา ไม่ควรกลับมาทำให้เจ้าขุ่นเคืองใจ ไม่ควรจะกลับมา ให้ฟาราสของเจ้าหวาดกลัว และไม่ควรกลับมาเป็นอาโลอิสที่เจ้าชังน้ำหน้านักหนา

 

                ไม่ควรคิดยินดียามได้พบหน้า และไม่ควรหวังว่าเจ้าจะหันกลับมามองด้วยดวงตาที่ฉายความรักใคร่คู่นั้น

 

                 ...ข้าไม่ควรกลับมาเลยจริงๆ

 

                ความเจ็บปวดในหัวใจแผ่ซ่านซึมลึกเช่นเดียวกับความเจ็บปวดจากแผ่นหลัง ร้อน...ทั้งร้อนและเจ็บแสบเหลือทนยามที่ปีกถูกฉีกกระชาก แม้จะไม่ใช่ของตน แม้จะเป็นสีขาว..เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับเทพบุตรปีกสีดำอันแสนน่าชัง แต่เมื่อมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายแล้ว ปีกข้างหนึ่งที่ถูกกระชากดึงออกไปก็ยังความเจ็บปวดและทรมานเหลือแสนมาให้

 

                 เจ็บ...เจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บเสียยิ่งกว่าในความฝัน ความเจ็บนี้ และความทรมารนี้คือสิ่งที่ฟาราสได้รับ อาโลอิสตระหนักรู้และซึมซับเข้าใจมันอย่างช้าๆ ท่ามกลางระยะเวลาแห่งความเจ็บปวดที่ดำเนินไปราวกับชั่วกัลป์ ฝ่ามือซึ่งกำแน่นอยู่ข้างตัวไม่ได้ขยับไหว ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันแน่น ระงับเสียงกรีดร้องและครวญครางด้วยความเจ็บปวดของตนไว้ด้วยความอดทน

 

                 ปิดตาลง ครุ่นคิดถึงความทรงจำที่เคยมีร่วมกันและบอกย้ำตนเองซ้ำๆถึงความจริงที่ตนได้รับรู้ ทุกอย่างที่เคยผ่านผันยามเป็นมนุษย์ ครึ่งหนึ่งนั้นคือคำโกหก อีกครั้งนั้นคือความห่วงหาที่มีมอบให้กับใบหน้าและดวงตาของฟาราส สำหรับอาโลอิสแล้ว มีเพียงความชิงชังและโกรธเคืองที่มาร้ายคนสำคัญของตน..ไม่ว่าจะอย่างไร จะผ่านไปนานแค่ไหน ไคลน์ก็ยังคงคิดเช่นนั้น

 

                ความเจ็บร้าวในหัวใจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่คอยฉุดรั้งไม่ให้เฝ้าจมอยู่กับความทรมานจากปีกที่ถูกฉีกกระชากออกไป หัวไหล่ที่สั่นระริกไหวคอยพยุงร่างกายไม่ให้ทรุดฮวบลงด้วยความเจ็บปวดเหลือคณา

 

                ความเจ็บนี้สาสมแล้วเพราะเขาเคยทำกับอาโลอิส กระนั้น ในชั่วเวลาที่เจ็บปวดเสียจนทนไม่ไหว อาโลอิสอดเปรียบเทียบไม่ได้ ว่าด้วยเหตุใด ความเจ็บในหัวใจจึงต้องมาตอกย้ำให้เจ็บกายมากยิ่งไปกว่าเดิม

 

                ...เพราะเจ้ารักคนที่เขาไม่มีวันหันมามอง

 

                คำตอบดังขึ้นราวกับเสียงกระซิบอันแสนเบา ความจริงที่ตนรับรู้หากแต่ก็ไม่อยากจะยอมรับ บอกให้ปิดประตูความหวังอันเลือนรางและโง่งมนั้นไปเสียที

 

                ...ไม่มีวันเป็นจริง

 

                เสียงกระซิบอันไร้ที่มานั้นเฝ้าเตือนย้ำๆซ้ำอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งสติอันเลือนรางค่อยดับวูบไป...

 

 

+++++++++++++++++++++++

 

 

                 "ข้าว่าไม่ควรใช้เขา"

 

                 "แล้วเจ้าจะให้ใครทำงั้นรึ?"

 

                 สรรพเสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางสติอันเลือนรางยังไม่ก่อรูปชัดเจนทำให้ต้องขมวดคิ้วช้าๆ ทบทวนเรื่องราวต่างๆเงียบๆพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดบางเบาที่สะบัดไหล่ด้านซ้าย ความทรงจำที่ผุดพรายขึ้นมาอย่างเงียบๆนั่นทำให้ดวงตาสีทับทิมเปิดออกในที่สุด

 

                 "ฟื้นแล้วหรือ?" น้ำเสียงเย็นระเรื่อยคุ้นหู คือเซดิสไม่ผิดแน่ ผู้ฟังพยักหน้าช้าๆ รู้สึกมึนงงและเบลอพร่าเกินกว่าจะเอ่ยคำใด ทว่าสิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ คือตนกำลังทรุดตัวนอนแน่นิ่งพิงอยู่ที่โค้นต้นไม้เบื้องหลังเซดิสนั่นเอง

 

                อาโลอิสผุดตัวลุกขึ้นช้าๆ รับรู้ว่าตนนั้นหมดสติเนื่องจากความเจ็บปวดที่เกิดจากกระนำปีกสีขาวคืนแก่ฟาราส แผ่นหลังที่ยังคงความเจ็บปวดและร้อนวาบพร้อมทั้งน้ำหนักที่หายไปนั้นบ่งชัดถึงความจริงที่รู้ ดวงตาสีทับทิบกวาดมองทั่วกาย รู้สึกแปลกใจ ทั้งยังงวยงงว่าไคลน์และฟาราสผู้ควรจะหมดธุระกับตนแล้ว เหตุใดจึงยังคงอยู่

 

                ความหนาวเหน็บที่เกาะกินทั่วกายมากเสียยิ่งกว่าเดิมทำให้อดสะท้านไม่ได้ ปีกที่ถูกนำไปนั้นหมายถึงพลังที่ลดน้อยลงไปด้วย อาโลอิสรู้สึกขอบใจที่เจ้าการาเวนตัวใหญ่โผปีกเกาะลงบนไหล่เงียบๆ เพราะมันช่วยขจัดปัดเป่าความเหน็บหนาวที่ตนเผชิญอยู่ได้เป็นอย่างดี

 

                "อาโลอิส" เสียงของเซดิสดังขึ้นทำให้ต้องหันไปมอง "เจ้าจำได้...ถึงเสียงนั้น ที่ข้าเคยกล่าวถึงหรือไม่?"

 

                 "..........."อาโลอิสพยักหน้ารับเงียบๆ พลันประหวัดนึกถึง "เสียง" ที่เซดิสว่า เสียงของอสูรร้ายใต้ขุมนรก เสียงของเจ้าปีศาจร้ายที่เกิดจากจิตใจอันชั่วร้ายของมนุษย์ที่มันค่อยก่อร่างสร้างตัวเกิดเป็นอสูรที่เติบใหญ่ได้ด้วยความตาย หายนะ และสงครามที่มนุษย์ในโลกเบื้องบนเป็นผู้ก่อ..

 

                หรี่ตาลงช้าๆ...ยามนึกถึงสถานการณ์ในโลกที่ตนจากมา สงครามของมนุษย์..ฝรั่งเศส เยอรมัน โปแลนด์

 

                สงครามใหญ่...ทำให้เกิดเป็นอสูรร้ายทื่ใหญ่ยักษ์และมากฤทธิ์ตามไปด้วย

 

                "ครั้งที่แล้ว...ข้าได้เจ้าเป็นผู้ช่วยปราบมัน" เซดิสเอ่ยช้าๆ "แล้วครั้งนี้ เจ้าจะช่วยข้าอีกได้หรือไม่?"

 

                "แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว มันตัวใหญ่ขึ้นมา และ...เขาอ่อนแอลง"คีเรสเอ่ยท้วง นัยน์ตาสีน้ำเงิน จ้องมองมาที่ตนอย่างคล้ายเป็นกังวล

 

                "เจ้าทำไม่ไหวรึ อาโลอิส?"

 

                 "ข้าทำได้" อาโลอิสตอบสั้น ไม่ว่าจะมีสภาพกายเป็นเช่นไร หากมันคือหน้าที่ เขาก็จะลงมือทำ

 

                  "...เจ้าคิดดีแล้วรึ เซดิส" คีเรสหันไปเอ่ยถาม เซดิสเลิกคิ้วน้อยๆ ท่าทีขบขันก่อนจะหัวเราะ

 

                "แล้วตัวเจ้าล่ะ คิดดีแล้วหรือ.." เซดิสปรายตามองเทพบุตรอีกสองตนที่ยืนอยู่ "ทั้งไคลน์ ฟาราส และอาโลอิสล้วนแต่มีเรื่องวิวาทเกี่ยวข้องกันมา จะจับพวกเขาไปทำภารกิจร่วมกัน มันจะเป็นผลดี รึผลเสียกันแน่.."

 

                อาโลอิสได้ฟังแล้วชะงัก หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอีกครั้ง นัยน์ตาสีทับทิมตวัดไปจ้องมองทั้งไคลน์และฟาราส เขาสบมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่จ้องมองมาก่อนแล้วด้วยท่าทีคล้ายกำลังรู้สึกกังวล ก่อนจะเบือนหน้าหนี

 

                 "..เหตุเพราะพวกเขามีเรื่องวิวาทจึงควรให้ทำงานร่วมกัน จะได้กลับมากลมเกลียวกันอีกครั้ง เจ้าคงไม่อยากให้เรื่องราวร้าวฉานกันมาขึ้น" คีเรสเอ่ยถึงจุดประสงค์ของตนอย่างเคร่งขรึม

 

                "...คิดเช่นนั้นรึ" เซดิสเอ่ยถามคล้ายจะขบขัน ดวงตาสีเพลิงมองสบนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม เจือรอยขบขันบางเบา "ช่างมองอะไรได้งดงามเหลือเกิน...ท่านคีเรส"

 

                 "....รึจะให้เหยียดหยันทุกสิ่งเช่นเจ้า..ท่านเซดิส"

 

                 อาโลอิสจ้องมองผู้เป็นนายทั้งสองที่นิ่งงันไปครู่และหันมาจ้องมองกันด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรอย่างครุ่นคิด นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงช้าๆ ใคร่ครวญและตระหนักถึงสิ่งที่ตนเองต้องทำ ในขณะเดียวกัน ก็รับรู้ถึงความอ่อนแอของตนไปด้วย

 

                เหลือปีกสีดำเพียงข้างเดียว ไร้กำลัง ไร้พลังใดๆ...

 

                  ...ทั้งยัง ให้ไปพร้อมกับไคลน์และฟาราส

 

                นี่คือบทลงโทษที่ตนต้องเผชิญงั้นหรือ..

 

                 "ข้าตัดสินใจไปแล้ว.." เสียงของเซดิสดังขึ้นทำให้ตนละออกจากภวังค์อีกครา "ข้าไม่ต้องการให้คนอื่นไป นอกจากอาโลอิส ไม่ว่าจะได้รับการยอมรับ หรือไม่"

 

                 "...หากเขาลงมือทำร้ายฟาราสอีก"   

 

                "ทำร้ายรึ?" ดวงตาของเซดิสตวัดมามองที่ตนก่อนจะหัวเราะขัน "หากพวกเจ้าอ่อนแอและโง่งมเสียจนถูกทำร้ายด้วยเทพที่เหลือเพียงปีกข้างเดียว ก็จงอย่าได้หวังจะกำหราบอสูรกายตนนั้นได้เลย"

 

                 "เซดิส"

 

                "...รึไม่ใช่เรื่องจริง อาโลอิสของข้าอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะไปทำร้ายผู้ใดได้"

 

                "...แล้วมิห่วงใยอาโลอิสของเจ้าจะถูกอสูรร้ายเขมือบเอารึเอย่างไร" ดวงตาของคีเรสตวัดมองยามเอ่ยถึงชื่อตน หากอาโลอิสจับได้ถึงนัยยะความไม่พอใจลึกซึ้ง และไม่ทราบว่าเป็นเพราะการกระทำของตน..หรือเพราะเหตุใดกันแน่

 

                "...ของๆข้าเข้มเเข็งมากกว่าที่ท่านคิด" ริมฝีปากของเซดิสยิ้มบาง..หากแฝงแววไม่พอใจเฉกเดียวกัน อาโลอิสจ้องมองผู้เป็นเจ้านายตนที่เฝ้าทุ่มเถียงกับคีเรสด้วยความไม่เข้าใจ อยากจะเอ่ยปากถาม หากแต่กรงเล็บสีเข้มของเจ้านกตัวใหญ่บนไหล่จิกแน่นราวกับรู้เท่าทัน เป็นผลให้ตนเงียบลงเสีย

 

                 "และอีกอย่าง...นี่ก็ถือเป็นบทลงโทษหนึ่ง"

 

                  "ลงโทษ?"

 

                 "บทลงโทษในฐานะที่เจ้าได้ทำสิ่งที่โง่งมลงไป อาโลอิส..." ดวงตาของเซดิสฉายความรู้สึกบางสิ่ง เมื่อเจ้าตัวได้เอ่ยคำ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาที่ตน เฉกเดียวกับดวงตาของคีเรส ฟาราสและไคลน์  "ในยามนี้เจ้าอ่อนกำลังและมีความผิดติดตัว ดังนั้น นี่จะเป็นภารกิจที่ข้าจะมอบให้เจ้าทำ"

 

                "หากเจ้าปราบอสูรร้ายตัวนี้ได้ เจ้าจะได้รับปีกและพลังของตนกลับคืนมา แต่หากไม่ได้..เจ้าก็ต้องหายไปชั่วนิรันดร์"

 

++++++++++++++++++++++

 

ตอนนี้เปิดตัวฟาราสและเจ้านายของไคลน์ จริงๆฟาราสออกมาไม่ใช่เท่าไหร่ รอได้ไปตีมอนด้วยกันคงชัดกว่านี้ #ตีมอนอะไรของหล่อน

จะเริ่มภารกิจกันแล้ว ติ๊ต่างว่าอสูรกายที่ต้องไปปราบ ก็เกิดจากมนุษย์นี่แหละ

ถ้าสังเกตุวันเวลาจะเห็นว่าช่วงที่เอนีลตายคือเริ่มสงครามโลกครั้งที่สองพอดี โลกมนุษย์ตีกัน ในนรกในสวรรค์ก็ด้วย

ดังนั้นเมื่อกลับมาเป็นอาโลอิส ก็เลยถึงคราวไปปราบนั่นเอง

ส่วนตอนต่อไปจะขนอีกหนึ่งหล่อมาเสริมทัพ //อะไร ไว้เจอกันค่าาาา*0*/

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
«ตอบ #53 เมื่อ16-07-2014 21:31:40 »

Lost 26 : เซธ

 

 

            "หากเจ้าปราบอสูรร้ายตัวนี้ได้ เจ้าจะได้รับปีกและพลังของตนกลับคืนมา แต่หากไม่ได้..เจ้าก็ต้องหายไปชั่วนิรันดร์"

 

                 "จะรับเงื่อนไขนี้หรือไม่ อาโลอิส?"

 

              ...ข้ามีสิทธิเลือกปฏิเสธด้วยหรือ?

 

                อาโลอิสจ้องมองผู้เป็นนาย สบมองดวงตาที่มีเปลวไฟไหวระริกของเซดิส ริมฝีปากสีจางนั้นยังคงแย้มรอยยิ้มรื่นเริงแสนคุ้นตาแม้กำลังเอ่ยปากเสนอทางเลือกที่เป็นดั่งชะตากรรมอันไม่อาจปฏิเสธให้แก่คนของตน นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำ..อาโลอิสรู้ดีและไม่คิดจะกล่าวโทษใดๆต่อคำสั่งที่ได้รับ สำหรับเซดิสแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือผู้ใด การรับผลตอบแทนในสิ่งที่ตนกระทำลงไปแล้วนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีการบิดพลิ้ว ไม่มีการลดหย่อนผ่อนปรนใดๆ แม้จะเป็นสีดำ หากแต่เจ้าตัวนั้นยุติธรรมยิ่ง

 

                 ..แต่กระนั้น ข้อเสนอนี้ของผู้เป็นนาย ดูจะแฝงนัยยะบางสิ่ง

 

                 "ว่าอย่างไร อาโลอิส.." เซดิสยังคงยิ้มบาง พลางจ้องมองมาเงียบๆ หากนัยน์ตาสีเพลิงคู่นั้นแฝงด้วยท่าทีครุ่นคิด..

 

                 "พวกเขาจะยอม.รับภารกิจนี้กับข้าหรือ?" อาโลอิสเอ่ยถาม ดวงตาจ้องมองตรงไปยังไคลน์และฟาราสด้วยท่าทีข้องใจเด่นชัด หนึ่งยังคงมีท่าทีหวาดหวั่นและอีกหนึ่ง..ดูเคร่งเครียดและไม่พอใจอยู่ในที

 

....ตัวเขาได้ทำร้ายคนรักของไคลน์ ทำร้ายฟาราสลงไป แล้วตอนนี้..ผู้เป็นนายของทั้งสอง ได้ออกปากให้ร่วมทำภารกิจด้วยกัน จะเป็นไปได้หรือ?

 

                  และหากภารกิจนี้เป็นเช่นที่เซดิสเอ่ย..ไคลน์และฟาราสคงมิต้องการให้ตนกลับมามีพลังเช่นเดิม ใช่หรือไม่

 

                   ...ในเมื่อมีท่าทีรังเกียจเดียจฉันท์เช่นนั้น คงไม่ต้องการกระทั่งจะมองหน้ากันมิใช่หรือ

 

                    "...ข้ารับ" เสียงห้าวทุ้มของไคลน์ดังขึ้นแทรกความคิด หากคำตอบของมันทำให้อาโลอิสนิ่งไปอย่างไม่อาจเข้าใจ ดวงตาสีทับทิมมองสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ฉายแววกังขาและงวยงงชัดเจน

 

                ...เมื่อครู่เจ้าคือคนที่ออกปากว่าไม่อยากให้ข้ากลับมา แต่บัดนี้ เจ้ากลับรับปากไปทำภารกิจร่วมกันกับข้า

 

                ทุกสิ่งหมายความว่าอย่างไร?

 

                 "ไคลน์..." ไม่ใช่แค่ตนที่งวยงง ฟาราส เทพบุตรผู้งดงามตนนั้นก็ด้วย ปลายนิ้วเรียวงามเกาะอยู่บนต้นแขนของคนรักพลางเอ่ยท้วงด้วยสีหน้ากังวลใจ คนผู้นี้มิได้กลัวว่าตนจะได้พลังกลับมา หากแต่อาโลอิสรุ้ ฟาราสยังคงหวาดกลัวตนเองฝังใจ จึงมิอยากอยู่ใกล้กันแม้เพียงชั่ววัน

 

                  ข้อเท็จจริงนี้มีหรือไคลน์ผู้เป้นคนรักของอีกฝ่ายจะไม่ทราบ หากแต่ดวงตาคู่นั้นยังคงจ้องมองมา ไม่หันกลับไปมองคนรักของตนแม้นสักนิด

 

                "นี่เป็นภารกิจ...ไม่ว่าผู้ใดจะได้ หรือเสียประโยชน์ เมื่อมีคำสั่งมา ข้าก็ต้องทำ" ฝ่ามือนั้นเอื้อมจับปลายนิ้วเรียวของคนรักแล้วบีบเบาๆราวกับให้กำลังใจ แต่ดวงตายังไม่ละสายตาจากนัยน์ตาของตนแต่อย่างใด อาโลอิสหรี่ตาลงน้อยๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแทรกซึมเข้ามาอย่างแผ่วเบายามได้เห็นท่าทีอารีที่คู่รักมีแต่กัน กระนั้นตนก็ยังฝืนจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง

 

                ทำเพราะคือคำสั่ง หาได้สนใจว่าทำตามคำสั่งนั้นร่วมกับใคร ใช่หรือไม่..

 

                "...ข้าควรถามเจ้า อาโลอิส มีเรี่ยวแรงพอรึ ที่จะทำตามคำสั่งของนายเจ้าได้"

 

                 "...ข้าทำได้" ริมฝีปากสีจางเม้มเข้าหากันน้อยๆ เอ่ยตอบสั้น ใบหน้าเชิดขึ้นน้อยๆด้วยความไม่พอใจ การจะมาถามว่าตนมีกำลังพอหรือไม่ หาได้ต่างกับการหยามหมิ่น "แม้ข้าจะเหลือเพียงปีกข้างเดียว รึง่อยเปลี้ยเสียขาอย่างไร ข้าก็ทำได้"

 

                ..หาได้อ่อนแอ และต้องก้มลงร่ำไห้ครวญครางเมื่อถูกผู้เป็นที่รักเหยียบย่ำทำร้ายจิตใจ

 

                อาโลอิสที่เคยร้องไห้อยู่กลางสายฝน เคยขอร้องให้เจ้าโอบกอดและรักเขาแม้เพียงชั่วเวลาหนึ่ง..ข้าจะไม่ทำตัวโง่งมเช่นเดิมอีกแล้ว

 

                "ปากนั้นจะพูดอย่างไรก็ได้" ไคลน์หรี่ตาลงน้อยๆ "แต่ความจริงคือ..เขากำลังอ่อนแอและ..ไม่มีกำลังเพียงพอ"

 

                "...ข้า"

 

                "ข้าเห็นด้วย...เจ้าในยามนี้จะปฏิบัติภารกิจสำเร็จรึ" คีเรสเอ่ยแทรกขึ้นมาเงียบๆ พลางจ้องมองไปยังเซดิส"เสนอขึ้นมาเช่นนี้ ดูราวกับว่าเจ้ากำลังส่งคนของตนไปพบจุดจบ.."

 

                "ข้าได้พูดหรือ ว่าจะให้เขาไปเพียงผู้เดียว" เซดิสเอ่ยแทรกบนสนทนาขึ้นมา ขณะที่เจ้านกสีดำบนไหล่ของอาโลอิสกระพือปีกไหว "พวกเจ้าไปกันสองคน ฝั่งของข้าก็ต้องสองตน..เท่าเทียมกัน เช่นนี้จึงยุติธรรม"

 

                "แล้วใคร..คืออีกหนึ่ง" คีเรสเอ่ยถาม "ณ ที่นี้ไม่มีเทพองค์ใดเสนอตัวขึ้นมาอีกแล้ว..และคงมิใช่เจ้ากระมัง"

 

                "แม้การเดินทางไปปราบอสูรร้ายนั้นจะน่าสนใจ แต่ข้าหาได้ว่างงานเสียปานนั้น" เซดิสหัวเราะ ดวงตาสีเพลิงจ้องสบเนตรสีน้ำเงินเข้มก่อนที่ริมฝีปากบางจะกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

 

                 "เซธ" น้ำเสียงเย็นระเรื่อย เอ่ยนามของสิ่งหนึ่งเพียงแผ่วเบาหากหนักแน่นนัก สิ้นคำนั้นการาเวนตัวโตก็โผไปเกาะท่อนแขนของเซดิสที่ยกขึ้นช้าๆ ดวงตาวาววับราวกับลุกปัดของมันจ้องมองไปทั่ว ขณะที่ปีกอันใหญ่โตกระพือไม่หยุดแม้จะเกาะอยู่บนท่อนแขนของผู้เป็นนายแล้วก็ตาม ปลายนิ้วชี้ที่มีแหวนทับทิมวงโตของเซดิสนั้นส่องแสงวาววับสะท้อนสายตา แสงสีขาวนั้นสว่างจ้ามากขึ้นเรื่อยๆจนต้องหลับตาลงอย่างไม่อาจทานไหว

 

                "...นี่คือผู้ร่วมภารกิจของเจ้า อาโลอิส"         

 

                  "........." หลังจากแสงจ้านั้นจางหาย เสียงของผู้เป็นนายก็เอ่ยขึ้น อาโลอิสเงยหน้าขึ้นช้าๆ พลันขมวดคิ้วเข้าหากันเงียบๆเมื่อเห็นร่างหนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้ายามใดก้สุดจะรู้

 

                  นามของคนผู้นี้คือเซธเป็นแน่แท้จากชื่อที่เซดิสเอ่ยขึ้นมา เซธผู้สวมอาภรณ์สีดำสนิท มีผิวสีเข้มหาใช่ขาวซีดเช่นตนและเซดิส เจ้าตัวมีเส้นผมสีดำราวกับขนกายาวสลวยระต้นคอชวนให้นึกถึงบางสิ่ง ทั้งดวงตาสีแดงเข้มที่วาววับประหนึ่งลูกปัด ใบหน้าคร้ามเข้มหล่อเหลา หากแต่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์และองอาจอยู่ในที ร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายนั้นเดินเข้ามาประชิด และวางมืออยู่บนไหล่เงียบๆ แม้ไม่มีคำพูดใด แต่กระแสความอุ่นวาบที่เข้ามาปัดเป่าความเย็นยะเยียบที่เกาะกินปลายเท้านั้นคุ้นเคยยิ่งนัก..

