[จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [เปิดจองรีปรินท์] 19/05/2017 P.2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [เปิดจองรีปรินท์] 19/05/2017 P.2  (อ่าน 25756 ครั้ง)

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0




_______________________________________





Blue Rose พันธนาการสีชาด



ดอกไม้ทุกชนิดล้วนมีความสวยงามของมันเองและเช่นเดียวกับ...ดอกกุหลาบที่สวยงามและดูหยิ่งทระนง


หากแต่ดอกกุหลาบมันพิเศษกว่าดอกไม้อื่น ๆ นั่นก็คือมันมีหนามอันแสนแหลมคมเอาไว้ปกป้องตนเอง


...ซึ่งดอกไม้ทั้งสองชนิดนั้นก็มิได้ต่างไปจากคนสองคนนี้...


หนึ่งคือดอนหนุ่มผู้ปกครองแก้งค์มาเฟียอันแสนยิ่งใหญ่...อีกหนึ่งคือชายหนุ่มนักขายข่าวผู้ซึ่งมีปมชีวิตอยู่เบื้องหลัง


แล้วหากคนสองคนที่เปรียบเสมือนดอกกุหลาบที่แสนสวยงามและอันตรายมาเจอกันแล้วเล่า


...เรื่องราวต่อจากนั้นจะเป็นเช่นไร...



_________________________________________________
 [/center]



Talk : สวัสดีค่ะเหมือนไม่ได้เจอกันนานมาก วันนี้พลอยขอนำนิยายเรื่องใหม่มาลงให้ทุกคนได้อ่านกันนะคะ เรื่องนี้ 'ไม่ใช่' นิยายดาร์กเรื่องแรกที่พลอยแต่ง คือพลอยไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เท่าไหร่แล้ว พอดีพลอยถนัดแต่งแนวดาร์กมากกว่าใส ๆ ค่ะ แต่เพื่อนมักจะบอกว่านิยายพลอยมันออกแนวดาร์กอีโรติกค่ะ ไม่รู้ว่ามันอีโรติกตรงไหนยังไงบ้างแต่ก็ขอให้ทุกท่านอ่านอย่าสนุกสนานนะคะ



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2017 22:50:47 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Intro] 30/05/2014 P.1
«ตอบ #1 เมื่อ30-05-2014 11:36:08 »




Intro


เวลาที่มนุษย์เข้าตาจนหรือไร้หนทางต่อสู้ มนุษย์มักจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองผ่านสถานการณ์นั้นไปให้ได้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้สถานการณ์ที่ร่างสูงโปร่งผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินแปลกตากำลังเผชิญอยู่มันจะแลดูเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็ตาม นัยน์เนตรคู่งามที่มีสีเฉกเช่นเดียวกับเรือนผมนั้นพยายามกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อที่จะหาหนทางหนี หากแต่มันกลับไรสิ้นหนทาง หรืออาจจะพูดให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าตัวของเขานั้นหมดทางที่จะหลบหนี และหลังจากดวงเนตรสีน้ำเงินเข้มกวาดสอดส่องไปโดยรอบเรียบร้อยแล้ว เนตรคู่งามนั้นก็หันกลับมาประจันหน้ากับชายหนุ่มร่างสูงสง่าที่ทำให้ตัวของเขาเข้าตาจนอยู่ในตอนนี้




เนตรสีน้ำทะเลลึกที่ถูกประดับอยู่บนใบหน้างามค่อย ๆ มองไล่ตั้งแต่แผ่นอกกว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ ผ่านลำคอแกร่ง คางที่มนได้รูปรวมไปถึงริมฝีปากหนาและจมูกที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างสวยงามบนใบหน้าคมนั่น และสุดท้ายดวงตาสีน้ำเงินที่ไม่แสดงให้เห็นถึงความหวาดหวั่นว่าตนจะอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ขนาดไหนก็ไล่ขึ้นไปถึงดวงเนตรแข็งกร้าวที่มีสีแดงชาดเฉดเช่นหยาดโลหิต




เมื่อดวงเนตรของทั้งสองจองปะทะกันริมฝีปากหนาได้รูปก็เผลอคลี่รอยยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย รอยยิ้มที่ผุดออกมาจากริมฝีปากนั่นแสดงให้เป็นถึงความพึงพอใจของชายหนุ่มร่างสูง มือกร้านถูกยกขึ้นมาเสยเส้นผมสีแดงเข้มที่บดบังทัศน์วิสัยก่อนที่เขาจะละมือลงและเคลื่อนที่ไปรั้งปลายคางของร่างโปร่งบางตรงหน้าให้เชิดขึ้นมามองยังตน




“สปายหรือคนขายข่าว” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยออกมาแผ่วเบา หากในถ้อยคำเหล่านั้นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้กลับรับรู้ได้ว่าสิ่งเอ่ยออกผ่านริมฝีปากมันเต็มไปด้วยความยินดี ซึ่งความยินดีนั้นมันก็หมายความว่าผู้เป็นนายของพวกเขากำลังสนุกกับว่าที่ของเล่นชิ้นใหม่ที่เพิ่งเจอ




ลูกแมวพยศที่ไร้เจ้าของมันช่างน่าลิ้มลองและน่าปราบพยศเสียจริง ลิ้นเรียวเลียริมฝีปากของตนเบา ๆ ก่อนจะปล่อยรอยยิ้มกว้างออกมา




ตัวเขานั้นไม่ได้รู้สึกยินดีอะไรขนาดนี้มานานมากแล้ว และตัวของชายหนุ่มร่างสูงก็หวังไว้ว่าลูกแมวจอมพยศตัวนี้จะไม่เชื่องง่าย ๆ เหมือนแมวไร้เจ้าของตัวอื่น ๆ ที่เขาเคยเจอมา




ปลายนิ้วแกร่งที่เชิดใบหน้างามขึ้นเริ่มไล่นิ้วไปตามปลายคางมือแกร่งใช้แรงเพียงเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายเบนหน้าไปอีกทางและเมื่อตนนั้นได้ทำสิ่งที่ต้องการใบหน้าคมเข้มก็โน้มลงไป ริมฝีปากหนาจรดใบหูพร้อมกับเอ่ยกระซิบแผ่วเบาราวกับว่าเขานั้นต้องการให้สิ่งที่ตัวเขาพูดนั้นรับรู้เพียงแค่สองคน




“นายรู้ใช่ไหมว่าการที่มาสืบข่าวของฉันแบบนี้มันหมายความว่ายังไง” เสียงทุ้มเว้นช่วงไปขณะหนึ่งเพื่อให้ร่างตรงหน้านั้นตอบคำถามตน ซึ่งโดยส่วนใหญ่สปายหรือคนขายข่าวที่โดนพวกเขาจับได้นั้น มักจะกลัวจนไม่กล้าตอบอะไร หากแต่ลูกแมวสีน้ำเงินสุดแสนพยศตัวนี้นั้นไม่ใช่เพียงแต่เอ่ยตอบคำถามที่เขาถามเท่านั้น ร่างโปร่งบางตรงหน้าเขายังคิดจะทำร้ายและหาหนทางหนีจากสถานการณ์จนตรอกนี่เสียด้วย มีดเล็กที่ร่างโปร่งแอบซ่อนไว้ที่แขนเสื้อถูกหยิบออกมาข้อมือบางถูกยกขึ้นและตวัดไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มร่างสูง




หยาดโลหิตสีแดงชาดไหลรินออกมาจากแผลที่แก้มของชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีแดงเข้ม ทว่าบาดแผลนั่นกลับไม่สามารถทำอะไรชายหนุ่มผู้นี้ได้ มือกรานยกขึ้นตวัดมือเพื่อบอกเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาตนเก็บอาวุธลง หลังจากนั้นมือกร้านก็ละไปปาดหยาดเลือดที่ไหลรินออกมาจากบาดแผล ริมฝีปากหนาเหยียดรอยยิ้มพร้อมกับใช้นิ้วมือที่เปื้อนหยาดโลหิตของตนแทรกเข้าไปในโพรงปากของร่างโปร่งบาง ส่วนมือกร้านอีกขางหนึ่งก็จับศีรษะให้อยู่กับที่ไม่ให้อีกฝ่ายนั้นหันหนีไปทางไหน




รสเค็มปนรสสนิมเหล็กกระจายไปทั่วริมฝีปากบาง ถึงแม้ชายร่างสูงตรงหน้าจะน่ากลัวขนาดไหนร่างโปร่งบางนั้นก็ไม่คิดจะยอมแพ้มือทั้งสองข้างพยายามดิ้นรนสุดความสามารถ มีดพกขนาดเล็กที่ใช้โจมตีร่างสูงเมื่อสักครู่นั้นถูกตวัดขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้บุรุษผู้นี้ไม่เสียท่าง่าย ๆ  นิ้วแกร่งที่แทรกเข้าไปในโพรงปากเล็กถูกดึงออกและใช้มือข้างนั้นเหวี่ยงขึ้นไปจับข้อมือบางและจับตรึงไว้ที่กำแพง




ใบหน้าของร่างสูงที่ในตอนแรกยิ้มไปด้วยความพึงพอใจ หากแต่ตอนนี้นัยน์เนตรคมสีแดงสดแปรเปลี่ยนเป็นความแข็งกร้าว ใบหน้าของร่างสูงค่อย ๆ โน้มลงไปเรื่อย ๆ  พร้อมกับจรดรีมฝีปากตนลงไปที่ริมฝีปากนุ่มของคนตรงหน้าเขาไม่ยอมให้ร่างเล็กกว่าได้ท้วงติง ลิ้นเรียวถูกแทรกเข้าไปในปากแทนที่นิ้วมือที่เปื้อนเลือดพร้อมกับกวาดลิ้นไล้เลียเพื่อกอบโกยความหอมหวานจากริมฝีปากสีสดนั่นให้หมดสิ้นไป




เวลาดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า ริมฝีปากหนานั้นก็ยังไม่คิดที่จะละออกจากริมฝีปากของร่างโปร่งบางมือข้างหนึ่งของร่างเล็กกว่าพยายามทุบแผ่นอกกว้างเพื่อท้วงติงส่วนอีกมือนั้นยังคงกำมีดพกเล่มเล็กเอาไว้อยู่ หากแต่มือนั่นก็กำอาวุธที่จะช่วยชีวิตตนเองอีกได้ไม่นานเพราะเพียงช่วงเสี้ยววินาทีมือบางนั้นก็ไร้เรี่ยวแรงและปล่อยให้มีดคู่ใจร่วงลงไปที่พื้น ร่างสูงโปร่งรู้สึกเหมือนตนไร้เรี่ยวแรงไปช่วงขณะหนึ่งและนั่นก็ทำให้มือกร้านอีกข้างของชายตรงหน้าก็ถือวิสาสะตวัดโอบรอบเอวบางให้เข้ามาแนบชิดกับตน




จูบอันแสนร้อนแรงนี้ดำเนินต่อไปอีกสักพักและในที่สุดร่างสูงสง่าก็ยอมปล่อยให้ร่างโปร่งบางนั้นเป็นอิสระขาเรียวทั้งสองข้างพลันไร้เรี่ยวแรงจนทำให้ชายหนุ่มตัวเล็กกว่าถึงกับทรุดลงไปที่พื้น




“ถึงกับหมดแรงเลยหรือไง…ครีแวน” ร่างสูงวิสาสะอีกครั้งด้วยการเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไป และเขากไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้นเพราะว่ามือกร้านจากการจับอาวุธก็ถือวิสาสะเช่นเดียวกับริมฝีปากหนานั่นก็คือนิ้วเรียวยาวค่อย ๆ เปิดกระเป๋าใส่เงินของร่างโปร่งบางเพื่อสำรวจชื่อ สัญชาติและรวมไปถึงผู้ว่าจ้างหรือแก็งค์ที่กล้าริอาจที่จะส่งคนมาสืบข่าว และการเคลื่อนไหวของตัวเขา




ครีแวน เดอ เมอร์เรส สัญชาติอังกฤษ สูง 178 เซนติเมตร น้ำหนัก 62 กิโลกรัม รายละเอียดที่เกี่ยวของกับร่างบางนั้นร่างสูงอ่านมันโดยคร่าว ๆ หากแต่สิ่งที่พวกสปายควรจะมีกลับไม่มีเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเปนพาสสปอร์ตปลอม บัตร ID ปลอม และที่สำคัญคนทำงานในวงการนี้ไม่มีใครพกรูปครอบครัวไว้ในกระเป๋าแบบนี้หรอก งั้นร่างตรงหน้าเขานั้นก็ไม่ใช่สปายแต่คงเป็นแค่พวกขายข่าวอิสระเท่านั้น คอยตามล่าข่าวของผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งเพื่อไปขายให้กับผู้มีอิทธิพลอีกคนหนึ่งสินะ ทว่าคราวนี้ร่างโปร่งบางตรงหน้ากับเลือกสืบข่าวผิดคนเสียแล้ว ที่เขากล่าวออกมาแบบนี้นั่นก็เป็นเพราะว่า ‘คนในโลกดานมืดไม่มีใครกลาสืบข่าวของตัวเขาหรอกเพราะไม่ว่าใครจะใช้วิธีไหนสืบข่าวคราวของเขาก็ไม่มีวันที่จะรอดจากเงื้อมือของ เฮลาส ฟีเลทัส คนนี้ไปได้เลยสักคน’ แต่พูดแบบนั้นไปก็ไม่ถูกเท่าไหร่นักหรอกเพราะว่าบางทีเขาก็มีการทิ้งศพพวกสปายไว้บ้างเพื่อเป็นการเตือนไม่ให้คนพวกนั้นกล้ามายุ่งกับตัวเขาได้อีก อย่างน้อยก็ไม่ได้หายสาบสูญไปทุกคน’




และเมื่อชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้รู้ความจริงความคิดเล่นสนุกมากมายก็ปรากฏขึ้นภายในสมอง นัยน์เนตรคมหรี่ตามองร่างโปร่งบางที่พยายามใช้แขนเสื้อเช็ดริมฝีปากตน ชายหนุ่มร่างสูงพินิจมองร่างนั้นอยู่เพียงไม่นานและเพียงช่วงเสี้ยววินาทีเขาก็ย่อตัวลงไปพรอมกับรั้งร่างโปร่งบางให้ยืนขึ้นตามเขา หลังจากนั้นมือกร้านข้างนั้นก็ออกแรงกระชากให้ร่าง ๆ นั้นเดินตามตนไปตอนนี้ความคิดในสมองของชายหนุ่มที่มีนามว่าเฮลาส ฟีเลทัส มันอัดแน่นไปด้วยกรรมวิธีปราบพยศเจ้าลูกแมวสีน้ำเงินที่ไม่มีเจ้าของตัวนี้




ซึ่งไม่ว่าวิธีไหนมันก็น่าลองใช้กับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขาทั้งนั้น




_____________________________



ไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก...เจอกันตอนหน้านะคะ (เมื่อชาติต้องการ)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Intro] 30/05/2014 P.1
«ตอบ #2 เมื่อ30-05-2014 14:27:56 »

รอตอนใหม่

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 1] 31/05/2014 P.1
«ตอบ #3 เมื่อ31-05-2014 20:50:51 »

มาแล้วค่า; w ;...นิยายตอนแรกของเรา (..ซึ่งแต่งสตอกไว้นานมากแล้ววว)




Chapter 1



                การทำงานผิดพลาดในวงการมาเฟียนั้นเท่ากับความตายและมันก็ไม่เว้นแม้แต่คนขายข่าวอิสระไม่มีสังกัดไม่มีแกงค์อยู่เช่นตัวเขา…ความผิดพลาดของการทำงานครั้งนี้คงนำมาซึ่งความตายของเขาแน่นอนและในตอนนี้ตัวของครีแวนก็เตรียมตัวที่จะตายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่สิคงต้องเรียกว่าพร้อมยอมรับความตายตั้งแต่ก้าวเข้ามาทำงานในวงการนี้แล้วน่าจะถูกเสียมากกว่า ร่างโปร่งบางนึกพร้อมกับหลับตาลงเพื่อยอมรับชะตากรรมในอนาคตของตัวเอง




ทว่าตัวของเขาที่ถูกควบคุมตัวมาที่ฐานที่มั่นหรือคฤหาสน์ของแกงค์มาเฟียแกงค์นี้ ร่างของเขากลับถูกผู้เป็นดอนของแกงค์ลากไปโยนเอาไว้ที่ห้อง ๆ หนึ่ง ซึ่งไม่ว่ายังไงมันก็ไม่เหมือนห้องทรมานนักโทษหรือเชลยเลยสักนิดมันออกจะดูคล้าย ๆ ห้องพักส่วนตัวเสียมากกว่า และที่สำคัญมันก็ไม่น่าจะใช่ห้องพักธรรมดาเพราะว่าถ้าเกิดมันเป็นห้องสำหรับแขกทั่วไปดอนของแกงค์มาเฟียคงไม่โยนเขาเข้าห้องพร้อมกับปิดล๊อคประตูห้องเพื่อไม่ให้ใครเข้ามาในห้องได้แบบนี้หรอก




ครีแวนยืนประจันหน้ากับชายหนุ่มร่างสูงที่จับตัวตนเองมาอย่างไม่เกรงกลัวมือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาไขว้กอดกันไว้บริเวณแผ่นอก “ทำไมไม่ฆ่าฉันทิ้งไปหละ เฮลาส ฟีเลทัส” ร่างโปร่งบางไม่คิดที่จะเก็บความสงสัยของตนไว้และไม่คิดที่จะเสียเวลารอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากพูดอะไรก่อนริมฝีปากบางเปิดอ้าออกพร้อมกับเอ่ยถามคำถามที่ตนข้องใจออกไป และคำถามที่เอ่ยดังออกมานั้นมันทำให้ริมฝีปากของชายหนุ่มผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแกงค์มาเฟียผุดรอยยิ้มออกมา




ชายหนุ่มนามว่าเฮลาสเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายพร้อมกับเดินเลี่ยงไปนั่งที่โซฟาที่จัดวางอยู่กลางห้องมือกร้านฝายมือเชื้อเชิญอีกฝ่าย ซึ่งครีแวนที่มีอารมณ์ครุกรุ่นตั้งแต่ก้าวเข้ามาในคฤหาสน์แห่งนี้ก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธคำเชื้อเชิญอีกฝ่าย ขาทั้งสองข้างเดินกระแทกเท้าไปยังที่ชายหนุ่มร่างสูงนั้นนั่งอยู่ก่อนและเขาก็เลือกที่จะนั่งในฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะได้ใช้สายตาของตนมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายในตอนที่พวกเขาคุยกัน




“มีอะไร” ครีแวนเอ่ยถามคำถามเดิมออกไปเป็นครั้งที่สองมือทั้งสองข้างของเขายังคงไขว้กอดเอาไว้เช่นเดิม ร่างโปร่งบางไม่คิดถึงมารยาทของการเป็นผู้มาเยือนขาเรียวยาวถูกยกขึ้นไปวางไขว้กันไว้บนโต๊ะส่วนร่างของตนเองก็เอนนอนพิงไปที่โซฟา การกระทำที่ดูเหมือนจะไม่กลัวใครของครีแวนนั้นดูเหมือนมันจะไปทำให้เฮลาสรู้สึกชอบใจยิ่งกว่าเก่า




แมวจรจัดไร้บ้านอีกทั้งยังพยศและไม่ยอมใคร แม้ตอนนี้ตัวของเขาจะเก็บเจ้าแมวตัวนี้มาเลี้ยงแล้วก็ตาม ทว่าเจ้าแมวจรจัดตัวนี้กลับยังไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้านายของมันและยิ่งไปกว่านั้นมันยังพยศใส่เจ้าของของมันอีกดูท่าอาจจะต้องฝึกอีกเยอะ แต่แบบนี้ก็ดีไปอย่างเพราะตัวของเฮลาสไม่ใคร่ชอบที่จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เชื่องง่าย ๆ  เสียด้วย




ยิ่งพยศยิ่งอยากกำราบ


ยิ่งพยศยิ่งอยากกลั่นแกล้ง




และไม่มีครั้งไหนเลยที่ตัวของเฮลาสจะสนใจสัตว์เลี้ยงที่ตนเก็บมามากมายขนาดนี้ นัยน์เนตรคมมองไล่ไปตามโครงหนาไดรูปริมฝีปากสีสด ดวงเนตรที่ไม่คิดจะยอมใคร อีกทั้งจมูกที่เชิดรั้นขึ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่จัดเรียงอย่างสวยงามราวกับออกมาจากภาพวาดของครีแวนนั้นทำให้ริมฝีปากคมเหยียดรอยยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่ใช่แค่ที่จะอยากปราบพยศเขายังอยากที่จะทำให้เจ้าแมวจรจัดตัวนี้ศิโรราบใส่เขาโดยไม่มีความคิดที่จะขัดขืนตัวเขาอีก




นิ้วเรียวยาวถูกยกขึ้นมายันไว้ที่ปลายคาง ส่วนมืออีกข้างนั้นเอื้อมมือไปหยิบขวดสุราสีอำพันขึ้นมาเทใส่แก้วไว้สองแก้ว “สนใจสักแก้วไหม ครีแวน เดอ เมอร์เรส” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยพร้อมกับยื่นแก้วสีอำพันไปให้อีกฝ่าย และก็ไม่ต้องบอกว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นมือเรียวบางถูกยื่นไปตรงหน้าพร้อมกับตวัดมือปัดแก้วออกจากโต๊ะไปเต็มแรง




“คิดจะทำอะไร เฮลาส ฟีเลทัส” ครีแวนพยายามพูดออกมาโดยสะกดกลั้นความโกรธ หากแต่ท่าทางที่เปลี่ยนไปไม่ว่าจะเป็นใบหน้าได้รูป หรือจะรวมไปถึงกิริยาท่าทางมันกลับทำให้ตัวของเฮลาสยิ่งทวีความสนใจยิ่งขึ้นไปอีก




สิ้นการกระทำของครีแวนเฮลาสเลือกที่จะไม่ถือสาเอาความ มือกร้านยกแก้วสุราอีกแก้วขึ้นมาจิบ ก่อนจะกล่าวตอบอีกฝ่ายไปด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “เลี้ยงแมว”




คำพูดสั้น ๆ ทำให้ความโกรธ ความไม่พอใจของครีแวนหลุดหายไป คิ้วเรียวขมวดเป็นปมด้วยความสงสัย ร่างบางเงียบเสียงไปช่วงขณะหนึ่งจนในที่สุดสมองของครีแวนก็ประมวลผลทุกอย่างเสร็จสิ้นคราวนี้ร่างบางไม่แค่ใช่แค่ใช้มือปัดแก้วทิ้ง เพราะคราวนี้ขวดสีอำพันถูกยกขึ้นพร้อมกับสาดไปยังร่างสูงที่นั่งจิบสุราอยู่ตรงหน้า




น้ำสีอำพันไหลลู่ลงมาตามเส้นผมใบหนากรานคมเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบนิ่งหากแต่เขาเลือกที่จะไม่ใส่ใจและใช้มือข้างหนึ่งของเขาเสยผมของตนขึ้น การกระทำเช่นนี้ของครีแวนไม่ใช่ว่าตัวของเฮลาสนั้นจะไม่โกรธ แต่ทว่าตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาที่จะฝึกสอนสัตว์เลี้ยง เขายังคงนั่งจิบสุราไปเงียบ ๆ เวลานั้นไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า และเจ้าแมวจรจัดที่ตัวเขาเก็บมานั้นก็ไม่คิดที่จะอยู่สุขเพราะมันพยายามที่จะหาทางออกไปจากที่แห่งนี้ทุกเวลา ซึ่งเขาก็ยังคงทำเช่นเดิมคือเงียบใส่และไม่แสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความโกรธของตน แต่ก็มีบ้างที่ตัวเขาใช้สายตาคมเพ่งมองเพื่อห้ามปราบอีกฝ่ายแต่สัตว์เลี้ยงที่ยังไม่ได้รับการฝึกสอนก็ไม่มีทางที่จะเชื่อฟังเพียงแค่ใช้สายตาห้ามปราบเท่านี้หรอก




ร่างสูงยังคงนั่งนิ่งดูอาการพยศของสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขาไปอีกสักพักในที่สุดเวลาแห่งการรอคอยก็สิ้นสุดลงเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงทุ้มที่เอ่ยอนุญาตให้คนที่อยู่ทางด้านนอกก้าวเขามาด้านใน




“ขออภัยที่เตรียมการล่าช้าครับ ดอนฟีเลทัส” ผู้ที่เข้ามาใหม่เยขอโทษก่อนจะรีบสาวเท้าเดินเข้าไปยืนล้อมร่างของครีแวน ซึ่งในมือของทุกคนต่างถือเครื่องมือชนิดหนึ่งซึ่งมันเหมือนกันทุกประการและทุกครั้งที่คนพวกนั้นเปิดสวิตซ์เครื่องตรวจจับโลหะและอาวุธก็ดังขึ้นทุกเครื่อง




‘ที่รอคือรอให้ลูกน้องเอาเครื่องมือตรวจจับอาวุธมาตรวจตัวเขาสินะ’ ครีแวนคิดนัยน์เนตรสีน้ำทะเลหันไปจองเขม่นใส่ชายหนุ่มร่างสูง ซึ่งชายผู้นั้นก็ไหวไหล่กลับมาเป็นคำตอบ




การกระทำของดอนฟีเลทัสทำใหตัวของครีแวนเหลืออดร่างโปร่งบางพยายามฝ่าวงล้อมเพื่อที่จะไปต่อยชายหนุ่มที่กวนประสาทตนสักหมัดแต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดของครีแวนจะน้อยเกินไปร่างโปร่งบางยังคงถูกกักอยู่ในวงล้อมนั่นพร้อมกับเสียงตรวจจับโลหะที่ดังขึ้นตลอดเวลา




“พวกแกปิดไอ้เครื่องเวรนี่เดี๋ยวนี้ฉันรำคาญ” ริมฝีปากบางพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธทั้งหมดเอาไว้ ดังนั้นเสียงที่เอ่ยออกมาจึงดูเรียบเฉยและไร้อารมณ์สุด ๆ แต่มีหรือคนเหล่านั้นจะฟังคำพูดที่ออกมาจากของร่างโปร่งคำสั่งที่สั่งให้ปิดเครื่องมือที่แสนหนวกหูนั่นเหมือนกับเป็นคำสั่งให้คนเหล่านั้นใช้มือค้นตัวและปลดอาวุธทุกชิ้นออกจากร่างกายของครีแวน




ร่างโปร่งบางเริ่มที่จะส่งเสียงโวยวายแต่ดูเหมือนคนที่ส่งเสียงออกมาก่อนจะเป็นชายหนุ่มผู้ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำทั้งหมดของครีแวนก่อนหน้านี้ “ให้เขาเอาอาวุธทั้งหมดออกมาด้วยตัวเอง” สิ้นเสียงพูดของนายเหนือหัวผู้คนที่ในตอนแรกที่ต่างกันยืนรุมล้อมครีแวนก็ถอยออกไปยืนเรียงแถวและปล่อยให้ครีแวนปลดอาวุธทั้งหมดด้วยตัวเอง




ซึ่งในตอนแรกตัวของครีแวนนั้นไม่คิดที่จะทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายเลยสักนิด หากแต่ยิ่งเขาดื้อดึงและขัดคำสั่งนัยน์เนตรสีแดงชาดที่จ้องมองมากจะทวีความโกรธมากขึ้นเรื่อย ๆ




ทั้ง ๆ ที่ในตอนแรกแม้ครีแวนนั้นทำอะไรชายร่างสูงผู้นี้ไม่คิดที่จะกล่าวว่าใด ๆ แต่ทำไมตอนนี้ทั้งสายตาและคำพูดของชายหนุ่มผู้นี้ทำให้เขาเกรงกลัวได้ถึงขนาดนี้กันนะ




ดวงเนตรงามสีนำทะเลลึกเลือกที่จะเบนสายตาหนีมือทั้งสองข้างเริ่มทำตามคำสั่งโดยการปลดอาวุธที่อยู่ใกล้มือที่สุดของตนออก มีดพกที่เสียบอยู่กับแขนเสือทั้งสองข้างถูกปลดออกและร่วงหล่นไปที่พื้นนี่เป็นเพียงแค่อาวุธสองชิ้นแรกเท่านั้นที่ร่างโปร่งบางของครีแวนพก เพราะว่าอาวุธชิ้นที่สอง ที่สาม และสี่ก็กำลังถูกปลดตามออกมาเช่นเดียวกับชิ้นที่หนึ่งที่สองแล้ว ดาบที่ยาวขนาพอดีมือถูกดึงออกมาจากรองเท้าบูททั้งสองข้างหลังจากนั้นมือบางก็โยนมันไปกองรวมกับอาวุธที่ตนได้ปลดมันไปก่อนหน้านี้




ที่ครีแวนทำแบบนี้ไม่ใช่เกรงกลัวอะไรอีกฝ่ายหรอกหากแต่เขาห่วงความปลอดภายของตัวเองมากกว่า เขาก็แค่ห่วงชีวิตตัวเองมากกว่าเท่านั้นหละ ดังนั้นคนที่กำลังกุมชีวิตของเขาอยู่ไม่ว่าจะสั่งอะไรเขาก็ทำตามทั้งหมดนั่นหละ ถึงแม้ตัวเขาจะเคยบอกไปว่าเขาได้เตรียมตัวและเตรียมใจที่จะตายตั้งแต่เข้ามาโลกทางด้านนี้แล้ว แต่การทำอะไรที่ไม่เสียศักดิ์ศรีและสามารถแลกชีวิตได้เขาก็ยอมทำ




ก็แค่ปลดอาวุธทั้งหมดมันจะไปยากอะไร ต่อให้ไม่มีของพวกนั้นก็ใช่ว่าเขาจะใช้ศิลปะการต่อสู้มือเปล่าไม่เป็น สิ้นความคิดอาวุธชิ้นที่ 13 และ 14 ก็ถูกโยนไปกองทิ้งไว้ ก่อนที่มือทั้งสองขางจะกลับมาทำหน้าที่ของมัน นั่นก็คือการปลดอาวุธของตัวเองออกจากร่างกายทั้งหมด




‘ไอ้พวกนี้จะรู้ไหมว่ากว่าฉันจะซ่อนทุกอย่างได้เนียนขนาดนี้มันต้องใช้เวลาไปเท่าไหร่’ ร่างบางสบถในใจตนเบา ๆ แต่กระนั้นเขาก็ยังปลดอาวุธของตนออกอยู่ดี




ตอนนี้พวกอาวุธที่อยู่ติดกับเสื้อนอกถูกปลดออกไปทั้งหมดแล้วดังนั้นเสือนอกที่ครีแวนสวมมันก็ไม่จำเป็นอีกมือบางค่อย ๆ ถอดเสือของตนออกพร้อมกับโยนมันออกไปกองรวมกันกับอาวุธที่ตนได้โยนทิ้งไปก่อนหน้า หลาย ๆ คนมองการกระทำนี้ของครีแวนด้วยสายตาตกตะลึง โดยส่วนมากหลาย ๆ คนจะตกใจว่าเขานั้นพกอาวุธอะไรได้มากมายขนาดนี้แต่มันก็แค่นั้นหละอาวุธที่เขาพกมันไม่ได้มีแค่นั้นสักหน่อย  มือบางเอื้อมขึ้นไปปลดสายรัดที่ยู่บริเวณตนแขนก่อนจะโยนมันไปกองรวมกันไวอีก การปลดอาวุธทั้งหมดของครีแวนนั้นมันใช้เวลาไปร่วมชั่วโมงและในที่สุดอาวุธทุกชิ้นก็ถูกโยนไปกองรวมกันไว้เบื้องหน้าชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดง




ตัวของเฮลาสไม่ได้แสดงอาการตกตะลึงที่ร่างโปร่งตรงหนาจะพกอาวุธอะไรได้เยอะแยะและมากมายขนาดนี้ แต่เขานั้นกลับถูกใจเสียมากกว่าที่ร่างตรงหน้านั้นไม่ได้แค่น่าปราบพยศ แต่กลับมีอะไรน่าสนใจ…ซึ่งมันก็น่าสนใจมาก ๆ เสียด้วย




 ร่างสูงสง่าตวัดมือให้เหล่าลูกน้องของตนนำอาวุธทั้งหมดออกไป จนในที่สุดเวลานี้ภายในห้องก็เหลือแค่เพียงร่างโปร่งบางของครีแวนและร่างสูงสง่าของชายหนุ่มที่มีนามว่าเฮลาส




นัยน์เนตรคมทั้งสองคู่ต่างจ้องมองกันหากแต่แววตาที่แสดงอารมณ์ออกมานั้นกลับแตกต่างกัน ซึ่งเนตรสีน้ำทะเลลึกมันเต็มไปด้วยความโกรธและปนความสงสัย ส่วนดวงเนตรสีแดงชาดนั้นกลับแสดงอารมณ์อีกอย่างออกมา เพราะนัยน์ตาสีเข้มคู่นั้นเต็มมันไปด้วยความพึงพอใจในสิ่งที่ตนได้พบเจอ




“…พอใจหรือยัง” ครีแวนเอ่ยถามมือทังสองข้างนั้นถูกยกขึ้นมาไขว้กอดไว้บริเวณแผ่นอกอีกครั้ง ซึ่งผู้ถูกเอ่ยถามก็ไหวไหล่แทนคำตอบส่วนขาแกร่งทั้งสองข้างก็ค่อย ๆ ย่างก้าวเข้าไปประชิดตัวของครีแวน




เฮลาส ฟีเลทัส ชายหนุ่มผู้มีความลับอยู่มากมาย ซึ่งเหล่าความลับพวกนั้นไม่มีใครเคยล่วงรู้แม้กระทั้งคนใกล้ชิดหรือลูกน้องคนสนิทซ้ำยังมีข่าวลือหนาหูด้วยว่าใครที่รูความลับหรือจุดอ่อนของชายคนนี้ไม่เคยมีชีวิตรอดเลยสักรายเดียว ทว่าทำไมตอนนี้ชายผู้ที่เรียกได้ว่าเขาโหดเหี้ยมที่สุดในวงการมาเฟียกลับยืนประจันหน้ากับตัวเขา แถมอารมณ์ที่ตัวของร่างโปร่งบางสัมผัสได้จากชายคนนั้นมันแสดงให้ตัวของเขารู้ว่าคน ๆ นี้กำลังอารมณ์ดีสุด  ๆ




แต่มันกับกวนประสาทของครีแวนสุด ๆ ด้วยเช่นกัน ร่างโปร่งไม่รอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาประชิดเพราะขาเรียวยาวทั้งสองข้างนั้นปรี่เดินตรงไปประชิดอีกฝ่ายพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่กระชากคอเสื้อสูทขึ้นมา




“มีอะไรน่าอารมณ์ดีนักหนา...ดอนฟีเลทัส” ครีแวนเคนเสียงถาม นำเสียงหวานนุ่มในเวลาปกตินั้นตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธ ความไม่พอใจและความรู้สึกที่อยากจะต่อยหน้าคมเข้มอีกฝ่ายถ้าเกิดคน ๆ นี้ไม่ยอมหุบรอยยิ้มที่ยียวนกวนประสาทแบบนี้




ใบหน้ากร้านคมยังคงระบายไปด้วยรอยยิ้ม หากแต่มือแกร่งทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาค่อย ๆ บรรจงแกะมือบางออกจากคอเสื้อ




โดยส่วนตัวของเฮลาสแล้วการกระทำแบบนี้ของครีแวนไม่ไดทำให้เขาโกรธสักเท่าไหร่นักหรอกซ้ำเขายังอยากให้ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินแปลกตาตรงหน้าแสดงอาการพยศมากกว่านี้เสียอีก แต่การที่เขายกมือขึ้นมาแกะมือของอีกฝ่ายออกจากปกเสื้อนั่นก็เป็นเพราะ ‘มันคงดูไม่ดีสักเท่าไหร่ถ้าลูกน้องของเขาเปิดประตูเข้ามาแล้วพบกับเหตุการณ์แบบนี้’ ข้อมือบอบบางถูกกอบกุมด้วยฝ่ามือกร้านของอีกฝ่าย ทั้งสองคนยื้อยุดกันไปสักพักจนในที่สุดตัวของครีแวนก็เป็นฝ่ายยอมแพ้และทิ้งมือทั้งสองข้างลงไปข้างตัว




“ฉันว่าฉันพูดคนเดียวอยู่นานแล้ว คราวนี้ถึงตานายพูดบ้างสักที” ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยออกมาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ครีแวนไม่ได้ใส่อารมณ์โกรธอะไรลงไปในคำพูด นั่นก็เป็นเพราะครีแวนตัดสินใจที่จะยอมเซ็นสัญญาสงบศึกชั่วคราวชายดอนหนุ่มตรงหน้า แม้ตนจะรู้ว่าการที่ตัวเองสงบศึกแบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายได้ใจ จากที่ได้ใจไปมากอยู่แล้ว




‘ไม่เคยเจอดอนของแกงค์ไหนที่มีนิสัยกวนประสาทขนาดนี้มาก่อน’ แม้อยากจะพูดถอยคำเหล่านี้ออกไป แต่ตนนั้นได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะยอมเซ็นสัญญาสงบศึกชั่วคราว ตัวของเขาจึงได้แต่ปิดปากเงียบและรอใหอีกฝ่ายเอ่ยถอยคำพูดออกมา แต่ตัวของครีแวนก็ไม่ได้หวังอะไรมากมายนักหรอก




“เข้าใจความหมายที่ฉันพาตัวนายมาไหมหละ” ถ้อยคำแรกถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนา นัยน์เนตรคมที่มีสีเดียวกับแสงอาทิตย์ยามอัสดงลอบเหลือบมองอีกฝ่ายหลังจากตนนั้นได้เอ่ยออกไปจนจบประโยค




ซึ่งปฏิกิริยาที่ผู้ถูกถามแสดงออกมานั้นมันทำให้ตัวของครีแวนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมากกว่าเก่า เพราะถ้าตัวเขารู้ว่าตัวเองนั้นถูกจับตัวมาด้วยเหตุผลอะไร เขาก็คงไม่ยืนทำหน้าหงุดหงิดและค่อยพร่ำถามคำถามซ้ำซากกับอีกฝ่ายหรอก




ศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นไหมสีน้ำเงินส่ายไปมาแทนคำตอบ ซึ่งมันก็เป็นคำตอบเดียวกับสิ่งที่ตัวของเฮลาสนั้นได้คาดเดาเอาไว้แล้ว




มือกร้านถูกยกขึ้นไปแตะเบาที่ใบหน้าของอีกฝ่ายและไล่มือไปตามโครงหน้าก่อนหยุดลงตรงบริเวณดวงตา “ถ้าจะให้ฉันพูดว่าทำไมนายถึงได้มายืนอยู่ที่นี่ มันก็คงเป็นเพราะดวงตาคู่นี้ของนายกระมั้งที่ทำให้ฉันถูกใจ” แววตาที่ไม่หวาดกลัวต่อความตายและความกล้าที่จะต่อสู้เยี่ยงหมาจนตรอก มันทำให้ตัวของเฮลาสถูกใจและไม่ใช่การถูกใจธรรมดามันเป็นความรู้สึกถูกใจมาก ๆ จนตัวของเขาต้องเก็บเจ้าแมวจรจัดตัวนี้กลับมา




และเมื่อสิ้นเสียงพูดครีแวนก็ถึงกับชะงักค้างไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งกว่าร่างโปร่งบางจะรวบรวมสติทั้งหมดให้กลับคืนมาทั้งหมดใช้เวลาไปร่วม 10 นาที และคำพูดคำพูดแรกที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบางนั่นก็เป็นเพียงถอยคำสั้น ๆ ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน “ขนลุก…” และตัวของครีแวนก็ไม่ไดพูดเพียงแค่นั้นเพราะมือข้างหนึ่งของเขาถูกยกขึ้นมาปัดมือแกร่งที่จับใบหน้าของตนเองออก




แต่ครีแวนก็ไม่ได้รู้เลยว่าการที่ตนได้ทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ตัวของเฮลาสรู้สึกถูกใจตนมากขึ้นไปอีก ดวงเนตรทั้งสองคู่ต่างจ้องมองกันไปมา แม้เวลาจะผ่านไปเพียงแค่เสียววินาทีแต่ในความรู้สึกของครีแวนมันดูเหมือนผ่านไปนานนับชั่วโมง คนทั้งสองคนยังคงใช้สายตาเป็นอาวุธกันต่อไปอีกสักพักและในที่สุดฝ่ายที่ตองยอมแพ้ก่อนก็คือตัวของครีแวนเอง และแน่นอนต่อให้ร่างโปร่งบางคนนี้ยอมแพ้ในเกมส์นี้แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะยอมแพ้เปล่า ๆ มือบางเลื่อนไปคว้าอาวุธชิ้นสุดท้ายที่หลุดรอดจากการตรวจจับออกมาพร้อมกับพุ่งตัวเข้าไปหมายจะปลิดชีวิตอีกฝ่าย




ใบมีดขนาดเล็กพุ่งตรงไปที่ลำคอแกร่ง ในตอนนี้ไม่มีเวลาที่จะทำให้ตัวของเฮลาสหลบหนีโดยที่ตนไม่บาดเจ็บได้เขาจึงตัดสินใจเอี้ยวตัวหลบให้ใบมีดที่พุ่งเข้ามาทำอันตรายตัวของเขาให้น้อยที่สุด



v
v
v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 1] 31/05/2014 P.1
«ตอบ #4 เมื่อ31-05-2014 20:51:47 »


คมมีดถูกปาดยาวที่ลำคอแกร่ง แม้มันจะไม่ลึกมากแต่ก็เรียกให้หยาดโลหิตสีแดงสดไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสายมือแกร่งยกมือขึ้นมากุมบริเวณบาดแผล เนตรคมจ้องมองโลหิตที่หยดลงไปบนพื้นเพียงเล็กน้อยก่อนจะตวัดสายตาจ้องมองไปยังตัวต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งคราวนี้ดวงเนตรสีโกเมนวาวโรจไปด้วยความโกรธ ริมฝีปากหนาไม่มีรอยยิ้มระบายไปทั่วอีกแล้วมือแกร่งตรงเข้าไปกระชากมือที่ถือมีดพร้อมกับรวบมือของครีแวนไปไว้ด้านหลัง




แต่มีหรือคนที่แสนจะหยิ่งยโสและดื้อดึงอย่างครีแวนจะยอมจนมุม มือข้างที่ไม่ได้ถูกพันธนาการถูกง้างออกพร้อมกับเขาที่ออกแรงทั้งหมดกระแทกข้อศอกเข้าไปที่หน้าท้องอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่ามันจะไร้ผลชายหนุ่มที่ลอคตัวของครีแวนอยู่ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด นอกจากนั้นมือแกร่งอีกข้างยังรวบมืออีกข้างของร่างโปร่งบางไดอีก คราวนี้ครีแวนไม่มีหนทางนี้แล้วแม้ว่าร่างบางจะดิ้นรนขนาดไหน พันธนาการนี้ก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ




“ปล่อยฉันสิวะ ไอบ้านี่ต่อให้นายเป็นดอนของแกงค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแถบนี้ แต่ฉันก็ไม่ใช่ลูกน้องของนายนะเว้ย” ครีแวนพยายามดิ้นรนหาทางหนี หากแต่มีหรือชายผู้ที่กำลังโกรธาจะยอมปล่อยให้คนที่ทำร้ายตนหลุดรอดไปได้




มือแกร่งรวบข้อมือบางทั้งสองข้างด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างก็พลางควานหาอาวุธลับที่อีกฝ่ายอาจจะซ่อนเอาไว้ จุดแรกคือบริเวณกางเกงชายหนุ่มใช้มือข้างเดียวจัดการปลดเข็มขัดและกางเกงยีนสีซีดออกจากร่างโปร่งบางก่อนจะใช้มือข้างนั้นโยนสิ่งที่อยู่ในมือทิ้งไปให้พ้นทาง




เรียวขาขาวประจักษ์แก่สายตามือกร้านค่อย ๆ ลูบต้นขาขาวอย่างเบามือ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาทำอะไรแบบนี้ จุดหมายต่อไปที่เขาจะต้องจัดการนั่นก็คือบริเวณสาบเสื้อและปกของเสื้อเชิ้ตที่อีกฝ่ายใส่ และเป็นไปตามคาดเขาพกปลอกมีดติดไว้อยู่แต่ตัวมีดนั้นไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกแล้วนั่นก็คงเป็นเพราะเจ้าอาวุธชิ้นสุดท้ายนั้นถูกงัดออกมาใช้ไปเมื่อสักครู่




