SPECIAL
F.L.U.F.F.Y
TWO
PUIMEK
ผมยังคงเป็นแมวที่มีหน้าที่กิน นอน เที่ยวเล่นและรอเจ้าของกลับบ้าน ผมเงยหน้ามองนาฬิกา ใกล้เวลาที่พี่เติร์ดจะกลับมาแล้ว ผมเฝ้าวนเวียนอยู่ตรงหน้าประตูรอว่าเมื่อไหร่พี่เติร์ดจะกลับมา ปกติพี่เติร์ดจะกลับตรงเวลาตลอด แต่วันนี้สายไปเกือบสามชั่วโมงแล้ว ผมเดินกลับไปนอนในที่นอนแสนนุ่มของตัวเอง แต่เทียบเท่าไม่ได้เลยกับตักกว้างๆของเขา
‘ติ๊ด’
หูเล็กสองข้างตั้งตรงเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ผมวิ่งไปรับพี่เติร์ดไปที่หน้าประตูโดยอัตโนมัติ กระโดดไปมาด้วยความดีใจ แต่คนที่เข้ามาในห้องกลับไม่ใช่พี่เติร์ด เป็นใครก็ไม่รู้ ผู้ชายผิวขาวตัวเล็กและน่ารักเขาไม่ใช่พี่โยชิ และกลิ่นของเขาฉุกกึกแบบที่ผมไม่ชอบ ผมจำได้แล้ว กลิ่นนี้เคยติดตัวพี่เติร์ดกลับมาที่บ้าน
“แมว น่ารักจังเลย” เขาเห็นผม ทำท่าจะเข้ามาจับ จังหวะเดียวกับที่พี่เติร์ดเข้ามาในห้อง ผมใช้มือที่กางกรงเล็บออกตะบบเข้าให้หลายทีที่มือขาวแล้ววิ่งไปหาพี่เติร์ด ผมไม่ชอบให้คนไม่รู้จักโดนตัว อย่างมายุ่งกับผม
“โอ๊ย” มนุษย์หน้าขาวร้อง “แมวพี่ข่วนผมอ่ะพี่เติร์ด ได้เลือดเลยดูสิครับ” แล้วเขาก็ฟ้อง
เมี๊ยว!
สมน้ำหน้า ผมกางเล็บออกทำท่าจะข่วนเขาอีกครั้งเพราะเขาขยับเข้ามาใกล้พี่เติร์ด แต่ว่าตัวผมกับลอยวืดขึ้นจากพื้น ผมสงบแล้วเตรียมจะหันไปอ้อน แต่ทว่าเสียงที่เคยอบอุ่นมาครานี้ระคายหูจนทนไม่ไหว
“ทำอย่างนี้ได้ไงปุยเมฆ ไม่น่ารักเลยนะ ไปข่วนพี่บิวเขาทำไม!”
“ผมเจบอ่ะพี่เติร์ด”
“เดี๋ยวนี้ชักจะเอาใหญ่แล้วนะปุยเมฆ เอะอะข่วนเขาไปทั่ว ขนาดพี่ยังโดนบ่อยๆเลย เคยตัว!” พี่เติร์ดหันมากระแทกเสียงใส่ผม
“...” ผมเงียบ มองเขาดวงสายตาตัดพ้อ แต่เขาก็คงไม่มีทางเข้าใจแมวอย่างผม
“มันน่าตีจริงๆเลย ทำไมดื้ออย่างนี้ห๊ะ ชักเกเรบ่อยไปแล้วนะ เดี๋ยวก็ไม่เลี้ยงซะหรอก” เขาว่าผมใหญ่โต ผมทนไม่ไหวโมโหก็เลยข่วนแก้มเขาไปทีหนึ่ง พี่เติร์ดตกใจสะบัดมือปล่อยผมออกจากอ้อมแขน ตัวเล็กๆของผมกระแทกกับตู้ใส่รองเท้าแล้วหล่นลงพื้นจนเจ็บร้าวไปทั้งตัว เขาตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นผมตกลงมาเสียแรง ทำท่าจะเข้ามาจับ ผมร้องแง้วใส่แล้ววิ่งหนี
ไม่เอาแล้ว คนใจร้าย
“เดี๋ยวปุยเมฆ หยุด อย่าวิ่ง! ปุยเมฆกลับมานี่!”
ผมไม่ฟัง วิ่งหนีออกจากประตูห้องที่ยังเปิดคาไว้อยู่ แม้จะเจ็บตัวเจ็บขาแต่ผมก็ไม่หยุด เสียงฝีเท้าวิ่งตามมา ผมวิ่งไปทางบันไดแล้วไปตะกุยประตูห้องๆหนึ่งเผื่อเรียกคนข้างใน
ก่อนที่พี่เติร์ดจะตามมาทัน คนในห้องก็เปิดประตูให้ผมได้เข้าไป เสียงพี่เติร์ดดังแว่วมาไล่หลังพร้อมกับบานประตูใหญ่ที่ปิดลง
“ไง งอนอะไรเจ้าหนุ่มนั่นมาอีกล่ะ” คุณหมอถาม ผมทิ้งตัวลงกับพื้นเพราะหมดเรี่ยงแรงจะเดินต่อ อีกทั้งยังเจ็บตัวอีกด้วย ผมตกลงมาสูงมากเลย ผมเจ็บ
“อ้าว ร้องไห้ซะงั้น”
‘เมี๋ยววววว’
‘ฮึก ผมเจ็บ เขาโยนผมลงพื้น ผมเจ็บมากเลย ทำไมเจ็บอย่างนี้’ ทำไมพี่เติร์ดถึงทำกับผมแบบนี้ ถึงผมจะข่วนเขา แต่เขาไม่เคยปล่อยผมออกจากมือแบบนั้นเลยสักครั้ง เขาต้องไม่รักผมแล้วแน่ๆเลย
“แล้วไปทำอะไรเขาล่ะหืม”
‘ม๊าววว!’
‘คุณหมอ!’ “โทษทีๆครับ มานี่มะ มาให้หมอตรวจหน่อยว่ากระดูกหักไหม” คุณหมอเข้ามาจับตัวผมแตะหาจุดบาดเจ็บจนมาถึงข้อเท้า แค่แตะยังไม่ทันที่คุณหมอจะลงแรง ความเจ็บก็แล่นปราดไปทั่วทั้งขา ผมสะดุ้งน้ำตาเม็ดโตไหลออกจากตา นึกถึงคนที่ทำให้เจ็บแล้วผมก็ได้แต่เสียใจ
พี่เติร์ดไม่รักผมแล้ว
“ขาน่าจะหัก รอแปบนะ เราต้องไปคลีนิคกัน ที่นี่ไม่มีอุปกรณ์” คุณหมอพูดแล้วก็ลุกขึ้นไปแต่งตัว
ผมนอนนิ่งๆ ขยับไม่ได้เลย ขยับแล้วเจ็บ สักพักคุณหมอก็กลับมาพร้อมตะกร้าใบใหญ่ คุณหมอค่อยๆเอาตัวผมลงไปในนั้นที่มีผ้าผืนหนาและนุ่มรองอยู่ ผมเจ็บจนต้องร้องออกมาหลายต่อหลายครั้ง ไม่รู้ว่าตอนที่วิ่งหนีผมไปเอาแรงมาจากไหน รู้แค่ว่าผมตกใจและเสียใจมากจนกลายเป็นความกลัว กลัวพี่เติร์ดจะตีผมซ้ำอีกเหมือนที่ผมเคยโดน แต่ต่างกันที่ว่าครั้งนี้เจ็บกว่าหลายเท่า เพราะคนที่ทำคือคนที่ผมรัก
คุณหมอรีบพาผมไปที่คลีนิคและทำการรักษาผมโดยด่วน ผมหมดสติไปเพราะยาสลบ แต่ถึงจะไม่รู้สึกตัว แต่หัวใจของผมก็เอาแต่วนเวียนถึงคนใจร้าย
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมไม่ได้สติ กระพริบตาตื่นขึ้นมาก็เห็นหน้าของคนใจร้าย ผมขยับหัวหันสายตาไปอีกทางก็เจอกับคุณหมอ ผมร้องเรียกหาคุณหมอทันที
“ไงเจ้าตัวเล็ก รู้สึกตัวแล้วเหรอ ไม่ได้สติไปตั้งสองวันแหนะ” คุณหมอพูดกับผม ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่นอนมองนิ่งๆ เหมือนว่าผมจะยังคงเมายาที่หมอฉีดให้ ผมมองสำรวจรอบๆ ที่นี่ไม่ใช่คลีนิค แต่เป็นห้องของคุณหมอ
“น้องปุย” ผมได้ยินเสียงเรียกตัวเองจากเขาคนนั้น แต่ผมไม่หันไปมอง พอเขาเอื้อมมามาจะแตะตัวผม ผมก็กระเถิบหนีให้ตัวเองเจ็บอีกรอบ
‘เมี๊ยวววว’
พี่เติร์ดทำหน้าสลด “พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจปล่อยเราออกจากมือ พี่ขอโทษนะครับ”
ไม่ยกโทษให้หรอก ผมปี่แตกอีกแล้ว และพี่เติร์ดก็เห็นชัดว่าน้ำตาผมไหล หนำซ้ำผมยังไดกลิ่นของคนๆนั้นติดตัวพี่เติร์ดมาอีก ผมไม่ชอบเลย ผมอยากให้ตัวพี่เติร์ดมีแค่กลิ่นของเขาและกลิ่นของผมเท่านั้น
“เขาคงเสียใจน่ะครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมเจ้าบราวนี่ถึงเจ็บมาแบบนี้” คุณหมอถาม ผมหันหน้าหนีไม่อยากมอง หลับตาซะแต่หูยังคงฟังอยู่ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
“น้องชื่อปุยเมฆครับ อย่าเรียกชื่อเขาซี่ซั้ว”
“อ่าครับๆ ปุยเมฆก็ปุยเมฆ ตกลงแล้วเรื่องเป็นมายังไงครับเขาถึงได้เจ็บหนักแบบนี้”
“เขาข่วนรุ่นน้องผมแค่รุ่นน้องแค่จับเขาเท่านั้นเอง และพอผมดุเขาก็ข่วนผมน่ะครับ ผมตกใจเพราะครั้งนี้เขาข่วนแรงมากเลยเผลอสะบัดเขาไปกระแทกกับตู้รองเท้าแล้วตกลงพื้น คือผมไม่ได้ตั้งใจ” พี่เติร์ดทำเสียงเศร้า
คุณหมอถอนหายใจ
“แมวเป็นสัตว์หวงตัวนะครับ เขาจะไม่ค่อยยอมให้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของจับหรอกหรือคนที่เคยเล่นด้วย ซึ่งนั่นเป็นธรรมชาติของเขา ไม่ใช่เพราะเขาเกเร และนอกเหนือจากนั้นเขาเป็นสัตว์ที่รักและหวงเจ้าของมาก ถึงอย่างนั้นถ้าเจ้าของทำเหมือนจะไม่รักเขาก็จะต่อต้าน เพราะเขาจะรักตอบคนที่รักเขาเท่านั้น แมวเป็นสัตว์ขี้อ้อนและขี้น้อยใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นสัตว์ที่เชื่องไปซะกับทุกคนหรือทุกสถานการณ์นะครับ ก่อนจะเลี้ยงคุณไม่รู้เหรอครับ” คุณหมอพูดเสียงคล้ายจะตำหนิ ผมจับใจความได้ไม่ทั้งหมด รับรู้ได้จากน้ำเสียงที่คุณหมอพูดเท่านั้น
“ผมขอโทษครับ” พี่เติร์ดพูดเสียงเบา
“ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ขอโทษเจ้าตัวเล็กเถอะ และทำใจไว้หน่อยนะครับ ต่อจากนี้คุณกับเขาอาจจะเหมือนคนแปลกหน้ากันเพราะคุณทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจของเขาที่มีต่อคุณหายไปเยอะเลยทีเดียว ตัวเขาก็แค่นี้เอง เขาอาจจะกระโดดลงจากที่สูงเองได้อย่างปลอดภัยนะครับ แต่ไม่ใช่กับการโยนลงพื้นไม่ให้ตั้งตัวแบบนี้” คุณหมอบ่นแทนผม ยิ่งทำให้ผมน้ำตาไหล ที่คุณหมอพูดอาจจะไม่ได้หมายถึงแมวทั่วไป แต่หมายถึงความรู้สึกของผมเอง
“ตัวเล็ก พี่ขอโทษนะ” พี่เติร์ดพูด ผมไม่เห็นว่าเขาจะลูบหัวผมก็เลยสะดุ้งอีกครั้ง เขาหดมือกลับทันที ผมหันไปมองแล้วก็หันกลับเอนลงนอนต่อ
“น้องปุย พี่ขอโทษ”
“ถ้ายังไงให้เขาอยู่กับผมจนกว่าขาเขาจะหายแล้วกันนะครับ หมอทำการผ่าตัดดามเหล็กที่ขาให้แล้ว” หมอบอก
“ผมเอาน้องกลับห้องไม่ได้เหรอครับ” เสียงพี่เติร์ดถาม
“เอากลับไปแล้วคุณจะมีเวลาดูแลเขาเหรอครับ คุณยังต้องไปเรียนนี่”
“ถ้างั้นตอนเย็นผมจะมารับเขาที่นี่แล้วตอนเช้าผมจะพาน้องปุยมาฝากไว้กับหมอ” พี่เติร์ดบอก
คุณหมอเงียบไปก่อนจะทำทีเป็นถามผมเหมือนถามลอยๆ ก็มีคุณหมอแต่คนเดียวนี่ที่คุยกับผมรู้เรื่อง “เอาไงเจ้าตัวเล็ก จะไปหรือเปล่า”
ผมนอนนิ่งไม่ขยับไม่โต้ตอบ
“น้องปุย กลับห้องกับพี่เถอะนะ”
“...”
“ผมอุ้มเขาได้ใช่ไหมครับ”
“ครับ แต่ระวังขาเขาหน่อยก็ดี”
พี่เติร์ดนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าผม แต่ผมยังคงกลัว ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมยังจดจำใบหน้าที่เกรี้ยวกราด น้ำเสียงที่ดุว่า และความเจ็บปวดตอนที่ตัวกระแทกกับพื้นได้ดี ทำให้ร่างกายมีปฏิกริยาต่อต้านเองโดยอัตโนมัติ แต่ต่อให้ร่างกายยินยอม แต่ใจผมไม่มีทางโอนอ่อนเด็ดขาด
ถึงผมจะเป็นแมวผมก็มีความรู้สึก ผมจะไม่ให้เขาจับตัวผมเลยคอยดู เอาคืนที่เขาใจร้ายกับผมก่อน
“ผมอุ้มไปส่งที่ห้องดีกว่าครับ”
‘เมียวว เมี๊ยววว’
ผมส่งเสียงร้องให้คุณหมอว่าผมไม่อยากไป
คุณหมอเพียงแค่ยิ้ม ต่างจากอีกคนที่ทำหน้าหงุดหงิด ผมไม่ใจอ่อนง่ายๆหรอกคอยดู
“กลับห้องเถอะนะแมวเหมียว มาหมออุ้มนะ”
ผมขยับตัวร้องบอกว่าผมไม่อยากไป แต่คุณหมอทำเพียงส่ายหน้า ผมเลยก้มหน้าซบลงกับที่นอน ปล่อยให้คุณหมอยกเบาะนอนขึ้นพาผมกลับห้องของพี่เติร์ด พอถึงห้องพี่เติร์ดก็สั่งให้คุณหมอพาผมไปนอนบนเตียง ที่ๆผมนอนอยู่ทุกคืน นอนซุกขอไออุ่นจากคนตัวโต แม้ว่าผมจะอยากนอนซุกพี่เติร์ดมาแค่ไหน แต่วันนี้ผมจะไม่นอนเด็ดขาด ผมจะงอนให้ถึงที่สุด
‘ไม่ ผมไม่นอนบนเตียง’ ผมบอกกับคุณหมอ ทำให้ขายาวๆทั้งสองข้างชะงัก
“คุณเติร์ดครับ ผมวางเจ้าตัวเล็กไว้ข้างเตียงนะครับ”
“ไม่ครับ ให้เขานอนบนเตียงเลย ปกติเขาก็นอนบนเตียง”
คุณหมอมองพี่เติร์ดทีก้มมองผม ส่วนผมมองคุณหมอตาแป๋วว่ายังยืนยันคำเดิม แต่คุณหมอก็ชอบแกล้งผม จับผมวางลงบนเตียง ผมขยับลุกเดินหนีทันที แต่ด้วยความที่ว่าขาผมเจ็บอยู่ผมจึงเดินไปได้ ล้มแหมะอยู่บนเที่นอน ได้แต่ส่งเสียงร้องระบายความเจ็บเท่านั้น
“ดูเขาจะไม่อยากนอนบนเตียงนะครับ” คุณหมอพูดในสิ่งที่ผมต้องการ
“แต่ผมอยากให้เขานอนบนเตียงกับผม เขานอนอยู่ทุกคืนไม่มีทางที่เขาจะไม่นอนหรอกครับ น้องปุยจะไม่นอนที่อื่นนอกจากบนเตียง”
“แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนอยากนอนบนเตียงเหรอครับ”
“...” ผมยังคงพยายามที่จะพาตัวเองลงจากเตียงแม้จะต้องคลานก็เถอะ ไม่เห็นจะต้องมองว่าผมสำคัญเลย ในเมื่อพี่เติร์ดเห็นคนอื่นดีกว่าผม
ตัวเขายังคงมีกลิ่นของมนุษย์คนนั้นอยู่ ถ้าอย่างนั้นผมก็จะไม่เข้าใกล้เขาหรอก ผมไม่ชอบกลิ่นของคนๆนั้น กลิ่นที่บอกว่าจะแย่งพี่เติร์ดไปจากผม
“อีกอย่างตอนนี้เขานอนบนเตียงกับคุณคงไม่สะดวกเพราะคุณอาจจะนอนทับเขาโดยไม่รู้ตัวได้ ให้เขานอนบนพื้นน่ะดีที่สุดแล้ว”คุณหมออุ้มผมอีกครั้ง
“งั้นให้เขานอนในเบาะนอนของเขา” พี่เติร์ดวิ่งออกไปจากห้องแล้วกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมเบาะนอนของผม เขาวางไว้ที่พื้นข้างเตียง คุณหมอจึงค่อยๆวางตัวผมลงช้าๆเพื่อไม่ให้กระทบโดนขา
“ค่ารักษาทั้งหมดเท่าไหร่ครับ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ปุยเมฆก็เหมือนแมวของผม ผมรักและเอ็นดูเขาเพราะเขาก็มาหามาเล่นกับผมบ่อย แค่นี้ผมไม่คิดตังหรอกครับ”
“ไปหาคุณ?”
“ครับ บางทีเขาก็ไปเล่นกับผมที่ห้องน่ะครับ”
“อ่อ แต่ยังไงเขาก็เป็นแมวของผมไม่ใช่ของคุณ บอกค่ารักษามาเถอะครับ ผมจะจ่าย”
“ถ้าคุณว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ ค่ารักษาทั้งหมดก็หนึ่งหมื่นบาท รวมหมดแล้วทุกการรักษาและการล้างแผลต่อจากนี้”
พี่เติร์ดหยิบเงินสดในกระเป๋าสตางค์ให้คุณหมอแบบไม่ขาดไม่เกิน ผมนอนมองเงียบๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เติร์ดต้องทำหน้าเหมือนไม่ชอบคุณหมอด้วย
“พรุ่งนี้พาเจ้าตัวเล็กไปหาผมก่อนแปดโมงเช้านะครับ เพราะผมต้องไปเปิดคลีนิคตอนเก้าโมง”
“ครับ ไม่มีอะไรแล้วเดี๋ยวผมไปส่งที่หน้าประตู”
“ครับ” คุณหมอรับคำแล้วย่อตัวนั่งลงลูบหัวผม ผมหลับตาพริ้มรับสัมผัสที่แสนอ่อนโยน “เป็นเด็กดีนะ ระวังตัวด้วยอย่าซนนักล่ะไม่งั้นจะไม่หายรู้ไหมตัวเล็ก”
เมี๊ยววๆๆ
“หึหึ หมอไปแล้วนะครับ พรุ่งนี้เจอกัน” หมอพูดแล้วก็ก้มลงจุ๊บหน้าผากผมหนึ่งที ก่อนจะลุกเดินตามพี่เติร์ดออกไป สักพักพี่เติร์ดก็กลับเข้ามาในห้อง เขาทิ้งตัวลงนั่งใกล้ๆกับผม แววตาไม่ดุดันเหมือนตอนที่มองคุณหมอ แววตาของพี่เติร์ดเหมือนคนเดิมก่อนที่เขาจะพาคนๆนั้นมาที่ห้อง
ดูเอาเถอะ ในห้องยังมีกลิ่นที่ผมไม่ชอบเลย บนเตียงนั่นก็ด้วย มีแต่กลิ่นที่ไม่ชอบ ผมหลบหน้าซุกลงกับที่นอน พอพี่เติร์ดจะจับผมก็ยกหัวหนีแล้วขู่ไม่ให้ยุ่ง
“น้องปุยโกรธพี่เหรอครับ หายโกรธพี่เถอะนะพี่ขอโทษ”
“...”
เขาจะจับอีกผมก็ขู่อีก ไม่ฟังกันบ้างเลยหรือไง ทีตอนอยากให้จับกลับเขวี้ยงทิ้ง ทีตอนนี้ละอยากจะจับ
“ขอพี่จับหน่อยไม่ได้เหรอ เราไม่ใช่คนแปลกหน้ากันนะ”
‘เมี้ยวว!’
‘ไม่ ไม่ให้จับ!’ ผมยกขาหน้าปัดมือพี่เติร์ดออกห่าง ทำให้พี่เติร์ดหน้าเสีย มองผมอย่างตัดพ้อ ผมเกือบใจอ่อนแต่สุดท้ายก็ข่มใจไม่ให้ยอมหายงอนพี่เติร์ดง่ายๆ
“น้องปุย” พี่เติร์ดเรียกผมเสียงอ่อน “ทำไมที่กับไอ้หมอนั่นยอมให้จับล่ะ พี่เป็นคนเลี้ยงเรามานะ”
เชอะ ทีตอนนั้นยังบอกว่าจะไม่เลี้ยงแล้วอยู่เลย คิดแล้วผมรู้สึกเสียใจขึ้นมาอีกแล้ว
‘มันน่าตีจริงๆเลย ทำไมดื้ออย่างนี้ห๊ะ เดี๋ยวนี้ชักเกเรบ่อยไปแล้วนะ เดี๋ยวก็ไม่เลี้ยงซะหรอก’ ผมจำได้ขึ้นใจ พี่เขาว่าผมแบบนี้ บอกว่าจะไม่เลี้ยงแล้ว พี่เติร์ดว่าผมเพราะคนอื่น เขาจะรู้บ้างไหมว่าผมเสียใจแค่ไหน
พี่เติร์ดพยายามจะจับผมอยู่หลายรอบแต่เพราะผมไม่ยอมเขาก็เลยยอมแพ้ ไปอาบน้ำอ่านหนังสือ แต่เขาไม่ได้นั่งอ่านบนโต๊ะเขียนหนังสือเหมือนทุกที โดยที่มีผมนอนอยู่บนตักเขา แต่ครั้งนี้เขามานอนอ่านบนพื้นข้างๆผม ผมทำเป็นไม่สนใจ หลายครั้งที่เคลิ้มหลับเขาก็จะลูบหัวผม ทำให้ผมรู้สึกตัวตื่นไม่ได้นอนสักที สุดท้ายเขาก็เลิกทำ
“นอนซะเด็กน้อย พี่ไม่จับแล้วครับ ไม่ต้องตื่นแล้วนะ นอนนะพักผ่อนนะครับ”
แล้วคืนนั้นผมก็หลับยาวยันเช้าด้วยความเพลีย ตื่นเช้ามาเจอพี่เติร์ดนอนขดตัวอยู่รอบๆเบาะนอนของผม บนตัวเขาไม่มีผ้าห่มคลุมกาย ช่างปะไร ผมไม่สน แต่ตอนนี้นี่สิ ผมเจ็บไปทั้งตัว แค่ขยับก็เจ็บจนต้องเปล่งเสียงร้องโดยที่ไม่อาจอดทนได้ พี่เติร์ดรู้สึกตัวเพราะเสียงครางเบาๆของผม เขางัวเงียมอง ผมหลับตาลงไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
เสียงดังก๊อกแก๊กในห้อง วันนี้พี่เติร์ดมีเรียนผมจำได้ ต่อมาผมก็ได้กลิ่นของคุณหมอ ผมลืมตาเงิยหน้าขึ้นแล้วส่งเสียงร้องเรียก พี่เติร์ดกระแอมไอจ้องผมเหมือนจะโกรธ ผมไม่สนใจหรอก ผมโกรธอยู่ก่อน พี่เติร์ดห้ามโกรธกลับ
“พอดีวันนี้มีเคสเข้ามาที่คลีนิคเช้าผมเลยมารับก่อนเวลา”
“ครับ
“ผมจะพาน้องปุยไปที่คลีนิคด้วย คุณจะไปรับที่คลีนิคหรือจะรอผมกลับคอนโด น่าจะสักราวๆหนึ่งทุ่ม” คุณหมอบอก อุ้มผมขึ้นกอดไว้ในอ้อมแขน มือข้างหนึ่งก็เกาคางผมเบาๆชวนให้เคลิ้ม
“ผมเลิกเร็ว สักบ่ายสามผมจะไปรับเขาที่คลีนิคเอง ไม่ทราบว่าคลีนิกคุณอยู่แถวไหน” พี่เติร์ดถามเสียงเข้ม ผมไม่ได้มองพี่เขา
คุณหมอบอกที่อยู่ของคลีนิคให้พี่เติร์ดเสร็จก็จะพาผมออกจากห้อง แต่ถูกพี่เติร์ดเรียกไว้ คุณหมอหันไปหาเขา พี่เติร์ดมองผม เอื้อมมือมาสัมผัสที่หัวผมเบาๆเหมือนจะลองเชิง คราวนี้ผมใจดีไม่หนีมือ พี่เติร์ดถึงกับยิ้มออก ลูบหัวผมสองสามทีพร้อมพูด
“เลิกเรียนแล้วพี่จะรีบไปรับน้องปุยเลยนะครับ”
ผมรับรู้ในใจ ผละหัวออกจากมืออุ่นซบลงบนท่อนแขนของคุณหมอ ผมไม่ได้อยากจะใจร้ายกับพี่เติร์ด แต่เขาใจร้ายกับผมก่อน ถึงผมจะรักพี่เติร์ดมากจนบรรยายไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ได้ใช่จะยอมทุกอย่าง ยังไงผมก็เป็นแมว ทุกอย่างที่ผมทำที่ผมแสดงออกมันเป็นไม่ตามสัญชาติญาณ
ผมอยู่กับคุณหมอทั้งวันในคลีนิค มีช่วงที่พี่หมอวีร์ฉีดยาอะไรสักอย่างให้ผม ผมก็ค่อยๆหลับไปเพราะฤทธิ์ยา ตื่นมาอีกทีผมก็รู้สึกดีขึ้นจนน่าตกใจ ผมลุกขึ้นเดินได้จนเกือบจะเป็นปกติแต่ก็มีติดขัดบ้างเพราะท่อนเหล็กที่อยู่ในขา
“เป็นไง ยังเจ็บอยู่ไหม แต่น่าจะหายแล้วนะ” พี่หมอวีร์ถาม
‘ผมหายแล้วเหรอครับ ทำไมผมไม่เจ็บแล้ว’ ผมถามอย่างสงสัย เมื่อเช้าผมยังทั้งเจ็บทั้งปวดอยู่เลย
“ฉันฉีดยาสูตรพิเศษให้ยังไงล่ะ อีกอย่างเราเองก็ยังเด็ก แบบในฐานะของมนุษย์กลายร่างน่ะนะ อายุแค่ไม่กี่สิบปีที่ถือว่าเด็ก เพราะฉะนั้นแล้วกระดูกก็จะสมานตัวง่าย ยิ่งได้ยาสูตรพิเศษเข้าไปก็เลยเห็นผมเร็วแบบนี้” พี่หมอวีร์อธิบาย ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะกำลังตื่นเต้นกับขาตัวเอง
‘ยานี่ก็ฉีดให้แมวตัวอื่นเหรอครับ’ ผมถามเมื่อลองเดินจนพอใจ
“ไม่หรอก ยาพวกนี่ใช้กับมนุษย์กลายร่างเท่านั้น แต่ราคาสูงลิบลิ่วเพราะเป็นยาที่สกัดจากเสือดของไทกริสสายเลือดบริสุทธิ์ที่มีฤทธิ์รักษาแบบสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็ต เป็นยาที่พ่อของฉันให้ไว้ติดตัวน่ะ แต่ไปหาซื้อไม่มีขายหรอกนะ”
‘อ้าวแล้วแบบนี้คุณหมอเอามาใช้กับผมจะไม่เป็นไรเหรอครับของหายากแบบนั้น’ “ไม่ต้องกังวล กับเธอน่ะฉันใช้แค่สองหยดเองก็หายเป็นปลิดทิ้ง หายห่วงได้ ฉันยังมียาเหลือ”
‘ขอบคุณคุณหมอมากนะครับที่ดีกับผมขนาดนี้’ ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินเอาตัวถูกกับแขนของคุณหมอพร้อมกับแลบลิ้นเลียมือไปด้วย พี่หมอวีร์ยิ้มแล้วก็เกาคางให้ผม
“รู้สึกเสียดายไหมที่ไม่ยอมอยู่กับฉันตั้งแต่แรก” พี่หมอวีร์กระเซ้า
‘ก็ผมรักเขา’ ผมพูดเสียงเบา
บทสนทนาระหว่างผมกับคุณหมอถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของคนที่เป็นเจ้าของผม ผมหันไปมองอย่างดีใจ แต่แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างกระทันหันเมื่อเห็นคนที่เดินเคียงข้างพี่เติร์ด
ผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว!
……………………………….
น้องปุยเป็นแมวขี้หึงนะ แต่ความจริงพี่เติร์ดเป็นมนุษย์ผู้ (สามี) ที่ขี้หึงยิ่งกว่า นี่ไม่ได้แอบสปอยเนื้อหาเลยนะ ไม่ได้สปอยจริง 555555