 

                 "ท่านเซดิส..." อาโลอิสเอ่ยชื่อผู้เป็นนายช้าๆ สังหรณ์บางอย่างบ่งบอกว่า นี่คือสิ่งมีชีวิตที่ตนแสนคุ้นตา

 

                "อะไรรึ?" ผู้ถูกถามยิ้มบาง อาโลอิสสังเกตุอีกคราว่าแหวนทับทิบวงโตที่ปลายนิ้วของเซดิสนั้นไม่มีอยู่แล้ว เช่นเดียวกับเจ้าการาเวนตัวสีดำที่เคยเกาะอยู่บนไหล่ของเซดิสก็ไม่อยู่เช่นกัน

 

                "....เขาคือ....?" อาโลอิสหันไปมองชายหนุ่มที่ยังยืนอยู่เบื้องหลัง ใบหน้าที่ไม่ปรากฏอารมณ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

 

                 "เซธ" เซดิสเอ่ยนามนั้นด้วยรอยยิ้ม และเซธก็พยักหน้าตอบ แต่สิ่งที่ตนเองต้องการจะถามนั้นไม่ได้เกี่ยวกับนาม หรือสิ่งอื่นใด ที่อยากรู้นั้นคือ"ตัวตน"ของอีกฝ่ายมากกว่า

 

                ...เซธนั้นใช่กาตัวนั้นที่เกาะอยู่บนไหล่ของท่านหรือไม่?

 

                อาโลอิสนึกอยากจะถามคำถามนั้น หากแต่รอยยิ้มและท่าทีของเซดิสทำให้ตนเองตัดสินใจเงียบเสียง

 

                 "ในเมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว..ก็เริ่มภารกิจได้" เซดิสเอ่ยปากอนุญาติด้วยรอยยิ้ม ไม่สนใจท่าทีงวยงงแฝงความตกตะลึงของผู้คนรอบกาย ดวงตาสีเพลิงที่ราวกับมีเปลวไฟไหวระริกในเงาตา จ้องมองคีเรสและเหล่าเทพบุตรปีกสีขาวด้วยอาการยิ้มระรื่นผ่องใส ทั้งพึงใจและพอใจราวกับท้าทายไปในคราเดียวกัน

 

                อาโลอิสยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างผู้เป็นนาย ครุ่นคิดและตระหนักถึงภารกิจที่ตนต้องกระทำ รวมทั้งผู้ร่วมทางที่ตนเองต้องมีแม้จะเต็มใจหรือไม่ก็ตามอย่างช้าๆ ก่อนจะเงยหน้าไปมองเซธอีกครา ดวงตาวามราวกับลูกปัดของอีกฝ่าย และท่าที  ซึ่งยังคงวางมือลงบนไหล่ ไม่ต่างกับอัปกริยาทยามที่อุ้งเล็บนั้นจิกลงมานั้นทำให้ตนแน่ใจในข้อสันนิษฐานที่คาดในทันที

 

                 "กลับกันเถิด อาโลอิส...เราไม่มีธุระใดอีกแล้ว"

 

                จมอยู่ในภวังค์และครุ่นคิดถึงบางสิ่ง เมื่อรู้ตัวอีกคราผู้เป็นนายก็เอ่ยปากให้กลับไปได้ อาโลอิสพยักหน้ารับ ปล่อยให้เซดิสเดินนำขณะที่ต้นเองค้อมศีรษะให้คีเรสเงียบๆ ดวงตาสีทับทิมปรายมองเทพบุตรอีกสองตนซึ่งจะต้องร่วมทำภารกิจด้วยกันอีกไม่นานจากนี้ อาโลอิสมองเห็นความหวาดหวั่นในดวงตาของฟาราส เช่นเดียวกับความไม่พอใจลึกซึ่งในดวงตาของไคลน์ เทพบุตรผู้ที่บัดนี้เหลือปีกสีดำเพียงข้างเดียวจ้องมองทั้งคู่เงียบๆก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปยังอุโมงค์ยาวสีดำเบื้องหน้า

 

                ความเจ็บปวดและหนึบชาบนสะบักไหล่ด้านซ้ายยังคงปรากฏยามเมื่อขยับกาย แม้จะมีปลายนิ้วของเซธวางอยู่ราวกับจะช่วยบรรเทามันก็มิอาจหาย อาโลอิสหรุบตาลงช้าๆ ตระหนักถึงพลังที่ลดน้อยของตน ทั้งเรี่ยวแรงและปีกที่หายไปเงียบๆ ดวงตาสีทับทิมจ้องมองพื้นหญ้าสีเขียวใสบอกตนเองให้ยอมรับในชะตากรรมและผลตอบแทนของสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไป เช่นเดียวกับจารจำแววตาของไคลน์ไว้ให้ฝังแน่นในหัวใจ

 

                 ...จะได้เลิกหลงงมงายเสียที

 

+++++++++++++++++++++++++++++

 

                 ทางเดินอันเต็มไปด้วยเถากุหลาบสีโลหิตที่เบ่งบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมประหนึ่งต้องรับให้กลับมาสู่ดินแดนที่ตนเคยคุ้นยังคงมืดทึบและมีเพียงแสงสลัวจากคบเพลิงที่ติดไว้ยังข้างผนัง ทว่าเมื่อฝ่าเท้าเปลือยเปล่าก้าวลงไปแล้วรับรู้ได้ถึงรอยอุ่นยามแตะต้องแผ่นหินความเย็นยะเยียบนั้นก็จางลงไป เช่นเดียวกับความรู้สึกปวดหนึบและร้อนวาบราวกับไฟเผาที่สะบักไหล่ มันค่อยๆถูกเยียวยาและรักษาอย่างเชื่องช้า อาโลอิสรับรู้ได้จากกำลังที่ค่อยๆหวนคืนกลับมา แตกต่างจากยามที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างซึ่งหนาวเหน็บและไร้เรี่ยวแรงยิ่งนัก

 

                  ฝ่ามือของเซธนั้นได้ละออกจากไหล่ของตนแล้วราวกับรู้ กระนั้นร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายก็ยืนอยู่เบื้องหลังราวกับจะคุ้มกัน อาโลอิสรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย เมื่อรับรู้ว่าถูกจ้องมอง ปริศนาการปรากฏตัวและคงอยู่ของอีกฝ่ายซึ่งยังไม่แน่ชัดทำให้อดระแวงไม่ได้ แม้จะรู้ว่าเซธเป็นคนของเซดิส แต่กระนั้น..เมื่อไม่เคยสนทนากัน จะให้ไว้ใจร่วมเดินทางก็ย่อมมีปัญหา

 

                  "อาการของเจ้า..." เงียบงันกันไปครู่ใหญ่ มีเพียงเสียงน้ำไหลและเสียงหยดน้ำกระทบแผ่นหินดังขึ้นราวกับขับกล่อม เซดิสที่เดินนำหน้าก็เอ่ยปากขึ้นช้าๆ "ดีขึ้นหรือยัง..อาโลอิส"

 

                 "...ดีขึ้นมาแล้วขอรับ ท่านเซดิส" ดีขึ้นนับแต่ได้เหยียบย่างลงมาบนแผ่นหินสีดำ ณ เส้นทางที่นำไปสู่ความืดมิดอันเป็นสถานที่ของตน แม้ในสายตาของสีขาวจะดูน่าหวาดหวั่น ทว่าสำหรับอาโลอิส ก็ไม่ต่างจากถูกโอบกอดและห้อมล้อมโดยบ้าน

 

                 "ดีแล้ว.." เซดิสรับคำเบาๆ น้ำเสียงของอีกฝ่ายยังคงเย็นระเรื่อยคล้ายเสียงน้ำไหล "บนนั้น...หนาวเหน็บและเป็นภัยกับเจ้าในยามนี้มากเกินไป"

 

                 "........." อาโลอิสพยักหน้าช้าๆ แม้จะรู้สึกข้องใจ ว่าด้วยเหตุใดก็ตามที

 

                "แต่เดิม ตัวเจ้าที่มีพลังและมีปีกทั้งสองคงไม่รู้สึก" น้ำเสียงของผู้เป็นนายเอ่ยขึ้นราวกับรู้ใจ "แต่กับวิญญาณชั้นต่ำ รึเทพที่มีพลังน้อยลงจะรับรู้ได้ เมื่อก้าวไปยังเขตแดนของอีกฝ่าย ร่างกายจะแสดงอาการขึ้นมา"

 

                "เดิมที..มันก็ใช้สำหรับดักจับวิญญาณ..และเทพชั้นต่ำที่ไร้กำลัง แต่กระหายอยากขึ้นไปอยู่ในที่ซึ่งไม่ใช่ของตน...หากสีขาว..เดินเข้ามาในที่แห่งนี้ จะรับรู้ได้ถึงเปลวไฟ หินที่อยู่ใต้เท้าของเราจะร้อน ค่อยๆแผดเผาให้พวกมันทรมานจนทานทนไม่ได้ หากดันทุรังจะก้าวต่อไป มีแต่จะตกอยู่ในความเจ็บปวดเท่านั้น ไม่ต่างกับสีดำ ยามที่ก้าวเท้าเข้าไปในที่แห่งนั้น จะรู้สึกถึงความหนาวเย็นและไร้เรี่ยวแรงจนมิอาจก้าวเดินต่อ"

 

                   "เช่นที่ข้า...รู้สึกในยามนี้" อาโลอิสเอ่ยช้าๆ นัยน์ตาสีทับทิมหรุบต่ำ ทราบจากคำกล่าวของเซดิส ว่าบัดนี้เมื่อเสียพลังและปีกไปข้างหนึ่ง ก็มีสถานะไม่ต่างกับวิญญาณชั้นต่ำตนหนึ่งเท่านั้น

 

                 "มิใช่เพียงแค่เจ้า ฟาราสก็เช่นกัน" ชื่อของเทพองค์นั้นทำให้ผู้ฟังขมวดคิ้ว

 

                 "แม้เขาจะได้ปีกกลับคืน แต่พลังย่อมมิได้คืนกลับมาในทันที มันต้องใช้เวลา เช่นเดียวกับพลังของเจ้า...พวกเจ้าทั้งคู่ จะต้องอยู่และซึมซับเอาพลังจากสรวงสวรรค์และใต้พื้นพิภพเพื่อหล่อเลี้ยงร่างของตนให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครา"

 

                 "..แล้วจะดีหรือ เมื่อเขาต้องลงมาทำภารกิจร่วมกันกับข้า?" อาโลอิสเอ่ยถามอย่างข้องใจไม่น้อย อสูรภายตนนั้นอยู่ใต้สุดของขุมนรก เป็นนรกที่ลึกสุดหยั่งและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตายและความชั่วร้ายเสียจนแม้แต่ปีศาจปีกสีดำยังรู้สึกหวาดผวายามจะต้องก้าวไป แล้วหากเทพบุตรที่เพิ่งฟื้นกลับมาจะต้องเดินทางไปที่นั่นย่อมส่งผลร้ายต่อร่างนั้นมิใช่หรือ

 

                  "ข้าฟังผิดไปรึเปล่า ว่าเจ้านั้นเป็นห่วงฟาราส?" เซดิสหันกลับมามอง เอ่ยอย่างขบขัน

 

                 "ตัวข้า...เพียงแต่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล" อาโลอิสหรี่ตาลงช้าๆ สบมองดวงตาที่มีเปลวไฟไหวระริกคู่นั้น

 

                 "พวกเขาย่อมมีวิธีคุ้มกันตนเอง...จะอย่างไรอสรูรร้ายพวกนั้นก็หวาดกลัวสีขาว หากลงไปด้วยกัน ย่อมดีกว่าเจ้าทำภารกิจเพียงผู้เดียว เรื่องนี้เจ้าก็ตระหนักแล้ว ในคราก่อน" คำพูดของผู้เป็นนายทำให้ต้องเงียบเป็นการยอมรับ อาโลอิสจำได้ดีว่าเมื่อตนต้องปราบอสูรตัวร้ายในครั้งที่แล้ว เกือบจะเสียท่าเช่นไร และ..ถูกช่วยเหลือมาได้เช่นไร

 

                 ...เพราะถูกเทพบุตรปีกสีขาวตนนั้นช่วยเหลือออกมาและร่วมกันกำจัดมันให้พ้นภัย ตนจึงได้ตกหลุมรัก และ..ได้ทำในสิ่งที่แสนจะโง่งมลงไป

 

                 "ในห้วงนรกที่ลึกที่สุดนั้น แม้จะมีปีศาจร้ายสิงสถิตย์ แต่ก็ยังมีเชื้อของเปลวเพลิงและกลิ่นอายของความมืดอันบริสุทธิ์..สีดำที่แม้จะมืดมิดแต่ก็ยังสุกใส เป็นขุมกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุด สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ใต้พื้นพิภพ...เจ้ารู้ใช่ไหม ว่าข้าหมายถึงอะไร"

 

                  "...ขอบคุณท่านเซดิส" อาโลอิสพยักหน้า ค้อมตัวให้อีกฝ่ายช้าๆ

 

                 ...หากฟาราสต้องอยู่ในสรวงสวรรค์เพื่อสูดกลิ่นอายของความบริสุทธิ์เพื่อนำพลังของตนกลับคืนมา ตัวเขา..อาโลอิสก็ต้องเที่ยวท่องเดินทางไปใต้ขุมนรกเพื่อฟื้นกำลังของตนเช่นกัน

 

                  หรือนี่คือสาเหตุที่เซดิสเสนอให้ตนเองทำภารกิจนี้?

 

                ลงไปเพื่อฟื้นกำลังตนเองกลับคืนมา และหากชนะ ก็จะได้ปีกของตนกลับคืน

 

                "...และเซธ" เสียงของผู้เป็นนายดังขึ้น ทำให้หลุดออกจากภวังค์ อาโลอิสจ้องมองแผ่นหลังที่เส้นผมสีขนกากำลังขยับไหวตามจังหวะก้าวเดินของอีกฝ่าย "คงมิต้องบอกว่าเขาคืออะไร ใช่หรือไม่"

 

                 "ขอรับ ท่านเซดิส" อาโลอิสรับคำเบาๆ

 

                  "เซธคือตัวแทนของข้า...แน่นอนว่าไม่ใช่ตัวข้า แต่จะคอยเป็นคู่ของเจ้าในการทำภารกิจครานี้ เมื่อปีกหนึ่งของเจ้าถูกนำเอาไป..ย่อมต้องมีสิ่งทดแทน เซธจะคอยดูแลและทำตามคำสั่งของเจ้าเอง...และถึงมันจะเป็นตัวแทนของข้า แต่มันก็มีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง น่ารำคาญมิใช่น้อยเชียวล่ะ อาโลอิส"

 

                  "โธ่ เซดิส" น้ำเสียงที่ตนไม่คุ้นหูดังขึ้นเบื้องหลัง กังวานเสียงที่ทุ้มพร่าแปลกหูคล้ายเสียงเรียกของเจ้าการาเวนตัวใหญ่นั้นทำให้ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ ด้วยความหนวดหูไม่เปลี่ยน

 

                  "...."ท่าน" กล้าเรียกชื่อข้าห้วนๆแบบนั้นได้อย่างไร" เซดิสเอ่ยปากแก้ แม้จะดูเข้มงวด ทว่ากลับไม่จริงจังนัก บ่งชัดว่าทั้งคู่นั้นสนิทสนมกันพอดู "มันคือสัตว์เลี้ยงของข้าเช่นที่เจ้าคิด อาโลอิส แต่กระนั้น ..มันก็มีความคิดเป็นของตนเอง เมื่ออยู่ใต้พื้นพิภพแห่งนี้ มันจะพูดได้ แต่เมื่อขึ้นไปข้างบน มันจะพูดไม่ได้ทันที"

 

                ".........." อาโลอิสพยักหน้ารับเงียบๆ

 

                  "...บางครา มันจะอยู่ในร่างของกา..เพื่อเก็บรักษาพลังของตนเอง แน่นอนว่าหากมันต้องการเป็นมนุษย์ มันย่อมทำได้ และเมื่อใดที่เจ้าไม่อยากขยับริมฝีปากคุยกับมันให้ผู้อื่นได้ยิน เจ้าก็แค่..นึก"

 

                "นึก...?" อาโลอิสทวนช้าๆ "ท่านหมายถึง..สื่อสารกันด้วยความคิด"

 

                 "ใช่" เซดิสรับคำเบาๆ "แต่ก็ระวังล่ะ เมื่อได้คุยกับมันในห้วงคิดไปครานึงแล้ว เจ้านกปากมากนี่จะพูดไม่หยุดจนนึกรำคาญ ตอนนั้นแม้เจ้าไม่อยากจะได้ยิน มันก็จะพล่ามไม่หยุดเชียวล่ะ"

 

                 "เซดิส..." เสียงเอ่ยพ้อเบาๆที่ดังมาด้านหลังนั้นเจือแววขบขัน

 

                  "ข้าพูดจริงทั้งนั้น..." ผู้เป็นนายตัดบทเสียงพึมพัมนั้นราวกับรำคาญ ท่าทีผิดแปลกไปจากปกติที่มักรื่นเริงอารมณ์ดีนั้นทำให้อาโลอิสนึกแปลกใจไม่น้อย "ข้าเลือกเจ้าให้ร่วมทำภารกิจนี้ เพราะเหตุใดเจ้าย่อมรู้ดี..อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ เซธ"

 

                "รับทราบ.." น้ำเสียงตอบรับนั้นมันคงยิ่งนัก

 

                 "เจ้าก็ด้วย...อาโลอิส"

 

                 "ทราบแล้วครับ" อาโลอิสเอ่ยปากรับคำหนักแน่นดุจเดียวกัน

 

                "...พรุ่งนี้จึงจะเริ่มภารกิจ ไปเจอกันที่รอยต่อของปากทางนั้นเช่นเดิม" เซดิสเอ่ยปาก ฝ่าเท้าหยุดลงเมื่อสิ้นทางเดินที่เป็นอุโมงค์ทอดยาว กลิ่นกุหลาบที่อายอวลค่อยจางไปแล้ว กลายเป็นสายลมเย็นที่โชยพัดมาจากเบื้องล่าง ร่างในชุดสีดำสนิทของผู้เป็นนายหันกลับมาสบตาทั้งสองเงียบๆ เปลวเพลิงที่เต้นไหวในดวงตาคู่นั้นยังคงลุกโชน เช่นเดียวกับรอยยิ้มจางที่ประดับบนใบหน้างดงามนั้นมิแปรเปลี่ยน

 

                 "ไปกันได้แล้ว"

 

                สิ้นคำ ร่างนั้นก็เดินหายลับไปในทันที อาโลอิสมองเห็นเพียงปลายผมสีดำสะบัดไหว เพียงครู่คนผู้นั้นก็หายไปจากสายตา ทิ้งให้คนและอีกหนึ่งบริวารยืนนิ่งอยู่หน้าห้องโถงใหญ่ที่เคยเดินผ่าน อาโลอิสขยับฝีเท้าก้าวเดินต่อไปยังที่พักของตนและรับรู้ถึงฝ่าเท้าที่ก้าวตามมาเงียบๆของเซธ

 

                 "...ท่าน..ไม่กลับไปหาท่านเซดิสรึ?" ชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองบุรุษที่เดินตามหลัง นัยน์ตาวาววามของเซธหันมาสบมอง ท่าทีงวยงงมิใช่น้อย

 

                "ตอนนี้ข้าต้องเดินทางร่วมกันและคอยคุ้มกันเจ้า..จะกลับไปหาเซดิสทำไมเล่า"

 

                 "....แต่ ภารกิจเริ่มขึ้นพรุ่งนี้" อาโลอิสขมวดคิ้วน้อยๆ

 

                 "ไม่อยากให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับเจ้ากระนั้นรึ?" คิ้วเรียวสีเข้มเลิกขึ้นเนิบช้า ใบหน้าครามเข้มมองมาราวกับรู้ทัน

 

                "ใช่" อาโลอิสตอบรับสั้นๆ ไม่คิดบ่ายเบี่ยงปฏิเสธ "มีบางสิ่ง ที่ข้าอยากจะคิด...เงียบๆคนเดียว"

 

                "จะคิดเรื่องของเจ้ากับเขาผู้นั้นงั้นหรือ" ดวงตาของเซธจ้องมองกลับมา ประกายตาคู่นั้นทั้งขบขันและอาดูรอยู่ในที่

 

                "ข้า..ไม่..." อาโลอิสเม้มปาก เงยหน้าขึ้นจ้องมองผู้ที่เอ่ยคำ "รู้ได้อย่างไร?"

 

                 "จะแปลกหรือ...." เซธเอ่ยขึ้นช้าๆ ฝ่ามือหนาวางลงบนไหล่ยังคงอุ่นวาบเช่นเดิม อาโลอิสมองเห็นอัญมณีสีแดงเข้มบนอุ้งมือของอีกฝ่าย ก็แจ้งใจในพลังที่ถูกถ่ายทอดมอบให้ในที่สุด "ทำราวกับลืมอีกร่างหนึ่งของข้า...การาเวนสีดำที่เจ้าเคยหวาดกลัวครั้งยังเป็นมนุษย์..อาโลอิส ข้ารับรู้เรื่องราวของเจ้า เช่นเดียวกับที่เจ้ามองเห็นตนเอง และอาจจะมากกว่าที่เจ้าคิดเสียอีก"

 

                 "...แต่----"

 

                "คิดว่าเพราะเหตุใด..เซดิสจึงให้ข้าร่วมเดินทางกับเจ้าล่ะ" เสียงของอีกฝ่ายยังคงดังขึ้น พร้อมกับไหล่ซ้ายที่ถูกบีบช้าๆ "เพราะผู้ที่ร่วมทาง คือหนึ่งคนผู้ที่เจ้าทำร้าย และอีกหนึ่ง ผู้ที่ทำร้ายเจ้า คีเรสจงใจ..ที่จะทำให้เจ้าเผชิญกับสถานการณ์ที่ตนไม่อาจหลีกเลี่ยง บีบให้เซดิสเลือก ระหว่างกันเจ้าออกไป แล้วทำให้เจ้าอ่อนแอไร้กำลังลง หรือให้เจ้ามีโอกาสได้ปีกกลับคืน แต่ต้องอยู่กับเทพทั้งสองที่พวกเจ้านั้นเคยมีเรื่องราวมากมายร่วมกันอยู่ มันหาใช่ความปราณี เป็นเพียงความปราถนาที่จะขัดขวาง.."

 

                "ข้ารู้..." อาโลอิสรับคำเสียงเบา สิ่งที่เซธอธิบายนั้นไม่ผิดไปจากที่ตนคิด เล่ห์อุบายที่ออกปากได้ด้วยความดีของสีขาวนั้น บางคราก็น่าชิงชังเสียยิ่งกว่าการทำในสิ่งเลวร้ายตรงๆเสียอีก

 

                "หากเจ้า...ฟาราส และไคลน์ เคยประสบสิ่งใดร่วมกัน ตัวข้าก็คือผู้ที่ได้เห็นทุกสิ่ง ข้าไม่ยอมปล่อยให้พวกมันได้ทำสิ่งใดตามใจหรอก" เซธ เอ่ยยิ้มๆพลางหัวเราะเสียงเบาในลำคอ "แต่ก็ไม่ปล่อยให้เจ้าได้ทำอะไรตามใจตนเช่นเดียวกัน อาโลอิส"

 

                "ท่านเซธ...." นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนที่อาโลอิสจะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ "เจ้านี่สมกับที่อยู่ข้างท่านเซดิสมาตลอดจริงๆ"

 

                 ถ้อยคำนั้นถูกตอบรับด้วยเสียงหัวเราะแผ่วต่ำเบาๆในลำคอของร่างสูงใหญ่ ก่อนที่กายของเซธจะแปรเปลี่ยนเป็นการาเวนตัวโตอีกครั้ง กาตัวนั้นโผเกาะลงบนไหล่ซ้าย เพิ่มน้ำหนักให้กับแผ่นหลังที่ปีกหายไปและทำให้ร่างอุ่นวาบ ขณะที่จงอยปากสีดำก็ค่อยคีบสางเส้นผมสีแดงเข้มอย่างตั้งอกตั้งใจ

 

                 ปลายนิ้วสีขาวเอื้อมไปลูบขนสีดำสนิทเรียบลื่นนั้นเบาๆ พลางฟังเสียงครางในลำคอของเจ้ากาตัวใหญ่นั้นเงียบๆ ก่อนจะก้าวเดินไปอีกครา แต่คราวนี้อาโลอิสได้เข้าใจในที่สุดว่า เหตุที่เจ้านายของตนนั้นชอบลูบไล้เจ้านกสีดำตัวนี้นักหนาเป็นเพราะอะไร

 

++++++++++++++++++++++

 

เปิดตัวพ่อหนุ่มหล่ออีกราย และจะเริ่มภารกิจตีมอนกันแล้วววว

ที่แท้ก็เป็นคนคุ้นเคยกันมานี่เอง เราเจอกาสุดหล่อนี่มาตั้งแต่ตอนแรกเลยนะ555

เซธนี่โผล่วมาเพื่อแย่งคะแนนนิยมขุ่นพระเอกจริงๆ #ชาวบ้านบอกมันยังมีคะแนนอะไรเหลืออยุ่อีกเหรอ

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
«ตอบ #54 เมื่อ16-07-2014 21:32:16 »

Lost 27 : เริ่มภารกิจ

 

 

 

               จุดเชื่อมต่อของความมืดและแสงสว่าง คืออุโมงยาวที่เป็นทางเดินนำลงไปยังโลกเบื้องล่าง..

 

                 กลิ่นกุหลาบสีโลหิตยังคงหอมอวลไปทั่วยามก้าวเท้าผ่าน แม้จะบอกว่าเป็นทางที่นำลงไป แต่ก็เป็นเพียงทางเดินตรงไปสู่ความมืดเท่านั้น คบเพลิงส่องนำทางยังคงส่องแสงเรื่อเรืองสะท้อนผนังหินสีดำที่มีเถากุหลาบหนาเกาะเสียจนไม่มีช่องว่าง เสียงหยดน้ำไหลกระทบแผ่นหิน และเสียงของสายน้ำที่หลั่งลงมาจากเบื้องบนสู่เบื้องล่างนั้นชัดเจนขึ้นทุกขณะยามก้าวย่างไปจนสุดทาง ร่างของอาคันตะกุทั้งสองที่เดินตามมาเงียบๆนั้นมีท่าทีระวังระไว แม้หนึ่งในนั้นจะเคยมาเยือนแต่หนทางในโลกเบื้องล่างก็ยังไม่เป็นที่เคยคุ้น

 

                อาโลอิสเดินนำมาพร้อมกับเซธที่เกาะอยู่บนไหล่ อีกฝ่ายเหมือนจะพึงใจที่ได้อยู่ในร่างของการาเวนสีดำสนิทมากกว่าอยู่ในร่างมนุษย์ เหนือเส้นขนสีดำเงาวับ บริเวณอกที่เป็นขนสีดำสนิทมีอัญมณีสีทับทิมที่มีลักษณะเหมือนแหวนของเซดิสไม่ผิดเพี้ยนติดอยู่ ดวงตาสีแเดงเข้มวาววับราวกับลูกปัดมองไปโดยรอบอย่างระวังระไว แม้จะไม่ได้หันไปจับจ้องด้านหลัง แต่ทั้งไคลน์และฟาราสต่างก็รับรู้ว่าตนนั้นถูกจ้องมอง

 

                ร่างของเทพบุตรปีกสีดำเดินนำหน้า พาเดินไปสู่เส้นทางอันเลี้ยวลดของดินแดนที่อยู่ในความมืดมิด เมื่อหลุดพ้นอุโมงค์ยาวมาแล้ว ทางเดินกว้างใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตา โถงทางเดินที่ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรมีแสงสีทองสาดลงมาผ่านช่องหิน อาคารงดงามยิ่งใหญ่หากแต่ไร้เงาผู้คน มีเพียงตะเกียงส่องแสงสว่างและเสียงกระซิบของสายลมคล้ำวิญญาณรอบกาย

 

                เสียงของสายน้ำที่หลั่งไหลดังชัดขึ้นทุกคราเมื่อก้าวเท้าไปต่อ ขณะที่รอบกายยังคงมีเพียงความเงียบ ร่างในชุดสีดำที่ก้าวนำไปยังคงพาเดินเลาะไปเรื่อยๆ จากโถงทางเดินกว้างใหญ่ไปยังเส้นทางที่มุ่งไปยังเสียงน้ำเหล่านั้น และเมื่อก้าวพ้นแสงสีทองที่สาดลงมาจากเบื้องบนพสุธา เบื้องหน้าคือสายน้ำที่หลั่งไหลจากด้านบนสู่เบื้องล่าง เสียงน้ำไหลกระทบแผ่นหินดังกังวาน บ่งบอกให้รู้ถึงที่มาของเสียงน้ำที่แว่วยินนับแต่ก้าวเท้าลงมา

 

                ขนาดของน้ำตกนั้นกว้างใหญ่เสียจนบดบังเส้นทางที่จะก้าวเดินต่อ อาโลอิสชะงักฝีเท้า เป็นครั้งแรกนับแต่พบหน้ากันในอีกวันที่เจ้าตัวหันมาหา ดวงตาสีทับทิมจ้องมองสองเทพที่ต่างมีท่าทีสนใจสายน้ำตรงหน้า ใบหน้าที่ยังคงเรียบเฉยนั้นค้อมลงช้าๆ พลางเอ่ยปาก

 

                 "...เชิญ" สิ้นคำ ร่างในชุดสีดำก็เดินก้าวผ่านเข้าไปยังสายน้ำที่หลั่งไหลไม่หยุดและกั้นทางเดินทั้งหมดไว้เบื้องหน้า แผ่นหลังที่หายไปท่ามกลางหยดน้ำและเสียงสนั่นของสายน้ำกระทบหินศิลา ทำให้ไคลน์และฟาราสหันมามองสบตากันเงียบๆ

 

                ฝ่ามือของผู้เป็นที่รักสั่นน้อยๆ คล้ายกำลังหวาดกลัวและไหวหวั่นต่อสิ่งที่พบเจอเบื้องหน้า ฟาราสสบตาคนรักของตนอย่างกังวล และดวงตาสีท้องฟ้าที่เจือด้วยม่านหมอกแห่งความหวาดหวั่น ก็หาได้หลุดรอดจากสายตาของไคลน์แต่อย่างใด

 

                 “ข้าอยู่ข้างๆเจ้าเสมอ...ฟาราส” ถ้อยคำกระซิบนั้นแฝงด้วยคำมั่น และนั่นทำให้ผู้ฟังพยักหน้ารับ

 

                "..ไปกันเถิด" ไคลน์เอ่ยเบาๆ พลางกุมมือของคนรักแล้วกระชับแน่น ทั้งสองก้าวเดินไปยังน้ำตกสายใหญ่เบื้องหน้า สายน้ำที่ควรจะเย็นจัดและหลั่งลงกระทบร่างอย่างหนักหน่วงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ราวกับเป็นเพียงผ้าม่านอ่อนพลิ้วแผ่วกระทบผิวกาย รู้สึกอุ่นวาบเพียงครู่ก่อนจะเดินทะลุผ่าน

 

                ร่างของเซธที่เคยเป็นการาเวนสีดำตัวใหญ่แปรเปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นชายหนุ่มในชุดสีดำยืนรออยู่เช่นเดียวกับผู้ที่ยืนข้างๆ เมื่อทะลุผ่านสายน้ำนั้นออกมาราวกับได้มองเห็นอีกโลกหนึ่ง แสงสีทองสาดลงมาจากเบื้องบน เสียงกระซิบอันไร้ที่มานั้นปรากฏตัวขึ้นในรูปของวิญญาณและบรรดาเทวทูตทั้งหลาย ทางเดินที่ตนเหยียบย่างไปนั้นคือเส้นทางที่ลัดเลาะภูผาสูงใหญ่ ด้านข้างคือแผ่นหินสีดำสนิท และอีกข้างคือหุบเหวที่มีทางเดินวกวนลัดเลาะลงไป ราวกับว่าอยู่ภายในภูเขาสูงที่มีเส้นทางลึกสุดจะหยั่ง

 

                 เสียงคำรามของบางสิ่งแว่วผ่านมาจากเบื้องล่าง ทำให้หัวคิ้วของไคลน์ขมวดเข้าหากันน้อยๆ ฝ่ามือบีบมือบางของคนรักตนเงียบๆ ขณะที่ดวงตาจ้องมองร่างในชุดสีดำของผู้นำทางทั้งสอง

 

                อาโลอิสกับเซธเร่งฝีเท้าก้าวต่อโดยไร้คำพูด หลังจากก้าวพ้นม่านน้ำตกมา ทั้งคู่ก็บ่ายหน้านำไปยังทางแยกที่ปรากฏเบื้องหน้า หนึ่งนั้นคือทางเดินสลักด้วยหินมีแสงสว่างทอลอดผ่าน แต่อีกหนึ่ง คืออุโมงค์ที่มืดทึบและมีเสียงครางหวีดหวิวของสายลมดังแว่วมาปะปนกับเสียงคำรามชวนประหวั่น

 

                เส้นทางที่มืดทึบนั้นคือทนทางที่ต้องเดินไปไคลน์รับรู้ได้ หากแต่นึกอาดูรคนรักที่มีท่าทีหวาดหวั่นตรงหน้าไม่น้อย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก้มลงสบมองนัยน์ตาสีท้องฟ้าอย่างอ่อนโยน กุมมือแล้วบีบเบาๆให้กำลังใจ ขณะที่ฟาราสเงยหน้าขึ้นสบตาช้าๆพลางยิ้มตอบ

 

                อัปกริยาของคู่รักนั้นแสดงออกมาชัดเจนแม้ไร้ถ้อยคำใด ท่าทีนั้นทำให้เซธหันไปมองเทพบุตรปีกสีดำที่ยืนอยู่ข้างกายตนไม่ได้ เจ้าของร่างจำแลงของการาเวนยกมือขึ้นสัมผัสไหล่ผอม และตนได้รับสายตาเฉยชาไร้อารมณ์ตอบกลับทันควัน

 

                หากแต่เซธก็ยังคงยิ้ม ปลายนิ้วเกี่ยวเอาเส้นผมสีแดงเข้มมาไว้ในมือ ท่าทีสบายอารมณ์

 

              "...เป็นเจ้าบ้านที่แย่เสียจริง นับแต่พบหน้า เจ้าพูดมาเพียงไม่กี่คำ" ถ้อยคำที่ดังขึ้นในห้วงคิดทำให้อาโลอิสขมวดคิ้วจางๆ หันไปจ้องมองใบหน้าคร้ามเข้มที่ยังมีรอยยิ้มยั่วเย้า

 

             "ข้าก็เป็นเช่นนี้" เดินนำไปในเส้นทางที่มืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงของคบเพลิงคอยส่องสว่าง หากแต่ดวงตาของตนและเหล่าเทพทั้งหลายสามารถมองเห็นได้ประจุดอยู่ในที่แจ้ง

 

            "..แตกต่างจากเจ้าที่เคยเป็น...เอนีล..ใช่ไหม?"

 

            "กำลังจะยั่วโมโหข้าหรือ เซธ?" อาโลอิสขมวดคิ้ว ไม่ได้หันไปมองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของอีกฝ่าย การถูกซักถามถึงความหลังในชาติภพของความเป็นมนุษย์ที่ผ่านมานั้นเป็นสิ่งที่ตนไม่ต้องการเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ..ตอนที่ยังคงเป็นเอนีลคนนั้น

 

                นายแพทย์เอนีล ชาส์เดอตงส์ผู้มีนิสัยน่ารักและยิ้มแย้ม ช่างแตกต่างกับอาโลอิสในยามนี้ที่มักจะนิ่งเงียบและไร้ถ้อยคำใด

 

                 ..แต่นี่คือตัวตนของข้า..เป็นตัวข้าที่แท้จริง

 

              "ขออภัย" เหมือนเซธจะรับรู้ได้ว่าตนนั้นนึกไม่พอใจอยู่เงียบๆ เสียงของอีกาดำในหัวจึงดังขึ้น "แต่เจ้าคงรู้ใช่ไหม...แม้จะนิ่งเงียบไปก็ไม่อาจหลบหนีความจริงพ้นอยู่ดี"

 

             "ข้ารู้" อาโลอิสรับคำเบาๆ ถ้อยคำของเซธนั้นเอ่ยบอกถึงสิ่งที่ตนต้องพบเจอหลังจากนี้ไม่ผิดแน่ การเดินทางไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ง่าย..และทวีความยากลำบากยิ่งเมื่อต้องทำมันร่วมกับผู้คนที่เคยมีเรื่องราวมากมายต่อกันอยู่

 

                อาโลอิสรู้..และบอกตนให้ทำใจยอมรับ ..ให้ตระหนัก..ว่ารักที่ไม่มีทางสมหวังก็ยังคงไม่สมหวังต่อไป

 

                 หากแต่เมื่อได้มองเห็นท่าทีห่วงอาทร ได้มองภาพอันงดงามของคู่รักที่คอยย้ำชัดอยู่ต่อหน้า หัวใจก็พลันร้าวไหว อีกครั้ง..และอีกครั้ง..

 

                การเดินทางครั้งนี้ หากจุดหมายของผู้เป็นนายไม่ใช้เพื่อนำพลังกลับคืนมา อาโลอิสคงคิดว่าเป็นการทุบทำลายหัวใจของตนจนย่อยยับ

 

                หรุบตามองพื้นแล้วกลืนน้ำลายลงคอ ขณะที่ปลายนิ้วของเซธละออกจากเส้นผมตน ทับทิมในมืออีกฝ่ายนั้นยังคงส่องประกายวาบ อาโลอิสรู้ดีว่าสัมผัสที่ไหล่เมื่อครู่คือการค่อยๆมอบพลังและช่วยให้ตนซึมซับพลังจากพื้นพิภพได้ดีขึ้น สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ยิ่งมืดเท่าไหร่ กลิ่นอายของความตายยิ่งอบอวลเช่นเดียวกับกลิ่นของความมืดที่เด่นชัด เป็นขุมกำลังที่จะช่วยให้ตนกลับมาแข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน ก็คอยบั่นทอนกำลังของเทพบุตรผู้มีปีกสีขาวทั้งสอง

 

                อาโลอิสหันกลับไปมองผู้ที่เดินตามหลัง ร่างในอาภรณ์สีขาวนั้นยังคงส่องประกายแม้อยู่ในทางเดินที่มืดมิด เช่นเดียวกับสีดำที่ไม่ถูกกลืนกินเมื่อก้าวเข้าไปในเขตแดนของสีขาว สีขาวก็หาได้ถูกสีดำกัดกินเช่นกัน

 

                สบมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เงยขึ้นมาสบเพียงครู่ด้วยความห่วงใยมิใช่น้อย หากแต่อาโลอิสกลับได้จ้องมองความหงุดหงิดและโกรธขึ้งในดวงตาคู่นั้น นึกงวยงงและไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงถูกชายหนุ่มมีท่าทีรังเกียจและขุ่นเคืองอย่างชัดเจน แต่ความสงสัยนั้นก็เกิดขึ้นเพียงครู่และถูกปัดผ่านไป ด้วยระลึกในที่สุดว่าแม้จะทำตัวเช่นใด อาโลอิสก็ย่อมถูกชิงชังและไม่พอใจอยู่ดี

 

                หันกลับมาช้าๆ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันยามที่เฝ้าบอกตนเองให้อดทนและจดจำสิ่งที่ได้รับเอาไว้อย่างหนักแน่นในใจ ดวงตาสีแดงเข้มหันไปมองทางออกที่ปรากฏแสงสลัวด้านหน้าแล้วเดินนำออกไปอย่างมั่นคง

 

                 ในครานี้ไม่หลงเหลือแม้กระทั่งมิตรภาพที่เคยได้รับ เพราะตนเองนั้นเอื้อมมือไปปัดทิ้งและพังทุกสิ่งด้วยความตั้งใจของตนเอง

 

                การเดินทางร่วมกันในครานี้คงไม่ต้องคาดหวัง จะมิตรภาพ หรือการพูดคุยดีๆ คงยากเสียเหลือแสน

 

                 เพราะข้าทำลายทุกสิ่งแล้วด้วยรักที่แสนโง่งมนั้น..

 

                 ...แม้จะน่าเสียดาย แต่หากถามว่าถ้ากลับไปได้จะเปลี่ยนแปลงมันหรือไม่

 

                ไม่เสียใจ....คำตอบของเขายังคงเป็นเช่นเดิม

 

+++++++++++++++++++++++++

 

                 เมื่อก้าวเท้าออกจากเส้นทางที่มืดมิด ภาพเบื้องหน้าคือผืนดินที่ยาวสุดลูกหูลูกตา จรดขอบฟ้าด้านบนที่ว่างเปล่าไร้ดวงดาราหรือสิ่งใด ไม่ได้มืดมิด หากแต่เวิ้งว้างอย่างน่าประหวั่น รอบกายไม่มีแม้วิญญาณหรือเทวทูตใดคอยส่งเสียงเรียกกระซี้กระซิกเช่นที่ผ่านมา เหลือเพียงเสียงของสายลมหวีดหวิวและเสียงคำรามของอสูรกายที่แว่วมานั้นยิ่งทำให้นึกหวั่นระแวงไม่น้อย

 

                ผืนดินแตกระแหงทว่ากลับมีดอกไม้ต้นเล็กๆสีแดงเข้มผุดพรายออกมาจากรอยแยกราวกับจะขอโอกาสมีชีวิต สายลมที่หอบเอาเศษฝุ่นผงและเม็ดทรายปะปนมาด้วยกระทบกายเพียงแผ่วเบา หากผืนดินยังมีดอกไม้ขอชูช่อบานสะพรุ่ง ทว่าไม้ใหญ่กลับยืนต้นแห้งตายอย่างน่าสังเวชนัก

 

                "...อุ่ก" กลิ่นคลื่นเหียนชวนอาเจียนของบางสิ่งลอยปะปนกับสายลมเข้ามา อาโลอิสขมวดคิ้ว ขณะที่ฟาราสยกมือปิดจมูกของตนทันที ร่างในชุดสีดำสนิทกวาดตามองหาที่มาของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ก่อนจะนิ่งงัน เมื่อพบว่าสาเหตุที่ดอกไม้เล็กๆใต้เท้านั้นสามารถมีชีวิตได้เป็นเพราะเศษซากโครงร่างของอมนุษย์ที่ถูกทำร้ายและสิ้นชีพไปพร้อมหลั่งรินโลหิตออกมาเจิ่งนองทั่วผืนดิน

 

                 ".....กระทั่งอมนุษย์ด้วยกันก็ยังไม่เว้นรึ" น้ำเสียงเครียดขึ้งของไคลน์ดังขึ้นเมื่อมองเห็นซากศพเหล่านั้น ขณะที่อาโลอิสกวาดสายตาไปโดยรอบหาได้แปลกใจที่พบว่ามีกองร่างและโครงกระดูกเกลื่อน

 

                   "คงพยายามดิ้นรนอยากออกไป แต่สุดท้ายก็มาได้เพียงปากทาง" เซธเป็นผู้เอ่ยขึ้นมา ด้วยทราบว่าหากปล่อยไว้คำตอบคงมีเพียงความเงียบเท่านั้น

 

                "...พวกมันเหล่านี้ต่างก็เป็นอมนุษย์...อสูรชั้นต่ำ" ไคลน์เดินออกมาจากกองซากของสิ่งที่เคยมีชีวิต มาสมทบกับฟาราสที่ยังคงปิดจมูกแน่น

 

                "ใช่" เซธพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

 

                "ถึงขนาดกัดกินเผ่าพันธ์เดียวกัน...เป็นความมืดที่น่ารังเกียจ" วาจาของไคลน์นั้นทำให้สีดำทั้งสองต่างขมวดคิ้ว

 

                  "ยิ่งดื่มกินมากเท่าไหร่ พละกำลังของมันจะมากขึ้นเท่านั้น อสูรกายไม่เพียงแต่สูบเลือดสูบเนื้อของเผ่าพันธ์เดียวกัน

จะปีศาจ เทพ หรือสิ่งใด มันก็ล้วนกัดกินได้ไม่ต่าง ไม่ว่าจะเป็นความมืดมิดหรือแสงสว่างก็หาใช่ข้อยกเว้น" อาโลอิสเอ่ยเสียงเย็น ดวงตาสีเข้มหรี่มองสบตาของไคลน์เงียบๆ "ความจริงข้อนี้ท่านไม่น่าจะลืม"

 

                 "ข้าไม่ได้ลืม...เพียงแค่ไม่คิดว่ามันจะต่ำทรามได้ถึงเพียงนี้" ไคลน์สบตาอีกฝ่ายไม่หลบ "ครั้งที่แล้ว..."

 

                 "...อสูรกายตัวนี้ร้ายกาจยิ่ง"

 

                 "....และเลวร้ายยิ่งนัก"

 

                 "เพราะมันคืออสูรกาย เหตุเพราะมันเลวร้าย จึงต้องมีเทพถึงสี่ตนลงมาช่วยปราบมัน" อาโลอิสขมวดคิ้ว "หากเพียงเท่านี้รับไม่ได้ จะกลับไปข้าก็ไม่ได้ห้าม"

 

                 "ทำไมข้าจะรับไม่ได้ ขนาดเทพกินเทพด้วยกัน ข้ายังได้เห็นมากับตา" นัยยะเชือดเฉือนนั้นทำให้ใบหน้าของผู้ฟังยิ่งขึงตึง อาโลอิสสบตาคู่นั้น มองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เคยฉายแววอุ่นหวาน ที่บัดนี้กร้าวแข็งและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ไม่ต่างกับดวงตาสีทับทิมที่วาวโรจน์ เมื่อบทสนทนาด้วยเรื่องราวที่ผ่านพ้นมาถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง

 

                  ข้าไม่เคยลืม เฉกเช่นที่เจ้าไม่เคยลืมเลือน

 

                  อาโลอิสที่พรากคนรักของไคลน์..ไม่ว่าเหตุผลคืออะไร มันก็ต้องถูกชิงชังไม่เว้น!

 

                 "หากรับได้ก็ดี...จะได้เดินทางกันต่อ ดีกว่ามานั่งถกเถียงไร้สาระ ว่าไหม" เซธเป็นฝ่ายเอ่ยปากหลังจากคู่กรณีทั้งสองนิ่งเงียบและยืนจ้องมองกันราวกับประกาศศึกต่อหน้า ไม่ผิดแผกไปจากที่เซดิสคาดว่ามันจะต้องเกิดเรื่องราวกระทบกระทั่ง หากแต่รวดเร็วถึงเพียงนี้ ผู้เฝ้ามองทั้งสองต่างรู้สึกตั้งตัวไม่ทัน

 

                 "ไคลน์..." ฟาราสรั้งท่อนแขนคนรักของตนเงียบๆ รับรู้ได้ถึงสถานการณ์ที่ไม่ปกติ "ไปกันต่อเถอะ"

 

                "....ยัง...ฟาราส" ไคลน์จับมือคนรักของตนไว้ แล้วบีบเบาๆ "ข้ายังมีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้พูด"

 

                 "ว่ามา" อาโลอิสตอบสั้น แลดูเหมือนถ้อยคำไกล่เกลี่ยของเซธจะไม่เป็นผล

 

                 "ในเมื่อเจ้าไม่เสียใจ...ที่ได้ทำกับคนรักของข้า" ถ้อยวลีที่บอกชัด..ทั้งคนรักและของๆตนนั้นแทรกเข้ามาทุบพังหัวใจให้ยับลงอีกครั้ง "ข้าไม่อาจแน่ใจได้ว่าเจ้าจะทำอะไรลงไป..อย่าได้เข้าใกล้ฟาราส มิฉะนั้น...."

 

                "ทราบแล้ว!!" อาโลอิสเค้นเสียงตอบรวดเร็วและห้วนจัด ใบหน้าที่ไม่ปรากฏอารมณ์ใดฉายแววโกรธขึ้นวาบขึ้นในเงาตา "ข้าจะไม่เข้าใกล้ ไม่แตะต้อง ไม่สัมผัสคนรักของท่านแม้แต่ปลายก้อย พอใจหรือยัง ท่านเทพ"

 

                  "...ดี" ไคลน์รับคำใบหน้าเชิดขึ้นน้อยๆ แม้จะรู้สึกตกใจและกังวลไม่น้อยกับท่าทีของอีกฝ่าย แต่ทิฐิสูงลิ่วก็บอกให้ตนยิ้มรับถ้อยคำนั้น "หวังว่าเจ้าจะทำตามที่ตนพูด"

 

                 "....หวังว่าหลังจากนี้ จะเลิกพูดพล่ามไร้สาระเช่นกัน" สิ้นคำ อาโลอิสก็เดินนำไปอย่างรวดเร็วไม่ได้หันมามองคู่รักเบื้องหลังอีก เซธก้าวขาตามไปอย่างรวดเร็วพอกัน ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงคลื่นอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นมาราวกับรอโหมปะทะไว้ในใจของทั้งสองฝ่าย ปลายนิ้วสีเข้มวางลงบนไหล่ผอมแล้วออกแรงรั้ง ไม่ให้ผู้ที่ตนเพิ่งจะมองเห็นอาการโกรธขึ้นอย่างชัดเจนขนาดนี้ค่อยๆสงบสติอารมณ์

 

              "น่าขันใช่ไหม.." เสียงของอาโลอิสดังขึ้นในห้วงคิด แม้ไม่ได้สั่นไหวหรือเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง ทว่าก็เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์บางสิ่ง "ข้าโกรธเสียจนแทบขาดสติ ทั้งที่เป็นเรื่องจริง"

 

               ".....ใช่...น่าขัน" เซธยังคงตอบไปตามความจริงที่ตนพบเห็น "เคยเตือนเจ้าแล้วมิใช่หรือ ว่ามันจะเป็นเช่นนี้"

 

              "ข้ารู้..." อาโลอิสสูดหายใจลึก "แต่เมื่อมาได้ยินเองกับหู..ข้าก็ยังคง.."

 

             "เจ้าควรควบคุมอารมณ์ตนเอง"

 

            "ขออภัย"

 

            "ข้ารับคำสั่งมาให้คอยอยู่เคียงข้างเจ้าเพราะเหตุนี้.." เซธจ้องมองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าเรียบเฉย แม้ถ้อยคำที่ผ่านมาในห้วงคิดนั้นจะเต็มไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย "อย่าทำให้ความปราณีของเซดิสต้องเสียเปล่า"

 

            "....รู้แล้ว"

 

                 อาโลอิสยืนนิ่ง ปล่อยให้ถ้อยคำของอีกฝ่ายซึบซัมผ่านเข้าไปเพื่อเตือนใจตนเองและสงบจิตใจเงียบๆ จริงดั่งที่เซธว่า ในครั้งนี้เป็นโอกาสที่เซดิสมอบให้ตนเพื่อจะรับพลังและปีกคืน จะได้ไม่เป็นเทพชั้นต่ำเช่นนี้ แม้จะมีผู้ร่วมเดินทางเช่นไร หรือรู้สึกอย่างไร ตนก็มิควรจะหวั่นไหว ความรักของฟาราสและไคลน์เป็นเช่นไรก็ทราบดีอยู่แล้ว รักที่มั่นคงจริงจังและยอมทำทุกอย่างเพื่ออีกฝ่าย แม้จะถูกตนเองทำลายก็ยังคงกลับมาเคียงคู่กันได้ ความรักเช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรอาโลอิสก็ไม่อาจเเย่งชิงมันมา..

 

                แม้ว่ารักเพียงใด แต่เขาก็ไม่ใช่ของเจ้า..

 

                ราวกับได้ยินถ้อยกระซิบตอกย้ำซ้ำๆที่ข้างหู อาโลอิสหรุบตาลงมองผืนดินแตกระแหงใต้ฝ่าเท้า อาโลอิสเงยหน้าขึ้นอีกคราค่อยนิ่งสงบสติอารมณ์ของตนเองและกลับไปเดินนำทางสู่ห้วงพื้นพิภพอีกครั้ง

 

                ...ทำภารกิจเสร็จสิ้นจะได้พลังคืนมาและได้ "หลุดพ้น" จากเรื่องราวเหล่านี้เสียที

 

                 กระซิบบอกตนเองเงียบๆ ขณะที่จมจ่ออยู่ในภวังค์ หูก็แว่วเสียงพูดคุยของไคลน์และฟาราสที่อยู่ไม่ไกล

 

                 "...เจ้าเคยมาที่นี่"

 

                 "ในครั้งก่อน" ไคลน์รับคำเบาๆ

 

                "...กุหลาบดอกนี้ใช่ไหม..ข้าจำได้...เจ้าเคยเอามาให้" ฟาราสยิ้มมองดอกไม้สีดำสนิทที่ยืนต้นอยู่ใต้รากไม้ที่เคยแห้งตาย แม้มันจะหยั่งรากมีชีวิตได้เพราะซากศพ แต่กุหลาบสีดำก็งดงามและสูงค่ายิ่ง

 

                "ของฝากของข้า.." ไคลน์ยิ้ม ดวงตาจ้องมองกุหลาบสีดำสนิทที่หมายถึงรักนิรันด์ ริมฝีปากแย้มยิ้มอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงความทรงจำที่มีกับคนรักตน "....ในยามที่ข้าไปทำภารกิจครั้งที่แล้ว เมื่อเดินผ่านมากับ......."

 

                "................" ราวกับได้เอ่ยถึงในสิ่งที่ไม่ควรเอ่ยจึงมีเพียงความเงียบเมื่อทั้งสองหันมาสบตากันช้าๆ  อาโลอิสนิ่วหน้าน้อยๆ ยามเมื่อนึกถึงภารกิจคราวก่อนที่ตนเองได้ทำร่วมกับเทพบุตรปีกสีขาวตรงหน้า ในยามที่พบเจอกับอสูรร้ายผู้ที่ยื่นมือมาช่วยประคับประคองอีกครา ก็คือคนตรงหน้าไม่ใช่ใคร

 

                ....ที่แห่งนี้ซึ่งเคยเดินทางร่วมกัน เคยพบเจออันตรายด้วยกัน

 

                เคยเป็นความทรงจำและภารกิจที่ทำให้หัวใจของตนได้รู้จักคำว่ารัก และมีชีวิต..

 

                ดวงตาสองคู่สบมองกันอย่างเผลอไผล อาโลอิสเบือนหน้าหนี  เทพบุตรปีกสีดำบ่ายหน้าเดินนำทางไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ไคลน์นิ่งไปครู่หนึ่ง ที่สุดจึงหันไปยิ้มบางๆให้กับคนรักของตนและจูงมืออีกฝ่ายเดินเคียงคู่กันไปเพื่อทำภารกิจอย่างที่เคยรับปากมา

 

                ไคลน์จ้องมองแผ่นหลังในอาภรณ์สีดำสนิทพลางขมวดคิ้วเข้าหากันช้าๆ ความทรงจำที่เกี่ยวเนื่องกับภารกิจในครั้งก่อนและอดีตที่แจ่มชัดถึงเสียงสะอื้นและคำขอของอาโลอิสที่เคยอยู่ในร่างของคนรักยังคงชัดเจนนัก นั่นทำให้ครู่หนึ่งดวงตาพลันไหววูบด้วยความรู้สึกบางอย่าง ก่อนที่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจะเข้มจัดขึ้น ยามเมื่อมองเห็นปลายนิ้วของร่างสูงใหญ่ แตะลงบนเส้นผมสีเเดงเข้มแล้วไล้เล่นด้วยรอยยิ้ม...

 

                 ....หงุดหงิด

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

ตอนนี้มาอันซีนใต้พิภพกันนนน

ใต้ดิน กับนรก แล้วก็ที่อยู่ของอสูรไม่ได้อยู่ในโซนเดียวกันนะคะ

ที่เป็นห้องโถงเหมือนวังนั่นคือที่อยู่ของบรรดาเทพบุตรปีกสีดำทั้งหลาย ส่วนที่ผ่านน้ำตกไปใต้หุบผานั่นคือโซนนรก

และที่ๆอาโลอิสกับพรรคพวกเดินทะลุออกมา คือใต้นรกซึ่งเป็นที่อยู่ของอสูรร้ายอีกทีค่ะ

ตอนนี้ไม่ค่อยได้คุยกัน เพราะเดินทางกันซะส่วนใหญ่ แถมพอคุยกันก็ดันวิวาทซะอย่างนั้น

จริงๆนิสัยอาโลอิสคือเงียบถึงเงียบมาก หน้าตายและใช้สายตาสื่อแทนคำพูดมากกว่าเพราะงั้นตอนนี้ที่ไม่อยากคุยกะใคร

เลยคุยในใจกับเซธแทน //แลดูมั้งมิ้งงงงง

ส่วนไคลน์น่ะเร้อ.... ก็มุ้งมิ้งกับฟาราสดีนะ ส่วนที่หวงุดหงิดตอนสุดท้ายน่ะเหรอ..

/สมน้ำหน้ามั---------- #มั่ย

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
«ตอบ #55 เมื่อ16-07-2014 21:32:46 »

Lost 28 : หลบหนี

 

 

 

ความมืดในดินแดนแห่งนี้นั้นแตกต่าง...

 

                สายลมที่พัดโชยมาพร้อมกลิ่นสาบสางของซากศพ อากาศเย็นเยือกลงอย่างรวดเร็วเสียจนแทบกลายเป็นหนาวสั่น ความมืด..หาได้ค่อยๆมืดมิดลงเพราะแสงตะวันหายลับ แต่เป็นความมืดปกคลุมอย่างรวดเร็วพร้อมท้องฟ้าที่ไร้สิ่งใด มีเพียงเศษซากตอไม้แห้งตาย ต้นไม้ที่ยืนแห้งเหี่ยวอย่างน่าสงสารและเศษฝุ่นควันปะปนในลมหนาวคละคลุ้งขึ้นมาหลายครายามที่ขยับกาย

 

                 สภาพการณ์เช่นนี้ หากเป็นห้วงเวลาที่อยู่ร่างโลกมนุษย์ ในร่างของเอนีล ชาส์เดอตงส์ อาโลอิสคงสามารถเอ่ยปากออกมาได้ว่ามันคือภูมิประเทศและอากาศแบบทะเลทราย แล้งร้อน..ไร้สิ่งมีชีวิตใด กลางคืนก็หนาวเหน็บและเวียนมาอย่างไม่ให้ทันได้ตั้งตัว แต่เมื่อบัดนี้อยู่ในร่างของเทพบุตรปีกสีดำ สัมผัสทั้งมวลบ่งบอกให้รู้ว่าในความมืดนี้มีอะไรแฝงอยู่มากกว่าที่เห็น

 

                แม้ความหนาวเหน็บหรือร้อนระอุไม่สร้างผลกระทบใดให้มากไปกว่าความรำคาญ ไม่จำเป็นต้องหลับนอนหรือดื่มกินพักผ่อนเพื่อให้มีกำลังกายมากขึ้น แต่ทว่าเหล่าเทพบุตรปีกสาวนั้นเมื่อต้องมาอยู่ในดินแดนที่แตกต่างย่อมต้องหยุดพักด้วยร่างกายไม่เคยคุ้น ซ้ำร่างกายของอาโลอิสและฟาราสยังเรียกได้ว่าอ่อนแอ ดังนั้นในคืนนี้จึงจำต้องหยุดพักไปเสียก่อน

 

                 ทั้งหมดตัดสินใจพักอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ไร้ใบต้นหนึ่ง กองไฟถูกจุดขึ้นมาอย่างง่ายดายเพียงดีดปลายนิ้ว แม้จะไม่ทำให้อบอุ่นขึ้นไปมากกว่าน้อย แต่ทว่าแสงที่สาดออกมาก็ทำให้มองเห็นรอบๆได้บ้าง รอบกายที่ท้องฟ้าไม่สิ่งใดนอกจากความมืดมิด ดวงตาสีแดงวับวามจ้องมองมาจากรอบทิศราวกับจ้องขย้ำในชั่วเวลาใดก็ตามที่พลั้งเผลอ กลิ่นอายของอันตรายและสิ่งที่ไม่อาจคาดคิดอายอวลอย่างชัดเจนเสียจนเซธยังมีสีหน้าเครียดขึ้ง เจ้าตัวกลายร่างกลับเป็นการาเวนตัวใหญ่แล้วเกาะลงบนกิ่งไม้เหนือศรีษะ ดวงตาวาววับราวกับลุกปัดจ้องมองไปรอบๆด้วยท่าทีระวังระไว

 

                 "...มีอะไรรึเปล่า?" อาโลอิสเอ่ยถามเจ้านกตัวใหญ่เหนือศีรษะ

 

                 "....คืนนี้ข้าจะเฝ้าเอง" ถ้อยคำตอบจากร่างของเจ้านกตัวยักษ์ทำให้ผู้ฟังขมวดคิ้ว

 

                 "..เจ้าควรพักบ้าง เซธ"

 

                "ข้าพักอยู่" เซธในร่างการาเวนเอ่ยตอบพลางกระพือปีกมาเกาะบนไหล่ผู้ถาม กรงเล็บจิกสางเส้นผมอีกฝ่ายเงียบๆ ท่ามกลางสายตาของเทพอีกสองตนซึ่งจ้องมาที่ตน

 

                 "มันคืออะไร..." ไคลน์เอ่ยถามแทรกขึ้นมา สีหน้ายังคงถมึงทึงไม่น้อย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววขุ่นจัดตวัดมองไปยังรอบกายที่มีดวงตาสีแดงจ้องมองมาไม่ลดละ เมื่อสิ้นคำพูดนั้น อาโลอิสและเซธต่างก็เงียบกริบและมีสีหน้าเครียดขึ้งแปลกตา แต่ทว่าผ่านไปครู่ใหญ่ตนก็ยังไม่ได้รับคำตอบ

 

                 "...วิญญาณ" อาโลอิสหันไปมองเจ้าตัวช้าๆ เมื่อพบว่าความเงียบยังคงโรยตัวลงมาและเซธไม่คิดจะออกปากพูดแทนตนเอง "....วิญญาณของปีศาจที่ถูกมันฆ่า"

 

                ไคลน์ฟังแล้วขมวดคิ้ว ปีศาจที่ถูกปีศาจฆ่าสูบเลือดเนื้อและพลังไปแต่ยังเหลือวิญญาณ ฟังดูแปลกหูนัก "...พวกมันยังเหลือวิญญาณอยู่..กระนั้นรึ"

 

                 "...ยังเหลือ" อาโลอิสมองไปท่ามกลางความมืดที่มีดวงตาสีแดงจ้องมา "....มันจะอยู่..จนกว่าจะได้เห็นแสงอาทิตย์ของยามเช้า และกลับมา เมื่อตะวันลาลับ...ยังคงอยู่จนกว่าจะได้ร่าง..ที่สามารถอยู่อาศัยได้"

 

                  "...คอยชิงร่างผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?" ไคลน์ขมวดคิ้ว ถามกลับ

 

                 "...บางคราพวกมันก็จะหลอกล่อ ส่งเสียงกระซิบนำไปสู่ความตาย..." อาโลอิสเอ่ยปากอธิบายแล้วสบตาอีกฝ่ายเงียบๆ

 

                "..ยังมี ราอาซาสอีก..ถ้าโชคดีอาจจะไม่เจอ" เซธเอ่ยขึ้นมา

 

                 "ขอให้เราไม่เจอเป็นดี" เมื่อเอ่ยถึงสัตว์ร้ายนั้นอาโลอิสก็พลันขมวดคิ้ว ก่อนจะจ้องมองไคลน์เงียบๆ ".....ระวังตัวไว้ด้วย"

 

                  "ขอบคุณในความหวังดี" ไคลน์เอ่ยเสียงเย็น แน่นอนว่ามีท่าทีไม่ต้องการคำเตือนนั้นอย่างเด่นชัด

 

                อาโลอิสหรี่ตาลงน้อยๆ แม้จะได้รับคำตอบที่ไม่หวานหูกลับมา ก็ยังเงียบไม่เอ่ยปากใด ปลายนิ้วสีขาวจัดเอื้อมไปสัมผัสขนสีดำของการาเวนบนไหล่เบาๆ ดวงตาหรุบต่ำลงคล้ายกำลังอยู่ในภวังค์ขณะที่หูก็แว่วเสียงคำรามของอมนุษย์แว่วมาตามสายลม

 

             "เจ้าก็ควรระวังตัว...ตอนนี้เจ้าอ่อนแอ" เสียงของเซธดังขึ้นในห้วงคิดทำให้ผู้ฟังถอนใจเบาๆ อาโลอิสอดนึกถึงถ้อยคำของเซดิสไม่ได้..ได้ลองคุยกันครั้งหนึ่งแล้ว เจ้าการาเวนตัวนี้ก็พูดมากเสียจริงๆ

 

              "ข้ารู้..."

 

             "เจ้ารู้แต่หาได้ระวัง..ไปมอบความห่วงใยให้คนที่เขาไม่ต้องการเพื่ออะไร"

 

             "เซธ"

 

             "บางครั้งข้าก็อยากถาม" แรงจิกบนไหล่แน่นขึ้นเมื่อเจ้ากาตัวไหล่กระพือปีกเบาๆ "เจ้าจะเฝ้าจมจ่ออยู่กับความรักที่แสนโง่งมนี้ไปเพื่ออะไร"

 

            "เงียบเสียที" อาโลอิสออกแรงดึงเส้นขนเจ้ากาตัวใหญ่เป็นการข่มขู่

 

              "...ต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมานชั่วนิรันด์..เจ้าจำสิ่งที่ข้าพูดได้ไหม?" เซธดูจะไม่สนใจเสียงขู่เข็ญ ยังคงตั้งอกตั้งใจพูดต่อไป พลางขยับปีกเบาๆแล้วเอนตัวไปมา

 

             "เจ้า..." ปลายนิ้วที่ลูบขนสีดำสนิทละออก "เป็นคนเข้าสิงนิโคลัสสินะ"

 

            "ใช่" เซธรับคำด้วยท่าทีรื่นเริงไร้ความกริ่งเกรงใด ขณะที่อาโลอิสถอนใจเบาๆ เมื่อความข้องใจของตนถูกไขออกได้อีกสิ่ง เพราะแม้จะรู้ว่านายแพทย์ผู้ช่วยที่แสนโชคร้ายของตนนั้นถูกสิงสู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะด้วยฝีมือผู้ใดกันแน่

 

                 เซดิสรึ...เจ้านายของตนนั้นดูไม่นิยมจะทำการเข้าไปอาศัยร่างผู้อื่นเช่นนั้น แต่ก็ไม่รู้จะคาดเดาว่าเป็นผู้ใด เมื่อได้ฟังคำตอบของเซธก็พลันกระจ่างในที่สุดว่าการคาดเดาของตนนั้นเป็นจริง

 

                 ..คิด..พลางอดจะนึกถึงผู้คนที่ตนเคยผูกพันธ์ด้วยไม่ได้ แม้จะเป็นร่างของเอนีลก็ตาม ทว่า..เมื่อตนนั้นได้จากไป คนที่เหลือจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรหนอ

 

                 ...อีกทั้งตอนนี้ สงครามบนโลกของมนุษย์ก็พลันบังเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน

 

                "ฟาราส...นอนเสียเถิด" น้ำเสียงอ่อนโยนยังดังขึ้นไม่ไกล ทำให้ละออกจากภวังค์ อาโลอิสหันไปลูบเส้นขนสีดำสนิทของเซธอีกครั้งราวกับบอกให้ตนเองเลิกสนใจ

 

                  "ข้า..ยังไม่อยากพักเลย"  ฟาราสยิ้มอ่อนๆให้คนรักของตน

 

                "..เจ้าต้องพักแล้ว..ดูอ่อนแรงเสียขนาดนี้" ไคลน์ลูบแก้มใสของคนรักที่มีท่าทีเหนื่อยอ่อนไม่พูดไม่จาแล้วดึงให้อีกฝ่ายหนุนตักตนเองเงียบๆ

 

                  "....ข้า" ฟาราสขมวดคิ้วน้อยๆ มีท่าทีกังวลและไม่กล้าจะหลับตา

 

                ปลายนิ้วขาวซีดที่แตะเส้นขนสีดำสนิทชะงักน้อยๆ แต่กระนั้นก็ยังลูบไล้การาเวนตัวใหญ่เบาๆ ขณะที่ดวงตาของเซธหันกลับมาเฝ้ามองเงียบๆ คล้ายกำลังขบขันกับอาการของอีกฝ่าย

 

                  "....อย่าห่วงเลย ข้าจะอยู่ข้างๆเจ้า..ไม่ไปไหน"

 

             "ผมจะอยู่ข้างๆคุณ..ไม่ไปไหน"

 

                ฝ่ามือขาวซีดชะงักอีกครั้ง ปลายนิ้วที่ค่อยลูบอย่างแผ่วเบานั้นเชื่องช้าลงจนแทบกลายเป็นวางนิ่งๆ

 

                  "...ไคลน์.."

 

                "ข้าจะปกป้องเจ้าเอง...ข้าสัญญา"

 

              "ผมจะปกป้องคุณเอง..ผมสัญญา"

 

 

                 แกว๊ก!

 

                 เสียงร้องลั่นของการาเวนทำให้ทั้งหมดสะดุ้งเฮือกราวกับหลุดออกจากภวังค์ ไคลน์หันไปมองต้นเสียง ขณะที่อาโลอิสลุกพรวด ใบหน้าสะบัดแหงนเงยขึ้นไปมองเซธที่โผขึ้นจากไหล่ตัวเองไปเกาะยังกิ่งไม้เหนือศีรษะ ดวงตาวาววับราวกับลูกปัดนั้นจ้องมองกลับมาด้วยนัยยะทั้งขบขันและไม่พอใจอยู่เจือจาง

 

                ไคลน์หันไปมองอาโลอิส เทพบุตรหนุ่มกำลังจะอ้าปากถามด้วยความไม่เข้าใจ หากแต่ก่อนจะได้ถามก็พลันมองเห็นดวงตาของอาโลอิสและเซธที่มองสบกันเงียบๆ ดวงตาสีทับทิมที่คุ้นตานั้นยังมีความทุกข์โศกและเจ็บปวดพาดผ่าน เป็นความเจ็บและทรมานที่แสนชินตา..หากแต่ก็แฝงแววร้าวลึก..

 

                 "...ข้าจะเฝ้ายามต่อแล้ว เลิกทึ้งขนกันเสียที" จงอยปากแหลมคมนั้นขยับเป็นถ้อยคำส่งมาให้ตนเป็นแน่ อาโลอิสรับรู้ พลันจบประโยคนั้นเซธก็บินขึ้นสูงไปเกาะบนยอดไม้สูงเสียจนหากไม่เอ่ยปากตะโกนก็คงไม่ได้ยิน ดวงตาสีแดงเข้มจ้องมองร่างการาเวนสีดำที่โผบินจากไปก่อนจะเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ไม่ยอมแม้จะหันไปมองเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมองมา

 

                  "ข้าก็จะเฝ้า.." เมื่อเซธโผบินทิ้งไปก็ป่วยการจะนั่งอยู่ที่เดิม อาโลอิสเอ่ยเอ่ยเสียงเรียบสนิท ไม่อยากพบเจอคำถามหรือมองเห็นการกระทำแสนอารีใดอีกต่อไปแล้ว ร่างเพรียวเม้มปากแน่น ก้าวเท้าไปยังอีกฝั่งของต้นไม้ใหญ่ที่มืดทึบไร้แสงไฟ ทรุดกายนั่งลงและปล่อยให้ความมืดกลืนกินร่างของตนราวกับไม่รู้สึกหวาดกลัวกับภัยใดที่ล้อมรอบกาย

 

                อีกฝั่งของแสงสว่างใต้กองเพลิงร้อนระอุ ไคลน์ทรุดกายลงนั่งอีกครั้ง แม้จะยังสงสัยกับอัปกริยาของผู้ร่วมเดินทางทั้งสอง ทว่าปลายนิ้วก็ยังคงเอื้อมไปหาผู้อันเป็นที่รัก ร่างของคู่รักที่นั่งกอดประคองกันเงียบๆทำเพียงปรายตามองพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของตนทั้งคู่โดยไม่มีใครพูดอะไร และเพียงไม่นาน..ดวงตาสีฟ้าสดใสของเทพบุตรผู้งดงามนามว่าฟาราสก็ปิดสนิท ใบหน้าที่แฝงความเหนื่อยอ่อนเข้าสู่นิทราอย่างเงียบเชียบ

 

                ขณะที่อีกฟากหนึ่งที่มีเพียงความมืดมิด อาโลอิสเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีเพียงสีดำ นัยน์ตาสีแดงเข้มสะท้อนความปวดร้าวออกมาอย่างไม่อาจปิดบัง บทสนทนาที่แสนคุ้นหู ถ้อยคำและนัยยะมากมายที่ตนได้ฟัง สะท้อนอยู่ในห้วงคิดและความทรงจำที่มีต่อคนผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้ง

 

                 ..จะคอยดูแล จะปกป้อง จะอยู่ข้างๆ..