เมื่อตรวจดูอีกฝ่ายจนพอใจมือกร้านก็ปล่อยให้ร่างบางนั้นหลุดพ้นออกจากพันธนาการ ปลายเท้าเตะมีดพกอันเล็กออกไปให้พ้นทางและมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่ ครีแวนพลิกกายหันกลับมาประจันหน้ากับอีกฝ่าย




“…ไอ้บ้าทำบ้าอะไรวะ” ครีแวนส่งเสียงด่าสุดเสียง หากแต่เมื่อตนไล่สายตามองไปยังรอยบาดแผลที่ต้นคอของอีกฝ่ายริมฝีปากก็พลันเงียบลง ไม่ใช่เพราะว่าตัวของครีแวนนั้นรู้สึกผิดอะไรนักหรอกเขาแค่ไม่อยากโดนฆ่าข้อหาลอบฆ่าดอนของแกงค์มาเฟียเพราะหลักฐานที่ตัวเขาทำร้ายดอนของแกงค์มันยังคงอยู่บนร่างกายอยู่เลย




ร่างโปร่งบางค่อย ๆ ก้าวถอยหลังแต่มีหรือที่เฮลาส ฟีเลทัสจะยอมให้อีกฝ่ายหนีพ้นร่างสูงค่อย ๆ ก้าวเท้าตามและในแต่ละก้าวที่ชายหนุ่มผู้นี้ก้าวเดินนั้นมันค่อย ๆ สร้างความกดดันภายในห้องให้มากขึ้นเรื่อย ๆ




ฝ่ายหนึ่งก้าวหนีอีกฝ่ายก้าวเดินตาม เหตุการณ์ภายในห้องยังคงเป็นอย่างนี้ไปจนกระทั้งแผ่นหลังบอบบางนั้นชนเข้ากับกำแพงที่กั้นระหว่างห้อง




เมื่อร่างโปร่งบางรูว่าตนไร้ทางหนีคราวนี้ก็มีแต่สู้อีกฝ่ายจนตัวตายแล้วหละ นัยน์เนตรสีแซฟไฟร์ที่ในตอนแรกเตมไปดวยความหวาดกลัวและหวั่นเกรงหลุบตาลง สักพักดวงเนตรคู่งามก็ลืมตาขึ้น ซึ่งภายในเนตรทั้งสองข้างไม่ได้มีความกลัวหรือหวั่นเกรงอะไรอีกต่อไปแล้ว




“…ทำไม...เกิดความรู้สึกอยากฆ่าฉันไปแล้วหรือยังไงรู้สึกช้าไปนะ ถ้าไม่เจ็บตัวก่อนก็ไม่รู้สึกอยากจะฆ่าขึ้นมาหรือยังไง” เสียงนุ่มเอ่ยท้าทาย ถึงแม้ในใจจะหวั่นเกรงแต่ตัวของครีแวนก็ไม่คิดที่ยอมแพ้และยอมตายแบบไม่ได้ต่อสู้อะไรเลย




เนตรสีไพลินวาวโรจน์แข่งกับเนตรสีโกเมน ดวงตาของทั้งคู่จ้องมองกันอีกครั้งและในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การจ้องมองอย่างเดียวเสียแล้วร่างสูงเดินเข้ามาประชิดร่างบางพร้อมกับโน้มตัวลง แขนทั้งสองข้างเท้าไปที่กำแพง ใบหน้าของทั้งสองคนห่างกันไม่ถึงคืบนั่นจึงทำให้คนทั้งคู่นั้นสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของอีกฝ่าย ซึ่งชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงแปลกตาก็ไม่คิดที่จะหยุดลงที่เพียงแค่นั้น เขาค่อย ๆ โน้มตัวลงเข้าไปใกล้มากกว่าเก่า จนในที่สุดตอนนี้หน้าผากของเขาก็โน้มลงไปชนกับหน้าผากของอีกฝ่าย ในนี้มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่เกมส์จ้องตากันแบบธรรมดาอีกแล้ว




มือกร้านข้างหนึ่งละมือลงมาจากกำแพงพร้อมกับตวัดรวบเอวร่างโปร่งบางให้เข้ามาแนบชิดกับร่างของตน ซึ่งการกระทำแบบนี้ของเฮลาสทำให้ใบหน้าสวยที่ในตอนแรกนั้นบึ้งตึง แววตาสีไพลินที่วาวโรจน์ไปด้วยความโกรธนั้นเปลี่ยนไป แม้ดวงตาทั้งสองข้างนั้นจะยังคงจ้องมองไปยังชายหนุ่ม หากแต่สิ่งที่แฝงอยู่ในดวงตานั้นเปลี่ยนไป มันแปรเปลี่ยนเป็นความเก้อเขินและความอาย




ครีแวนพยายามบอกตัวเองว่า ตนนั้นไม่ได้รู้สึกเก้อเขินอะไรกับดวงเนตรสีโกเมนที่อีกฝ่ายจ้องมองมา ทว่านัยน์เนตรคู่นั้นกับมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ใครก็ไม่สามารถปฏิเสธมันได้ ซึ่งตัวของครีแวนเองมันก็ไม่สามารถปฏิเสธมันได้เช่นกัน




การจ้องมองระหว่างดวงเนตรสีไพลินล้ำลึกที่แสนลึกลับกับเนตรสีชาดที่น่าหลงใหล การจ้องมองเช่นนี้ยังคงดำเนินไปอีกสักพักจนในที่สุดครีแวนก็เป็นฝ่ายขอยอมแพ้ มือบางทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาดันแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย ใบหน้าขาวที่เริ่มขึ้นสีแดงเรื่องเบนหนีไปอีกทาง




“พอได้แล้วนายต้องการอะไรกันแน่” ริมฝีปากบางเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่ตนยังคงอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายหากแต่ตอนนี้ใบหน้าของคนทั้งคู่ถูกบังด้วยฝ่ามือของร่างโปร่งบาง “ทำไมไม่ฆ่าสักที ฉันรอนายฆ่ามานานแล้วนะ”




สิ้นเสียงพูดชายหนุ่มผู้โดนเอ่ยถามก็หลุดหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ นั่นก็เป็นเพราะตั้งแต่เฮลาสขึ้นมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของแกงค์มาเฟียไม่สิต้องเรียกว่าตั้งแต่ตัวเขานั้นเกิดมาไม่เคยเจอใครที่เรียกร้องและยอมรับความตายได้ง่าย ๆ อย่างคน ๆ นี้เลยสักคนเดียว ‘




‘คนนี้ช่างเป็นคนน่าสนใจอย่างที่คิดไว้จริง ๆ’ ร่างสูงลอบคิดในใจ ในตอนนี้มือแกร่งทั้งสองข้างเปลี่ยนมาโอนรอบเอวของครีแวนเรียบร้อยแล้ว




“อยากตายมากเลยหรือยังไงกันครีแวน” เสียงทุ้มชวนลุ่มหลงกระซิบข้างใบหู ลมหายใจอุ่นที่ถูกพ่นออกมาทำให้ร่างบางขนลุกซู่อย่างไม่ทราบสาเหตุ




“ฉันจะอยากตายไม่อยากตายมันเกี่ยวอะไรกับนายหรือไง ไหน ๆ นายก็ขึ้นชื่อเรื่องการฆ่าสปายที่มาคอยสืบข่าวของนายอยู่แล้วนี่ ฉันก็เลยแปลกใจที่ฉันไม่ถูกฆ่าฉันให้ตายตั้งแต่ตอนอยู่ด้านนอกนั่น” ครีแวนตอบไปเสียยาวเหยียด ซึ่งการตอบที่ดูประชดประชันแบบนี้ทำให้เฮลาสถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ




“ช่างประชดประชันจริงนะ” ประโยคถูกเอ่ยออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ แม้ถ้อยคำที่ชายหนุ่มร่างสูงกล่าวออกมานั้นจะมีความหมายชัดเจนแต่ก็มีไอ้เสียงหัวเราะนี่หละที่ทำให้อีกฝ่ายสงสัยว่าชายคนนี้ว่า ‘ภายในสมองนั้นเขากำลังคิดอะไรอยู่’




“…แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายกัน” พูดจบมือข้างเดิมของครีแวนที่ถูกยกขึ้นมากั้นระหว่างใบหน้าของคนทั้งสองคนก็เงื้อหมัดตรงต่อยอีกฝ่ายไปเต็มแรง คราวนี้ต่อให้เป็นดอนหนุ่มแกงค์มาเฟียที่ใหญ่ที่สุดในแถบยุโรปก็ไม่อาจที่จะรั้งร่างตรงหน้าเอาไว้ในอ้อมกอดต่อได้ ร่างสูงเซถอยหลังใบหน้าคมหันไปอีกทางสีหน้า ในตอนนี้ครีแวนไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าชายตรงหน้าตนกำลังคิดอะไรอยู่รวมใบถึงหน้ากร้านคมนั้นแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาครีแวนก็ไม่อาจรับรู้ได้เลยสักนิด




เรือนผมยาวประบ่าสีแดงเข้มปลิวไสวตามแรงที่อีกฝ่ายส่งมาชายหนุ่มชะงักค้างอยู่แบบนั้นไปช่วงเสี้ยววินาที หลังจากนั้นร่างสูงก็พุ่งตัวเข้าไปประชิดร่างบางของอีกฝ่าย มือทั้งสองข้างรวบข้อมือทั้งสองข้างเอาไว้พร้อมกับกดร่าง ๆ นั้นให้แนบชิดไปกับพื้นพรม “ครั้งแรกที่นายลงมือกับฉัน...ฉันถือว่ามันเป็นการป้องกันตัว ครั้งที่สองแม้ว่าตัวฉันจะไม่พอใจที่นายใช้มีดมาทำร้ายฉัน แต่ฉันก็คือว่ามันเป็นการกระทำของคนที่จนตรอกเพื่อหาทางหนี แต่ครั้งนี้มันคือครั้งที่สาม...ฉันคงไม่ใจอ่อนยอมให้นายได้ใจทำร้ายอะไรฉันได้อีกแล้ว ถึงตัวฉันจะถูกใจในนิสัย ความคิด แววตาและรวมไปถึงร่างกายของนายก็เถอะ” เสียงทุ้มเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียมมือกร้านเริ่มบิดล็อดแรงขึ้นจนทำให้ร่างที่ถูกพันธนาการหลุดครางเสียงเบาด้วยความเจ็บปวด




“ปล่อยฉันซะไอ้บ้า...ฮึก” ครีแวนเค้นเสียงพูด แม้ตนจะรู้สึกเจ็บมากมายแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางร้องขอให้อีกฝ่ายปล่อยเด็ดขาด นัยน์เนตรสีไพลินแข็งกร้าวซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างกับชายหนุ่มผู้มีเรือนผมยาวสีแดงชาดเช่นกัน ความโกรธของคนทั้งคู่เพิ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อย จนตอนนี้ในที่สุดตอนนี้ความโกรธาของคนใจร้อนเช่นครีแวนก็ถึงจุดสูงสุด




ร่างโปร่งบางกัดฟันแน่นพร้อมกับใช้แรงทั้งหมดที่มีพยายามดันดันตัวเองขึ้นเพื่อนให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่คนตัวโตกว่ามอบให้ ริมฝีปากบางเม้มแน่นพร้อมกับไหล่บางทั้งสองข้างที่ใช้แทนต่างมือค่อย ๆ ออกแรงดัน แต่มีหรือดอนหนุ่มจะยอมให้เชลยที่อยู่ในกำมือตนทำเช่นนั้นเขาออกแรงเพิ่มขึ้นไปอีกนิด ร่างที่พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นก็ถูกกดนอนราบไปที่พื้นอีกครั้ง




“ฮึก...” เสียงร้องจากความเจ็บปวดดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ซึ่งครั้งนี้ความเจ็บปวดมันเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีกเพราะมือกร้านที่พันธนาการมือทั้งสองข้างของเขาไว้ไม่ใช่แค่จับกุมธรรมดาเสียแล้ว แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นการล็อคทั้งท่อนแขนตามศิลปะการต่อสู้โดยใช้มือเปล่า ในเวลานี้แม้แต่กระดิกตัว…ไม่สิเรียกว่าแม้แต่จะกระดิกนิ้วครีแวนก็ไม่สามารถทำได้ ร่างเล็กกว่าพ่ายแพ้อย่างหมดท่า ทว่าร่างสูงกว่าก็ไม่ได้ภาคภูมิใจกับชัยชนะครั้งนี้




“เป็นสัตว์เลี้ยงแต่คิดจะทำร้ายเจ้าของอย่างนั้นหรือไง” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม นัยน์เนตรคมเข้มนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ




‘เขาไม่เคยเจอใครที่พยศอย่างนี้มาก่อน แบบนี้มันคงไม่ใช่แมวจรจัดซะแล้วสิและถ้าให้เขาเปรียบเปรยใหม่ที่จะสามารถนิยามคน ๆ นี้ได้ก็คงต้องเปรียบเป็นสัตว์ป่าที่ไม่สามารถเลี้ยงให้เชื่องได้ง่าย ๆ ชีต้าร์สินะ...ว่องไว รวดเร็วและดุร้ายเป็นสัตว์นักล่าที่เตรียมพร้อมจะขย้ำเหยื่อได้ทุกเวลา’ แม้ชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้จะเปรียบว่าตัวของครีแวนเป็นเสือชีต้าร์ที่แสนว่องไวแต่กระนั้นเสือชีต้าร์ที่แสนปราดเปรียวนั้นก็ไม่อาจที่จะสู้กับเสือโคร่งที่มีร่างกายใหญ่กว่าเป็นเท่าตัวได้ ร่างบางถูกจับให้นอนราบไปกับพื้นอีกทั้งมือทั้งสองข้างยังคงถูกล็อคเอาไว้แน่น




สถานการณ์และสภาพของเขาในตอนนี้ ครีแวนคิดได้อย่างเดียวว่าอีกไม่นานตัวของเขาต้องโดนฆ่าตายอย่างแน่นอน แม้ตนจะเคยพร่ำว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่อยู่วงการอันแสนดำมืดนี้ แต่ความตายมันก็ยังเป็นเรื่องที่น่ากลัวอยู่ดี โดยเฉพาะตัวเขาที่ยังมีคนรอคอยให้เขากลับไปกินข้าวด้วยที่บ้าน




นัยน์เนตรสีน้ำทะเลลึกหลับตาลงเพื่อยอมรับชะตากรรมที่จะมาถึง แต่ในขณะที่ดวงเนตรทั้งสองข้างนั้นจะหลับตาลงเสียงบานประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคนหนึ่งคนที่เดินเข้ามา เค้าหน้าของเขาไม่ได้ต่างอะไรไปจากชายหนุ่มที่พันธนาการเขาอยู่เลยสักนิด หากแต่สิ่งที่ต่างกันก็คือคงจะเป็นช่วงอายุกระมัง เพราะชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ดูท่าแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าเขาเสียอีกไม่สิคงเรียกว่าอายุนั้นคงไม่เกิน 18 ปี




“ท่านน้า...สิ่งที่ท่านน้าต้องการให้ผมตรวจสอบตอนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ รายละเอียดของการค้นหาคือสืบประวัติตอนนี้ท่านน้าจะให้ผมรายงานทั้งหมดเลยไหมครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามผู้เป็นน้า แต่คำตอบที่ชายร่างสูงตอบกลับไปมีแค่เพียงมือกร้านที่ยกขึ้นมาพร้อมกับตวัดไล่ให้เด็กหนุ่มคนนั้นเดินออกจากห้อง




เมื่ออีกฝ่ายรับทราบถึงคำสั่งร่างสูงของเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเต็มที่ก็เดินถอยออกไป แต่ก่อนที่ร่างสูงนั้นจะก้าวเดินออกจากห้องไปเขาก็ไม่ลืมที่จะวางเอกสารที่จำนวนหนึ่งที่ตนเองหาประวัติของคน ๆ หนึ่งตามคำสั่งของน้าชายเอาไว้ที่โต๊ะที่วางประดับไว้บริเวณหน้าห้อง




และเมื่อเสียงบานประตูไม้ปิดลงเสียงลงกลอนที่ล็อคจากด้านนอกก็ดังขึ้นซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ร่างของครีแวนที่ถูกปล่อยออกจากพันธนาการ




เมื่อร่างกายของตนเป็นอิสระ สัญชาตญาณแรกของมนุษย์นั่นก็คือการป้องกันตัวเองออกจากอันตรายหากแต่สิ่งที่ครีแวนคิดว่าตนจะเผชิญต่อไปนั้นกลับผิดคาดเพราะว่าดอนฟีเลทัสจะไม่สนใจตัวของเขาแล้ว เขายังเลือกที่จะเดินหนีไปอีกทางเพื่อหยิบเอกสารที่หลานชายของตนทิ้งเอาไว้ให้ก่อนออกจากห้อง




เมื่อรวบรวมเอกสารทั้งหมดมาไว้ในมือเฮลาสก็เดินเลี่ยงไปนั่งที่โซฟา โดยทิ้งครีแวนได้แต่งนั่งมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงงอยู่ที่พื้น




‘ไอ้บ้านี่...ผีเข้าผีออก แผลที่เขาทำยังมีเลือดไหลออกอยู่เลยนี่มันไม่คิดจะทำแผลเลยหรือไงกัน’ ครีแวนได้แต่กรนด่าอีกฝ่ายในใจและในขณะที่ตัวเขาลุกขึ้นยืนและสาวเท้าเดินไปที่ประตูทางออก เสียงทุ้มเข้มก็เอ่ยดังขึ้นซึ่งมันไม่ใช่ประโยคที่เอ่ยรั้งอะไรตัวของครีแวนเลยสักนิด แต่ประโยคที่เสียงเข้มพูดออกมานั้นทำให้ขาเรียวทั้งสองข้างของครีแวนถึงกับชะงักค้างและไม่กล้าที่จะก้าวเดินต่อไป




“ครีแวน เดอ เมอร์เรส อายุ 23 ปี นักขายข่าวไร้สังกัดและข่าวที่เขาขายนั้นเป็นข่าวที่เชื่อถือได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ แบบนี้เรียกได้ว่านักขายข่าวชั้นยอดเลยนะ” เมื่อชายหนุ่มร่างสูงอ่านจนจบวรรคแรกใบหน้ากร้านคมก็เงยหน้าขึ้นไปมองร่างสูงโปร่งที่ยืนชะงักค้างอยู่หน้าประตู




“ลูกครึ่ง สัญชาติอังกฤษรัสเซียถึงจะมีเชื้อรัสเซียแต่ก็อยู่อังกฤษและไปมาระหว่างอเมริกาและอังกฤษมาตลอดเลยทำให้ไม่มีความรู้ทางภาษารัสเซียเลยสักนิดเดียว” สิ้นประโยคนี้เฮลาสเหลือบตามองอีกฝ่ายด้วยความขบขัน และ เมื่อเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นเฮลาสก็ยิ่งได้ใจเขาก้มหน้าลงไปอีกครั้งและอ่านประโยคถัดไปออกมา คราวนี้นอกจากทำทำให้ครีแวนนิ่งเงียบแล้ว มันยังทำให้ครีแวนถลาเข้ามาหาเขาแต่สภาพมันดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นักเพราะปกเสื้อสูทที่ตอนนี้ชื้นไปด้วยเลือดถูกกระชากขึ้นไป




“ครอบครัว ตอนนี้เหลือน้องสาวอยู่คนเดียวคือ วิเวียน เดอ เมอร์เรส อายุ 14 ปี อืม…อายุน้อยกว่าเจ้าคาร์เร่หลานชายของฉันอีกนะ แต่แววตาเหมือนนายดีนะดูเป็นคนไม่ยอมคนและดื้อเหมือนนายนะเนี่ย...แบบนี้ชักจะทำให้ฉันสนใจขึ้นมาซะแล้วสิ” สิ้นเสียงพูดร่างสูงได้แต่เหยียดรอยยิ้มให้อีกฝ่ายแม้ในตอนนี้ตัวของชายร่างสูงจะถูกกระชากคอเสื้ออยู่ก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้เขาเลยสักนิด มือกร้านยกมือขึ้นมาปัดมือบอบบางออกอย่างง่ายดายซ้ำยังคงอ่านรายงานที่หลานชายเพียงคนเดียวสืบให้ต่อ ทว่าครีแวนไม่ยอมหยุดเพียงแค่นั้นมือบางเอื้อมไปคว้าเอกสารทั้งหมดออกมาจากมือของอีกฝ่ายมือทั้งสองข้างฉากและกระชากทำลายเอกสารทั้งหมดนั้นด้วยเวลาเพียงไม่กี่วินาที ใบหน้าสวยแหงนหน้าขึ้นพร้อมกับเอ่ยประโยคที่เฮลาสนั้นได้คาดเดาเอาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นต้องเอ่ยออกมาหลังจากเขาอ่านประวัติของอีกฝ่ายจบ แต่ดูเหมือนว่าเขาคาดเดาผิดไปสักเล็กน้อยเพราะไม่ทันที่เขาจะได้อ่านรายละเอียดที่เหลือร่วมสิบหน้าความอดทนของร่างบอบบางตรงหน้าก็หมดความอดทนเสียแล้ว




“นายห้ามไปยุ่งกับน้องสาวของฉันเขาไม่ใช่คนในโลกด้านนี้ถ้าต้องการจะฆ่าหรือทำอะไรก็มาลงที่ฉันเพียงคนเดียว น้องสาวของฉันไม่เกี่ยว” เนตรสีน้ำเงินแข็งกร้าวเช่นเดียวกับน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา ซึ่งกิริยาที่อีกฝ่ายนั้นแสดงออกมาให้เห็นมันตรงไปตามแผนที่ตัวเขาได้วางไว้




การจะเลี้ยงสัตว์ป่าให้เชื่อง...ต้องจับจุดอ่อนและแน่นอนแม้มันจะแข็งแรงและปราดเปรียวขนาดไหนก็ไม่มีข้อแม้ ซึ่งมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน แค่กุมจุดอ่อนนั้นไว้คน ๆ นั้นก็ยอมอยู่ใต้เท้าเราแล้ว และประโยชน์ของจุดอ่อนก็ไม่ได้มีเพียงเท่านั้นเพราะเมื่อเรากุมจุดที่อ่อนแอนั้นได้เรายังสามารถบัญชาทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตของคน ๆ นั้นได้ด้วยเช่นกัน




บรรยากาศยังคงตึงเครียดหากแต่มันก็ดำเนินอยู่ได้ไม่นาน ริมฝีปากหนาก็พูดทำลายความเงียบพร้อมเหยียดรอยยิ้มเอ่ยเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเดินตามตนเข้าไป



...และแล้วการฝึกสัตว์ป่าก็ได้เริ่มต้นขึ้น...







เจอกันตอนต่อไปค่ะ พลอยคิดว่านิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นค่ะความยาวไม่น่าเกิน 150 หน้าพลอยขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2014 21:12:28 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 1] 31/05/2014 P.1
«ตอบ #5 เมื่อ31-05-2014 21:39:51 »

จะฝึกยังไงนะอิอิ รอลุ้นว่าน้องครีแวนจะเป็นยังไงต่อไปค่า  :hao7:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 2 *Warning*] 03/06/2014 P.1
«ตอบ #6 เมื่อ03-06-2014 16:08:40 »


สวัสดีค่ะ พบเจอกันอีกแล้วนะคะ ... นาน ๆ ถี่จะโผล่หัวออกมาทีแหะ ๆ วันนีมาลงตอนสองค่ะ แต่พลอยก็ตองขอเตือนผู้ที่จะอ่านตอนนี้นะคะว่า โปรดใชวิจารณญาณในการอ่านสักนิดนะคะ...ตอน 2 มันออกจะ...และ... ค่ะ ถ้าสงสัยว่าพลอยเตือนอะไร แนะนำให้ลองอ่านเลยค่ะ ; w ; (โดนบอกว่าปกติไม่ใช่คนที่แต่งแบบนี้ไม่ใช่เหรอ แต่พลอตเรื่องนี้ที่วางมันเป็นแบบนี้เลยต้อง...นะคะ)




Chapter 2


ขาเรียวยาวทั้งสองข้างค่อย ๆ ก้าวเดินตามชายหนุ่มร่างสูงเข้าไปด้านใน ครีแวนไม่รู้ว่าต่อไปเขาจะเจอเหตุการณ์แบบไหนอีกภายในใจนั้นเต็มไปด้วยความหวั่นเกรง หากแต่ศักดิ์ศรีของเขานั้นมันดันมีมากกว่าความหวาดกลัว ขาทั้งสองข้างยังคงก้าวตามไปเรื่อย ๆ โดยตนก็ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาจะเจอต่อไปนั้นมันจะคืออะไรและมันจะเลวร้ายมากกว่าสิ่งที่ตนเจอในตอนนี้แค่ไหน ชายหนุ่มที่ก้าวเดินนำหยุดฝีเท้าลงมือกร้านเอื้อมไปจับบานประตูที่อยู่ตรงหน้าและเปิดมันออกช้า ๆ



ภาพที่ปรากฏตรงหน้าของชายหนุ่มรวมไปถึงครีแวนนั่นก็คือห้องนอนขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งไปด้วยเครื่องเรือนสีเงินและทองหากมีแต่เตียงนอนเท่านั้นที่ถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนสีแดงเข้มเฉกเช่นเรือนผมของผู้เป็นเจ้าของของมัน



ไม่ต้องคาดเดาว่าชายคนนี้ต้องการอะไรจากตัวของเขาเพราะคำตอบมันนั้นได้เฉลยอยู่ตรงหน้าแล้วว่า สิ่งที่ชายหนุ่มร่างสูงคนนี้ต้องการคือร่างกายของเขา และอาจจะไม่ใช่แค่ร่างกายถ้าหากเขาทำอะไรไม่ถูกใจ ริมฝีปากบางเม้มแน่นแม้ตนจะยอมรับความตายได้อย่างง่ายดายแต่การที่ต้องมาเสียศักดิ์ศรีโดยการยอมมองร่างกายของตนให้อีกฝ่ายเพื่อแลกกับชีวิตแบบนี้เป็นสิ่งที่ตนไม่สามารถยอมรับได้ ร่างโปร่งบางรีบหันหลังพร้อมกับก้าวเดินออกไปจากห้องแต่มีหรือผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าอย่างเฮลาส ฟีเลทัสจะยอมให้สัตว์ที่ตัวเองเก็บมาเลี้ยงหนีรอดไปได้ ซึ่งคำตอบมันก็แน่นอนอยู่แล้วว่า ‘ไม่มีวัน’



มือกร้านเอื้อมมือไปรั้งแขนอีกฝ่ายส่วนมืออีกข้างเอื้อมไปปิดล็อคห้องด้วยความรวดเร็ว คราวนี้สัตว์ป่าที่แสนปราดเปรียวหมดทางนี้ ร่างโปร่งบางได้หันกลับมาเผชิญหน้ากับร่างสูง และอย่างที่เคยบอกไปแม้ภายในใจจะหวั่นเกรง แต่ศักดิ์ศรีนั้นมีมากกว่า ดวงเนตรสีไพลินเชิดหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มร่างสูงพร้อมกับเหยียดรอยยิ้มออกมา



“วิปริตดีนะ ดอนของแก้งค์มาเฟียต้องการร่างกายของผู้ชายด้วยกันเอง” คำเย้ยหยันถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบาง รอยยิ้มเย้ยหยันแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มดูถูกดูแคลนซึ่งครีแวนก็ไม่คิดที่จะยอมหยุดฝีปากตัวเองไว้เพียงแค่นั้น เขายังเอ่ยถ้อยคำดูถูกดูแคลนอีกฝ่ายออกมาเสียยาวเหยียด “ถ้าลูกน้องของนายรู้พวกเขาจะทำหน้ายังไงกันนะ ดอนของตัวเองอยากนอนกับผู้ชายที่เพิ่งเจอหน้ากันวันแรกขนาดนี้ เอะ...ไม่สิต้องเรียกว่าฉันกับนายเพิ่งได้เจอหน้ากันยังไม่ถึงสามชั่วโมงจะดีกว่า” พูดเสร็จร่างโปร่งบางก็ทอดถอนลมหายใจออกมา แม้ว่าตนจะรู้สึกหวั่นเกรงนิด ๆ ว่าถ้าเกิดตัวของเขาพูดจบร่างสูงผู้นั้นจะหยิบปืนพกขึ้นมาเป่าหัวของเขาให้กระจุย แต่ตอนนี่อาวุธที่เขามีอย่างเดียวก็คือปากจะไม่ใช้มันด่าอีกฝ่ายให้สะใจก่อนตายก็กระไรอยู่ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพูดออกไปดีกว่า อย่างน้อยถ้าตายเขาก็ไม่ได้ตายแบบไม่ต่อสู้อะไร ถึงอาวุธที่เขาใช้สู้มันจะดูอนาถไปสักนิดก็เถอะ



ทว่าครีแวนกับคาดการณ์ผิดไปร่างสูงผู้นี้จะไม่โกรธจนเอาปืนมาเป่าหัวของเขาทิ้งแล้ว ชายคนนี้ยังหันมาส่งรอยยิ้มและเอ่ยตอบเขาด้วยน้ำเสียงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำเหยียดหยามของครีแวนเลยสักนิด



“แค่ฉันพานายมาที่นี่ทุกคนก็รู้กันหมดแล้วว่ามันหมายถึงอะไร นายก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าฉันไม่เคยปล่อยให้ใครก็ตามที่มายุ่งกับฉันหนีรอดจากเงื้อมมือของฉันได้...ใช่ฉันไม่เคยปล่อยให้ใครหนีรอดซึ่งนี่ก็คือวิธีจัดการนายอีกวิธีหนึ่งที่ฉันคิดขึ้นมาได้ ที่จริงฉันอยากได้สัตว์เลี้ยงมานานแล้วหละแต่ยังไม่เจอตัวที่ถูกใจสักที แต่วันนี้ท่าทางฉันจะเจอแล้วหละไม่ว่าจะเป็นแววตา รูปลักษณ์หรือฝีปากที่ทำให้ฉันได้รู้ว่าสัตว์เลี้ยงของฉันมันไม่ได้เป็นใบ้” สิ้นเสียงทุ้มครีแวนก็ได้ตระหนักถึงสิ่งที่ตนได้เผชิญมา การไม่ถูกฆ่าตายอย่างหมาข้างถนนมันก็ดี แต่การถูกจับมาเช่นนี้คงจะมีคำเรียกอย่างอื่นไม่ได้นอกจากคำว่าเชลย ทว่าเชลยของที่นี่ไม่ได้ถูกจับมาเพราะเขาต้องการใช้ประโยชน์หรือเค้นความลับ



หากแต่คำว่าเชลยของที่นี่นั้นหมายความว่า ‘คน ๆ นี้เป็นคนที่ดอนฟีเลทัสนั้นถูกใจ’



เมื่อตนเรียบเรียงความคิดทั้งหมดได้ตอนนี้ตัวของครีแวนก็ไร้หนทางหนีซะแล้ว ต่อให้ด้านหลังจะเป็นบานประตูก็ตาม แต่การที่จะหนีออกไปจากทางนั้นมันต้องใช้คีย์การ์ดที่อีกฝ่ายเก็บไว้ ส่วนหน้าต่างแม้จะถูกสร้างไว้เรียงรายกันมากมายก็คงต้องขอบอเลยว่ากระจกทั้งหมดที่ติดตั้งมันคงเป็นกระจกกันกระสุนทั้งหมด ซึ่งแน่นอนตัวเขาที่มีแค่มือเปล่าคงไปทำอะไรกระจกที่กันได้แม้กระทั่งกระสุนไรเฟิล หากแต่สิ่งที่กักขังตัวของเขาไม่ได้มีเพียงแค่นั้นเพราะสิ่งที่น่ากลัวว่าประตูที่ถูกปิดล็อดด้วยคียการ์ดหรือกระจกที่กันได้แม้กระทั่งไรเฟิลมันก็คือชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขา ชายร่างสูงที่เป็นเจ้าของดวงเนตรสีแดงเพลิงที่ชวนหลงใหลหากแต่มันก็ดุดันจนน่าหวาดกลัว



“…ปล่อย ฉัน ซะ...” แต่ความน่ากลั่วหรือน่าหวั่นเกรงพวกนั้นมันไม่สามารถทำอะไรชายหนุ่มผู้มีนามว่าครีแวนได้ เพราะนอกจากตัวเขาจะกล้าพูดสั่งอีกฝ่ายแล้ว มืออีกข้าวถูกยกขึ้นมาข่วนกระชากมือของตนเองให้หลุดออกการกอบกุมของอีกฝ่ายให้ได้ ถึงแม้ตนจะทราบก็ตามว่า ‘ความพยายามทั้งหมดของเขามันจะสูญเปล่าทั้งหมดก็ตาม’



ร่างโปร่งบางค่อย ๆ ถูกลากให้เดินตามร่างสูงไปเรื่อย ระยะห่างจากเตียงนอนสีเข้มนั้นค่อย ๆ กระชั้นชิดเข้ามา หัวใจยากจะยอมรักกับการโดนทำลายศักดิ์ศรี...หากมันคงเป็นชะตากรรมที่พระเจ้านั้นได้ลิขิตไว้...



ใช้เวลาเพียงชาวงครู่เดียวครีแวนก็ถูกลากไปถึงขอบเตียงนอนสีเข้ม จากนั้นร่างโปร่งบางก็ถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนนั้นโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว



ไร้หนทางหนี...


ไม่มีแม้แต่ความหวัง...


แต่กระนั้นตัวของครีแวนก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ ร่างโปร่งบางเตรียมพลิกตัวหนี แต่อย่างที่ได้บอกว่าในตอนนี้ความหวังและทางหนีได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว ร่างทั้งร่างถูกกระชากขึ้นไปบนเตียงอีกครั้ง และครั้งนี้ร่างทั้งร่างอยู่ในสภาพถูกตรึงด้วยมือทั้งสองข้างของชายร่างสูง



“คิดจะหนีอีกหรือไง...ทั้ง ๆ ที่ไร้ความหวังซะขนาดนี้แล้ว แต่ฉันก็ชอบนะชอบกับการสู้แบบหมาจนตรอกของนายนะ เพราะมันไม่ทำให้ฉันเบื่อเหมือนสัตว์เลี้ยงที่ฉันเคยเก็บมาแต่มันก็คงเทียบกับนายไม่ได้แล้วกระมังเพราะนายคือสัตว์ป่าที่ดุร้ายแต่ก็น่าลองที่จะปราบพยศ” ถ้อยคำเหล่านี้ถูกกระซิบข้างใบหู ใบหน้าคมที่โน้มลงไปนั้นแกล้งพ่นลมหายใจอุ่น ๆ ลงไปที่ซอกคอขาวราวกับว่าต้องการจะกลั่นแกล้ง



“ขอบใจที่ให้เกียรติกันเสียขนาดนั้น แต่ยังไงฉันก็ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของนาย” ครีแวนพยายามที่จะขยับตัวให้น้อยที่สุดแม้จะในขณะที่ตนเองพูด ซึ่งเหตุผลที่ครีแวนต้องทำอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรมากนอกเสียจากทุกครั้งที่เขาขยับตัวหรือถอนลมหายใจออกมาแรงซอกคอของเขามันจะขยับไปสัมผัสกับริมฝีปากของชายที่อยู่เหนือร่างของตน ซึ่งความรู้สึกที่โดนริมฝีปากหนานั่นสัมผัสตัวเขากับไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรเสียด้วย ดังนั้นตัวเขาขอเลี่ยงที่จะโดนตัวอีกฝ่ายดีกว่าแม้จะเลี่ยงได้สักพักก็ตาม



“หืม...? ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของฉันอย่างงั้นเหรอ แต่สภาพการณ์แบบนี้อีกไม่นานนายก็คงกลายเป็น ‘ของ ๆ ฉันแล้วหละ’ จริงไหม” สิ้นประโยคครีแวนถึงกับตัดสินใจที่จะกัดลิ้นตนให้ตาไปเสียตอนนี้ แต่มีหรือชายผู้ผ่านโลกมาอย่างยาวนานไม่ว่าจะเป็นโลกด้านสว่างหรือโลกด้านมืดจะไม่รู้ทัน เพียงช่วงอึดใจของการตัดสินใจใบหน้าคมโน้มขึ้นจากซอกคอเขาพร้อมกับริมฝีปากที่พุ่งตรงเข้าไปประกบกับริมฝีปากอีกฝ่าย ลิ้นเรียวถูกบิดเบียดเข้าไปด้านในเกี่ยวกระหวัดกอบโกยความหวานออกมาโดยไม่คิดว่าร่างเบื้องใต้ต้นนั้นจะเต็มใจหรือไม่



รสจูบที่หวานฉ่ำหากแต่แฝงไปด้วยความขมยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ หนึ่งคอยเอาแต่กอบโกยรสชาติที่ตนไม่เคยได้ลิ้มลอง หากแต่อีกนึ่งกับเอาแต่ใช้ลิ้นดันเพื่อนให้อีกฝ่ายละริมฝีปากออกไป ซึ่งผู้ชนะก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใครถ้าไม่ใช่ดอนหนุ่มผู้กำอำนาจของแก๊งค์ ช่วงเวลานั้นได้ผ่านไปย่างยาวนานร่างสูงก็ละริมฝีปากออกแม้ว่าตนนั้นจะเสียดายที่ไม่ได้ลิ้มลองสิ่งนั้นต่อ แต่หลังจากนี้เขาจะไม่ได้แค่ชิมแค่ริมฝีปากอย่างเดียวอีกแล้วเพราะหลังจากนี้ขาจะค่อย ๆ กินร่าง ๆ นี้ทั้งตัว...





Cut
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2014 16:29:39 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 2 *Warning*] 03/06/2014 P.1
«ตอบ #7 เมื่อ03-06-2014 16:10:53 »


ไวเจอกันตอนต่อไปค่ะ ... แต่กยังคงยืนยันเหมือนเดิมว่า เป็นเรื่องสั้นไม่เกิน 150 หน้า จบค่า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2014 16:31:01 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ pim-lovemj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 2 *Warning*] 03/06/2014 P.1
«ตอบ #8 เมื่อ03-06-2014 18:07:59 »

 :jul1: ต้องการเลือดกรุ๊ป Y เพิ่มด่วนค่ะ  o13

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 3/1] 06/06/2014 P.1
«ตอบ #9 เมื่อ06-06-2014 19:11:55 »



เอาเป็นว่าพลอยจะขอแจ้งว่า...หลังจากตินนี้ไปพลอยจะขอลงที่ละครึ่งนะคะ ^ [] ^ ขบอกว่าไม่ค้างแน่นอน พยายามตัดให้ท ุกท่านค้างคาใจ เอะ//



Chapter 3



บางครั้งการยอมโอนอ่อนตามความรู้สึกและความต้องการมันก็สร้างปัญหาและสร้างภาระให้กับร่างกายของตัวเองได้เหมือนกัน ซึ่งในขณะนี้ปัญหาและภาระทั้งหมดนั้นตัวของครีแวนกำลังเผชิญอยู่เพราะในตอนนี้แม้แต่แรงที่จะขยับตัวลุกขึ้นนั่งครีแวนยังไม่สามารถทำได้เลย



ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ตกเป็นของคน ๆ นั้น ไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่ยอมเผลอไผลไปกับความรู้สึก ช่องทางรักในตอนนี้บวมช้ำจนด้านชา ริมฝีปากบางแห้งผากอาการแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าตัวเขานั้นกำลังเป็นไข้ ซึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาต้องป่วยแบบนี้มันช่างน่าอับอายและให้ตายเขาก็ไม่มีทางบอกใครหรอกที่เขาต้องป่วนมันเป็นเพราะ ‘เซ็กส์’ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่หรอกที่เขาจะป่วยแบบนี้ เพราะบทรักที่เขากับดอนหนุ่มบรรเลงกันนั้นคงต้องบอกเลยว่ามันนับครั้งไม่ถ้วน เราทั้งสองคนไม่สนว่าสถานที่นั้นจะเป็นที่ไหน ไม่สนว่าช่วงเวลานั้นคืออะไร เราทั้งสองคนรับรู้เพียงว่าร่างกายของเราต้องการกันและกันเท่านั้น ซึ่งจากเหตุผลทั้งหมดนั่นมันก็จบลงด้วย ‘เซ็กส์’ และจากคำ ๆ นั้นมันทำให้ตัวเขานอนป่วยอยู่แบบนี้นั่นเอง



มือทั้งสองข้างพยายามยันกายลุกขึ้นนั่งแม้จะอ่อนล้ายังไงแต่ไอ้ความรู้สึกไม่ดีที่มันคั่งค้างอยู่ภายในตัวของเขามันก็เป็นตัวสั่งให้ครีแวนนั้นต้องลุกขึ้นไปทำความสะอาดช่องทางและร่างกายของตน เมื่อร่างโปร่งบางยันตัวขึ้นไปพิงขอบเตียงได้แล้วหลังจากนี้ก็เป็นงานหนักที่สุดของภารกิจนี้นั่นก็คือการพาร่างกายที่อ่อนล้าของตนไปที่ห้องน้ำมือทั้งสองข้างพยายามจับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบกายเป็นที่พยุงตัวแต่ดูเหมือนว่า ร่างโปร่งบางนี้อาการจะหนักกว่าที่ตนคิดเพราะเพียงขาเรียวยาวก้าวเดินไปได้เพียงแต่สองสามก้าว โลกทั้งโลกที่อยู่ภายในสมองของเขาก็หมุนเป็นวงกลมจากนั้นโลกทั้งใบก็ดับลงพร้อม ๆ กับร่างที่ไร้เรี่ยวแรงจะทรุดลงไปนอนที่พื้น



หลังจากนี้ครีแวนไม่สติพอที่จะรับรู้อะไรได้อีกแล้วไม่ว่าจะเป็นสีหน้าตกใจของร่างสูงสง่า ดวงเนตรสีโกเมนที่เต็มไปด้วยความห่วงใยหรือจะเป็นความโกรธาของชายหนุ่มคนนั้นกราดเสียงสั่งให้พวกลูกน้องของตนเรียกหมอเพื่อให้มาดูอาการของร่างโปร่งบางให้ไวที่สุด



ไม่รู้ว่าระยะเวลาผ่านไปกี่นาที กี่ชั่วโมง หรือกี่วันแต่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองข้างของเขานั้นได้ลืมตื่นขึ้นมาอีกครั้งและภาพ ๆ แรกที่สะท้อนอยู่ในแววตาของเขาคือเพดานสีขาวสะอาดที่อยู่ภายในห้องส่วนตัวของดอนหนุ่มคนนั้น ตอนนี้เขาไม่มีอาการปวดกล้ามเนื้อหรือเจ็บปวดที่ช่องทางด้านหลังอีกแล้ว จะมีเหลือก็แค่อาการมึนหัวเล็กน้อยพ่วงด้วยอาการเจ็บคอเพราะพิษไข้



ครีแวนค่อย ๆ ขยับตัวขึ้นไปนอนพิงที่หัวเตียงเนตรสีไพลินนั้นกวาดตาไปรอบ ๆ ห้อง ซึ่งแน่นอนมันไม่มีแม้แต่เงาของผู้ทีเป็นเจ้าของห้อง ซึ่งมันก็ต้องเป็นเช่นนั้นเพราะชายหนุ่มคนนั้นขึ้นชื่อเรื่องธุระเยอะที่สุดแล้วในวงการมาเฟียแต่ที่น่าแปลกใจก็คือทำไมชายผู้มากธุระคนนั้นถึงกลับมานอนกอดเขาได้ทุกค่ำคืนกัน แต่พอคิดย้อนกลับไปความรู้สึกหงุดหงิดนั่นก็ปะทุขึ้น แม้จะโกรธที่อีกฝ่ายนั้นจับตัวเขามาและทำลายศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายของตนจนหมด แต่มันก็ยังมีความรู้สึกอีกความรู้สึกหนึ่งที่คอยวนเวียนในจิตใจซึ่งไอ้ความรู้สึกชวนหงุดหงิดนั่นก็คือ ‘ตัวเองทำคนอื่นป่วยแท้ ๆ แต่กลับไม่โผล่หัวมาดูดำดูดีคนที่แกทำให้เขาป่วยสักหน่อยหรือยังไง’ พอยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด แต่เหตุผลที่ตัวเขาหงุดหงิดไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายไม่ใส่ใจและเขาน้อยใจจนต้องให้อีกฝ่ายมางอนง้อ แต่ที่เขาหงุดหงิดนั่นก็คือคน ๆ นี้กล้าดียังไงที่ทำให้เขาป่วยหนักได้ถึงขนาดนี้ เขาไม่เคยป่วยหนักจนล้มหมอนนอนเสื่อแบบนี้มานานแล้ว และถ้าตอนนี้เขาเจอหน้าคน ๆ นั้นมันก็คงต้องประเคนหมัดใส่ใบหน้าหล่อเหล่านั่นสักหมัดพร้อมกับเตะซ้ำสักทีถึงจะทำให้เขาหายหงุดหงิดได้



ใบหน้าสวยนั้นบึ้งตึงพร้อมกับริมฝีปากบางที่บ่นพึมพำออกมาไม่หยุด ครีแวนนั่นอยู่คนเดียวในห้องนี้เพียงไม่นานบานประตูไม้สลักก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของชายร่างสูงผู้มีเรือนผมยาวสีแดงเข้ม ใบหน้ากร้านคมนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียดแต่หากเขาเห็นร่างโปร่งบางที่นอนสลบไปเกือบสองวันลืมตาตื่นขึ้น พลันความตึงเครียดทั้งหมดก็หายไป ริมฝีปากหน้าแย้มรอยยิ้มแรกในรอบสามวันก่อนที่ขาแกร่งทั้งสองข้างที่ก้าวเดินไปที่เตียงนอนของตน



“หายป่วยแล้วหรือยังไง ครีแวน” เสียงทุ้มเอ่ยดังพร้อมกับเอ่ยนามของอีกฝ่ายแต่ในขณะที่ร่างสูงนั่นจะทรุดตัวนั่งลงที่ขอบเตียงครีแวนก็ประเคนหมัดตรงใส่หน้าอีกฝ่ายตามอย่างที่เขาได้คิดไว้ก่อนหน้า ทว่ามือกร้านคนนั้นกลับยกขึ้นมารับหมัดนั้นได้มือข้างนั้นค่อย ๆ เลื่อนออกจากใบหน้า ริมฝีปากที่มักจะคลี่รอยยิ้มหน้าหมั่นไส้นั้นเม้มปากตนจนเกือบจะเป็นเส้นตรง



“ออกแรงได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้วฉันคงไม่มีความจำเป็นจะต้องอดทนอีกแล้วมั้ง” เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้าในขณะที่ใบหน้างดงามนั้นขึ้นสี



“เงียบปากไปเลยไป” เสียงนุ่มกล่าวไล่พร้อมกับพยายามสะบัดมือตนให้หลุดออกจากการกอบกุมของอีกฝ่าย แต่มีหรือดอนหนุ่มผู้กุมอำนาจสูงสุดของวงการมาเฟียผู้นี้จะปล่อยไปได้ง่าย ๆ ชายหนุ่มกระชากท่อนแขนเรียวนั้นมาแนบกับตัวมืออีกข้างนั้นตวัดรวบเอวของอีกฝ่ายให้เข้ามาแนบชิดกับร่างกายตน



“ปล่อย....”เสียงหวานเอ่ยออกมาเพียงแค่คำสั้น ๆ แต่กระนั้นมันก็ไม่อาจจะสั่งให้อีกฝ่ายนั้นหยุดการกระทำของตัวเองได้ใบหน้าคมค่อย ๆ โน้มใบหน้าของคนลงก่อนจะเอาหน้าผากของตนไปประกบกับหน้าผากของอีกฝ่าย การกระทำเช่นนี้ทำให้ใบหน้าหวานซีดเพราะพิษไข้แดงก่ำพร้อมกับเบี่ยงใบหน้าของตนหนีไปทันที่ที่รวบรวมสติมาคืนสู่ร่างได้



“ไข้ไม่มีแล้ว คงทานพวกซุปได้แล้วมั้ง...แล้วนี่นายรู้หรือเปล่าว่าตัวเองสลบไปร่วมสามวันนครีแวน” เมื่อวัดไข้เสร็จร่างสูงก็ปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดพ้นจากอ้อมกอดของตนและทันทีที่ร่างของตนเป็นอิสระครีแวนก็กระเถิบหนีไปที่หัวเตียงจนแทบร่างกายนั้นจะกลืนไปกับกำแพง ปฏิกิริยาที่แสดงออกมาเช่นนั้นของครีแวนทำให้เฮลาสถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมา ไม่คิดเลยว่าสัตว์ป่าผู้ทระนงนั้นก็กลัวเป็นเสียด้วย มือกร้านเอื้อมไปหาอีกฝ่ายหมายจะกลั่นแกล้งแต่ความคิดนั้นก็ไม่สำเร็จเสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นเสียก่อน ทำให้มือกร้านนั้นต้องลดมือลงอย่างน่าเสียดาย



ร่างสูงยันกายลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับเดินตรงไปเปิดประตูห้องนอนของตน ซึ่งร่างที่เดินเข้ามากวนอารมณ์ของเฮลาสนั้นก็ไม่ใช่อื่นเพราะในคฤหาสน์แห่งนี้ไม่มีใครกล้าเข้ามากวนอารมณ์ของเขาได้นอกจากหลานชายที่พี่สาวสุดที่รักส่งมาอยู่กับเขา หรืออาจจะเรียกว่าส่งมาควบคุมความประพฤติผู้เป็นน้าชายอย่างเขาเสียมากกว่า



“มีอะไรคาร์เร่” เสียงทุ้มเอ่ยถามท่อนแขนแกร่งเท้าบานประตูเอาไว้เพื่อกันไม่ให้หลานชายของเขาเห็นภาพคนที่นั่งขดตัวอยู่ภายใน ซึ่งคาร์เร่ก็ไม่คิดแม้แต่จะใส่ใจคนที่อยู่ด้านในของห้อง ซ้ำเขาทำหน้าที่ของตนอย่างดีเยี่ยม ริมฝีปากหนาเปิดออกพร้อมเอ่ยพูดเรื่องราวเกี่ยวกับรายงานทั้งหมดให้ผู้เป็นน้าชายฟัง



ซึ่งถ้อยคำพูดเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกอีกด้านซึ่งจุด ๆ นั้นเป็นส่วนที่พี่สาวของเขาและพี่เขยที่ไม่รู้ว่าทนนิสัยของพี่สาวผู้เอาแต่ใจและใจร้อนนั้นได้ยังไงเป็นฝ่ายจัดการ รายละเอียดของเอกสารทั้งหมดถูกบรรยายออกมาจากริมฝีปากของเด็กหนุ่มก่อนทั้งหมดหลังจากนั้นเอกสารในมือของเด็กหนุ่มก็ถูกรวบรวมส่งไปให้น้าชายของตน ซึ่งในเวลาปกติหลานชายคนนี้ของเฮลาสไม่คิดที่จะเอ่ยปากพูดอะไรสักเท่าไหร่นักแต่ครั้งนี้กลับแปลกไปเนตรคมสีชาดเฉกเช่นเดียวกับชายหนุ่มร่างสูงหากแต่อีกข้างกับเป็นสีฟ้าน้ำทะเลสดใสเหลือบตามองน้าชายของตนเขาจ้องมองเพียงช่วงครู่ก่อนจะเบนไปมองร่างโปรงบางที่นั่งอยู่บนเตียง



“ผมขอแนะนำอะไรในฐานะหลานชายสักหน่อยนะครับ ถ้าเกิดคุณยังคงขังเขาอยู่ในนี้สักวันเขาก็อาจจะเหงาตายก็ได้...ถ้าจะให้ผมพูดง่าย ๆ ก็คือสัตว์ป่าไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงนะครับอย่ากักขังเขาเอาไว้ดีกว่าคงเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดใช่ไหมครับน้าชาย” เสียงของเด็กหนุ่มเอ่ยเตือน ซึ่งก็เป็นจริงตามที่หลานชายของเขาบอก สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขาตัวนี้ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงตัวอื่น ๆ มาก่อน มันไม่ได้อ่อนแอจนน่ารำคาญ ไม่ได้หวาดกลัวทุกสิ่งทุกอย่างจนเขาต้องปกป้อง หากแต่คน ๆ นี้กลับดุร้ายและเกรี้ยวกราดขึ้นทุกครั้งที่เขาจับต้องมัน



ริมฝีปากหนาเหยียดรอยยิ้ม ใบหน้ากร้านคมพยักหน้าขึ้นลงเชิญรับรู้ในสิ่งที่หลานชายของตนบอก “แล้วฉันจะลองคิดดูว่าจะพามันไปเดินเล่นที่ไหน” สิ้นเสียงทุ้มหลานชายผู้มีเค้าหน้าเหมือนผู้เป็นน้าก็โค้งหัวลงพร้อมกับเอ่ยขอตัวออกไปจากห้อง



เมื่อหลานชายตนก้าวเดินออกไปจุดสนใจของเฮลาสก็กลับไปอยู่ที่เดิมนั่นก็คือชายหนุ่มร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงของเขา ร่างสูงค่อย ๆ ก้าวเดินเข้าไปใกล้ขึ้นซึ่งแตกต่างจากร่างบางที่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ทุกกครั้งที่อีกฝ่ายค่อย ๆ เดินเข้ามาหากแต่ความคิดของครีแวนนั้นผิดคาด เฮลาสไม่คิดที่จะทำอะไรต่อซ้ำยังลุกขึ้นมานอนข้าง ๆ เขาพร้อมกับอ่านเอกสารในมือราวกับว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้นั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นครีแวนได้แต่ปรายตามองอีกฝ่าย แต่ก็ยอมให้เจ้าของห้องที่พ่วงเพื่อนร่วมเตียงนอนอยู่ข้าง ๆ ตน



แม้ร่างกายนั้นจะฟื้นตัวขึ้นมาแต่ยังไงคนป่วยก็ยังเป็นคนป่วยอยู่ดี ดวงเนตรสีเข้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าสวยค่อย ๆ ปรือลงก่อนที่สติทั้งหมดจะถูกดึงให้จมลงไปสู่ความมืดมิด



จากช่วงเวลาเช้าดำเนินมาถึงช่วงเวลากลางวัน แสดงแดดร้อนที่สาดส่องเขามาจากทางหน้าต่างทำให้ร่างที่นอนซุกอยู่บนเตียงเริ่มร้อน มือบางพยายามที่จะดันผ้าห่มที่ปกคลุมร่างกายของตนออกแต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่คลุมร่างของตนนั้นไม่ได้มีเพียงแต่ผ้าห่มผืนหนาเพียงอย่างเดียวเสียแล้วมือบางค่อย ๆ และไล่ขึ้นมาจาสะโพกตนก่อนจะมือนั้นจะไล่ขึ้นไปแตะบนกำแพงแกร่งซึ่งครีแวนก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตนนั้นคืออะไร นัยน์เนตรสวยลืมตื่นและเมื่อดวงตาทังสองข้างเปิดเต็มที่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของครีแวนนั่นก็คือแผ่นอกแกร่งชองชายผู้มีเรือนผมสีแดง และนอกจากนั้นร่างกายของเขากับถูกเจ้าคนฉวยโอกาสนี่ใช้ต่างหมอนข้างเสียด้วย สภาพแบบนี่แล้วอยากจะต่อยเสยคางไปสักหมัด แต่ดูเหมือนครีแวนไม่อาจจะทำแบบนั้นได้เพราะทันทีที่ตัวของเขาพยายามดันร่างของตัวเองออกจากอ้อมกอดชายร่างสูงคนนี้ก็ใช้มือกดศีรษะของเขาให้จมกับแผ่นอกกว้างนั้นทุกครั้งไป มันน่าโมโหเสียจริงที่ตอนนี้ตัวเองป่วยจนไม่มีแรง แต่ว่าถ้าหากเขาไม่ได้ล้มป่วยแบบนี้แล้วจะสู้แรงของคน ๆ นี้ได้เหรอคำตอบมันก็แน่ชัดอยู่แล้วว่าไม่มีทางสูงแรงชายผู้นี้ได้อยู่แล้ว ใบหน้าสวยนั้นบึ้งตึงหากแต่ตนก็ยอมให้อีกฝ่ายใช้ร่างตัวเองต่างหมอนข้างต่อไป



ใบหน้าคมจมลงไปในกลุ่มเส้นไหมสีน้ำเงินแปลกตาและเช่นเดียวกันกับครีแวนที่ฝังใบหน้าของตนลงไปบนแผ่นอกกว้างและเขยิบตัวเข้าไปแนบชิดกับเจ้าของอ้อมกอด



ครีแวนไม่ปฏิเสธเลยที่อ้อมกอดของชายคนนี้ช่างอบอุ่นแต่ถ้าจะให้บอกว่าอ้อมกอดนี้ปลอดภัยแล้วหละก็...คำตอบของมันก็คือไม่เพราะชายคนนี้อันตรายมากและมันยิ่งอันตรายสุด ๆ สำหรับตัวเขาเสียด้วย....แต่ตอนนี้เขาก็คงต้องยอมหน่อยก็แล้วกันเพราะเห็นใบหน้ากร้านคมที่อ่อนล้าและดูท่าจะทำงานอย่างหนักเขายอมเป็นหมอนข้างให้สักวันก็คงไม่เป็นอะไร



แต่ก็หวังไว้ว่าถ้าคน ๆ นี้ตื่นมาคงไม่คิดอุตริอะไรอีกนะ...แต่ก็แค่หวังไว้เท่านั้นหละเพราะยังไงทั้งผู้ชายคนนี้และตัวของครีแวนเองก็เป็นคนที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้อยู่แล้วด้วยสิ




เจอกันพาร์ท 2 ค่า



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 3/1] 06/06/2014 P.1
« ตอบ #9 เมื่อ: 06-06-2014 19:11:55 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 3/2] 08/06/2014 P.1
«ตอบ #10 เมื่อ08-06-2014 09:41:49 »


มาต่อแล้วค่ะ โค้ง//


ช่วงเวลาหมุนวนอีกครั้งจากแสงแดดที่สาดส่องตอนนี้ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิดแต่ต่างจากภายในห้องที่ตอนนี้โคมไฟระย้าถูกเปิดจนแสงจากหลอดไฟสาดส่องไปทั่วห้อง ซึ่งแสงจากหลอดไฟที่ถูกเปิดขึ้นทำให้ร่างที่หลับใหลที่ไม่รู้ว่าหลับไปแล้วกี่ครั้งในวันนี้แสบตาจนดวงเนตรสีน้ำทะเลลึกต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้ตนไม่ได้ถูกสวมกอดโดยวงแขนของชายร่างสูงผู้นั้นแล้ว นั่นก็เป็นเพราะชายคนนั้นตอนนี้ยืนอยู่ข้างเตียงในมือถือเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตาพร้อมกับกางเกงสแลคสีดำพร้อมกับยื่นมาให้เขา



ไม่มีถ้อยคำใด ๆ เอ่ยออกมาจากริมฝีปากแต่ครีแวนก็รู้ดีกว่าการที่ชายผู้นี้ทำเช่นนี้มันก็หมายความว่าเขาต้องการให้ตัวของครีแวนสวมเสื้อผ้าชุดนี้ แต่เหตุการณ์หลังจากนี้ครีแวนก็ไม่อาจเดาได้ว่ามันจะเป็นยังต่อไป ท่อนแขนเรียวบางยกขึ้นไปรับเสื้อชุดนั้นมาก่อนจะเคลื่อนลงจากเตียงและมุ่งตรงไปที่ห้องน้ำ แต่มีหรือชายผู้ที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นยิ่งกว่าอะไรดีจะยอมชายหนุ่มรั้งแขนร่างโปร่งบางเอาไว้พร้อมกับเอ่ยปากสั่งให้ร่าง ๆ นั้นเปลี่ยนเสื้อตรงนี้ ตรงเบื้องหน้าเขา



ดอนฟีเลทัสช่างเป็นชายหนุ่มที่เอาแน่เอานอนอะไรกับอารมณ์ไม่ได้เลยจริง ๆ ใบหน้าหวานนั้นสะบัดหนีนั่นคือการแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนนั้นจะไม่ยอมทำตามคำสั่งนั่น



“อายหรือยังไงทั้ง ๆ ที่ฉันเห็นร่างกายของนายหมดทุกส่วนแล้วแท้ ๆ” เสียงทุ้มเอ่ยเอ่ยจี้ใจดำร่างโปร่งบางนี้อย่างจังมือบางนั้นยกขึ้นพร้อมกับเหวี่ยงตรงไปหมายที่จะชกหน้าอีกฝ่ายสักทีข้อหาปากเสียพูดอะไรไม่ถูกหู แต่ความหวังที่หมัดของครีแวนจะไปประทับบนใบหน้ากร้านคมของครีแวนก็ยังคงไม่สมหวังร่างสูงนั้นเอี่ยวตัวหลบพร้อมกับหันหลังเดินตรงไปที่ประตู “รีบ ๆ เปลี่ยนเสื้อซะฉันจะพานายลงไปทานอาหารข้างล่าง” เมื่อเสียงทุ้มนั้นเงียบลงก็เป็นเวลาเดียวกันกับบานประตูไม้สลักนั้นปิดลง พร้อม ๆ กับความสงสัยของครีแวนที่ผุดขึ้นเต็มสมอง



ถ้าจะไม่ให้ตัวของครีแวนสงสัยก็ไม่แปลกเพราะตั้งแต่ที่ร่างโปร่งบางนั้นได้ก้าวเข้ามาที่นี่เขาไม่เคยได้อ้าวเท้าออกไปจากห้อง ๆ นี้เลยสักครั้ง แต่ก็มีบ้างบางครั้งที่ถูกอีกฝ่ายลากไปร่วมรักกับบริเวณโต๊ะทำงานของอีกฝ่ายแต่นั่นก็ไม่อาจเรียกได้ว่าออกจากห้อง ๆ นี้ได้หรอกนะ



ดังนั้นการที่อีกฝ่ายพูดว่าจะพาเขาลงไปทานอาหารข้างล่างจึงสร้างความสงสัยให้ครีแวนเป็นอย่างมากแต่ก็ดีเพราะถ้าได้ก้าวเดินออกจากห้องนี้เขาก็จะได้มีโอกาสเดินสำรวจรอบ ๆ เพื่อหาช่องทางหนีไปจากแห่งนี้ได้ช่วยเช่นกัน มือบางรีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนออกและรีบเปลี่ยนเป็นเสื้ออีกที่ฝ่ายเตรียมไว้ให้ ผ้าเนื้อดีที่สัมผัสเนื้อทำให้ร่างบางนี้รู้สึกนุ่มสบาย ทว่าชายคนนี้รู้สัดส่วนของเขาได้อย่างไรทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยได้เปิดปากบอกไม่ว่าจะเป็นไซส์เสื้อ รอบเอว รวมไปถึงไซส์รองเท้า ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ไม่รู้ว่าตอนที่เขาหลับไปชายคนนี้นั้นได้ทำอะไรกับร่างกายของเขาบ้างถึงได้รู้สัดส่วนเขาละเอียดเสียขนาดนี้



เมื่อครีแวนเปลี่ยนเสื้อเสร็จขาเรียวทั้งสองข้างก็ก้าวเดินไปที่ประตูและเปิดมันออกซึ่งภายในห้องนั้นก็มีชายหนุ่มร่างสูงที่เมื่อสักครู่ครีแวนนั้นกร่นด่าในใจออกไปเสียยาวเหยียดนั้นนั่งรออยู่



“แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอมานี่สิ ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อยที่จะให้นายแต่งตัว” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกซึ่งครีแวนก็ต้องยอมเดินเข้าไปตามคำเชื้อเชิญ ไม่ใช่ว่าตนนั้นจะเชื่อฟังอีกฝ่ายหรอกแต่ถ้าหากเขาไม่เดินเข้าไปอีกฝ่ายก็ไม่พ้นเดินเข้ามารั้งร่างให้เขายอมเดินเข้าไปอยู่ดี



ขาทั้งสองข้าวก้าวเดินเข้าไปใบหน้าสวยนั้นแสดงออกมาให้เห็นชัดเจนว่าตนนั้นไม่พอใจ ใช่ว่าตัวเขาอยากจะให้อีกฝ่ายช่วย ‘แต่งตัว’ เสียเมื่อไหร่ เพราะว่าไอ้การแต่งตัวของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีแดงดังเปลวเพลิงคนนี้นั้นมันไม่ใช่แค่แต่งตัวแต่มันก็ ‘แต่งแต้ม’ สีสันอื่น ๆ บนร่างกายของเขาด้วยเช่นกัน



ร่างเพรียวบางเดินตรงเข้าไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามซึ่งอีกฝ่ายนั้นไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเพราะทันทีที่ร่างโปรงบางทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามร่างสูงก็เอื้อมมือไปกระชากร่างผอมบางนั้นให้เข้ามาประชิดที่ร่างของตน



“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะช่วย ‘แต่งตัว’ ให้นาย” เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะมือกร้านนั้นค่อย ๆ ยกขึ้นมาโอบไล้เอวบางนั่นอย่างเบามือ



“กับคนอย่างนายฉันคิดว่านายช่วยทำให้มัน ‘หลุดลุ่ย’ มากกว่า ‘แต่งตัว’ นะ”เสียงหวานเอ่ยท้วงติงพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิกหลังมือของอีกฝ่ายให้เคลื่อนออกจากการลูบไล้สะโพกและเอวของเขา “ดังนั้นช่วยกรุณาเอามือของนายออกไปด้วย” ครีแวนเอ่ยเสียงเข้มแต่สำหรับเฮลาสแล้วมันฟังดูน่ารักน่าชังและระรื่นหูดุมือกร้านยังไม่ยอมที่จะปล่อยมือของตนออกจากเอวบางซ้ำยังค่อย ๆ ดึงชายเสื้อที่ถูกใส่เอาไว้ในกางเกงออก



“ขอปฏิเสธ...” เสียงทุ้มเอ่ยตอบพร้อมกับมือกร้านอีกข้างที่กดศีรษะอีกฝ่ายลงเพื่อให้ริมฝีปากบางนั้นโน้มลงมาประทับริมฝีปากกับตัวเขาลิ้นหนานั้นไล้เลียริมฝีปากบางเบา ๆ ก่อนจะผละออก โดยการกระทำนี้ทำให้ครีแวนสงสัยเป็นอย่างมากเพราะว่าถ้าชายคนนี้ไม่จูบเขาจนหมดลมหายใจก็ไม่เคยคิดที่จะถอนริมฝีปากออกก่อนเลยสักครั้ง ซึ่งความสงสัยพวกนี้ก็คงอยู่ไม่นาน เสียงทุ้มเอ่ยดังอีกครั้งพร้อมกับถ้อยคำพูดที่คลายความสงสัยทั้งหมดที่อยู่ในหัวของครีแวนออกไป “ก่อนทานอาหารเย็นจะทานของหวานก่อนก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยก็ขอรู้ว่าของหวานหลังอาหารค่ำนั้นคืออะไรก่อนก็ยังดี” สิ้นเสียงทุ้มริมฝีปากหนาก็คลี่รอยยิ้มกว้างซึ่งรอยยิ้มนั่นมันช่างกวนประสาทส่วนเท้าของครีแวนจริง ๆ ถ้าไม่ติดว่าเขาคือเชลยของคน ๆ นี้ มิแคล้วได้ไม่มือก็เท้าคงประเคนถูกใส่ไปสักทีสองที ร่างเพรียวบางพยายามยื้อร่างของตนออกจากอ้อมกอดและค่อย ๆ จัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่เข้าทาง



“…ขอโทษที่ขัดจังหวะการชิมของหวานแต่ฉันคิดว่าตอนนี้มันถึงเวลาทานอาหารค่ำแล้ว และฉันคิดว่า ‘ของหวาน’ หลังอาหารค่ำมันคงไม่มี” ครีแวนเอ่ยพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาไขว้กอดกันไว้บริเวณอก เนตรคู่งามปรายตามองใบหน้าคมที่เหยียดรอยยิ้มนั่น ทั้งสองคนจ้องมองกันอยู่แบบนี้ไปอีกสักพักจนในที่สุดก็มีฝ่ายที่ยอมแพ้ซึ่งน่าแปลกที่คราวนี้คนที่ยอมแพ้และล่าถอยไปนั่นก็คือชายหนุ่มร่างสูงที่มีนามกว่าเฮลาส ฟีเลทัส



“ถ้านายว่าไม่มี...ก็ไม่มี” เสียงทุ้มเอ่ยตอบก่อนจะโยนเสื้อสูทเนื้อดีในมือไปให้ครีแวน “สวมมันซะเราจะได้ลงไปทานอาหารเย็นสักที” สิ้นเสียงร่างสูงก็ผุดลุกจากโซฟาและมือข้างหนึ่งก็เอื้อมไปกอบกุมมือชองอีกฝ่ายเอาไว้ซึ่งการกระทำเช่นนี้เฮลาสนั้นได้ให้คำอธิบายแก่ครีแวนว่า ‘เดี๋ยวหลงทาง’ เพียงแต่คำพูดสั้น ๆ ทำให้ครีแวนถึงกับนิ่งเงียบและโดนคนที่ตัวโตกว่าลากลงไปทานอาหารค่ำที่ห้องโถงด้านล่าง



ตลอดระยะทางที่ครีแวนนั้นได้ก้าวผ่านทุกที่ถูกตกแต่งตามสไตล์วินเทจ ซึ่งออกจะดูโบราณไปสักนิดสำหรับเขาหากแต่มันก็มีความลงตัวของมันอยู่ โดยเฉพาะผ่าม่านสีแดงเข้มที่ติดไว้ตามหน้าต่างมักจะมีดิ้นสีทองประดับอยู่ตรงชายทุกชิ้นการเลือกของตกแต่งและสีของเครื่องเรือนนั้นมันก็คงเป็นการตัดสินใจของชายหนุ่มร่างสูงผู้ที่ตอนนี้กำลังเดินนำอยู่เบื้องหน้าเขาแน่นอน



สายตาสอดส่องไปทั่วเพื่อหาหนทางหนีแต่ดูท่าแล้วการหลบนี้ออกจากที่นี่ดูมันจะยากเย็นเสียเหลือเกินไม่ว่าจุดไหน ตรงไหนก็เต็มไปด้วยเวรยาม ที่สำคัญไอเวรยามในแต่ละจุดไม่ได้มียืนแค่คนเดียว อย่างน้อยมันก็ไม่ต่ำกว่าสองคนจะหนีไปทางไหนดีนะ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นพร้อมกับสมองที่พยายามคิดหนทางที่ให้ตัวเองหนีรอดจากที่แห่งนี้และดูเหมือนสมองของครีแวนจะประมวลผลนานไปสักหน่อยเพราะเวลาผ่านไปช่วงอึดใจตอนนี้ร่างของเฮลาสที่พ่วงด้วยครีแวนก็ยืนอยู่ในห้องโถงที่ใช้รับประทานอาหาร



“ถึงแล้วหละแต่ดูเหมือนว่าท่าทางของนายจะไม่ค่อยสนใจอาหารค่ำมื้อนี้สักเท่าไหร่นัก มัวแต่สอดสายตามองหาทางหนีอยู่หรือยังไง” ถ้อยคำนั้นจี้ใจดำครีแวนอย่างจัง แม้ตนจะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาจะหาทางหลบหนีแต่ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาของตัวเขานั้นจะดูง่ายเกินไป



และที่มันแย่ไปกว่านั้นตัวของเขานั้นชอบแสดงท่าทางตรงตามความคิด และปากมักจะเลือกที่จะพูดอะไรตรง ๆ ออกไปแทนการอ้อมค้อม ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตัวเขาจะมีเรื่องกับคนอื่นบ่อย ๆ เพราะปากและการกระทำของตนอย่างเช่นครั้งนี้



“หืม…รู้ก็ดีนี่หาคนเฝ้าไว้เยอะ ๆ หละถ้าเผลอนายไม่เห็นหัวฉันอยู่ในนี่แน่นอน” ปากนั้นไวกว่าความคิด หลังจากที่กร่นด่าตัวเองไปไม่นาน ปากเจ้ากรรมก็ดันไปพูดท้าทายอีกฝ่ายเสียแล้ว แต่ดูเหมือนการพูดท้าทายนี่จะไม่ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาโกรธ ซ้ำยังชายคนนั้นยังหลุดหัวเราะออกมาเสียด้วย



“ถ้าแบบนั้นแค่ฉันคนเดียวก็พอแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยรับคำท้าพร้อมกับเดินจูงมือร่างเพรียวบางนั้นไปนั่งที่โต๊ะอาหาร “เชิญนั่งสิที่นั่งตรงนี้ของนาย” เสียงทุ้มเอ่ยเชิญท่อนแขนแกร่งนั้นผายไปที่เก้าอี้ที่จัดไว้บริเวณที่นั่งด้านขวาของตน การกระทำแบบนี้ไม่ค่อยจะโจ่งแจ้งเลยสักนิดเดียวริมฝีปากบางเม้มแน่นแต่ก็ยอมนั่งลงบนเก้าอี้ที่อีกฝ่ายเชิญ



“ให้เกียรติกันขนาดนี้คิดว่าวันนี้จะเปลี่ยนใจหรือยังไงกัน ‘ของหวาน’ สำหรับนายคืนนี้หนะไม่มีหรอก” ครีแวนเอ่ยซ้ำเป็นรอบที่สองเพื่อย้ำเตือนความทรงจำของอีกฝ่าย ทว่าชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีแดงเข้มนั้นได้แต่ไหวไหล่กลับมาพร้อมกับเริ่มลงมือทานอาหารค่ำโดยไม่สนใจว่าร่างเพรียวบางนี้จะเอ่ยย้ำเตือนเรื่อง ‘นั้น’ สักกี่ครั้งก็ตาม



เมื่อพูดย้ำจนเสียงแหบแห้งคราวนี้ก็ถึงเวลาที่ครีแวนนั้นจะได้เริ่มทานอาหารเสียที เริ่มแรกของการทานอาหารที่ได้เล่าเรียนมาก่อนจะเป็นเมนครอสก็คือออเดิฟที่ทานแล้วเบาท้องมือบางหยิบช้อนตักน้ำซุปขึ้นมาพร้อมกับนั่งทานเงียบ ๆ แม้ตัวเขาจะไม่เคยทานอาหารที่เลิศหรูขนาดนี้มาก่อน แต่การรู้ว่ามันทานยังไงก็ไม่เสียหาย ครีแวนไล่ทานอาหารตามเมนูที่ทางพ่อบ้านและเมดเสริฟไปเรื่อย ๆ และดูเหมือนมันจะหนักท้องขึ้นทุกที ๆ ซ้ำเขายังเริ่มมึนหัวขึ้นเรื่อย ๆ แล้วด้วย ท่าทางอาหารทางแถบรัสเซียจะใส่แอลกอฮอลมากเกินไป ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าอาหารทางรัสเซียส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงและมักจะมีแอลกอฮอลผสมอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าอาหารของที่นี่คงไม่ทำมาให้ถูกปากตัวเขาแต่มันทำมาเพื่อให้ถูกปากผู้เป็นเจ้านายของพวกตน ซึ่งจุด ๆ นี้ครีแวนก็ไม่สามารถเอ่ยว่าอะไรพวกเขาได้ ทว่ายิ่งตัวของครีแวนทานอาหารพวกนี้ไปมากเท่าไหร่ตัวของเขาก็ยิ่งมึนหัวมากเท่านั้น มันอาจจะเป็นเพราะไข้หวัดที่ยังไม่หายดีบวกเพิ่มด้วยสุราที่ผสมลงมาในอาหารมันจึงทำให้ตัวของเขาถึงกับพะอืดพะอมอยากจะคายของที่ตนทานไปก่อนหน้านี้ออกมาให้หมดมือบางพยายามควานหากระดาษเพื่อนำมาปิดปากแต่เหมือนว่ามันจะไม่ทันสีแล้ว ร่างสูงโปร่งไอออกมาเสียจนตัวงอก่อนจะค่อย ๆ คายของเก่าหรือเรียกง่าย ๆ ว่าอาเจียนสิ่งที่อยู่ในท้องออกมาแทบจะทั้งหมดสภาพแบบนี้ไม่ควรใช้แค่คำว่าเขินอายแต่ควรใช้คำว่าเสียหายจนแทบอยากจะมุดตัวนี้ลงไปในพื้นดินแต่ก่อนที่ครีแวนนั้นจะอาเจียนออกมาร่างสูงของเฮลาสก็ลุกขึ้นพร้อมกับใช้แขนทั้งสองข้างนั้นโอบกอดรอบตัวของครีแวนเอาไว้



ชายคนนี้ราวกับรู้ว่าเขานั้นล่วงรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเขาไม่ว่าจะเป็นอาการ ความคิดและรวมไปถึงร่างกาย ครีแวนอาเจียนออกมาอีกสองถึงสามรอบในที่สุดอาการพะอืดพะอมเหบ่านั้นก็หยุดลง ร่างสูงสง่านั้นรวบตัวครีแวนขึ้นมาอุ้มพร้อมกับเดินตรงกลับไปที่ห้องพักส่วนตัวของตน



แม้จะหนีพ้นจากการอับอายรอบแรกแต่ก็หนีไปพ้นการอับอายรอบสอง ครีแวนหลับนอนหลับตาอยู่ในวงแขนแกร่งและปล่อยให้อีกฝ่ายอุ้มตนจนถึงห้องพัก และที่แรกที่ร่างสูงนั้นพาร่างโปร่งในอ้อมแขนตนไปนั่นก็คือห้องน้ำในห้องนอนส่วนตัวเขาวางร่าง ๆ นี้ลงในอ่างอาบน้ำตามด้วยการเปิดฝักบัวให้หยาดน้ำอุ่นไหลลงมาทำความสะอาดร่างกายของครีแวน มือหนาค่อย ๆ เคลื่อนไปปลดกระดุมเสื้อของร่างโปร่งบางจากเม็ดแรก ไปเม็ดที่สอง และเม็ดที่สามในที่สุดเสื้อชิ้นแรกที่ปกปิดร่างกายโปร่งบางนี้ก็ถูกปลดออกจากร่างกายชายหนุ่มร่างสูงโยนมันทิ้งอย่างไม่ใยดี และหันไปสนใจกับเสื้อชั้นที่สองที่ในตอนนี้เปียกชุมจนแนบไปกับเรื้อนร่างที่แสนเร้าอารมณ์นี่ เฮลาสถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่เขาไม่เคยทำเช่นนี้ให้ใครมาก่อนและไม่เคยคิดว่าจะได้ทำให้ใครด้วย การอดทนไม่ขย้ำสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี่มันช่างเป็นสิ่งที่โหดร้ายจริง ๆ



มือกร้านค่อยๆปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ด ทุกครั้งที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับผิวขาวสะอาดมันทำให้ร่าง ๆ นั้นสะดุ้งเฮือกทุกครั้งความจริงตนนั้นก็อยากที่จะทำอะไรตามใจ ทว่าคนตรงหน้านั้นป่วยหนักเกินกว่าจะรองรับเรื่องพวกนั้นได้เขาก็ได้แต่ข่มอารมณ์ของตนเอาไว้เท่านั้นและในขณะที่มือกร้านกำลังจะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดสุดท้ายมือเรียวบางก็เอื้อมขึ้นมาจับข้อมือของเขาเอาไว้เสียก่อน



“ฉันจัดการตัวเองได้นายนั่นหละไปล้างตัวก่อนดีกว่า...ฉันอ้วกใส่ไปตั้งเยอะ” ริมฝีปากบางสั่นระริกจนเกินกว่าจะพูดเป็นประโยคหากแต่ร่างเพรียวบางร่างนี้กับใส่ใจตัวเขามากกว่าที่ตัวเฮลาสนั้นได้คิดไว้ใบหน้ากร้านคมพยักหน้าตอบเบา ๆ พร้อมกับลุกขึ้นไปถอดเสื้อสูทของตนออก



เขาไม่เคยเชื่อฟังคำพูดของใคร ไม่คิดแม้แต่จะสั่งแต่ทำไมกับคน ๆ นี้เขากลับยอมรับคำพูดนั้นได้ง่าย ๆ คิ้วเข้มทีประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั้นขมวดเป็นปมเล็กแต่หากแต่คิดไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ร่างสูงปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนออกเสร็จและในขณะเดียวกันร่างโปร่งบางที่นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าเช่นกันครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาทั้งสองคนต่างปลดเปลื้องทุกอย่างออกจากตัวแต่เราทั้งสองคงไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่มีแม้แต่การจูบหรือแตะตัวอีกฝ่ายหนึ่งยืนอาบน้ำอยู่เงียบ ๆ จริงบริเวณฝักบัวส่วนอีกหนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่ภายในอ่างอาบน้ำ ภายในห้องน้ำคนทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรออกมาเพราะฝ่ายหนึ่งอับอายกับอาการอ่อนแอของตนกับอีกฝ่ายก็เกรงว่าตนจะพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายออกมาความรู้สึกพวกนั้นทำให้ภายในห้อง ๆ นี้มีแต่เสียงน้ำไหลที่ลงมากระทบร่างกายของคนทั้งสองเท่านั้น



ความเงียบสงัดนี้ยังคงนำเดินต่อไปอีกนานซึ่งช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปนั้นไม่รู้ว่ามันดำเนินไปนานขนาดไหนในที่สุดเสียน้ำไหลก็หยุดลงร่างสูงของชายหนุ่มที่มีนามว่าเฮลาสก้าวเดินตรงไปที่บริเวณอ่างอาบน้ำก่อนจะรวบตัวอีกฝ่ายและอุ้มขึ้นมาในลักษณะเช่นเดิม



ร่างโปร่งบางถูกอุ้มมาวางไว้บนเตียงร่างขาวเนียนราวกับน้ำนมนั้นยังคงเปลือยเปล่า ซึ่งต่างจากชายหนุ่มร่างสูงที่มีผิวคล้ำแดดนั้นได้สวมเสื้อคลุมอาบน้ำสีเข้มเรียบร้อยแล้ว



“ยังมึนหัวอยู่อีกเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถามนิ้วเรียวยาวเกลี่ยปอยผมที่เปียกน้ำออกจากใบหน้าของร่างเพรียวบาง ซึ่งคำตอบที่ตัวของเฮลาสได้นั่นก็คือการพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ เป็นคำตอบ ท่าทางอาการที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายจะหนักกว่าที่เขาคิดแล้วกระมัง เพราะดูจากอาการตอนนี้หากอีกฝ่ายเอ่ยพูดไม่สิต้องเรียกว่าแค่เปิดปากตัวเองออกก็คงหลุดอาเจียนออกมาแน่นอนปลายนิ้วแกร่งยังคงม้วนปอยผมยาวประบ่าของร่างโปร่งบางเล่น



“แล้วลุกขึ้นยืนไหวไหม” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยถามออกมาต่อซึ่งใบหน้าขาวนั้นก็ส่ายหัวไปมาเป็นคำตอบแทนการเปิดปากพูด



“งั้นก็นั่งรอตรงนี้เดี๋ยวฉันไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้” ซึ่งตอบตอบที่มาจากร่างโปร่งบางก็คือการพยักหน้าขึ้นลงแทนคำพูดเช่นเดิม



สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขาเวลาไม่พูดไม่จามันทำให้ห้อง ๆ นี้เงียบเหงาได้ถึงขนาดนี้เลยหรือยังไงเฮลาสลอบคิดในใจขาทั้งสองข้างนั้นก็พลางก้าวเดินเข้าไปหยิบผ้าขนหนูสีขาวนั่นติดมือมาผืนหนึ่งก่อนที่จะหันหลังกลับเดินไปยังที่ ๆ ร่างโปร่งบางนั้นนั่งอยู่ ผ้าขนหนูสีขาวสะอาดถูกกางออกคลุมศีรษะที่เต็มไปด้วยเรือนผมสีน้ำเงินจากนั้นมือกร้านก็ค่อย ๆ บรรจงเช็ดผมให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ



เขาไม่เคยทำให้ใครแบบนี้มาก่อน และไม่เคยแม้แต่คิดที่จะทำ แต่ทำไมคน ๆ นี้กับทำให้เขารู้สึกอยากที่จะดูแล อยากที่จะเอาใจใส่กัน ริมฝีปากหนาเม้มแน่นใบหน้าคมแสดงสีหน้ากังวลออกมาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ทั้งๆที่เฝ้าบอกตัวเองว่าเขาจะไม่ยอมตนมีจุดอ่อนเด็ดขาดแต่ทำไมเขากลับรู้สึกว่าตอนนี้จุดอ่อนของเขานั้นเกิดขึ้นเสียแล้ว และมันเกิดขึ้นจากร่างตรงหน้านี้นั่นเอง



มือกร้านแทรกมือเข้าไปตามกลุ่มเส้นไหมสีน้ำเงินแปลกตาใบหน้าคมเขยิบเข้าไปใกล้และจุมพิศแผ่วเบาลงที่ขมับด้านขวา มันช่างเป็นการกระทำที่ไม่สามารถบอกได้เลยว่าตอนนั้นผู้กระทำรู้สึกอย่างไรและผู้ถูกกระทำรู้สึกอย่างไรใบหน้าสวยพยายามก้มหน้าหลบ สวยใบหน้ากร้านคมเหลือที่จะเบือนหน้าหนี ผ้าขนหนูสีขาวตอนนี้ไม่ได้คลุมศีรษะของร่างโปร่งบางอีกเลยเพราะสถานที่ที่มันอยู่ตอนนี้เปลี่ยนไปคลุมอยู่บริเวณบ่าของร่างเพรียวบางนี้แทน



“แต่งตัวซะเดี๋ยวจะไม่สบายหนักอีก เดี๋ยวฉันออกไปเคลียร์งานข้างนอกก่อนจะหลับไปก่อนก็หลับไปได้เลย” เสียงทุ้มเอ่ยสั่งและไม่คิดจะหันกลับมารับรู้คำตอบขาแกร่งค่อย ๆ ก้าวเดินออกไปช้า ๆ เล่นเดียวกับความรู้สึกที่แสนแข็งกระด้างของครีแวนที่มันเริ่มสั่นคลอนไปมา



มือทั้งสองข้างค่อย ๆ หยิบชุดนอนที่อีกฝ่ายเตรียมให้ขึ้นมาสวมพร้อมกับเอนตัวลงนอนราบไปกับเตียง นี่เป็นครั้งแรกที่ครีแวนได้นอนนิ่ง ๆ บนเตียงนี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเตียง ๆ นี้มันกว้างมากเหลือเกิน ใบหน้าสวยซุกลงกับหมอนพร้อมกับสูดกลิ่นไอที่ตนไม่รู้ว่ามันให้ความรู้สึกคุ้นเคยตั้งแต่เมื่อไหร่กัน กลิ่นไอของคน ๆ นั้น...



เมื่อความคิดพวกนั้นลอยเข้ามาในสมองร่างโปร่งบางก็ลุกขึ้นพรอมกับสะบัดศีรษะไปมาแรงๆ เพื่อไล่ความคิดไร้สาระพวกนี้ให้ออกจากสมองไปให้หมด ตอนนี้สิ่งที่สมองของเขาต้องคิดนั่นก็คือหาทางหนีออกจากที่นี่กลับบ้านไปหาวิเวียน แต่ดูเหมือนว่าหนทางนั้นจะแลดูยากลำบากเสียเหลือเกิน ปราการแรกคือเขาจะออกจากห้องนี้ได้ยังไงถ้าเขาไม่ได้ก้าวเดินออกไปพร้อม ๆ กับชายร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงเข้ม ปราการที่สองคือเมื่อออกไปได้แล้วเขาจะหลบอีกฝ่ายให้พ้นได้อย่างไร ปราการที่สามเมื่อสองข้อแรกสำเร็จ...เขาจะออกไปจากคฤหาสน์แห่งนี้ได้ยังไงเพราะไม่ว่าทางไหนก็มีการ์ดคอยคุมทางเข้าทางออก ซ้ำพื้นที่ที่ตั้งคฤหาสน์แห่งนี้ก็แสนกว้างใหญ่จนไม่รู้ว่าตรงไหนคือจุดสิ้นสุดเขตแดนของคฤหาสน์ ยิ่งคิดคิ้วเรียวก็ยิ่งขมวดเป็นปมแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดความคิดที่จะหาทางหลบหนีของครีแวนต้องเป็นอันล้มพับไปก่อนด้วยเหตุผลที่ว่ายาที่เขาถูกยัดใส่ปากเมื่อก่อนหน้านี้มันออกฤทธิ์และตอนนี้เขาก็ง่วงนอนมากถึงมากที่สุด ร่างบอบบางเอนตัวลงนอนลงไปบนเตียงอีกครั้งหากแต่ครั้งนี้ร่างโปร่งบางนั้นนอนขดตัวราวกับว่าตนนั้นต้องการความอบอุ่นเวลาผ่านไปไม่นานนักร่าง ๆ นี้ก็จมดิ่งลงไปในห้วงนิทรา เส้นทางที่ตนเดินอย่างโดดเดี่ยวมาเนิ่นนาน...เริ่มมีคนเดินเข้ามาวุ่นวายและถ้าหากคน ๆ นั้นล่วงล้ำเข้ามามากกว่านี้เล่า การเดินหนีออกมามันจะทำได้ง่าย ๆ งั้นหรือ



ร่างสูงสง่านั่งก้มหน้าอ่านตัวอักษรที่ถูกจัดเรียงไว้บนกระดาษใบหน้ากร้านคมดูจะตึงเครียดเล็กน้อย ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกด้านมืดตึงเครียดเช่นนี้มันก็ไม่ได้มาจากเอกสารที่อยู่ในมือของเขา ไม่ใช่รายงานที่ถูกเขียนมาว่าพื้นที่ทางเขตเหนือถูกมาเฟียต่างถิ่นเข้ามาขยายอิทธิพลหากแต่คนที่ทำให้คิ้วเข้มขมวดจนเป็นปมขนาดนี้ได้นั้น นั่นก็คือร่างโปร่งบางที่ตอนนี้คงนอนหลับใหลอยู่บนเตียงภายในห้องนอนส่วนตัวของเขานั่นหละ



ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งจะสามารถทำให้เจ้านายนั้นหวั่นไหวได้และไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครทำให้หัวใจที่ด้านชาไปแล้วมีความรู้สึกขึ้นมา



ยิ่งคิดก็ยิ่งวิตก ยิ่งวิตกว่าสัตว์เลี้ยงตัวนี้จะขึ้นมามีอำนาจเหนือจิตใจและกลายเป็นจุดอ่อนของเขา...ถ้าเป็นแบบนั้นเขาควรจะปล่อยให้สัตว์ตัวนี้คืนสู่ป่าไปหรือจะปกป้องและเก็บมันเอาไว้กับตัว...



มันเป็นหนทางที่ตัวของเฮลาสต้องเลือกซึ่งไม่ว่าทางไหนมันก็มีทั้งผลดีและผลเสียทั้งนั้น...






เจอกันตอน 4 ค่ะ

ออฟไลน์ kwangun

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 180
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 3/2] 08/06/2014 P.1
«ตอบ #11 เมื่อ08-06-2014 12:04:21 »

สนุกๆๆๆ ครีแวนช้ำหมดแล้วลุงหื่นนน รอติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ดอนถ้ารักก็บอก ปกป้องดูแลให้ดีที่สุด

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
สวัสดีค่ะ....ลงแลวชิ่งค่า//




Chapter 4



นับจากวันนั้นชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงดังเปลวเพลิงก็ไม่ได้ร่วมรักกับตัวเขาอีกเลย ไม่รู้ว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่แตะต้องตัวเขาคืออะไรกัน แต่กระนั้นไอ้คำว่าร่วมรักที่ครีแวนหมายถึงนั่นก็คืออีกฝ่ายไม่ได้สอดใส่และปลดปล่อยความสุขเข้ามาในตัวของเขา แต่เรื่องการใช้มือหรือปากช่วยก็มีบ้างประปรายซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเราทั้งสองคนจะนอนบนเตียงเดียวกันเงียบ ๆ กันเสียมากกว่าและที่สำคัญไปกว่านั้นดอนหนุ่มคนนั้นเลือกที่จะถอยห่างร่างเพรียวบางนี้ไป อย่างเช่นทุกคืนก่อนการเข้านอนชายคนนั้นจะขอตัวไปเคลียร์งานก่อนแล้วค่อยเข้านอน โดยการกระทำพวกนี้ของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงก็ไม่ได้ทำให้ครีแวนลำบากอะไรมากมายก็แค่การเข้านอนก่อนอีกฝ่ายมันก็ไม่ได้ทำให้ตัวของร่างบางนั้นเดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว แต่มันก็มีเรื่องบางเรื่องที่ชวนให้ตัวเขาหงุดหงิดได้ในทุก ๆ เช้า ซึ่งเรื่อง ๆ นั้นมันก็คือการกระทำของอีกฝ่ายที่มักจะใช้เขาแทนหมอนข้างในทุก ๆ วัน โดยการกระทำพวกนั้นมันทำให้ในทุก ๆ เช้าที่ดวงเนตรสีไพลินลืมตาตื่นไม่ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาครีแวนจะนอนในลักษณะท่าทางแบบไหน สภาพในตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมานั้นเอวบางจะถูกรวบด้วยมือแกร่งข้างหนึ่งส่วนอีกข้างหนึ่งจะจับศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นไหมสีน้ำเงินแปลกตาให้จมลงไปให้แผ่นอกกว้างนั่น



ถ้าจะให้ตัวของครีแวนพูดว่ามันไม่ได้เดือดร้อนอะไรสักหน่อยมันก็ไม่ถูกนักหรอกเพราะการกระทำพวกนี้ทำให้ครีแวนไม่สามารถขยับไปไหนได้จนกว่าชายที่โอบกอดร่างของเขาจะลืมตาตื่น ซึ่งมันทำให้ตัวของร่างโปร่งบางเสียเวลาไปมากพอดูกับการปลุกให้อีกฝ่ายตื่น ซึ่งการปลุกสไตล์ครีแวนนั้นมันก็มีหลากหลายวิธีเช่นกันไม่ว่าจะเป็นการดัน ทุบ หยิก กัด หรือง้างหมัดต่อย ครีแวนนั้นได้งัดมาใช้หมดแล้วทุกวิธี และทุกวิธีนี้มันไม่สามารถปลุกอีกฝ่ายได้เลย แต่มันก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้อีกฝ่ายตื่นและปล่อยร่างของเขาออกจากอ้อมแขนแกร่งนั่นก็คือการประทับริมฝีปากตนไปที่ริมฝีปากอีกฝ่ายซึ่งมีแค่เพียงการกระทำนี่หละที่จะทำให้ชายหนุ่มร่างสูงผู้สุดแสนกวนประสาทคนนี้ได้ตื่นเต็มตา



และในตอนนี้ตัวของครีแวนก็ต้องทำเช่นนั้นอีกครั้ง เนตรสีน้ำทะเลลึกหลับตาลงใบหน้าสวยนั้นค่อย ๆ ยื่นไปเพื่อประทับริมฝีปากตนลงบนริมฝีปากอีกกฝ่าย หากแต่ก่อนที่เขาจะได้ทำเช่นนั้นใบหน้ากร้านคมนั้นกลับโน้มลงมาช่วงชิงริมฝีปากบางนั่นกดลิ้นสากไล้เลียอย่างแผ่วเบาริมฝีปากบางนั้นค่อยเผยอออกเพื่ออีกฝ่ายสอดลิ้นเข้ามา ท่อนแขนเรียวบางค่อย ๆ ยกมือขึ้นไปโอบรัดรอบคออีกฝ่าย มือกร้านทั้งสองข้างก็ค่อย ๆ รัดร่างโปร่งบางให้เข้ามาแนบชิดกับร่างกายของตน ความร้อนแรงนี้ดำเนินต่อไปอีกราว ๆ ห้านาทีในที่สุดร่างกายของครีแวนก็เป็นอิสระจากอ้อมแขนแกร่งนั่นเสียที



“กว่าจะลืมตาตื่นได้นะเจ้าบ้า” ริมฝีปากบางเอ่ยถ้อยคำกร่นด่าใบหน้าขาวนั้นขึ้นสีเรื่องเล็กน้อย ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าตนนั้นจะหน้าแดงเพราะรสจูบของอีกฝ่าย ทั้ง ๆ ที่คิดว่าตัวเองเชี่ยวชาญเรื่องจูบมากแท้ ๆ แต่ก็ไม่อาจสู้คนตรงหน้านี้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นจูบ เกมส์รัก หรือความคิด ไม่ว่าตัวของครีแวนจะทำอะไรเนตรคมสีโกเมนนี่มองปราดเดียวก็รู้ไปหมดเสียทุกเรื่อง



“ถ้าตื่น...ก็ไม่ได้รับจูบอรุณสวัสดิ์แบบนั้นสิ” เสียงทุ่มเอ่ยเย้าแหย่ ซึ่งถ้อยคำพวกนั้นแม้จะไม่ได้ทำให้ครีแวนเขินอายสักเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้ใบหน้าขาวนั้นขึ้นสีได้เช่นกัน เมื่อเนตรคมนั้นเห็นอาการเขินอายของร่างโปร่งบางรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ผุดขึ้นมาที่มุมปากแต่ชายผู้นี้ก็เลือกที่จะหันหลังหนีและเดินถอยห่างจากอีกฝ่าย



ตอนนี้ทั้งครีแวนและเฮลาสเองกำลังเว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายหนึ่งคือกลัวตนจะมีจุดอ่อนและจุดอ่อนนั้นจะทำให้ตัวเองอ่อนแอลง หากแต่อีกหนึ่งนั้นกลับเดินทางอย่างโดดเดี่ยวมาตลอดชีวิตจนหวาดกลัวว่าจะมีใครก้าวเข้ามาและความกลัวพวกนี้ทำให้ทั้งสองคนเว้นระยะห่างจากกัน แต่ต่อให้ไม่มีความกลัวพวกนี้ทั้งครีแวนและเฮลาสก็ไม่คิดที่จะผูกพันกับใครแม้ว่าอีกฝ่ายจะสั่นคลอนจิตใจของตนก็ตาม



เมื่อชายร่างสูงเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำร่างเพรียวบางก็กลับไปนอนแผ่นบนเตียงสัมผัสอุ่น ๆ ยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปากรสชาติหอมหวานยังคงตรึงอยู่ในใจ ศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นไหมสีน้ำเงินนั้นส่ายหัวไปมาเพื่อสะบัดไล่ความคิดอันแปลกประหลาดพวกนี้ให้ออกจากสมอง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งนอนบนเตียงที่มีกลิ่นไออันเป็นเอกลักษณ์ของคน ๆ นั้นจะยิ่งทำให้ตัวของครีแวนยิ่งฟุ้งซ่าน ร่างโปร่งบางผุดลุกขึ้นจากเตียงละรีบสาวเท้าเดินอออกไปยังห้องทำงานด้านนอก



ในตอนนี้ครีแวนได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องนอนได้แล้ว ดังนั้นห้องทำงานนี่จึงกลายเป็นที่สงบสติอารมณ์ที่ฟุ้งซ่านของตัวเขา ร่างเพรียวเดินไปหยิบหนังสือที่วางเรียงไว้ที่ชั้นนิ้วเรียวยาวค่อย ๆ ไล่ตามสันหนังสืออย่างเบามือ และในขณะที่ตนกำลังจะเอื้อมมือขึ้นไปหยิบหนังสือเล่มที่ตนหมายตา ทางด้านหลังของเขาก็มีเงาร่างสูงเข้ามาทาบทับมือกร้านที่ตนแสนคุ้นเคยค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มนั้นลงมาพร้อมส่งให้กับร่างที่ซ่อนอยู่ด้านหน้าตน



“ชอบหนังสือพวกนี้หรือไงนายนี่ก็รสนิยมไม่เลวนะครีแวน” เสียงทุ้มกระซิบเบาข้างใบหูลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดต้นคอนั้นทำให้ร่างที่ซ้อนอยู่ด้านหน้าสั่นเล็กน้อย



“ว่าง…ไม่มีอะไรทำและที่ทำได้ก็มีแค่การอ่านหนังสือกับนอนเล่นบนเตียงของนาย ซึ่งฉันขอเลือกอย่างแรก” ร่างเพรียวบางพลิกกายกลับพร้อมกับเอาหนังสือเล่มหนานั้นกั้นระหว่างใบหน้าตนกับใบหน้าคมเข้มนั่น “ถ้านายคิดว่าจะช่วยแค่หยิบหนังสือก็ขอบคุณ แต่ถ้าคิดอย่างอื่นตามมาด้วยก็กรุณาไปไกล ๆ มันรกหูรกตาน่ะ” เสียงหวานเอ่ย ขาเรียวยาวทั้งสองข้างเดียวเอี้ยวตัวหลบออกจากวงแขนแกร่ง ซึ่งตัวของเฮลาสก็ไม่ได้คิดที่จะเดิมตามร่างสูงสาวเท้าเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของคนพร้อมกับเอ่ยคำอนุญาตอีกฝ่ายให้เดินออกไปจากห้องนี้ได้



“ถ้าอยากเดินเล่นในคฤหาสน์นี้ก็เชิญ แต่ก็คงรู้กฎนะว่าฉันไม่อนุญาตให้นายออกไปนอกคฤหาสน์นี้แม้แต่จะเดินออกไปที่สวนด้านหลังก็ตาม และอย่าคิดว่าจะสืบข่าวของฉับกับใครในนี้เพราะพวกเขาไม่มีวันบอกนายแน่นอน” ชายร่างสูงเอ่ยดัง มือทั้งสองข้างค่อย ๆ หยิบเอกสารมาเปิดอ่านที่ละแฟ้ม ๆ



“ผีเข้า...ฉันควรไปตามบาทหลวงมาหานายดีไหม” เสียงนุ่มเอ่ยตอบออกไปตามนิสัยของตนแต่คำพูดนั้นก็ไมได้ทำให้ตัวของเฮลาสโกรธเลยสักนิดร่างสูงได้แต่โบกมือไปมาเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยคำถามเย้าแหย่ให้อีกฝ่ายอับอายเล่น “หรืออยากให้ฉันอุ้มนายพาเดินเหมือนตอนที่นายเป็นไข้หละ” ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาคือหนังสือเล่มหนาที่ชายร่างสูงนั้นหยิบให้ร่างโปร่งบางนั่นเอง



“ไอ้บ้า” สิ้นเสียงพูดร่างบอบบางนั่นก็รีบวิ่งออกจากห้องไปทันที ใช่ว่าอีกฝ่ายนั้นจะผีเข้าแบบนี้บ่อยซะเมื่อไหร่ เมื่ออีกฝ่ายนั้นอนุญาตทุกวินาทีที่ผ่านไปก็คือของล้ำค่า ดังนั้นเขาถึงต้องรีบวิ่งออกมาจากห้องและเดินสำรวจคฤหาสน์โดยรอบให้ไวที่สุด เพราะไม่มีใครอยากโดนกักขังไว้หรอกต่อให้ฝ่ายที่เหนี่ยวรั้งตนไว้จะเป็นคนที่ทำให้ตนรู้สึกหวั่นไหวก็ตาม...



ขาเรียวยาวค่อย ๆ เดินสำรวจไปรอบ ๆ ทางเดินของคฤหาสน์ แม้จะไม่ค่อยคุ้นชินกับสายตาที่ทุกคนจ้องมองมาสักเท่าไหร่นักแต่ครีแวนก็ต้องเลือกที่จะเมินเฉยต่อมัน ไม่เช่นนั้นเขาคงมีเรื่องกับคนทั้งคฤหาสน์แน่นอน มือเรียวค่อย ๆ สัมผัสไปที่กระจกแต่ละบานซึ่งไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลาเลยว่าไอ้กระจกที่ติดอยู่ที่หน้าต่างรอบ ๆ คฤหาสน์แห่งนี้มันคือกระจกกันกระสุนทั้งหมด ริมฝีปากบางทอดถอนลมหายใจออกมาก่อนจะเดินไปยังคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกที่ชายร่างสูงคนนั้นไม่เคยพาตัวเขาเดินไป



คฤหาสน์ฝั่งตะวันตกดูตกแต่งเรียบง่ายกว่าฝั่งตะวันออกดูจากการจัดเครื่องเรือนแล้วคนที่ตัดสินใจรสนิยมก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ เขาเลือกใช้ของที่ดูไม่หรูหราแต่มีมูลค่ามากอย่างเช่นแจกันที่ครีแวนยกขึ้นมาดูนี่เป็นแจกันโบราณที่มีมูลค่าทางตลาดมืดไม่น้อยเลย แต่มันกลับถูกนำมาวางไว้แบบไม่สนใจในมูลค่าความแพงของมัน ครีแวนชักอยากจะรู้แล้วสิว่าตระกูลฟีเลทัสนี้มีเงินทองมากมายขนาดไหน และที่สำคัญความลับที่ทำให้ตระกูลนี้อยู่เหนือทุกตระกูลคืออะไร มือบางวางแจกันไว้ที่เดิมพร้อมกับเดินสำรวจพื้นที่โดยรอบต่อไป



มือบางพยายามเปิดประตูทุกบานเท่าที่จะเปิดได้โดยส่วนใหญ่จะเป็นห้องเรียบ ๆ ที่ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากและทุกห้องนั้นเต็มไปด้วยหนังสือ ซึ่งหนังสือพวกนี้เป็นคนละแบบกับห้องหนังสือฝั่งตะวันออกโดยหนังสือที่จัดเรียงไว้บนชั้นหนังสือฝั่งนี้มันจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับด้านบริหาร ด้านเศรษฐศาสตร์หากแต่ด้านคฤหาสน์ฝั่งตะวันนออกจะเป็นพวกหนังสือจิปาถะที่เอาไว้ใช้อ่านเล่นเสียเช่นนวนิยายชื่อดังที่แฝงไปด้วยข้อคิด หนังสือจิตวิทยาเบื้องต้นไปจนถึงเบื้องลึก หนังสือเสริมความรู้เกี่ยวกับภาษาต่าง ๆ รวมไปถึงหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ที่ย้อนหลังไปเป็นสิบปี



วงการมาเฟียนี่ไม่ใช่แค่มีอำนาจอย่างเดียวก็พอสินะเพราะนอกจากจะมีอำนาจและความน่าเกรงขามแล้วก็ต้องรอบรู้เรื่องทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน ๆ ก็ตาม



ยิ่งครีแวนก้าวเดินเข้าไปในคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกลึกเข้าไปเท่าไหร่เหล่าการ์ดที่ยืนคุมตามบันไดหรือประตูทางออกก็น้อยลงเมื่อนั้นและเมื่อขาทั้งสองข้างก้าวเดินไปถึงบานประตูที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดครีแวนก็ถือวิสาสะเอื้อมมือไปจับลูกปิดประตูนั่นและเปิดมันเข้าไป



ภายในห้อง ๆ นี้มันช่างแตกต่างจากห้องที่เขานอนมาหลายคืนทุกอย่างภายในห้องนั้นเป็นโทนสีอ่อนที่มองดูแล้วสบายตา แม้มันจะจัดอย่างเรียบง่ายแต่ดูจากมูลค่าของในห้องมันคงไม่ได้ได้มาอย่างง่าย ๆ ตามบรรยากาศของห้องเลย ร่างบางถือวิสาสะอีกครั้งเพื่อก้าวเข้าไปในห้อง เนตรสีไพลินนั้นพยายามกวาดมองไปทั่วเผื่อว่าภายในห้องนี้จะมีจุดอับที่ให้เขาใช้เป็นช่องทางหนีได้ ทว่าครีแวนดูเหมือนจะทำตัวสบายไปเสียหน่อยเพราะทันทีครีแวนปล่อยมือจากลูกบิด บานประตูห้องที่อยู่ด้านในก็เปิดออก พร้อมกับร่างสูงของเด็กหนุ่มที่เดินออกมา



เมื่อเห็นแบบนั้นครีแวนแทบจะหันหลังกลับแล้วหนีออกไปจากห้อง ทว่าไม่ทันเสียแล้วเพราะร่างสูงของเด็กหนุ่มนั้นได้ก้าวเข้ามาประชิดแล้วรั้งร่างครีแวนให้ไปนั่งที่โซฟา





v
v
v
v
v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2014 14:43:41 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
“เวลานี้คงเป็นเวลาน้ำชาของขาวอังกฤษ งั้นคุณคงไม่ปฏิเสธที่จะดื่มน้ำชากับผมใช่ไหม” เสียงทุ้มยังไม่แตกเนื้อหนุ่มดีเอ่ยถามมือแกร่งทั้งสองข้างนั้นเอื้อมไปหยิบถ้วยชาออกมาวางและรินชาเอิร์ลเกรย์หอมกรุ่นลงไป “ตอนนี้คงมีแค่ชาอย่างเดียวไปก่อนแต่สักพักแม่บ้านจะเอาของหวานมาให้ หวังว่าคุณจะทานมันได้และถูกใจในรสชาติมัน” นิสัยที่เอาแต่ใจแบบนี้มันช่างเหมือนกับคน ๆ นั้น เพียงแต่เด็กหนุ่มคนนี้กับสุภาพกว่ามาก แต่ถ้าหากให้ชายร่างสูงที่อยู่ในความคิดเปลี่ยนนิสัยมาสุภาพแบบนี้เขาคงคิดว่าคน ๆ นั้นคงเป็นไข้หรือไม่ก็ผีเข้าจริง ๆ



“ถึงฉันจะเป็นคนอังฤษแต่ครึ่งหนึ่งก็เป็นคนรัสเซียนะ” เสียงหวานเอ่ยตอบแม้ครีแวนกับเด็กหนุ่มตรงหน้านี้อายุไม่น่าจะต่างกันสักเท่าไหร่ แต่ทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ดูสุขุมมากกว่าเขาหลายเท่า แต่คิดไปก็ใช่ว่าจะทำให้เขาหาหนทางนี้ไปจากคฤหาสน์แห่งนี้ได้ง่าย ๆ มือเรียวหยิบแก้วช้าขึ้นมาจิบสายตาลอบแอบมองเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่เรื่อย ๆ



“คุณไม่ต้องมองผมอย่างหวาดระแวงแบบนั้นก็ได้ผมไม่ทำอะไรคุณเหมือนที่น้าชายผมทำหรอกและที่สำคัญต่อให้ครึ่งหนึ่งคุณเป็นคนรัสเซียแต่คุณเกิดที่ประเทศอังกฤษ อยู่ที่ประเทศอังกฤษมาตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ  23 และนอกจากนั้นตอนนี้คุณก็อยู่ในประเทศอังกฤษ” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบและทำท่าจะเปิดปากเอ่ยพูดต่อ ทว่าท่อนแขนเรียวบางนั้นถูกยกขึ้นเป็นการปฏิเสธให้อีกฝ่ายนั้นหยุดพูดเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวของเขาสักที



“พอ…ฉันไม่อยากได้ยินประวัติของตัวฉันเองจากคนอื่นหรอกนะมันฟังดูน่าขนลุกและมันทำให้ฉันรู้สึกว่านายเป็นพวกโรคจิตชอบสืบข่าวของชาวบ้าน” ร่างโป่งบางเอ่ยตอบก่อนจะเงยหน้าตนขึ้นไปจับจ้องที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของดวงเนตรสองสีนั้นตรง ๆ



“คุณพูดมาแบบนั้นมันก็ถูก มันดูน่าขนลุกและผมเหมือนพวกโรคจิต แต่การที่น้าชายของผมพาใครเข้ามาเขาก็มักจะสั่งให้หาประวัติแบบนี้ให้ทั้งนั้น ถึงโดยส่วนใหญ่จะหายสาบสูญหรือถูกฆ่าตายตั้งแต่สองสามวันแรกก็ตามเถอะ” เด็กหนุ่มนั้นยอมรับในการกระทำของตนพร้อมกับเอ่ยประโยคชวนขนลุกออกมาต่อ



นี่เขาเป็นผู้โชคดีหรือยังไงกันที่อีกฝ่ายถูกใจเขาและปล่อยให้มีชีวิตรอดมาถึงขนาดนี้...แต่ทำไมตัวของครีแวนไม่รู้สึกว่ามันควรจะดีใจตรงไหนเลยสักนิดเดียว



“คุณเป็นคนแรกที่อยู่ที่นี่ได้นานขนาดนี้ น้าชายของผมไม่ชอบให้คนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของตัวเองแต่จากที่ผมสังเกต น้าชายของผมหวงคุณน่าดูและผมคิดว่าคุณน่าจะเป็นคนพิเศษสำหรับเขา” มือแกร่งยกชาหอมกรุ่นขึ้นจิบน้อย ๆ นัยน์เนตรคมหากแต่สีนั้นแตกต่างกันหรี่มองชายร่างโปร่งบางตรงหน้าราวกับว่าเขากำลังพิจารณาบางสิ่งบางอย่างอยู่ “และตอนนี้คุณทำให้น้าชายของผมสับสนน่าดู”



ถ้อยคำพวกนี้ทำให้ครีแวนชะงักการกระทำของตนไปสักพักแต่ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะรนลานจนทำอะไรเสียงหายเสียงเคาะประตูห้องจากด้านนอกก็ดังขึ้นพร้อมกับถ้อยคำอนุญาตให้คนด้านนอกนั้นเดินเข้ามา “เชิญห้องไม่ได้ล็อค” สิ้นเสียงบานประตูก็เปิดออกร่างบอบบางของหญิงสาวสองคนค่อย ๆ เดินอย่างเชื่องช้าเพื่อนำอาหารว่างมาวางไว้บนโต๊ะ แต่ดูเหมือนหญิงสาวทั้งสองคนนี้ไม่ค่อยจะถูกใจเขาสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อเธอทั้งสองหันหลังให้กับหลานชายของเจ้าของบ้าน สายตาอาฆาตนั้นส่งมาทิ้งแท่งที่ตัวของครีแวนอย่างจัง ‘ให้ตายเถอะฉันก็ไม่ได้อยากจะให้คนเกลียดแบบนี้หรอกนะ’



“แต่ดูเหมือนไม่ใช่แค่น้าชายของผมแล้วหละมั้งที่สับสน….เพราะท่าทางของคุณที่แสดงออกมาตอนผมเอ่ยถึงการคาดเดาพวกนั้นคุณมีปฏิกิริยาแปลก ๆ ไปเช่นกัน” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท ซึ่งมันช่างแตกต่างจากคนฟังอย่างสิ้นเชิง



ตัวของเขามันดูง่ายอย่างงั้นเลยเหรอ และที่สำคัญไปกว่านั้นความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่เข้าใจ ดันกลับถูกเด็กมัธยมปลายมองออกได้ง่าย ๆ แบบนี้ความเยือกเย็นของเขามันหายไปแล้วใช่ไหมเนี่ย ยิ่งคิดใบหน้าสวยก็ยิ่งแสดงอาการวิตกออกมา ซึ่งเด็กหนุ่มที่เห็นร่างตรงหน้าแสดงอาการเช่นนั้นออกมาก็ไม่คิดจะพูดให้อีกฝ่ายใจเย็นลง



“เรื่องนั้นผมคิดว่าช่างมันไปเถอะครับ คุณจะแปลกไป น้าชายของผมจะแปลกไปมันก็ไม่สำคัญหรอกเพราะถ้าคุณออกจากที่นี่ไปได้ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม...ถูกไหมครับ” แม้เด็กหนุ่มผู้มีดวงเนตรสองสีจะไม่ได้พูดให้ความรู้สึกของครีแวนเย็นลงแต่ประโยคที่อีกฝ่ายนั้นพูดออกมาในตอนสุดท้ายมันกลับกวาดเอาความวิตกกังวลนั้นหายไปจนหมดสิ้น ‘คำว่าถ้าคุณออกไปจากที่นี่ได้ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม’ มันช่างเป็นคำพูดที่ชวนให้ตัวของครีแวนนั้นมีความหวังที่จะหนีรอดไปจากที่นี่นี้เลยจริง ๆ



ดวงเนตรสีไพลินที่หม่นไปชั่วครู่ทอประกายอีกครั้งพร้อมกับริมฝีปากบางที่ลอบอมยิ้มออกมา “แล้วอะไรที่จะทำให้ฉันออกไปจากที่นี่ได้หละ” ครีแวนเอ่ยถามถึงแผนการซึ่งคำตอบที่ได้รับมานั่นคือความเงียบงันของอีกฝ่าย ซึ่งท่าทางแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการอะไร



ข้อเสนอที่เท่าเทียมเพื่อแลกกับแผนการหลบหนี ไม่ว่าจะน้าหรือหลานก็เจ้าเล่ห์ไม่ต่างกันเลยจริง ๆ ริมฝีปากบางเม้มปากแน่นอีกครั้ง พร้อมกับเอนกายตนไปกลับไปนั่งพิงที่โซฟา



“ต้องการอะไร” เสียงหวานเอ่ยเปิดประเด็น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับเด็กหนุ่มนั้นวางถ้วยชาลง



“ผมก็ไม่ทราบครับเลยอยากให้คุณเสนอมานี่ไง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างผมมีหมดแล้ว” เสียงทุ้มที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มดีเอ่ยตอบ ดวงเนตรสองสีทั้งสองข้างนั้นหลับตาลง “ถ้าข้อเสนอคุณดี ผมก็จะให้แผนการหลบหนีที่ผมคิดไว้กับคุณแต่ถ้าไม่ก็ถือว่าเรื่องที่เราคุยนั้นไม่เกิดขึ้นเพราะผมไม่อยากมีปัญหากับน้าชายเพราะสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขา” แม้ในประโยดแรกที่เด็กหนุ่มนั้นเอ่ยออกมาจะฟังดูดีแต่ไอคำลงท้ายประโยคนั้นมันช่างเสียงแทงแก้วหูของเขาเสียจริง ร่างโปร่งบางพุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมกับกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว



“ไอ้เด็กปากเสียใครเป็นสัตว์เลี้ยงของใครกันวะ” น้ำเสียแข็งกร้าวของครีแวนดังก้องไปทั่วห้องจนน่าหวั่นเกรงว่าคนภายนอกนั้นจะได้ยิน แต่ดูเหมือนห้อง ๆ นี้จะเก็บเสียงได้ดีเยี่ยมนักเพราะไม่ว่าครีแวนจะกราดเสียงด่าเด็กหนุ่มคนนี้ขนาดไหนก็ไม่มีใครเดินเข้ามาพร้อมกับลากคอครีแวนออกไปเลยสักคน



“ถ้าจะให้พูดว่าใครเป็นสัตว์เลี้ยงของใครผมขอบอกว่า สัตว์เลี้ยงนั่นคือคุณและน้าชายของผมเป็นเจ้าของครับ” คาร์เร่เอ่ยตอบไปเรียบ ๆ ตามนิสัย มือกร้านทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาปัดมือของอีกฝ่ายให้ปล่อยออกจากคอเสื้อของตน



“ถ้าคุณจะโมโหด้วยเรื่องแค่นี้ผมคิดว่าเราคงคุยธุรกิจกันต่อลำบากแล้วหละครับ คุณยังคงอยากได้แผนการจากผมอยู่หรือเปล่าถ้ายังอยากได้อยู่...กรุณาสงบสติอารมณ์ของคุณและนั่งลงด้วยครับ” เด็กหนุ่มร่างสูงเอ่ยพร้อมกับหยิบชาขึ้นมาจิบต่อ ท่าทางนี้นี้แสดงให้เห็นว่าคนตรงหน้าครีแวนนี้ไม่ใช่คนที่เขาจะใช้กำลังบังคับขู่เข็ญอะไรได้ง่าย ๆ ที่สำคัญเขาน่าจะเป็นพวกไม่ยอมเสียผลประโยชน์ให้ใครแน่นอน และถ้าหากคน ๆ นี้ยื่นข้อเสนอให้ใครไปแล้วสิ่งที่เขาต้องได้กลับมานั้นมันต้องมีมูลค่าสูงมากพอหรือมีมูลค่ามากกว่าของที่เขาจะแลกเปลี่ยนกัน



ซึ่งจากความคิดของครีแวนสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนี้ต้องการก็คือ... ’ข่าวหรือเรื่องราวที่เขารู้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเก่า ๆ และรวมไปถึงเรื่องราวที่เขาจะสืบได้จากอนาคตด้วย’ ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่โลภมากไม่แพ้น้าชายของตัวเองเลยจริง ๆ



ริมฝีปากบางเหยียดรอยยิ้มขาเรียวยาวถูกยกขึ้นมาไขว้กันไว้ “ข้อมูลทั้งหมดที่ที่ฉันรู้…ในตอนนี้และอนาคต นายคิดว่าข้อเสนอนี้ของฉันพอที่จะทำให้นายหายโกรธและทำให้เราทั้งสองคนคุยกันต่อได้ไหม” ข้อเสนอที่ร่างโปร่งบางหยิบยื่นไปทำให้เด็กหนุ่มร่างสูงพอใจเป็นอย่างมา มือหนาล้วงเข้าไปในเสื้อสูทของตนพร้อมกับหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาและยื่นไปให้คนตรงหน้า



“ผมคิดว่าการติดต่อคงลำบากถ้าจะนัดเจอกันเพราะผมไม่มีเวลามากขนาดนั้นซึ่งคุณก็เช่นกันคุณคงไม่อยากโดนจับมาที่นี่อีกครั้งเพราะการติดต่อเรื่องงานกับผมใช่ไหมครับ ดังนั้นการติดต่อธุรกิจของเราคงต้องใช้เป็นอีเมลไม่ก็โทรศัพท์นะครับรายละเอียดทั้งหมดอยู่บนกระดาษแผ่นนี้แล้ว” รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นของเด็กหนุ่มระบายไปทั่วใบหน้าหากแต่ตัวครีแวนนั้นรู้ดีว่ามันเป็นรอยยิ้มจอมปลอมที่เอาไว้ยิ้มให้กับคนที่ทำธุรกิจร่วมกัน บ้านนี้สอนให้ยิ้มเสแสร้งเป็นตั้งแต่เด็กเลยหรือยังไงกันนะ พอยิ่งคิดถึงผู้ที่เป็นหลานมันก็พาลให้ย้อนคิดไปถึงน้าชายของเด็กนุ่มคนนี้ ชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นเรื่องการยิ้มเสแสร้งนี่เก่งแบบไม่เป็นสองรองใครเลยจริง ๆ



“คุณครีแวนครับหน้าของผมมีอะไรติดอยู่อย่างนั้นหรือครับ” ดูเหมือนว่าครีแวนจะมองสีหน้าและท่าทางของเด็กหนุ่มนี่นานไป เสียงทุ้มแห้งตามประสาเด็กหนุ่มเอ่ยทัก ซึ่งร่างเพรียวบางก็โบกมือไปมาเป็นการปฏิเสธ “ไม่มีอะไร ส่งเมลแล้วว่าไงต่อหละการติดต่อจะถี่ขนาดไหน แต่ถ้าถี่มากฉันก็หาข่าวมาบอกนายไม่ทันหรอกนะ”



.”ครับการติดต่อไม่ถี่ และข่าวที่ผมต้องการให้คุณหาไม่ใช่ข่าวโลกด้านมืด...แต่สิ่งที่ผมต้องการคือรายละเอียดของแต่ละบริษัทที่เป็นคู่แข่งของธุรกิจของตระกูลของผมมากกว่าคุณก็รู้ว่าผมไม่ได้อยู่โลกฝั่งเดียวกับน้าชายของผมดังนั้นข่าวด้านนั้นผมไม่ต้องการที่จะฟังหรอก ระยะเวลาก็ขอเป็นทุกสิ้นเดือนแล้วกับครับ” นิ้วแกร่งยกขึ้นมายันบริเวณปลายคาง นัยน์เนตรคมสองสีนั้นหรี่ตามองอีกฝ่ายน้อย ๆ เพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเมื่อตนนั้นได้เอ่ยข้อเสนอออกไป 



“อยากฟังมันทั้งหมดตอนนี้เลยไหมหละแผนธุรกิจของบริษัทพวกนี้ฉันสืบมาได้โดยบังเอิญน่ะเป็นข่าวที่ขายได้ราคาไม่ค่อยดีแต่ถ้านายอยากได้ฉันก็จะบอกนายฟรี ๆ ก็ได้นะ ถึงนายจะไม่ต้องการข่าวของโลกด้านมืดฉันก็ไม่ว่าแต่ท่าทางนายจะดูถูกฉันไปเสียหน่อยนะเด็กน้อย สิ่งที่ฉันรู้ไม่ได้มีแค่ข่าวในโลกมาเฟียหรอกนะฉันน่ะรู้ทุก ๆ เรื่องนั้นหละและมันก็ไม่เว้นเรื่องของพวกนาย” เด็กไม่ว่ายังไงก็เป็นเด็กไม่ว่าจะฉลาดขนาดไหนแต่มันก็ไม่อาจตามผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าได้ทันหรอก



รอยยิ้มจากริมฝีปากบางเหยียดกว้างแม้จะปะทะฝีปากกับชายร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงดังเปลวเพลิงผู้นั้นเขานั้นไม่อาจจะชนะได้ แต่การได้มาประชันฝีปากกับผู้เป็นหลานและมีนิสัยเหมือนผู้เป็นน้าชายอย่างไม่ผิดเพี้ยนแล้วชนะ ร่างโปร่งบางก็แอบภูมิใจอยู่เล็ก ๆ เหมือนกัน



“งั้นผมขอฟังทั้งหมดเลยแล้วกันผมคิดว่าการเล่าเรื่องราวที่อยู่ในหัวของคุณออกมาให้ผมฟังมันคงไม่เสียเวลาอะไรมากมามายและถ้าหากผมรู้ข้อมูลจากคุณหมดแล้วผมจะบอกแผนการหนีให้คุณฟัง” สิ้นเสียงของเด็กหนุ่มการสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลก็เกิดขึ้น



การสนทนาของทั้งสองผ่านไปยาวนานนัยชั่วโมงและในที่สุดข่าวที่ครีแวนรู้ทั้งหมดก็ถูกถ่ายถอดไปให้เด็กหนุ่มฟังจนหมดสิ้น ใบหน้าอ่อนเยาว์หากแต่หล่อเหลาไม่แพ้ผู้เป็นน้าชายตึงเครียดปลายนิ้วแกร่งที่ตอนแรกยันไว้บริเวณคางนั้นตอนนี่เปลี่ยนมาแตะที่ริมฝีปาก กิริยาท่าทางที่เปลี่ยนไปขนาดนี้ทำให้ครีแวนถึงกับคิดว่าเขานั้นรังแกเด็กน้องหนักไปหรือเปล่า แต่เมื่ออีกฝ่ายอยากรู้ ‘เรื่องทั้งหมด’ เขาก็เลยบอกอีกฝ่ายไปทั้งหมดเท่าที่ตัวเขารู้ แต่ดูเหมือนหลาย ๆ อย่างมันน่าจะมากเกินไปสำหรับเด็กที่อายุยังไม่ถึง 18 ปี แต่เจ้าเด็กนี่ก็ผิดเองใครใช้ให้มันมาทำหน้าตาดูถูกเขาหละ โดนแบบนี้ซะบ้างจะได้รู้ว่าบนโลกนี้ยังมีคนที่เหนือกว่าตัวเองอยู่ ถึงต่อให้ครีแวนไมได้อัจฉริยะแบบเด็กหนุ่มคนนี้แต่ประสบการณ์ชีวิตทำให้เขาตีความหมายของโลกได้เหนือกว่า



“เอ้า!ฉันบอกทุกอย่างไปหมดแล้วทีนี้ก็ถึงตานายแล้วหละ ว่าแผนที่จะให้ฉันหนีออกไปจากที่นี่มันเป็นยังไง” เจ้าของดวงเนตรสีไพลินเอ่ยท้วงพร้อม ๆ กับนิ้วมือที่เคาะโต๊ะเบา ๆ แทนคำเร่งร้าวให้อีกฝ่ายรีบบอกแผนการทั้งหมด



ความจริงถ้าตัวของครีแวนรู้แผนฝังของคฤหาสน์หลังนี้ของเสนอของเด็กหนุ่มนี่เขาไม่จำเป็นต้องแลมันเลยด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับไม่รู้อะไรสักอย่างไม่ว่าจะเป็นจำนวนประตูทางเข้า จำนวนคนที่คุ้มกันทางเข้าทางออกแถมวันนี้ก็เป็นวันแรกที่เขาได้เดินออกจากห้องนอนของผู้เป็นเจ้าของบ้าน ดังนั้นเมื่อมีใครเสนออะไรเพื่อแลกกับอิสระเขาก็ยอม



“ขอบคุณสำหรับรายละเอียดทั้งหมด ส่วนแผนการที่จะให้คุณหนีไปได้คือพื้นที่ในส่วนของผมคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกเป็นบริเวณของผมครับ ซึ่งน้าชายของผมไม่อาจใช้อำนาจอะไรในส่วนนี้ได้ ที่จริงจะเรียกอย่างนั้นก็ไม่ถูก เพราะว่าผมสั่งห้ามไม่ให้ลูกน้องของน้าชายเข้ามายุ่งเกี่ยวกับอาณาบริเวณของผมคุณสามารถเดินหลบไปตามทางคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกได้เลย แต่มันมีบางจุดที่จะลำบากคุณสักเล็กน้อยนั่นคือทางเชื่อมระหว่างคฤหาสน์สองฝั่งทางนั้นผมบอกเลยว่าตรงนั้นจะมีลูกน้องของน้าชายผมเยอะมากและที่สำคัญประตูทางออกไปด้านนอกคฤหาสน์อยู่ภายในห้องโถงชั้นล่างแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ทางออกหลัก แต่ถ้าหากคุณเดินเข้าไปในส่วนของห้องครัวได้ที่นั่งจะมีประตูทางออกไปด้านนอกคฤหาสน์และที่สำคัญมันก็ใกล้กับประตูรั้วของคฤหาสน์ด้วยเช่นกัน แต่คุณต้องคิดนะว่าการจะเดินไปที่ห้องครัวมันต้องผ่านสายตาคนกี่คน” เสียงทุ่มของเด็กหนุ่มเอ่ยถึงแต่ละส่วนในคฤหาสน์ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัยนั้นอธิบายแต่ละส่วนของคฤหาสน์โดยไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าในแต่ละชั้นจะมีกี่ห้อง มีคนคอยคุมกี่คนและในแต่ละห้องนั้นมีประตูเชื่อมต่อกันกี่บาน ซึ่งสิ่งที่ตัวคาร์เร่ได้บอกอีกฝ่ายไปนั้นมันเป็นความลับของคฤหาสน์หลังนี้ ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไรสักเท่าไหร่นัก เพราะทุก ๆ วันการเดินเวรของพวกการ์ดนั้นมันไม่เคยเท่ากันเลยสักวันรวมไปถึงเส้นทางเดินด้วย ดังนั้นแผนการที่เขาบอกร่างโปร่งบางผู้เป็นสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของน้าชายของเขานั้นมันสามารถใช้ได้เพียงแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้นแต่เขาก็ไม่คิดที่จะบอกอีกฝ่ายหรอกเพราะว่ามันก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกดีที่ได้เฝ้ามองอีกฝ่ายรนลานหาทางนี้ แต่ถ้าอีกฝ่ายเก่งจริงอย่างที่ปากว่าการรังแกเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขามันก็คงทำอะไรคน ๆ นี้ได้หรอกถึงแม้การป้องกันคนเข้าคนออกของคฤหาสน์แห่งนี้จะไม่เคยมีการผิดพลาดเลยก็ตาม



เด็กหนุ่มเท้าคางดูท่าทางของร่างโปร่งบางที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดตน รอยยิ้มชั่วร้ายก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก ความจริงแล้วสัตว์เลี้ยงหลาย ๆ คนของน้าชายเขามักจะเป็นคนคิดหาทางหนีให้แต่แผนการที่เขาคิดให้แต่ละคนนั้นไม่เคยมีใครทำสำเร็จเลยสักคนเดียว คราวนี้เขาก็อยากจะดูเสียหน่อยว่าสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของน้าชายที่ว่าดุนักดุหนาจะทำสำเร็จหรือไม่



ใบหน้าสวยจมเข้าสู่ห้วงความคิดของตนเมื่อสมองประมวลผลทั้งหมดเสร็จสิ้นใบหน้าสวยก็เงยหน้ามาพร้อมกับคลี่ยิ้มจาง ๆ ออกมา “เวรยามที่เดินเวียนในแต่ละวันรวมไปถึงจำนวนจะไม่เหมือนกันในทุก ๆ วันใช่ไหม ฉันรู้น่าว่าคฤหาสน์ของมาเฟียไม่มีทางใช้การป้องกันแบบธรรมดาแต่การที่นายจะกลั่นแกล้งฉันโดยการบอกแผนการที่ไม่หมดนี่มันออกจะโหดร้ายไปสักหน่อยมั่งเจ้าหนู นายเล่นกับคนผิดคนแล้ว สามสิบนาที...ฉันจะออกจาคฤหาสน์นี้ภายในสามสิบนาทีถ้าฉันทำไม่ได้นายเตรียมตัวดูศพฉันนอนตายได้เลย คอมพิวเตอร์นั้นเชื่อมกับกล้องวงจรปิดทั้งหมดของบ้านใช่ไหมหละ ฉันขอให้นายมองมันซะมันจะไม่มีภาพของฉันปรากฏอยู่ในนั้นเลยสักวินาทีเดียว” ริมฝีปากบางเอ่ยคำท้ามือบางทั้งสองข้างยันกายตนขึ้นเพื่อเตรียมตัวสำหรับแผนการหนี “อ่ออีกอย่าง…ฉันจะติดต่อนายเองถ้าหากฉันได้ข่าวอะไรถือเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่นายบอกฉันไม่หมดแล้วกัน” พูดจบร่างโปร่งบางก็โบกมือลาพร้อมกับเดินตรงไปที่ประตูห้อง



ความมั่นใจในตัวเองของครีแวนนั้นทำให้เด็กหนุ่มถึงกับต้องกัดริมฝีปาก คาร์เร่นั้นไม่เคยเจอใครที่อวดดีขนาดนี้มาก่อนแม้รอบ ๆ ตัวของตนนั้นจะมีแต่คนที่มากความสามารถแต่เขาก็ไม่เคยเจอใครที่กล้าท้าทายคนที่ถือไพ่เหนือกว่าได้อย่างคน ๆ นี้เลยจริง ๆ ...



แต่มันก็เหมาะสมแล้วที่คน ๆ นี้ทำให้น้าของเขาที่ไม่เคยสนใจผู้คนรอบข้างกายหันกลับมาสนใจได้...เขาคงต้องยอมรับแล้วหละมั้งว่าคน ๆ นี้เก่งกว่าเขาจริง ๆ มือกร้านยกขึ้นมาเสยเส้นผมที่ปรกหน้าก่อนจะเดินตรงไปยังคอมพิวเตอร์ของตน เพื่อพิสูจน์ว่าคำพูดที่ร่างโปร่งบางนั้นเอ่ยพูดออกมานั้นเป็นความจริง



เข็มยาวของนาฬิกาหมุนวนจากเลข 1 ไปบรรจบที่เลข 6 เสียงโทรศัพท์มือถือของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น ใบหน้าคมเข้มของเด็กหนุ่มนั้นสงสัยเล็กน้อยว่าใครกันที่โทรมาในเวลานี้ มือกร้านเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์พร้อมกับกรอกเสียงลงไป “สวัสดีครับ แต่ต้องขอโทษด้วยว่าเบอร์โทรนี้เป็นเบอร์ส่วนตัว...” หากแต่เด็กหนุ่มนั้นไม่ทันได้พูดอะไรจนจบเสียงหวานที่ตนไม่คุ้นชินก็กรอกเสียงตอบกลับมา หากแต่จะบอกว่าคุ้นเคยก็ไม่เชิง อาจจะต้องเรียกว่าเขานั้นได้ฟังเสียง ๆ นี้พูดเกี่ยวกับการการทำธุรกิจในแบบต่าง ๆ มาเป็นชั่วโมง ๆ จนจำเสียง ๆ นี้กับเจ้าของของมันได้นั้นเอง



“รายละเอียดที่นายบอกมาเนี่ยตรงเป๊ะจริง ๆ ไม่ว่าจะหลบยังไงก็พ้นสายตาการ์ดตลอด เออแล้วในกล้องนั่นหนะไม่มีภาพฉันติดอยู่เลยใช่ไหมหละ” เสียงหวานเอ่ยพร้อมกับกับส่งเสียงหัวเราตามสายมา เด็กหนุ่มนั้นไม่คิดว่าจะมีใครหนีออกจากคฤหาสน์แห่งนี้ได้โดยที่น้าชายของเขาไม่อนุญาต หากแต่คน ๆ นี้ได้ฟังแค่การเดินเวรยาม จุดที่ติดกล้องวงจรปิดรวมไปถึงประตูทางเข้าทางออกเท่านั้นกับทำได้ขนาดนี้ คาร์เร่เผลอก้มมองดูเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาในโทรศัพท์ส่วนตัวของเขาเพื่อตรวจว่าเบอร์โทรนี้ไม่ใช่เบอร์โทรศัพท์จากภายใน ซึ่งดูเหมือนว่าร่างโปรงบางนั้นจะรู้ทันว่าอีกฝ่ายนั้นจะทำอะไร เสียงหวานเอ่ยอออกไปซ้ำพร้อมกับบอกให้เด็กหนุ่มนั่นมองมาที่ถนนทางด้านตะวันตกของคฤหาสน์ ซึ่งมีร่างโปร่งบางยืนโทรศัพท์อยู่ในตู้



“ไงเห็นแล้วใช่ไหมงั้นฉันไปหละหวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีก อ่อแล้วรวมไปถึงน้าชายของนายด้วยนะหมอนั่นฉันไม่อยากที่จะเจอหน้าอีกเลยตลอดชีวิต” สิ้นประโยคนี้สายโทรศัพท์ก็ถูกตัดทิ้งพร้อมกับร่างโปร่งบางที่เดินออกมาจากตู้โทรศัพท์



อากาศในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี่มันโหดร้ายจริง มือบางทั้งสองข้างได้แต่ถูกันไปมาขาทั้งสองข้างนั้นพยายามก้าวเดินตามทางต่อไปแม้ว่าตนจะไม่รู้ว่า ณ จุดที่ตัวเองนั้นยืนอยู่มันคือที่ไหนก็ตาม



ขาเรียวยาวนั้นยังคงเดินต่อไปแม้ว่าตัวของเขาจะเดินมาร่วมชั่วโมงกว่าแต่มันก็ยังไม่เห็นอะไรนอกจากแสงไฟที่สาดส่องข้างถนน และตอนนี้ท้องฟ้าก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำแล้วอากาศที่หนาวอยู่แล้วยิ่งทำให้ร่างเพรียวบางนั้นยิ่งสั่นมากขึ้นไปอีก



‘ไม่น่าออกมาจากคฤหาสน์นั้นโดยไม่หยิบเสื้อคลุมหรือเงินมาเลย’ ครีแวนกร่นด่าตัวเองในใจหากแต่ความคิดพวกนั้นก็ออกจะดูโลภมากเกินไปเสียหน่อยเพราะการที่ตัวเขาได้ออกมาอยู่ด้านนอกแบบนี้ถือว่าเป็นโชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ไม่ถูกขังอยู่ภายในห้องนอนสี่เหลี่ยม ไม่ต้องต่อปากต่อคำกับเจ้าบ้านั่นเป็นอะไรที่สุขในที่สุดแล้วขาเรียวบางยังคงก้าวเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดไม่รู้ว่าโชคนั้นช่วยครีแวนหรือพระเจ้าทรงโปรดแต่อย่างใด รถคันหรูที่ขับตามหลังเขามานั่นจอดเทียบข้างพร้อมกับบานกระจกที่ถูกเลื่อนลง



“ต้องการให้ไปส่งที่ไหนหรือเปล่าครับเจ้านายของผมเห็นคุณเดินอยู่คนเดียวแบบนี้มันอันตรายเลยขอเสียมารยาทถาม ถ้าหากเป็นทางผ่านนายท่านจะขับไปส่งครับ” ตำถามนี้ราวกับว่ามันเป็นประโยคที่พระเจ้าประทานมา ใบหน้าสวยยิ้มกว้างพร้อมกับบอกถนนซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านของเขาออกไป เมื่อครีแวนเอ่ยจบลงคนขับรถคนนั้นก็หันหลังกลับไปหาผู้เป็นนายเขาเอ่ยถามนายของตนเพียงช่วงครู่เท่านั้น พลันเสียงปลดล็อคประตูรถก็เปิดออกพร้อมกับคำเอ่ยเชิญให้ร่างโปร่งบางนี้เข้าไปนั่งด้านใน



เพียงแต่ว่าความยินดีนี้นั้นอยู่เพียงไม่นานเพราะทันทีที่บานประตูรถคันหรูเปิดออกใบหน้าที่เขาคุ้นเคยดีก็ส่งรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมมาให้ ครีแวนแทบอยากจะปิดประตูกระแทกแล้ววิ่งหนีแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเพราะมือข้างหนึ่งของเขาถูกอีกฝ่ายกอบกุมพร้อมกับกระชากให้ร่างเพรียวบางนั้นเข้าไปในรถ



อิสรภาพที่ได้มาไม่ถึงสองชั่วโมงนั้นได้สิ้นสุดใบใบหน้างามนั้นบึ้งตึงซึ่งไมได้ต่างอะไรกันเลยกับอีกฝ่าย หากแต่ชายร่างสูงนั้นยอมลดทิฐิของตนลงและเอ่ยปากถามร่างเพรียวบางนั่นก่อน



“ทำไมไม่ทำตามคำสั่งฉันบอกแล้วไงว่าไม่ให้ออกจากตัวคฤหาสน์” เจ้าของเสียงทุ้มเข้มพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธของตน แต่ดูเหมือนฝ่ายคู่กรณีนั้นจะไม่ยอมเอ่ยตอบอะไรและเลือกที่จะนิ่งเงียบแทน



“ฉันถามไงว่าทำไมไม่ยอมทำตามคำสั่ง” เฮลาสเอ่ยถามซ้ำคราวนี้เขาไม่คิดที่ตะสะกดกลั้นอารมณ์โกรธของตนอีกแล้วมือกร้านจับข้อมือบอบบางนั้นให้หันมาประจันหน้ากับตน ซึ่งทั้งสองก็ยังคงจ้องตากันแบบนั้นไปสักพักในที่สุดร่างโปร่งบางก็ยอมเปิดปากของตนออก



“ถามไปแล้วนายคิดว่าคำตอบมันจะเปลี่ยนไปหรือไง” คำพูดสั้น ๆ ที่แฝงไปด้วยอารมณ์ที่หลากลายถูกเอ่ยออกมา และเมื่อชายหนุ่มร่างสูงได้ยินถ้อยคำพูดเหล่านี้มือกร้านก็ยอมปล่อยให้ท่อนแขนเรียวบางนั้นเป็นอิสระ ใบหน้าสวยนั้นยังคงบึ้งตึงซึ่งผิดกับใบหน้าคมที่ตอนนี้เริ่มจะควบคุมอารมณ์โกรธของตนได้บ้างแล้ว



“อยากไปไหนหรือเปล่า แต่ถ้านายตอบว่าบ้านฉันคงไม่อนุญาต” เสียงทุ้มเอ่ยถามแต่มันก็ยังมีคำสั่งแฝงอยู่ ซึ่งตัวของครีแวนนั้นก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าตนนั้นคงหนีไม่รอดแน่นอนเลยเลือกที่จะตอบคำถามนั้นแบบเซฟตัวเองที่สุด



“ดื่ม” เสียงหวานเอ่ยสั้น ๆ ซึ่งแต่คำ ๆ นี้ก็ทำให้ร่างสูงรู้แล้วว่าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการนั้นคืออะไร ริมฝีปากหนาเอ่ยสั่งคนขับรถมุ่งตรงไปที่คลับซึ่งอยู่ในเขตการดูแลของเขา



เนื่องจากระยะห่างจากคฤหาสน์ของตระกูลฟีเลทัสกับคลับนั้นไม่ห่างกันมากทำให้ใช้เวลาเดินทางไม่มากนัก และตอนนี้คนทั้งคู่ก็ยืนอยู่ตรงหน้าคลับที่อยู่ในเขตดูแลของชายหนุ่มผมแดงผู้มีดวงเนตรสีเดียวกับเปลวเพลิง ขาแกร่งนั้นเดินนำเข้าไปด้านในโดยที่มืออีกข้างของเขานั้นกอบกุมมือของร่างโปร่งบางนั่นเอาไว้



และเมื่อทั้งสองนั้นได้ก้าวเดินมาด้านในเหล่าบริกรก็ต่างพากันกรูเข้ามาต้อนรับคนทั้งคู่ ซึ่งมันทำให้คนภายในร้านดูแปลกใจไปเสียหน่อยว่าใครกันที่เจ้านายของตนนั้นพามาด้วยแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของลูกจ้างที่จะล่วงรู้เรื่องราวของเจ้านาย พนักงานหนุ่มที่ดุท่าจะเป็นผู้จัดการร้านเดินเข้ามาทักทายพร้อมกับเดินนำคนทั้งสองให้เข้าไปยังห้องวีไอพีที่จัดเตรียมไว้สำหรับแขกคนสำคัญ



ครีแวนไม่รู้ว่าชายคนนี้ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร และไม่รู้เลยว่าทำไมชายคนนี้ถึงไม่ฆ่าเขาตั้งแต่ตอนที่จับได้ว่าตัวเขานั้นหลบหนีมาจากคฤหาสน์ ทำไมชายคนนี้ถึงทำอะไรที่ชวนสงสัยอะไรแบบนี้นะ นิสัยของคน ๆ นี้มันผิดไปจากที่ตัวเขาเคยได้ยินมา ทั้ง ๆ ที่ใครต่างก็พูดว่าชายคนนี้โหดร้ายและไม่คิดจะปราณีใคร



แต่ทำไมความรู้สึกและการกระทำที่ตัวของครีแวนได้รับจากอีกฝ่ายมันกลับไม่เป็นตามข่าวลือ...ทำไมชายคนนี้ถึงตัวอ่อนโยนกับเขานัก...มันอ่อนโยนและอบอุ่นจนมันทำให้เขาไม่อยากจากชายคนนี้ไปไหน...



............................



ความรู้สึกที่แปลกประหลาดพวกนั้นทำให้ตัวเราอ่อนแอลงงั้นหรือ...ถ้าเช่นนั้นตัวเราก็คงต้องถอยหนีและปฏิเสธมัน....







ปล. ชื่อนิยายมีชื่อภาษาไทยเพิ่มมาแล้วนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
หนีออกมาได้แปบเดียวโดนคุณมาเฟียจับได้ซะแล้ว จะทำยังไงต่อไปล่ะเนี่ย  :hao7:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



Chapter 5




ความเงียบนั้นคนภายนอกจะเข้าใจว่ามันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความโดดเดี่ยว หากแต่สำหรับใครหลาย ๆ คนแล้วมันอาจจะทำให้คน ๆ นั้นรู้สึกสงบและสบายใจเพียงแต่คำนิยามพวกนั้นมันคงใช้กับสถานการณ์ที่ตัวของครีแวนเผชิญอยู่ในตอนนี้ไม่ได้ เพราะนอกจากมันจะไม่ได้บ่งบอกว่าตัวของเขานั้นอยู่อย่างโดดเดี่ยวแล้วมันดันทำให้ตัวของเขานั้นรูสึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก และที่สำคัญไปกว่านั้นคือการนั่งอยู่ในความเงียบซึ่งมีชายร่างสูงนามว่า ‘เฮลาส ฟีเลทัส’ นั่งประจันหน้าตนอยู่ในตอนนี้มันช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับครีแวนเสียจริง แต่ความรู้สึกกดดันทั้งหมดนั้นมันไม่ได้เกิดจากชายหนุ่มร่างสูงผู้นั้นเพียงคนเดียวเพราะบรรยากาศกดดันที่เกิดขึ้นภายในห้องรับรองแขก VIP นั้นมันก็เกิดจากตัวของครีแวนด้วยเช่นกัน ริมฝีปากบางเม้มแน่นใบหนาสวยหันเบนหนีไปทางอื่น



ถ้าจะให้บอกว่าครีแวนนั้นรู้สึกผิดไหมที่หนีออกมาตัวของครีแวนนั้นคงบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า ‘ไม่’ หากแต่เมื่อตนถูกอีกฝ่ายจับได้ และตอนนี้ยังต้องมานั่งเผชิญกับดวงเนตรสีโกเมนแล้วไอ้ความรู้สึกผิดเล็กน้อยมันก็เริ่มก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ ซึ่งมันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่เขาต้องรู้สึกเช่นนั้นเพราะเขานั้นไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิดคนเราโดนกักตัวไว้ย่อมไม่มีใครชอบใจอยู่แล้ว ที่สำคัญไปกว่านั้นสิ่งที่เขาโดนนั้นไม่ใช่เรียกว่าการกักตัวมันเรียกว่าโดนขังเลยจะถูกมากกว่า ดังนั้นการที่เขาอยากหนีออกจากคฤหาสน์แห่งนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะมนุษย์ทุกคนต้องการอิสระและโดยเฉพาะมนุษย์ที่มีนามว่า ‘ครีแวน’ อย่างตัวเขาแล้ว เขานั้นยิ่งรักอิสระมากกว่าสิ่งใดการกักขังทางกายไม่มีทางทำให้ร่างโปร่งบางผู้นี้ยอมอยู่เฉย ๆ นั่งเงียบนอนเงียบเหมือนสัตว์เลี้ยงว่าง่าย ๆ หรอกนะ



พอยิ่งคิดครีแวนก็ยิ่งหงุดหงิดตัวเองที่กลับไปรู้สึกผิดแบบนั้นกับอีกฝ่าย มือบางกำแน่นเพื่อระบายความโกรธที่มีต่อตัวเอง หากแต่ใบหน้างดงามก็ยังคงจ้องมองอีกฝ่ายโดยไม่ละสายตาไปทางไหน ในตอนนี้ชายร่างสูงนั้นกำลังจิบสุราสีอำพันอยู่เงียบ ๆ ซึ่งสายตาคมเข้มก็ไม่คิดจะละไปไหนเช่นเดียวกับเขา เกมส์จ้องตานี่ยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดบานประตูห้องรับรองก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏร่างผอมบางของหญิงสาวราว ๆ สี่หาคน สองคนในนั้นเดินนวยนาดไปนั่งประกบชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีแดงดังเปลวเพลงและที่เหลือก็เดินมานั่งประกบเขาเช่นกัน มือเรียวบางของหญิงสาวนั้นรินสุราในขวดให้กับชายหนุ่มก่อนจะยกขึ้นไปแตะที่ริมฝีปากเบา ๆ การกระทำนี้เป็นการเชิญชวนให้พวกเขาดื่ม ซึ่งครีแวนก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้วมือบางรับแก้วน้ำสีอำพันที่แตะอยู่ที่ริมฝีปากขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว



หญิงสาวทั้งสองคนเห็นแบบนั้นก็ยิ่งได้เสียงหัวเราะคิกคักเริ่มดังขึ้นและทำลายบรรยากาศกดดันและเงียบงันนั้นไปจนหมดสิ้น…เพียงแต่มันก็ทำลายได้แค่บรรยากาศที่อยู่โดยรอบหากแต่มันไม่สามารถทำลายความรู้สึกกดดันและไม่ความรู้สึกไม่พอใจที่แผ่กระจายอยู่ในภายใจทั้งของสองคนได้เลย



หญิงสาวรินสุราแก้วแล้วแก้วเล่าส่งให้ครีแวนดื่ม ซึ่งตอนนี้การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนี้โดยไม่มีอะไรรองท้องนั้นมันยิ่งทำให้ร่างสูงโปร่งนี้เมาเร็วขึ้น ใบหน้าสวยแดงก่ำ นัยน์เนตรสีไพลินน้ำงามนั้นปรือลงอย่างเย้ายวนแต่แม้ตัวของครีแวนจะแสดงอาการของคนเมามากถึงขนาดนั้นแต่เขาก็ยังไม่คิดจะหยุดดื่ม มือบางยังคงยกแก้วสุราขึ้นดื่มเรื่อย ๆ และในท้ายที่สุดสติทั้งหมดของครีแวนก็หายไปจนสิ้น และสิ่งที่เหลือไวก็มีเพียงแต่จิตสำนักของผู้ชายที่ต้องการของสวย ๆ งาม ๆ เช่นร่างกายของอิสสตรี ใบหน้าสวยนั้นค่อย ๆ พรมจูบไปทั่วใบหน้าของหญิงสาวทั้งสอง มือทังสองข้างรวบเอวบอบบางให้มาแนบชิดกับร่างของตนก่อนจะบดเบียดริมฝีปากตนลงไปที่ริมฝีปากอวบอิ่มของหญิงสาวทั้งสอง



การกระทำทั้งหมดนั่นอยู่ภายในสายตาของเฮลาส ไม่ใช่ว่าตัวของชายร่างสูงนั้นจะไม่รู้ว่าร่างโปร่งบางตรงหน้านั้นจะเป็นยังไง แต่จะเรียกว่าตัวเขานั้นจะรู้จักนิสัยรวมไปถึงตัวตนของคน ๆ นี้ก็ไม่เชิงเพราะสิ่งที่เขารู้มันมาจากการสืบประวัติตั้งแต่อีกฝ่ายเกิดจนถึงวินาทีที่ร่าง ๆ นั้นมาปรากฏตัวตรงหน้าของเขา



ซึ่งคน ๆ นี้ถ้าให้เฮลาสพูดตามตรงแล้วเขาก็คงต้องบอกว่าคน ๆ นี้น่าสนใจเป็นอย่างมาก แม้ในตอนแรกเขาจะรู้สึกถูกใจแค่แววตาที่ไม่ยอมใครของคนตรงหน้า แต่พอได้ล่วงรู้ตัวตนของคน ๆ นี้แล้วไม่ว่าจะเป็นนิสัย หรือประวัติ ทุกอย่างก็น่าสนใจไปเสียหมด



ดวงเนตรคมหรี่ตามองภาพตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ถึงเขาจะไม่คิดที่จะห้ามปราบการกระทำของคนตรงหน้าแต่ภายในสมองไม่ใช่ว่าจะพอใจให้อีกฝ่ายทำเช่นนี้ เพราะไม่ว่ายังไงและอีกฝ่ายจะพยายามปฏิเสธแค่ไหน ถึงยังไงคน ๆ นี้ก็ยังคงเป็นของ ๆ เขา…ยังสัตว์เลี้ยงของชายหนุ่มนามว่า ‘เฮลาส’ อยู่ดี



แม้การกระทำของครีแวนจะเริ่มเลยเถิดอย่างเช่นซุกไซร้คอของหญิงสาวแต่ถ้าหากมันยังคงอยู่ในสายตาเขา มันก็ไม่มีอะไรที่น่ากังวล แต่ดูเหมือนหญิงสาวที่นั่งรายล้อมของ ๆ เขาจะเริ่มทำเกินหน้าที่เพราะหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับ 1 ของคลับแห่งนี้โน้มใบหนาตนไปกระซิบเสียงยั่วเย้าข้างใบหูของชายร่างสูงโปร่ง และเมื่อถ้อยคำเหล่านั้นลอยเข้าหูของครีแวนชายหนุ่มร่างเพรียวบางก็คลี่ยิ้ม มือทั้งสองข้างค่อย ๆ ยันกายขึ้นก่อนจะละมือไปโอบเอวของหญิงสาวทั้งสองจนและเดินออกจากห้องไป



เนตรคมกริบสีเปลวเพลิงมองตามแผ่นหลังของคนทั้งสาม หากแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยห้ามปรามหรือทำอะไร เขาได้แต่นั่งจิบสุราไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดความอดทนทั้งหมดก็สิ้นสุดลง เสียงแก้วน้ำสีอำพันถูกวางกระแทกลงไปที่โต๊ะจนเกินเสียงดังจากนั้นร่างสูงสง่ากลับผุดลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว



แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่หญิงสาวสองคนนั้นพูดออกไปคืออะไร แต่มีหรือที่เจ้าของคลับแห่งนี้จะไม่รู้ว่าลูกจ้างของตนนั้นมีหน้าที่ทำอะไรเพราะนอกเหนือจากการทำหน้าที่เป็นเพื่อนดื่มแล้วพนักงานสาวที่อยู่ในคลับแห่งนี้แทบทุกคนจะเป็นเพื่อนนอนด้วย ดังนั้นถ้อยคำที่หญิงสาวทั้งสองคนกระซิบข้างใบหูนั้นคงไม่พ้นเป็นคำเชิญชวนให้อีกฝ่ายขึ้นไปทำกิจกรรมต่อด้านบนแน่นอน ขาแกร่งทั้งสองข้างรีบก้าวเดินใบหน้าคมนั้นแสดงให้เห็นถึงความโกรธาที่ครุกกรุ่นอยู่ภายใจใน โดยสถานที่ที่ร่างสูงมุ่งตรงไปนั้นนั่นก็คือชั้นสองของคลับแห่งนี้ โดยชั้นสองนั้นถูกแบ่งสันปันส่วนเอาไว้เป็นห้อง ๆ เพื่อให้เหล่าลูกค้าขึ้นไปใช้เป็นที่พักผ่อนหรือทำกิจกรรมอย่างอื่นต่อ



ขาแกร่งยังคงก้าวเดินและมันก็เพิ่มที่จะเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานนักร่างสูงสง่าก็หยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่งและเขาก็ไม่รอช้าที่จะเปิดมันเขาไป ซึ่งภาพตรงหน้าเขานั้นมันก็ไม่ต่างจากความคิดภายในสมองของชายร่างสูงผู้นี้สักเท่าไหร่นัก ร่างโปร่งบางสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของเขากำลังโรมรันกันหญิงสาวสองคนบนเตียง แต่ก็ยังดีที่ร่างเพรียวบางนั้นยังมีเสื้อผ้าอยู่ครบซึ่งแตกต่างจากหญิงสาวทั้งสองคนที่ตอนนี้สิ่งที่ปกปิดร่างของพวกเธอมีแค่เพียงชุดชั้นในตัวบางที่แทบจะมองทะลุเข้าไปด้านในได้ ใบหน้าสวยหวานนั้นก้มลงไล้เลียซอกคอของหญิงสาวคนหนึ่งส่วนอีกคนหนึ่งกำลังใช้มือของตนปลดเปลืองเสื้อผ้าของคนเมาโดยที่ทั้งสามคนนั้นยังไม่มีใครรู้เลยว่า ชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของเรือนร่างบางที่น่าหลงใหลนั้นกำลังยืนอยู่ตรงประตูห้อง และเมื่อเสียงครางหวานที่ตนมักจะได้ยินประจำดังขึ้น เสียง ๆ นั้นเหมือนกับว่าเป็นสวิตซ์สัญญาณให้ด้านเหตุผลในสมองของเฮลาสถูกด้านอารมณ์เขาครอบงำ



ขาแกร่งกาวเดินอีกครั้งพร้อมกับกระชากร่างโปร่งบางมาแนบชิดใบหน้าสวยถูกจับเชิดขึ้นพรอมกับริมฝีปากหนาที่โน้มลงไปประทับรอยจูบอย่างร้อนแรง ลิ้นกร้านกวาดตอนเรียวเรียวนั้นไปทั่วโพรงปาก ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของชายร่างสูงไม่ได้เพียงแค่จะกอบโกยรสหวานออกมาจากร่าง ๆ นี้เท่านั้น ที่เขาทำก็เพราะต้องการล้างรสฝาดที่ติดอยู่ในริมฝีปากที่น่าหลงใหลนี้ให้หายไป



รสจูบนี่หอมหวานและร้อนแรงเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะต้านทานมือเรียวบางนั้นถูกเลื่อนขึ้นไปโอบรอบคออีกฝ่ายก่อนจะรั้งร่าง ๆ นั้นให้นอนทาบทับตน



หญิงสาวทั้งสองที่อยู่ในห้องนี้มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาตกตะลึงใบหน้าสวยที่แต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางค์เบี่ยงหน้าหนีเมื่อเนตรคมเหลือบมองสายตานั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าให้พวกเธอนั้นรีบไสหัวออกไปจากห้องนี้ ซึ่งหญิงสาวทั้งสองคนก็รับรู้และรีบทำตามที่อีกฝ่ายบอกท่อนแขนเรียวเล็กรีบหยิบเสื้อผ้าของตนและรีบวิ่งออกไป โดยทิ้งให้ภายในห้องนั้นเหลือแค่ชายร่างสูงกับร่างโปร่งบางที่แสนเร้าอารมณ์อยู่ภายในห้อง



สัมผัสฝาดลิ้นที่ริมฝีปากบางนั้นเริ่มหายไปแล้วทีนี้ก็เหลือแต่กอบโกยความหวามหวานจากร่าง ๆ นี้ให้หมดสิ้น มือกร้านไล้ไปตามแผ่นอกบาง ก่อนจะละริมฝีปากตนลงไปหยอกเยากับยอดอกสีชมพูที่ชูชันขึ้น เสียงหวานครางกระเส่าพร้อมกับครวญครางร้องขอให้อีกฝ่ายเลิกทำเช่นนี้กับตน



ถึงถ้อยคำที่ครีแวนจะพูดออกมาจะเป็นคำพูดเชิงห้ามปรามแต่กระนั้นการกระทำของเขากลับเป็นอีกอย่างหนึ่งมือบางแทบจะกดใบหน้าของอีกฝ่ายแนบไปกับแผ่นอกตนใบหน้าสวยแหงนขึ้นพร้อมกับครางเสียงหวานเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ที่กำลังพุ่งสูง เสียงครางแว่วหวานยังคงดังอย่างไม่ขาดสายเฮลาสและครีแวนไม่ใส่ใจแล้วว่าพวกนั้นจะส่งเสียงดังขนาดไหน มือกร้านละลงไปที่ขอบกางเกงก่อนจะรูดซิบปลดมันออกมือหนารูดรั้งแก่นกายของร่างโปร่งอย่างเบามือซึ่งแค่นั้นก็เรียกเสียงครางให้อีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี หากแต่ชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้ไม่คิดจะยอมหยุดเพียงแค่นั้นนิ้วแกร่งกดลงที่ส่วนปลายและขยับมือตนให้รุ่นแรงมากกว่าเก่า เสียงครางแว่วหวานยังคงดึงขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่มันจะหยุดเมื่อนำรักนั้นถูกปลดปล่อยออกไปเต็มมือแกร่ง ซึ่งหลังจากที่ตนปลดปล่อยให้แก่ร่างโปร่งบางเขาก็คิดจะพาคน ๆ นี้กลับ ทว่าสัตว์เลี้ยงที่แสนซุกซนของเขากลับยกมือที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำแห่งราคะขึ้นมาไล้เลีย เพื่อเชิญชวนชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้ หากแต่เฮลาสกลับมีความอดทนที่มากเพียงพอ นิ้วแกร่งที่แทรกเข้าไปในโพรงปากอ่อนนุ่มนั้นถูกดึงออก ก่อนมือทั้งสองข้างจะรวบอุ้มอีกฝ่ายเพื่อพาร่างโปร่งบางซึ่งเป็นของ ๆ เขานั้นออกไปจากสถานที่แห่งนี้ และเมื่อขาแกร่งทั้งสองข้างก้าวเดินออกจากห้องเหล่าบริกรและพนักงานสาวก็หันไปมองเป็นตาเดียวซึ่งเหตุผลนั้นไม่ได้เป็นเพราะภาพที่พวกเขาเห็นแต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องหันไปดูก็คือเจ้าของเสียงครางหวานนั่นต่างหากแต่ดูเหมือนสิ่งที่ทำให้ทุกคนมองคนทั้งสองไม่ใช่แค่ต้องการเห็นเจ้าของเสียงครางเย้าอารมณ์นั้นแต่พวกเขามองไปที่แผ่นอกขาวสะอาดกับยอดอกที่ชูชันขึ้นหลังจากการถูกเล้าโลม เฮลาสไม่คิดที่จะแต่งตัวให้อีกฝ่ายเลยสักนิดเพราะหลังจากนี้ใคร ๆ ก็จะได้รู้ว่าร่างที่น่าหลงใหลนี่เป็นของ ๆ เขา แต่เฮลาสก็ยังมีความใจดีอยู่นิดหน่อยที่ยอมรูดซิบกางเกงให้อีกฝ่ายก่อนออกจากห้อง แต่ดูเหมือนการปกปิดตรงนั้นจะไม่ได้ทำให้สายตาของทุกคนลดน้อยไปเลย สิ่งร่างสูงก้าวลงจากชั้นสองซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวสำหรับแขกพิเศษ สายตาจากคนทั้งคลับก็มองตรงมาที่พวกเขา และที่ยิ่งไปกว่านั้นร่างที่อยู่ในอ้อมแขนชายหนุ่มร่างสูงกลับซุกซนเพราะมันถูกยกขึ้นไปโอบล้อมรอบคอแกร่งให้โน้มลงมาสัมผัสกับริมฝีปากตน




ลิ้นเล็กไล้เลียริมฝีปากอีกฝ่ายเพื่อหยอกล้อ แต่สำหรับตัวของเฮลาสนั้นไม่คำว่าล้อเล่นอยู่ในสมอง เมื่อขาแกร่งทั้งสองข้างก้าวลงจนถึงพื้นของคลับชันหนึ่ง คราวนี้เฮลาสกปล่อยร่างเพรียวบางนั้นลงจากอ้อมแขนก่อนจะกดอีกฝ่ายไปที่กำแพงและมอบรสจูบอันร้อนแรงให้ เรียวปากบางเริ่มบวมช้ำหากแต่ชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้ก็ไม่คิดที่จะละริมฝีปากออก ท่อนแขนบอบบางทั้งสองข้างถูกตรึงไว้ที่กำแพง ใบหน้าสวยนั้นเชิดขึ้นเพื่อรับสัมผัสจากริมฝีปากหนา หลังจากทั้งสองคนกอบโกยรสชาติอันแสนหอมหวานจากกันและกันเสร็จแล้ว ร่างสูงก็รวบร่างเพรียวนั้นขึ้นอุ้มอีกครั้งแต่คราวนี้ชายหนุ่มแทบจะโอบกอดให้อีกฝ่ายนั้นฝังร่างลงไปที่แผ่นอกของตน



แม้การเดินออกจากร้านจะดูยากลำบากเสียหน่อยแต่ตอนนี้ทั้งสองคนก็เข้ามาอยู่ภายในรถยนต์ส่วนตัวของเฮลาสเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งความยากลำบากที่เฮลาสพูดถึงมันก็เกิดมาจากคนเมาแล้วยั่วบางคนที่ตอนนี้ยังคงใช้มือทั้งสองโอบรอบคอเขาอยู่



ไม่คิดว่าถ้าอีกฝ่ายเมาแล้วจะเป็นถึงขนาดนี้ เฮลาสนึกว่าคน ๆ นี้แค่คออ่อนนิดหน่อยเท่านั้น แต่ดูเหมือนเฮลาสจะคาดเดาผิดไปเพราะเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินแปลกตานี้จะคอแข็งมากกว่าที่คิดแล้ว…ตอนที่อีกฝ่ายเมามันยิ่งกว่าที่เฮลาสได้คิดไว้เสียอีก นั่นก็เป็นเพราะเขาไม่เคยรู้เลยว่าจะมีคนที่กินเหล้าเมาแล้วเกิดอาการบ้า ‘เซ็กส์’ ได้



แต่ความคิดพวกนั้นก็อยู่ได้เพียงแค่ช่วงครู่เพราะในตอนนี้ทั้งครีแวนและเฮลาสอยู่ในสภาพล่อแหลมสุด ๆ เสื้อเชิ้ตที่ชายหนุ่มร่างสูงสวมนั้นถูกปลดกระดุมออกเผยให้เห็นแผ่นอกกว้างที่เต็มไปด้วยรอยจูบและรอยเม้มสีกุหลาบ ซึ่งมันก็ไม่ต่างไปเลยจากร่างบางเพราะตั้งแต่ปลายคอถึงหน้าท้องนั้นก็เต็มไปด้วยรอยจูบเช่นกันและนอกเหนือจากมีรอยจูบแล้วยอดอกสีชมพูนั้นถูกอีกฝ่ายเม้มเล่นจนตอนนี้สีของมันกลายเป็นสีแดงอ่อน ๆ และมันก็ยังคงชูชันอยู่เช่นเดิม



มือบางยังโอบรอบคออีกฝ่าย ริมฝีปากของทั้งสองคนกับสัมผัสและมอบจูบอันแสนร้อนแรงให้กันไปตลอดระยะทาง และเมื่อตัวรถจอดเทียบท่าคราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของร่างสูงอีกครั้งที่จะพาร่างที่กำลังเมามายนี้ออกจากรถ มือแกร่งรวบตัวอีกฝ่ายและอุ้มขึ้นอีกครั้งพร้อมกับขาแกร่งก้าวเดินตรงไปยังคฤหาสน์ฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นที่พำนักของชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้



และร่างโปร่งบางก็ยังคงเป็นเช่นเดิมใบหน้าสวยเต็มไปด้วยตันหา ริมฝีปากบางยังคงพรมจูบไปที่ใบหน้ากร้านคม สายตาของทุกคนจ้องมองมายังคนทั้งคู่ แต่ดูเหมือนสายตาสีโกนเมนจะคอยจ้องมองเชิงหามปราบไม่ให้ใครมองมาที่พวกเขา ตลอดระยะทางมีแต่คนเบือนหน้าหนีเพื่อไม่ให้ตนเห็นภาพสัตว์เลี้ยงตัวโปปรดของผู้เป็นนายที่กำลังหยอกเย้ากับนายของตนอยู่แต่ แต่ดูเหมือนคนที่ห้ามใจไม่ให้ดูภาพ ๆ นั้นได้มีอยู่เพียงน้อยนิดเพราะตลอดระยะทางเฮลาสตองคอยใช้สายตาปรามเหล่าลูกน้องของคนอยู่เสมอ และในที่สุดพวกเขาทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงห้อง



ร่างโปร่งบางถูกอุ้มไปวางไว้บนเตียงสีแดงเข้มพร้อมกับร่างสูงที่ทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ ใบหน้าคมก้มลงไปประทับริมฝีปากตนลงบนริมฝีปากบางนั่นอีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นเพียงการสัมผัสเบา ๆ และละริมฝีปากไปและทันทีที่เจาของใบหน้ากร้านคมละออก ริมฝีปากบางกคลี่รอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะผลอยหลับไป จบภารกิจเกี่ยวกับสัตว์เลียงตัวโปรดของเขาและหลังจากนี้คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวของกันน้าชายและหลานชาย



มือแกร่งหยิบเศษกระดาษที่มีตัวอักษรจดไว้บาง ๆ ซึ่งเขาปรายตามองเพียงครู่เดียวก็รู้แล้วว่าลายมือนี้เป็นของใครและก็รู้ด้วยว่าใครเป็นคนบอกการเดินเวรยามของคฤหาสน์แห่งนี้ให้แก่ร่างเพรียวบางฟัง…



เพราะในคฤหาสน์แห่งนี้ไม่มีใครกล้าและขัดขืนคำสั่งของเขาได้นอกจากเจ้าหลานชายตัวแสบที่ชอบวุ่นวายไปเสียทุกเรื่องอย่าง ‘คาร์เร่ ฟีเลทัส’ อีกแล้ว ยังดีที่หลานคนนี้เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของ ‘เดลล่า ฟีเลทัส’ ผู้เป็นพี่สาวของเขา ถ้ามันไม่เป็นเช่นนั้นป่านนี้ไอ้หลานชายตัวแสบของเขาคงได้นอนลงโลงไปนานแล้ว เนื่องจากการทำเกินหน้าที่และมาวุ่นวายเกี่ยวกับตัวเขารวมไปถึง ‘ของ ๆ เขา’ มากเกินไป ร่างสูงนั้นเร่งก้าวเดินออกจากห้องพร้อมกับมุ่งตรงไปยังคฤหาสน์ฝั่งตะวันตก



ความจริงแล้วเฮลาสนั้นรู้มาตลอดว่าหลานชายของตนนั้นมักจะชอบยื่นมือเข้ามาป่วนในที่ไม่สมควรเสมอ แต่เขาก็ละเลยและไม่สนใจ หากแต่คราวนี้นั้นสิ่งที่คาร์เร่ทำมันมากเกินกว่าที่เฮลาสจะละเลย ไม่ว่าจะเป็นการบอกรายละเอียดเกี่ยวกับคฤหาสน์หรือจะเป็นเรื่องที่ช่วยสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของเขาให้หนีจากเขาไป ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้หลายชายคนนี้ทำอะไรตามใจตัวเองได้อีก



โดยการเดินจากคฤหาสน์ฝั่งตกวันออกไปยังฝั่งตะวันตกนั้นเวลาเพียงไม่นานในที่สุดร่างสูงสง่าของชายร่างสูงผู้มีเรือนผมสีเปลวเพลิงก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องของผู้เป็นหลายชายและเขาก็ไม่รอให้คนที่อยู่ในห้องออกมาต้อนรับมือกร้านจับลูกบิดพร้อมกับกระชากให้บานประตูเปิดกว้างออก ซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าผู้เป็นเจ้าของห้องจะอยู่ภายในห้อง



ร่างสูงของเด็กหนุ่มนั้นกำลังนั่งอย่างสบายอารมณ์ที่โซฟา มือทั้งสองข้างนั้นเปิดหนังสือเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจอ่านตามรสนิยมความชอบของคน


v
v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0

“สวัสดีครับน้าชาย เฮลาส” เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มเอ่ยทักทาย เนตรคมสองสีที่ประดับอยู่บนใบหน้ากร้านคมหากแต่ยังคงเยาว์วัยเหลือบมองร่างสูงของคนที่วิสาสะเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยไม่ได้รับคำอนุญาต ซึ่งตัวคาร์เร่ก็รู้อยู่หรอกว่าที่อีกฝ่ายมานั้นมาเพื่อพูดเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เขาบอกรายละเอียดของคฤหาสน์ทั้งหมดก็คงเป็นเรื่องของเวรยามที่ตรวจตราโดยรอบคฤหาสน์



เพียงแต่คาร์เร่นั้นคิดผิดเพราะสิ่งแรกที่น้าชายของตนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากคือเรื่องของสัตว์เลียงตัวใหม่ที่เขาโปรดปราน



“คาร์เร่...ฉันไม่เคยห้ามนายไม่ว่านายจะเล่นซนยังไง แต่ครั้งนี้รู้สึกว่านายยังยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของฉันมากเกินไปหน่อยหละมั้งเจ้าหลานชาย…โดยเฉพาะเรื่องที่นายเข้ามายุ่งกับสัตว์เลี้ยงของฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต” สิ้นถ้อยคำเหล่านี้ทำให้คาร์เร่ถึงกับปิดหนังสือที่ตนอ่านอยู่เต็มแรงด้วยอารมณ์ของคนตกใจ เพราะตั้งแต่เขาจำความได้น้าชายคนนี้ของเขาไม่เคยสนใจใครนอกจากตัวเองไม่สนแม้กระทั้งพี่สาวร่วมสายเลือดอย่างแม่ของเขาเลยสักนิด แต่นี่เขากับสนใจคนอื่นและที่สำคัญคน ๆ นั้นไม่ใช่คนในครอบครัว ‘ฟีเลทัส’ แถมยังเป็นคนที่น้าชายของเขาเจอหน้ากันได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนดีด้วยซ้ำ สายตาของเด็กหนุ่มที่มองเฮลาสนั้นเริ่มเปลี่ยนไป



ถึงแม้คาร์เร่จะไม่มั่นใจสักเท่าไหร่นัก…แต่เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าของเขานั้นไม่ได้คิดว่าร่างโปร่งบางผู้เป็นเขาของเรือนผมสีนำเงินเข้มแปลกตานั้นแค่สัตว์เลี้ยงธรรมดาแน่นอน และสิ่งที่ยืนยันความคิดพวกนั้นของเด็กหนุ่มก็คือ…การกระทำ แววตา และท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกมาให้เห็นอยู่ในตอนนี้



ไม่คิดว่าจะมีคนที่ทำให้คนเย็นชาและแข็งกระด้างที่สุดในโลกกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนและทำอะไรโดยที่ไม่คิดแบบนี้ได้ แม้ตัวของคาร์เร่เองจะดีใจก็เถอะที่เห็นอารมณ์ที่หลากหลายมากขึ้นของน้าชาย…แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องดีเลยเพราะทุกอย่างที่คนตรงหน้าแสดงออกมานั้นมันจะทำให้ความเยือกเย็นหายไป ซึ่งนั่นก็จะกลายมาเป็นจุดอ่อนและย้อนกลับมาทำร้ายเขาโดยเฉพาะคนในโลกด้านมืดอย่างเฮลาส



หากมีใครรูว่าคนตรงหน้าตนนั้นมีคนสำคัญ…แล้วมีหรือเหล่าศัตรูหรือคนอื่น ๆ ที่หมายหัวน้าชายของเขาจะไม่เปลี่ยนไปหมายหัวคนสำคัญของเขาแทน ซึ่งคำตอบนั้นก็เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ‘เปลี่ยน’ ลองคิดดูสิว่าคนที่ขาดความเยือกเย็นและสติไปแล้ว…จะใช้อะไรตัดสินใจแทนถ้าไม่ใช่อารมณ์และการใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินใจนั้นมันก็นำมาซึ่งความผิดพลาด ตัวของคาร์เร่เองก็ไม่ได้รักและเคารพน้าชายคนนี้อะไรมากเท่าไหร่นักหรอก แต่ถ้าฝั่งใดฝั่งหนึ่งของตระกูลฟีเลทัสล้มลง…มีหรือที่อีกฝั่งมันจะไม่ล้มตาม



ดังนั้นสิ่งที่ตัวของเขาต้องทำในตอนนี้ก็คือกำจัดเนื้อร้ายชิ้นนั้นออกไป ก่อนที่มันจะแพร่ทำลายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย



“ผมไม่คิดว่าการที่เขามาขอคำปรึกษาและผมก็ให้ไปนั้นมันจะเป็นการยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับชีวิตของคุณนะครับ มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับสัตว์เลี้ยงตัวนั้น และถึงแม้ว่าคุณจะเป็นเจ้าของมันแต่กระนั้นคุณไม่เกี่ยวอยู่ดี” เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับวางหนังสือในมือไว้บนโต๊ะก่อนเขาจะลุกขึ้นและไปยืนประจันหน้ากับอีกฝ่าย ร่างสูงของคนทั้งสองคนยืนจองมองกันแม้เด็กหนุ่มจะสูงถึง 185 เซนติเมตรแล้วก็ตาม แต่กระนั้นผู้เป็นน้าชายของยังคงสูงว่าตัวเขาเกือบ 10 เซนติเมตร เพราะรูปร่างที่สูงสง่าแบบนี้กระมังที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนเกรงกลัว หากในตอนนี้ความน่าเกรงขามนี้กำลังจะหายไป…เพราะใครบางคนกำลังจะทำให้ผู้ที่ยืนอยู่บทจุดสูงสุดของวงการมาเฟียเสียความเยือกเย็นไป



“มันต้องเกี่ยวในเมื่อฉันเก็บหมอนั่นมา...แล้วทำไมฉันถึงจะไม่เกี่ยว ของๆฉัน ไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวกับมันฉันต้องรู้ทุกเรื่อง!” เสียงทุ้มตวาดกร้าว ความเยือกเย็นของเฮลาสนั้นหายไปอีกหนึ่งส่วน เด็กหนุ่มได้แต่ส่ายหัวไปมาเบา ๆ แต่เขายังก็ยังไม่ยอมแพ้ริมฝีปากหนานั้นยังกล่าวถ้อยคำเถียงผู้เป็นน้าของตนอย่างไม่ลดละ



“งั้นเหรอครับ…คุณเก็บเขามาแล้วคุณถามหรือยังว่าเขาอยากให้คุณเก็บ หรืออยากให้คุณเป็น ‘เจ้าของ’ เขาหรือเปล่า” ประโยคนี้ทำให้เฮลาสถึงกับปิดปากเงียบและด้วยท่าทางแบบนั้นคาร์เร่ก็ตัดสินใจที่จะเอ่ยพูดออกไปต่อ เพื่อสั่นคลอนจิตใจของคนตรงหน้า



ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำลายจุดอ่อนให้ได้ถึงแม้ว่าจะต้องใช้มาตรการขัดเด็ดขาดอย่างมอบความตายให้ก็ตาม



“…คุณรู้ไหมครับตอนเข้าคุยกับผมเขากระตือรือร้นมากขนาดไหนที่จะได้เป็นอิสระจากคุณ…สัตว์เลี้ยงตัวนี้ของคุณผมขอบอกว่าไม่มีทางเลี้ยงให้เชื่องได้หรอกครับ ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางเชื่องและบางทีสักวันอาจจะแว้งกัดคุณได้ถ้าหากคุณยังเอาเขาไว้ใกล้ตัวแบบนี้” เพราะอีกฝ่ายเป็นคนในครอบครัวเขาเลยตัดสินใจที่จะใช้ถ้อยคำที่รุนแรงพูดออกไป “อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะครับว่าตอนนี้คุณสับสน...ผมอ่านจากแววตาของคุณผมก็รู้แล้วครับว่าคุณคิดอะไรก่อนหน้านี้ผมไม่เคยอ่านความคิดคุณได้แต่ตอนนี้ทั้งการกระทำ ทั้งสีหน้าและแววตาของคุณมันชัดเจนมากครับ ว่าตอนนี้คุณกำลังสูญเสียความเยือกเย็นที่เคยมี” สิ้นประโยคความเดือดดาดในตัวของเฮลาสก็เริ่มลดลง แม้ตัวของชายร่างสูงเองไม่อยากจะยอมรับว่าตนเป็นเช่นนั้นจริงแต่…มันก็คือความจริง



ซึ่งตัวเขาก็รู้ดีว่าตนนั้นเปลี่ยนไปมากแค่ไหนเมื่อเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินนั้นเข้ามาในชีวิต ทว่าเขายังคงหลอกตัวเองว่าตนนั้นไม่ได้เปลี่ยนไป หากแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขารู้ว่าร่างโปร่งบางนั้นหายไป สติและความเยือกเย็นที่อยู่ในตัวมันก็ถูกแทนที่ด้วยโทสะ…แต่อารมณ์ทั้งหมดมันก็หายไปแทบจะทันทีเมื่อเจอร่างโปร่งบางนั่น



บางทีตัวของเฮลาสนั้นอาจจะเจอจุดอ่อนของตัวเองแล้วก็เป็นได้ จุดอ่อนที่ทำให้มนุษย์นั้นอ่อนแอลง…



“ผมแนะนำนะครับ…ฆ่าทิ้งซะดีกว่าเพื่อประโยชน์ของคุณเองตอนแรกผมก็อยากแนะนำให้ปล่อยเขาไปนั่นหละครับแต่…ทุกคนในคลับนั้นคงเห็นความสัมพันธ์ของคุณกับเขาแล้ว การปล่อยตัวไปอาจจะเป็นการฆ่าเขาทางอ้อมก็ได้เพราะตอนนี้หลาย ๆ คนคงรู้แล้วว่าเขาเป็นคนพิเศษสำหรับคุณ…คงไม่มีใครปล่อยให้เขารอดหรอกครับและหากคุณคิดจะเก็บเขาไว้กับตัวผมก็บอกไปแล้วว่าเขาไม่มีทางเชื่องกับคุณหรอกครับ” คาร์เร่พูดในสิ่งที่ถูกต้องออกมาทั้งหมด ซึ่งในจุดนี้ตัวของเฮลาสเองก็ยอมรับว่าความคิดของหลานชายเขานั้นถูกต้องทั้งหมด



แต่หากจะให้คน ๆ นั้นตายไป…ไม่ว่าจะด้วยน้ำมือเขาเองหรือคนอื่นเขาก็ไม่อาจทนได้เช่นกัน ริมฝีปากหนาเม้มเข้าหากันนิ้วแกร่งถูกยกขึ้นมายันไว้ที่ปลายคาง



ครั้งนี้จะให้พูดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตของเฮลาสก็เป็นได้ เพราะไม่เคยมีใครไหนที่เขาจะต้องคิดอะไรมากมายถึงขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่หลานชายเสนอแต่ตามที่ได้บอกไปแล้ว เขาไม่อาจทำใจที่จะเห็นคน ๆ นั้นตายได้



นั่นก็เป็นเพราะตัวของเขานั้นถูกใจในนิสัยที่ไม่ยอมคนและแววตาสีไพลินที่แข็งกร้าวคู่นั้น…ก็แค่นั้นเอง...



นัยน์เนตรสีเข้มหลับตาลงเพียงชั่วครู่ สักพักดวงเนตรสีแดงดังเปลวเพลิงก็ลืมตื่นใบหน้ากร้านคมนั้นกลับมาเรียบนิ่งและเยือกเย็นอีกครั้งและเมื่อเด็กหนุ่มได้จ้องมองเข้าไปในเนตรคู่นั้นเขากรับรู้แล้วว่าน้าชายของเขานั้นได้ตัดสินใจที่จำทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวนี้เรียบร้อยแล้ว



แต่คาร์เร่ก็หวังไว้ว่าความคิดที่อยู่ในสมองของน้าชายตนนั้นคงจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง และมันก็คงไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตระกูลฟีเลทัสเหมือนทุกครั้งที่เคยผ่านมา



คาร์เร่ไม่คิดว่าชายตรงหน้านั้นจะทำอะไรแปลก ๆ หรอก เพราะว่าการแก้ไขปัญหานี้มีอยู่เพียงทางเดียวนั่นก็คือฆ่าร่างโปร่งบางผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินคนนั่นซะ แต่ในการแก้ไขปัญหานั่นก็แอบมีตัวเลือกอยู่ในตัวของมันเองอยู่นิดหน่อยซึ่งทางเลือกที่หนึ่งก็คือน้าชายของเขาผู้นำในโลกด้านมืดของตระกูลฟีเลทัสจะลงมือจัดการกับคน ๆ นั้นด้วยมือของตัวเอง หรือทางเลือกที่สองคือการให้คนอื่นจัดการคน ๆ นั้นให้ ซึ่งเด็กหนุ่มก็คาดเดาไว้แล้วว่าน้าชายของตนคงเลือกข้อแรกคือการฆ่าอีกฝ่ายด้วยน้ำมือของตัวเอง นั่นก็เป็นเพราะไม่มีใครอยากเห็นคนที่ตัวเอง ‘รัก’ ถูกฆ่าด้วยน้ำมือของคนอื่นได้หรอก ถึงแม้ว่าการที่จะฆ่าคนที่ตัวเอง ‘รัก’ มันจะเจ็บปวดไม่แพ้กันก็ตาม



แล้วทำไมตัวของคาร์เร่ถึงเอ่ยว่าชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเปลวเพลิงนี้ ‘รัก’ คน ๆ นั้นกัน นั่นก็เพราะดูจากการกระทำ สีหน้ารวมไปถึงแววตาที่เฮลาสพูดถึงคน ๆ นั้น…มันดูอ่อนโยนลงช่วงขณะหนึ่งมันเป็นแววตาของคนที่กำลังมีความรัก ยิ่งไปกว่านั้นในวงการมาเฟียไม่มีใครปล่อยให้เชลยที่หนีไปได้มีชีวิตอยู่และต่อให้มีชีวิตสภาพร่างกายก็คงไม่ครบ 32 แน่นอน…ไม่นิ้วหรือหูคงหายไปสักข้างแต่นี่ไม่มีอะไรหายไปเลยซ้ำตอนกลับเข้ามาถูกอุ้มอย่างทนุถนอมในอ้อมแขนดอนของแก็งค์เสียอีกแบบนี้ไม่เรียกว่า ‘รัก’ แล้วจะให้เรียกว่าอะไร แต่ต่อให้คาร์เร่เค้นคอให้ตายยังไงน้าชายของเขาก็ไม่มีทางพูดคำว่า ‘รัก’ ออกมาหรอก ซึ่งตอนนี้เขายังสงสัยอยู่เลยว่าชายร่างสูงผู้นี้เขาใจหรือรู้จักคำว่า ‘รัก’ บ้างแล้วหรือยัง



และเมื่อน้าชายของเขาตัดสินใจได้การเกลี้ยกล่อมนั้นก็คงไม่จำเป็น เด็กหนุ่มหันหลังพร้อมกับเดินกลับไปนั่งที่โซฟาตัวเดิม มือแกร่งเอือมมือไปหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านหากแต่คำสั่งของน้าชายนั้นทำให้มือข้างนั้นต้องชะงักและหยุดลง



“เรียกช่างทำอาวุธมาให้ฉันที เอาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และที่สำคัญฉันไม่ชอบการรอคอย” เสียงทุ่มเอ่ยดัง น้ำเสียงนั้นมันเต็มไปด้วยอำนาจ ซึ่งมันบ่งบอกว่าหากใครไม่ทำตามคำสั่งคน ๆ นั้นอาจจะไม่มีชีวิตรอดแม้จะเป็นคนในตระกูลเดียวกันก็ตาม เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นพร้อมกับเดินตรงไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ของตน มือกร้านเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ของคนที่ชายร่างสูงอยากจะพบและกดโทรออกทันที



มนุษย์เราน่ะไม่ว่าใครก็ตามเมื่อเจอคนที่มีอำนาจมากกว่าตนก็มักจะเกรงกลัว ซึ่งไม่เว้นแม้แต่คนที่หยิ่งทระนงและมั่นใจในตัวเองแบบคาร์เร่ก็ตามและเมื่อเด็กหนุ่มคุยรายละเอียดเสร็จหมดทุกอย่างเนื้อความทั้งหมดก็ถูกเรียบเรียงให้ผู้เป็นน้าชายของตนฟัง



“เวลาว่างที่เร็วที่สุดของคุณคือวันศุกร์นี้เวลาบ่ายสองโมง ผมนัดให้เขามาล่วงหน้าสิบหน้านาทีเพราะคาดว่าธุระก่อนหน้านี้น่าจะใช้เวลาเคลียร์ไม่นานและคงเสร็จเวลาก่อนระยะเวลาที่กำหนด ส่วนนัดถัดไปนี่ระยะเวลาการสนทนาคือเวลาบ่ายสองโมงจนถึงบ่ายสามโมงสิบห้า มีเวลาคุยราว ๆ หนึ่งชั่วโมงสิบห้านาที ผมขอแนะนำให้คุณเตรียมแบบอาวุธหรือตัวอาวุธที่คุณต้องการปรับแก้ให้เรียบร้อยตั้งแต่วันพฤหัสเพื่อการคุยที่รวดเร็วยิ่งขึ้น” เมื่อพูดจนจบเด็กหนุ่มก็ปิดสมุดที่ใช้บันทึกนัดและภารกิจต่าง ๆ ของชายร่างสูง



ซึ่งความจริงแล้วหน้าที่จดบันทึกและจัดคิวนัดพวกนี้มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาเลยสักนิดเพราะงานทั้งหมดนี่สมควรจะเป็นของผู้ติดตามส่วนของเฮลาส…ถ้าไม่ติดว่าผู้ติดตามส่วนตัวของชายร่างสูงคนนี้โดนเปลี่ยนไปหลายคนและรวมไปถึงหายการสาบสูญแล้วหละก็เขาคงไม่ยอมมานั่งทำงานพวกนี้ให้ผู้เป็นน้าของเขาหรอกเพราะ ‘มันเสียเวลา’



และเมื่อภารกิจทังหมดเสร็จสิ้นคราวนี้คาร์เร่ก็ได้กลับไปนั่งอ่านหนังสือสมใจอยากสักที เด็กหนุ่มทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวเดิมและเปิดหนังสือที่ตัวเองได้อ่านค้างไว้ขึ้นมา



หากแต่มันมีบางสิ่งบางอย่างที่รบกวนจิตใจของเขาอยู่ซึ่งจะเรียกว่ามันรบกวนก็ไม่เชิงนักหรอกใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัยเงยหน้าขึ้นก่อนจะเปิดปากเอ่ยถามผู้เป็นน้าชายของตน “คุณคิดวิธีฆ่าสัตว์เลี้ยงของคุณหรือยัง” ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ ถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนาและในเวลาเดียวกันกับที่เด็กหนุ่มเอ่ยจบประโยคปืนคู่ใจของชายหนุ่มก็ถูกชักออกมาและจ่อเล็งมาที่หัวของเขา



“ฉันไม่เคยบอกว่าจะฆ่าและฉันก็ไม่อนุญาตให้ใครคิดที่จะฆ่าของ ๆ ฉันด้วย” เสียงทุ้มตวาดกร้าว หากแต่เด็กหนุ่มนั้นก็ไม่คิดที่จะเงียบเสียงของตนลงดวงเนตรสองสีนั้นจ้องมองไปที่ชายร่างสูงพร้อมกับเอ่ยถามคำถามถัดไป



“ถ้าไม่ฆ่าทิ้งแล้วมันมีวิธีอื่นที่จะแก้ไขเรื่อง ๆ นี้ได้หรือยังไงครับ คุณก็รู้ว่าการมีตัวตนต่อไปของเขามันทำให้เราเกิดปัญหา ดังนั้นทางเดียวที่จะกำจัดปัญหานี้ได้คือการฆ่าเขาทิ้งซะ…โดยคุณมีทางเลือกอยู่สองทางคือหนึ่งคุณฆ่าเขาด้วยมือของคุณเอง สองคือให้คนอื่นฆ่าซะ!” เสียงทุ้มที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มดีตะคอกกลับ นัยน์เนตรสองสีที่แตกต่างกันยังคงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาก้าวร้าว แม้เขาจะเกรงกลัวผู้เป็นน้าชายอยู่บ้างแต่อะไรที่มันจะทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาแล้วหละก็เขาก็ไม่ยอมปล่อยมันไว้หรอก ‘โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการมีตัวตนของ ครีแวน เดอ เมอร์เรส’



“ฉันจะไม่ฆ่าเขาและก็จะไม่มีใครฆ่าเขาด้วย” เสียงทุ้มเข้มตอบกลับนัยน์เนตรสีแดงนั้นวาวโรจน์ไปด้วยความโกรธ “และที่สำคัญฉันจะไม่ขังเขาไว้ที่นี่อีกแล้ว…นี่คือการตัดสินใจของฉัน” คำตอบของร่างสูงนั้นทำให้เด็กหนุ่มถึงกับเอ่ยออกไปต่อไม่ถูก เขาไม่เคยคิดว่าจะมีใครทำให้หน้าชายของเขาเป็นถึงขนาดนี้ไม่กักขัง ไม่คิดที่จะฆ่าและเลือกที่จะปล่อยสัตว์ร้ายนี้คืนสู่ที่ของมัน



“…ผิดคิดว่าสมองของคุณคงมีปัญหาแน่ ๆ คน ๆ นั้นรู้แทบจะทุกเรื่องในคฤหาสน์ไม่ว่าจะเป็นเวรยามหรือห้องส่วนตัวของคุณ” เด็กหนุ่มเอ่ยเถียงหากแต่ชายหนุ่มนั้นเอ่ยตอกกลับไปจนทำให้ตัวของคาร์เร่ถึงกับสะอึก



“ที่เขารู้ทั้งหมดไม่ใช่เพราะนายหรือยังไง ฉันคิดว่าคนที่อันตรายที่สุดน่าจะเป็นนายมากกว่านะ…คาร์เร่ ฟีเลทัส” เสียงเรียบนิ่งเอ่ยดัง พร้อมกับ ๆ นิ้วโป้งที่เคลื่อนไปปลดเซฟตี้ปืนคู่ใจ เนตรคมสีแดงก่ำนั้นมองร่างสูงตรงหน้าอย่างพิจารณา หากว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นมีท่าทีผิดปกติอะไรสักนิดเขาก็พร้อมที่จะเหนี่ยวไกปลิดชีวิตหลานชายคนนี้ทิ้งซะ



“อันนี้ผมไม่ปฏิเสธว่าผมผิด ผมเล่นสนุกกับชีวิตของคนเหมือนกับคุณ…แต่คุณก็รู้นี่ว่าถ้าผมทรยศคุณป่านนี้คุณไม่มีทางได้ถือปืนจ่อหัวผมแบบนี้หรอก และที่ผมแนะนำและคอยเตือนคุณมันก็คือความเป็นห่วงในฐานะคนในครอบครัว ถ้าคุณจะตีเจตนาของผมผิดมันก็เรื่องของคุณ” เด็กหนุ่มยอมรับในความผิดของตนหากแต่ประโยคพวกนั้นถูกกล่าวออกมาจากใจจริง แม้เขาจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าน้าชายคนนี้สักเท่าไหร่ แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นคนในครอบครัวและที่สำคัญถ้าหากขาดเขาตระกูลฟีเลทัสก็คงไม่อาจยืนหยัดอย่างมั่นคงเช่นนี้ได้



“อย่างงั้นหรอกเหรอ…คาร์เร่ แบบนี้ฉันควรดีใจสินะที่มีหลานชายคอยห่วง” นิ้วโป้งปล่อยออกจากเซฟตี้ของปืนหากแต่ปลายปืนมันยังคงจ่อเล็งไปที่ศีรษะของเด็กหนุ่ม “ตรงจุด ๆ นั้นฉันขอบใจนายก็แล้วกัน แต่การตัดสินใจของฉันถือเป็นที่สุด และถ้านายอยากจะเอ่ยท้วงอะไรฉันคงตอบนายกลับไปด้วยลูกปืนที่ฝังลงไปในหัวของนายสักนัดหรือสองนัด” เสียงทุมเอ่ยเหี้ยมเกรียม โดยเฉพาะถ้อยคำพวกนั้นทำให้คาร์เร่ถึงกับต้องปิดปากของตนให้เงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้



ตั้งแต่จำความได้เขาไม่เคยเห็นน้าชายคนนี้ของเขาโกรธถึงขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรพลาดหรือทำอะไรเสีย หากแต่นี่แค่เรื่องของคนนอกกลับทำให้ชายหนุ่มคนนี้เป็นถึงขนาดนี้...ถ้าหากใครไปเผลอแตะคน ๆ นั้นของเขาเล่าชายคนนี้จะเป็นถึงขนาดไหน เดกหนุ่มได้แต่จมลงสู่ห้วงแห่งความคิดใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นนิ่งสนิทและไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาและเมื่อเฮลาสเห็นหลานชายของตนเงียบเสียงลง ปืนที่จ่อเล็งอยู่ก็ถูกลดลงด้วยเช่นกัน



“ฉันจะปล่อยให้เขาเป็นอิสระพรุ่งนี้...และแน่นอนว่าทุกคนบนโลกใบนี้นอกจากฉันไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิแตะต้องของ ๆ ฉัน” ร่างสูงเอ่ยออกมาอีกครั้งหากแต่ตอนนี้โทสะที่ครอบงำสติอยู่เริ่มเบาบางลงไปบ้างแล้ว จึงทำให้บรรยากาศอันตรายที่วนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวของชายหนุ่มร่างสูงนั้นก็เริ่มจางหายไป แต่ทว่าถ้าใครที่รู้จักชายคนนี้เป็นอย่างดีแล้วประโยคนี้มันเป็นถ้อยคำพูดที่น่ากลัวกว่าประโยคก่อน ๆ ที่เขาเอ่ยออกมา



เพราะถ้อยคำนี้คือคำบัญชาและถ้าหากใครฝ่าฝืนคำพูดของเขา…ไม่ใช่แค่คน ๆ นั้นจะหายสาบสูญไปแค่คน ๆ เดียว ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ คน ๆ นั้นก็จะหายสาบสูญด้วยไปเช่นกัน



นั่นคือคำประกาศิตของชายหนุ่มผู้มีนามว่า ‘เฮลาส ฟีเลทัส’…ชายผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวงการมาเฟีย






___________________


หายหัวไปนาน......โผล่มาอย่างหื่น ๆ แลวจากไป หายหัวไปนานเพราะติดภารกิจด้านการเรียนและชอปปิ้ง

 

meili run

  • บุคคลทั่วไป
ติดตามค่ะ

 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ nnutchachar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
สนุกมากค่ะแฮ่กกกก ติดงอมแงมเลยทีเดียว
ครีแวนจะทำไงต่อล่ะทีนี้ โดนขังถาวรแล้วอิอิ
 :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
สนุกจริงจังเลยเรื่องนี้ ติดจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ววว
ตอนต่อไปอยู่แห่งใดกัน *^*   
ปอลิง..ฉากนั้นทำเอาเลือดกระฉูดเป็นสายเลยยย ฟิน~
:m25:

ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เนื้อเรื่องเข้มข้น และเร้าร้อนมากกก  :jul1:

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
งื้อ มาอัพอีกไวไวนะ
ชอบมากเลยอ่ะ
ชอบที่นายเอกก็ให้ความร่วมมือเรื่องบนเตียง
อ่านแล้วไม่ทรมานจิตใจคนอ่านมาก
ทุกทีเจอแต่ข่มขืนตลอด จนพาลทำให้ไม่อยากอ่านเรื่องนั้นต่อ

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
แงงง ก่อนอื่นตองขอโทษดวยจริง ๆ นะคะ ที่หายหน้าไปนานนนนนมาก พอดีช่วยนันมรสุมชีวิตเข้าแทรก...ชะตาชีวิตมันปั่นป่วน เลยทำใหหายหยาไป....รวม 4 เดือนแต่ตอนนีเราจะมาอัพต่อแล้วค่ะ ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคะ พออัพไปสักพักพลอยจะมีเรื่องแจ้งต่อค่ะ ; w ; แต่ตอนนี้ ใหทุกคนอ่านจนหายคิดถึงกันก่อนแลวกันค่า เอาหลังคราวนี้พ่อครีแวนจะรับมือยังไงกับเฮลาสกันนะ

ปล. นิยายหลังจากตอนที่ 6 จะเป็นช่วงที่ยังไม่ไดแกคำผิดนะคะ จึงทำให้ 1ไม้โทหายบ้างเพราะไม้โทพลอยเสีย




Chapter 6





เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องราวนั้นยังคงไม่ได้สติ หากแต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมาบางสิ่งบางอย่างก็ทำให้ไพลินน้ำงามที่กระดับอยู่บนดวงหน้าสวยนั้นลืมตื่น และคนที่ทำแบบนั้นก็เป็นใครไม่ได้เลยนอกจาก ‘เฮลาส ฟีเลทัส’ ดอนหนุ่มร่างสูงผู้ที่เป็นเจ้าชีวิตของเขาตอนนี้ มือกร้านนั้นลูบเส้นไหมสีน้ำเงินอย่างเบามือก่อนจะช้อนร่าง ๆ นี้ขึ้นมาและประทับริมฝีปากตนลงไปที่เปลือกตาทั้งสองข้าง สิ้นสุดการกระทำนั้นทำให้ครีแวนเบิกตาโพรงขึ้นมาและรีบดันร่างของอีกฝ่ายให้ออกห่างไปจากตน
อาการเช่นนี้ไม่ใช่เพราะครีแวนหวาดกลัวอะไรคนตรงหน้านี้หรอกแต่เรื่องที่เกินขึ้นเมื่อวาน ความผิดที่เขาหลบหนีออกไปจากคฤหาสน์นี้มันทำให้ร่างโปร่งบางรู้สึกหวั่นเกร่งว่าอีกฝ่ายนั้นจะโกรธจนฆ่าเขาทิ้งไหม แต่ดูจากท่าทางและการกระทำแล้วดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่ตัดสินใจฆ่าเขาแต่มันก็เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้นเพราะในคฤหาสน์แห่งนี้ไม่มีใครเดาใจชายคนนี้ได้เลยสักคน ครีแวนที่จมอยู่ในห้วงความคิดนิ่งเงียบไปหากแต่ไม่นานเสียงทุ้มก็เอ่ยดังและฉุดรั้งสติทั้งหมดของครีแวนให้คืนกลับมา


“แต่งตัวซะ...วันนี้นายมีอะไรต้องทำอีกมากมาย...ครีแวน” สิ้นประโยคร่างสูงสง่านั้นก็ลุกขึ้นจากเตยงขาแร่งทั้งสองข้างนั้นก้าวเดินและนำพาร่างสูงเดินออกไปจากห้องนอน ครีแวนได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างนั่นด้วยความสงสัย หากแต่ครีแวนเองก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะโต้เถียงหรือเกล่าปฏิเสธได้ มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาตบเบาข้างแก้มเพื่อให้ตัวเองสดชื่นก่อนขาทั้งสองข้างจะทำพาร่างโปร่งบางนี้ไปยังห้องอาบน้ำ



ซึ่งในเวลาปกติครีแวนจะใช้เวลาในการจัดการร่างกายตัวเองไม่ถึงสิบนาที เพียงแต่ตอนนี้รอยจูบที่แสนน่าอายนั้นถูกแต่งเดิมไปทั่วร่าง แค่จะให้ตัวเขานั้นมองสภาพร่างกายของตัวเองผ่านกระจกยังไม่กล้านับประสาอะไรกับการมองร่างกายของตัวเองโดยตรง ริมฝีปากบางเม้มแน่นและพยายามทำความสะอาดร่างกายตนให้รวดเร็วที่สุด และเมื่อทุกส่วนของร่างงกายถูกทำความสะอาด นี่ก็เหลือแต่เพียงด้านในร่างกายเท่านั้นที่ยังไม่ได้ถูกจัดการ มือเรียวอ้อมไปทางด้านหลังก่อนจะใช้นิ้วของตนแทรกเข้าไปเพื่อทำการปลดปล่อยสิ่งที่ค้างค้างอยู่ภายใน นิ้วเรียวพยายามกวาดไปรอบ ๆ หากแต่สิ่งที่ตนสัมผัสได้มีแต่ความเสียวซ่านเมื่อนิ้วตนไปถูกจุดกระสันของตนเอง มันช่างน่าเป็นเรื่องแปลกใจที่ภายในร่างกายของตนนั้นไม่มีน้ำรักอะไรหลงเหลืออยู่เลย



หรือว่าเมื่อคืน...เขากับคน ๆ นั้นจะใช้แค่มือกับปากปรนเปรอให้กันและกัน พอยิ่งนึกย้อนกลับไปว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้างความทรงจำทั้งหมดก็ย้อนกลับเข้ามาในสมอง เหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องเหมือนโดนกดรีเพลย์ให้เริ่มเล่นใหม่ทั้งหมด เมื่อคืนที่ผ่านมาเขาเป็นคนยั่วร่างสูงเองและทำอะไรต่อมิอะไรให้กับคน ๆ นั้น...ต่อหน้าคนมากมายไม่ว่าจะเป็นในคลับที่คน ๆ นั้นพาไปดื่ม ในรถที่กำลังขับเคลื่อนและบนทางเดินในคฤหาสน์แห่งนี้ เมื่อความทรงจำทั้งหมดกลับคืนมา คราวนี้เป็นตัวของครีแวนเองที่อยากจะถูกฆ่าทิ้งไปซะ



ตลอดการแต่งตัวครีแวนสถบกร่นด่าตัวเองไปตลอด มือบางหยิบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนขึ้นมาสวมอย่างเชื้อช้าและตามด้วยกางเกงสแลคสีเข้มที่เข้าชุดกัน ในตอนนี้ร่างโปร่งบางเตรียมพร้อมสำหรับการออกไปทำธุระที่ชายหนุ่มร่างสูงนั้นบอกเรียบร้อยแล้ว ขาเรียวยาวเดินไปที่ประตูพร้อกับเปิดลูกบิดประตูเพื่อออกไปพบกับอีกฝ่าย หากแต่ชายหนุ่มร่างสูงผู้นั้นกลับไม่อยู่ในห้องทำงาน นัยน์เนตรคู่งามกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องจนกระทั้งสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่บานประตูที่ถูกเปิดออกช้า ๆ คิ้วรัวงามขมวดเป็นปมแน่นเมื่อเห็นผู้ที่เดินเข้ามาไม่ใช่ชายหนุ่มร่างสูงที่ตนต้องการพบเขิน ใบหน้าสวยเชิดรั้นขึ้นริมฝีปากบางเปิดออกเพื่อเอ่ยถามถึงชายหนุ่มคนนั้น



“ดอนของพวกนายหายไปไหน” เสียวหวานกล่าวถามหากแต่พ่อบ้านผู้นั้นเลือกที่จะมอบความเงียบให้เป็นคำตอบ ทว่าตัวของครีแวนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องยืนรอคำตอบนาน เพราะเขายืนรออีกเพียงครู่เดียวร่างสูงนั้นก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับบางสิ่งบางที่อยู่ในมือ



“หายไปไหนมาหนะ”เสียงหวานเอ่ยถาม ท่อนเขียวเรียวบางทั้งสองข้างนั้นถูกนำไปยันไว้ที่โต๊ะ สภาพในตอนนี้ของครีแวนเหมือนจะนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานของเฮลาสก็ไม่เชิงและจะดูเหมือนยืนก็ไม่เชิง ใบหน้าสวยนั้นหรี่ตามองการกระทำของชายร่างสูงผู้นี้ด้วยความสงสัย ซึ่งครีแวนก็กรอคำตอบที่คลายความสงสัยของตนไม่นาน ร่างสูงค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับมือกร้านที่โอบเอวบางให้เข้ามาแนบชิดกับตน




“กัดปากตัวเองไว้ถ้ามันเจ็บ” และไม่ทันที่เฮลาสจะเอ่ยจบประโยคเสียงเครื่องเจาะหูก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับร่างโปร่งบางที่สะดุ้งเพราะความเจ็บปวด “มันยังไม่เสร็จอยู่นิ่ง ๆ ถ้าไม่อยากให้ฉันทำพลาด” เสียงทุ้มเอ่ยดังพร้อม ๆ กับเสียงของเครื่องเจาะหูที่ดังขึ้นอีกครั้ง และนี่ก็เป็นครั้งที่สองของวันที่ครีแวนสะดุ้งด้วยความตกใจ




ริมฝีปากบางพยายามกัดปากตัวเองเพื่อระงับความเจ็บปวดและเมื่อความเจ็บนั้นทุเลาลง ขั้นตอนหลังจากนี้ก็คือการ…กร่นด่าร่างสูงอย่างไม่คิดชีวิต “ทำบ้าอะไรของนาย ฉันรู้นะว่านายชอบทำอะไรตามใจตัวเองมาก ๆ แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องของนายนะเว้ย...ใครสั่งใครสอนให้เจาะหูคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตวะ…มันจะ...” เพียงแต่ถ้อยคำพวกนั้นไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาจนจบประโยคเพราะผู้เป็นเจ้าของคำสถบบทพวกนั้นกำลังถูกอีกฝ่ายกลืนกิน ริมฝีปากบางถูกช่วงชิงและเป็นอีกครั้งที่รสสัมผัสของจูบมันอ่อนนุ่มและหอมหวาน นัยน์เนตรสีไพลินปรือตาหลับลง ท่อนแขนบอบบางถูกตวัดยกขึ้นไปโอบรอบคออีกฝ่าย



ไม่มีแม้แต่การแทรกลิ้นเข้าไปโกยกอบรสชาติหอมหวาน ไม่มีการเล้าโลมให้เกินความต้องการ หากแต่มันเป็นแค่การแตะริมฝีปากธรรมดา ๆ แต่ทำไมมันกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นแฃะสบายใจ ทั้งสองคนยังคงแลกสัมผัสอ่อนนุ่มนี้ไปสักพักจนกระทั้งเสียงเปิดประตูห้องทำงานของชายหนุ่มร่างสูงก็ดังขึ้น ทั้งสองรีบผละออกจากกันทันทีใบหน้าสวยนั้นขึ้นสีแดงจัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งมันเป็นเช่นเดียวกันกับหัวใจที่ตอนนี้เต้นแรงจนครีแวนคิดว่ามันจะหลุดออกมาจากอก




ความรู้สึกพวกนี้คืออะไรกัน...หัวใจเต้นแรงและเขินอายในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเขามาก่อนใบหน้าสวยเลือกที่จะเบนหน้าหนีเพื่อไม่ให้ตนเปิดจับจ้องไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย และเช่นเดียวกันกับร่างสูงสง่าที่เลือกทำแบบนั้นแหมือนกัน




“ผมเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วครับ พวกคุณมีเวลาอีกสิบเอ็ดชั่วโมงสิบหน้านาทีก่อนรถจะออกเดินทาง และแน่นอนว่าเส้นทางที่จะเดินทางนั้นผมได้ส่งคนไปตรวจดูแล้วครับ ซึ่งไม่มีอะไรผิดปกติ...แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผิดปกติจะเป็นสภาพบรรยากาศในห้องนี้สินะครับ และพวกคุณกำลังคิดว่าผมไม่น่าเข้ามาในนี่เลยสินะ” เด็กหนุ่มเอ่ยอธิบายถึงบางสิ่งบางอย่างที่ครีแวนนนั้นไม่เข้าใจ หากแต่ในประโยคสุดท้ายที่เขาเอ่ยออกมานั้นมันเหมือนกับถ้อยคำหยอกล้อตัวของครีแวนและตัวของเฮลาส ใบหน้าขาวยิ่งขึ้นสีแดงก่ำริมฝีปากบางเผลอเม้มเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว



“ถ้าเป็นแบบนั้นต้องขออภัยด้วยครับเพราะพอดีผมไม่รู้เลยว่าพวกคุณทั้งสองคนกำลังทำอะไรอยู่ แต่คุณ...ต่างหูที่สวมสวยดีนะครับ มันดูเหมือนเป็นเครื่องประดับที่ใช้ประกาศความเป็นเจ้าของตัวของคุณเลย” ยิ่งคาร์เร่เห็นอาการเขินขายของร่างโปร่งบางเด็กหนุ่มก็ยิ่งเอ่ยหยอกล้อ ซึ่งมันก็สำเร็จชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินแปลกตายิ่งหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก มือบางนั้นขฃยกขึ้นไปจับที่ใบหูตนพร้อมกับไล่ลงมาสัมผัสสิ่งแปลกปลอมที่เพิ่งถูกอีกฝ่ายยัดเยียดมอบให้




“ผมมีเรื่องแจ้งแค่นี้หละครับและเมื่อใกล้เวลาผมจะมาอีกที” เด็กหนุ่มผู้มีเรือนผมสีเปลวเพลิงดังผู้เป็นน้าชายโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพก่อนจะเดินออกจากห้องไป



หลังจากเสียงบานประตูปิดลงความเงียบนั้นเริ่มเข้ามาครอบคลุมภายในห้องอีกครั้ง หากแต่ความเงียบนั้นไม่ได้มีบรรยากาศกดดันอีกแล้ว เพราะบรรยกาศภายในห้องนี้นั้นมีแต่ความอบอุ่นและอ่อนโยน ราวกับมีสาวลมพัดผ่านเรือนผมสีน้ำเงินถูกพัดปลิวเผลยให้เห็นต่างหูสีเปลวเพลิงที่ประดับอยู่ที่ใบหูทั้งสองข้าง ภาพที่สะท้อนร่างกายของตนในกระจกทำให้ครีแวนถึงกับอยากจะกลั้นใจตาย เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไร หากแต่มันทำให้ตัวเขามีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...มันเป็นความสุขที่ไม่เหมือนเหมือนตอนที่ครีแวนนั้นอยู่กับน้องสาวและไม่เหมือนความสุขเวลาตนได้รับการปรนเปรอ จากอีกฝ่าย หากแต่มันเป็นมันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้และเขาก็ไม่อาจจะเข้าใจมันได้เช่นกัน...



“เอ่อ…นี่นายกำลังคิดจะทำอะไรงั้นเหรอ” ครีแวนพยายามคุมเสียงของตนให้เป็นปกติที่สุด ซึ่งเขาก็สามารถทำมันได้เป็นอย่างดี ซึ่งแตกต่างจากใบหน้าเขาไม่สามารถปกปิดอาการเขินอายที่เกิดขึ้นได้เลย เมื่อเอ่ยจนจบประโยคใบหน้าสวยก็เลือกที่จะเบนหน้าหนีเพื่อหลบสายตาที่อีกฝ่ายนั้นจ้องมองมา



“คิดจะทำอะไร...อย่างั้นเหรอพอดีฉันไม่อยากเห็นสัตว์เฃี้ยงของฉันดูไม่มีชีวิตชีวา ก็เลยคิดว่าจะปล่อยมันกลับไปยังที่ของมันก็เท่านั้น หละไม่มีอะไรมาก” เฮลาสเอ่ยตอบใบหน้ากร้านคมยังคงควมคุมสีหน้าได้เป็นอย่างดีแต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่หันไปจองมองใบหน้าสวยนั่นเพราะถึงสีหน้าจะควบคุมได้แต่แววตานั้นมันคงไม่มีทางควบคุมได้แน่นอน



ซึ่งในช่วงแรกใบหน้าสวยนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยแต่เมื่อครีแวนยืนคิดไปอีกสักพักเขาก็รู้ถึงความหมายที่แฝงในประโยคนั่น ‘คน ๆ นี้จะปล่อยเขาไปจากที่นี่อย่างงั้นเหรอ’



“นาย…แน่ใจแล้วเหรอว่าจะทำแบบนั้น ไม่คิดว่าฉันจะเอาเรื่องในคฤหาสน์นี้ไปขายหรือยังไง” ครีแวนเอ่ยถาม ซึ่งเรื่องที่เขาพูดออกไปนั่นมันน่าจะเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายกลัวที่สุด เพราะถ้าหากเขาแพร่งพรายเรื่องระบบการรักษาความปลอดภัยแห่งนี้ออกไปมันไม่มีทางเยที่เหล่ามาเฟียแก็งค์อื่น ๆ จะไม่บุกเข้ามาโจมตีที่แห่งนี้



“นายไม่มีทางขายข่าวพวกนั้นหรอก...และต่อให้นายคิดขายข่าวพวกนี้ฉันก็คงคิดว่าไม่มีไอบ้าหน้าไหนเข้าใกล้นายหรอกนอกจากพวกที่ไม่กลัวตายหรืออยากตาย” เฮลาสเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ นิ้วกร้านนั้นถูกยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกแก้มอยู่ “ต่างหูคู่นี้มันเป็นการประกาศว่านายเป็นของของฉัน...ฉันไม่คิดว่าใครจะกล้ายุ่งกับของ ๆ ฉันหรอกนะ” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยพูดออกมาต่อ ถ้อยคำพวกนั้นทำให้ความเขินอายของครีแวนนั้นหายไปจนสิ้น มือข้างซ้ายถูกยกขึ้นและเสยไปที่ปลายคางก่อนที่มือขวาจะเหวี่ยงหมัดฮุคซ้ายตามไปทันที...ซึ่งทั้งสองหมัดมือกร้านนั้นยกมือกั้นได้ทั้งสองครั้ง ดูเหมือนว่าชายคนนี้ยังจะไม่เลิกคิดว่าตัวเขาเป็นสมบัติของตัวเองอีก ใบหน้าสวยบึ้งตึงริมฝีปากบางนั้นแยกเขี้ยวให้อีกฝ่าย



“ไอบ้าเอ้ย ฉันไม่ใช่ของ ๆ นายสักหน่อยคิดเอง เออเองตลอดวันหลังให้หลานชายพาไปเชคสมองบ้างนะจะได้รู้ว่ามีส่วนไหนของสมองผิดปกติบ้างหรือเปล่า” ครีแวนกร่นด่าอีกฝ่ายออกไปซึ่งชายหนุ่มที่ได้รับคำด่าพวกนั้นก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบา ๆ
“ถ้าฉันไปตรวจสมอง...นายคงต้องไปตรวจภายในด้วยหละมั้ง…ฉันคิดว่าคงบอบช้ำน่าดู” เสียงทุ้มเอ่ยถ้อยคำที่แฝงความนัย ทว่าผู้ที่ได้ยินถ้อยคำนั้นกลับเข้าใจความหมายของประโยคนั้นทันที เขาไม่จำเป็นที่จะต้องไปตรวจภายในสักหน่อยที่อีกฝ่ายพูดออกมานั้นคงจะหมายความว่าตัวเขาโดนอีกฝ่ายกระทำหนักมากจนช้ำในสินะไอคนโรคจิต!




 ใบหน้าขาวขึ้นสีมือทั้งสองข้างต่างเหวี่ยงหมัดตรงหมายจะให้มันโดนส่วนไหนสักส่วนของชายหนุ่มตรงหน้านี้สักที หากแต่มือบอบบางทั้งสองข้างนั้นก็ยังคงถูกอีกฝ่ายรับได้อยู่ดี คราวนี้ชายหนุ่มร่างสูงไม่ยอมปล่อยข้อมือบอบบางทั้งสองอีกแล้วเขาค่อย ๆ ก้าวเดินประชิดตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายจนในที่สุดร่างตรงหน้าเขาก็ชนกับขอบโต๊ะทำงาน ซึ่งเฮลาสก็ยังไม่คิดจะหยุดารกระทำของตนลงแค่นั้น ร่างสูงยังคนออกแรงดันอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ จนในตอนนี้ร่างสูงโปร่งของครีแวนถูกจับตรึงไว้บนโต๊ะโดยระหว่างเรียวขานั้นมีร่างสูงสง่าแทรกตัวอยู่




“คิดถึงบรรยากาศแบบนี้ไหมหละ” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อกับมือกร้ายข้างหนึ่งที่ละมาไล้แก้มขาวเนียนนั้นอย่างเบามือ “เราไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ด้วยกันนานแล้วนี่นะ...แต่เมื่อวานฉันขอไม่นับก็แล้วกันเพราะฉันไม่ได้รู้สึกสนุกไปกับนายสักเท่าไหร่นักแต่มันก็แก้เครียดได้ในระดับหนึ่งหละนะ” เฮลาสโน้มใบหน้าตนลงไปกระซิบข้างใบหูและเมื่อเขาพูดจบประโยคปลายจมูกโด่งนั่นก็ไล้ไปตามซอกคอขาวเพื่อสูบดมกลิ่นไอหอมหวานของร่าง ๆ นี้



“แล้วนายคิดว่าฉันสนุกหรือยังไงกับเรื่องเมื่อวานหละ” เสียงหวานเอ่ยเย้ายวนอีกฝ่าย มือข้างหนึ่งที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระไล้ไปตามโครงหน้าคมก่อนหยุดลงตรงรอยสักที่มีสีเช่นเดียวกับสีของหยาดโลหิต “ฉันไม่สนุกกับมันเลยสักนิดมันมีแต่เรื่องน่าอับอาย และที่สำคัญตอนนั้นฉันเมา” หากแต่ประโยคที่สองที่ถูกเอ่ยต่อออกมานั้นมันช่างผิดกับน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาในตอนแรก ซึ่งไอถ้อยคำและน้ำเสียงที่แสดงให้เห็นว่าจนนั้นหงุดหงิดแค่ไหนในเหตุการณ์เมื่อวานนี่ทำเอาตัวของเฮลาสนั้นถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมา ‘ท่าทางร่างโปร่งบางตรงหน้านี้คงจะจำเรื่องเมื่อวานได้จนวันตายเลยกระมั้ง’



_____________TBC Chapter 6 [2/2]_______________

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 ดีใจจริง

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0

ตอนต่อค่า.... (ช่วงนีอัพถี่ ๆ เลยค่ะพลอย)



ชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีเปลวเพลิงยังคงใช้นิ้วไล้แก้มนวลนั้นอย่างเบามือก่อนจะละขึ้นมามือจับข้อมือเรียวบางพร้อมกับประทับริมฝีปากของตนลงไป “แล้วอยากสร้างความทรงจำใหม่ไหมหละ เมื่อวานมันทำให้นายรู้สึกอับอายมากไม่ใช่เหรอไง...ถ้างั้น...” คำถาม ๆ นี้ชายหนุ่มร่างสูงไม่จำเป็นต้องพูดจนจบประโยคเพราะเพียงแต่เขาเอ่ยออกมาแต่คำ ๆ เดียว ร่างโปร่งบางที่นอนทอดกายอยู่ใต้ร่างของเขาก็ยันกายขึ้นเพื่อนไล่ประทับริมฝีปากตนไปทั่วใบหน้ากร้านคมและเน้นย้ำริมฝีปากตนลงไปที่รอยสักสีชาดที่อยู่ตรงบริเวณใต้ตาของชายร่างสูง







“ถ้าคำถามที่นายจะถามฉันมันตรงกับสิ่งที่ฉันคิด…ฉันคงต้องขอปฏิเสธ” เสียงนุ่มเอ่ยตัดความหวังมือบางที่ในตอนแรกรั้งบ่าอีกฝ่ายไว้ตอนนี้เปลี่ยนการดันให้อีกฝ่ายถอยห่างจากตนไป







การกระทำเช่นนี้ของครีแวนนั้นถือเป็นเรื่องปกติ หากแต่สิ่งที่ไม่ปกติกคือเฮลาสก็ยอมรับในการตัดสินใจแบบนันของครีแวน เขาละมือออกจากร่างบอบบางตรงหน้าพร้อมกับเดินถอยกลับไปนั่งที่โซฟา







“ถ้าแบบนั้นเราก็มีเวลาว่างอีกร่วมครึ่งวัน นายคิดว่าเราควรทำอะไรดีหละในเมื่อมันว่างจนน่าเบื่อขนาดนี้” เมื่อเฮลาสเอ่ยจนจบประโยคคิ้วเรียวยาวที่ประดับอยู่บนใบหน้ารูปไข่ก็เลิกขึ้นสูง สีหน้าที่ร่างโปร่งบางแสดงออกมานั้นเต็มไปด้วยความสงสัย







ความจริงแล้วถ้าคน ๆ นี้เป็นคนธรรมดาแล้วหละก็เขาก็ไม่คิดจะสนใจอะไรหรอกกับไอเรื่องว่างหรือไม่ว่าง หากแต่นี่เป็นถึงชายผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดในวงการมาเฟียรวมไปถึงเขาก็ยังมีหน้ามีตาในโลกอีกด้านหนึ่งด้วย ดังนั้นการที่คน ๆ นี้พูดว่าตัวเองว่างมาก ทั้ง ๆ ที่ข่าวลือมันจะบอกว่าเขาไม่มีเวลาว่างเลยสักวินาทีเดียวเนี่ยตัวของครีแวนไม่มีทางเชื่อแน่นอน...นอกจากคน ๆ นี้จะงี่เง่าจนไม่ยอมไปทำงาน







“…ว่างนักก็ทำงานจะได้ไม่เบื่อ” ริมฝีปากบางบ่นอีกราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเด็ก ๆ ซึ่งคำว่า ‘เด็ก’ ในความคิดของครีแวนนั้นไม่ใช่อายุร่างกายแต่มันเป็นอายุของ ‘สมอง’ มากกว่า เพราะถ้าจะให้พูดกันตามตรงชายคนนี้อายุมากกว่าเขาถึง 12 ปีแต่เรื่องความเอาแต่ใจนี่ตัวของครีแวนที่ว่าเอาแต่ใจแล้วยังแพ้อีกฝ่ายหลุดลุ่ย







“ไม่…ตารางงานวันนี้ฉันว่างทั้งวันเพราะธุระทั้งหมดจัดการเสร็จหมดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยตอบใบหน้าคมนั้นแหงนหน้าขึ้นเพื่อนมองย้อนกลับไปมองร่างผอมบางที่ตอนนี้ยังคงนั่งเท้าโต๊ะทำงานของตน “แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเร่งทำงานทำไมในเมื่อเวลาว่างทั้งหมดไม่เป็นไปตามแผน”







ครีแวนนั้นอยากจะ ประเคนหมัดลงไปที่ใบหน้าหล่อเหลานี่ซะเหลือเกิน โดยเฉพาะทันทีที่ตัวเองได้ยินประโยคหลังที่ถูกเอ่ยออกมาต่อ ที่ก่ะเคลียร์งานเพื่อมาสนุกกับตัวเขาเลยสินะ ร่างบางผุดลุกจากโต๊ะพร้อมกับเดินนวยนาดไปหาชายร่างสูง มือเรียวบางข้างหนึ่งค่อย ๆ ประคองใบหน้ากร้านคมก่อนที่จะใช้มืออีกข้างบีบจมูกของร่างสูงสง่านั้นเต็มแรง







มันต้องให้รู้ซะมั่งว่ากำลังพูดกับใคร เขาไม่ใช่ของเล่น หรือของ ๆ ใครเพราะครีแวน เดอ เมอร์เรส มีชีวิตเป็นของตัวเองและไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจจะเป็นเจ้าของชีวิของเขาได้ มือทั้งสองข้างละมือจากใบหน้า ขาเรียวยาวสาวเท้าเดินไปนั่งที่โซฟาอีกฝั่ง







“แล้วแบบนี้ตามแผนหรือยังหละ ‘ดอน’ ฟีเลทัส” มือบอบบางยกขึ้นมาไขว้กันไว้บริเวณแผ่นอกขาเรียวยาวนั้นก็ถูกตวัดขึ้นมาไขว้กันไว้เ และเมื่อเฮลาสเห็นการกระทำเช่นนั้นของครีแวนริมฝีปากหนานั้นก็เหยียดรอยยิ้มพร้อมกับปรับท่านั่งของตนเองเช่นเดียวกัน







“ก็ตามแผนนิดหน่อย และตอนนี้ฉันคิดว่ามีอะไรทำในเวลาว่างแล้วหละสนใจจะเล่น ‘เชส’ ไหมหละ” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยชวน มือกร้านเอื้อมไปคว้าชุดกระดานหมากรุกมาวางไว้หน้าตนและมีหรือผู้ที่ถูกท้าทายจะปฏิเสธเพราะถ้าเอ่ยปฏิเสธมันก็เสียศักดิ์ศรีแย่หนะสิ มือบางเอื้อมไปหยิบตัวหมากรุกขึ้นมาเรียงพร้อมกับเสนอบางสิ่งบางอย่างออกไป เพื่อให้เกมส์นี้สนุกขึ้น “แล้วเราจะทำยังไงกับผู้แพ้ในแต่ละตาดีหละ” นิ้วเรียวยาวถูกยกขึ้นมาเกลี่ยปลายผมของตนเล่น ใบหน้าสวยและดวงเนตรสีไพลินนั้นส่งจดหมายท้าทายออกไป







ซึ่งตัวของเฮลาสก็ได้แต่คลี่รอยยิ้มให้กว้างกว่าเก่าเป็นคำตอบมือกร้านนั้นบรรจงหยิบตัวมากรุกขึ้นมาเรียงบนกระดาน “เรื่องนั้นค่อยคิดดีกว่าไหมว่าคนแพ้จะทำอะไร แต่ฉันแนะนำให้นายเตรียมใจเอาไว้เลยแล้วกันว่าจะโดนบทลงโทษแบบไหน” เสียงทุ้มเอ่ยข่มขู่หากแต่ครีแวนก็ไมได้แตกต่างอะไรเลยเพราะเสียงหวานนั้นก็เอ่ยขู่อีกฝ่ายเช่นเดียวกัน “พูดอะไรผิดไปหรือเปล่าฉันคิดว่านายนั่นหละที่ต้องควรเตรียมใจว่าจะโดนลงโทษอะไร” เมื่อพูดจบริมฝีปากบางก็คลี่รอยยิ้มนิ้วมือเรียวหยิบตัวหมากให้เดินไปข้างหน้าเพื่อเป็นการเริ่มเกมส์







ระยะเวลาผ่านไปนับชั่วโมงจนในที่สุดผู้ชนะของเกมส์นี้ก็ปรากฏนิ้วกร้ากหยิบควีนสีดำไปวางไว้เบื้องหน้าควีนสีขาวก่อนจะประกาศเสียงดังเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนนั้นได้พ่ายแพ้หมดท่าเสียแล้ว “รุกฆาต รู้สึกว่าเกมส์นี้ฉันจะเป็นผู้ชนะนะครีแวน” เสียงทุ้มเอ่ยยียวน หากแต่ไม่ใช่แค่น้ำเสียงเท่านั้นที่กวนประสาทของตรีแวน แต่หากทั้งใบหน้า แวววตารวมไปถึงการกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันทำให้ครีแวนนั้นรู้สึกอยากที่จะลุกขึ้นไปต่อยหน้าผู้ชนะคนนี้เสียจริง







แต่ยังไงกฎก็ยังคงเป็นกฎแถมเขาเป็นคนเสนอให้มีบทลงโทษสำหรับผู้แพ้เองเสียด้วย แบบนี้ถ้าโวยวายออกไปคงไม่พ้นเสียหน้าแน่นอน ริมฝีปากบางเม้มแน่น ขาเรียวยาวทั้งสองข้างลุกขึ้นยืนพร้อมกับกออดอกมองไปยังร่างสูงของชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีแดงชาดที่เป็นผู้ชนะของเกมส์







ครีแวนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะแพ้ ‘เชส’ ให้กับคนอื่นเพราะตั้งแต่เกิดมาถ้าไม่นับผู้เป็นพ่อแล้ว ตัวของเขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้เกมส์ชนิดนี้ให้กับใครมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก...ที่เขาแพ้ แต่กระนั้นการแพ้ครั้งนี้ก็ถือว่าแพ้อย่างสมศักดิ์ศรีอย่างน้อยครีแวนก็ไม่โดนล้มกระดานในสิบนาทีแรก







ทำไมกันนะผู้ชายคนนี้ถึงได้น่าอิจฉามากมายขนาดนี้ ความสามารถของคน ๆ นี้นั้นมันช่างเพียบพร้อมในทุก ๆ ด้านเสียจริง ไม่ว่าจะเป็นสมองอันแสนชาญฉลาด สมรรถภาพร่างกายที่สมบูรณ์และรวมไปถึงรูปร่างหน้าตาและฐานะด้านครอบครัว ครีแวนไม่เคยคิดว่าในโลกใบนี้จะมีคนที่มีความสามารถที่ไร้ที่ติได้ถึงขนาดนี้ ยิ่งร่างโปร่งบางนี้คิดภายในจิตใจก็ยิ่งหงุดหงิด ใบหนาสวยเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายภายในใจก็กำลังพยายามทำใจยอมรับความพ่ายแพ้ของตน







“รีบ ๆ สั่งมาจะให้ฉันทำอะไร” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างขอไปทีมือบางถูกยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกแก้มตนให้ออกไปจากทัศนวิสัย ‘อย่างน้อยก็หวังว่าคำสั่งของคนตรงหน้านี้จะไม่พิสดารมากจนเขาทำไม่ได้หรอกนะ’







เมื่อชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงเข้มไดยินเช่นนั้นรอยยิ้มชั่วรายก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก ถึงแม้ชายคนนี้จะยังไม่ได้เอ่นพูดหรือทำอะไร แต่แค่รอยยิ้มนั่นก็ทำให้ครีแวนขนลุกเสียแล้ว มือกร้านยกมืออขึ้นและแสดงท่าทางเชื้อเชิญให้ร่างโปร่งบางไปนั่นอยู่ข้าง ๆ ตน ครีแวนยืนมองอยู๋ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะยอมเดินไปตามคำเชื้อเชิญ







“คำสั่งให้มานั่งข้าง ๆ หรือไง” เสียงหวานบ่นพึมพำ ซึ่งชายหนุ่มที่เอ่ยเชิญนั้นก็ไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกไปเขาเพียงแต่ยกมือของตนขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมสีน้ำเงินแปลกตาของอีกฝ่ายขึ้นทัดหู ก่อนเขาจะตัดสินใจกระทับริมฝีปากตนลงใบใบหูข้างนั้น การกระทำช่นนี้ทำให้ครีแวนเขินอายเป็นอย่างมาก ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงเรื่อยมือบางข้างหนึ่งพยายามยกขึ้นมาตวัดเพื่อตบใบหน้ากร้านคมของอีกฝ่าย แต่มีหรือชายหนุ่มที่มีนามว่าเฮลาสจะยอม เขาใช้มืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นรับฝ่ามือบอบบางนั่นและถือโอกาสรวบเอวร่างโปร่งบางนั้นให้เข้ามาแนบชิด







“คิดจะทำร้ายผู้ชนะหรือยังไงกัน” เสียงทุ้มเข้มกล่าว ใบหน้ากร้านคมยังคงมีรอยยิ้มชั่วร้ายประดับอยู่เช่นเดิม ครีแวนไม่รู้ว่าชายตรงหน้านี้กำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งตัวของร่างโปร่งบางนั้นก็แอบคิดไว้เล็กน้อยเพราะถ้าเกิดว่าอีกคนไม่สั่งว่าให้ตนทำอะไรก็ได้ให้อีกฝ่ายถูกใจบางทีก็อาจจะเป็นคำสั่งที่หนักหนาสาหัสเช่นสั่งให้เขาอยู่ในคฤหาสน์นี่ไปตลอดชีวิต ยิ่งคิดแบบนั้นริมฝีปากบางก็ยิ้มเม้มเข้าหาตน อีกฝ่ายบอกแล้วว่าจะมอบอิสรภาพให้เขาแต่ถ้าเกิดสั่งแบบนั้นคนที่ถือศักดิ์ศรีเช่นครีแวนก็คงต้องยอมทำ...







หากแต่ความคิดทั้งหมดของครีแวนนั้นผิดไปเสียหมดเพราะนอกจากชายร่างสูงผู้นี้จะไม่เอ่ยร้องขออะไรแล้วเขายังไม่คิดที่จะใช้โอกาสนั้นเหนี่ยวรั้งตัวของครีแวนไว้อีกด้วย







ใบหน้าคมโน้มลงไปข้ามใบหู ริมฝีปากหนานั้นเอื้อนเอ่ยถ้อยคำด้วยน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนออกมา ถ้อยคำที่เอ่ยดังเสียงทุ้มที่ล่องลอยเข้าใบหู ใบหน้าสวยพลันขึ้นสีอีกครั้งหาครั้งนี้ ชายหนุ่มร่างโปร่งบางเลือกที่จะนิ่งเงียบและไม่ใช้มือปัดป้องหรือดันร่างสูงสง่าของอีกฝ่ายออก







ทำไมถึงพูดแบบนั้นออกมากัน ร่างโปร่งบางกัดริมฝีปากตนแน่นใบหน้าสวยนั้นพยายามที่จะเบี่ยงหลนสายตาของอีกคน ทำไมถึงผูกมัดตัวเขาไว้ด้วยคำพูดเหล่านั้น...และที่สำคัญไปกว่าถ้อยคำนั่นคือความคิดของตัวเขาเองที่คิดจะทำตามคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยสั่ง







‘ฉันของให้นายตระหนักว่านายเป็นของ ๆ ฉันไม่ว่าจะเป็นดวงตา ใบหน้าร่างกายหรือแม้กระทั่งลมหายใจ’ ถ้อยคำพวกนี้หากถ้าฝังดูแล้วมันออกจะดูเผด็จการและเอาแต่ใจ หากแต่เมื่อคำพูดพวกนี้ถูกพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพวกนั้นแล้วมันจะกลายเป็นถ้อยคำหวานที่ทำให้หัวใจนั้นเต้นแรง







“แค่นี้หละคำสั่งของฉัน คนแพ้อย่างนายไม่มีสิทธิที่จะปฏิเสธหรอกนะ” ใบหน้ากร้าคมละออกและเคลื่อนที่ไปจ้องยังใบหน้าขาวอีกฝ่าย ริมฝีปากคนนั้นยังคงเหยียดยิ้มซึ่งรอยยิ้มนั้นมันไม่ใช่รอยยิ้มที่ชั่วร้ายเพียงอย่างเดียวแล้วเพราะมันเพิ่มความเหี้ยมเกรียมเข้ามาและมันคงจะดูอันตรายมากกว่านี้ถ้าเขาปฏิเสธคำสั่งนั่น







“ฉันไม่ผิดคำพูดหรอกน่าแพ้ก็คือแพ้ และนายก็รีบเอาหน้าออกไปห่าง ๆ เลยไป” มือบางยกขึ้นมากั้นระหว่างใบหน้าของเขากับอีกฝ่ายและออกมือดันออกไปเต็มแรง







ต่อให้ไอบานี่มีความคิดที่จะปล่อยตัวเขาไปแต่มันก็ยังไม่เลิกทำตัวเป็นเจ้าของตัวเขาสินะ ยิ่งคิดแล้วยิ่งหงุดหงิดส่วนไอความรู้สึกเขินอายทั้งหมดหายวับไปตังแต่ร่างสูงตรงหนาพูดประโยคถัดไปออกมาแล้ว ไอหมอนี่ไม่ว่าจะเวลาไหนมันก็น่าต่อยสักหมัดสองหมัดจริง ๆ







“ก็นะถึงนายจะรับปากแล้วแต่ฉันกลัวว่านายจะจำประโยคที่ฉันสั่งไม่ได้ไหนลองทวนคำพูดให้ฉันฟังหน่อยสิ…ครีแวน” นำเสียงยียวนถูกเอ่ยดังยิ่งไปกว่านั้นไอการลากเสียงเรียกชื่อองเขามันช่างกวนประสาท ซึ่งนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ครีแวนคิดอยากจะต่อยใบหน้ากร้านคมนั่น







“ขอตกลงคือสั่งได้อย่างหนึ่ง อันนี้เป็นคำสั่งที่สองฉันไม่คิดจะเสียเปรียบยอมทำคำสั่งสองข้อหรอกนะนายก็รูพวกนักขายข่าวไม่ยอมโดนเอาเปรียบง่าย ๆ หรอก โดยเฉพาะฉัน” ครีแวนเริ่มเล่นตุกติกแต่มันก็ไม่ใช่การเล่นโกงอะไรนักหรอกเพราะว่าเขาเสนอไปแค่ว่าให้อีกฝ่ายทำตามคำสั่งของคนชนะ ซึ่งต่อให้ไม่บอกว่ากี่คำสั่งแต่โดนส่วนใหญ่ หนึ่งเกมส์ก็หนึ่งคำสั่งทั้งนั้นหละ ริมฝีปากสีสดเหยียดรอยยิ้มหากแต่ชายหนุ่มร่างสูงนั้นก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้เหมือนกัน







“งั้นมาต่อกันอีกเกมส์และฉันคิดว่าครั้งนี้ฉันคงไล่ตอนนายยับเพื่อจบเกมส์ภายในเวลา 10 นาทีได้” ประโยคพวกนี้เหมือนกับถ้อยคำดูถูก ซึ่งมันก็ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูดออกมานั้นมันถูกทั้งหมด…เพราะเกมส์ก่อนหน้านี้ถ้าชายคนนี้ไม่ออมมือหรือแกล้งโง่บ้างแล้วหละก็ เกมส์มันก็คงจบไปตังแต่สิบนาทีแรกแล้ว...การมาอยู่ที่นี่ไม่สิต้องเรียกว่าการที่เขามารู้จักกับชายหนุ่มคนนี้มันทำให้เข้ารู้จักคำว่า ‘พ่ายแพ้อย่างหมดท่า’ ทั้ง ๆ ที่เกิดมาเขาไม่เคยได้เผชิญคำว่า ‘แพ้’ มาก่อนเลยสักครั้งเดียว







“…ไอบ้าเอ้ยอยากฉันพูดมากเลยนักหรือไงไอประโยคชวนสยิวนั่น” ครีแวนตะโกนสุดเสียงร่างโรป่งบางค่อย ๆ ถีบตัวเองออกมาจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายที่ดูท่าทางจะรัดแน่นขึ้นทุกที ๆ “ได้งั้นฟังเลยนะ จะอัดเสียงไว้เลยก็ได้” ในที่สุดครีแวนก็ยอมที่จะพูด ร่างโปร่งบางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่และตะคอกถ้อยคำพวกนั้นออกมาสุดเสียง







“ฉันจะจำไว้วว่าฉันเป็นของ ๆ นายไม่ว่าจะเป็นดวงตา ใบหน้า ร่างกายหรือแม้กระทั่งลมหายใจ ทุกสิ่งทุกอย่างของฉันมันเป็นของ ๆ นาย!!!!” ถ้อยคำที่ถูกพูดออกมาทำให้เฮลาสถึงกับชะงักไปแต่เขาก็ใช้เวลาเพียงช่วงครู่สติของเขาก็กลับคืนสู่ร่างพร้อม ๆ กับเสียงหัวเราะที่ดังไม่แพ้ถ้อยคำเหล่านั้น







คาดว่าวันนี้ใครที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณชั้นห้าของคฤหาสน์ฝั่งตะวันออกคงได้ยิน คำพูดแปลก ๆ รวมไปถึงเสียงหัวเราะที่ดังออกมาจากห้องของผู้เป็นนายของตน







ครีแวนยืนกอดอกมองดูอีกฝ่ายหัวเราะไปพักใหญ่ในที่สุดเสียงัวเราะนั่นก็หยุดลง “นายนี่ยังคงน่าสนใจไม่เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ” ริมฝีปากหน้าเหยียดรอยยิ้มก่อนที่เขาจะยันกายลุกขึ้นและก้าวเดินออกไปจากห้องแต่ก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีเปลวเพลิงจะเดินออกจากห้องไป มือกร้านก็ยกขึ้นไปลูบศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นไหมสีน้ำเงินนั้นอย่างแผ่วเบา







สัมผัสที่อ่อนโยนราวกับว่าผู้ใหญ่นั้นกำลังปลอบโยนเด็กน้อยทำให้ครีแวนรู้สึกนึกย้อนกลับไปหาพ่อผู้ใหกำเนิดตน แม้คนที่สัมผัสนี้จะเป็นคนละคนกันแต่ความรู้สึกที่ได้รับมันไม่ได้ต่างกันเลยสักนิด...ไอความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยแบบนี่เนี่ย...พอสักทีเถอะเขาไม่ใช่เด็ก ๆ อีกต่อไปแล้วนะ...ช่วยอย่ามาทำเหมือนกับเขาเป็นเด็ก ๆ แบบนี้สิ ใบหนาสวยเบนต่ำลง นัยน์เนตรสีไพลลินหลุบตาลงอย่างไม่รู้ตัว







มือกรานยังคงลูบศีรษะของร่างโปร่งบางไม่หยุดจนในท้ายที่สุด ครีแวนต้องเป็นฝ่ายเอี้ยวตัวออกแทน “พอได้แล้วน่าผมยุ่งหมดแล้ว” ครีแวนไม่หลบเปล่ามือบางยังยกขึนมาปัดมือของอีกฝ่ายออกด้วย







ซึ่งการกระทำเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้ตัวของเฮลาสนั้นโกรธเลยสักนิดเดียว…ซ้ำชายหนุ่มร่างสูงนั้นยังคงหัวเราะออกมาเสียด้วย มือกร้านละลงจากเรือนผมสีแปลกตาพรอมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยลาอีกฝ่าย







“แล้วเจอกันครีแวน…ในสักวันหนึ่ง” สิ้นเสียงทุ้มเอ่ยดังหากแต่ในประโยคสุดท้ายมันเป็นเพียงคำพึมพำที่ชายร่างสูงนั้นพูดกับตัวเอง ใบหน้ากร้านคมหันหนีก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องทำงานของตนไปเงียบ ๆ และเมื่อเสียงของบานประตูปิดลงภายในห้องนั้นก็มีแต่ความเงียบกันมือบางถูกยกขึ้นมาปิดที่ริมฝีปากก่อนจะเหวี่ยงทุบลงไปที่โต๊ะเต็มแรง “เจ้าบ้า...นั่น…” เสียงหวานเอ่ยขึ้นก่อนจะเงียบเสียงลง…ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงก่ำมือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาปิดใบหน้าพร้อมกับจะทิ้งตัวลงไปนอนที่โซฟายาว “คิดว่าฉันไม่ได้ยินที่นายพูดหรือไงเจ้าบ้า…แล้วพูดแบบนั้นออกมามันก็ไม่ช่วยให้ฉันอยากเจอนายมากขึ้นหรอกนะ” เมื่อเสียงหวานเอ่ยจนจบประโยคใบหน้าสวยก็ซุกลงไปกับโซฟาพร้อมกับหลับตาลง







‘ฉันไม่อยากเจอนายอีกครั้งหรอกนะเฮลาส ฟีเลทัส…’ ครีแวนกล่าวเช่นนี้ในใจพร้อมกับสติที่ค่อย ๆ ดำดิ่งลงไปสู่หวงนิทรา



 

ครีแวนไม่รู้ว่าระยะเวลานั้นหมุนผ่านไปเท่าไหร่ แต่ถ้าหากจะให้ครีแวนเดาโดยจากการดูสภาพรอบ ๆ ห้องที่มืดมิดตอนนี้ก็คงเลยหัวค่ำไปมากแล้ว มือบางค่อย ๆ ยันกายตนให้ลุกขึ้นนั่ง เนตรสีไพลินพยายามปรับสภาพสายตาให้คุ้นชินกับความมืด และเมื่อสายตาเป็นปกติร่างโปร่งบางนั้นก็ลุกขึ้นเพื่อเดินไปเปิดไฟ แต่ในขณะที่ตนนั้นกำลังจะเหยียดนิ้วไปกดสวิซต์เพื่อเปิดไฟ บานประตูไม้ที่อยู่ข้าง ๆ กันก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวร่างสูงของเด็กหนุ่มที่มีสายเลือดเดียวกันกับเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้







“ผมคิดว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนี้เสียอีกเห็นปิดไฟมืดซะขนาดนี้ แล้วนี่น้าชายของผมหละครับเขาหายไปไหนผมคิดว่าเขาจะอยู่ในห้องนี้กับคุณเสียอีกนะครับ” เด็กหนุ่มพูดอย่างสุภาพมือกร้านค่อย ๆ เอื้อมไปเปิดไฟพร้อมกับเนตรสองสีที่กวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง







“หมอนั่นเหรอ ออกไปจากห้องตั้งแต่เช้าแล้วและท่าทางคงไม่ได้กลับมาที่ห้องนี้ด้วย” ครีแวนตอบกลับ มือข้างที่เอื้อมไปหมายจะเปิดสวิซต์ไฟถูกยกมือขึ้นมาเสยผมของตังเองแทน “มีธุระกับหมอนั่นหรือยังไง ถ้ามีธุระก็มาผิดที่แล้วไปตามหาที่อื่นไป” ครีแวนกล่าวไล่พร้อมกับเอื้อมมือไปหมายจะปิดประตูหากแต่มือกร้านของเด็กหนุ่มกับยื้อไว้เสียก่อน







“ผมมีธุระกับคุณนั่นหละครับเตรียมตัวเสร็จหรือยังใกล้เวลาแล้วนะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นซึ่งถ้อยคำนั้นสร้างความงุนงงให้กับครีแวนเป็นอย่างมากหากแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ทำให้ครีแวนสงสัยอยู่นาน ริมฝีปากหนาเอ่ยดังพร้อมกับพาร่างโปร่งบางนี้ออกจากห้อง “ถึงเวลาคุณได้กลับบ้านไปหาน้องสาวไงครับ หรือคุณจะเปลี่ยนใจและบอกว่าจะอยู่ที่นี่ต่อแบบนั้นผมจะได้ไปบอกน้าชายที่ตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”







“กลับบ้าน….” คำ ๆ นี้ทำให้ครีแวนยืนทบทวนความจำอยู่นานจนในที่สุดครีแวนก็จำคำพูดที่ชายหน่มร่างสูงที่มีเรือนผมสีแดงเข้มเฉกเช่นคนตรงหน้าบอกตนในตอนเช้าได้







“ถึงเวลาแล้วเหรอ...ฉันนอนเพลินไปหน่อยโทษที” มือบางยกมือขึ้นเสยมที่ปรกหน้าตนอีกครั้งก่อนจะก้าวเดินตามเด็กหนุ่มออกไปจากห้อง







ขาเรียวยาวรีบเร่งเดินตามใบหน้าสวยแทนที่จะเผยให้เห็นถึงความยินดีที่ตนได้กลับบ้าน หากแต่ตอนนี้ใบหน้างดงามนั้นหันมองไปรอบ ๆ ตลอดทางเดินราวกับว่าร่างโปร่งบางนี้กำลังเสาะหาใครอยู่







ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นนัยน์เนตรคู่งามสีไพลินนั้นกำลังมองหาชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีเปลวเพลิงที่จับตัวเขามานั่นเองและตลอดทางนับตั้งแต่ประตูห้องทำงานของชายคนนั้นจนถึงประตูทางออกของคฤหาสน์ครีแวนไม่เห็นแม้แต่เงาของชายคนนั้นเลยสักนิดเดียว หากแต่ใบหน้างามนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการผิดหวังออกมาสีหน้ายังคงเรียบเฉยและหยิ่งทระนงเช่นเดียวกันกับตอนที่ก้าวเข้ามา







ครีแวนพยายามบอกตนเองว่าตนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับที่นี่ ไม่มีใครให้ผูกพัน ครีแวนเดินหันหลังให้กับคฤหาสน์แห่งนี้โดนไม่เหลียวหลังกับไปมอง







‘ลาก่อนความทรงจำ…ที่มันก็ไมได้เลวร้ายไปซะทีเดียว”







สัตว์ป่าถูกปล่อยเป็นอิสระหากแต่สัตว์ยังไงก็ยังเป็นสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องหรือสัตว์ป่าดุร้าย แต่เมื่อถูกจับและเลี้ยงดูโดยมนุษย์แล้วไม่ว่ายังไงมันก็ไม่มีที่จะลืมเลือนผู้เป็นเจ้าของมันเช่นเดียวกันกับผู้ที่จับมันมา







นัยน์เนตรคมมองไปยังรถคันหรูสีดำสนิทก่อนจะหันหลังให้กับมันเช่นเดียวกับร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่ด้านล่าง...









 _______TBC Chapter 7 [1/2]______


ออฟไลน์ Kamidere

  • บรรยายมันออกมา ทุกสิ่งที่อยู่ในใจ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
รออ่านนะคะ มาอัพบ่อยๆน้า ไม่ต้องทุกวันแต่สม่ำเสมอนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
นึกว่าจะมีชวนสยิวสั่งลา

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0

ข่างคราวเงียบหายไปสองสามปี นึกว่าไปได้ดี!! (ร้องเพลงปลุกใจ)


Chapter 7


และแล้ววันเวลาปกติสุขกกลับมาร่างโปร่งบางค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากเตียงที่คุ้นเคย แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ร่างโปร่งบางต้องยกมือตนขึ้นมาบดบังมันเพื่อไม่ให้มันสาดส่องเข้าสู่นัยน์ตา ครีแวนนั่งมองทัศนียภาพที่คุ้นเคยไปสักพัก ไม่นานนักเสียงย่ำเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกับบานประตูห้องของเขาที่ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง ครีแวนหันไปมองบานประตูที่เปิดออกพร้อมกับการปรากฏร่างของเด็กสาวที่มีเรือนผมสีน้ำทะเลเฉกเช่นเดียวกับผู้เป็นพี่ชาย



“วิเวียน…ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เคาะประตูห้องก่อนจะเข้าไม่ใช่พังประตูห้องเข้ามาแบบนี้” เสียงนุ่มกล่าวเตือนผู้เป็นน้องสาว มือบางค่อย ๆ ยกขึ้นมาจัดผมที่ปรกหนาปรกตาออก หากแต่เด็กสาวที่เพิ่งเข้ามาใหม่ไม่คิดที่จะฟังอะไรเลยสักนิด ร่างเล็กค่อย ๆ ถลาไปหาผู้เป็นพี่ชายที่นั่งอยู่บนเตียง



“ครีแวน!...หายไปไหนมาบอกเรามานะ หากเกือบเดือนถ้านายไม่สั่งให้เราเงียบปากและห้ามบอกใครเวลานายหายไป ป่านนี่คนทั้งประเทศคงรู้กันหมดทุกคนแล้ว!” เสียงแหลมเลกตะโกนสุดเสียงมือทั้งสองข้างนั้นเขย่าคอผู้เป็นพี่ชายไปมาเพื่อเค้นคำตอบ ซึ่งร่างโปร่งบางนั้นก็เลือกที่จะไม่ตอบมือบางค่อย ๆ ยกขึ้นมาลูกศีรษะผู้เป็นน้องสาว



เขามักจะบอกเด็กสาวตรงหน้าว่าเวลาเขาหายตัวไปห้ามไปแจ้งความหรือบอกใคร ซึ่งโดยปกติเขามักจะหายไปแค่สองถึงสามวันแต่นี่เขาหายไปร่วมเดือน เด็กสาวตรงหน้าที่จะดูห้าว ๆ ไม่สนใจใครและแสบซนเหมือนเด็กผู้ชายแต่ยังไงเธอก็ยังเป็นเด็กที่มีอายุแค่ 14 ปีเท่านั้น ครีแวนปล่อยให้น้องสาวของตนกอดคอตนไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด ร่างงโปร่งบางก็ต้องดันร่างของเด็กสาวออก ซึ่งเหตุผลที่เขาทำอย่างนั้นก็คือยัยน้องสาวบ้านี่กัดบ่าเขาเต็มแรง



“ออกไปเลยวิเวียน…ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้” มือเรียวบางถูกยื่นออกไปจนสุดเพื่อดันหนาผากของน้องสาวให้ถอยห่าง ส่วนอีกมือหนึ่งถูกไขว้ไปจับที่บ่าของตน มือบางเลิกคอเสื้อเพื่อดูรอยกัดแต่เมื่อตนเห็นรอยอื่นที่นอกเหนือจากรอยกัดของผู้เป็นน้องสาว เมื่อเห็นรอยพวกนั้นพลันใบหนาขาวก็ขึ้นสี มือบางนั้นปล่อยมือออกจากหน้าผากของอีกฝ่ายและตวัดกลับมาขยุ้มคอเสื้อของตนไว้แทน



‘ไอบ้านั่น…ไม่เห็นหน้าแต่ไม่วายทำสร้างปัญหาให้กับคนอื่นจริง ๆ’ ร่างโปร่งบางใช้มืออีกขางตบไปที่หน้าผากตน ริมฝีปากพลางกร่นด่าออกมาเสียงเบา แต่มันก็ไม่สามารถรอดพ้นหูของเด็กสาวผู้มีดวงเนตรสองสีร่างเล็กถือโอกาสเข้าประชิดพร้อมกับผลักร่างพี่ชายให้นอนราบไปกับเตียง ร่างเล็กกระโดนคร่อม มือทั้งสองขางไขว้กอดกันไว้บริเวณหนาอก ริมฝีปากเล็กนั้นเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา “สงสัยนอกจากครีแวนจะต้องบอกเราเรื่องที่หายไปไหนแล้ว…ครีแวนคงต้องบอกเราเรื่องเจ้าของรอยพวกนั้นด้วยซะแล้วสิ”



และเมื่อเสียงแหลมเล็กเอ่ยจนจบประโยคกรรมวิธีเค้นคอพี่ชายให้พูดก็เริ่มต้น มือเล็กทั้งสองข้างพยายามดึงมือพี่ชายออกจากคอบ้างก็เปลี่ยนไปกระชากเสือของอีกฝ่าย กว่าการต่อสู้ระหว่างสองพี่น้องจะจบลงเวลาก็กินเวลาไปร่วมชั่วโมง ซึ่งการจบการสนทนานั้นไม่ใช่เด็กสาวที่เป็นฝ่ายยอมถอยทัพแต่เป็นครีแวนที่ต้องจำใจแต่ไม่ใช่ทั้งหมดซะทีเดียวใชความรุนแรงออกไป ขาเรียวยาวยกขึ้นพรอมกับออกแรงดันให้ร่างเล็กผละออกจากร่างของตน และนี่คือคำตอบของครีแวนที่มีให้กับผู้เป็นน้องสาว เด็กหญิงผู้มีดวงเนตรสองสีที่ประดับอยู่บนใบหน้าไม่ได้คำตอบอะไรออกมาจากปากของพี่ชายของตนเลยสักคำ



“…เลิกบ้า เลิกไฮเปอร์แล้วไปโรงเรียนซะ ฉันจะนอนต่อ” ครีแวนตะโกนบอกผู้เป็นน้องสาวที่นอนดิ้นอยู่กับพื้น และเมื่อร่างโปร่งบางพูดจบเขาก็ทิ้งตัวลงไปนอนที่เตียงอีกครั้ง นัยน์เนตรสีไพลินหลับตาลงพร้อม ๆ กับลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะที่แสดงให้ผู้เป็นน้องสาวของตนเห็นว่าร่าง ๆ นี้หลับใหลเข้าสู่ห่วงนินทราอีกครั้ง ซึ่งเมื่อเด็กสาวเห็นแบบนั้นเธอกไดแต่เดินกระฟัดกระเฟียดออกจากห้องไป หากแต่การกระทำนั่นเป็นเพียงแค่การหลอกลวงน้องสาวของตน ซึ่งเหตุผลที่ร่างโปร่งบางนี้ทำเช่นนั้นก็เป็นเพราะครีแวนนั้นต้องการอยู่อย่างสงบโดยปราศจากเสียงรบกวน ใบหน้าขาวซุกลงกับหมอน ภายในสมองนั้นนึกย้อนไปถึงเรื่องราวของเมื่อคืนที่ผ่านมา ‘เรื่องราวของเขาในตอนที่เดินจากคฤหาสน์หลังนั้นมา’



ถ้าหากให้ครีแวนนึกย้อนไปถึงเรื่องราวพวกนั้นบอกเลยว่าครีแวนยิ่งคิดถึงก็ยิ่งหงุดหงิด ใบหน้าสวยนั้นบึ้งตึงด้วยความโกรธ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวองครีแวนนั้นเกี่ยวข้องกับตนแต่นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือไงกัน ไอตอนออกจากคฤหาสน์รถยนต์คันหรูก็ขับออกมาส่งเขานั่นหละแต่เมื่อถึงถนนใหญ่ หลานชายตัวแสบของคน ๆ นั้นก็สั่งให้เขาลงจากรถและหารถต่อกลับบ้านเอง ถึงจะรู้ว่าการทำแบบนั้นมันทำเพื่อความปลอดภัยของตัวเขาและผู้เป็นน้องสาวแต่การต้องหารถต่อกลับบ้านตอนตีหนึ่ง…มันคงจะมีรถให้เขานั่งกลับบ้านหละมังเพราะแบบนั้นครีแวนก็เลยต้องเดินจากถนนใหญ่กลับบ้านเองและระยะทางที่ต้องเดินมันก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลยสักนิด



ไอรู้ก็รู้อยู่หรอกว่าถ้าเกิดมีใครล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับดอนฟีเลทัส ชีวิตต่อจากนี้ไปของเขารวมไปถึงผู้เป็นน้องสาวคงไม่มีทางสงบสุขแน่นอนแต่มันก็ไม่ควรจะปล่อยให้เขาเดินกลับบ้านคนเดียวตอนสีหนึ่งแบบนั้นแถมกว่าจะถึงบ้านเขาใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงและกว่าร่างโปร่งบางของครีแวนจะได้สัมผัสกับเตียงเวลาก็เกือบจะล่วงเลยไปถึงตีสี่แล้ว



ไอบ้าพวกนั้นไม่คิดเลยหรือไงว่าบ้านของเขาหนะห่างจากถนนเส้นนั้นกี่กิโลเมตร! แล้วไม่ได้คิดเลยหรือยังไงว่าตอนตีหนึ่งตีสองมันจะมีรถผ่านมาให้เขาโบกไหม!



แต่กระนั้นไอการที่ทิ้งให้เขาเดินคนเดียวท่ามกลางอากาศที่ตอนนี้กำลังล่วงเลยเข้าสู่เหมันต์มันยังไม่น่าโกรธเท่ากับการที่คน ๆ นั้นไม่คิดจะเอ่ยคำลา…อะไรออกมาสักคำ และที่ยิ่งน่าเคืองไปกว่านั้นก็คือแม้แต่หน้ากยังไม่โผล่หัวออกมาให้เห็น มือบางกำหมัดและต่อยลงไปที่เตียงสุดแรง เขารัวหมัดตนอยู่แบบนั้นสักพักแรงที่มีก็หมดลงมือบางคลายกำปั้นออกพร้อมกับเปลี่ยนท่าเป็นนอนหงาย



ไพลินน้ำงามที่ประดับอยู่บนใบหนาสวยนั้นลืมตื่น สายตานั้นจ้องมองไปยังเพดานสีขาวสะอาดเขาจ้องมองอยู่แบบนั้นพลันความรู้สึกแปลกประหลาดมันก็เอ่อล้นออกมา ‘ทั้ง ๆ ที่…ที่นี่คือบ้านของเขาแท้ ๆ แต่ทำไมมันกลับรู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย’ ห้องนอนของเขานันตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าอ่อนที่ดูสบายตาอบอุ่น หากแต่ตอนนี้ตัวเขากลับรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้าง นัยน์เนตรคู่งามยังคงจองมองไปที่เพดานก่อนจะกวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง



เพดานห้องที่เป็นสีขาวสะอาดตาซึ่งแต่ต่างจากห้อง ๆ นั้นที่เป็นสีนำตาลเข้ม เครื่องเรือนที่ตกแต่งให้ดูร่วมสมัยแต่ภายในห้อง ๆ นั้นเป็นเครื่องเรือนโบราณและดูมีมูลค่าสูง ผ้าปูเตียงสีฟ้าอ่อนที่ทำให้ผู้นอนเหมือนนอนหลับอยู่บนท้องฟากว้างหากแต่ในห้อง ๆ นั้นกลับเป็นสีแดงเข้มที่ดูร้อนแรง ทุก ๆ อย่างภายในห้อง ๆ นี้มันแตกต่างจากที่นั่นไปหมดเสียงทุกอย่างมันแตกต่างกันมาก…มันแตกต่างกระทั่งคนที่อาศัยอยู่ในห้อง



สถานที่แห่งนั้นมันทำให้ครีแวนรู้สึกว่ามันกลายเป็นบ้านอีกแห่งของเขาไปเสียแล้ว ริมฝีปากบางเม้มแน่นใบหน้าสวยพยายามส่ายศีรษะไปมาเพื่อไล่ให้ความคิดบ้าบอกพวกนั้นออกไปจากสมอง



‘ที่นั่งมันกรงขังไม่ใช่บ้านสักหน่อย’ ครีแวนพูดเตือนสติของตนอยู่ในใจ หากแต่ความคิดและความทรงจำพวกนั้นมันกลับไม่จางหายไปเลยสักนิด ความทรงจำพวกนั้นมันตราตรึงอยู่ในสมองของเขา



ถ้าให้พูดถึงชายคนนั้น ‘เฮลาส ฟีเลทัส’ และถามว่าตัวร่างโปร่งบางนี้โกรธคน ๆ นั้นไหมบอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าโกรธ เพราะเขาไม่ใช่แค่กักขังร่างกายเขา มันยังทำลายศักดิ์ศรีของเขาไปจนหมดสิ้น…



แต่ถ้าหากถามว่าเขาเกลียดคน ๆ นั้นไหม…ครีแวนกลับลังเลและขอเลือกคำตอบว่า ‘ไม่รู้’ เพราะตัวของเขานั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าภายในใจนั้นมันเกลียดคน ๆ นั้นไหม และก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองชอบคนนั้นบางหรือเปล่า…มือบางทั้งสองขางถูกยกขึ้นมาวางทับไว้บริเวณหน้าผาก ดวงตาคู่งามยังคงลืมตามองสภาพรอบ ๆ ห้องของตน ‘แค่ไม่อยู่เดือนเดียวกับรู้สึกว่าที่นี่กลายเป็นที่ ๆ ตนไม่คุ้นเคยเสียแล้ว’



พอความคิดพวกนั้นไหลเข้ามาในสมองร่างโปร่งบางกพลันลุกขึ้นนั่งพร้อมกับรีบแต่งตัวออกจากบ้านพักของตนไป ‘ถ้าอยู่เฉย ๆ แล้วฟุ้งซ่าน…ออกไปทำงานให้มันไม่คิดอะไรบ้า ๆ แบบนันดีกว่า’



บางโปร่งบางในเสือโคดสีเขมยืนพิงกำแพงอยู่เงียบ ๆ ใบหน้าสวยนั้นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ งานของเขาตามที่เคยบอกมันคือการสืบข่าวขององค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าจะองค์กรนั้นจะอยู่ในโลกทางด้านไหน หากแต่ตัวเขานั้นกลับไม่เลือกที่จะสังกัดแก็งค์ใด ๆ เลยสักแก็งค์เดียวและเหตุผลที่เขาไม่คิดจะยึดติดกับแก๊งค์หรือองค์กรใด ๆ นั่นก็เป็นเพราะร่างโปร่งบางนั้นไม่คิดจะไว้ใจใครนอกจากตัวเองและที่สำคัญไปกว่านั้นนิสัยที่หยิ่งทระนงของครีแวนมันทำให้ร่างโปร่งบางร่างนี้นั้นไม่ยอมคิดที่จะก้มหัวและฟังคำสั่งของใคร ดังนั้นการอยู่แบบไร้สังกัด ไม่ต้องคอยเชื่อฟังใครก้มหัวใหใครมันดีกว่าเห็น ๆ



ใบหน้าสวยเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าตนริมฝีปากบางเม้มเขาหากันแน่น ดูเหมือนครีแวนจะหยิบเสือโค๊ดมาผิดตัวเสียแล้วไหล่บางห่อตัวเข้าหากันเล็กน้อยมือทั้งสองข้างถูกล้วงเข้าไปในกระเป๋าทั้งสองข้าง ‘ตอนนี้บรรยากาศรอบ ๆ มันกลายเป็นที่ ๆ ไม่คุ้นเคยไปเสียแล้ว’ นัยน์เนตรคู่งามหลับตาลงเพียงชั่วครู่ก่อนจะลืมตื่นและเดินเขาไปในร้านกาแฟที่อยู่ไปไกลจากจุด ๆ นี้



ร่างโปร่งบางเอื้อมมือไปดันให้บานประตูนั้นเปิดออกพร้อมกับร่างโปร่งบางที่แทรกตัวเข้าไปด้านใน อากาศภายในรานกาแฟนี่อบอุ่นกว่าอากาศภายนอกมาก ร่าโปร่งบางถอดเสื้อโค๊ดของตนออกก่อนจะสาวเท้าเดินไปนั่งที่เคาท์เตอร์ “สวัสดีมาสเตอร์ไม่ได้เจอกันนานเป็นไงบ้าง แต่ดูท่าทางแล้วคงจะขายดีเอาเรื่องนะคนเต็มร้านแบบนี้” ริมฝีปากสีสดเอ่ยทักทายพร้อมกับนั่งหมุนเก้าอี้หันหลังให้กับคาท์เตอร์



“จะพูดออกมาทำไมถ้านายจะพูดเองตอบเองแบบนี้แล้วนี่หายไปไหนมาหละมีเรื่องอีกแล้วหรือไงยัยตัวแสบวิเวียนมาที่นี่แทบทุกวันเพื่อตามหานาย…แล้วนี่ยังไม่บอกน้องสาวอีกหรือไงว่านายทำงานอะไร” มาสเตอร์หนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งกาแฟร้อน ๆ ไปให้อีกฝ่าย ซึ่งครีแวนก็พยักหนาขึ้นลงเบา ๆ แทนคำตอบ



เขาไม่อยากบอกผู้เป็นน้องสาวว่าเขาทำงานเสี่ยงอันตรายเพียงใดแต่ที่เขาไม่บอกอะไรเด็กคนนั้นไม่ใช่เหตุผลบ้าบออย่างเช่นกลัวยัยตัวแสบนั่นจะเป็นห่วงเขาแต่ที่เขากลัวกคือ…เขากลัวว่ายัยนั่นจะขอตามเขาไปทำงานด้วยต่างหากและเหตุใดครีแวนถึงกลัวแบบนั้นถาจะให้พูดแล้วหละก็น้องสาวคนนี้แทบจะถอดแบบเขามาเสียทุกอย่าง…ซึ่งเขาคิดภาพไว้แล้วว่าถาเกิดยัยนั่นรู้มันคงต้องร้องโวยวายขอตามไปด้วยแน่นอน…แต่กระนั้นต้องมีสักวันที่เธอจะรู้ความจริงหรือบางทีอาจจะมีสักวันที่ตัวของเขาหายสาบสูญไปจนเด็กคนนั้นตามสืบจนรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่ถ้าเลือกได้ตนก็ไม่อยากให้น้องสาวคนเดียวของเขามีชีวิตแบบเขาหรอก



“หยุดที่จะพูดเลย…ฉันมาที่นี่ไม่ใช่จะมาฟังเสียงบ่นของนายนะ…ฉันมาเป็นลูกค้าไหม” เสียงหวานเอ่ยให้อีกฝ่ายเงียบมือบางนั้นควักธนบัตรขึ้นมาจำนวนหนึ่งแล้วสอดมันเข้าไปใต้แก้วกาแฟ “ฉันขอข่าวทั้งตลอดระยะเวลาที่ฉันหายไป…มาสเตอร์” ชายหนุ่มนั้นเลิกคิวขึ้นสูงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ร่างโปร่งบางนั้นมาซื้อข่าวจากนักขายข่าวคนอื่น แต่มาสเตอร์หนุ่มก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธลูกค้า ใบหนาคมคลี่รอยยิ้มแทนคำตอบพร้อมกับเชิญให้อีกฝ่ายเดินไปยังบริเวณที่ลับตาคน “ขอเลยช่วงบ่ายสองโมงไปก่อน เพราะตอนนี้ลูกค้ายังเต็มร้านและฉันก็ยังละมือจากงานตรงนี้ไม่ได้” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาแผ่วเบาพร้อมกับร่างโปร่งบางที่เดินไปตามที่อีกฝ่ายบอก



มาสเตอร์ร้านกาแฟแห่งนี้ก็เป็นนักขายข่าวคนหนึ่งเช่นกันเพียงแต่การทำงานของเขาไม่ใช่การเดินไปสืบข่าวตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ครีแวน แต่ชายคนนี้อาศัยร้านกาแฟของตนเป็นที่สืบข่าวต่าง ๆ โดยวิธีการสืบข่าวของเขาก็คือการฟังบทสนทนาของลูกค้าที่แวะเวียนมาในร้าน แต่ไม่ใช่แค่นั้นพอตกกลางคืนมาสเตอร์ร้านกาแฟผู้อ่อนโยนจะเปลี่ยนไปกลายเป็นบาร์เทนเดอร์หนุ่มในผับอีกฝากหนึ่งของถนนและแน่นอนผับนั้นก็เป็นของชายคนนี้ด้วย ‘อาเบล เกสต์’นี่คือชื่อของชายคนนี้ แต่จะให้พูดไปข่าวส่วนใหญ่ที่ครีแวนได้มาก็มักจะได้มาจากกิจการของคน ๆ นี้เช่นข่าวเกี่ยวกับโลกด้านมืดครีแวนจะเลือกไปสืบที่ผับของคน ๆ นี้และถ้าเป็นเรื่องของโลกอีกด้านร้านกาแฟของอาเบลนี่หละคือแหล่งสืบข่าวชั้นดี ร่างโปร่งบางนั่งรออยู่สักพักหนึ่งคนภายในร้านกาแฟแห่งนี้ก็ไม่มีท่าทีจะลดลงไปเลย ใบหน้าสวยเริ่มบึงตึง มือบางปัดกาแฟแกวที่สามให้ออกหางจากตน



นี่มันชักจะรอไม่ไหวแล้วนะ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเย็นเยือกออกมา นัยน์ตาคู่งานตวัดหันไปมองยังนาฬิกาที่แขวนบนผนัง…’เพิ่งบ่ายโมง…ต้องรออีกชั่วโมง’ ยิ่งคิดแบบนั้นใบหน้าสวยก็ยิ่งบึงตึง มือบางตวัดมือทุบลงไปที่โต๊ะเสียงดังก่อนจะเหลือบตาไปมองอีกอีกคนที่ปันหน้ายิ้มอยู่ที่เคาท์เตอร์



นี่มันคิดจะวัดความอดทนของเขาหรือยังไงกันริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนจะ โบกมือเรียกบริกรมาเพื่อสั่งเครื่องดื่มอีกแก้ว “Milk tea แก้วนึงแล้วก็ขอแซนวิสแฮมชีส” ครีแวนเอ่ยสั่งหลังจากนั้นเมนูที่อยู่ในมือถูกปิดและโยนไปให้บริกรซึ่งหญิงสาวผู้เป็นพนักงานเสริฟก็กมหนากมตารับออเดอร์หากแต่ก่อนที่เธอจะเดินจากไปเสียงนุ่มเอ่ยรั้งและฝากคำพูดไปถึงผู้เปนมาสเตอร์ของเธอ “ก่อนจะไปฝากบอกไอบ้านั่นด้วยนะ…อีกหนึ่งชั่วโมงถ้ามันไม่มานั่งตรงนี้ร้านนายเละแน่” เมื่อเอ่ยจนจบประโยคมือบางก็ปล่อยมือออกจากหญิงสาวร่างโปร่งบางนั้นทิ้งกายลงไปพิงที่โซฟา มือทั้งสองขางกอดไขว้กันไว้บริเวณแผ่นอกนิ้วทั้งห้านิ้วนั้นเคาะเล่นไปมาเพื่อฆ่าเวลา



และแล้วระยะเวลาก็เดินวนจนครบ 1 ชั่วโมง ร่างสูงที่ในตอนแรกยืนอยู่ในเคาท์เตอร์ร้านก็เคลื่อนตัวมานั่งเบื้องหน้าครีแวนได้ซะที ใบหน้ากร้านคมนั้นคลี่รอยยิ้มออกมาพร้อมกับยื่นธนาบัตรจำนวนหนึ่งกลับคืนไปให้ครีแวน ใบหน้าสวยนั้นมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความสงสัย “น้อยไปหรือไงมาสเตอร์” ครีแวนพูดออกมามือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋าและหยิบธนบัตรออกมาอีกจำนวนหนึ่ง หากแต่ชายตรงหน้านั้นส่ายหัวไปมาเป็นคำตอบเพราะสิ่งที่เขาอยากได้นั้นไม่ใช่เงินหากแต่เป็นเรื่องราวของคนตรงหน้าว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้นเขาหายไปไหนกัน



“ฉันไม่ได้ต้องการเงิน…ฉันอยากรู้ว่านายหายไปไหนมาตลอดระยะเวลา 1 เดือนเป็นค่าตอบแทน” คำพูดนี้ทำให้ครีแวนถึงกับเงียบสนิท นัยน์คู่งามนั้นหลุบตาลงเพื่อหลบสายตาของอีกฝ่าย



ส่วนใหญ่นักขายข่าวมันจะมีดวงตาไวจับผิดคนอยู่แล้วและแน่นอนว่าทั้งครีแวนและอาเบลก็มีเช่นกัน และการแสดงออกเช่นนี้ของร่างโปร่งบางนั้นทำให้ชายตรงหน้าเริ่มจะเข้าใจและตีความหมายได้ว่า 1 เดือนที่ร่างโปร่งบางนี้หายไปนั้น เขาต้องไปเจออะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจแน่นอน



มาสเตอร์หนุ่มเริ่มคิดที่จะเปลี่ยนข้อแลกเปลี่ยนหากแต่ครีแวนกลับใช้มือทั้งสองข้างทุบโต๊ะอย่างแรงใบหน้าขาวเงยหน้าขึ้น นัยน์เนตรสีน้ำทะเลลึกวาวโรจน์ด้วยความโกรธ



“ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องนั้น…ฉันไม่รับประกันว่าจะไม่มีคนตายในร้านนายนะมาสเตอร์…” เสียงหวานเอ่ยเหี้ยมเกรียมเช่นเดียวกับริมฝีปากที่แสยะรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา และเมื่อมาสเตอร์หนุ่มได้รับฟังและเห็นรอยยิ้มนั่นนอกจากเขาจะเดาเรื่องราวทั้งหมดออกแล้วว่าร่างตรงหน้าคงไปเจออะไรสักอย่างที่ทำลายศักดิ์ศรีทั้งหมดของเขาแล้ว ร่างโปร่งบางตรงหน้านี่คงโดนใครสักคนทำให้โกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบสุด ๆ เสียด้วย ร่างสูงหัวเราะออกมาด้วยความขบขันก่อนเอ่ยตกลงยอมรับการซื้อขายครั้งนี้



“…ฉันกลัวว่านายจะทำให้ร้านฉันพังมากกว่านายจะฆ่าคนในร้านฉันนะ เอาเป็นว่าฉันตกลงแล้วกันอยากรู้เรื่องอะไรหละถามมาได้เลย หรือจะเอาเรื่องราวทั้งหมดที่ฉันรู้ตลอด 1 เดือนเลยหละ” ซึ่งคำถาม ๆ นี้มาสเตอร์หนุ่มไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยตอบหรอกเพราะสิ่งที่คนต้องหน้าตนนั้นตองการคือเรื่องราวทั้งหมดตลอด 1 เดือนนั่นเอง ริมฝีปากหนาระบายไปด้วยรอยยิ้มมือกร้านค่อย ๆ ยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาจิบ



“อืม…งั้นเอาเรื่องที่ฮือฮาตอนนี้เลยดีกว่านะ ชความจริงแล้วฉันไม่รู้หรอกว่าเรื่องนี้หลุดมาได้ยังไงเพราะข่าววงในของคน ๆ นี้ไม่เคยหลุดมาถึงหูฉันเลยสักครั้งข่าวของดอนฟีเลทัส” ในตอนแรกครีแวนก็คิดว่าเข่าที่ตนจะได้ยินนั้นมันจะเป็นข่าวที่น่าสนใจแบบไหน หากแต่เมื่อตนได้ยินมาสเตอร์หนุ่มเอ่ยออกมาจนจบประโยค มือบางที่ถือแก้วน้ำดื่มในตอนแรกถึงกับเผลอปล่อยมือออกจากมัน ใบหน้าสวยนั้นแสดงอาการตกตะลึงเป็นอย่างมา ‘เรื่องราวของไอบ้านั่น...แล้วเรื่อง ๆ นั้นมันคือเรื่องอะไรกันหละ’ เมื่อคิดแบบนั้นความรู้สึกแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นภายในจิตใจริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเกือบจะเป็นเส้นตรง ซึ่งปฏิกิริยานั้นอยู่ในกรอบสายตาของมาสเตอร์หนุ่มการแสดงอาการแบบนี้ของครีแวนทำให้เขาตกใจไม่ใช่น้อย หากแต่ชายคนนี้ก็ไม่ได้คิดว่าครีแวนเกี่ยวพันอะไรกับคน ๆ นั้นและการที่ร่างโปร่งบางแสดงออกมาเช่นนี้ คงเป็นเพราะร่างโปร่งบางนี้ตกใจที่เขาได้ข่าวลับสุดยอดและมีมูลค่าสูงมาก... ซึ่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับตระกูลนี้ไม่ว่าจะเป็นข่าวของโลกด้านไหนมันก็เป็นที่ต้องการของทุก ๆ คน และเหตุผลที่มันเป็นที่ต้องการขนาดนั้นก็เป็นเพราะไม่มีใครไม่อยากรู้เรื่องของตระกูลที่กุมอำนาจสูงสุดในแถบยุโรปนี่หรอก ชายหนุ่มกระแอ้มเสียงตนเบา ๆ เพื่อเรียกสติของร่างโปร่งบางให้กลับคืนสู่ร่าง “ครีแวน...รู้สึกจะตกใจน่าดูเลยนะที่ฉันได้ข่าวของตระกูลนี่มาเห็นว่าก่อนหน้าที่นายจะหายไปก็พยายามสืบข่าวของตระกูลนี้อยู่สินะแต่นายแพ้ฉันแล้วหละฉันได้ข่าวก่อนนาย” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยพูดอย่างผู้มีชัย ใบหน้ากร้านคมส่งรอยยิ้มออกมาน้อย ๆ ซึ่งไอรอยยิ้มพวกนั้นครีแวนของลงมติว่ามันกวนประสาทมาก ๆ แม้มันจะไม่เท่ากับรอยยิ้มของชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีแดงดั่งเปลวเพลิงผู้นั้นแต่มันก็ทำให้อารมณ์ที่สงบนิ่งของครีแวนเดือดด่านขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง




v
v
v
v
v
v
v
v


วันนี้ลงเตมตอนค่ะ มีต่อนะคะ

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
“เงียบแล้วเล่ามาซะมาสเตอร์ ฉันจ่ายไปแล้วตอนนี้ก็เป็นหน้าที่นายที่จะต้องเล่าเรื่องที่ฉันอยากรู้” ริมฝีปากบางเอ่ยตอบชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาไขว้กอดกันไว้ “ถ้าฉันไม่ได้ข่าวที่คุ้มกับสิ่งที่ฉันต้องเสียไปฉันไม่ยอมเดินออกไปจากร้านนี้แน่นอน” แววตาสีไพลินแข็งกร้าวจนอีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงความกดดันที่ส่งผ่านมา แต่ว่าสิ่งที่ครีแวนจ่ายไปก็มีเพียงสีหน้าและแววตาที่เดือดด่านเท่านั้น มาสเตอร์หนุ่มถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งพร้อมกับยอมเซนสัญญาณสงบศึกกับคนตรงหน้าก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เขารู้มา



“หลังจากช่วงที่นายหายไปสักอาทิตย์สองอาทิตย์ข่าวของทางนั้นก็หลุดมานิดหน่อยไม่รู้ว่าหลุดมาได้ยังไงแต่เห็นว่าดอนฟีเลทัสไปเจอของที่ถูกใจมาก ๆ เข้าหนะ รู้สึกว่าเขาถูกใจมาก…มากจนขังไว้ในห้องแบบไม่ยอมไห้ใครพบเลยหละข่าวเลยไม่รูว่าของที่ถูกใจดอนฟีเลทัสคือใคร แล้วตอนนี้แก๊งค์ต่าง ๆ ตามหาตัวคนนั้นให้ควักเลยหละ เห็นว่ามีค่าหัวด้วยนะถ้าใครหาคน ๆ นั้นเจอ” มาสเตอร์หนุ่มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งหากแต่แววตาฉายแววไม่พอใจอยู่ลึก ๆ และที่อาเบลแสดงอาการออกมาเช่นนั้นก็เป็นเพราะเขาไม่ค่อยชอบข่าวทำนองนี้สักเท่าไหร่นักแถมเขาก็ไม่ชอบขายข่าวทำนองนี้ให้ใครด้วยเสียด้วย ซึ่งเหตุผลมันก็ไม่มีอะไรมากมายนอกจากมาสเตอร์หนุ่มคนนี้ไม่ค่อยชอบวิธีการขี้ขลาดอย่างเช่นการสืบหาจุดอ่อนของอีกฝ่ายเพื่อบีบบังคับให้คน ๆ นั้นทำตามที่ตัวเองต้องการ แต่ครั้งนี่คงเป็นกรณียกเว้นเพราะถ้าเขาไม่พูดเรื่องนี้ให้ร่างโปร่งบางฟังอีกไม่เกินครึ่งวันคน ๆ นี้ก็ต้องรู้เรื่องทั้งหมดอยู่ดี...สู้เขาบอกให้รู้ไปเลยดีกว่า ร่างสูงเอนตัวพิงไปกับโซฟามือกร้านค่อย ๆ ถอดแว่นออกก่อนจะไล่มือขึ้นไปเสยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่ปรกหน้าตน



“ฉันไม่รู้หรอกว่าพวกนั้นจะตามหาคน ๆ นั้นเจอเมื่อไหร่แต่ฉันก็ไม่ค่อยชอบวิธีนี้สักเท่าไหร่แต่ถ้าฉันไม่บอกนายอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงนายก็คงรู้ข่าวนี้อยู่ดี” ร่างสูงไหวไหล่ขึ้นเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนนั้นไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับข่าว ๆ นี้ หากแต่มันผิดกับร่างโปร่งบางที่นั่งอยู่ตรงหน้าของมาสเตอร์หนุ่ม เพราะตอนนี้ใบหน้าสวยที่เต็มเคยไปด้วยความมั่นใจแสดงอาการตึงเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเกือบจะเป็นเส้นตรง การแสดงสีหน้าแบบนี้ของครีแวนนั้นนาน ๆ ทีจะเผยออกมาให้คนอื่นเห็น



ซึ่งทุกครั้งที่ร่างเพรียวนี้แสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมามันก็มีอยู่แค่สองกรณีนั่นก็คือถ้าเรื่อง ๆ นั้นมันเกี่ยวข้องกับตัวเอง แล้วอีกกรณีคือเรื่อง ๆ นั้นมันเกี่ยวข้องกับน้องสาวของเขา ซึ่งอาเบลขอเลือกข้อที่หนึ่งนั่นก็คือเรื่องราวที่เป็นที่ฮือฮาในตอนนี้ต้องเกี่ยวกับเรื่องที่ร่างโปร่งบางนี้หายตัวไปนานนับเดือนแน่นอน และอาเบลก็ไม่ยอมให้เวลาเสียไปอย่างสูญเปล่าร่างสูงค่อย ๆ โน้มตัวลงมา ท่อนแขนทั้งสองข้างนั้นเท้าลงกับโต๊ะ “ครีแวน…คน ๆ นั้นคือนายใช่ไหม” สิ้นคำถามสีหน้าของร่างโปร่งบางยิ่งเรียบเฉยยิ่งกว่าเก่าครีแวนไม่ได้เอ่ยปากตอบหากแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ



ความจริงแล้วครีแวนนั้นไม่ใช่คนที่จะถูกใครอ่านออกได้ง่าย ๆ แบบนี้ เขาเป็นนักขายข่าวที่เก็บอาการและสีหน้าเก่งมากและที่สำคัญถ้าหากร่างโปร่งบางนี้พูดโกหกต่อให้เป็นเขาที่เป็นคนคอยสอนทักษะพวกนี้ให้ก็ไม่สามารถจับโกหกได้ หากแต่ตอนนี้ครีแวนกลับเปลี่ยนไปเขาแสดงอารมณ์ทางสีหน้าออกมาได้มากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนไปแบบนี้ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีมันดีมากถ้าหากเขาใช้ชีวิตในฐานคนธรรมดา แต่สำหรับคนที่ยืนอยู่ในโลกด้านมืดแล้วการเก็บอาการและสีหน้าไม่ได้แบบนี้นั้นมันเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดและมันก็ยิ่งเลวร้ายมากกับคนขายข่าวไร้สังกัดแบบนี้



ใบหน้าคมตึงเครียดเขาเงียบเสียงรอให้อีกฝ่ายเอ่ยตอบหากแต่คำตอบที่เขาได้รับนั่นก็คือความเงียบงัน...ครีแวนไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ คนทั้งสองคนยังนั่งเงียบอยู่เช่นนั้นจนในท้ายที่สุดมาสเตอร์ร้านกาแฟก็ต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนา การพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวนี่ดำเนินไปอีกสักพักจนท้ายที่สุดดูเหมือนสติของครีแวนจะไม่สามารถรับรู้หรือเก็บข้อมูลอะไรได้อีกแล้ว ร่างโปร่งบางเอ่ยขอตัวเสื้อโค๊ดสีเข้มถูกหยิบขึ้นมาสวมใส่ก่อนที่ร่างโปร่งบางนั้นจะขอตัวออกไป นัยน์เนตรคมได้แต่มองตามแผ่นหลังนั่นไป โดยที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย



เรื่องจะถูกเปิดเผยเมื่อไหร่มันขึ้นอยู่กับเวลา ซึ่งรุ่นน้องของเขาคนนี้จะมีกำลังพอที่จะหนีรอดจากเงื้อมือของคนพวกนั้นหรือเปล่ามันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของร่างโปร่งบาง เมื่อร่าง ๆ นั้นเดินหายไปจนลับสายตามาสเตอร์หนุ่มก็เดินกลับเข้าไปในร้านและทำหน้าที่ของตนเองต่อ






หลังจากที่ครีแวนก้าวเดินออกมาจากร้านการเดินของเขาก็ดูไร้จุดหมาย ตอนนี้สภาพของเขายังไม้สมควรที่จะพูดคุยกับใครและยังไม่สมควรที่จะไปสืบหาข่าวเพื่อนมาขาย เพราะเรื่องที่เป็นประเด็นในตอนนี้มันก็คือ ของสำคัญของดอนฟีเลทัสคนนั้นคือใครซึ่งถ้าได้ยินข่าวพวกนั้นอีกเขาคงจะแสดงพิรุจอะไรออกมาให้คนอื่นจับได้แน่นอน ร่างโปร่งบางยังคงย่างเท้าเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดเขาก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าโบสถ์แห่งนี้ ใบหน้าสวยมองผ่านประตูรั้วเข้าไปภาพตรงหน้ามันช่างทำให้ตัวเขานึกถึงสมัยตอนที่ตนเองและผู้เป็นน้องสาวเด็ก ๆ ซึ่งทุกวันหยุดเขามักจะมาวิ่งเล่นกับผู้เป็นน้องสาวที่ลานกว้างของโบสถ์แห่งนี้เสมอ หากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปนับตั้งแต่พ่อและแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อตอนเขาอายุเพียง 15 และน้องสาวที่อายุไม่ถึง 6 ขวบดี ซึ่งเขาชื่อว่าการตายของผู้ให้กำเนิดนั้นมันไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่ตำรวจบันทึกในแฟ้มคดี หากแต่มันคือการฆาตกรรมต่างหาก และตัวเขาที่ยึดถือเช่นนั้นก็หันสินใจหันหลังให้กับแสงสว่างและเดินเข้าสู่โลกด้านมืดตั้งแต่ตนเรียนจบจูเนียร์ไฮสคูล ซึ่งในตอนแรกการสืบข่าวของเขามันเริ่มต้นในรั้วซีเนียร์ไฮสคูลครีแวนนั้นคอยแอบฟังและบันทึกข่าวคราวที่เหล่าลูก ๆ ผู้มีอิทธิพลคุยกันหากแต่มันก็ไม่ได้ความอะไรเท่าไหร่นักจนท้ายที่สุดเขาก็ต้องตัดสินใจเดินเข้าสู่โลกด้านมืดอย่างเต็มตัว จากการสืบข่าวเล็ก ๆ น้อย ๆ ในโรงเรียนเพียงอย่างเดียว เปลี่ยนมาเป็นการสืบข่าวตามผับและบาร์ต่าง ๆ จนในที่สุดเขาก็ได้พบกับอาเบลหรือจะเรียกให้ถูกก็คืออาจารย์ของเขาแม้ตอนนี้ชายคนนั้นจะเรียกครีแวนว่าเป็นรุ่นน้องก็ตาม คน ๆ นั้นคอยสอนทุกอย่างให้กับเขาและมักจะนำข่าวที่เขาต้องการรู้มามอบให้เสมอ จนท้ายที่สุดเรื่องราวที่เขาต้องการรู้ก็ถูกรวบรวมมาได้จำนวนหนึ่งหากแต่มันก็ยังไม่สามารถทำตัวของครีแวนรู้ได้ว่าตัวการของเรื่องราวทั้งหมดนั่นคือใคร และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ครีแวนเดินลึกเข้าไปในโลกด้านมืดนี่อีกก้าว เขาเริ่มที่จะสืบข่าวของแก๊งค์มาเฟียที่เก่าแก่และมีอำนาจมากขึ้น จนท้ายที่สุดก็มาถึงตระกูลฟีเลทัส ซึ่งตามที่เห็นเขาพ่ายแพ้อีกฝ่ายอย่างหมดท่าหากแต่มันก็ทำให้ครีแวนได้รู้ว่าการตายของพ่อแม่เขาไม่ได้เกิดขึ้นจากคนในตระกูลนี้...และในตอนนี้ก็เหลือเพียงตระกูลเดียวที่เขาต้องสืบถึง ‘ตระกูลหรือแก๊งค์ราดอฟล์’ แม้มันจะไม่ได้สืบยากมากมายแบบตระกูลฟีเลทัส แต่เรื่องความโหดของตระกูลนี้...แก๊งค์นี้ มันไม่เป็นสองรองใครเลยจริง ๆ เพราะเท่าที่ครีแวนได้ยินข่าวเกี่ยวกับตระกูลนี้พวกเขาทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการไม่ว่าจะต้องฆ่าใครต่อใครไปมากมายขนาดไหนก็ตาม ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นนัยน์เนตรทั้งสองข้างหลับตาลง ‘สงสัยต้องไปฝากยัยวิเวียนกับมาสเตอร์ซะแล้วสิ’ เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาพร้อมกับดวงเนตรที่ลืมตื่นขึ้น



ในตอนนี้ครีแวนได้ตัดสินใจแล้วว่าตนนั้นจะทำอะไรต่อ ตอนนี้ครีแวนไม่จำเป็นต้องเสียเวลาสืบข่าวของแก๊งค์ไหน ๆ อีกต่อไปแล้วเพราะเป้าหมายทั้งหมดถูกตัดออกไปเหลือเพียงแต่ตระกูลราดอฟล์เท่านั้นและที่สำคัญตระกูล ๆ นี้เป็นอริกับตระกูลฟีเลทัสเสียด้วย ถ้าหากคนพวกนั้นรู้ว่าบุคคลนิรนามที่พวกตนตามหาจนพลิกแผ่นดินเป็นเขาแล้วหละก็...งานนี้คงต้องพลาดแน่นอน



แต่ครีแวนตัดสินใจแล้วว่าความผิดพลาดนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับเขาอีกต่อไปแล้ว นัยน์เนตรสีไพลินวาวโรจน์ก่อนที่เขาจะหันหลังและเดินกลับไปยังทางเดิมที่ตนเคยผ่านมา


ถึงเขาจะตายแต่ก็ต้องตายแบบลากอีกฝ่ายลงนรกไปด้วย...



และเมื่อครีแวนกลับมาถึงคอนโดนองสาวตัวแสบที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนก็ถลาเข้ามากอดเอวเขาหลวม ๆ ครีแวนรูดีว่ายัยน้องคนนี้แขงแกร่งแต่ภายนอกเท่านั้นหละ แต่จริง ๆ แล้วขี้แยอย่างกับอะไรดี มือบอบบางยกขึนไปลูบศีรษะเล็กนั่นอย่างเบามือก่อนจะจูงมือเด็กสาวให้ไปนั่งที่โต๊ะอาหาร



“วันนี้หวังว่ารสชาติอาหารจะไม่มีรสไหม้นะ” ครีแวนกล่าวหยอกผู้เป็นน้องสาว ซึ่งคำตอบที่ได้มาคือมือเล็กที่ยื่นเข้ามาเขกหัวของเขาหนึ่งที



“จะบ้าหรือไงไม่ไหม้หรอกน่าเราฝึกมาตั้งเดือนนึงตอนที่ครีแวน ‘ไม่คิดจะกลับบ้าน’ เราว่าเราทำอาหารอร่อยกว่าครีแวนแล้วด้วยหละ” เด็กสาวพูดตอกกลับหากแต่ในประโยคเหล่านั้นมีถ้อยคำง้องอนแอบแฝงอยู่ ซึ่งครีแวนก็ไม่คิดที่จะสนใจอะไรสักนิด เขาก้มหน้าก้มตาทางอาหารที่อยู่ในจานจนท้ายที่สุดทุกอย่างที่ถูกจัดเรียงเบื้องหน้าเขาก็หายไปจนหมดมือเรียวหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ดที่ริมฝีปากก่อนจะยังกายให้ลุกขึ้นยืนเพื่อไปเตรียมความพร้อม



ครั้งนี้เขาอาจจะหายสาบสูญไปเลยก็ได้แต่กระนั้นก็ยังขอให้ตัวเองต่อส็ให้ได้หน่อยเถอะ ขาเรียวรีบก้าวเดินแจ็คเก็ตตัวเก่งถูกนำมาใส่พร้อมกับการตรวจเชคอาวุธทั้งหมดว่ามันอยู่ดีไหม...ซึ่งบอกเลยว่าอาวุธทั้งหมดของครีแวนนั้นอยู่ไม่ครบหรือจะให้พูดอย่างเปิดเผยนั่นก็คือมันไม่มีเลยสักชิ้นเดียว มือบางถูกยกขึ้นและตบไปที่หน้าผากของตนเต็มแรง



เขาลืมไปสนิทเลยว่าอาวุธทุกอย่างของเขาถูกไอบ้านั่น หรือ ‘ดอนฟีเลทัส’ ยึดไปหมดทั้งแต่วันแรกที่เขาเข้าไปเหยียบที่คฤหาสน์แห่งนั้น แล้วตอนนี้เขาจะทำยังไงดีทั้ง ๆ ที่รู้เป้าหมายแล้วแต่กลับทำอะไรไม่ได้จะสั่งทำอาวุธใหม่ก็กลัวว่ามันจะไม่เหมือนเดิมทั้งหมด และถ้าให้พูดว่าเขาอยากสั่งทำอาวุธพวกนั้นใหม่ไหมขอบอกเลยว่าไม่เพราะของพวกนั้นมันเป็นของดูต่างหน้าของพ่อเขามันมันเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามากกว่าเงินมากมายมหาศาลที่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองทิ้งไว้ให้ และในตอนที่เขาพบเจอเซทมีดพกพวกนั้นเขาก็เจอจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนบอกว่าให้ตัวของเขาปล่อยวางและอย่าได้ตามสืบเรื่องราวอะไรหากผ็ให้กำเนิดทั้งสองจากไป หากแต่ตัวครีแวนนั้นปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น เขาหันหลังให้กับโลกของแสงสว่างและเดินเข้าสู่โลกด้านมืดด้วยความตั้งใจของตนเอง แล้วตอนนี้เขาควรทำยังไงกันถึงจะได้อาวุธของเขากลับคืนมา…ซึ่งมันก็มีอยู่เพียงวิธีเดียวที่จะทำให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการอย่างรวดเร็วที่สุด...ริมฝีปากบางเม้มลงอีกครั้งคิ้วเรียวงามนั้นขมวดเข้าหากันจนแทบจะกลายเป็นปม
และวิธีนั่นก็คือ...เขาต้องกลับไปที่คฤหาสน์แห่งนั้นอีกครั้งแล้วกระชากคอเจ้าบ้านั่นให้คืนของของเขามาให้หมด ซึ่งก็ต้องเสี่ยงดวงว่ามันจะยอมคืนให้เขาดี ๆ ไหมด้วย นัยน์เนตรสีไพลินหันไปมองนาฬิกาซึ่งในตอนนี้เข็มสั้นชี้บอกเวลาแล้วว่าในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่จะสมควรเข้านอนได้แล้ว ร่างสูงโปร่งนั้นทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับปล่อยให้เรื่องราวที่ตนเองจะจัดการเป็นเรื่องของวันต่อไป



เสื้อโค้ดและแจ็คเก็ตถูกโยนไปพาดไว้ที่โซฟาพร้อมกับร่างเพรียวบางที่ทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียง นัยน์เนตรทั้งสองข้างปิดสนิทและเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว





การใช้ชีวิตประจำวันยังเดินต่อไปอย่างปกติซึ่งหลังจากที่ได้กลับมายังบ้านที่พักอาศัยของตนตอนนี้เวลาก็ผ่านไปร่วม ๆ สองอาทิตย์แล้ว แต่ว่าระยะเวลาสองอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นครีแวนยังไม่ได้ออกไปเอาอาวุธหรือของดูต่างหน้าผ็เป็นบิดากลับมาเลยสักชิ้นเดียว และเหตุผลที่ทำให้ครีแวนไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้นั่นก็คือน้องสาวตัวแสบที่มีนามว่า ‘วิเวียน เดอ เมอร์เรส’ นั่นเอง แล้วทำไมเด็กสาวร่างเล็กผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินแปลกตาเฉกเช่นผู้เป็นพี่ชายถึงเป็นต้นเหตุนั่นก็เป็นเพราะไม่ว่าครีแวนจะกระดิกตัวไปทางไหนเด็กสาวแสนซนคนนี้ก็จะกระดิกตัวตามทุกครั้ง แม้แต่ตอนที่เขาจะลุกไปเข้าห้องน้ำยัยน้องสาวตัวแสบนี่ก็ดึงดันจะตามไปด้วยทุกครั้งและนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ครีแวนยังไม่สามารถออกไปเอาอาวุธคืนจากคน ๆ นั้นได้



หากถ้ายังคงเป็นแบบนี้ต่อไปมันก็ยิ่งจะเสียเวลาแต่ในที่สุดโอกาสของครีแวนก็มาถึง เพราะวันนี้วิเวียนมีนัดที่จะไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน ซึ่งโอกาสที่เขาจะแอบหลบไปยังคฤหาสน์ฟีเลทัสนั้นได้ก็มาถึง เด็กสาวรีบแต่งตัวเสื้อหนาวสีฟ้าอ่อนถูกสวมทับด้วยเสื้อโค้ดสีน้ำตาลอ่อนใบหน้าเล็กนั้นคลี่ยิ้มพร้อมกับหมุนตัวให้ผู้เป็นพี่ชายดู ซึ่งมีหรือคนอย่างครีแวนจะสนใจอะไรในเรื่องพวกนี้ มือเรียวถูกยกขึ้นมาป้องปากหาวก่อนจะโบกมือไล่ให้น้องสาวของตนรีบไปให้พ้น ๆ สักที ซึ่งวิเวียนก็ทำตามอย่างที่ครีแวนบอกนั้นก็คือการไปให้พ้น ๆ แต่ก่อนที่เด็กสาวจะวิ่งออกไปจากห้องเธอได้ฝากลูกเตะไว้กับผู้เป็นพี่ชายแล้วรีบวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ครีแวนส่งสายตาอาฆาตตามแผ่นหลังของผู้เป็นน้องสาว และเมื่อเสียงบานประตูห้องปิดลงร่างสูงเพรียวก็ลุกขึ้นพร้อมกับเดินตรงไปยังห้องแต่งตัวของตนเพื่อเตรียมตัวกลับไปยังคฤหาสน์แห่งนั้น



‘หวังว่าการกลับไปที่นั่นในครั้งนี้อีกฝ่ายจะยอมปล่อยให้เขาออกมาง่าย ๆ นะ’ ริมฝีปากบางพึมพำกับตนแผ่วเบาก่อนร่างโปร่งบางนั้นจะรีบเคลื่อนตัวออกจากห้องไป





ขาทั้งสองข้างเร่งสาวเท้าเดินมือั้งสองข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค๊ดเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย หากแต่ในขณะที่ครีแวนรีบเร่งนั้นเขาไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าด้านหลังของเขามีใครบางคนแอบเดินตามเขาอยู่ และเมื่อขาทั้งสองข้างของร่างโปร่งบางเดินไปถึงถนนใหญ่ มือบางรีบเร่งโบกรถแท็กซี่และถลาขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังทันทีเสียงหวานเอ่ยบอกถึงจุดหมายที่ตนต้องการจะไปและเช่นเดียวกับบุคคลนิรนามที่ตามเขาคน ๆ นั้นก็สั่งให้รถยนต์ที่ตนนั่งนั้นขับตามเส้นทางที่ครีแวนต้องการจะไป



การเดินทางนี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดีในตอนนี้ครีแวนก็มาถึงถนนเส้นใหญ่ที่มุ่งตรงไปยังคฤหาสน์ฟีเลทัส ครีแวนเร่งสาวเท้าเดินอีกครั้งและมุ่งตรงไปยังจุดที่ตัวเองเคยหันหลังจากมา ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยความตึงเครียด เพราะเขากำลังหาวิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมคืนของทั้งหมดมาให้เขา ซึ่งการใจจดใจจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเป็นเรื่องดีหากแต่จดจ่อเกินไปจนทำให้การระวังตัวนั้นลดลงก็อาจจะส่งผลร้ายให้กับตนเช่นกัน



บุคคลนิรนามยังคงเดินตามอยู่ทางด้านหลังร่าง ๆ นั้นค่อย ๆ เดินตามแผ่นหลังนั่นไปโดยทิ้งระยะปลอดภัยไว้และเมื่อร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มเดินมาถึงหนาประตูบานใหญ่สิ่งแรกที่ครีแวนทำก็คือกดอินเตอร์โฟนแล้วตะคอกเสียงเรียกดอนหนุ่มผู้นั้น “ไอเจ้าบ้าเฮลาส ฟีเลทัส โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย’ สิ้นเสียงหวานไม่มีถ้อยคำใด ๆ ตอบกลับจากด้านในหากแต่บานประตูที่ปิดกั้นนั้นถูกเปิดออกเพื่อเชื้อเชิญให้ร่างบอบบางนั้นเข้าไป



“เจ้าบ้าถ้าแกไม่คืนของ ๆ ฉันมาให้ครบแล้วหละก็…เตรียมตัวตายได้เลยเจ้าบ้า” เสียงนุ่มกร่นด่าอีกครั้งพร้อมกับขาทั้งสองข้างที่สาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน


ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ป่าหากแต่โดนมนุษย์จับมาเลี้ยงสักครั้งหนึ่งแล้วมันก็ไม่มีทางลืมเลือนสัมผัสของผู้เป็นเจ้านาย




ร่างสูงโปร่งเดินผ่านเข้าไปแล้วหากเหลือแต่บุคคลนิรนามที่ยังยืนอยู่ภายนอกร่าง ๆ นั้นสงเสียงจิ๊จ๊ะออกมาอย่างไม่พอใจหากแต่เขาก็ยังไม่คิดที่จะเลิกล้มความตั้งใจหากประตูบานนั้นไม่เปิดให้ตนเข้าไปมันก็มีทางอื่นที่ทำให้เข้าไปได้อีกเมื่อคิดได้เช่นนั้นร่าง ๆ นั้นก็จัดการปีนรั้วเข้าไปอย่างรวดเร็ว โดยที่เขาไม่ได้คำนึงเลยว่าการที่ตัวเองย่างก้าวเข้าไปในที่แห่งนี้มันจะเปลี่ยนชีวิตตนจากหน้ามือเป็นหลังมือ









_____________TBC______________




ตอนนี้สอนให้รู้ว่า... สัตว์เลี้ยงถ้าไ่มีเจานายกำกับ...ก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด