http://www.youtube.com/v/YXOIdSFeicM# 26 อยากหมุนเวลา.....“อะไรนะครับ! ผู้จัดการ”“พิชย คุณฟังไม่ผิดหรอก นี่คือรายชื่อที่ทางสำนักงานใหญ่ส่งมา พวกคุณทั้งสามคนถูกแลกตัวไปประจำอยู่ที่
อัศวออโต้คาร์ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป”
ผม หมาบาสและวุฒิ เดินออกมาจากห้องผู้จัดการของศูนย์รถยนต์ญี่ปุ่นชื่อดัง เราสามคนต่างเงียบ ในใจผมตอนนี้คือหนักอึ้งมาก รู้เหตุผลทั้งรู้ว่าเพราะเหตุใดถึงมีรายงานคำสั่งออกมาแบบนั้น
“พี่ปิง ยิ้มหน่อยสิพี่เราควรจะดีใจกันไม่ใช่เหรอ นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเราจะได้ไปประจำอยู่ที่ศูนย์รถยนต์ยุโรปที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลยนะพี่ ได้ยินข่าวว่าแต่ละวันมีรถเข้ามาใช้บริการเป็นร้อย ๆ คัน พนักงานเขาก็เยอะ ศูนย์ซ่อมบำรุงใหญ่กว่าที่นี่สามสี่เท่าโน่นแน่ะ ที่สำคัญที่สุดโชว์รูมรถของที่นั่น พวกเราสามคนเคยซิ่งมอไซด์ผ่านแล้วชะเง้อคอมองกันตอนเราเรียน ปวช. อยู่ไงพี่ พี่ปิงยังจำได้ไหม”
หมาบาสพูดปลอบใจผมขณะที่ไอ้วุฒิตบลงที่บ่าผมอย่างปลอบใจ ทั้งที่ตัวมันสองคนหน้าเสียไม่แพ้กันกันกับผมหรอก ผมรู้ครับว่า อัศวออโต้คาร์ ยิ่งใหญ่จริง ดีจริง ทุกอย่างคือดีมาก ศูนย์ซ่อมรถยุโรปชั้นแนวหน้า แต่คือพวกผมก็รักที่นี่นะ ถึงจะเป็นศูนย์รถยนต์ญี่ปุ่นแต่เราก็มีพรรคพวกที่สนิทสนมกันมาเป็นปี ๆ เราเข้ากันได้ ทำงานร่วมกันไม่เคยมีปัญหา ผมพอใจที่เล็กๆของผม แต่แล้วมันคืออะไรจู่ ๆมีคำสั่งให้ผมย้ายไปประจำอยู่ที่นั่น ซ้ำร้ายยังมาบังคับเพื่อนผม บาสกับวุฒิให้พวกมันต้องไปปรับตัวตั้งตัวกันใหม่อีก
“ขอโทษนะเว้ย กูทำให้พวกมึงเดือดร้อนจริง ๆ เลย”
“คิดมากทำไมวะ มึงไปอยู่ที่ไหนพวกกูสองคนต้องตามไปอยู่ด้วยอยู่แล้ว เราสามคนเพื่อนตาย”
ไอ้วุฒิแม่ง มึงพูดซะกูซึ้งเลย ผมแกล้งเอาหน้าไปเช็ดๆหัวไหล่มันหมาบาสเลยเล่นบ้าง เราสามคนกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ไล่เตะกันไปเรื่อย
เย็นวันนั้นผมแวะกลับออฟฟิศ ปลดกระเป๋าแล้ววางลง พี่เชนหน้าตายุ่งคือเหมือนคนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
“ปิง กูหาฮาร์ดดิสตัวสีฟ้าไม่เจอ มึงเห็นป่ะ ไม่รู้เผลอเอาไปวางไว้ที่ไหน”
“ไอ้ตัวสองพันกิ๊กน่ะเหรอพี่”
“ใช่ๆ”
“อ๋อไอ้ตัวนั้น วันก่อนผมเอากลับไปทำต่อที่บ้าน ยังไม่ได้เอากลับมาเลยครับ พี่เชนรีบใช้ป่ะพี่เดี๋ยวผมกลับไปเอามาให้”
ผมเดินเข้าไปด้านในที่โต๊ะกินข้าว ฝาชีเล็กครอบขนมทาโกะยากิที่พี่เขาชอบซื้อมาให้ผมกินวางไว้ ผมเลยจิ้มกินไปสองลูก
“เออขนมอยู่บนโต๊ะกูลืมบอกมึง กินดิ่วะ”
“อินแอ๊ววว” ผมพูดทั้งขนมเต็มปาก พี่เชนหันกลับมามองหัวเราะผมใหญ่ ผมยักไหล่แล้วริน้ำกินอึกๆๆ
“กินเสร็จมึงกลับไปเอามาให้กูดิ่ อ่ะนี่กุญแจรถ” พี่เชนโยนกุญแจซีอาร์วีของพี่เขาส่งให้ ผมคาบส้อมไว้ แล้วใช้มือรับเกือบไม่ทันกำลังยัดขนมเข้าปากพอดี
“อย่านาน เดี๋ยววันนี้งานกูไม่เสร็จได้อยู่โต้รุ่งแน่ ๆ มึง”
“คร้าบๆปิงไปเดี๋ยวนี้เลย”
ผมฝ่าฟันมรสุมรถติดช่วงเย็นด้วยบทเพลงเพื่อชีวิตเพราะๆที่อยู่ในรถของพี่เชน เมื่อก่อนมันไม่ใช่เพลงแนวนี้หรอกนะครับแต่ผมแอบเอาแผ่นนี้มาเสียบไว้ อะไรวะซีอาร์วีรุ่นนี้ยังไม่มีช่องเสียบแฟลชไดร้ฟ์อ่ะ เออผมก็งงนะพี่เชนจะให้ขับรถยนต์มาทำไมวะ ผมซิ่งมอไซด์แปปเดียวมันจะถึงบ้านเร็วกว่าอีก
รถจอดลงที่หน้ารั้วไม้เตี้ย ๆ รีบวิ่งเข้าไปด้านในตัดหน้าร้านไปที่ด้านหลังไม่ได้แวะขึ้นไปที่ระเบียงหน้าร้าน คือผมรีบมากตรงดิ่งเข้าไปที่บ้านสวนหลังเล็กของพวกเราหยิบฮาร์ดดิสตัวที่พี่เชนบอกแล้วเดินจ้ำออกมาเลย
“ปิงลูก” เสียงแม่เรียกอยู่ที่ระเบียงหน้าร้าน ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง มันก็ไม่ได้สูงนะแค่เป็นบันไดเตี้ย ๆ สองสามขั้นจากพื้นดิน แล้วผมก็รีบจนไม่ได้มองเลยว่าคุณนายนั่งอยู่ นึกว่าเป็นลูกค้าแต่พอยกนาฬิกาขึ้นดูถึงได้รู้ว่านี่มันเกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว แม่ปิดร้านไปแล้วนี่
“ปิงครับ มานี่เร็วขึ้นมาหาแม่”
“แม่ครับ ปิง.......” ผมวิ่งขึ้นมาถึงได้มองเห็นชัดๆว่าเป็นใครที่นั่งคุยอยู่กับแม่และพี่ขม คำพูดชะงักกึกทันที
“ปิงมานั่งก่อนลูก ดูซิว่าใครมา” แม่เบี่ยงตัวออก เผยให้เห็นใครคนนั้นนั่งอยู่ข้าง ๆ แบบเต็ม ๆ
“พี่เอย์เขาซื้อของมาฝากแม่กับพี่ขมเยอะเลยนะ มีขนมที่ปิงชอบด้วยนะลูก พี่เขากลับมาแล้ว ปิงรีบเข้ามาหาพี่เอย์เร็วลูก”
ขาผมชะงักนิ่งอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้าย คือรู้สึกว่าหนักอึ้งมากราวกับถูกตอกตรึงไว้อยู่กับพื้นจนก้าวต่อไปไม่ได้อีก เราสองคนสบสายตากัน พี่เอย์ค่อยลุกขึ้นยืนช้า ๆ ทุกอย่างระหว่างเราคือเงียบไปหมด เย็นย่ำแบบนี้ที่ระเบียงไม้ระแนงใต้ลีลาวดีต้นใหญ่ สายลมอ่อนพัดพาเอากลิ่นหอมของดอกไม้สวยเข้ามาแตะกระทบถึงปลายจมูก เส้นผมสีอ่อนปลิวพลิ้ว ผมยกมือขึ้นเกลี่ย
“ปิงกินข้าวด้วยกันก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่กับพี่ขมจะเข้าไปทำอาหารให้ พี่เอย์เขามารอลูกนานแล้วนะ มาเร็วเร๊ว มานั่งคุยกับพี่เขาก่อน” แม่เดินเข้ามาหาผม
แต่คุณเชื่อไหม....สายตาของเราสองคนระหว่างผมกับมันยังไม่สามารถละออกจากกันได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ผมไม่อยากเจอมันก็จริงแต่ในใจลึกๆแล้วผมก็อยากจะเก็บเกี่ยวความทรงจำที่ผมทำหล่นหายไปถึงสามปีกลับคืนมาเหมือนกัน
“ปิงลูก!” แม่เรียกขึ้นเสียงดัง เธอกระตุกแขนผมเบา ๆ ผมสะดุ้ง ปลุกตัวเองให้ออกจากภวังค์ความคิดทั้งหมด
เรื่องของผมกับมันจบไปนานแล้ว
ไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าเรื่องงานอีก
ผมต้องรีบกลับไป....พี่เชนรอผมอยู่
“แม่ครับ ปิงแวะมาเอาของ วันนี้มีงานค้างเยอะต้องรีบกลับนะ” ผมบอกแม่กอดเอวอุ่น แล้วเดินเลี่ยงลงบันได ความจริงผมไม่อยากจะหันไปมองมันอีก แต่ในระหว่างนั้นตอนที่ผมจะก้าวขึ้นรถ อะไรบางอย่างในหัวใจกลับดึงสายตาผมให้หันกลับไปมองเรือนร่างสูงโปร่งที่ยืนเกาะราวระเบียงนิ่งจ้องมองมาที่ผม สายตาของพี่เขาคือเว้าวอนมาก....ผมรู้ ผมรู้ว่ามันอยากจะคุยอะไรบางอย่างกับผม ตั้งแต่เมื่อวานที่เราเจอกันที่บริษัทของมัน แต่คือผมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อม ไม่ว่าสิ่งที่พี่เขาอยากจะคุยด้วยคืออะไร สักวันหนึ่งถ้าหากว่าผมพร้อมกว่านี้ เข้มแข็งกว่านี้ ผมจะลองรับฟังมัน
“พี่เชนครับ” ผมยื่นฮาร์ดดิสตัวที่ผมกลับไปเอาส่งให้
“กูต้มมาม่าไว้แล้ว เผื่อมึงด้วย อยู่บนโต๊ะนะ ในฝาชี”
“ครับพี่”
พี่เชนยุ่งอยู่กับตัวโปรแกรมอยู่ที่หน้าจอ เครื่องคอมที่พวกผมหอบกลับมาจากอัศวฯ เมื่อวานนี้ ถูกรื้อกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ หน้าที่ผมเองที่ต้องเป็นคนประกอบเข้า เมื่อคืนผมนั่งดึงและย้ายข้อมูลจากเครื่องนี้จนเกือบจะตีสี่ ดีหน่อยที่ฮาร์ดดิสไม่มีปัญหา
“พี่เชนยังไม่กินเหรอครับ” ผมเปิดฝาชีออกดู เส้นอืดนิดๆแล้วมีแครอทโรยหน้าด้วย พี่เชนชอบกินผักมากนะ แครอท ผักกาดแก้ว สองอย่างนี้จะขาดไม่ได้ ต้องซื้อติดตู้เย็นไว้ตลอด
“ยังดิ่ รอมึง” พี่เชนเดินเข้ามานั่งกินข้าง ๆ ผม
“โหพี่ เกิดผมกลับมาสามทุ่มอ่ะ”
“ก็กินสามทุ่มไง”
“แล้วพี่ไม่หิวอ่อ”
“หิวนะ แต่ไม่มาก ถ้าทนไม่ไหวยังไงกูก็ต้องกินก่อนอยู่แล้ว มึงไม่ต้องคิดว่ากูจะรอมึงจนดึกขนาดนั้น”
“อะโด่ว ไอ้เราก็นึกว่าจะมีคนใจดีรอกินข้าว” ผมเบะปากใส่ พี่เชนอมยิ้ม ยื่นมือเข้ามายีหัวผมอย่างเอ็นดู ผมรู้ว่าพี่เชนพูดเล่น ปกติเราสองคนจะโซ้ยรอบดึกด้วยกันตลอด มาม่านี่ต้องมีติดออฟฟิศ ผักกับไข่ต้องมีติดตู้เย็น มื้อไหนใครว่างคิดจะพักสายตาจากหน้าจอก็จะเลี่ยงไปแสดงฝีมือต้มมาม่า ไม่ก็ทำอาหารอร่อย ๆ แต่ถ้าหากว่างกันจริง ๆ พี่เชนกับผมเราจะไปซุปเปอร์ด้วยกัน หาซื้อของสดมาทำกิน
คืนนั้นเราสองคนทำงานกันจนดึกดื่นอีกแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นพี่เชนที่หอบหมอนหอบผ้าห่มลงมาปูนอนข้างๆโต๊ะผม
“อ้าวพี่ไม่ขึ้นไปนอนดี ๆ อ่ะครับ” งานพี่เขาเสร็จแล้ว
“กลัวว่ามึงจะดีลีทข้อมูลในเครื่องเขาโดยไม่ตั้งใจสิ กูต้องดูไว้ไม่ให้พลาดเด็ดขาดเลย”
“หูยยยยพี่ครับ ผมเนี่ยระดับไหนแล้ว มีเหรอเคยทำเรื่องผิดพลาดแบบนั้น” เครื่องนั้นแหละครับที่มันหล่นและน้ำราดลงมาหน้าจอก็แตกละเอียด แต่ผมถอดฮาร์ดดิสมันออกมาแล้ว
“แฮกเข้าไปได้ยัง” พี่เชนถาม งานพี่แกเสร็จแล้วโล่งเลยดิ่ ผมนี่รับผิดชอบอันนี้หนักเลย
“ยังดิ่ เดี๋ยวจะเข้าได้แล้วเนี่ย อย่าเพิ่งกวนผมดิ่พี่” ผมพรมนิ้วลงที่แป้นรัวเลย คือแรนดอมรหัสอยู่
“กูว่าคุณเอย์ตั้นอะไรนั่นแปลกๆอยู่นะปิง เมื่อวานไม่รู้เกิดอะไรขึ้นจู่ ๆ เดินเข้าไปปัดเครื่องตกลงมาจากโต๊ะซะงั้น ตอนคุยเรื่องขอบข่ายงานกับกูแล้วก็พิมที่ห้องรับรองคือยังดี ๆ อยู่เลย แต่พอกูขึ้นไปเห็นที่ห้องประธานนี่คือแบบ เหมือนคนล่ะคนเลยว่ะ”
หน้าผมเริ่มชา คือไม่รู้จะตอบพี่เชนกลับไปว่าอะไร ผมคิดว่าผมรู้เหตุผลที่พี่เอย์ทำแบบนั้น แต่พี่เชนไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยย่อมต้องสงสัยเป็นธรรมดา
“แล้วที่สำคัญอยากจะให้เราเข้าไปวางระบบให้ แต่จะมาลองภูมิเราหรือยังไงแบบไหนกันวะ ทำไมไม่ยอมให้รหัสเครื่องมาต้องให้เราแฮกหาเองแบบนี้งานมันจะเดินช้าลงไหมยังไง มึงคิดเหมือนกูป่ะวะปิง”
หน้าพี่เชนนี่คือสงสัยเต็มที่ ผมน่ะกลัวว่าพี่เขาจะพูดเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่เห็นเมื่อคืนทำเฉย ๆ เลยนึกว่าจะลืมไปแล้วที่แท้เก็บเอามาถามผมวันนี้
“อีกอย่าง....”
พี่เชนพูดแล้วหยุด ผมเลยหันไปมอง สายตานี่คือจ้องผมนิ่งเลย วี่แววสงสัยเต็มเปี่ยมไปหมด
“กูว่าสายตาที่คุณเอย์เขามองมึงนี่มันไม่ธรรมดาว่ะปิง ถามจริง มึงเคยรู้จักกับท่านประธานของที่นั่นมาก่อนใช่หรือเปล่า”
.
.
.
เช้าวันต่อมา ที่อัศวออโต้คาร์“สวัสดีครับ”
“มากันเร็วดีนะ เห็นรายชื่อส่งมาจากฝ่ายบุคคลตั้งแต่เมื่อวาน ยังคิดอยู่เลยว่าวันนี้พวกคุณจะมาทันไหม”
ผม บาส และวุฒิ ตอนนี้ยืนรายงานตัวอยู่ที่แผนกซ่อมบำรุงของศูนย์รถยนต์นำเข้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย
อัศวออโต้คาร์ ผู้จัดการของที่นี่แบ่งเป็นแต่ล่ะแผนกชัดเจน หัวหน้างานของผมเป็นผู้ชาย อายุน่าจะประมาณสามสิบต้น ๆ สูงใหญ่ดูภูมิฐานมาก พี่เขาชื่อศักดาแต่ให้พวกผมเรียกเขาว่า ‘หัวหน้า’
“เอาล่ะ คงไม่ต้องรีรออะไรให้มากความหรอกนะ ไปเปลี่ยนชุดแล้วออกไปลุยงานกันเลย เดี๋ยวผมจะพาไปแนะนำกับช่างฟิตที่ประจำอยู่ที่นี่”
ว่าจบหัวหน้าศักดาพาพวกผมสามคนออกเซอร์เวย์อู่ซ่อมบำรุงที่กว้างขวางมาก ๆ ผมประเมินด้วยสายตาคร่าว ๆ รถที่กำลังมารับการซ่อมบำรุงเกือบ ๆ จะห้าสิบคันเข้าไปแล้ว ทั้งที่เป็นแค่ช่วงเช้า พนักงานสวมชุดหมีสีเทาประจำรถแต่ละคันทำงานกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายหัวหน้าของพวกเขาอย่างอารมณ์ดี แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเจ้านายกับลูกน้องของที่นี่ได้เป็นอย่างดี
“ที่ศูนย์ของเราจะรับเฉพาะรถยุโรปนำเข้าทุกยี่ห้อ เพราะฉะนั้นลูกค้าที่มาใช้บริการก็จะมีแต่ลูกค้าระดับเกรดบีขึ้นไป ไม่ต้องให้ผมบอกใช่ไหมว่าเราต้องพิถีพิถันมากแค่ไหน จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเกรดไหนเราก็ต้องพิถีพิถันกับเรื่องของคุณภาพให้มากที่สุด เพราะเราทุกคนในที่นี้กุมความปลอดภัยในชีวิตของพวกเขาอยู่ คุณต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ รถหนึ่งคันคือหลายชีวิตที่คุณจะต้องรับผิดชอบ ห้ามทำงานชุ่ย ๆที่จะส่งผลลัพธ์แย่ ๆ ให้เกิดกับบริษัทเด็ดขาด”
พี่เขาย้ำถึงนโยบายของบริษัท ความรับผิดชอบ ความอดทน สอนพวกผม แนะนำพวกผมสามคนกับทุกๆหน่วยย่อยในแต่ละจุด สุดท้ายแล้วพวกผมสามคนได้เข้าประจำอยู่ที่จุดซ่อม ของบีเอ็มดับเบิ้ลยู
เออคนรวยเยอะจริงวุ๊ยย คือที่หน่วยนี้รถแน่นมาก ช่างเดินกันให้วุ่นเลย
“หน่วยบีเอ็มดับเบิ้ลยู กับ เมอเซเดสเบนซ์ เป็นหน่วยซ่อมหลักของศูนย์เรา จำไว้แค่ว่างานต้องเนี๊ยบ ไม่อนุญาตให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นเด็ดขาด ถึงเวลาที่ต้องลุยงานกันได้แล้ว
ยินดีต้อนรับสู่ อัศวออโต้คาร์ ”
“ขอบคุณครับ” ผมสามคนตอบรับพร้อม ๆ กัน หัวหน้าศักดาเดินเข้ามาตบลงที่บ่าพวกผมให้กำลังใจ เรายิ้มสู้แล้วเริ่มลุยงาน ช่างฟิตที่นี่ต้อนรับพวกเราดีมาก ไม่มีใครดูถูกที่เราเคยทำแต่รถญี่ปุ่น ผมหมาบาสและหมาวุฒิกำลังตั้งหน้าตั้งตาเรียนรู้ช่วงล่างของรถยี่ห้อใหม่ ๆ
“วุฒิ ประแจแหวนเบอร์สิบ” ผมยื่นมือออกไปรับ หมาวุฒิวางลงให้พร้อมแถมประแจปากตายตัวเล็กมาอีกนึง
“ดีมากมึง รู้งานดี”
ที่นี่ผมไม่ต้องมุดไปนอนใต้ท้องรถอีกแล้วนะครับ คือเขาจะมีเครื่องยกรถให้ลอยสูงขึ้นพวกผมเดินๆกันอยู่ด้านล่างเงยหน้าซ่อมจัดการกับช่วงล่างเลย อุปกรณ์ยกเป็นไฮโครลิคแน่นหนาและปลอดภัยดีมาก
“พี่ปิงนี่ขนาดไม่ได้มุดนะ หน้าพี่นี่ยังเปื้อนได้อีก ฮ่าๆๆ ตลกว่ะพี่ส่องกระจกดูดิ่” หมาบาสมันแซว ผมแกล้งไม่สนใจไม่ได้ยิน หันมองมันตาเขียวแล้วยกขาจะถีบมันหน่อยนึง ไอ้วุฒิย้ายไปอีกคันแล้วมีรุ่นพี่เข้ามาสอนพวกผม
“จุดนี้เราใช้ประแจปากตายเบอร์สามงัดเลย มันเอาออกยาก” เสียงจากพี่ปอนด์ ช่างหลักที่รับผิดชอบรถคันนี้ เห็นว่าเป็นมือหนึ่งของหน่วยบีเอ็ม พี่เขาใจดีมว๊ากกกกกกกกก ยื่นเครื่องมือส่งให้ผม
“พี่ครับ คันนี้นัดรับกี่โมงพี่” ผมถาม
“ห้าโมงเช้า แต่คือต้องเสร็จก่อนนะเดี๋ยวต้องขับไปเข้าคาร์แคร์อัดฉีดก่อนส่ง”
“โหยแล้วจะเสร็จทันเหรอพี่”เออคือมันก็เร็วไปไหม
“มีรอคิวอยู่อีกเพียบ แต่ก่อนนี้อู่เราจะนัดรับถัดไปอีกวัน แต่หลังจากคุณเอย์ตั้นท่านประธานคนใหม่เข้ามา แผนการบริการลูกค้าของเราปรับเปลี่ยนนิดหน่อย งานเราต้องไวขึ้น กระจายหน่วยย่อยเพิ่มขึ้น ตอนแรกก็กังวลนะว่ามันจะเสร็จทันไหมยังไง แต่คุณเอย์แสดงศักยภาพให้เห็นแล้วว่าท่านประเมินความสามารถพวกเราได้ดีจริง ๆ ลูกค้าพอใจกันมาก ได้รถเร็วขึ้นในขณะที่คุณภาพเรายังคงเดิม งานเยอะขึ้นปีนี้คิดว่าน่าจะเปิดรับพนักงานประจำเพิ่มขึ้นอีกด้วย”
ผมฟังไปด้วยขันประแจไปด้วย แอบอมยิ้มนิด ๆ เพราะได้ยินรุ่นพี่เขาชื่นชมมัน ท่านประธานของที่นี่..........คุณเอย์
“ปิง!” เสียงไอ้วุฒิตะโกนเรียกมาจากอีกฝั่ง ผมชะงักมือจากการขันน็อตให้แน่นหันไปมอง อากาศร้อนมากประกอบกับชุดที่ใส่เป็นชุดหมี ผมเผลอเอามือดำๆป้ายใบหน้าไปอีกแล้ว
มันกวักมือเรียกผมไว ๆ แต่ผมไม่สนใจ มันเลยปรบมือเรียกอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิมอีกสามเท่าผมรีบวิ่งออกไปหามันพี่ปอนด์หัวเราะผมใหญ่เลย
“ไอ้เหี้ย ช้า โทรศัพท์มึงแม่ง”
“เอ๊า กูจะรู้?” ผมรีบถอดถุงมือออกเหวี่ยงใส่หัวมัน แล้วคว้าเอาหูโทรศัพท์มาแนบไว้ พี่ที่เขารับสายให้คือยิ้มร่าให้พวกผมเลย
“สวัสดีครับ พิชย ครับ” เออใครวะรู้ได้ไงว่าผมทำงานที่นี่
“............”
“ฮัลโหลครับ” ผมกรอกเสียงลงไปอีก แต่คือทางนั้นเงียบ ผมกำลังคิดว่าน่าจะมีอะไรผิดพลาดเพราะนี่เป็นเบอร์ภายในไม่น่ามีสายเรียกเข้ามาที่ผม เพราะผมเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่เป็นวันแรก กำลังจะอ้าปากถามพี่ที่เป็นคนรับสาย ว่าเขาถามหาผมแน่หรือเปล่าเสียงนึงจากปลายสายก็ดังแทรกขึ้นก่อน
“......ปิงกูหิวข้าว”ผมชะงักทุกอย่างทันที น้ำเสียงแผ่วเบาแต่นุ่มทุ้ม ทำเอาหูผมบอดจากเสียงรอบข้างมาก เสียงที่เปล่งออกมาจากโทรศัพท์เด่นชัดดังสะท้อนก้องอยู่ในใจ ผมรู้แน่ว่าเป็นเสียงของใคร คืออึ้งมาก ทำอะไรไม่ถูก
“ขึ้นมากินข้าวด้วยกันนะ จะเที่ยงแล้ว” น้ำเสียงที่อ่อนล้า เต็มไปด้วยความสำนึกผิดกับอะไรสักอย่าง น้ำเสียงที่แผ่วเบาไม่เต็มเสียงดี ผมรีบตั้งสติ มือไม้คือสั่น ตัดสินใจวางสายแล้วเดินกลับมาหาพี่ปอนด์ ทำงานของผมต่อไป ระหว่างนั้นก็คอยฟังนะว่าจะมีคนเรียกผมไปรับสายอีกไหม แต่คือทุกอย่างก็เงียบไป จนกระทั่งเกือบจะเที่ยง
“พิชยะ”
“ครับ” ผมหันไปหา เห็นหัวหน้าศักดาเดินเข้าไปคุยอะไรบางอย่างกับพี่ปอนด์ พักนึงก็เดินเข้ามาหาผม
“เดี๋ยวออกไปกับผมหน่อยนะ ไปชุดนี้เลยก็ได้ไม่เป็นไร”
“ไปไหนครับ” ผมลุกขึ้นถอดถุงมือทิ้งไว้ที่ชั้น แล้วรีบก้าวเดินตามหัวหน้าออกไป คือแกเดินเร็วมากเพราะว่าตัวสูงใหญ่ ผมนี่ก็ไม่ได้ตัวเล็กนะแต่ยังต้องกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามแก
“หัวหน้าจะพาผมไปไหนเหรอครับ” เราเดินตัดออกมาที่ตึกสำนักงาน หัวหน้ากดลิฟต์เรียกชั้นบนสุด ผมรีบหันมองทันที
ห้องบนสุดคือห้องของประธาน......................ห้องของพี่เอย์“เมื่อกี้คุณเอย์โทรลงมาหาผม บอกให้พาคุณขึ้นไปพบ กำชับให้ผมเดินมาส่งคุณให้ถึงที่หน้าห้องท่าน คงกลัวว่าคุณจะหลงน่ะ”
ผมแอบถอนใจ เอนตัวพิงที่ผนังลิฟต์แก้วสวยงามมองต่ำลงไปเห็นโชว์รูมรถเบื้องล่างมีแต่รถยุโรปสวยงามที่เด็กผู้ชายอย่างผมใฝ่ฝัน ผมนึกไว้อยู่แล้วตั้งแต่เมื่อวานเรื่องที่ถูกขอแลกตัวมาทำงานที่นี่ รู้ดีว่าเป็นเพราะใคร ทั้งเรื่องที่ผมเจอมันนั่งคุยอยู่กับแม่ผมที่ร้านนั่นอีก
ผิดไหมครับ....ผมแค่รู้สึกว่าผมเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยมานานแล้วกับการรอคอย ผมอยากจะหยุดพักตัวเองสักช่วงนึง ผมรู้พี่เอย์กำลังพยายามจะทำอะไร เรื่องของเราไม่ว่าเหตุผลของมันจะคืออะไรขอผมหยุดพักสักหน่อยก่อนได้ไหม ผมเหนื่อยมามากจริง ๆ ผมรู้ว่ามันอยากจะอธิบาย อยากจะบอกเล่าถึงเหตุผลของมัน แต่คือผมยังไม่พร้อม ผมเคยถามตัวเองนะว่าตอนนี้ความรู้สึกของผมคืออะไร คำว่ารักยังมีความหมายกับผมอยู่อีกไหม ผมเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเราสองคนครั้งหนึ่งเคยรักกันคือมันนานมากแล้วจริง ๆ
ติ๊ง!เมื่อลิฟต์เปิดออก ผมค่อยก้าวเดินอย่างช้า ๆ ตามหลังหัวหน้าฝ่ายผมไป ทางเดินที่คุ้นเคย หนทางที่กำลังมุ่งไปสู่ห้องของท่านประธานใหญ่ของที่นี่
“สวัสดีครับคุณภีม ผมพาพิชยขึ้นมาแล้วครับ ปิงนี่คุณภีมเลขาของท่านประธาน รู้จักกันไว้”
ผมยกมือขึ้นไหว้ คุณภีมน่าจะอายุพอๆกับหัวหน้าศักดา หล่อเหลาสวมแว่นดูภูมิฐาน
“สวัสดีครับคุณพิชย ขอบคุณมากครับพี่ศักดา” เขายกมือขึ้นรับไว้ผมแล้วหันไปกล่าวขอบคุณหัวหน้าศักดา ผมรู้สึกแปลกใจนิดๆคือเมื่อวานผู้ชายตัวเล็ก ๆ อีกคนที่จัดเนคไทจัดทรงผมให้พี่เอย์ไม่ใช่คนๆนี้ ผมนึกว่าเขาคนนั้นเป็นเลขาของพี่เอย์เสียอีก
“คุณพิชยเชิญเลยครับ ท่านประธานรออยู่แล้ว” คุณเลขาท่าทางรีบร้อน เคาะประตูห้องบานใหญ่แล้วเปิดเข้าไป คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเงยหน้าขึ้นมองผมทันที
ผมรู้....ถ้าผมตัดสินใจก้าวเข้าไป ประตูด้านหลังจะถูกปิดลงทันทีและจะมีเพียงพี่เอย์กับผมเท่านั้นที่เหลืออยู่ภายในห้องนี้
“คุณพิชยครับ” ผมยังยืนค้างนิ่งอยู่แบบนั้น จนคุณภีมต้องเรียกผมอีกครั้งผมถึงรู้สึกตัว ค่อยก้าวเข้าไปด้านใน ประตูใหญ่ด้านหลังถูกปิดลงอย่างที่คิดไว้จริง ๆ พี่เอย์ยืนมองผมอยู่ขณะที่ผมกวาดตามองดูรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง ผมเข้าห้องนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว รู้สึกว่าแอร์ในนี้เย็นเฉียบ ทั้งที่ผมอยู่ในชุดหมีของพวกช่างฟิตยังรู้สึกได้เลยว่าเย็นมาก
พี่เขาค่อยก้าวออกมาหา ในมือ ถืออะไรอยู่สักอย่าง
“ทำไมเป็นถึงโปรแกรมเมอร์แล้วยังต้องมาทำงานซ่อมรถแบบนี้” เสียงพี่เอย์คือเบามาก ดวงตาคมมีแต่ความเศร้าสร้อย กวาดตามองดวงหน้าผม เรายืนชิดกันมากจริง ๆ
“แก้มมึงมอมแมมไปหมด” มันพูดแล้วยกมือที่ถือผ้าเช็ดหน้าจะมาเช็ดรอยเปื้อนที่ใบหน้าให้ผม ผมรีบก้าวถอยหลังแล้วปัดมือมันออก มันเลยยืนนิ่งถือผ้าเช็ดหน้าเก้ออยู่แบบนั้น
“ไม่ทราบว่าคุณเอย์เรียกผมขึ้นมา มีธุระอะไรครับ” ผมถามไปแบบเรียบ ๆ ควบคุมระดับน้ำเสียงไว้เต็มที่ รู้ว่ามันยืนก้มหน้านิ่ง กำผ้าเช็ดหน้าอยู่แบบนั้น แต่จะเรียกผมขึ้นมาเพราะจะมาแค่เช็ดหน้าให้คงไม่ใช่แน่ ๆ
“โกรธกูมากเหรอ เกลียดกูแล้วใช่ไหม” “ถ้าคุณยังพูดเรื่องเก่า ๆ อีกผมจะขอตัวลงไปทำงานต่อนะครับ”
“ปิง” มันก้าวเข้ามาหา ผมรีบถอยหลัง พี่เอย์คว้าแขนผมไว้
“คุณเอย์ครับ ตอนนี้อยู่ในเวลาทำงาน ผมเป็นพนักงานของคุณ ผมพิชยครับ กรุณาเรียกชื่อจริงผมด้วย ถ้าคุณมีธุระจะสั่งให้ผมทำในเวลางานผมทำให้ได้ แต่นอกเหนือจากเรื่องงานแล้วผมเสียใจนะครับผมคงไม่มีเวลามาเล่นไร้สาระกับคุณหรอกครับ” พี่เอย์บีบแขนผมแรงขึ้นมาก คล้ายกับว่ามือมันเริ่มจะสั่น ดวงตาเต็มไปด้วยแววตัดพ้อผมมากมาย
“มึงไม่ยอมเรียกกูว่าพี่เอย์ แล้วยังไม่อนุญาตให้กูเรียกมึงว่าปิงด้วย?”“............”
พี่เอย์เสียงสั่นมาก ผมรีบหลบสายตามัน มันจ้องผมจนมันพอใจ ผมนิ่งอย่างเดียวผมไม่ตอบ บรรยากาศระหว่าเราคือชวนอึดอัดมาก ผมมองเห็นห้องเล็กๆด้านในห้อง ๆ นี้เลยเผลอมองไป สงสัยเหมือนกันว่ามันคือห้องอะไร
“มองหาใคร” เสียงมันถามขึ้น ผมสะดุ้งดึงสายตาตัวเองกลับมา
“ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้นหรอก มึงข้องใจเรื่องอะไรถามกูได้นะ”
“ปะ....เปล่าครับ” เอาจริง ๆ เลยนะผมแอบคิดนิดนึงว่าผู้ชายตัวเล็กๆดูน่าทะนุถนอมคนนั้น อาจจะอยู่ภายในห้องนั้น
“ปิง?”
“ผมแค่กำลังสงสัย คุณเปลี่ยนเลขาแล้วเหรอครับ”
“เปลี่ยนเลขา?”
“เมื่อวานผมว่าที่ผมเจอไม่ใช่คุณภีมที่นั่งอยู่หน้าห้องคุณตอนนี้ เป็นอีกคน ตัวเล็กๆ”
ผมถามออกไปแล้วอยากตบปากตัวเองคือผมเป็นคนแบบนี้จริงนะอยากรู้อะไรผมจะถามเลย นิสัยเสียไม่เปลี่ยน ที่น่าอายคือผมเห็นมันอมยิ้มนิดๆด้วยนะไม่รู้คิดอะไรบ้าบอหรือเปล่า คือผมก็แค่ถามแค่สงสัยไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย
“ถ้ามึงหมายถึงกัส เขาไม่ได้ทำงานที่นี่หรอก เขาเป็นเลขากูอยู่ที่อัศวคอนสตรัคชั่น ถามทำไมมึงสนใจเขาเหรอ”
ผมหันขวับทันที ใครจะไปคิดอะไรแบบนั้นมั่วเหอะ “ก็แค่แปลกใจน่ะครับกะว่าถ้าเจอจะคุยเรื่องแผนงานวางระบบสักหน่อย”
“มึงคุยกับกูสิจะไปคุยกับเขาทำไม กูเป็นผู้ใช้งานนะ มึงต้องออกแบบระบบจากความต้องการของผู้ใช้ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ล่ะครับ ผมเกรงใจ” ผู้ใช้โคตรเอาแต่ใจแบบคุณทางที่ดีผมห่างไว้สักหน่อยจะดีกว่า ผมก้าวถอยออกมาอีกคือรู้สึกว่าเราสองคนจะใกล้กันเกินไปแล้ว พี่เอย์รีบก้าวตามผมใช้ความเร็วขยับออกไปยืนอยู่อีกด้านคือแสดงออกให้รู้เลยว่าผมไม่อยากอยู่ใกล้มัน
มันจ้องผมนิ่งเลย
“ผมว่าคุณรีบพูดธุระของคุณดีไหมครับ ผมจะได้ลงไปทำงานต่อสักที”
ผมรีบเข้าเรื่องขยับ ๆ ไปจนตอนนี้เกือบจะอยู่ชิดบานประตูแล้ว เสียงสูดลมหายใจยาวดังขึ้น ก่อนที่ตัวมันจะเดินอ้อมกลับไปนั่งลงที่โต๊ะประจำตำแหน่งของตัวเอง ผ้าเช็ดหน้าที่มันกำไว้ถูกโยนลวกๆลงบนโต๊ะ มันเอนตัวพิงพนักยกขาขึ้นไขว่ห้างแล้วจ้องหน้าผมนิ่ง
มาดท่านประธานฉายชัดต่อหน้าต่อตาผมคนนี้.......แววตาของพี่เอย์เปลี่ยนเป็นแข็งขึ้นหน่อยนึง