 

                 ผม...มาเพื่อปกป้องคุณ

 

                หรุบตาลงช้าๆ แม้จะรู้ว่านั่นคือถ้อยคำที่อีกฝ่ายไม่ได้มีไว้ให้ตน ไคลน์ในตอนนั้น คงจะเอ่ยปากพูดกับ "ร่างของฟาราส" หาใช่ "วิญญาณของอาโลอิส" สิ่งที่อีกฝ่ายได้ทำทุกๆอย่างในยามที่เป็นมนุษย์ รวมทั้งถ้อยคำมากมายที่ตนได้รับ สิ่งเหล่านั้นคือคำที่จะส่งผ่านไปยังฟาราสทั้งสิ้น

 

                แต่แม้จะรู้...รู้ดีทุกสิ่งก็ไม่อาจเลิกหลงงมงาย

 

                 ทุกสิ่งที่ได้รับยามเมื่อเป็นมนุษย์ ยามที่อยู่ในรูปลักษณ์ของคนที่ไคลน์รักมากมายนักหนา บัดนี้กำลังย้อนกลับมาทิ่มแทงทำร้ายผู้ที่มุ่งมาดปราถนาต้องการ"รัก"ที่ไม่ใช่ของตนเอง

 

....หาใช่อาโลอิส

 

ไม่ใช่อาโลอิส

 

                  ..แม้จะรักเพียงไหน..ก็ไม่ใช่ของข้า

 

                 "....อย่าร้องไห้" เนิ่นนาน...จมอยู่ในภวังค์และห้วงคิดบางอย่าง เสียงของใครสักคนที่แสนคุ้นหูก็ดังแว่วเข้ามาในความเงียบงัน อาโลอิสเม้มปากแน่น..น้ำตา...สิ่งที่คลออยู่ในดวงตาสีทับทิบไม่ได้รินไหล หากเพียงได้ฟัง เพียงกระพริบตา มันกลับเอ่อท้นลงช้าๆราวกับรอคอยเวลานี้อยู่ก่อนแล้ว

 

                 "...ข้า.......ไม่ได้" เอ่ยออกมาสั้นๆ หากแต่ก็รีบเม้มปากเข้าหากันเมื่อรับรู้ว่าคำพูดนั้นตะกุกตะกักด้วยห้วงอารมณ์ที่ไม่ควรให้ใครได้รับรู้

 

                 "...ข้ารู้ว่า...เจ้าไม่ชอบ" เสียงของไคลน์ยังคงดังขึ้น ถ้อยคำนั้นทำให้อาโลอิสยกมือขึ้นกุมหูตัวเองราวกับไม่อยากได้ยิน สีหน้าแฝงความเจ็บปวดและคลุ้มคลั่ง ราวกับอยากร้องตะโกนว่าไม่ต้องการได้ฟังถ้อยคำเห็นอกเห็นใจและแสนดีใดๆอีกแล้ว "แต่มันคือความจริง"

 

                 "..................."

 

                 ".....เจ้าต้องรู้ และ ทำใจให้ได้"

 

                 "ข้ารู้แล้ว" เอ่ยตอบไปเสียงเบาราวกับกระซิบ

 

                 "....ข้ารักฟาราส" ไคลน์ลูบเส้นผมสีทองอำพันของคนรักตน เอนกายพิงโคนต้นไม้เงียบๆ ขณะที่เอ่ยปากบอกย้ำอีกฝ่าย...และอาจจะรวมไปถึงตอกย้ำตนเองด้วยเช่นกัน "ไม่ใช่เจ้า อาโลอิส"

 

                 คำรักนั้นสะท้านเข้ามาในหัวใจที่เจ็บปวดราวกับปลายนิ้วของอีกฝ่ายกำลังเอื้อมมือบดขยี้ให้ย่อยยับ

 

                 "....ข้ารู้..."

 

                 เอ่ยกระซิบตอบเพียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ อาโลอิสก้มหน้าลงเงียบๆฝ่ามือกำแน่น เช่นเดียวกับปลายนิ้วที่จิกลงบนฝ่ามือของตนสุดแรงเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นไห้หรือน้ำตาที่ใกล้จะรินไหลให้ย้อนกลับไปอีกครั้ง ให้มันกลับเข้าไปอยู่ในหัวอกและกลับมาเป็นอาโลอิสคนเดิมผู้ไร้หัวใจและหยดน้ำตา

 

                ไคลน์หรุบตามองใบหน้างดงามของคนรักผู้อยู่ในอ้อมแขน ดวงตาของเทพบุตรหนุ่มฉายแววขุ่นมัวและความกังวลเจือจาง และพลันถอนหายใจขึ้นมาอย่างเงียบงันเมื่อแว่วเสียงหายใจที่คล้ายกำลังสะอื้นไห้ลอยผ่าน

 

                 บนยอดไม้ที่สูงใหญ่ เซธในร่างของการาเวนตัวโตก้มลงจ้องมองต่างของทั้งสองเงียบๆ แววตาครุ่นคิดบางสิ่ง ก่อนจะตวัดสายตามองไปรอบๆที่ยังคงมีดวงตาสีแดงเข้ม และเสียงกระซิบของวิญญาณแว่วผ่านมาตามสายลม

 

                ค่ำคืน...ยังคงดำเนินต่อไป

 

                 ไม่ว่าใครจะร่ำไห้ ทุกสิ่งก็ไม่อาจหยุดเคลื่อนไหวได้ตามใจตน

 

++++++++++++++++++++++++++++++

 

                 ดึกสงัด ร่างของเทพทั้งสี่ต่างนั่งเงียบอยู่ในภวังค์ความคิดของตน หนึ่งคือฟาราสที่บัดนี้อยู่ในห้วงนิทรา อีกหนึ่งคือเซธที่อยู่ในร่างของการาเวนซึ่งเฝ้ามองไปโดยรอบเงียบๆ ขณะที่ไคลน์นิ่งนั่งมองเปลวไฟพลางลูบเส้นผมสีทองอร่ามงดงามของคนรักตนอย่างใจลอย และอาโลอิสผู้เงยหน้าจ้องมองท้องฟ้าที่ไร้ดวงดาวและมีเพียงสีดำด้วยเสี้ยวหน้าเรียบเฉยเย็นชา

 

                 เสียงเห่าหอนของบางสิ่งดังขึ้นแทรกความเงียบที่พัดผ่าน เสียงนั้นทำให้เส้นขนพลันลุกเกรียว เย็นยะเยือกไปทั่วสรรพางค์กายอย่างแปลกประหลาด อาโลอิสลุกขึ้นทันที ร่างของเทพบุตรหนุ่มก้าวเข้ามายังอีกฝั่งของต้นไม้ สมทบกับไคลน์และฟาราสที่ตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนงง แต่กระนั้น ทุกคนก็รับรู้ได้จากสัญญาณนั้นว่านี่คือการมาถึงของบางสิ่ง

 

                "เซธ" อาโลอิสเอ่ยเรียกการาเวนตัวใหญ่ มันโผลงมาเกาะไหล่ชายหนุ่มเพียงครู่ก่อนจะกลายร่างเป็นเทพอีกครั้ง เจ้าของสีผิวคร้ามเข้มก้มลงกระซิบบางอย่างข้างหูของอาโลอิส และถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ฟังขมวดคิ้ว

 

                 "อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว...ต้องรีบหนี" เซธเอ่ยตอบทุกคนเสียงเข้ม

 

                 "นั่นคือ...." ไคลน์ขมวดคิ้วช้าๆ

 

                 "....เจ้าอาจจะเคยเจอแล้วเมื่อครั้งก่อน" อาโลอิสเอ่ยเสียงเรียบ ไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าอีกฝ่าย "...มันมาตามกลิ่นของพวกเรา"

 

                 "กลิ่นอะไร?" ฟาราสเอ่ยถาม สีหน้าเครียดขึ้ง

 

                 "...สัตว์ดึกดำบรรพ์ใต้พื้นพิภพ ผู้ชื่นชอบกลืนกินเทพ...ราอาซาส" เซธอธิบายเสียงเคร่ง "มันตามกลิ่นมา..."

 

                "คำภาวนาดูจะไม่เป็นผลเสียแล้ว" อาโลอิสถอนหายใจ "คราวนี้...เราคงต้องแยกกันไป"

 

                  "อะไรนะ..." ฟาราสเอ่ยถามอย่างตกใจไม่น้อย

 

                  "ต้องแยกกัน มันมีเป็นฝูงใหญ่" ราวกับเซธจะรู้ ว่าอีกฝ่ายตกใจเรื่องอะไรจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นเสียเอง "...ถ้าไม่แยกกัน เมื่อมันเข้ามาเป็นฝูงใหญ่ จะลำบาก...อาโลอิสเจ้าไปกับข้า เจ้าสองคนไปด้วยกัน"

 

                 เซธเอื้อมมือไปคว้าแขนอาโลอิสไว้ทันทีที่พูดจบ ร่างของเทพบุตรปีกสีดำทั้งครู่เตรียมพร้อมจะจากไปทันทีที่เอ่ยเรียบร้อย เช่นเดียวกับฟาราสที่กำมือคนรักตนแน่น หากแต่ไคลน์ชะงัก ดวงตาจ้องมองฝ่ามือของทั้งสองที่จับกระชับกันเงียบๆแล้วจ้องมองไปยังความมืดที่เสียงเห่าหอนนั้นเริ่มเด่นชัด

 

                "ไม่!" คำพูดของไคลน์ทำให้ทั้งสามต่างชะงักไม่พอ เจ้าตัวยังคว้าแขนของอาโลอิสไว้มั่น ทำให้ร่างของเซธถึงกับเซวูบ

 

                 "ข้าไปกับอาโลอิส เจ้าไปกับฟาราส" ไคลน์เอ่ยเสียงเข้ม

 

                  "ทำไม?" ผู้ฟังขมวดคิ้ว

 

                 "ไคลน์...เจ้าจะทิ้งข้าไปเหรอ.." ฟาราสเอ่ยถามด้วยสีหน้าตระหนก

 

                 "ไม่ใช่" ไคลน์เอ่ยปากตอบ "...พวกมันกลัวแสงสว่าง ดังนั้นข้ากับฟาราสจึงต้องแยกกันไป ให้พวกเจ้าสองคนไปด้วยกันไม่มีประโยชน์ ฟาราสไปกับข้าเราสองคนก็ไม่รู้เส้นทาง ข้าไม่มีทางปล่อยให้คนรักของตนเองไปกับอาโลอิส..ดังนั้น เซธ เจ้าไปกับฟาราส อาโลอิส เจ้ามากับข้า"

 

                 "ได้ถามความสมัครใจข้าบ้างหรือไม่?" อาโลอิสเอ่ยถามซ้ำ ดวงตาวาววับ

 

                  "นี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด..หรือเจ้าจะปฏิเสธ?" ไคลน์ถามย้ำ จ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายขณะที่ฟาราสยังมีท่าทีกังวลใจ ส่วนเซธนั้นยิ้ม

 

                  "ข้าก็คิดว่าดีที่สุด"

 

                   "เซธ!!" อาโลอิสหันไปมองเจ้าการาเวนในร่างคนเขม็ง

 

                 "อย่าได้กังวลไป..ข้าจะดูแลคนรักของเจ้าให้ดีและเจ้า..." เซธหรี่ตาลงช้าๆ ขณะที่เอื้อมมือจับแขนฟาราส "ช่วยดูแลอาโลอิสของข้าให้ดีด้วย"

 

                 "..........." ไคลน์รับคำด้วยการหรี่ตาลงช้าๆ ท่าทีอารมณ์ขุ่นด้วยสาเหตุบางสิ่ง

 

                "...และ" ฟาราสหันมามอง ขณที่ตนเองและฟาราสนั้นกางปีกออกเตรียมโผบินออกไป "เราจะไปพบกันที่หุบเขาด้านโน้น....หวังว่าเจ้าคงไม่ลืมว่าอาโลอิสนั้นเหลือเพียงปีกข้างเดียว..ช่วยพาเขาไปด้วย..แล้วเจอกัน"

 

                "ไคลน์! เจ้ารีบตามมานะ" ฟาราสหันมาหาคนรักของตน เอื้อมมือบีบมืออีกฝ่ายแน่น

 

                  "แล้วข้าจะรีบตามไป" ไคลน์บีบมือบางตอบรับ ขณะที่อาโลอิสขมวดคิ้ว เบือนหน้าไปมองทางอื่นราวกับไม่สนใจเสียงเห่าหอนที่แว่วเข้ามากระชั้นขึ้นเรื่อยๆ

 

                 "..อ่ะ!" เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นเมื่อร่างปลิวหวือ อาโลอิสถึงกับชะงักค้างเมื่อพบว่าตนเองถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ด้านหน้าคือร่างของเซธและฟาราสที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากสัตว์ร้าย พวกเขาก็จำต้องรีบไปเช่นกัน ...แต่ด้วยสภาพแบบนี้น่ะหรือ?

 

                    "สิ่งที่ลดลงมีแค่พลังของเจ้าจริงหรือ..ทำไมถึงผอมแห้งเสียขนาดนี้" ไคลน์ออกปากบ่น ปีกอันใหญ่สีขาวบริสุทธิ์ทั้งสองข้างกางออกเตรียมตัวจะโผบิน

 

                "จะทำอะไร..ปล่อยข้าลง!" อาโลอิสร้องตวาด

 

                 "ก็จะพาหนีไปหาเซธของเจ้ายังไงล่ะ" ไคลน์ตอบคำ ดูท่าทีจะค้างคาใจกับคำพูดของการาเวนตัวนั้นไม่น้อย

 

                 "แล้วทำไมต้อง....อ่ะ" อาโลอิสหน้ามุ่ยอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายสะบัดปีกเฉียดหน้าแบบไม่พูดไม่จา

 

                 "..หงุดหงิดอะไร..กลัวไม่ได้ไปหามันหรือ? เจ้าดูจะเป็นของใครต่อใครเสียเยอะแยะเชียวนะ!!" ไคลน์ขมวดคิ้ว

 

                  "ไม่เกี่ยวกับเจ้าเสียหน่อย!!" อาโลอิสเถียงกลับหน้าดำหน้าแดง

 

                 "...รู้แล้วล่ะ" ไคลน์รับคำ ด้วยท่าทีราวกับเสียไม่ได้ ใบหน้าเบือนไปทางอื่น ท่าทีนั้นทำให้อาโลอิสลดอาการโวยวายของตนลงไปเสียครึ่ง เอ่ยบอกเบาๆ

 

                 "ปล่อยข้าลง ข้าไม่อยากไปแบบนี้"

 

                 "แล้วจะให้ทำอย่างไร?" ไคลน์ถามกลับ "เมื่อกี้ไม่ได้ฟังหรือไรว่าต้องหนี รึอยากกลายเป็นซากศพอยู่ที่นี่?"

 

                 "ข้าไม่เห็นจำได้ว่าต้องทำแบบนี้ด้วย" อาโลอิสจ้องเขม็งกลับ ไม่อยากยอมรับว่าการอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายทำให้หัวใจเต้นแรงเสียจนเจ็บแปลบ ทั้งที่เมื่อไม่นานมานี้ มันยังเจ็บเสียแทบตายจากคำพูดของอีกฝ่ายแท้ๆ

 

                 "หรือเจ้าบินเองได้กัน?" ไคลน์เลิกคิ้ว ก่อนจะสะบัดปีกขึ้นโบยบินไม่สนใจเสียงร้องประท้วงของอีกฝ่าย "ต้องไปแล้ว..ถ้ากลัวก็เกาะไว้ซะ"

 

                  "ข้าไม่ได้กลัว" อาโลอิสเม้มปากแน่น ดวงตามองข้ามไหล่อีกฝ่ายไปยังเบื้องหลังที่พวกตนทิ้งมา ต้นไม้ใหญ่ถูกโค่นจากรอยเล็บการการโจนขย้ำของสัตว์ร้ายตัวมหึมาชวนให้หวั่นผวานัก

 

                 "ไม่กลัวก็ดี ระวังหลังให้ข้าด้วย" ไคลน์เอ่ยปาก ดวงตาจ้องมองเส้นทางเบื้องหน้าเขม็ง สีหน้าแปลกไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย"เหมือนตอนนั้น.."

 

                อาโลอิสฟังแล้วชะงัก ก่อนจะรับคำเบาๆ "ได้..." 

 

                ร่างของทั้งคู่โผบินออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดวงตาสีแดงเข้มนั้นจ้องมองไปยังเบื้องหลัง อาโลอิสมองร่างของสัตว์ร้ายที่กรูกันตามมาอย่างว่องไว เช่นเดียวกับไคลน์ที่จ้องมองเส้นทางไปยังหุบผาเบื้องหน้า สัมผัสถึงน้ำหนักและร่างของอีกฝ่ายในอ้อมแขนชวนให้ตระหนักถึงชั่วเวลาที่ทั้งคู่เคยพบเจอและร่วมต่อสู้ด้วยกันมา อาโลอิสเอื้อมมือรั้งต้นคออีกฝ่ายไว้ช้าๆแสร้งทำว่าเป็นเพราะความหวาดหวั่นและสัตว์ร้ายที่ตามมาทำให้ตนเองนั้นหวาดกลัวเสียเหลือเกิน..

 

                เสียงหัวใจเต้นดังเสียจนเจ็บแปลบ ความรู้สึกที่ผกผันเพียงชั่วคืนครั้งแล้ว ครั้งเล่า แม้จะเจ็บปวดเช่นไร ก็ยังไม่อาจตัดใจได้เสียที

 

                 ลมหนาวกรีดหวิวมาจนร่างสั่นระริก นิ้วมือเเข็งชืดด้วยความเย็นแต่กระนั้นก็ยังกระชับฝ่ามือและซบหน้าลงบนไหล่ที่อยู่ห่างเพียงไม่ถึงปลายนิ้วราวกับเผลอไผล แต่อาโลอิสรู้ ตนเองนั้นตั้งใจเช่นเดียวกับปลายนิ้วที่สัมผัสร่างอีกฝ่ายนั้นเอง..

 

++++++++++++++++++++++++   

 

 

...พาร์ทนี้มันอะไรรร

ตอนแรกเถียงกัน หลังๆมาม่า หลังต่อมามุ้งมิ้ง(?) 555

ว่าแต่ อุ้มกันไปส่งเรือนหอดีๆนะคะแต่ละค--------//โดนถีบ

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
«ตอบ #56 เมื่อ16-07-2014 21:33:50 »

Lost 29 : การโจมตี

 

 

 

                ปลายนิ้วเกาะอยู่บนไหล่หนา ใบหน้าซบซุกอยู่เงียบๆและถูกโอบอุ้มไว้ในอ้อมแขนแกร่งทั้งสองข้างขณะที่โฉบบินอยู่บนนภาสีดำสนิท ห้วงเวลาที่คล้ายจะเป็นความฝันอันแสนสุข แต่แท้จริงแล้วมันกลับไม่ใช่ แม้จะโบยบินไปแต่ต่างฝ่ายกลับอยู่ในภาวะเคร่งเครียด ในมือของอาโลอิสมีดาบสีขาวที่สร้างมีจากแสงสว่างซึ่งเป็นสิ่งที่เหล่าอมนุษย์หวาดกลัว ไคลน์ได้มอบให้เพื่อคุ้มกันภัยตนจากสัตว็ร้ายที่ลอบจู่โจมมาจากด้านหลัง ขณะที่รอบกายเต็มไปด้วยเสียงเห่าหอนและคำรามจากเจ้าของดวงตาสีแดงก่ำในความมืดมิด

 

                ราอาซาสสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่มีมาเนิ่นนาน ผู้ชื่นชอบการกลืนกินและดูดซับพลังของเหล่าเทพไว้เป็นอาหาร ปีกสี่คู่ราวกับปีกนกอินทรีของมันแข็งแรงทนทาน เฉกเช่นเดียวกับกรงเล็บราวกับอุ้งมือของสิงโตที่เต็มไปด้วยพละกำลังซึ่งสามารถทำลายเสาศิลาได้ทั้งต้น ในอดีตที่มันปรากฏกายขึ้นมานั้นได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงไว้

 

                เพราะเหตุการณ์ที่น่ากลัวเช่นนี้ ราอาซาสจึงถูกผลักดันลงมายังใต้ผืนพิภพ บนขุมนรกที่ลึกสุดกระทั่งเทพบุตรปีกสีดำก็ยังไม่อยากเหยีบย่างเข้าไป คือสถานที่ซึ่งเอาไว้เป็นดินแดนกักขังสัตว์ร้าย ปีศาจที่อยู่ใต้นรกานต์ รวมถึงอสูรที่จะผุดขึ้นมาจากผืนปฐพี

 

                เสียงร้องโหยหวนราวกับหมาไนใกล้เข้ามาทุกขณะ อาโลอิสจ้องมองความมืดเบื้องล่างเขม็ง แม้จะมีปีกแต่ร่างกายที่ใหญ่โตนั้นทำให้ไม่อาจอยู่บนท้องฟ้าได้นาน พวกมันมักจะอยู่รวมกันเป็นฝูง เที่ยวซุ่มโจมตีด้วยการกระโดดและบินโฉบเป็นระยะ ร่างของพวกมันใหญ่โตและเเข็งแกร่ง ส่วนหัวนั้นคล้ายกับสิงโต ขณะที่มีปีกดั่งอินทรีและหางยาวราวกับหางของงูเห่า สัตว์ร้ายที่อยู่ในตำนานบัดนี้โผบินตามมาเพื่อกัดกินและสูบเอาพลังของพวกตนโดยเฉพาะ

 

                 เสียงคำรามที่ฟังคล้ายเสียงเห่าหอนนั้นยังคงตามติด ร่างของเจ้าสัตว์ร้ายนับสิบที่กรูกันเข้ามาหวังจะรุมล้อมกัดกินนั้นทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างทุลักทุเลนัก อาโลอิสจ้องมองร่างที่กระโจนใส่ของเจ้าสัตว์ร้ายเขม็ง หากเป็นเมื่อก่อนที่ตนเองยังมีพร้อมทั้งพลังและปีกทั้งสองข้าง ตอนนี้คงจะยืนหยัดสู้รบปรบมือกับมันอยู่เคียงข้างไคลน์เหมือนในครานั้น ไม่ได้เป็นตัวถ่วงให้อีกฝ่ายต้องลงมือจัดการไปคนเดียวเช่นนี้

 

                 ร่างกายอ่อนแอและไร้กำลังที่แสนขัดใจของตนเองทำให้อดนึกหงุดหงิดไม่ได้ ขณะที่ไคลน์ยังคงตั้งอกตั้งใจในการบินโฉบหนีเจ้าสัตว์ร้าย และระมัดระวังในการโอบประคองร่างในอ้อมแขนไม่ให้ตกลงไปด้วยเช่นกัน

 

                "..ทำไม...มันถึงมากขนาดนี้" ไคลน์เค้นเสียงถาม วุ่นวายกับการบินหลบหนีร่างของราอาซาสที่กระโจนเข้ามาหาเสียจนละสายตาไม่ได้ ขณะที่อาโลอิสเกาะไหล่อีกฝ่ายไว้แน่น ดวงตามองไปด้านหลัง มือข้างหนึ่งถือดาบยาวสีขาวของอีกฝ่ายไว้ช่วยจัดการด้านหลังให้เพราะมือทั้งคู่ของไคลน์ไม่ได้ว่างพอจะจัดการทั้งหมด

 

                "..เพราะ...เรามากันเป็นกลุ่มใหญ่ " อาโลอิสตอบพลางหอบหายใจเบาๆ การออกแรงกำจัดพวกมันครั้งแรกนับแต่กลับมาอยู่ในร่างเดิมนั้นบั่นทอนกำลังไม่น้อย "แยกกลุ่มกันไปเพื่อเบนความสนใจก็จริง แต่ตอนนี้พวกมันเจาะจงโจมตีแค่เราสองคนเสียแล้ว"

 

                "เสียรู้งั้นรึ..." ไคลน์คำรามเบาๆในลำคอ ก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อกรงเล็บของสัตว์ร้ายนั้นเฉียดแขนตนไปเพียงเสี้ยว นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะร้องบอก "เกาะไหล่ข้าไว้ ข้าจะอุ้มเจ้าด้วยแขนข้างเดียว!"

 

                "หา...อ๊ะ!" อาโลอิสตะปบไหล่อีกฝ่าย พลางร้องอุทรณ์ด้วยความตกใจไม่น้อย  กระนั้นแขนทั้งสองข้างก็เกาะแน่น ขณะที่ไคลน์เปลี่ยนจากอุ้มด้วยมือทั้งสองข้างเป็นการแบกอีกฝ่ายขึ้นพาดหลัง โอบร่างผอมไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างก็ถือดาบไว้ในมือให้มั่น เตรียมฟาดฟันกับร่างของราอาซาสที่โฉบเข้ามาหา

 

                 "เจ้าไหวรึเปล่า?" อาโลอิสขมวดคิ้ว รู้ดีว่าตนเองเป็นภาระหนักหนาทีเดียว ขณะเดียวกันก็นึกนับถือที่อีกฝ่ายไม่ปล่อยตนเองทิ้งลงไปง่ายๆ แม้เขาจะเคยทำตัวเลวร้ายไว้มากแค่ไหน

 

                 "แบกเจ้ายังเบาเสียยิ่งกว่าหอบลมด้วยซ้ำ" คำตอบนั้นฟังเหมือนคลอเสียงหัวเราะ อาโลอิสถึงกับหน้านิ่ว "ระวังหลังข้าต่อไป"

 

                 "ไม่ได้เบาเสียขนาดนั้นซะหน่อย" เอ่ยปากประท้วง ขณะที่ฟาดดาบในมือใส่สัตว์ร้ายตนหนึ่งที่โฉบเข้ามาหาให้มันผงะหลีกหนีไป แต่ไม่ช้ามันก็ทะยานกลับมาใหม่ อาโลอิสมุ่นหัวคิ้วพวกตนไม่สามารถจะทำร้ายมันได้ เพราะการลงมือนั้นเท่ากับการยั่วโมโหให้ถูกกลุ้มรุมทำร้ายมากกว่าเดิม ราอาซาสเป็นสัตว์ร้ายที่รักพวกพ้องและจะโกรธเกรี้ยวทันทีที่มีคนทำร้ายพรรคพวกของตน

 

                "...ข้าเป็นคนแบกนะ ยังจะ...อึ่ก!" ไคลน์เอ่ยปากประท้วงไปด้วยท่าทีอารมณ์ดี หากพลันก็เงียบกริบ เมื่อรับรู้ว่าแขนของตนถูกกรงเล็บคมนั้นตวัดเอาเสียจนปวดแปลบ

 

                 "เกิดอะไร?" อาโลอิสเอ่ยถามทันควัน รับรู้ได้ถึงท่าทีเปลี่ยนไปนั้น

 

                 "อย่าถามมาก.. รีบไปกันเถิด" ผู้ถูกถามตัดบทคล้ายจะรำคาญ แต่แท้จริงกลับเบี่ยงความสนใจมากกว่า ไคลน์ระงับอาการเจ็บปวดที่ตนประสบไว้พลางกระชับร่างที่เกาะอยู่บนไหล่แน่น พยายามประคองสติให้จดจ่ออยู่กับบรรดาฝูงสัตว์ร้ายที่โฉบเข้าหา

 

                "....เจ้า..." อาโลอิสอ้าปากจะถามหากพลันก็เม้มปากแน่น แม้จะรู้ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น แต่ก็ต้องหันมาสนใจเหตุการณ์ตรงหน้าจนได้ แต่การถูกกลุ้มรุมจากสัตว์ร้ายทั้งฝูง ขณะที่ตนอยู่ในอาการง่อยเปลี้ยเช่นนี้ พิเคราะห์ดูโอกาสแล้ว จะชนะช่างยากเย็นนัก

 

                ...ราอาซาสทั้งฝูงเบนความสนใจมาที่พวกตน ด้วยก็เพราะรู้ จะแบ่งกันไปจัดการตามที่ถูกดึงความสนใจ เหยื่อย่อมมีโอกาสไหวตัวหนีทัน

 

                ยามนี้ก็เช่นกัน ถ้าเพียงแต่จะ....มีคนคอยหลอกล่ออีกครั้ง..

 

                "...ถูกพวกมันโจมตีเอาหรือ" อาโลอิสถามเสียงเคร่ง ฟาดปลายดาบลงไปอย่างรุนแรงกว่าเดิม เช่นเดียวกับสีหน้าที่เครียดขึ้งขึ้น ร่างของราอาซาสตัวนั้นผงะออกไปอีกครา แต่คราวนี้มันกลับไม่โฉบหนีไปไหน ปีกใหญ่ราวกับนกอินทรีนั้นง้างออกเตรียมฟาดเข้าที่ใบหน้าและแผ่นหลังของพวกเขาทั้งคู่

 

                 "ข้าไม่เห็นรู้ส-------- เกิดอะไรขึ้น!?" ริมฝีปากที่ยกขึ้นคล้ายกำลังยิ้มแปรเป็นท่าทีเคร่งเครียดทันควัน

 

                ".........." อาโลอิสไม่ตอบอะไรขณะที่เสียงโหยหวนของราอาซาสดังก้อง ปีกดั่งนกอินทรีถูกมือขาวจัดจับแล้วกำไว้แน่นขณะที่เปลวไฟสีดำสนิทค่อยๆลุกลามและเผาไหม้ปีกข้างนั้นจนมันหลุดลงอย่างช้าๆ และทำให้ร่างของราอาซาสตนนั้นร่วงลงบนพื้นดิน

 

                "....เจ้าไม่น่าทำแบบนั้น พวกมันคุ้มคลั่งกว่าเดิม เคยบอกข้าไว้มิใช่หรือ?" ไคลน์ถามย้ำ จมูกกระสากลิ่นของเปลวไฟที่เผาไหม้บางสิ่งเจือจางมาตามลม ทั้งรับรู้ว่าคนที่อยู่บนไหล่ทำอะไรลงไปบ้าง เพราะเสียงกรีดร้องของสัตว์ร้ายนั้นดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดมากขึ้นและโฉบพุ่งมาที่พวกตนอย่างรุนแรงและกราดเกรี้ยวมากกว่าเดิม

 

                "ข้าไม่มีทางเลือก" การจะใช้ดาบไล่มันไปเพียงอย่างเดียวดูจะไม่พอเสียแล้ว อาโลอิสไม่ได้บอกว่าการใช้พลังของตนทำให้เขาเหนื่อยอ่อนและล้าแรงเพียงใด มือที่เกาะไหล่อีกฝ่ายกุมแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัวขณะที่ยกแขนขึ้นฟาดฟันร่างของเจ้าสัตว์ร้ายซึ่งกำลังคลุ้มคลั่ง

 

                 "เจ้าทำอะไรไม่คิดต่างหาก" ไคลน์ตอบเสียงเข้ม แขนที่ถูกกรงเล็บอันประกอบด้วยพิษร้ายกระซวกเอานั้นเริ่มสั่นระริก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองร่างของราอาซาสฝูงใหญ่ที่เริ่มกรูกันมามากขึ้นทุกทีด้วยความโกรธเกรี้ยวและไม่พอใจที่พรรคพวกถูกทำร้าย "...มันมามากขึ้นทุกทีแล้ว"

 

                "...ข้าคิดไว้แล้ว" คำตอบนั้นทำให้ผู้ฟังเลิกคิ้วคล้ายฉงน

 

                "เจ้ากำลังวางแผนทำอะไ----"

 

                "ปล่อยข้าลง"

 

                 "อะไรนะ?" คำตอบแทรกคำถามของตนอย่างรวดเร็วนั้นทำให้ไคลน์ชะงัก ดวงตาเบิกค้างขึ้นอย่างตกตะลึง แต่ก็ไม่ลืมจะหลบหลีกร่างของเจ้าสัตว์ร้ายที่กำลังเกรี้ยวโกรธและโฉบเข้ามาหาด้วยท่าทีดุร้ายขึ้นทุกที

 

                "ปล่อยข้าลงไป ข้าจะคอยล่อพวกมันเอง ส่วนเจ้าก็แยกออกไปซะ" อาโลอิสตอบสั้น ขณะที่มือก็ตรงเข้าฟาดฟันราอาซาสตัวแล้วตัวเล่าที่โฉบเข้ามาหา

 

                 "ทำแบบนั้นเจ้าจะถูกพวกมันรุมกัดกินจนตาย เจ้าไม่ได้มีปีกทั้งสองข้างอีกแล้วนะ!" กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ไคลน์ฟาดดาบลงไปบนร่างของราอาซาสที่พุ่งเข้ามาอย่างแรง

 

                "ข้ารู้ แต่อยู่ต่อไปก็ไม่รอดทั้งคู่ ปล่อยข้าลงไปซะ" อาโลอิสตอบกลับห้วนๆ ฝ่ามือจิกไหล่อีกคนแน่นราวกับกำลังเร่งเร้า ทั้งที่การบอกสิ่งนั้นไปไม่ต่างจากคำขอฆ่าตัวตาย แต่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ก็ต้องตายตกกันไปทั้งคู่ ทิ้งตัวเขาที่มีสภาพอ่อนแอไม่สมบูรณ์ไว้เช่นนี้ย่อมดีที่สุดแล้ว

 

                "อาโลอิส!!"

 

                 "ข้าเป็นตัวถ่วงเกาะอยู่บนหลังเจ้า ปล่อยลงไปเสียที!" สะดุ้งน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงตวาดเรียกชื่อใกล้หู ทั้งอ้อมแขนที่กระชับร่างตนแน่นขึ้นราวกับปลอกเล็กทำให้หัวใจปวดหนึบ แต่ก็ยังคงตะโกนร้องบอกอีกฝ่ายเช่นเดิม ซ้ำยังจงใจย้ำถึงวีรกรรมอันน่าชังของตนเองด้วยเช่นกัน"ข้าเป็นคนฆ่าคนรักของเจ้า..ลืมไปแล้วรึไง?"

 

                "ข้าไม่ลืม.." ได้ฟังถ้อยคำนั้นแล้วกัดฟันกรอด ไคลน์จ้องมองเชิงผาสูงเบื้องหน้า ขณะที่คลายอ้อมแขนออก "แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกัน"

 

                 "ใจดีเสียจริงนะ" อาโลอิสตอบเสียงเย็น น้ำคำราวกับจะเยาะเย้ย

 

                 "เลิกยั่วโมโหข้าซะ มันไม่สำเร็จหรอก!" ไคลน์คำรามในลำคอเสียงดัง แขนที่โอบเอวบางไว้ผละออกจนมากพอที่จะให้ร่างของอีกฝ่ายหล่นไปยังผืนดิน ชั่วขณะที่อาโลอิสนึกว่าอีกฝ่ายจะปล่อยตัวเองลงไปแล้ว แต่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น แขนอีกข้างที่มีร่องรอยถูกทำร้ายโจมตีกลับรับไว้ให้ใบหน้าและร่างแนบชิดกันจนตาสบตา ท่ามกลางการกลุ้มรุมปะทะเข้ามาของสัตว์ร้ายหลายสิบตัว

 

                 "เจ้าและข้าจะต้องรอดไปด้วยกัน จำเอาไว้!!" ดวงตาสีทับทิบสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนในระยะประชิด เสี้ยวหน้าคมที่แนบหน้าผากจรดกันยังคงองอาจหล่อเหลาเช่นเดิมจนหัวใจไม่รักดีกระตุกไหวเต้นรัวขึ้นทั้งที่อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน อาโลอิสนิ่งอึ้งอยู่สักพัก ก่อนจะพบว่าเท้าทั้งคู่ของตัวเองหยั่งลงบนผืนดินแห้งบนเชิงผาสูง

 

                "ดูแลตัวเองด้วย"

 

                เสียงกระซิบนั้นแผ่วเบาและตราตรึงนัก ยามที่อ้อมแขนอีกฝ่ายผละออกห่างฝ่าเท้าเคลื่อนที่ไม่สะดวกนัก ทั้งยังอ่อนเปลี้ยจากการใช้พลังครั้งล่าสุดทำให้ร่างเซวาบ อาโลอิสกำลังจะเอ่ยถามถึงเหตุผลของการมายืนเป็นเป้านิ่งอยู่ที่นี่ ขณะที่ร่างของราอาซาสผู้โกรธเกรี้ยวนับสิบกำลังโถมเข้าหา แต่เมื่อร่างของไคลน์ผละออกไป ตนก็เข้าใจถึงทุกสิ่งได้ในทันที

 

                ....คำพูดเมื่อครู่ไม่ต่างจากคำลา

 

                ทิ้ง...ข้าไว้

 

                ฝ่ามือที่กำดาบไว้ข้างตัวสั่นระริกครู่หนึ่งแต่ก็ยังคงถือไว้มั่น อาโลอิสจ้องมองร่างของไคลน์ที่ขยับปีกโผบินห่างออกไป ใบหน้าที่ฉายแววหวาดหวั่นพยายามสงบสติอารมณ์ตนเองให้กลับเป็นนิ่งขึงไม่หวั่นไหว ไม่ได้ร้องเรียกหรือตะโกนอะไรออกไป ไม่ได้นึกโทษหรือโกรธอันใด เพราะทุกสิ่งที่อีกฝ่ายทำล้วนมาจากคำขอของตน

 

                ...เป็นสิ่งที่สมควรทำที่สุดแล้ว หากปล่อยให้พวกมันโจมตีต่อไปก็รังแต่จะพบจุดจบด้วยกันทั้งคู่

 

                ดีแล้ว...ทิ้งข้าไปซะ ปล่อยข้าไว้ แล้วเจ้าก็หนีไปสมทบกับเซธและฟาราสผู้เป็นที่รักนั้น

 

                เม้มปากแน่น ขณะที่ยกดาบขึ้นช้าๆ อาโลอิสมองไปโดยรอบที่ร่างของราอาซาสนับสิบกำลังปรี่เข้ามาล้อมวงรอบตนไว้ อาจจะเพราะถูกวางไว้เป็นจุดสนใจ รึเป็นเพราะผู้ที่โจมตีพรรคพวกของตนคือตัวอาโลอิสเอง ร่างของพวกมันจึงคุมเชิงมองโดยรอบ จ้องมองมาด้วยดวงตาสีแดงวาววับ ไม่ได้ผละออกไปหาไคลน์ที่บัดนี้หายไปกับความมืดมิด

 

                ดวงตาสีทับทิมไหวระริกครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงเจ้าของอ้อมกอดอุ่นและถ้อยคำนั้น แม้จะเป็นฝ่ายออกปากว่าให้ทิ้งไว้ แต่เมื่อถูกทิ้งขึ้นมาจริงๆ กลับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว

 

                ...เราจะรอดไปด้วยกัน...เพราะครู่หนึ่ง เผลอเชื่อและยึดติดกับถ้อยคำนั้น

 

                เชื่อ....ทั้งที่รู้ว่าไคลน์นั้นไม่ได้รักตนสักนิดเดียวแท้ๆ

 

 

 

                 กรรรรรร...

 

                 เสียงคำรามของเจ้าสัตว์ร้ายแทรกขึ้นมาในห้วงคิด อาโลอิสจ้องมองร่างที่ย่างสามขุมเข้ามาขณะที่ปีกของมันยกขึ้นเตรียมสะบัดโผเข้ามาหาตน เทพบุตรปีกสีดำถือดาบขาวบริสุทธิ์ในมือไว้แม้จะต้องตาย แต่กระนั้นก็ยังหวังจะกำจัดพวกมันให้ได้มากที่สุดและไม่ยอมจะสลายไปโดยไม่ต่อสู้ใดแน่นอน

 

                 ร่างของราอาซาสตนแรกกระโจนเข้ามา อาโลอิสยกดาบขึ้นกันและตวัดฟาดจู่ออกมาไปห่างๆ แต่เพียงครู่เจ้าสัตว์ร้ายที่สอง สาม และสี่กระเริ่มกระโจนสลับกันเข้าหา เสียงคำราม กรงเล็บ และปีกอินทรีที่สะบัดรอบกายา บ่งบอกให้รู้ชัดเจนว่าไม่อาจหลบหนีไปแม้พยายามเช่นไร เพียงไม่นานวงล้อมก็กระชับเข้ามาพร้อมๆกับร่างที่รุมกระโจนเข้าใส่ ทำให้แส่งสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่มาจากดาบสีขาวนั้นจางหายไปเช่นเดียวกับร่างของเทพบุตรในชุดสีดำที่ตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายในตำนาน

 

                เสียงตะโกนดังลั่นเสียจนพื้นดินสะเทือนไหว มันเกิดขึ้นพร้อมกับแสงสว่างสาดจ้าไปทั่วบริเวณ สว่างจัดเสียจนต้องปิดตาด้วยไม่อาจต้านทาน เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากบรรดาวิญญาณของปีศาจและสัตว์ร้ายที่มีดวงตาสีแดงก่ำ พวกมันต่างเผ่นหนี กระโจนวิ่งออกไปให้ไกลด้วยพ่ายแพ้ต่อแสงสว่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกอันมืดมิด บ้างที่หลีกไม่ทันต่างก็ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด และไม่นาน..ร่างกายอันแข็งแกร่งพวกมันต่างก็สลายกลายเป็นผุยผง แปรเป็นหนึ่งเดียวกันกับเศษฝุ่นและธุลีดินที่คละคลุ้งทั่วบริเวณ

 

                ฝ่าเท้าเหยียบย่างลงบนผืนดินอย่างนุ่มนวลเสียจนเศษใบไม้ยังไม่กระดิก เทพบุตรผู้มีปีกสีขาวเรืองรองโอบร่างของเทพผู้อยู่ในอาภรณ์สีดำสนิทไว้ได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะร่วงลงบนผืนดิน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองร่างในอ้อมแขนด้วยแววตาห่วงใย ก่อนจะพลันเบาใจไปได้เมื่อไม่พบบาดแผลร้ายแรง ดึงปลายดาบสีขาวที่อีกฝ่ายกำไว้แน่นมาไว้ในมือก่อนจะสอดแขนทั้งสองข้างอุ้มเอาร่างที่หลับสนิทไว้ในอ้อมแขนทั้งสองข้าง กระชับอ้อมกอด ปลายปีกสีขาวสะบัดเบาๆและโผบินไปในความมืดมิดท่ามกลางรัตติกาลอันยาวนาน..

 

++++++++++++++++++++++++++++++

 

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
«ตอบ #57 เมื่อ16-07-2014 21:34:03 »



                ไม่มีเสียงของหยดน้ำ หรือแม้แต่เสียงเห่าหอนของสิ่งใดยามที่สติรับรู้ค่อยกลับมาหาอย่างช้าๆ อาโลอิสขมวดคิ้ว ครางเบาๆในลำคอขณะที่รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงทั้งยังปวดตามเนื้อตัวอย่างน่าประหลาด ค่อยๆคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ดวงตาจะเบิกขึ้นอย่างตกตะลึงทั้งยังงวยงงเป็นที่สุด

 

                ปิดตาลงเมื่อแสงจ้าสาดเข้าปะทะดวงตา แม้จะไม่ใช่แสงอาทิตย์ แต่กลางวันในดินแดนใต้พิภพก็แตกต่างจากยามค่ำคืนไม่น้อย อาโลอิสรับรู้ได้ว่าตนเองกำลังนอนหนุนอะไรบางอย่างอยู่ ฝ่ามือที่ละออกจากดวงตานั้นจึงคลำเปะปะอย่างช้าๆ ก่อนที่หัวคิ้วจะพลันขมวดแน่นเมื่อพบว่าเป็นมือของใครคนหนึ่ง

 

                ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะหัวใจไม่รักดีจะกระตุกไหวอย่างรวดเร็วเมื่อมองเห็นเสี้ยวหน้าอันเคยคุ้น ใบหน้าที่แสนเคยคุ้นเมื่อมองจากด้านล่างและเห็นแนวลำคอที่เป็นเส้นโค้งสวยงามและปลายคางของอีกฝ่ายนั้นดูแปลกตาและทำให้ผิวแก้มแดงวาบ แต่ก่อนจะยินดีพลันก็คิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาซึ่งวาบผ่านในสมอง...ริมฝีปากสีจางแย้มรอยยิ้มออกมาอย่างลืมตัวเมื่อตระหนักได้ว่าเจ้าของแสงสีขาวสว่างนั้นคือใคร ที่สุดแล้วไคลน์ก็กลับมาช่วยเขาตามที่อีกฝ่ายเอ่ยปากว่าจะรอดกลับไปด้วยกัน

 

                 "...ยิ้มเพราะดีใจที่ตัวเองยังไม่ตายหรือ..อาโลอิส?" ใบหน้าที่เมื่อครู่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดพับอย่างเหนื่อยอ่อนนั้นลืมขึ้นช้าๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแลสบมาพร้อมรอยยิ้มบางๆตรงมุมปากนั้นดูงดงามหล่อเหลา ทำให้ผู้ถูกเอ่ยถามถึงกับสะดุ้ง แก้มร้อนวาบ

 

                 "...ข้า......" ทำได้เพียงเม้มปากแน่นและเสหลบตา เป็นอีกครั้งที่ไม่อาจจะตอบอะไร ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองนอนหลับบนตักของอีกฝ่าย ที่เดียวกับที่ไคลน์นั้นอนุญาติให้คนรักของตนเองหลับตาลงไปได้  อาโลอิสรีบขยับตัวอย่างเร่งร้อน หยัดกายลุกขึ้นมานั่ง

 

                "..ระวังหน่อย..กำลังของเจ้ายังไม่ฟื้นตัวดี" เพราะยังอ่อนเพลียเช่นที่ไคลน์บอก ร่างที่ผุดลึกไปได้เพียงครึ่งจึงเซวูบ และมีท่อนแขนของไคลน์สอดประคองแผ่นหลังไว้อย่างรวดเร็วราวกับคอยมองอยู่ก่อนแล้ว อาโลอิสเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้ออีกฝ่าย ก้มหน้าน้อยๆ กริยาอาการและการปฏิบัติที่แสนอ่อนโยนนั้นทำให้หัวใจของตนยิ่งเต้นระรัว

 

                "ขอบ...คุณ" อาโลอิสพึมพัมรับคำเบาๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นมานั่งได้ในที่สุดด้วยความช่วยเหลือของอีกฝ่าย แต่เมื่อได้มองไปรอบๆ หัวคิ้วก็พลันขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

 

                "...เรายังไม่ได้ไปสมทบกับเซธและฟาราสใช่หรือไม่?" อาโลอิสเอ่ยถามสิ่งที่ตนเองข้องใจ ด้วยหากไปรวมกับทั้งสองคน ไคลน์คงไม่ได้มอบตักของตนเองให้เขาหนุนนอน และ..พวกเขาทั้งคู่คงไม่พักอยู่ในสถานที่เช่นนี้

 

                โพรงหินที่อยู่ลึกเข้าไปในเชิงผา ถูกกัดเซาะเป็นถ้ำขนาดเล็กที่ไม่มีผู้อาศัย มันกลายเป็นที่หลบซ่อนยามอยู่ภายใต้เงื้อมเงาของเชิงเขาสูงใหญ่ สถานที่เช่นนี้เป็นที่หลบซ่อนชั้นยอด แต่ก็เป็นอันตราย หากถูกสัตว์ร้ายใดพบตัวคงมิวายถูกโจมตีและทำร้ายคาโพรงหินที่ไม่มีทางออกนี้แน่นอน

 

                "...ข้าไปไม่ถึง..ขอโทษด้วย" ไคลน์เอนตัวพิงกับผนังโพรงถ้ำที่ทำจากหินสีแดงเข้มอีกครา ท่าทีแปลกประหลาดนั้นทำให้อาโลอิสขมวดคิ้ว

 

                 "....เกิดอะไรขึ้น?" เอ่ยถามอย่างข้องใจ พลางหันมาสำรวจตนเองบ้าง อาโลอิสพบว่านอกจากรอยขีดข่วนเล็กน้อยที่จะหายไปตามกาลเวลาและอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเนื่องจากใช้พลังมากเกินไปและโหมใช้ร่างกายของตนแล้วก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ  นิ่งคิดไปครู่ก่อนจะชะงักอีกครา จนจำได้ดีว่าท่ามกลางวงล้อมของราอาซาสนั้น เกิดแผลใหญ่บริเวณช่วงแขน แล้วเหตุใดมันจึงหายไปราวกับไม่มีอยู่กระนั้นเล่า

 

                "ข้าหมดแรงเสียก่อน อาจจะต้องพัก" ไคลน์บอกไปเพียงเท่านั้น ก่อนจะชะงักเมื่ออีกฝ่ายดึงเอามือขวาของตนไปสำรวจ

 

                 "....ไม่หายรึ?" อาโลอิสถามซ้ำ จ้องมองหลังมือของอีกฝ่ายที่เป็นแนวยาวคล้ายถูกกรงเล็บตวัดเข้าใส่ มันเป็นฝีมือของราอาซาสไม่ผิดแน่ ซ้ำยามนี้มันยังกลายเป็นแผลสีดำน่ากลัว แม้จะไม่มีโลหิตไหลริน แต่ก็ยังไม่หายไป ผิวเนื้อบริเวณโดยรอบนั้นแดงก่ำ บ่งชัดว่าเจ็บปวดไม่ใช่น้อย

 

                "...พิษของราอาซาสรักษาได้ด้วยเลือด" ไคลน์ดึงมือกลับแล้วตอบเสียงเรียบ "แต่ข้าใช้เลือดตนเองไม่ได้"

 

                 "เจ้าใช้เลือดตนเองรักษาข้าไปแล้ว" อาโลอิสเอ่ยบอกสิ่งที่ตนคาดว่าอีกฝ่ายได้ทำไปไม่ผิดแน่ เพราะหากไม่นำโลหิตของเทพบุตรปีกสีขาว เจ้าของแสงสว่างที่ราอาซาสกลัวเกรงมารินรดที่บาดแผล รอยแผลที่แขนของตนคงไม่หายได้ง่ายดายปานนี้ การรักษาบาดแผลที่เกิดจากคมเขี้ยว และพิษของสัตว์ร้ายที่เกิดจากความมืด ย่อมต้องนำเอาแสงสว่างมาเยียวยา

 

                "...ข้ารักษาตนเองไม่ได้" ไคลน์หัวเราะ เทพผู้มีปีกสีขาว แม้จะใช้เลือดของตนรักษาแผลให้ผู้อื่นได้ แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ นั่นคือ ไม่สามารถรักษาให้ตนเองได้เช่นกัน

 

                 "...ถ้าหาก..เจ้าไปกับฟาราส...คงจะดีกว่า" อาโลอิสกลืนน้ำลายช้าๆ บาดแผลของอีกฝ่ายแม้จะไม่เกิดจากตนเอง แต่บัดนี้ก็รู้สึกไม่ต่าง

 

                  ไคลน์ขมวดคิ้วน้อยๆ "ข้าเป็นผู้เลือกตัดสินใจเอง...และ..ตอนนี้ข้าหมดแรง เพราะใช้พลังไปมาก จึงไม่อาจจะบินได้สักพัก..ระหว่างนี้เจ้าคงต้องรอ..และพักรักษาตัวเช่นเดียวกัน"

 

                 ".........." อาโลอิสเม้มปากเข้าหากันช้าๆ แม้ท่าทีของอีกฝ่ายจะดูผ่อนคลาย แต่ตนก็รับรู้ได้ว่ามันเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อน การใช้พลังที่ควรเก็บรักษาไว้ยามต่อกรกับอสูรร้ายมาช่วยเหลือตนจากการรุมโจมตีของราอาซาสเป็นการกระทำที่ส่งผลร้ายต่อตัวไคลน์มากกว่าที่คิด เทพบุตรปีกสีขาวนั้นไม่อาจซึมซับพลังได้จากความมืดมิดเช่นตน การได้มาอยู่ในที่แห่งนี้ยามร่างกายอ่อนกำลัง ไม่ต่างกับการทรมานตนเอง

 

                 ..แล้วยัง...รอยแผลนั้น

 

                เอื้อมมือไปมองรอยแผลนั้นอีกครา ขณะที่เลือดของอีกฝ่ายสามารถช่วยเหลือตนได้ โลหิตของเทพบุตรปีกสีดำนั้นไม่อาจจะช่วยเยียวยารักษาอาการป่วยไข้ของผู้ใดได้แม้แต่ของตนเอง  เป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับทำลาย...หาใช่การดูแลและปกป้อง

 

                "ความผิดของข้า...." นิ่งไปสักพัก อาโลอิสก็ถอนหายใจเบาๆ

 

                 "ไม่ใช่....เจ้าพักเสียเถิด" ไคลน์หลับตาลง ขมวดคิ้วไม่ต่อคำ

 

                  "มันคือความจริง"

 

                  "ข้าบอกว่าไม่ใช่อย่างไรเล่า" เทพบุตรหนุ่มเอ่ยด้วยท่าทีหงุดหงิด พลางสบมองดวงตาสีทับทิบคู่งาม "พูดเช่นนี้ เหมือนจะดูถูกการตัดสินใจของข้าเลยไม่ใช่หรือไร"

 

                "......แต่" อาโลอิสเม้มปากเข้าหากันช้าๆ

 

                 "ถ้าเจ้าจะเอาแต่ขอโทษ..ช่วยคิดวิธีเพิ่มพลังให้ข้าดีกว่า..จะได้รีบออกไปกัน" ไคลน์หันมามองเทพบุตรปีกสีดำเบื้องหน้า ที่บัดนี้ตนรับรู้ได้แล้วว่าช่างดื้อด้านนักไม่ต่างอะไรกับยามที่ใช้ชีวิตอยู่ในร่างของมนุษย์แม้นสักนิด "อย่ามัวมานั่งขอโทษนะ ข้าไม่อยากจะฟัง"

 

                ถ้อยคำนั้นทำให้อาโลอิสนิ่ง ไม่เอ่ยปากบอกอะไรแม้ความขัดข้องใจยังจะมีอยู่ ทั้งยังสำนึกว่าตนเป็นฝ่ายหาเรื่องเดือดร้อนให้อีกฝ่ายชัดเจน

 

                "ข้า...." ผ่านไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะรวบรวมความกล้าได้อีกครา เทพบุตรปีกสีดำตรงหน้าจึงเอ่ยปากขึ้นมาใหม่

 

                 ".............." ไคลน์ไม่พูดอะไร แต่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยนัยยะชัดเจน ที่บอกว่า..เลิกขอโทษเสียที

 

                "...ขอบคุณ"

 

                 คำขอบคุณที่ดังออกมาแผ่วเบาทำให้ผู้ฟังชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาจางๆดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววอุ่นหวานจ้องมองใบหน้าที่ยังคงก้มต่ำราวกับครุ่นคิดของอีกฝ่าย และเมื่อเจ้าตัวรู้ว่าถูกจ้องและเงยหน้าขึ้นมาอีกครา ไคลน์ก็มองไปทางอื่น ทำเป็นไม่รู้เห็นไปเสีย

 

                "ข้า...มีวิธีช่วยเพิ่มพลังให้" อาโลอิสเอ่ยขึ้นช้าๆ เงยหน้าขึ้นมาอีกคราเมื่อรับรู้ได้ว่าถูกจ้องมอง แม้จะนึกแปลกใจที่เงยหน้าขึ้นแล้วไม่พบว่าอีกฝ่ายดูอยู่ แต่กระนั้นก็คิดว่ามันคือการคาดฝันไปเองเสีย ดวงตาสีทับทิมมองเสี้ยวหน้าที่หันไปทางอื่นและคล้ายกำลังจะปิดตาลง ใบหน้าฉายแววครุ่นคิด ขณะที่เอื้อมมือวางลงบนไหล่อีกฝ่าย

 

                "วิธีอะไร?" ไคลน์เอ่ยถามกลับพลางเปิดดวงตาขึ้นมาอีกครา ก่อนจะพบว่าเจ้าของดวงตาสีทับทิมจ้องมองมาที่ตนอยู่ก่อนแล้ว และวางมือลงบนไหล่เงียบๆ

 

                 "วิธีนี้......" ไคลน์ขมวดคิ้วช้าๆ เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็รับรู้ได้ทันที "..มันไม่เป็นผลดีกับเจ้า"

 

                "ข้าเพียงแค่..มอบพลังที่ซึมซับจากความมืดไปให้.." อาโลอิสตอบสั้น สบมองดวงตาของอีกฝ่าย คล้ายจะถามว่าจะรับ..หรือไม่รับ

 

                เทพบุตรปีกสีขาวไม่สามารถซึมซับพลังจากความมืดอันบริสุทธิ์ที่อยู่ใต้พื้นพิภพเพราะมันไม่ใช่ที่ของตนก็จริง แต่กับเทพบุตรปีกสีดำแล้วไม่ใช่ ยิ่งดำดิ่งลงไปลึกเท่าไหร่ ยิ่งสัมผัสความมืดมากขึ้นแค่ไหน ร่างกายจะยิ่งแข็งแกร่งและมีพลังมากขึ้นจากสิ่งที่ตนเองได้รับ แต่ในยามนี้ คนที่มีปีกทั้งสองข้างซึ่งจะสามารถพาตนไปสู่จุดหมายได้มีเพียงไคลน์ ที่อยู่ในอาการเหนื่อยอ่อนจากการใช้พลังเกินตัว และบาดเจ็บจากบาดแผลที่ราอาซาสโจมตี

 

                 แต่การมอบพลังให้ใช่จะทำไม่ได้ แม้สีขาวและสีดำจะแตกต่าง แต่ก็กำเนิดมาจากสิ่งเดียวกัน พลังที่ได้รับมาจากผืนพิภพและความมืดมิด สามารถแปรเป็นพลังที่มอบให้อีกฝ่ายได้ เพียงแต่ต้องเป็นพลังที่ได้รับจากตนเท่านั้น

 

                ..ใช่แล้ว..อาโลอิสกำลังคิดจะถ่ายทอดพลังของตนเองให้กับไคลน์

 

                ใบหน้าขาวที่บัดนี้เริ่มขึ้นสีจัดโน้มเข้าไปใกล้ใบหน้าของอีกฝ่าย ดวงตาสีทับทิมไหวระริกด้วยความรู้สึกที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ สบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เฝ้ามองมาเงียบๆ ขณะที่ฝ่ามือของเทพบุตรปีกสาขาววางลงบนเอวราวกับคำตกลงเช่นเดียวกับปลายนิ้วของตนเองที่วางลงบนไหล่ของไคลน์  และ..อย่างช้าๆ ริมฝีปากสีจางก็แตะลงบนเรียวปากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา เพื่อถ่ายทอดพลังของตนให้กับเทพบุตรหนุ่มตรงหน้า

 

                ....แต่อาโลอิสก็รู้ ว่าสำหรับตัวเองแล้วมันไม่ใช่แค่นั้น

 

                 ข้าอยากจะจูบเขา

 

             แท้จริงแล้ว ตนต้องการเพียงแค่นี้เท่านั้นเอง

 

+++++++++++++++++++

 

 

...ตอนนี้ เผลอทำน้ำตาลหกค่ะ55

//หกชนิดเป็นลิตรๆเลย ฮ่าาาา

แรกๆแอบบู้และคุณพระเอกของเราเกือบจะโดนเอฟซีต่ออีกรอบแล้ว

แต่หลังๆมุ้งมิ้งสุดๆเหลือเกินนนน อยากเปิดเพลง Kiss me ให้เธอจริงจริ๊งงงง //โดนเตะฐานพูดมาก

แล้วเจอกันตอนต่อไปค่าาา

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
«ตอบ #58 เมื่อ16-07-2014 21:34:50 »

Lost 30 : เพียงเสี้ยวเวลา

 

                 ปลายนิ้วขาวจัด เย็นเฉียบแตะลงบนไหล่คล้ายกำลังลังเล ไม่แน่ใจ ดวงตาสีโลหิตที่ระริกไหว นัยน์ตาคู่นั้นจ้องมองมาด้วยกระแสบางอย่างไคลน์สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นระคนกระวนกระวายที่แม้พยายามปกปิดแค่ไหนก็ยังคงหลุดรอดออกมาได้  ร่างกายที่ขยับเข้ามาใกล้นั้นคล้ายจะอวลด้วยกลิ่นของกุหลาบที่ตนคุ้นเคยเมื่อยามใกล้ชิดในคราวก่อน ทั้งที่แตกต่างหากแต่เจ้าของดวงตาสีโลหิตและเส้นผมสีเข้มนั้นก็มีบางสิ่งคล้ายคลึงกับผู้ที่ปลิดชีวิตจากตนไปในครานั้น

 

                ริมฝีปากบางกดแนบเบาๆ ส่งผ่านไอบริสุทธิ์ของวิญญาณและพลังที่มาจากต้นกำเนิดเดียวกันมอบให้อีกฝ่าย พลังที่บริสุธิ์ซึ่งจะช่วยเยียวยาบาดแผลและเพิ่มกำลังวังชา ไคลน์รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ลดลงและรับรู้ได้ว่ารอยแผลที่มีเลือดซึมนั้นกำลังถูกสมานเยียวยาช้าๆ แม้จะไม่ได้รวดเร็วเช่นการรักษาด้วยเลือด แต่ก็นับว่าดีมากพอแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ และสิ่งที่ควรทำคือให้เทพบุตรปีกสีดำตรงหน้าผละออกไปเสียก่อนจะหมดเรี่ยวแรงด้วยมอบพลังให้มากเกินไป ทว่าการกระทำกลับสวนทางกับห้วงคิด กลิ่นหอมของกุหลาบที่อายอวลออกมารอบกายนั้นราวกับจะขับกล่อมให้หลงไหล เย้ายวนเสียจนไม่อาจะผละอ้อมแขนออกไปได้ ฝ่ามือหนาโอบรอบเอวอีกฝ่าย เรียวลิ้นที่ถูกตวัดรับยามกดแนบริมฝีปากเพียงแผ่วเบาทำให้ไหล่ผอมสะดุ้งไหว ชาหนึบด้วยความเจ็บแปลบปนวาบหวามเมื่อริมฝีปากคู่นั้นเบียดทับ

 

                แม้กระส่งผ่านพลังที่ตนมอบให้จะต้องมอบผ่านริมฝีปาก ทว่าบัดนี้มันกลับผิดแผกออกไปเมื่อปลายลิ้นนั้นยังคงคลอเคลียไม่ผละไปไหนราวกับจะแกล้งสูบเอาวิญญาณทั้งหมดไปกระนั้น ทว่าหากเทียบกับการแสร้งกอดจูบเพื่อลักพาเอาพลังจากไปการกระทำของอีกฝ่ายกลับอ่อนหวานยิ่งนัก ริมฝีปากที่บดเบียดเข้าคลอเคลีย สัมผัสที่นุ่มนวลหากก็แฝงความเอาแต่ใจ คอยฉุดรั้งไว้เมื่อยามดิ้นรนจะผละออก ก่อนจะค่อยแตะต้องด้วยความอ่อนโยนเมื่อไม่มีท่าทีจะต่อต้าน ท่าทีทั้งหลายนั้นทำให้สมองมึนชา เช่นเดียวกับความคิดที่สะดุดหยุดลงอย่างไม่อาจต้านทานสิ่งใดไหว

 

                ...ถ้าหาก การจะถูกพรากวิญญาณและพลังทั้งหมดจากไปจะหอมหวานเช่นนี้ อาโลอิสคงจะยินยอมให้อีกฝ่ายเอาไปแต่โดยดี และขออยู่กับความทรงจำอันแสนหอมหวนเช่นนี้ตลอดไป

 

                 หากแต่ แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น

 

                หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ อ้อมกอดที่โอบล้อมกายไว้ก็ผละห่าง ราวกับถูกฉีกกระชากออกจากความฝันแสนหวานมายืนอยู่บนความจริงสีทึบหม่น ฝ่ามือของไคลน์ที่ดึงเอาร่างของตนออกไปห่างจากตัวราวกับต้องของร้อนนั้นทำให้หัวใจกระตุกวูบ อาโลอิสเม้มปากเข้าหากันช้าๆไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากตำหนิกหรือทำสิ่งใดยามเมื่อสบมองดวงตาสีน้ำตาลที่ฉายแววตกตะลึงและไม่อาจรับความจริงได้คู่นั้น  ไม่ต้องรอให้อีกคนได้อ้าปากเอ่ยประณาม ตนก็เป็นฝ่ายเบี่ยงกายออกแล้วผละไปนั่งห่างออกไปเงียบๆ

 

                 ยกมือกำแขน รอยบีบที่แรงไม่น้อยยังทิ้งความร้อนและความเจ็บหนึบเอาไว้ ไม่ได้เจ็บมากมายอะไร ไม่ได้เจ็บเลยหากเทียบกับความเจ็บในหัวใจที่ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นจับขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

                 ช่างน่าขันนัก ที่เมื่อครู่ตนเองนั้นยังคงยินดี หัวใจพองฟูเต็มไปด้วยความปิดติเสียจนน่าสังเวช กระทั่งคิดว่าขอตายไปในอ้อมแขนอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ..ไม่เท่าไหร่ ความจริงก็เข้ามากระหน่ำซ้ำเติมว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายรังเกียจตนเช่นไร

 

                กลืนน้ำลายลงช้าๆ หรุบตาลงพลางซุกตัวลงแนบกับแผ่นหินที่เย็นเฉียบเช่นเดียวกับหัวใจ พลังที่มอบให้อีกฝ่ายไปไม่น้อยทำให้ร่ายกายเริ่มล้าหนัก อาโลอิสวางมือลงแนบผืนศิลาสีดำ สูดหายใจลึกๆด้วยหวังจะประคับประคองสติของตนและซึมซับพลังมาเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้ต้องเป็นภาระแก่ผู้อื่นอีกครั้ง ทั้งเพื่อบอกตนเองอย่างเงียบงันว่าให้เลิกคาดหวังเฝ้าฝันลมๆแล้งๆเสียที

 

                 ร่างที่ขยับห่างออกไปทันทีที่ดึงเอาอีกฝ่ายออกจากอ้อมแขน ไคลน์จ้องมองร่างของเทพบุตรปีกสีดำตรงหน้าด้วยความตกตะลึงปนคาดไม่ถึง ตกใจที่ตนเองนั้นหลงไหลและคลั่งไคล้อีกฝ่ายมากเสียขนาดนี้รวมทั้งคาดไม่ถึงว่าความปรารถนาเบื้องลึกบางอย่างจะงอกเงยขึ้นมายามเมื่อได้กกกอดและสัมผัสคนตรงหน้า

 

                    ...มัน ไม่ถูกต้อง และไม่ควรจะเป็นเช่นนี้

 

                กระซิบบอกตนเองอย่างตระหนก ยามสบมองดวงตาสีโลหิตที่จ้องมองมาเช่นกัน ดวงตาที่เคยปรือหวานเบิกกว้างขึ้นแล้วนิ่งอึ้งไปก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็ว  ไม่ทันที่ตนจะได้เอ่ยปากใด  เจ้าของร่างในชุดสีดำสนิทก็เป็นฝ่ายลุกหนี ขยับกายไปเบียดซุกแผ่นหินเงียบๆ ราวกับสัตว์บาดเจ็บที่ถูกทำร้ายและต้องการที่พักพิง

 

                 อัปกริยาของอีกฝ่ายช่างน่าสงสารเสียจนหัวใจพลันหม่นวูบ  ไคลน์ขมวดคิ้วน้อยๆ คิดจะเอื้อมมือไปหาหากแต่ก็ต้องรั้งแขนกลับครั้งแล้ว ครั้งเล่า ความลังเลที่ไม่ควรบังเกิดทำให้นึกหงุดหงิดนัก ทั้งที่ไม่ควรจะสนใจไยดีอีกฝ่าย แต่ท่าทีน่าสงสารเช่นนั้นก็ทำให้อดใจอ่อนไม่ได้ แต่การจะเอื้อมมือไปโดยไม่มีสาเหตุและเหตุผลที่ดีพอ เพียงจะบอกว่า"อยากทำ"นั้นไม่ควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง

 

                 ...มันเหมือนข้ากำลังนอกใจฟาราส

 

                 เหมือนตัวข้ากำลังชกชิงแย่งฉวยโอกาสที่อยู่ห่างจากคนรักทำตามความปรารถนาตนเองทั้งที่รู้ว่าไม่ควรยิ่งนัก

 

                ฝ่ามือที่ เอื้อมไปหาเจ้าของแผ่นหลังสีดำชะงักลงครู่หนึ่งแล้วลดลงอีกครั้ง ไคลน์หลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้ความเงียบดำเนินไปเช่นเดิม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันพลางจ้องมองฝ่ามือของตนแล้วประหวัดไปถึงยามมีอีกฝ่ายอยู่ในอ้อมแขน กลิ่นหอมยั่วเย้าของดอกกุหลาบเจือโลหิตนั้นทำให้สติเตลิดไปไกล เคลิบเคลิ้มกับจูบหวานๆและรสชาติของอีกฝ่ายเสียจนแทบอดใจไม่ไหว ทั้งที่มันเป็นสัมผัสเพื่อมอบพลัง แต่ยามที่บาดแผลค่อยสมาน อ้อมแขนกลับรัดเอาอีกฝ่ายไว้อย่างไม่รู้ตัว จนเมื่อนึกได้นั่นแหละ จึงต้องรีบดึงตัวอีกคนไว้ให้ห่าง ก่อนจะเตลิดเพริดไปเสียจนทนไม่ไหวเอาจริงๆ

 

                  ไคลน์ถอนหายใจเนิบช้า ยกมือขึ้นสางผมเงียบๆขณะที่เฝ้าบอกตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

                ไม่....

 

                 ไม่ควรทำ

 

...แม้ว่าความเจ็บปวดที่ตนสัมผัสได้จากดวงตาสีโลหิตคู่นั้นจะฝังลึกอยู่เพียงไรก็ตาม

 

             อาโลอิส...

 

อาโลอิส

 

                เสียงเรียกแผ่วกังวานดังขึ้นหลังจากผลอยหลับไปครู่หนึ่งด้วยความเหนื่อยอ่อน อาโลอิสขมวดคิ้วช้าๆ ลืมตาขึ้นมาและพบว่าตนเองนั้นกำลังนิ่งซบอยู่กับหินศิลาอันเดิม ดวงตาสีโลหิตกระพริบเข้าหากันเงียบๆขณะที่เสียงเรียกที่ดังอยู่ในอนุสติยังคงก้องไม่หยุด

 

                ขมวดคิ้วครุ่นคิด ดวงตามองผ่านร่างของไคลน์ที่นิ่งหลับตาพิงผนังหินออกไปยังเบื้องนอกที่ยังคงมีแสงสว่าง อาโลอิสนิ่งระลึกช้าๆ ที่สุดก็พลันจำไดว่าเจ้าของเสียงเรียกนี้คือใครกัน

 

                 "....เซธ" เอ่ยขึ้นเบาๆ หากเสียงของตนนั้นจะไปถึงอีกฝ่ายหรือไม่ก้ไม่อาจจะรู้ อาโลอิสมองเห็นร่างของไคลน์ขยับไหวและดวงตาของเทพบุตรหนุ่มเปิดขึ้นมมาเงียบๆ ดวงตาคู่นั้นแสดงความกังขาที่ตนเอ่ยเรียกชื่อผู้ที่ไม่ได้อยู่ ณ ที่นี้ด้วย แต่ทว่าอาโลอิสไม่คิดจะอธิบายใดต่อ  เทพบุตรหนุ่มขมวดคิ้วเงยบๆ นิ่งรวบรวมสมาธิและหลับตาลงเพื่อกำหนดกระแสจิตให้มุ่งตรงไปยังผู้ที่เอ่ยเรียกตนไม่หยุดเงียบๆ

 

                 "ข้าเอง เซธ"

 

            "อาโลอิส เจ้าปลอดภัยหรือไม่?" คำถามที่ดังมานั้นเบาแสนเบาแต่ก้ยังพอจับใจความได้ อาโลอิสพยักหน้าเงียบๆก่อนจะเพ่งสติตอบกลับ

 

            "ปลอดภัย แต่.."

 

             "แต่?"

 

              "ไปไหนไม่ได้ ข้าและไคลน์บาดเจ็บ..." นิ่งคิดสักครู่ก็เอยขึ้นเบาๆ "ต้องพัก"

 

             "..เช่นนั้นรึ"

 

                  "เจ้าคุยกับใครอยู่?" น้ำเสียงถามขึ้นด้านหลังดังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้อาโลอิสสะดุ้ง หันไปมองสบแววตาที่แสดงความกังขานั้นเงียบๆขณะที่เสียงของเซธพลันขาดหายการติดต่อไปอย่างรวดเร็ว มันแผ่วจางเสียจนไม่อาจรับรู้ได้

 

                 "ข้ากำลังติดต่อกับเซธ" อาโลอิสอธิบายให้อีกฝ่ายรู้ ด้วยว่าไคลน์จะได้เบาใจไปว่าอีกฝั่งนั้นยังปลอดภัยเฉกเช่นเดียวกัน

 

                 "พวกเจ้าติดต่อกันได้อย่างไร?" ไคลน์เลิกคิ้วพลางเอ่ยถามคล้ายฉงน

 

                 "ข้า......" อาโลอิสเอ่ยเพียงแค่นั้นก็นิ่ง ด้วยไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองอาศัยพูดคุยกับเซธนั้นควรนำมาบอกอีกฝ่ายด้วยหรือไม่

 

                  "อ้อ ข้าขออภัย" ไคลน์พ่นลมหายใจช้าๆ "ปิศาจเช่นพวกเจ้าก้คงมีวิธีติดต่อสื่อสารกันเยี่ยงปีศาจ ถามไปคงมิอาจเข้าใจหรอก"

 

                 อาโลอิสเม้มปากช้าๆ สีหน้าขุ่นเคืองขึ้นมาวูบหนึ่งของตนคงเล็ดลอดผ่านสายตาอีกฝ่ายไปไม่ได้แน่ ไคลน์จึงส่งเสียงขึ้นจมูกเบาๆแล้วค้อมศีรษะ "ขออภัยที่ล่วงเกิน.."

 

                "อย่าได้พูดเช่นนั้นเลย หากท่านไม่ได้คิดจริงๆ" อาโลอิสตอบกลับเสียงสั้น หลับตาลงเป็นการตัดบทสนทนาและเพื่อพยายามติดต่อกับเซธ อีกครั้ง ทว่าแม้พยายามอย่างไรก็ดูจะไร้ผล ไร้การตอบรับใดๆ เสียงของตนส่งไปไม่ถึงอีกฝ่าย อาจจะเป็นเพราะอ่อนกำลังลงก็เป็นได้ โดยปรกติพลังที่ลดลงก็ทำให้การสื่อสารเป็นไปได้ยากอยู่แล้ว ในตอนนี้ที่บาดเจ็บและแบ่งเอากำลังของตนไปให้กับไคลน์ การจะติดต่อสื่อสารใดคงยากยิ่งกว่าเดิม

 

                ถอนหายใจแผ่วเบา เปลี่ยนเป็นเอนหลังลงกับแผ่นหินเมื่อไม่อาจทำอะไรได้ ก่อนจะพบว่ามีสายตาที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว อาโลอิสลืมตาขึ้นช้าๆ หันไปจ้องสบตาตาน้ำตาลอ่อนที่มองมาเงียบๆก่อนจะเอ่ยปากบอก

 

                  "...พลังของข้ามีไม่มากพอ คุยต่อไม่ได้แล้ว..ขอโทษด้วย"

 

                 ".........." ไม่มีคำตอบใดออกจากปากของไคลน์ เทพบุตรหนุ่มยังคงจ้องมองตนอยู่เงียบๆ

 

                 "แต่เมื่อครู่เซธติดต่อมา แสดงว่าเขาและฟาราสคงยังปลอดภัยดี ท่านอย่าได้ห่วงเลย" รีบเอ่ยปากบอกข้อความสำคัญที่อีกฝ่ายคงอยากจะทราบนั้นคือเกี่ยวกับคนรักคนสำคัญผู้นั้น หากอาโลอิสยังคงมองเห็นใบหน้าที่เคร่งขึ้นและหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอยู่แบบนั้น ก่อนที่แขนของตนจะถูกดึงรั้งด้วยพละกำลังจากมือหนา ดึงและฉุดรั้งเข้ามาใกล้เสียจนลมหายใจแนบประชิด

 

                  "มีอะ------"

 

                 "...ข้าเจ็บแผล" ไคลน์บอกช้าๆ ละมืออกจากท่อนแขนของอีกฝ่าย ทว่าดวงตายังจ้องเขม็ง

 

                "..เอ๋ เจ็บแผลงั้นหรือ มันกำเริบขึ้นมา รึว่าอาการแย่ลง...." อาโลอิสเบิกตาขึ้นอย่างตกใจไม่น้อย อ้าปากเอ่ยถามด้วยความห่วงใย ดวงตาสีเข้มตวัดลงไปมองรอยแผลที่อีกฝ่ายมีคล้ายจะขอสำรวจ หาเพียงครู่ตนก็ต้องเงียบ เมื่อฝ่ามือของไคลน์วางลงบนบั้นเอวเงียบๆพลางออกแรงดึงให้ขยับเข้าหา

 

                วางฝ่ามือลงบนไหล่ของอีกฝ่ายอีกครั้ง สบมองแววตาที่ดื้อดึงและหงุดหงิดใจราวกับกำลังท้าทายให้ตนออกแรงผลักให้ห่างออกไปเบื้องหน้า แขนทั้งสองข้างของไคลน์โอบรอบร่างขงตนไว้ เช่นเดียวกับใบหน้าที่ขยับเข้ามาประชิด แสดงออกถึงสิ่งที่ต้องการให้ตนกระทำอย่างเงียบๆ ทว่าชัดเจนยิ่งนัก อาโลอิสกลืนน้ำลายช้าๆ เป้นฝ่ายหลับตาลงเสียดื้อๆเมื่อใบหน้าของอีกฝ่ายแนบเข้ามาใกล้พร้อมเสียงหัวใจที่เต้นระรัวเสียจนเจ็บแปลบ

 

                 ริมฝีปากถูกบดขยี้อีกครั้ง ดื้อดึงและเอาแต่ใจราวกับกำลังหงุดหงิดและแสดงความเป็นเจ้าของเหมือนเด็กเล็กๆ ความปรารถนาที่แทรกเข้ามาทำให้เนื้อตัวสั่นระริก อาโลอิสพยายามส่งมองพลังของตนให้กับอีกฝ่าย แต่กลับพบว่าคนผู้นั้นยอมรับเอามันไปน้อยกว่าน้อยราวกับจะแกล้ง ซ้ำริมฝีปากนั้นยังขยับบดเบียดแนบชิด คลุกเคล้าเสียจนไม่มีช่องว่างให้ได้หายใจ

 

                 ..ราวกับ..จูบที่เป็นการแสดงความเป็นเจ้าของ จูบของคนรัก จูบที่ไม่ใช่เพียงการรับและส่งมอบพลังอย่างที่กำลังกระทำอยู่

 

                  ...แต่..แต่มันจะเป็นไปได้หรือ ในเมื่อ..

 

                "ฮึ..ก........" ส่งเสียงครางแผ่วออกมาเมื่อริมฝีปากถูกกดย้ำซ้ำเสียจนเจ็บแปลบ เนื้อตัวสั่นระริกอย่างคาดไม่ถึงเมื่ออ้อมกอดของอีกฝ่ายยิ่งกระชับแน่นราวกับจะไม่ยอมให้ผละออกไปไหน แต่ถึงอย่างไรลมหายใจที่กำลังใกล้ขาดห้วงก็บอกให้ตนเองผละออกไปก่อนจะต้องสิ้นสติกับจูบอันร้อนแรงของอีกฝ่าย จูบที่ไม่ได้สนใจจะช่วงชิงเอาพลังที่ตนบรรจงมอบให้ไปอีกแล้ว

 

                  อาโลอิสออกแรงผลักไหล่อีกคนออกไป แต่การดิ้นอย่างไร้ผลรังแต่จะทำให้อ้อมแขนนั้นรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น  ร่างสะท้านเฮือกด้วยความวาบหวามที่ว่ายวนไม่หยุด สติสัมปชัญญะที่เริ่มมึนเบลอกำลังวนเวียนอยู่ในคำถามที่เต็มไปด้วยความกังขา ว่าอีกฝ่ายกำลังกลั่นแกล้งตน หรือนี่คือวิธีการสูบเอาพลังและวิญญาณทั้งหมดไปกันแน่ ก่อนทุกสิ่งจะดับวูบลง

 

+++++++++++++

 

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Re: LOST ANGEL *Lost 31 : เพียงเสี้ยวเวลา Up 16/7/2557
«ตอบ #59 เมื่อ16-07-2014 21:35:03 »



             อาโลอิส

 

อาโลอิส

 

                เสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นก้องในอนุสติทำให้อาโลอิสค่อยกระพริบตาอีกครั้งอย่างเชื่องช้า  รับรู้ได้ถึงความอุ่นร้อนของอ้อมแขนที่ตนซุกตัวอยู่ ดวงตาสีแดงกระพริบช้าๆ สติที่หลุดลอยไปเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายค่อยกลับมาถึงตัวทำให้หน้าแดงวาบ แม้จะพยายามขยับตัวเบาๆแต่กระนั้นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของไคลน์ก็ค่อยปรือเปิดขึ้นมามองสบตาตนเงียบๆราวกับคำถาม

 

                 "..ข้า...." อาโลอิสสบตาคู่นั้นเอ่ยวาจากุกกักอย่างที่ไม่เคยเป็น "...ข้าต้อง..คุยกับ..เซธ"

 

                  ไคลน์ขมวดคิ้วหากแต่ก็พยักหน้า ทว่าอ้อมแขนกลับกอดรัดอีกฝ่ายไว้แน่น "..คุยไป"

 

                  "....แต่" อัปกริยานั้นทำให้ผิวแก้มแดงวาบ

 

                  "คุยไปสิ รีบไม่ใช่หรือ" ไคลน์ตอบกลับสั้นๆ และนั่นทำให้ผู้ฟังต้องค่อยๆรวบรวมสติตนเองและพยายามเพ่งจิตเพื่อติดต่อกับเซธอีกครั้ง แม้จะเป็นไปได้ยากนัก ด้วยอ้อมแขนหนายังคงกกกอดไว้และกระชับราวกับหวงแหนนักหนา

 

              "เซธ..."

 

             "อาโลอิส" น้ำเสียงตอบกลับแม้จะแผ่วเบาแต่ก็เป็นของอีกฝ่ายทำให้เบาใจไม่น้อย "เมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้น เจ้าหายไป.."

 

              "...ข้า.." อาโลอิสตอบอีกฝ่ายพลางหรี่ตาทองไปรอบๆ พบว่าตนเองนั้นผล็อยหลับไปนานพอควรจนรอบกายบัดนี้เหลือเพียงความมืดมิด "ยังบาดเจ็บอยู่" ที่สุดก็ไม่อาจตอบอะไรไปได้ จึงเลือกบอกอีกฝ่ายไปสั้นๆ

 

              "...เจ้าบาดเจ็บมากไหม?" เซธเอ่ยปากถามกลับ

 

             "...ข้าและไคลน์ถูกราอาซาสโจมตี ตอนนี้บาดเจ็บ พอควร"

 

             "ราอาซาส.." น้ำเสียงแสดงความตกใจของเซธดังขึ้นเงียบๆ "แผลนั่นควรรีบรักษา เจ้าต้องการให้ข้ารีบไปรับตัวรึเปล่า"

 

              ".........."

 

            "อาโลอิส?"

 

            "แล้วทางนั้นเป็นอย่างไร บาดเจ็บอะไรหรือไม่?" แทนที่จะตอบคำถามที่ถูกสงสัย อาโลอิสกลับเป็นฝ่ายถามกลับ

 

               "ไม่ ไม่มีใครบาดเจ็บ สัตว์ร้ายพวกนั้นมันรุมทำร้ายพวกเจ้า ตอนนี้ข้าและฟาราสรออยู่ที่นัดพบ"

 

              "..ดีแล้ว" อาโลอิสผ่อมลมหายใจช้าๆ พลันรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนที่รัดแน่นขึ้น ทำให้ตนต้องเงยหน้าไปมองผู้กระทำ สบมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของไคลน์ที่จ้องมองมาอย่างจริงจังเสียจนผิวแก้มร้อนวาบ รีบเสหลบตาแล้วกระแอมกระไอเบาๆ

 

             ".....อาโลอิส?" คงเพราะเงียบไปเสียจนทางนั้นรู้สึกสงสัย เสียงของเซธจึงดังขึ้น

 

             "ไม่มีอะไร ข้า..." เงียบลงไปอีกครั้ง ทั้งที่ควรจะเอ่ยปากบอกให้เซธและฟาราสเข้ามาสมทบ ทว่าความคิด

บางอย่างกลับวาบผ่าน อาโลอิสขบริมฝีปากตนเองเบาๆ ก่อนจะสูดหายใจลึก

 

             "..ตอนนี้ข้ากับไคลน์บาดเจ็บ ข้ามีเพียงปีกเดียว จะเดินทางย่อมลำบาก ให้เจ้ามาช่วยก็เท่ากับต้องทิ้งฟาราสไว้ ตอนนี้ข้ากับไคลน์หลบหนีอยู่ใต้ผา..ไม่ควรเข้ามา อาจจะกลายเป็นเหยื่อ "

 

             "อาโลอิส"

 

            "อาจจะมีสัตว์ร้ายดักอยู่ที่ปากทางก็ได้ กลิ่นของเทพที่พวกมันตามมาจะทำให้เจ้าไม่ปลอดภัย ไม่ต้องตามมา เซธ"

 

            "........."

 

             "ตอนนี้ข้าบาดเจ็บอยู่ เสียงของข้าอาจจะส่งไปไม่ถึงในบางครั้ง หากมีอะไรสำคัญ ค่อยติดต่อมา"

 

            "อาโลอิส"

 

              "มีอะไรหรือ?" อาโลอิสถามกลับเร็วๆ ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยคัดค้านความคิดตน

 

             "..พยายาม...ก็แล้วกัน"

 

                ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ฟังชะงัก ก่อนจะสัมผัสได้ถึงนัยยะบางอย่างที่สอดแทรกมาจากคำพูดของอีกฝ่าย อาโลอิสเม้มปากเข้าหากันอีกครั้ง ผิวแก้มร้อนวาบเมื่อรู้ว่าเซธนั้นสามารถรับรู้สิ่งที่อยู่ในใจของตนหมดสิ้น รวมถึงห้วงคิดอันน่ารังเกียจทั้งหลายนี้ด้วย

 

                 ..มันเป็นเพียงข้ออ้าง ที่จะอยู่ที่นี่ให้นานขึ้นอีกเพียงนิด..

 

                 เพียงแต่หวงแหน และโหยหา ต้องการเก็บรักษาระยะเวลาในอ้อมแขนของคนที่ตนจำหลัก รักใคร่มาเนินนานไว้..

 

                 หรุบตาลงด้วยความละอาย หากแต่แรงกอดกระชับที่มากขึ้นขึ้งไคลน์กลับยิ่งทำให้หัวใจสั่นไหว อาโลอิสหลับตาลงช้าๆ เอนตัวพิงไหล่อีกฝ่ายราวกับการติดต่อกับเซธนั้นช่างแสนเหนื่อยยากเสียจนต้องทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

 

                 ..แต่เปล่าเลย

 

                ข้าเพียงแต่ สังเวช และสมเพชตนเองก็เพียงเท่านั้น

 

                 ไม่ต้องบอกก็ย่อมรู้ ตนเองนั้นสูญเสียทั้งคุณสมบัติและสิ่งที่ควรมีในฐานะผู้เคยเป็นมือขวาของเซดิสไปเรียบร้อยแล้ว อาจจะสูญเสียไปนับแต่รู้ว่ามีหัวใจรักมอบให้บางคนและบางสิ่ง รักที่ทำให้หัวใจโอนเอนหมดสิ้นซึ่งความยุติธรรม ไร้การไตร่ตรอง ไร้ความคิด ไร้พลังใดๆที่จะต่อต้านและต่อกรกับความรักที่ตนประสบ เมื่อมีรักแล้ว..จะเทพบุตรผู้ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ราวกับคนโง่เง่าผู้หนึ่งเท่านั้น

 

                 ตัวข้าก็เช่นเดียวกัน..

 

                ไม่ใช่เทพบุตรผู้ไร้หัวใจเช่นเดิม หากแต่เป็นเทพบุตรปีกสีดำผู้หลงงมงายอยู่แต่กับสิ่งที่เรียกว่าความรักใคร่หลงไหลอันไม่มีขัดจำกัด ยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างให้อีกฝ่ายหันมามอง และบัดนี้ก็ยังยอม..ยอมสูญเสียทุกสิ่งแม้กระทั่งโอกาสที่จะได้รับพลังและปีกของตนคืนเพื่อจะได้อยู่เคียงข้างกับไคลน์เพียงไม่กี่ชั่ววัน..

 

                 ช่างโง่เขลา..โง่งมยิ่งนัก

 

                 ..แต่กระนั้น ช่างน่าแปลกเหลือเกินที่ข้ากลับนึกยินดีเสียเต็มประดา

 

                "...เจ้าเจ็บแผลงั้นหรือ?" เงียบไปสักพัก ไคลน์ก็เอ่ยถามขึ้นเบาๆ ให้ดวงตาสีโลหิตปรือขึ้นมามองสบ ท่ามกลางความมืดมิดและเย็นยะเยือกของยามค่ำคืน จึงไม่แปลกอะไร หากจะเบียดซุกกายในอ้อมแขนของอีกฝ่ายมากขึ้น ด้วยข้ออ้างถึงความเหน็บหนาว

 

                "ไม่..ข้าเพียงแต่..."

 

                "คงจะเหนื่อย" ไคลน์เอ่ยสรุปสั้นๆ "...เจ้ามอบพลังให้ข้า..สองครั้งแล้ววันนี้"

 

                 "........" อาโลอิสรับฟังแล้วพยักหน้าเงียบๆ ไม่ตอบอะไร นึกขอบคุณความมืดมิดที่ทำให้ตนซุกว่อนใบหน้าแดงก่ำได้ดดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับความสงสัยในใจที่ล้นปรี่..

 

                ...สองครั้งที่ว่านั้น..มันคือการมอบพลังให้จริงๆน่ะหรือ

 

                 อดจะคิดสงสัยไม่ได้ แม้จะไม่อยากเข้าข้างตัวเองแต่ร่องรอยของริมฝีปากที่ทาบเรียวปากของตนก็ชัดเจนยิ่งนัก ราวกับถูกจูบย้ำซ้ำด้วยความเอาแต่ใจมากกว่าจะเป็นการรับเอาพลังอันบริสุทธิ์ในตัวเพื่อไปรักษาบาดแผล

 

                ความสงสัยนี้ไม่ได้ตกอยู่แต่ในใจของอาโลอิสแต่เพียงฝ่ายเดียว ไคลน์ผู้ซึ่งบัดนี้ยังกระชับอ้อมแขนโอบกอดร่างอีกฝ่ายแน่นด้วยความไม่เข้าใจตนเองว่าทำไปเพื่อสิ่งใดก็จมอยู่ในห้วงคิด เทพบุตรหนุ่มจ้องมองร่างของอีกฝ่ายซึ่งตนสามารถมองเห้นได้ชัดเจนแม้ในความมืดมิด จ้องมองไหล่ผอมบางและเส้นผมยาวจนถึงกลางหลังของอีกฝ่าย ก่อนจะนึกไปถึงการรับมอบเอาวิญญาณและไอบริสุทธิ์ของพลังเพื่อมารักษาตนเองนั้น..

 

                ที่ผ่านมานั้น การรักษาด้วยวิธีนี้ ส่วนมากจะกระทำกันโดย"คู่ครอง"เท่านั้น ด้วยว่าวิธีการของมันคือการผูกสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง และอีกสาเหตุก็ด้วยน้อยนัก ที่จะมีเทพองค์ใดยินยอมมอบให้อีกฝ่ายได้รับพลังและกลืนกินวิญาณของตนเช่นนี้ หากไม่มีความสัมพันธ์ที่แน่นเฟ้นรักใคร่เป็นสิ่งที่ใช้มัดใจ ก็ยากแสนยากที่จะมีผู้ใดยินยอม

 

                ..หากยินยอม หากมอบให้ ก็มิต่างจากการมอบเอาวิญญาณและทุกสิ่งของตนให้คนผู้นั้นถือครอง

 

                แม้จะช่วยเยียวยารักษากำลังกายของคนผู้นั้น แต่ก็จะทำให้ผู้ที่มอบให้นั้นอ่อนกำลังและเหนื่อยล้าลงเช่นที่อาโลอิสกำลังเป็นอยู่

 

                 แล้วเช่นนี้ อีกฝ่ายก็ยังยอมอย่างนั้นหรือ?

 

                  เจ้า...รักข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

 

                  จ้องมองคนในอ้อมแขนอีกครั้งอย่างใคร่ครวญ ไคลน์ค่อยนิ่งคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาช้าๆ แม้จะรับรู้จากถ้อยคำจากปากของอีกฝ่าย แม้จะรู้แล้วว่าที่สุดความคิดของตนนั้นผิดพลาด อาโลอิสแท้จริงนั้นหลงรักเขา แต่กระนั้น ความคิดที่ฝังใจมาเนินนานคล้ายจะไม่ยอมเชื่อฟัง หลายคราที่ยังคงกังขาในความรู้สึกที่อีกคนมี หลายครั้งที่ยังคงพลั้งปากออกไปว่าอีกฝ่ายโกหก..เอ่ยว่ารัก ใครต่างก็พุดได้..มันน่ากังขามิใช่หรือว่าอาโลอิสแท้จริงแล้วคิดเช่นไร เฉพาะเมื่อมองเห็นท่าทีสนิทสนมเสียเหลือแสนกับการาเวนสีดำผู้มีนามว่า"เซธ"ตนนั้น

 

                  ...แต่ในยามนี้..ที่อีกฝ่ายยอมมอบสิ่งสำคัญของตนให้ ไคลน์ก็ต้องมานิ่งครุ่นคิดทั้งหมดอีกครา

 

                  รึแท้จริง จะเป็นข้าที่เหยีบย่ำหัวใจรักของเจ้ามาตลอด..

 

                   "เซธ" เงียบไปนาน..ทั้งต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในห้วงคิดของตน เสียงของอาโลอิสก็ดังขึ้นเงียบๆ หากใจความชื่อแรกที่เอ่ยออกมานั้นทำให้ไคลน์ขมวดคิ้ว

 

                 "....อะไร" น้ำเสียงของตนนั้นห้วน..แม้จะไม่บอกก็ทราบดีเลยเชียว

 

                 "..เมื่อครู่ เขาบอกว่าได้เดินทางไปถึงที่นัดหมายกับฟาราสแล้ว ไม่มีอะไรใครบาดเจ็บ ทุกอย่างราบรื่น"

 

                 "....ทราบแล้ว" ไคลน์รับคำเบาๆ ผ่อนลมหายใจลงช้าๆ นึกโล่งใจที่ฟาราสปลอดภัย..ขณะเดียวกันก็อดแปลกใจวูบไม่ได้ ที่มัวแต่จมจ่ออยู่ในห้วงคิดของตนเสียจนลืมเทพบุตรผู้มีดวงตาสีท้องฟ้า คนรักของตนไปเสียสนิท

 

                 ...ช่างเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดเอาเสียเลย

 

                 "เซธบอกจะเดินทางมารับ แต่..ข้าเห็นว่ามันอันตรายจึงบอกปัดไป.." อาโลอิสเอ่ยอย่างระมัดระวัง พลางมองใบหน้าอีกฝ่ายซึ่งมีท่าทีเคร่งเครียดขึ้น "...รอ..เวลาให้หายดีก่อน แล้วเราจะไปสมทบ..."

 

                 เสียงที่แผ่วค่อยลงจนเเทบเป็นกระซิบบ่งบอกว่าผู้เอ่ยนั้นรู้สึกไม่มั่นใจเพียงไร นั่นทำให้ไคลน์ละออกมาจากภวังค์ในที่สุด เทพบุตรหนุ่มครุ่นคิดตามคำพูดอีกฝ่าย แม้จะเห็นด้วยเรื่องที่ไม่ควรเดินทางมารับในยามนี้เพราะสัตว์ร้ายอาจจะดักซุ่มอยู่ แต่สำหรับตนและอาโลอิส การจะพยายามเดินทางออกไปแม้จะยังบาดเจ็บ ใช่จะเป็นไปไม่ได้

 

                   ...แต่เหตุที่บอกว่ารอให้หาย...

 

                  "ข้า...." เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นใกล้หูทำให้อาโลอิสชะงัก เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของไคลน์ด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ ทั้งหวาดกลัวว่ากลอุบายแสนสกปรกของตนจะถูกล่วงรู้และปฏิเสธแถมเยาะเย้ยซ้ำ  แววตาของอีกคนนั้นบ่งชัดว่ารับรู้สาเหตุของการกระทำทั้งหมดแล้ว ช่างแสนน่าละอายจนต้องหลบตาวาบ หากกลับรู้สึกถึงอ้อมแขนที่กอดรัดแน่นขึ้นและร่างของอีกฝ่ายที่โถมเข้ากอดเงียบๆ

 

                 "เจ็บแผลอีกแล้ว..."

 

                  ถ้อยคำนั้นดังขึ้นเบาๆราวกับกระซิบ หากแต่มันไม่ต่างกับสัญญาณของการกระทำบางอย่าง อาโลอิสกลืนน้ำลายช้าๆเงยหน้าขึ้นไปสบตาและมองใบหน้าคมที่ตราตรึงซึ่งโน้มลงมาหาแล้วกดริมฝีปากเบียดทับอย่างแผ่วเบา ครานี้ไม้มีแม้แต่การสูบเอาพลังหรือไอวิญญาณใดอีกแล้ว เป็นเพียงจูบที่หวานซึ้ง อันไม่ควรจะเกิดขึ้นในที่แห่งนี้ และกับพวกเขาทั้งคู่เลยสักนิด

 

                 แต่กระนั้น อ้อมแขนที่โอบล้อมไว้ ความอบอุ่นที่คอยเยียวยาความเหน็บหนาว และกลิ่นหอมที่ยังคงอวยอายกลับช่วยปัดทิ้งความสับสนในใจไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังช่วยเยียวยาหัวใจทีเจ็บช้ำให้กลับคืนมาอย่างง่ายดายยิ่งนัก

 

                 แม้ความสงสัยยังจะไม่ได้คำตอบ แม้คำถามที่อยู่ในใจจะยังค้างคาและเฝ้ารอให้ช่วยไข แม้จะยังมีหลายสิ่งมากมายรออยู่เบื้องหน้า แต่คนสองคนในยามนี้ก็ทำได้เพียงปล่อยมันให้เป็นไป ไร้ถ้อยคำใดจะเอ่ยต่อกัน นอกจากพร่ำมอบจูบหวานๆซ้ำไปซ้ำมา

 

                  ....อ้อมกอดในคืนที่หนาวเหน็บ..ทำไมจะไม่เป็นที่ต้องการเล่า

 

+++++++++++++++

 

 

 

....อารมณ์ตอนนี้มันยังกับลักลอบเล่นชุ้กันจริงๆ

ไม่ใช่อารมณ์ล่ะ นี่คือการเล่นชุ้ฟฟฟฟ //ฟาราสตบ

กลับมาหลังจากหายไปนานพอสมควร แฮร่ กลับมาแล้วนะคะ แว้บมารับวันหยุดเลยทีเดียววว  พร้อมกับตอนหวานๆน้ำตาลหยด คาดว่าจะหวานเป็นแบบนี้สักระยะก่อนจะปวดตับขั้นต่อไปกันค่ะ 55

 

หนังสือยังเปิดจองอยู่นะค้าาาาาาาา 

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด