FIFTEEN
เสียงนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ตั้งพิงผนังมุมหนึ่งในห้องนั่งเล่นตีบอกเวลาหนึ่งทุ่มตรง เป็นเวลารับประทานอาหารเย็นของบ้านหลังนี้ และเป็นเวลาระทึกขวัญสำหรับผมในวันนี้เช่นกัน
‘ถ้าไม่อยากให้เพื่อนของนายตาย คืนนี้มาหาฉันที่ร้านR ตอนสามทุ่ม
ห้ามบอกใครทั้งนั้น ไม่งั้นเพื่อนของนายตายแน่
เจอร์โรม’ ผมกดอ่านข้อความซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยใจที่ไม่เป็นสุข ผมยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับอาซา หลังจากที่ได้รับข้อความ ดาวเสาร์บอกกับผมว่า เรื่องที่เขาจะพูดกับผมก็คือเรื่องของนิกกี้
‘ฉันเองก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ไอ้เจอร์โรมกำลังทำ ฉันรู้แค่ว่ามันมีปัญหากับไอ้อาซามานานมากแล้ว ปัญหาที่มีแค่พวกมันสองคนเท่านั้นที่รู้ ส่วนที่มันมายุ่งกับนายและเพื่อนของนาย นั่นก็เพราะว่านายเป็นคนสำคัญของไอ้อาซา มันถึงได้เลือกใช้นายเป็นเครื่องมือในการทำร้ายไอ้หมอนั่น ถึงฉันจะไม่เห็นด้วยเพราะนายคือเพื่อนของฉัน แต่ฉันห้ามอะไรไอ้เจอร์โรมไม่ได้ นอกจากความเป็นเพื่อน ฉันก็คือลูกน้องของมัน และพวกฉันเป็นศัตรูกับพวกอาซา เพราะอย่างนั้นสิ่งที่ฉันทำได้ก็แค่เตือนนายให้ระวังตัวเท่านั้น”
‘แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับนิกกี้’
‘เพราะเธอเป็นเพื่อนของนายยังไงล่ะ คนที่จิตใจดีอย่างนายก็ต้องไปช่วยเพื่อนอยู่แล้ว เจอร์โรมถึงได้ใช้เพื่อนของนายเป็นตัวต่อรองกับนายยังไงล่ะ’
‘แล้วฉันควรต้องทำยังไง ตอนนี้นิกกี้อยู่กำลังตกอยู่ในอันตราย’
‘เรื่องนั้นฉันบอกไม่ได้หรอก แต่ฉันจะแนะนำอะไรให้อย่าง บางทีคนเราก็ต้องเห็นแก่ตัวเพื่อความอยู่รอด เพราะถ้าไม่เห็นแก่ตัว อาจเป็นเราที่จะต้องตาย’ ดาวเสาร์จะหมายความว่า ให้ผมเห็นแก่ตัวปล่อยให้นิกกี้ตายไป เพื่อที่ชีวิตจะได้ปลอดภัยอย่างนั้นเหรอ?
ผมทำแบบนั้นไม่ได้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนิกกี้ด้วยซ้ำ ผมจะให้เธอมาเดือดร้อนแทนได้ยังไง จะให้เธอตายไปโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องบ้าๆพวกนี้เลยเนี่ยนะ ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอก
ผมก้มหน้ามองข้อความจากเจอร์โรมอีกครั้ง ผมจะไปช่วยนิกกี้ได้ยังไง แม้แต่ที่ตั้งของร้านR ผมยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าผมจะเป็นพวกไร้น้ำยา ไม่มีอะไรดีสักอย่าง นอกจากชีวิตซวยๆที่เจอแต่ปัญหา นอกนั้นก็ไม่เห็นว่าคนอย่างผมจะมีอะไรดี ก็แค่คนไร้ประโยชน์
เสียงเท้าวิ่งลงบันไดตึกตักมาจากชั้นบนของคนหัวสีเทาอ่อนดูจะเป็นอะไรที่คุ้นเคยแม้ผมเพิ่งจะมาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่นาน ฟรินน์วิ่งผ่านหน้าผมไปที่ห้องรับประทานอาหารพร้อมเรียกผมให้ไปกินข้าว เห็นว่าวันนี้ปารีสลงมือทำมื้อเย็นชุดใหญ่เพื่อเลี้ยงต้อนรับสมาชิกใหม่อย่างผม
“ได้เวลากินข้าวแล้ว นั่งเหม่ออะไร” อาซาท้าวแขนกับพนักโซฟาคร่อมตัวผม โน้มหน้ามาถามใกล้ๆ ผมส่ายหัวก่อนจะลุกตามอาซาไปที่ห้องทานข้าว ผมก้มหน้าหลบตาอาซาตั้งแต่กลับมา เขามองผมเหมือนจะล่วงรู้ความคิดและสิ่งที่อยู่ในหัวผม เพียงแต่เขาไม่พูดมันออกมา ผมเลยไม่รู้ว่าเขารู้หรือเปล่าว่าผมกำลังคิดอะไร และมีเรื่องอะไรให้ต้องคิด ดังนั่นผมเลยยังตัดสินใจไม่ได้ว่าผมควรบอกเขาดีไหม
เพราะคำขู่จากเจอร์โรมที่บอกว่าห้ามผมบอกใคร ไม่งั้นนิกกี้เพื่อนของผมจะตาย ผมถึงได้รั้งรอที่จะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้กับใครสักคนที่พอจะช่วยผมได้ และคนๆนั้นก็คืออาซา แต่เมื่อผมคิดจะพูด ภาพนิกกี้ที่นอนจมกองเลือดก็ลอยมา ถ้าผมบอกอาซาแล้วเจอร์โรมรู้ และฆ่านิกกี้ทิ้ง ผมก็ไม่ต่างอะไรกับฆาตกร ที่แม้ผมจะไม่ได้เป็นคนจ้วงมีดลงไปบนกายของเธอ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมคงเป็นคนที่ส่งมีดให้เจอร์โรมปลิดลมหายใจของเธอทิ้ง ราวกับชีวิตเธอไม่มีค่าให้อยู่ต่อ แต่ถ้าผมไม่หาคนช่วย ผมก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปช่วยเพื่อน ผมไม่มีพละกำลังหรือฤทธิ์เดชอะไรไปต่อสู้กับมนุษย์หมาป่าที่แสนโหดร้าย ที่ทำได้แม้กระทั่งผู้หญิงไม่มีทางสู้ นับประสาอะไรกับผม ที่ถ้าไปคนเดียวก็คงไม่ต่างกับเอาชีวิตไปตาย ซ้ำร้ายถ้าอาซารู้เรื่องเข้าทีหลัง ผมก็คงเป็นได้แค่คนที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน คนที่คอยแต่จะสร้างปัญหาให้ชาวบ้านคอยตามแก้ไม่จบไม่สิ้น
ผมไม่มีทางเลือกเลย ไม่ว่าทางไหนก็เลือกยาก ไอ้ครั้นจะไม่เลือกเลยก็ไม่ได้ แต่ถ้าให้เลือก ไม่ว่าทางไหนก็มีแต่เสียกับเสีย ถ้าบอกอาซานิกกี้ก็ไม่รอด ถ้าไม่บอกผมก็อาจจะไม่รอดและอาซาก็ต้องร้อนใจเพราะปัญหาที่ผมก่อ
ผมเครียดจนอยากจะร้องไห้งอแงเป็นเด็กๆแล้วก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น อยากปัดทุกสิ่งทุกอย่างให้ห่างตัวโดยที่ไม่ต้องคิดและใส่ใจ แต่ผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้ คนเราเมื่อเติบโตขึ้น ความซับซ้อนทางความคิดจะมีมากขึ้น จากที่ไม่ต้องคิดอะไรก็คิดมากขึ้น จากที่แต่ก่อนเคยมองเพื่อนร้องไห้ยามที่แม่ไม่ยอมซื้อของเล่นให้ด้วยความสงสาร แต่ก็ไม่คิดจะทำอะไรแม้ในมือผมจะมีของเล่นที่พี่ยอร์ชเพิ่งจะซื้อให้และผมก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนคนนั้นอยากได้ของเล่นก็ตาม ซึ่งถ้าเป็นในตอนนี้ที่ผมโตพอจะมีความคิด ผมก็คงจะคิดว่าผมไม่น่าบอกเพื่อนเลยว่าพี่ยอร์ชซื้อของเล่นให้ เพื่อนจะได้ไม่ต้องอยากได้แล้วก็ทะเลาะกับแม่จนร้องไห้ใหญ่โต ถ้าเพียงแต่ผมจะกลับไปเป็นเด็กก็คงดี จะได้ไม่ต้องมีอะไรให้คิดมากจนหัวใกล้ระเบิด
ปึก!
“เจ็บไหม เหม่ออะไรนักหนา” อาซาที่หยุดเดินกะทันหันจนผมไม่ทันตั้งตัวเดินชนแผ่นหลังกว้างอย่างจังหันมาดุผม ผมช้อนตามองด้วยความกลัว กลัวว่าอาซาจะรู้สิ่งที่ผมคิด และมันก็จริงอย่างที่ผมว่า อาซามองผมด้วยแววตาที่สามารถอ่านผมได้ทะลุปรุโปร่ง ผมส่ายหน้าโดยอัตโนมัติ
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน หลังจากที่กินข้าวเสร็จ เข้าใจไหม”
ผมไม่ทันได้ตอบอาซาก็เดินนำเข้าไปในห้องอาหาร ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเขากำลังโกรธ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งซักไซ้เอาคำตอบจากผม เพราะทุกคนที่นี่รู้ดีว่าเวลากินข้าวคือเวลาที่ทุกคนจะต้องมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาโดยปราศจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง เวลากินข้าวต้องไม่มีเรื่องเครียดๆบนโต๊ะอาหาร เวสตันไม่ชอบ และทุกคนจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด
ผมนั่งลงประจำที่เดิม คือที่ตรงข้ามจูเลียต ด้านข้างเป็นฟรินน์และอาซา อาหารบนโต๊ะเยอะราวกับจะเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องทานก็คือสเต็กที่ค่อนไปทางดิบแบบที่ยังมีเลือดชุ่มฉ่ำ ยกเว้นผมที่กินแบบสุกปกติ ฟรินน์เล่าว่าตอนที่ผมมาที่นี่ครั้งแรกเขาต้องทนกินเนื้อสุกๆด้วยความจำใจเพราะไม่อยากให้ผมตกใจกับอาหารการกินของพวกเขา แต่ตอนนี้ผมรู้ความจริงก็น่าจะยอมรับได้แล้ว ก็เลยเปิดเผยเต็มที่ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
แต่นอกจากสเต็กของแต่ละคนก็ยังมีไก่งวงตัวใหญ่ สลัดผักสำหรับผมโดยเฉพาะและอาหารหน้าตาน่ากินอีกหลายอย่าง ผมคงลงมือจัดการอาหารตรงหน้าให้ราบคาบถ้าหากว่าผมไม่มีเรื่องกลุ้มใจให้ต้องคิด
แกร๊งๆๆ
เสียงช้อนสแตนเลสอย่างดีดังกระทบแก้วเรียกให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารสนใจ เวสตันยืนขึ้น ในมือถือแก้วไวน์ชูขึ้นตรงหน้า พร้อมด้วยสุ่มเสียงทุ้มทรงพลังดังเอื้อนเอ่ย
“ฉันดีใจที่ได้มีวันนี้” เวสตันเริ่มพูด และทุกคนก็ตั้งใจฟัง ยกเว้นผม ที่เหมือนจะตั้งใจฟัง แต่ก็ไม่ซะทีเดียว
“วันที่คนที่เป็นทั้งเพื่อนรักและน้องชายของฉันมีความสุขจริงๆเสียที” เวสตันมองมาทางอาซา ทุกคนก็เลยมองตาม กระทั่งจูเลียตเองก็เช่นกัน ก่อนที่ทุกคนจะยิ้มแล้วหันกลับไปทางเวสตันเพื่อฟังสิ่งที่เขาจะพูดต่อ
“และเป็นวันที่บ้านของเราจะมีสมาชิกครอบครัวคนใหม่ ขอให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ห้ามมีปัญหากันโดยเด็ดขาด เข้าใจตรงกันนะ” ถึงจะพูดไปยิ้มไป และเจือเสียงหัวเราะเบาๆ แต่คงไม่มีใครโง่จนฟังไม่รู้หรอกว่านั่นคือคำสั่งที่ห้ามฝ่าฝืนโดยเด็ดขาด
“ขอบคุณนายนะโยชิที่ยอมรับอาซา ขอบคุณที่มอบความสุขให้เขา ฉันขอให้พวกนายทั้งคู่มีความสุข” ทั้งแววตาและน้ำเสียงของเวสตันเต็มไปด้วยความอบอุ่น มือที่ถือแก้วไวน์ยกขึ้นอวยพรให้กับผม ตามมาด้วยฟรินน์ที่หันมาพูดกับผมและอาซา
“ฉันก็ดีใจกับพวกนายมาก อยู่ด้วยกันไปนานๆนะ ฉันชอบที่บ้านนี้มีนาย” ฟรินน์หมายถึงผม ผมยิ้มรับแม้ว่าจู่ๆจะมีความคิดไม่เข้าท่าว่าผมจะอยู่ที่นี่ได้ตลอดไปจริงหรือเปล่าโผล่เข้ามาในหัว
“ตั้งแต่วันนี้นายคือครอบครัวของฉัน ดูแลอาซาให้ดีล่ะ” รอยยิ้มของปารีสทำให้ผมรู้สึกว่าเธอคือแม่ของบ้านหลังนี้ ผมไม่เคยอยู่กับแม่ จึงบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกยามที่น้ำเสียงอ่อนโยนขัดกับหน้าตาเปรี้ยวจัดของปารีสพูดและมองผมมันให้ความรู้สึกดีขนาดไหน แต่มันอบอุ่นจนผมคิดว่า ถ้าแม่ยังอยู่ แม่ก็น่าจะพูดเหมือนปารีส และคนสุดท้ายที่ทุกคนรอคอยให้พูด แม้แต่ผมก็เถอะ
“ตามนั้น” จูเลียตพูดสั้นๆ แต่ก็เพียงพอแล้ว เพราะผมเองก็ไม่อยากได้คำว่ายินดีหรือคำพูดยาวเหยียดที่ไม่ได้ออกมาจากความรู้สึกจริงๆของเธอสักเท่าไหร่
“ขอบคุณมากที่ยอมรับฉัน” ผมพูดกับทุกคน อาซาไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ใช้สายตาสื่อสารกับทุกคนที่รับรู้และเข้าใจเขาเป็นอย่างดี
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนานครึกครื้น แต่ก็ยังคงมีจุดบอดอยู่ที่ผม ผมพูดบ้างยิ้มบ้างแต่ก็น้อยครั้งถ้าไม่ถูกถามจี้ ผมเอาแต่หลงทางอยู่ในความคิดของตัวเองเรื่องของนิกกี้อย่างไม่รู้ทางออก
ถ้าเพียงแต่จะไม่ใช่วันนี้ เวลานี้ที่อีกไม่ชั่วโมงจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น วันนี้คงเป็นีอีกความทรงจำผมจะจำไปตลอดชีวิต ภาพความประทับใจยามที่ทุกคนในที่นี้ยอมรับผมเป็นครอบครัว ไม่ต่างอะไรกับการอวยพรให้บ่าวสาวครองรักกันอย่างมีความสุข มันน่าซาบซึ้งใจจนอดไม่ได้ที่จะปล่อยให้น้ำตาไหล ถ้าเพียงแต่ไม่มีใครบางคนกำลังถูกทำร้ายเพราะเรา ผมคงยิ้มรับความสุขได้เต็มปากกว่าที่กำลังทำอยู่
สุดท้ายผมก็ทนฝืนนั่งกินต่อไปไม่ได้ ผมขอตัวลุกออกมาจากโต๊ะอาหาร แสร้งบอกไปว่าอยากเข้าห้องน้ำ ไม่มีใครติดใจอะไรยกเว้นอาซา ผมรู้ว่าเขารู้เรื่องที่ผมกุขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขาผมต่อหน้าทุกคน
ผมเลี่ยงขึ้นมาบนห้อง ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงพลางมองดูนาฬิกา เหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงครึ่งด้วยซ้ำ ยิ่งเวลาเคลื่อนตัวเข้าใกล้เวลานัดมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งคิดอะไรไม่ออก ยิ่งตัดสินใจไม่ได้ว่าผมควรจะทำยังไงดี ชีวิตของนิกกี้อยู่ในมือของผม มันไม่ง่ายที่จะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่คิดว่าสมควร เพราะอันที่จริงแล้วเราไม่สามารถรู้ได้ว่าถ้าเราลงมือทำมันลงไปแล้ว มันจะส่งผลเสียหรือผลดี ไม่อาจรู้ได้เลยจริงๆ
หมับ!
“อ๊ะ...อาซา!”
โทรศัพท์ในมือผมถูกแย่งไปจากมือโดยคนที่ผมเรียกชื่อ อาซาจ้องหน้าผมนิ่ง เขากำลังโกรธจัด ยิ่งตอนที่เขาก้มมองโทรศัพท์ที่โชว์ข้อความพร้อมรูปถ่ายของนิกกี้ สีหน้าและแววตาของเขายิ่งเต็มไปด้วยไฟโทสะ
“นายคิดจะทำอะไรโยชิ!” เขาพูดลอดไรฟัน ผมได้แต่ก้มหน้าตอบไม่ได้ เพราะผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทำอะไร
“นายคงไม่ได้คิดจะไปหามันคนเดียวโดยที่ไม่บอกฉันหรอกใช่ไหม”
“...” เป็นอีกครั้งที่ผมให้คำตอบอาซาไม่ได้ เขาเดินเข้ามาจนใกล้พอที่จะคว้าไหล่ทั้งสองข้างของผมไว้แน่นจนเจ็บ ความอบอุ่นกลายเป็นความหนาวเหน็บที่ยากเกินจะทน
“ตอบสิโยชิ!” เมื่อเขาพูดออกมา เสียงของเขาเกือบจะเดือดดาล
“ฉันไม่รู้ ฉันไม่คิดจะทำอะไร ฉันยังไม่รู้!” ผมเหมือนคนสติแตก ผมส่ายหน้าไปมาไม่หยุด จัดระบบความคิดตัวเองไม่ได้ ผมกำลังกลัว กลัวสิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้น ในหัวผมมีแต่คำว่าชีวิต ลมหายใจและความตาย
“เฮ้อ ฉันขอโทษ ใจเย็นๆ ฉันจะช่วยนายเอง เพราะฉันจะไม่ยอมปล่อยให้นายไปคนเดียวแน่สาบานได้”
“แต่ถ้านายไปเจอร์โรมก็จะฆ่านิกกี้นะ” ผมรีบแย้ง แต่กลับอุ่นใจยามที่อาซาบอกว่าจะไปเป็นเพื่อน
“ถึงฉันไม่ไปมันก็ฆ่าเธอแน่ๆ มันไม่ปล่อยให้คนที่รู้เรื่องของมันรอด ฉันไม่ได้อยากจะพูดให้นายไม่สบายใจ แต่นายควรรู้ความจริงในจุดนี้ และเรื่องนี้มันมาจากความขัดแย้งระหว่างฉันกับมัน เพราะงั้นคนที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็ควรเป็นฉัน ไม่ใช่นาย”
สุดท้ายผมก็เป็นแค่คนไม่เอาอ่าว จัดการอะไรไม่ได้สักอย่าง ผมได้แต่คิดน้อยเนื้อต่ำใจในความไร้ประโยชน์ของตัวเอง ถ้าผมแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องคนรอบข้างได้บ้างก็คงดีกว่านี้ อย่างน้อยๆก็ไม่ต้องมารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า และพาลคิดเลยเถิดไปว่า ต่อให้ไม่มีผมโลกนี้ก็คงไม่เดือดร้อนอะไร
อ่านต่อด้านล่าง