...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]  (อ่าน 308884 ครั้ง)

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
พ่อแก้ว พ่อทำข้าน้ำตาซึม  :hao5:

ออฟไลน์ befol2e

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สวัสดีปีใหม่คนเขียนและตัวละครทุกคนค่าา
เป็นบทนิยายซึ้งๆของปีใหม่เลย
ทั้งสองคนเหมือนจะไม่หวาน แต่หวานมากกกก
ไม่ได้หวานจากการกระทำหรือคำพูดชวนเลี่ยนนะคะ (ถึงคุณหลวงจะชอบพาเลี่ยนก็เถอะ 5555+)
เรารู้สึกว่ามันหวานด้วยความรู้สึกอ่ะ เป็นกลิ่นอายหวานๆซึ้งๆอบอุ่นๆอ่ะค่ะ
ยังคิดถึงน้องธีร์และคุณหลวงตลอดนะคะ

ปล.พี่แชมป์น่าสงสาร เดี๋ยวเค้าไปเรียกคุณพิกุลมาจับผูกโบว์เป็นของขวัญวันปีใหม่ให้นะคะ อิอิ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ohuii

  • Why I cannot upload profile picture?
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-4
สวัสดีปีใหม่คนแต่งจ้า
พี่แก้วอบอุ่นเสมอต้นเสมอปลาย น่ารักที่สุดเลย

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
พี่แก้ว อบอุ่นอ่อนโยนเหลือเกิน พระเอกแห่งปีเลยอ่ะ ปลื้ม ๆ  :o8:

สวัสดีปีใหม่พี่แก้ว น้องธีร์ พี่แชมป์ คุณพิกุล แล้วก็คนเขียนด้วยนะคะ
มีความสุขมาก ๆ นะคะ  :L1:

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
ตอนที่ ๓๓...เอาคืน...(Champ's Vision)




ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเกลียดใครเท่ามันมาก่อน ถึงผมจะเป็นพวกอารมณ์ร้อน ทำอะไรไม่ค่อยคิด หรือเคยมีเรื่องชกต่อยตามประสาวัยรุ่นอยู่บ้าง แต่คู่กรณีของผมทุกคนพอจบเรื่องก็จบกันทั้งนั้น ไม่เคยเก็บมาเป็นแค้นฝังหุ่นให้รกสมอง...แต่สำหรับหลวงเจษฎารังสรรถือเป็นข้อยกเว้น เพราะถึงแม้ตอนนี้ผมยังไม่ได้ลงมือทำอะไรแต่ผมก็มั่นใจว่าต่อให้มันตายไปตอนนี้ผมก็คงไม่เลิกเกลียดมันง่ายๆ
 

ครั้งแรกที่ผมกับมันได้พบกัน คือตอนที่มันมาหาเจ้าคุณจิตราที่เรือนนั่นแหละครับ ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ไม่นึกถูกชะตาเท่าไหร่นัก คนอะไรวะ เป็นถึงลูกเจ้าพระยามีหน้ามีตาในสังคมแต่ทำตัวไร้มารยาทสิ้นดี ทั้งน้ำเสียงและสายตาเหยียดหยันดูถูกราวกับผมเป็นเพียงบ่าวไพร่ หรือแม้แต่เรื่องที่มันด่าพี่สนที่ตลาดนั่นก็อีก ไม่อยากจะคิดว่าถ้าผมอยู่ด้วยในวันนั้นคงได้วางมวยกันสักตั้งสองตั้งไปแล้ว


แต่ที่หนักที่สุดก็คงเป็นเรื่องที่ไอ้ธีร์เล่าให้ผมฟังเมื่อหลายวันก่อน...ผมพอรู้มาบ้างว่ามันคิดยังไงกับธีร์แต่ไม่คิดว่ามันจะกล้าทำเรื่องชั่วๆถึงขนาดวางแผนลากเพื่อนผมไปข่มขืนพอไม่สำเร็จก็ให้พวกลูกน้องตามมาเอาคืน นี่มันยิ่งกว่าละครหลังข่าวที่ม๊าผมชอบดูอีก...ผมหมายถึงความเลวของมันเมื่อเทียบกับพวกตัวร้ายในละครน่ะ...เพราะงั้นผมถึงไม่ลังเลที่จะกระโจนเข้าไปช่วยธีร์เรื่องนี้แม้แต่น้อย...หนึ่ง เพราะมันเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผม...สอง และการที่เพื่อนสนิทของผมที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายปากหนักที่สุดยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังด้วยสีหน้าวิตกจริตผิดวิสัยของมัน มีหรือที่ผมจะยอมอยู่เฉยได้...และสาม ผมเกลียดขี้หน้าไอ้หลวงเจษฎ์นั่น



...ทั้งหมดที่ว่ามาข้อสี่มีน้ำหนักมากที่สุดครับ...นั่นคือ...มันเคยจีบคุณพิกุลไงเล่า!!



"จะไปไหนแต่เช้าวะ?"ธีร์ขมวดคิ้วยุ่งเมื่อผมเดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากอาบน้ำเสร็จในตอนเช้า ท่าทางมันงัวเงียพิลึกเพราะเพิ่งตื่นแต่ก็ยังอดถามไม่ได้เพราะปกติเวลานี้ผมต้องนอนน้ำลายยืดอยู่บนเตียงและเป็นมันที่ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวออกไปหาคุณหลวงหวานใจของมันแทน

"ไปตลาด"หน้ามุ่ยๆแบบคนเพิ่งตื่นนอนของมันยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปอีก

"ไปทำอะไรของมึง"ผมยักคิ้วกวนแทนคำตอบ แต่ธีร์ไม่ใช่คนโง่ เพราะการที่ผมแหกตาตื่นก่อนทั้งที่ปกติมันต้องเป็นคนลากผมลงจากเตียงแทบทุกวัน ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ

"เรื่องที่คุยกันวันก่อนเหรอ"สุดท้ายมันก็รู้ได้ด้วยตัวเองอยู่ดี

"แล้วทำไมต้องตลาด?"คนเพิ่งตื่นยังถามเซ้าซี้ แหงล่ะ ปกติมันต้องออกไปช่วยงานหลวงพิสิษฐที่เรือนเจ้าคุณไพศาลเกือบทุกวันเลยไม่ได้อยู่รับรู้ชีวิตประจำวันที่เรือนนี้ของผม ว่าเวลาที่ผมเบื่อๆไม่มีอะไรทำ ผมมักติดสอยห้อยตามพี่สนหรือไม่ก็มิ่งไปตลาดตอนเช้าเสมอ ถึงได้รู้ว่าไอ้คู่กรณีของธีร์มันเพิ่งจะมาเป็นขาใหญ่อยู่แถวตลาดนั้นได้ไม่นาน หลายครั้งที่ผมเห็นมันกับลูกน้องคนสนิทเดินกร่างท่ามกลางพวกชาวบ้าน หรือไม่ก็ไปสุมหัวอยู่ที่ร้านยาดองคอยแซวสาวๆชาวพระนครที่เดินผ่านไปมาให้ชาวบ้านเขาเอือมระอากันไปทั่ว ผมถึงได้ออกปากขอจัดการเรื่องนี้แทนเพราะเทียบกันแล้วผมเข้าถึงตัวมันได้ง่ายกว่าธีร์มากนัก

"มึงอย่าทำอะไรบ้าๆนะแชมป์"ธีร์ลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวพาดบ่าก่อนจะหันมามองผมด้วยสีหน้าจริงจัง

"ทำไม? มึงคิดว่ากูจะเอามีดไปแทงมันกลางตลาดงี้?"แซวเล่นแค่นี้ถึงกับยื่นมือมาดีดหน้าผากผมดังแป๊ะ! ผมเคยบอกไปแล้วใช่ไหมว่าธีร์มันเป็นประเภทปากว่ามือถึง แต่หลังๆมานี้มือมันถึงบ่อยเพราะมันดันเขินบ่อย ความซวยมันเลยมาตกที่ผมเพราะต้องเจ็บตัวบ่อยกว่าเดิม

"ถึงกูจะเกลียดขี้หน้ามัน แต่กูก็ไม่ได้เลวเหมือนมันถึงขั้นจะฆ่ากันให้ตายนะเว้ย"พอโดนสวนกลับเข้าถึงเงียบลงได้...ธีร์เป็นพวกคิดมากเป็นห่วงคนอื่นเกินเหตุเสมอ ด้วยความที่มันเป็นเด็กมีปมเรื่องพ่อกับแม่มันเลยกังวลไปหมดว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับคนใกล้ตัว นี่ก็คงเป็นห่วงกลัวว่าผมจะโดนไอ้หลวงเจษฏ์นั่นทำอะไรเข้าล่ะสิ

"กูรู้ว่ามึงไม่ทำอะไรแบบนั้น แต่กูเกรงใจ...เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมึงเลยนะแชมป์ มึงไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้"

"กูไม่เกี่ยวแต่กูอยากเสือกเพราะกูไม่ชอบหน้ามัน เหตุผลแค่นี้พอมั้ยสัด"เกรงใจไม่เข้าเรื่องด่าแม่งให้สักที มันก็เพื่อนสนิทผม มีคนมาทำร้ายแล้วจะให้ผมอยู่เฉยได้ยังไงวะ

"พอๆ เลิกไร้สาระแล้วไปอาบน้ำได้ละ ชักช้าเจ้าคุณท่านไม่รอต้องพายเรือไปเรือนหมอเองนะมึง"ถูกว่าซ้ำหลายรอบเข้ามันเลยหน้างอใส่ แต่ก่อนออกจากห้องยังไม่วายยกมือขึ้นบีบไหล่ผมเป็นเชิงปรามอีกรอบ...จะย้ำทำไมนักหนาเนี่ย หน้ากูเหมือนฆาตกรโรคจิตคิดแต่จะฆ่าหั่นศพคนหรือไง?



ผมเดินลงจากเรือนใหญ่ตั้งใจจะชวนพี่สนหรือไม่ก็มิ่งให้ไปเป็นเพื่อนแต่ยังไม่ทันเดินถึงเรือนบ่าวก็เจอพี่สนแกก้มๆเงยๆอยู่แถวท่าน้ำหน้าเรือนเสียก่อน

"ทำอะไรอยู่อ่ะพี่...เฮ้ยยย!"ยังไม่ทันได้คำตอบก็แหกปากร้องลั่นด้วยความตกใจ ก็พี่แกเล่นหันกลับมาพร้อมมีดพร้าเล่มเบ้อเร่อในมือที่ตวัดผ่านหน้าผมไปนิดเดียว

"อ้ายแช่ม! มาไม่ให้สุ้มให้เสียงประเดี๋ยวได้ถูกฟันเข้าให้"พี่สนไม่ได้ตั้งใจหรอกครับ แต่ผมดันทะลึ่งเข้าไปถามประชิดตัวให้แกตกใจเล่นเท่านั้นเอง

"แหย่เล่นแค่นี้จะฟันกันเลยเหรอพี่ โหดว่ะ!"พี่สนส่ายหน้าอย่างระอาเต็มทีเพราะถูกผมแกล้งบ่อยเข้าจนเริ่มชิน

"เอ็งมีอะไรรึ"

"ว่าจะชวนพี่ไปตลาด อยู่เรือนเบื่อๆไม่มีอะไรทำ"คนตัวสูงใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่ไหลย้อยตามใบหน้า แม้จะเป็นเวลาเช้าที่แดดยังไม่จัดนักแต่เพราะต้องทำงานใช้แรงเหงื่อถึงได้โทรมกายแบบนี้

"รอข้าถางหญ้าตรงนี้ประเดี๋ยว เสร็จแล้วจะพาไป ไม่ได้ถางเสียนานหญ้าขึ้นรกไปหมดแลยังตำแยนี่อีก เกิดใครเผลอไปถูกเข้าได้คันคะเยอกันบ้างล่ะ"ผมพยักหน้าหงึกหงักรับคำก่อนจะสะดุดเข้ากับคำพูดของแก เหลือบไปเห็นหญ้าขึ้นรกอย่างที่แกว่าแซมด้วยต้นตำแยใบหยักที่ผมเคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยเห็นของจริงสักที ก็ผมมันเด็กโตในเมืองไอ้เรื่องต้นไม้ใบหญ้านี่ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่...แต่เดี๋ยวนะ!...ตำแยเหรอ?

"ตำแยนี่ มันโดนแล้วคันใช่ป่ะพี่สน"

"ก็ใช่น่ะซีวะ ข้าถึงต้องมาถางทิ้ง เกิดคุณหญิงท่านลงมาเห็นว่าท่าน้ำหญ้าขึ้นรกเช่นนี้ล่ะเอ็งเอ๊ย มีหวังพวกข้าถูกเอ็ดจนหูชา"ผมยกยิ้มหลังความคิดบางอย่างผุดพรายขึ้นในหัว...อยู่พระนครนี่ก็ดีเหมือนกันเว้ย เครื่องไม้เครื่องมือรอบตัวไปหมด

"เดี๋ยวผมทำให้เอง พี่ไปพักเถอะ เสร็จแล้วผมไปเรียกนะ"ว่าพลางเอื้อมมือไปฉวยมีดพร้าเล่มโตจากมือแกมาถือไว้แทน แต่พี่สนยังคงยืนนิ่งส่งสายตาแปลกๆมาให้

"ผีเข้ารึเอ็ง ปกติให้ช่วยทำอะไรมีแต่อิดออด"

"ผมเห็นพี่เหนื่อยเลยอยากช่วย ดูดิ๊เหงื่อออกเต็มไปหมดแล้ว ไปๆ เดี๋ยวผมทำเองพี่ไปพักเถอะ"ถึงจะแคลงใจอยู่บ้างแต่แกก็ยอมเดินเลี่ยงกลับไปทางเรือนบ่าวแต่โดยดี...ผมเหลือบมองต้นตำแยบนพื้นอีกรอบ ถ้าใครเดินผ่านมาเห็นคงนึกว่าผมผีเข้าอย่างที่พี่สนว่า ก็ตอนนี้ผมดันยืนหัวเราะอยู่คนเดียวอย่างกับคนบ้า

"ก่อนจะได้เอาคืนกูต้องลงแรงก่อนสินะ"แล้วก็บ่นลอยๆกับตัวเองอีกต่างหากเมื่อเห็นว่ายังเหลือหญ้าที่ต้องถางอีกบาน...หรือผมจะบ้าจริงๆวะเนี่ย!



กว่าจะถางหญ้าตรงท่าน้ำเสร็จก็เล่นเอาหอบเหมือนกันครับ ถึงพักหลังมานี้ผมจะทำงานใช้แรงบ่อยแต่ก็ไม่ชินสักที พี่สนแกก็คงเป็นห่วงเห็นเดินมาดูตั้งไม่รู้กี่รอบ กว่าจะเสร็จก็เกือบสายโน่นล่ะ แถมยังต้องกลับขึ้นไปอาบน้ำใหม่เพราะแค่งานถางหญ้าก็เล่นเอาผมเหงื่อชุ่มได้เหมือนกัน


"ว่าแต่เอ็งมาตลาดทำไมรึ"คนพามาถามขึ้นเมื่อผมมาถึงที่หมาย วันนี้ตลาดริมน้ำยังคงคึกคักเหมือนเดิมทั้งที่สายมากแล้ว พี่สนบอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันพระชาวบ้านเขาเลยออกมาจับจ่ายซื้อของกันมากกว่าปกติ

"พาพี่มากินยาดองของโปรดไง"ผมฉีกยิ้มกว้าง ความจริงพวกผมมาที่นี่กันเป็นประจำอยู่แล้วครับ แต่ทุกครั้งพี่แกมักเป็นฝ่ายชวนก่อนส่วนผมก็จะตอบรับเสมอเพราะอยู่ที่เรือนก็ไม่มีอะไรให้ทำ แต่วันนี้ผมกลับเป็นคนชวนมาแกก็ย่อมสงสัยเป็นธรรมดา

"พูดแล้วก็เปรี้ยวปาก เอ็งเอาสักหน่อยไหมวะ"คิดไม่ผิดที่ยกเรื่องนี้มาอ้างกับคอยาดองแบบพี่สนเพราะดูท่าแกจะดีอกดีใจเป็นพิเศษ

"เมาแต่เช้าไม่ไหวว่ะ เดี๋ยวผมไปนั่งเป็นเพื่อนแล้วกัน"คนพลุกพล่านแบบนี้ถ้าคิดจะหาเป้าหมายก็ต้องไปที่ที่มันชอบครับ



แล้วผมก็คิดไม่ผิดจริงๆ เพราะยังไม่ทันเดินถึงซุ้มยาดองดีก็ได้ยินเสียงโวยวายที่มักได้ยินอยู่บ่อยๆลอยมากระแทกหูเสียก่อน

"แม่ลำดวนจ๋า...ของพวกพี่ได้หรือยังจ๊ะ ให้คุณหลวงเจษฎ์เธอรอนานประเดี๋ยวเธอไม่พอใจแม่ลำดวนจะเสียลูกค้าคนสำคัญเอานะจ๊ะ"น้ำเสียงยืดยานของลูกสมุนตัวเล็กที่นั่งข้างนายของมันบ่งบอกว่าพวกมันคงเมาได้ที่กันมาสักพักแล้ว เหลือก็แต่ผู้เป็นนายที่ยังนั่งหลังตรงไม่แสดงอาการใด มีก็เพียงรอยยิ้มบนใบหน้าแข็งขึงนั้นที่ผมว่ามัน'น่าหมั่นไส้ชิบหาย'

"เกิดเป็นนายมันดีเช่นนี้ล่ะวะอ้ายแช่ม งานการไม่ต้องทำแต่มีกินมีใช้ไปทั้งชาติ"พี่สนบ่นเสียงเบาเพราะกลัวว่าใครจะได้ยินเข้าแล้วจะซวย

"รวยเงินทองแต่ทำตัวไม่มีประโยชน์ สู้ไม่มีอันจะกินแต่ทำประโยชน์ให้ตัวเองกับคนรอบข้างไม่ดีกว่าเหรอวะพี่"ผมตอบกลับโดยไม่มองหน้าคู่สนทนาเพราะสายตายังคงจดจ้องกับกลุ่มเป้าหมายตรงหน้า เกือบฆ่าคนตายขนาดนั้นยังมีหน้ามานั่งกินเหล้าเมายาสบายใจ ถ้าไม่เลวก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วล่ะครับ...พี่สนเพียงตอบรับคำของผมก่อนจะหันไปสั่งยาดองสูตรประจำของแกกับแม่ลำดวนคนสวยที่ยืนประจำซุ้ม แต่วันนี้หน้าตาเธอบูดบึ้งผิดปกติคงเพราะเจอไอ้ลูกค้าเรื่องมากคอยโหวกเหวกสั่งนู่นสั่งนี่ไม่ขาดปาก

"รอประเดี๋ยวนะพี่ ฉันเอาของหลวงเจษฎ์ไปให้เสียก่อน ประเดี๋ยวจะเป็นเรื่องเอาอีก"เสียงหวานบ่นอุบขณะกำลังยกถาดของเหลวสีอำพันไปส่งให้ลูกค้าขาใหญ่ที่ยังโวยวายกันไม่เลิก วันนี้ลูกค้าแน่นร้านพวกมันเลยไม่ทันสังเกตเห็นผมกับพี่สนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง ผมหรี่ตามองท่าทีของคนทั้งสามที่กำลังรื่นเริงกับบทสนทนาและแก้วยาดองที่วางเกลื่อนบนโต๊ะโดยไม่รับรู้แม้แต่น้อยว่าสายตาคนรอบข้างเขาเอือมระอาพวกมันมากแค่ไหน...ถ้าเป็นเวลาปกติเจอแบบนี้ผมคงลากพี่สนไปที่อื่นแทนเพราะผมมันพวกขี้รำคาญ แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือการนั่งทนฟังเสียงโหวกเหวกของพวกมันเพราะยังไม่มีจังหวะดีๆให้เข้าประชิดตัว...ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเอาใบตำแยที่หยิบติดมือมาโปรยใส่พวกมันให้เหมือนเอฟเฟคหิมะในหนังรักโรแมนติกอยู่หรอก ติดที่ว่าผมคงจะโดนรุมกระทืบเสียก่อนเลยหยุดความคิดเพี้ยนๆเอาไว้เท่านั้นดีกว่า


นั่งรอจนเกือบหลับกว่าพวกมันจะร่ำสุรากันเสร็จ ไอ้ตัวหัวหน้าก็นำทีมลูกน้องอีกสองคนให้ลุกเดินออกจากร้านฝ่าฝูงชนมุ่งตรงไปแถวท้ายตลาด เห็นแบบนั้นผมเลยรีบลุกพรวดจนพี่สนแกสะดุ้งโหยง

"พี่อยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวผมมา"ไม่รอให้พี่สนได้ถามอะไรผมก็รีบเดินตามพวกมันไปทันที โชคดีที่หลวงเจษฎ์ตัวสูงใหญ่เลยสังเกตเห็นได้ง่าย แถวท้ายตลาดนี่ก็ถิ่นพวกมันเหมือนกันครับ เพราะอะไรก็ตามที่เขาเรียกว่าอบายมุขในยุคนี้มันมารวมอยู่ที่ท้ายตลาดกันเกือบหมด เห็นหลังมันไวๆตรงไปทางวงตีไก่วงใหญ่ที่มีชาวบ้านหลายสิบคนยืนมุงดู เสียงโห่ร้องป้องปากตะโกนดังเซ็งแซ่น่าหนวกหู แต่พอเห็นหลวงเจษฎารังสรรเข้าชาวบ้านแถวนั้นก็รีบแหวกทางให้มันแทบไม่ทัน...คนตัวใหญ่แทรกตัวเข้าไปอยู่แถวหน้าสุดโดยมีลูกสมุนอีกสองคนตามประกบซ้ายขวาอย่างกับพวกมาเฟีย ส่วนผมที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรแถวนี้เลยต้องอาศัยลูกมุดแทรกผ่านฝูงชนที่ยืนล้อมเป็นวงเข้าไปยืนประชิดตัวจนได้ในที่สุด พวกมันไม่ทันสังเกตเห็นเพราะมัวแต่สนใจไก่ชนสองตัวในวงล้อมที่กำลังตีปีกเข้าหากันดังพรึ่บพรั่บ ยิ่งเสียงเชียร์ดังมากเท่าไหร่ความรุนแรงก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งความรุนแรงมีมากเท่าไหร่ก็เรียกความสนใจจากพวกมันได้มากขึ้นไปอีก


ช่องว่างในการระวังตัวที่ลดลงเป็นจังหวะให้ผมจัดการยัดใบตำแยที่เก็บมาเสียเต็มกำมือเข้าไปใต้เสื้อมันได้ไม่ยาก ยิ่งคนเบียดเสียดมากเท่าไหร่ใบตำแยคันคะเยอก็ยิ่งถูไถกับผิวหนังของเจ้าตัวมากเท่านั้น แต่ดูท่ามันยังไม่รู้สึกตัวเพราะมัวแต่ลุ้นกับไก่โต้งตัวใหญ่ในวง ผมเลยรีบหลบฉากออกมาด้านนอก...แต่เพียงแค่หลุดออกมานอกวงก็ได้ยินเสียงโวยวายที่คุ้นหู...เสียงโหวกเหวกของมันที่แหวกวงชาวบ้านที่ยืนรายล้อมจนแตกกระเจิง เรียกให้ลูกสมุนอีกสองคนรีบปราดเข้าไปดูอาการแปลกๆของผู้เป็นนายที่ยกไม้ยกมือ สะบัดตัวไปมา ปากก็ร้องเร่าไม่หยุดหย่อน...ภาพตรงหน้าเรียกเสียงหัวเราะจากผมได้ดีทีเดียวเพราะภาพผู้ชายตัวใหญ่ที่กำลังเต้นแร้งเต้นกาบิดตัวไปมาร้องโวยวายนั่นน่าตลกสิ้นดี แต่ก็ต้องรีบวิ่งกลับมาหาพี่สนเพราะกลัวมันจะหันมาเห็นเข้าเสียก่อน น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ดูอาการเพี้ยนๆของมันนานอีกนิด


"เอ็งไปไหนมาวะอ้ายแช่ม"พี่สนยกแก้วค้างเอาไว้เมื่อเห็นผมวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงโต๊ะ

"ไปเดินเล่นมา พี่เสร็จยัง กลับกันเถอะ"

"ประเดี๋ยวซีวะ เพิ่งมาถึง เอ็งจะรีบไปไหน"ผมไม่ตอบคำถามแต่กลับฉวยมือพี่แกให้ลุกตามจนแก้วยาดองในมือแทบกระฉอก ได้ยินเสียงแกบ่นอุบเพราะยังไม่ทันได้ลิ้มรสยาดองของโปรดเต็มที่ก็ถูกผมลากตัวมาที่ท่าน้ำเสียแล้ว

"ออกมาข้างนอกนานเดี๋ยวคุณหญิงบ่น นี่ก็สายมากแล้ว รีบกลับเหอะพี่"เพราะเห็นสายตาคาดคั้นจากพี่สนเลยต้องแถไปแบบสีข้างแทบไหม้ แต่ก็ดูจะได้ผลเพราะเมื่อยกชื่อคุณหญิงมาอ้างพี่แกก็รีบพยักหน้าเห็นด้วยแล้วพาผมกลับทันที


...ปฎิบัติการแรกสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี...ดีเสียจนผมนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวระหว่างทางกลับเรือนจนพี่สนแกว่าผมเป็นบ้าเลยล่ะครับ...ก็มันตลกนี่หว่า ได้เห็นมันกระโดดโหยงเหยงเป็นเป้าสายตาชาวบ้านให้ได้อับอาย ป่านนี้มันคงรู้ตัวแล้วว่าโดนอะไรเข้าไป แต่ไอ้เรื่องตามหาคนลงมือนี่ฝันไปเถอะมึง...กูไม่โง่อยู่รอให้จับได้หรอกครับ...


วันนั้นทั้งวันผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แถวโรงครัว ไม่ได้ตะกละลงไปหาอะไรกินนะครับ แต่ไปคุยกับป้าน้อยต่างหาก เพราะในเรือนนี้จะหาใครรู้เรื่องชาวบ้านมากไปกว่าป้าน้อยคงไม่มี โดยเฉพาะเรื่องที่คนเขาพูดถึงกันที่ตลาดป้าแกรู้เกือบทุกเรื่องเลยทีเดียว...ป้าน้อยเล่าว่าหลวงเจษฎารังสรรกับพวกชอบไปสุมหัวอยู่แถวตลาดตามที่ผมเข้าใจ แต่ก็เพิ่งไม่นานมานี้เอง แกว่าก่อนหน้ามันชอบไปเตร็ดเตร่แถวตลาดใหญ่กลางเมืองแต่ดันไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตแถวนั้นเลยต้องระเห็จมากร่างละแวกเรือนเจ้าคุณจิตราแทน นอกจากกินเหล้าเมายาแล้วก็ยังมีเรื่องการพนันอีกอย่างที่มันให้ความสนใจเป็นพิเศษ เห็นว่ามีไก่ชนตัวเก่งเลี้ยงไว้ที่เรือน พอเอามาตีกับไก่ของชาวบ้าน พวกนักพนันก็เทเงินลงฝั่งมันกันเกือบหมดเพราะไก่ของมันขึ้นชื่อว่าโหดเหมือนเจ้าของ

"ไอ้โต้งของหลวงเจษฎ์น่ะรึ เคยเห็นซีวะ"มิ่งทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบกลับ ตอนนี้ผมมานั่งดูมันผ่าฟืนอยู่ท้ายโรงครัว ท่าทางคล่องแคล่วผิดกับผมที่พยายามฝึกไม่รู้กี่ครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จสักที

"ตัวมันใหญ่แลอึดอีกต่างหาก แต่หลวงแกไม่ค่อยเอามาชนบ่อยนัก แกว่าไอ้โต้งมันมีราคา"มิ่งว่าพลางเงื้อขวานขึ้นเหนือหัวก่อนจะฟันฉับลงบนท่อนไม้จนขาดเป็นสองท่อน

"แบบนี้ไปตีกับใครก็ชนะหมดเลยสิวะ"

"หากเป็นวงที่ท้ายตลาดก็ยังไม่มีใครสู้ได้ เห็นว่าอีกสามวันหลวงแกจะพาไอ้โต้งไปตี เอ็งอยากเห็นหรือไม่เล่า"ถึงไอ้มิ่งจะไม่ใช่พวกติดพนันแต่มันก็เคยแอบไปดูเขาตีไก่กันอยู่บ้าง มันว่านานๆทีไปยืนเชียร์แก้เบื่อแต่ไม่ได้ลงเงินพนันอะไรกับเขาหรอกเพราะลำพังเงินทองของมันก็ไม่ได้มีมากมาย


ความคิดแผลงๆในหัวผมเริ่มทำงานอีกครั้ง...อีกสามวันผมถึงจะได้เจอมัน แต่จะให้เอาใบตำแยไปยัดเสื้อมันเหมือนเดิมอีกก็น่าเบื่อไป...มันต้องมีอะไรน่าสนุกกว่านั้นสิวะ!


"หลบมานั่งทำอะไรคนเดียวตรงนี้เล่าพ่อ"เสียงหวานคุ้นหูดังขัดความคิดที่กำลังตีกันยุ่งเหยิง ถ้าเป็นคนอื่นผมคงหันไปด่าเข้าให้ ก็คนกำลังใช้สมองแต่ดันมาขัดจังหวะเสียได้ แต่กับคนนี้...ให้ตายผมก็ด่าไม่ลง

"คุณพิกุล...มีอะไรให้แชมป์รับใช้เหรอครับ"เจ้าของชื่อยืนยิ้มหวานอยู่หน้าศาลาไม้สักข้างเรือนโดยไม่ยอมเดินเข้ามา พักหลังมานี้แม้บรรยากาศตึงเครียดของผมกับคุณหญิงสร้อยจะลดลงไปมากแต่ลูกสาวคนสวยของท่านก็ยังวางตัวดีเยี่ยมเช่นเคย ไอ้เรื่องที่จะให้อยู่กันตามลำพังในที่ลับตาคนนี่เลิกคิดไปได้เลยครับ หรือแม้ในสถานการณ์แบบนี้เธอก็ยังเว้นระยะห่างพอสมควร ซึ่งผมเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเพราะแค่ได้เห็นหน้าเธอทุกวันแบบนี้ก็ดีมากพอแล้ว

"วันนี้เราลงครัวทำขนม ทำไว้เสียมากคุณแม่ท่านเลยให้เอามาแบ่ง"มัวแต่มองหน้าคนสวยเพลิน ไม่ทันมองถาดขนมสีหวานในมือของเธอ...คนตัวเล็กวางถาดขนมหน้าตาสวยงามสีออกม่วงอมฟ้าเหมือนสีสไบที่เธอห่มวันนี้ลงบนโต๊ะ

"สีสวยจังครับ"สวยทั้งขนมทั้งคนทำเลยด้วย

"เขาเรียกขนมช่อม่วง รสไม่หวานจัดพ่อแชมป์คงชอบ"ผมรีบพยักหน้ารับ อันที่จริงจะหวานมากหวานน้อยผมก็ชอบทั้งนั้นแหละขอให้เป็นฝีมือคุณพิกุลอะไรผมก็กินได้...ผมนั่งท้าวค้างมองหน้าคนตัวเล็กเสียเพลินจนสังเกตเห็นว่าแก้มเนียนของเธอขึ้นสีระเรื่อเพราะถูกจดจ้อง ดวงตาคู่สวยหลุบต่ำแต่ใบหน้าหวานยังเจือรอยยิ้มชวนมอง...สุดท้ายเลยต้องกระแอมขัดจนผมสะดุ้งโหยง

"เราต้องกลับขึ้นเรือนก่อน อย่าลืมชิมขนมเล่าพ่อ"ใบหน้าหวานยังยิ้มระเรื่อก่อนเธอจะหันหลังกลับขึ้นเรือนโดยที่ผมได้แต่นั่งท้าวคางมองตามตาไม่กระพริบ...แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ววะ ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน เห็นหน้ากันทุกวัน แถมวันดีคืนดียังมีบุญได้กินขนมฝีมือคนตัวเล็กอีก...ให้ไอ้แชมป์อยู่แบบนี้ไปจนแก่ตายก็ยอมครับ!



...แล้วกูมัวแต่นั่งเพ้อถึงคุณพิกุลแบบนี้เมื่อไหร่จะได้หาแผนการเอาคืนแผนต่อไปล่ะเว้ย!...



"ใบตำแย?!"ไอ้คนต้นเรื่องเบิกตาโตเกือบเท่าไข่ห่านหลังได้ยินวีรกรรมเมื่อเช้านี้...ธีร์กลับมาถึงเรือนเอาตอนหัวค่ำ พอเจอหน้ามันก็รีบลากตัวผมเข้ามาสอบปากคำในห้องทันที ส่วนผมก็แค่ยักคิ้วกวนตอบคำถามของมันตามประสาคนอารมณ์ดีที่ได้แกล้งคนไปเมื่อเช้าแถมยังมีบุญได้กินขนมช่อม่วงฝีมือคุณพิกุลอีก

"คิดได้นะมึง...แล้วมันเป็นไงวะ"คนถามส่ายหน้าปลงแต่สีหน้าอยากรู้อยากเห็นเต็มที่

"โดนใบตำแยจะเป็นยังไงได้วะ...ก็คันอ่ะดิ หึหึ"นึกสภาพไอ้หลวงเจษฏ์กระโดดโหยงเหยงแหกปากโวยวายเมื่อกลางวันแล้วก็ขำเป็นบ้า เสียดายที่ไม่ได้อยู่ดูนานกว่านั้นเพราะมันคงตลกพิลึก

"แล้วมันไม่รู้ตัวเหรอ เข้าไปใกล้ขนาดนั้น"

"กูเป็นใครครับ...ระดับนี้แล้วไม่มีพลาดอ่ะ"ท่าทางมั่นใจเกินร้อยของผมทำเอาธีร์ถอนหายใจยาวด้วยความระอา เดี๋ยวส่ายหน้าเดี๋ยวถอนหายใจ ตกลงไอ้ที่ผมทำไปมันนับเป็นความดีความชอบบ้างหรือเปล่าครับ

"มึงนี่นะ...แล้วจะเอายังไงต่อ"ปากก็บ่นปาวๆว่าไม่อยากให้ผมเข้ามายุ่งแต่สีหน้ามันสะใจพิลึกตอนที่รู้ว่าคู่กรณีของมันโดนอะไรไปบ้าง

"อีกสามวันมันจะเอาไก่ชนตัวเก่งไปตีที่ท้ายตลาด"นึกไปถึงไอเดียเด็ดที่เพิ่งคิดได้เมื่อกลางวันแล้วก็เผลอยิ้มเผล่ออกมาจนคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย

"มึงคงไม่คิดจะไปฆ่าไก่มันหรอกนะแชมป์"

"ก็คิดนะ ฆ่าทิ้งแล้วเอามาทำต้มข่าไก่แดกแม่ง......ถุ้ย! ความคิดมึงนี่มีแต่ติดลบ"วันก่อนก็กลัวผมจะไปฆ่าไอ้หลวงเจษฏ์ วันนี้กลัวผมจะไปฆ่าไก่มันอีก เจริญล่ะมึงความคิด ผมออกจะเป็นคนดีไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแม้แต่มดสักตัวยังไม่เคยบี้


...นั่นก็เวอร์ไปครับ...


"ฆ่าไก่มันทิ้งไปก็เท่านั้น สู้ทำให้มันเสียหน้าแถมเสียตังค์จนหมดตัวดีกว่า"ไอ้ธีร์ยิ่งทำหน้าเป็นหมางงเข้าไปใหญ่ จนเมื่อผมอธิบายแผนที่วางไว้ให้ฟังนั่นล่ะ มันถึงกับอ้าปากค้างแถมยังถามผมซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ มัวแต่ปอดแหกแล้วแผนที่วางไว้มันจะไปสำเร็จได้ยังไงกันเล่า!



ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0


สามวันถัดมาผมยังคงนอนเอกเขนกอยู่ที่เรือนเจ้าคุณจิตราเหมือนเคย วันนี้ธีร์ไม่ได้ออกไปไหนเพราะมันต้องเตรียมตัวเก็บเสื้อผ้าย้ายเข้าห้องหอ เอ๊ย! ผมหมายถึงย้ายไปอยู่เรือนเจ้าคุณไพศาลชั่วคราวเพราะต้องไปดูแลหลวงพิสิษฐที่จะกลับเรือนในวันพรุ่งนี้ เห็นว่าอาการดีขึ้นมากจนต่อปากต่อคำกับมันได้เป็นฉากๆ แต่ผมว่าต่อให้คุณหลวงเจ็บเจียนตายมันก็เถียงไม่ชนะอยู่ดี...ก็คนอย่างชลนธีร์เคยเถียงชนะใครเขาบ้างล่ะครับ

"มึงจะไม่ไปดูจริงเหรอวะ"ธีร์ละมือจากกองเสื้อตรงหน้าหันมาถามผมที่ยังนอนกระดิกเท้าอ่านหนังสือเล่มหนาอยู่บนเตียง ท่าทีสบายอารมณ์คงขัดหูขัดตามันไม่น้อยเพราะตอนแรกมันรบเร้าจะตามไปตลาดด้วยให้ได้แต่ผมไม่ยอม ขืนไปให้ไอ้หลวงเจษฎ์มันเห็นแผนก็แตกกันพอดีสิครับ...สุดท้ายผมเลยตัดใจไม่ไปมันเสียเลยถึงแม้อยากจะไปดูน้ำหน้ามันสักหน่อยก็เถอะ

"ไอ้มิ่งมันไปดู เดี๋ยวมันก็กลับมาบอก"ท่าทางมันหงุดหงิดพิลึกคงเพราะอยากไปดูให้เห็นกับตา แต่ก็ได้เพียงไม่นานเมื่อมิ่งกลับมาถึงเรือนแล้วรีบตรงดิ่งมาที่ห้องนอนของพวกผมทันที...สีหน้ามันตื่นเต้นน่าดูตอนที่เปิดประตูเข้ามา ส่วนธีร์ก็ทำหน้าอยากรู้อยากเห็นเต็มทีจนผมต้องเอาเท้าสะกิดให้มันระงับความเสือกไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต

"เป็นไงมั่งวะ"ผมตีเนียนถาม ความจริงเมื่อเช้ามันก็มาชวนแต่ผมบ่ายเบี่ยงเพราะไม่อยากให้ธีร์ตามไปด้วย ได้แต่บอกให้มันไปดูแล้วกลับมารายงานให้ฟังโดยใช้เหตุผลว่าผมสนใจ ทั้งที่ความจริงผมไม่รู้กติกากีฬาชนไก่บ้าบอนี่แม้แต่น้อย

"ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะโว้ย!"คนเพิ่งมาถึงตบหน้าแข่งตัวเองฉาดใหญ่ด้วยความตื่นเต้น

"ไอ้โต้งแพ้ราบคาบเชียวล่ะ ถูกไอ้ขุนศึกของพ่อจอมต้อนเสียไม่เป็นท่าแลสภาพยังย่ำแย่เต็มที"มิ่งเล่าเหตุการณ์เป็นฉากๆ เริ่มตั้งแต่ตอนที่หลวงเจษฎ์มันพาไอ้โต้งเข้าไปในวง ท่าทางของไอ้โต้งที่ป้อแป้ผิดวิสัยจนพวกนักพนันที่ลงเงินฝั่งนั้นวิตกกันเป็นแถว จนสุดท้ายก็แพ้กลับไปแบบไม่มีทางสู้ด้วยสภาพสะบักสะบอมขนหลุดร่วง ไม่ต่างจากหน้าของเจ้าของที่แหกยับเยินจนเหลือเพียงสองนิ้วเพราะคุยโวกับชาวบ้านเขาไปทั่วว่าไก่ของมันเป็นที่หนึ่งในละแวกนั้น

"หลวงเจษฎ์แกหน้าซีดเสียอย่างกับไก่ต้ม แลยังเสียอัฐไปมากโขเพราะมั่นใจหนักหนาว่าไก่แกต้องชนะ"ดูท่ามิ่งเองก็สะใจอยู่ไม่น้อยเพราะมันเล่าไปหัวเราะไปเมื่อนึกไปถึงหน้าของหลวงเจษฎ์ในตอนนั้น

"หลวงแกยังโวยวายอีกว่าไอ้โต้งมันถูกวางยาถึงได้ไม่มีเรี่ยวแรง อาละวาดเสียลั่นตลาดเชียวล่ะ"

"โดนวางยาเหรอวะ"ผมถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่มิ่งเล่า ธีร์เองก็พยายามเก็บอาการแต่ดูก็รู้ว่ามันสะใจไม่แพ้กัน

"ข้าก็ว่าแปลกนัก ปกติไอ้โต้งมันมีฝีมือแต่วันนี้กลับสิ้นท่า บุญของข้าที่ไม่ได้ลงอัฐพนันกับเขา ไม่เช่นนั้นข้าคงหมดตัวเป็นแน่"สีหน้าของมิ่งเจือแววประหลาดใจยิ่งทำให้ผมหัวเราะไม่หยุด...โดนวางยาเหรอ...ก็ใช่น่ะสิ! ถ้ามันไม่โดนยามันจะป้อแป้กลับมาแบบนี้เหรอครับ...แต่ก็ต้องยอมรับว่าแผนนี้สำหรับผมแล้วไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่ามันจะสำเร็จ...เพราะการที่ผมลงทุนไปหาต้นเทียนหยดที่เขาว่ากันว่ามันมีพิษทำให้ท้องร่วง เอามาผสมกับข้าวเปลือกแล้วฝากบ่าวสักคนบนเรือนของหลวงเจษฎ์เอาไปให้นายมันโดยอ้างว่าเป็นยาบำรุงชั้นดีที่ไก่ตัวไหนได้กินแล้วก็ยิ่งมีเรี่ยวแรง ไปตีกับใครเขาก็ชนะ


ทั้งหมดที่ว่ามานี้คงพังไม่เป็นท่า หากหลวงเจษฎารังสรรไม่ใช่คนโลภ มันก็คงไม่สนใจข้าวเปลือกธรรมดาๆที่ได้มาจากใครก็ไม่รู้ที่มันไม่เห็นแม้แต่หน้า และมันก็คงไม่เอาไปให้ไก่มันกินจนออกอาการขนาดนี้...เพียงแต่ผมเดาไม่ผิดว่าคนอย่างมันถ้าเห็นช่องทางไหนที่จะคดโกงได้มันก็จะทำ...ผลก็เลยออกมาอย่างที่เห็น...เสียทั้งเงิน เสียทั้งหน้า แถมยังต้องพาไก่มันไปรักษาอีกล่ะมั้ง


ส่วนผมกับธีร์...ก็นั่งหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังจนมิ่งมันทำหน้างงใส่เข้าให้ไงเล่า!


"กูเพิ่งรู้ว่ามึงเรียนโทพฤกษศาสตร์"เพื่อนตัวดีได้ทีแขวะกลั้วเสียงหัวเราะไม่หยุดหลังมิ่งขอตัวลงไปทำงานที่โรงครัวต่อจนผมต้องยกมือโบกมันเข้าให้ คนทำดีไม่มีชมดันมาแขวะกันได้

"ทะลึ่งละ...แผนนี้ได้มาเพราะคุณพิกุลเลยนะเว้ย"แต่คนกำลังหัวเราะร่ารีบหุบปากฉับ สีหน้าของมันเปลี่ยนจากคนอารมณ์ดีเป็นตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินชื่อของลูกสาวเจ้าคุณจิตราเข้ามาเกี่ยวข้อง

"มึงบอกคุณพิกุลเหรอ!"ธีร์แหกปากเสียงดังพร้อมมือที่เขย่าตัวผมจนหัวสั่นหัวคลอน ผมเลยรีบปัดมือมันออกก่อนที่จะเวียนหัวไปมากกว่านี้

"บ้าดิ!...กูไม่ได้บอก..."เห็นมันทำหน้าสงสัยแถมสายตาคาดคั้นแล้วก็อดขำไม่ได้...เฉลยให้มันหายกังวลหน่อยก็แล้วกันครับ

"ก็วันก่อนกูไปนั่งเล่นที่ท่าน้ำเล็ก กะไปหาที่สงบใช้ความคิดซักหน่อยแต่ดันไปเห็นต้นอะไรไม่รู้สีม่วงๆเหมือนขนมที่คุณพิกุลทำให้กิน กูเลยเก็บไปให้เค้าดู นึกว่าเค้าใช้ไอ้ต้นนี้ทำสีขนมเพราะกูเคยได้ยินมาว่าคนสมัยนี้เค้าใช้สีจากธรรมชาติ...แต่เค้าบอกไม่ใช่ ต้นนี้มันมีพิษกินแล้วท้องร่วง กูเลยได้ไอเดียนี่ไง...เห็นมะ! มึงต้องขอบคุณคุณพิกุลเค้านะเว้ย ถ้าเค้าไม่ทำขนมให้กูกินกูคงคิดแผนนี้ไม่ออกหรอก"ผมร่ายยาวเหยียดจนไอ้ธีร์ส่ายหน้าปลง

"ก็พยายามโยงเข้าหากันจนได้เนอะ"แน่นอนสิครับ เรื่องนี้ผมยกความดีความชอบให้คนตัวเล็กเต็มๆถึงแม้ทั้งหมดนั่นจะเกิดขึ้นเพียงเพราะผมหาเรื่องเข้าไปคุยกับเธอโดยยกเรื่องขนมมาอ้างเท่านั้น

"ป่านนี้ไอ้หลวงเจษฏ์คงโมโหน่าดู"คำพูดของธีร์ดึงผมที่กำลังยิ้มร่าเพราะมัวแต่นึกถึงลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตราให้กลับมาสู่บทสนทนาอีกครั้ง...สีหน้าของมันเป็นกังวลไม่น้อยเพราะรู้ฤทธิ์เดชของคู่กรณีดี

"อาละวาดบ้านพังแน่มึง...ช่วงนี้คงต้องปล่อยไปก่อน ขืนทำอะไรตอนนี้มันรู้ตัวแน่"เสียทั้งเงิน เสียทั้งหน้าแบบนั้น ไม่อยากจะคิดถึงบ่าวคนที่ผมฝากข้าวเปลือกนั่นไปให้เลยว่าจะโดนหนักขนาดไหน...แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะผมคงไม่โง่เดินดุ่มๆเอาไปให้มันเองกับมือหรอกครับ



"แชมป์..."แล้วไอ้น้ำเสียงส่อแววดราม่าของมึงนี่มันคืออะไรวะ?

"ขอบใจนะ...เรื่องของกูแท้ๆแต่กูกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย เดือดร้อนมึงต้องทำโน่นทำนี่ตลอด"ทำมาเป็นซึ้งนะไอ้ธีร์ นี่ผมต้องหาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มเหมือนในหนังหรือเปล่าครับเนี่ย

"ถ้ากูไม่ช่วยมึงแล้วจะให้กูไปช่วยใครวะ...มึงเลิกขอบคุณกูเถอะ กูจำไม่ได้แล้วว่ามึงขอบคุณกูมากี่ครั้ง"ธีร์เป็นเด็กดื้อเสมอเวลามีปัญหาเพราะมันเอาแต่คิดว่ามันต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง บ่อยครั้งที่ผมเห็นความสับสนและเป็นกังวลฉายออกมาจากสีหน้าเรียบเฉยเวลาที่มันหาทางออกไม่ได้ บ่อยครั้งที่มันหงุดหงิดตัวเองจนใครก็เข้าหน้าไม่ติด...ถึงอย่างนั้นธีร์ก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ...ตั้งแต่รู้จักกันมาผมแทบไม่เคยเห็นมันร้องไห้ ถ้าไม่นับเรื่องหยุมหยิมตอนเด็กๆก็มีแค่ตอนที่พ่อกับแม่มันเสีย...และอีกครั้ง...คือคืนวันนั้นที่หลวงพิสิษฐถูกทำร้ายปางตาย...สำหรับธีร์...การสูญเสียคนสำคัญเป็นเรื่องใหญ่และละเอียดอ่อน...แต่เพราะแบบนี้ถึงทำให้มันเข้มแข็งและพร้อมที่จะจัดการกับใครก็ตามที่ทำร้ายคนสำคัญของมัน


...และผมเองก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเพราะผมรู้ดีว่าถ้ากลับกลายเป็นผมที่มีปัญหา ธีร์เองก็คงกระโจนเข้ามาช่วยโดยที่ผมไม่ต้องร้องขอเช่นกัน
.

.

.

.

.
ผมเคยบอกไปแล้วใช่ไหมครับว่าวิธีเอาคืนหลวงเจษฏารังสรรในแบบของผมไม่ใช่การทำร้ายร่างกายจนถึงชีวิต...แต่เป็นการทำให้มันใช้ชีวิตลำบากขึ้นอีกหน่อย...และมันก็เป็นอย่างที่ผมว่า เพราะหลังจากวันนั้นผมยังคอยตามป่วนประสาทจนมันอยู่ไม่เป็นสุข...วันดีคืนดีผมก็เห็นมันกระโดดโหยงเหยงอยู่ริมท่าน้ำที่ตลาดเพราะเจอรังมดแดงที่ผมแอบหย่อนเอาไว้ในเรือ...อีกวันมันก็ยืนก่นด่าพวกเด็กผมจุกท้ายตลาดที่ผมจ้างไปป่วน ทั้งยังโห่แซวเรื่องที่ไก่มันแพ้พนันจนชาวบ้านแถวนั้นพากันหัวเราะครืน...หรือวันที่มันได้ลิ้มรสยาดองผสมบอระเพ็ดที่ผมเอาไปฝากลูกน้องมันถึงเรือน แต่ลูกน้องมันดันรู้หน้าที่รีบหิ้วไปฝากลูกพี่ให้ได้ขมคอกันถ้วนหน้า...ยังไม่รวมถึงนกสาริกาเสียงหวานลูกรักของมันที่ถูกจับใส่กรงแขวนไว้หน้าเรือนแพ ผมก็แอบไปเปิดกรงให้เพราะเห็นว่าอยู่ในกรงแคบๆมันน่าสงสารจะตาย

ชีวิตของหลวงเจษฎารังสรรเรียกได้ว่าปั่นป่วนจนกลายเป็นความหวาดระแวง...หลายครั้งที่ผมเห็นมันเดินหันรีหันขวางมองคนรอบข้างด้วยสีหน้าตื่นตระหนก หรือแม้แต่อารมณ์หงุดหงิดของเจ้าตัวที่พาลลงกับลูกน้องคนสนิทเมื่อมันพยายามตามสืบว่าใครเป็นคนทำเรื่องพวกนี้ แต่จนแล้วจนรอดลูกน้องของมันก็ไม่มีปัญญาหาตัวคนผิดจนถูกหลวงเจษฎ์บันดาลโทสะเข้าให้ บางครั้งผมก็นึกสงสารคนสนิทของมันที่คอยเดินตามหลังนายต้อยๆ ทำทุกอย่างตามคำสั่งแม้นั่นอาจหมายถึงเรื่องชั่วช้า แถมยังเป็นที่รองมือรองเท้าเวลาที่นายของพวกมันของขึ้นอีกต่างหาก...แต่แล้วผมก็คิดได้ว่า ชีวิตของทุกคนมันมีทางเลือกกันทั้งนั้น และการที่พวกมันไม่เลือกเดินออกมาทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่ใช่เรื่องดี นั่นแปลว่าพวกมันเองก็เลวไม่แพ้นายของพวกมันนักหรอกครับ

และการที่ผมยังอยู่รอดปลอดภัยมาได้จนถึงทุกวันนี้ทั้งที่พวกมันควรรู้ตัวคนทำตั้งแต่แรก ไม่ใช่เพราะผมมีฝีมือเลิศเลอเหมือนสายลับในหนังฮอลลีวู๊ดหรือเรียนวิชานินจามาจากสำนักไหน...โอเค ผมยอมรับก็ได้ว่าผมเก่งแถมหล่อและฉลาดมากอีกต่างหาก...แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นครับ!...ความจริงก็คือ...สิ่งที่ทำให้ผมรอดพ้นสายตาของพวกหลวงเจษฎ์มาได้ทุกครั้ง มันคือสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า...'สุรา'...หรือยาดองในสมัยนี้ที่คนเขานิยมกันนั่นแหละ...นับเป็นโชคดีที่พวกนั้นจัดว่าเป็นพวกขี้เมาอันดับต้นๆ แม้ไม่ได้ดื่มกันจนเมามายแต่หลายครั้งที่สติของพวกมันขาดหายจนกลายเป็นช่องโหว่ให้ผมทำอะไรได้ตามใจโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันระวัง กว่าจะรู้ตัวผมก็เผ่นแน่บกลับมานอนตีพุงสบายใจที่เรือนเรียบร้อย...อีกอย่างพวกมันเองก็มีเรื่องกับชาวบ้านเขาไปทั่วตั้งแต่คนใหญ่คนโตไล่ลงมาถึงเด็กตัวเล็กๆที่วิ่งเล่นอยู่ในตลาด เรียกได้ว่าศัตรูของมันมีอยู่รอบทิศ พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็ยากนักที่จะจับมือใครดม


ส่วนคุณชายชลนธีร์ที่ตอนนี้รับหน้าที่เป็นพยาบาลดูแลคนป่วยอยู่ที่เรือนเจ้าคุณไพศาลก็ยังหาข้ออ้างกลับมาที่เรือนบ่อยครั้ง แถมมาแต่ละทีผมต้องกลายร่างเป็นเลขาส่วนตัวคอยรายงานผลให้มันฟังแบบละเอียดยิบ...มีครั้งหนึ่งที่ผมไม่ยอมเล่าเพราะมัวแต่ขำกับท่าทางประหลาดของหลวงเจษฎ์เลยโดนมันโบกเข้าให้จนความจำแทบเสื่อม วันต่อมายังแอบตามไปที่ตลาดจนผมไม่กล้าลงมือเพราะกลัวพวกนั้นสงสัย...ถึงปากมันจะบอกให้ผมจัดการแต่คนอย่างธีร์ปล่อยวางได้ที่ไหน ยิ่งเป็นเรื่องของตัวเองด้วยแล้ว ถ้าผมไม่ห้ามเอาไว้แต่แรกคงได้กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วยจนเรื่องมันวุ่นวายหนักกว่าเดิม

"ไอ้เจิมบอกว่าพรุ่งนี้หลวงเจษฎ์กับเจ้าคุณเดโชจะไปงานบวชลูกชายข้าหลวงในกรม"เป็นอีกวันที่ธีร์ขอกลับมาที่เรือนเจ้าคุณจิตรา และก็เหมือนกับทุกครั้งที่มันต้องลากผมเข้ามาสอบปากคำในห้องถึงผลงานที่ท่านชายแชมป์คนนี้เพิ่งแสดงฝีมือไป

"ไอ้เจิม...ใครวะ?"คนฟังมีสีหน้าสงสัย เรียวนิ้วที่กำลังเคาะโต๊ะอย่างสบายอารมณ์ของมันชะงักกึกก่อนจะหันมามองผมที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ข้างเตียง

"คนขายปลาที่ตลาด มันสนิทกับบ่าวที่เรือนเจ้าคุณเดโช เห็นชอบก๊งเหล้าด้วยกันบ่อยๆ"

"หื้ม! เดี๋ยวนี้มีสายนะมึง...ไม่ธรรมดา"ผมยักคิ้วกวนให้เจ้าของน้ำเสียงแดกดันที่ผมถือว่าเป็นคำชมสักที...ไอ้เจิมมันไม่ใช่สายสืบให้ผมหรอกครับ ผมแค่หลอกถามมันบ้างเพราะเจอกันบ่อย มันเองก็ถูกชะตาผมไม่น้อยเพราะเห็นว่าผมเป็นคนเฮฮา ดูไม่มีพิษมีภัยแถมเข้ากับคนง่ายเสียเหลือเกิน

"มันไม่อยู่เรือนแล้วมึงจะทำยังไง"คนขี้สงสัยยังถามต่อ

"ยังไม่รู้...มึงล่ะ มีไอเดียอะไรดีๆบ้างมั้ย"ผมส่ายหน้าตอบเพราะยังคิดไม่ตก สารพัดวิธีที่ผมสรรหามาจัดการคนอย่างหลวงเจษฎารังสรรจนถึงตอนนี้ต้องเรียกได้ว่า หมดมุขโดยสิ้นเชิงครับ โดยเฉพาะเวลาที่เจ้าตัวมันไม่อยู่เรือนด้วยแล้ว จะให้ผมตามไประรานมันถึงงานบวชชาวบ้านเขาก็ใช่เรื่อง



"ก็มีนะ...แต่ไม่ได้ทำกับเจ้าตัว"ธีร์บอกเสียงเรียบ หลังใช้ความคิดอยู่นานคิ้วที่ขมวดยุ่งเป็นปมของมันก็คลายออกพร้อมกับไอเดียที่ผุดพรายขึ้นมาในหัว

"ไม่ได้ทำกับเจ้าตัว แล้วมันจะไปได้อะไรวะ"แต่กลายเป็นผมที่ขมวดคิ้วยุ่งแทนเพราะความสงสัย

"ได้ความสะใจ"รอยยิ้มเย็นของมันเรียกให้ผมหนาววาบไปทั้งตัว...ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นสีหน้าแบบนี้ของมัน ธีร์เป็นคนไม่ค่อยแสดงออกทางอารมณ์ กับคนไม่สนิทหากมันไม่พอใจอะไรก็เพียงปิดปากเงียบ หรือถ้าเป็นพวกผม ไอ้โจ๊ก ไอ้ต่อที่สนิทถึงขั้นเล่นหัวกันได้ มันก็จะแหกปากด่าตรงๆเสียมากกว่า...อ้อ! ยังมีหลวงพิสิษฐอีกคนเพราะผมเห็นมันเขินหน้าดำหน้าแดงบ่อยๆเวลาอยู่กับคุณหลวง...แต่ไอ้รอยยิ้มเย็นยะเยือกแบบนี้ผมแทบไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง

"ยังไงวะ?"

"เอาเป็นว่า มึงช่วยเตรียมของให้กูอย่างนึงแล้วพรุ่งนี้ไปด้วยกัน...ที่เหลือกูจัดการเอง"คำตอบที่ไม่ได้ช่วยไขข้อข้องใจให้ผมแม้แต่น้อย แถมเจ้าตัวยังไม่ยอมบอกอะไรมากกว่านั้นทั้งที่ผมพยายามง้างปากมันอยู่นาน สุดท้ายธีร์ก็ยังยืนยันคำเดิมคือให้ผมช่วยเตรียมอุปกรณ์ให้และรอมันมาหาที่เรือนตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น



...ว่าแต่...มันจะเอาเลือดหมูไปทำอะไรของมัน คงไม่ได้นึกอยากกินต้มเลือดหมูขึ้นมาตอนเช้าๆหรอกนะครับ...



ผมเดินลงมาส่งธีร์ที่ท่าน้ำหน้าเรือน ก่อนกลับมันยังกำชับหนักแน่นไม่ให้ผมแอบไปที่เรือนเจ้าพระยาเดโชเพียงลำพังและให้รอจนกว่ามันจะมาหาที่เรือนพรุ่งนี้ แต่ถึงมันไม่ย้ำผมก็ต้องรอมันอยู่ดีเพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกว่าไอ้แผนการที่มันว่าคืออะไร...บอกให้มันค้างที่นี่มันก็ไม่ยอม คงกลัวว่าจะไม่มีคนดูแลหลวงพิสิษฐ แต่ก็ดีแล้วล่ะครับเพราะขืนมันนอนค้างที่นี่มันก็คงเอาแต่เป็นห่วงคนที่อยู่อีกเรือนจนนอนไม่หลับกันพอดี

กำลังจะกลับขึ้นเรือนแต่สายตาของผมดันเหลือบไปเห็นลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตรานั่งอยู่ที่ศาลาไม้สักข้างเรือนเสียก่อน...ใบหน้าหวานฉ่ำโปรยยิ้มบางจนผมเผลอยิ้มตามเมื่อได้เห็น...มือเรียวเล็กกำลังจับจีบดอกบัวตูมสีชมพูอมเขียวดอกใหญ่เชื่องช้าทว่ายิ่งทำให้จีบบัวเรียงตัวอย่างปราณีต...ผมชอบมองเวลาคุณพิกุลทำงานฝีมือเพราะสีหน้าของเธอมักอมยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุขเสมอ ทั้งการเคลื่อนไหวก็ดูอ่อนหวานนุ่มนวลไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ผมก็ยังยืนยันว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ช่างเพียบพร้อมยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนที่ผมเคยได้พบมา...แม้แต่ม๊าของผมเองก็เถอะ...โธ่! ก็ม๊าผมมีเชื้อจีนเกือบเต็มร้อยแกเลยติดนิสัยทำอะไรรีบเร่งเสมอ ไอ้ความปราณีตอ่อนช้อยแบบหญิงไทยสมัยนี้จะหาในตัวม๊าของผมนี่แทบไม่มีหรอกครับ...แต่ถึงอย่างนั้นแกก็ยังเป็นผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดในโลกอยู่ดี

"พ่อแชมป์..."สะดุ้งโหยงเพราะกำลังยืนยิ้มค้างคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หันไปมองเจ้าของเสียงหวานที่เพิ่งเรียกชื่อผมเมื่อครู่

"คะ คุณพิกุล...ทำไมวันนี้ลงมานั่งข้างล่างล่ะครับ"ได้แต่ยกมือลูบหัวเกรียนๆของตัวเองแก้เก้อเมื่อถูกคนตัวเล็กจับได้ว่ายืนแอบมองอยู่เสียนาน

"อยู่บนเรือนทุกวัน เปลี่ยนลงมานั่งข้างล่างบ้างท่าจะดี"มือเรียวเล็กวางดอกบัวตูมที่ถูกจับจีบเสร็จเรียบร้อยลงบนพานทองเหลือง ใบหน้าหวานเจือรอยยิ้มระเรื่ออย่างคนอารมณ์ดี

"จีบบัวไว้ใส่บาตรพรุ่งนี้เหรอครับ"ผมขยับเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าศาลา ไม่กล้าเข้าไปใกล้มากกว่านี้หรอกครับ กลัวแม่เขาลงมาเห็นแล้วจะโดนเฉดหัวออกจากบ้านเสียก่อน

"วันพรุ่งเราจะไปถวายเพลที่วัด คุณแม่ท่านอยากทำบุญ"

"อยากไปด้วยจังเลย"ผมบ่นลอยๆอย่างลืมตัวจนอีกฝ่ายหลุดหัวเราะเบาเพราะนึกตลกในท่าทางประหลาดของผม...แต่ภาพของคนตัวเล็กที่ยกมือขึ้นบังริมฝีปากบางของตัวเองเอาไว้กลับยิ่งน่ามอง

"ก็ไปซี...กำลังนึกว่าจะไปชวนอยู่พอดีเพราะยังหาคนช่วยถือของไม่ได้"

"โหย อย่าเลยครับ เดี๋ยวคุณหญิงท่านเอ็ดเอา"ผมรีบส่ายหน้าหวือเมื่อนึกถึงหน้าดุๆของคุณหญิงสร้อย ถึงแม้พักหลังท่านจะเมตตาผมขึ้นมาอีกหน่อยแต่ความจริงที่ว่าผมรักลูกสาวคุณหญิงก็ยังคงฝังใจท่านไม่หาย

"ไม่เอ็ดหรอก เราเรียนคุณแม่แล้วท่านไม่เห็นว่ากระไร"ผมแทบอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำตอบจากคุณพิกุล...สงสัยพรุ่งนี้พายุจะเข้าครับ ก็การที่คุณหญิงสร้อยยอมให้ผมเข้าใกล้ลูกสาวท่านเกินสิบเมตรเนี่ยมันเรียกว่าเหลือเชื่อ

"คุณหญิงท่านไม่สบายรึเปล่าครับ"ถามแบบไม่ใช้สมองเลยถูกค้อนขวับเข้าให้

"ก็แล้วพ่อแชมป์จะไปด้วยกันหรือไม่เล่า"

"ป่ะ...เอ๊ย! พรุ่งนี้ไม่ได้ครับ!"กำลังจะตอบรับแล้วเชียวดันนึกไปถึงเรื่องที่คุยกับไอ้ธีร์ขึ้นมาได้เสียก่อน เห็นคนตัวเล็กมีสีหน้าแปลกใจที่อยู่ดีๆผมก็แหกปากลั่น

"มีธุระหรือพ่อ"โอ๊ย ไอ้แชมป์เอ๊ย! อยากไปใจจะขาด โอกาสแบบนี้แทบมีหนึ่งในล้าน แล้วทำไมไอ้หนึ่งในล้านมันจะต้องมาเกิดเอาพรุ่งนี้ด้วยวะเนี่ย!

"ต้องไปข้างนอกกับธีร์น่ะครับ"ใบหน้าหวานหม่นลงเล็กน้อยเมื่อผมปฏิเสธ เพราะเธอเองก็คงคิดเหมือนกันว่าโอกาสที่ได้ใช้เวลาร่วมกันของผมกับเธอนั้นช่างน้อยแสนน้อย แต่พอมีโอกาสผมก็ดันไม่ว่างเสียอีก

"เอาไว้คราวหน้าถ้าคุณพิกุลจะไปวัดอีก แชมป์จะไปช่วยถือของนะครับ จะไปทุกวันจนกว่าคุณพิกุลจะเบื่อหน้าเลย"พอเห็นใบหน้าหวานนั้นหมองลงผมถึงได้รีบแก้ตัวยาวเหยียด ไม่รู้ทำไมแต่ผมว่าอย่างคุณพิกุลเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าเป็นไหนๆ...คนตัวเล็กนิ่งไปเพียงครู่ก่อนที่เรียวปากบางนั้นจะกลับมาเจือรอยยิ้มหวานเหมือนเคย

"หากมีธุระก็ไปทำก่อนเถิด วันพระไม่ได้มีหนเดียว เอาไว้วันหน้าค่อยไปก็ได้"ผมรีบพยักหน้ารับจนหัวแทบหลุด เรียกเสียงหัวเราะเบาจากคนที่เพิ่งนั่งหน้ามุ่ยเมื่อครู่ออกมาได้...เท่านี้ก็เพียงพอให้ผมอารมณ์ดีไปทั้งวัน เพราะสำหรับผมแล้ว...รอยยิ้มของคนตรงหน้ามีค่ามากกว่าอะไรทั้งหมด



...หากแต่ผมควรไปทำบุญกับคุณพิกุล ถ้าผมรู้ว่านั่นจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะได้ใกล้ชิดคนที่ผมรัก...
.


ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
.

.
ธีร์มาหาผมที่เรือนในเช้าวันถัดมาตามที่มันว่าไว้ ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังบ่นอุบถึงความยากลำบากในการตีเนียนหาข้ออ้างออกมาข้างนอก เพราะตอนนี้หลวงพิสิษฐอาการดีขึ้นมากจนกลายเป็นมันที่ขยับตัวไปไหนมาไหนได้ยาก ก็อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่าคุณหลวงเขาหวงเพื่อนผมจนแทบจับมันยัดใส่หีบล็อคกุญแจไปแล้วถ้าแกทำได้

"สรุปว่ามึงให้กูเอาเลือดหมูมาทำซากอะไรวะ?"ผมเหลือบมองถังไม้ขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยของเหลวสีแดงสดจนน่าขนลุกสลับไปมากับคนที่นั่งประจันหน้ากันบนเรือที่ผมทำหน้าที่เป็นฝีพาย...ธีร์เลือกใช้การเดินทางโดยเรือมากกว่าเกวียนแม้ระยะทางระหว่างสองเรือนค่อนข้างห่างกัน มันบอกว่าวิธีนี้ทำให้สามารถไปถึงเรือนแพของไอ้หลวงเจษฎ์ได้ง่ายกว่า ซึ่งผมก็รู้ดีจากที่เคยไปจัดการเรื่องนกสาริกาที่เรือนนั้นเมื่อหลายวันก่อน

"เค้าเรียกว่า...ปฏิบัติการเลือดสาดครับมึง"เจ้าตัวยกยิ้มเย็นแต่สายตายังคงชื่นชมความงามของสองฝั่งคลองอย่างสบายอารมณ์ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งอ้าปากหวอเมื่อได้ยินแผนการของมันที่ผมเข้าใจได้ในทันที

"เอาจริง?"คนถูกถามพยักหน้ารับมั่นใจ

"เถื่อนไปมั้ยวะ"เทียบกับสารพัดวิธีที่ผมเคยทำมาทั้งหมดแล้ว นั่นมันกลายเป็นเรื่องเด็กๆไปเลยทีเดียว

"กับคนเถื่อนๆมันก็ต้องใช้วิธีเถื่อนๆน่ะถูกแล้ว หรือมึงจะให้กูเอาตุ๊กตาบาร์บี้ไปชี้หน้าด่ามันว่าเลว"โดนกวนเข้าให้จนผมแทบยกไม้พายขึ้นโบกหัวมันแทนมือที่ไม่ว่าง...คนอย่างธีร์ไม่ค่อยเกลียดใครหรอกครับ...แต่ถ้ามันเกลียดใครแล้ว ต่อให้ทำดีแทบตายมันก็ไม่ญาติดีด้วยเด็ดขาด แล้วยิ่งคนที่มันเกลียดแถมยังทำร้ายคนสำคัญของมันปางตายอย่างหลวงเจษฎารังสรรด้วยแล้ว ผมก็ไม่แปลกใจนักที่คนอย่างชลนธีร์จะผูกใจเจ็บจนต้องหาวิธีเอาคืนแบบนี้...และผมก็เคยบอกไปแล้ว ว่าผมพร้อมที่จะร่วมวงช่วยมันเสมอไม่ว่าวิธีของมันจะรุนแรงขนาดไหนก็ตาม...ถ้าไม่ถึงขั้นคอขาดบาดตายนะครับ


ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะมาถึงเรือนแพของเป้าหมาย...ผมพาเรือเข้าเทียบริมตลิ่งโดยอาศัยร่มเงาของมะขามต้นใหญ่ที่ขึ้นถัดจากเรือนแพเป็นที่กำบัง พลางสอดส่ายสายตาดูความเป็นไปรอบตัวเรือนที่ตอนนี้เงียบเชียบ ทั้งยังหน้าต่างทุกบานที่ปิดสนิทยิ่งทำให้คำพูดของไอ้เจิมมีน้ำหนักมากขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ประมาทรอดูลาดเลาไปอีกสักพัก

"เงียบขนาดนี้คงไม่อยู่อย่างที่ไอ้เจิมว่า"ธีร์พยักหน้ารับหงึกหงักหลังพยายามชะเง้อมองบรรยากาศรอบตัวเรือนบ้าง ก่อนที่มันจะคว้าถังไม้บรรจุของเหลวสีแดงสดที่วางอยู่ข้างตัวตั้งใจจะปีนขึ้นบนขอบตลิ่ง หากแต่ผมฉวยข้อมือมันเอาไว้ได้ทัน

"เดี๋ยวๆ...กูไปเอง"คนถูกขัดหันมามองผมด้วยสีหน้าไม่พอใจเพราะคราวนี้มันคงอยากจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองหลังจากให้ผมฉายเดี่ยวมาหลายรอบ

"มันไม่อยู่แล้วมึงจะกลัวอะไร"

"นายมันไม่อยู่แต่บ่าวมันยังอยู่เต็มเรือนนะเว้ย มึงเคยมาที่นี่กี่ครั้ง ไอ้พวกนั้นมันจะไม่เคยเห็นหน้ามึงเลยเหรอไง"ผมรีบดึงแขนมันให้นั่งลงแล้วกระโดดขึ้นไปบนขอบตลิ่งแทน...ธีร์ยังคงหน้ามุ่ยเพราะไม่สบอารมณ์แต่ไม่ได้เถียงอะไรต่อ ผมเลยรีบฉวยโอกาสคว้าถังไม้ในมือมันมาถือเอาไว้แทน

"มึงรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูมา"

"ระวังตัวนะมึง"แม้ยังหงุดหงิดไม่หายที่ถูกขัดแต่ก็ยังอดเป็นห่วงผมไม่ได้...ผมยกมือโบกไปมาเป็นเครื่องหมายว่าไม่ต้องเป็นห่วงก่อนจะย่องเข้าไปใกล้เรือนแพตรงหน้าอย่างเงียบเชียบที่สุด...แว่วเสียงบ่าวสองสามคนคุยกันอยู่ไม่ไกลจนต้องชะงักฝีเท้า รอจังหวะให้ทุกสิ่งรอบตัวเงียบลงอีกครั้งแล้วจึงก้าวเข้าใกล้จนมาหยุดอยู่ข้างชานเรือนฝั่งริมน้ำ


เพียงเสี้ยววินาทีที่ไร้ซึ่งความลังเลใจ ผมจัดการละเลงชานเรือนด้วยของเหลวในมือจนพื้นไม้สีน้ำตาลอ่อนกลายเป็นแดงฉาน สีแดงของเลือดไหลนองทั่วพื้นซึมหยดลงไปยังพื้นน้ำเบื้องล่างทั้งยังสาดกระเซ็นเปรอะไปถึงผนังและกรอบประตู หากมีร่างของใครสักคนนอนแผ่หราอยู่ตรงนั้นมันคงกลายเป็นฉากหนึ่งในหนังฆาตกรรมที่สมบูรณ์แบบไปแล้ว แต่เพียงเท่าที่เห็นก็สยดสยองไม่ต่างกัน...กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนผมต้องรีบพาตัวเองหลบกลับมาที่โคนมะขามต้นเดิมโดยไม่อยู่รอชมผลงานให้นานกว่านั้น ธีร์ยังคงนั่งรออยู่บนเรือหากแต่ชะเง้อคอมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มที

"เป็นไงมั่งวะ"ผมเพียงไหวไหล่ตอบคำถามมันแล้วรีบกระโดดลงเรือโดยเร็วเพราะได้ยินเสียงคนดังมาจากด้านหลัง ธีร์เองก็รู้งานถึงได้รีบออกแรงพายเรือให้ออกห่างจากเรือนแพนั้นโดยเร็วที่สุด

"ยังไงของมึงเนี่ยแชมป์"คนต้นคิดรบเร้าถามอีกครั้งเมื่อมันพายเรือออกมาไกลจากจุดเดิมพอสมควร เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมพรูลมหายใจยาวเพราะกลิ่นคาวเลือดติดจมูกจนน่าเวียนหัว

"สยองสัด...กูนึกว่ากำลังดูหนังฆาตกรโรคจิตไล่ฆ่าเหยื่อ"สีแดงฉานบนชานเรือนเมื่อครู่ยังติดตา...ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเจ้าของเรือนมันมาเห็นเข้าจะมีสีหน้าแบบไหนเพราะขนาดคนลงมือเองแบบผมยังแทบแย่

"แล้วมึงแน่ใจนะว่าไม่มีใครเห็น"คราวนี้ผมส่ายหน้าหวือ

"แม่งเงียบอย่างกับป่าช้า ป่านนี้เจ้าของเรือนมันคงกำลังรำหน้านาคที่งานบวชเพลินแล้วมั้ง...ไว้มันกลับมาเห็นสภาพก่อนเถอะมึง มีนอนไม่หลับกันก็งานนี้"นึกภาพไอ้หลวงเจษฎ์กำลังรำหน้านาคแบบวัยรุ่นสมัยผมแล้วก็หัวเราะครืนออกมาพร้อมกัน...ธีร์เองก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมากเมื่อในที่สุดมันก็ได้ลงมือทำอะไรด้วยตัวเองเสียทีหลังจากถูกผมห้ามแล้วห้ามอีกมาหลายครั้ง


...สำหรับพวกผมสองคน...นี่เป็นเรื่องน่าสนุก...


แต่หากผมเอะใจสักนิดว่าบานหน้าต่างที่แง้มออกเพียงนิดมีเงาของใครบางคนยืนหลบมุมคอยดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่...ผมก็คงไม่ลงมือทำเรื่องบ้าบอนั่น...และเรื่องราวหลังจากนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น...


...เหตุการณ์ที่ทำให้ผมนึกเสียใจทุกครั้ง...ว่าผมควรตัดสินใจไปทำบุญกับคุณพิกุล ได้ใช้เวลาอยู่กับเธอ ได้มองหน้า สบตา ได้เห็นรอยยิ้มจากดวงหน้าหวานฉ่ำ...ก่อนที่ผมจะไม่มีโอกาสได้เห็นอีกเลย 



.......................................โปรดติดตามตอนต่อไป........................................


หวานๆรับปีใหม่ไปแล้ว ได้เวลากลับสู่โลกแห่งความจริงค่า  :hao5:

ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตาม รักผู้อ่านทุกท่านเสมอค่ะ  :bye2:

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ห๊ะ แชมป์เป็นอะไรหรอ ใจไม่ดีแล้วนะ  :katai1:

ออฟไลน์ PURE LOVE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ทิ้งท้ายไว้น่ากลัวจังเลยอ่ะ ฮือออ  :ling3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ใจไม่ดีแล้้วเนี่ย

ออฟไลน์ befol2e

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :katai1:
ไม่นะ!! ใครแอบดูอยู่ล่ะนั่น?

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0

ตอนที่ ๓๔...โอกาส...




...สามสิ่งในชีวิตที่เมื่อผ่านไปแล้วไม่อาจเรียกให้หวนคืน...คือคำพูด...เวลา...และโอกาส...



สำหรับใครบางคนอาจมีโอกาสย้อนวันเวลากลับมายังที่ที่ตนไม่เคยได้พบเห็น...กลับมาใช้ชีวิต...ใช้เวลา และใช้โอกาสเพื่อสร้างความทรงจำและสิ่งดีๆ...หากแต่การตัดสินใจผิดพลาดเพียงเสี้ยววินาที นั่นอาจหมายถึงโอกาสที่หลุดลอยไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ...ไม่ว่าจะพยายามเรียกคืนช่วงเวลานั้นสักเพียงใดก็ตาม
.

.

.

.

"ระวังนะเจ้าคะคุณหลวง"น้ำเสียงร้อนรนของบ่าวคนสำคัญดังขึ้นเมื่อพยายามประคองร่างสูงโปร่งของคนเจ็บที่เพิ่งกลับมาถึงเรือนหลังจากพักรักษาตัวที่เรือนหมอเป็นเวลาหลายวัน...สำหรับคนไม่เหลือแม้แต่พ่อและแม่อย่างเขา หลังจากคุณหญิงของเรือนเสียไป สิ่งที่เรียกได้ว่าครอบครัวคงมีเพียงเจ้าคุณผู้มีพระคุณกับหญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างกายในตอนนี้ ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งบ่าว ทั้งแม่ครัว หรือแม้แต่พี่เลี้ยงคอยดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก

"นอนเสียข้างล่างไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ เดินขึ้นลงบันไดบ่อยเข้าจะกระเทือนถึงแผลเอาได้"ทั้งยังความเป็นห่วงเป็นใยเหมือนลูกหลานยิ่งทำให้เขาไม่รู้สึกว่าขาดอะไรแม้แต่น้อย

"อยากนอนบนห้องมากกว่า แม่ชื่นไม่ต้องกังวลไป เราไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว"แต่บางทีเจ้าหล่อนก็กังวลเกินเหตุไปหน่อย...เธอละมือออกจากร่างสูงเมื่อประคองอีกฝ่ายมาจนถึงเตียงพลางถอนหายใจยาวเพราะจนใจจะขัดความดื้อรั้นของเจ้าตัว

"เช่นนั้นบ่าวจะนอนเฝ้าที่นี่ หากว่าคุณหลวงต้องการเรียกใช้อะไรเจ้าค่ะ"ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นห่วงเกินกว่าจะปล่อยให้เจ้าของห้องอยู่ตามลำพังทั้งที่ยังเจ็บแบบนี้ไม่ได้

"ลำบากแม่ชื่นเสียเปล่า ให้พ่อธีร์เขาอยู่แทนก็ได้"หลวงพิสิษฐว่าพลางเหลือบมองคนถูกพาดพิงที่ยังยืนกอดหอบผ้าเงียบเชียบอยู่ข้างเจ้าคุณเจ้าของเรือน...ตั้งแต่มาถึงก็เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จาเพียงคอยลอบมองอาการของคนป่วยอยู่ห่างๆเพราะถูกบ่าวคนสำคัญรับหน้าที่คนดูแลไปชั่วขณะ

"จะให้คุณธีร์นอนพื้นได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ พื้นเรือนแข็งเยี่ยงนี้ประเดี๋ยวก็ปวดหลังเอา"เมื่อคำนึงถึงสถานะของเจ้าตัว แม้ไม่ได้มียศฐาบรรดาศักดิ์ใดแต่ก็ไม่ใช่บ่าวไพร่ที่จะให้มานอนบนพื้นเรือนแบบนี้ถึงได้หันไปค้อนขวับเจ้าของห้องเข้าให้ เดือดร้อนคนถูกพาดพิงที่เงียบอยู่นานต้องรีบห้ามทัพเพราะเกรงว่าจะเถียงกันไม่จบ

"ธีร์นอนได้ครับป้าชื่น...อยู่เรือนโน้นก็นอนพื้นออกบ่อย ไม่เป็นไรหรอกครับ"แม้ว่านั่นจะเป็นคำโกหกคำโตก็ตาม

"จะดีหรือเจ้าคะ"ถึงอย่างนั้นคนสูงวัยกว่าก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี

"เจ้าตัวเขาว่านอนได้ก็ให้เขานอนเถิด แม่ชื่นเองก็มีงานล้นมือ พ่อธีร์เขาถึงได้อาสามาดูแลพ่อแก้วจะได้แบ่งเบาภาระแม่ชื่นอีกทาง"เมื่อหาข้อสรุปไม่ได้ เจ้าของเรือนถึงต้องออกปากเอง ใบหน้าอ่อนโยนภายใต้ริ้วรอยจางๆยิ้มละไมให้ผู้มาเยือนด้วยความเอ็นดูเหมือนทุกครั้ง...รอยยิ้ม...ที่ชลนธีร์คิดเสมอว่ามันแปลก

"เช่นนั้นก็สุดแท้แต่เจ้าคุณท่านเจ้าค่ะ"เมื่อเป็นคำพูดจากผู้เป็นใหญ่สูงสุดในเรือนมีหรือที่เธอซึ่งเป็นเพียงบ่าวจะกล้าขัด

"มาถึงเหนื่อยๆ นอนพักก่อนเถิดพ่อ ประเดี๋ยวตอนบ่ายจะให้บ่าวยกสำรับขึ้นมาให้"สุดท้ายถึงได้หันไปบอกคนป่วยด้วยเห็นท่าทีอิดโรยจากการเดินทาง ทั้งยังบาดแผลลึกที่ยังไม่หายดีนั่นอีก...หลวงพิสิษฐเพียงรับคำก่อนเอนตัวลงนอนบนเตียงโดยมีคนข้างๆคอยประคองไม่ห่าง...ท่าทีเก้ๆกังๆของเด็กหนุ่มเมื่อถูกสายตาของผู้อาวุโสทั้งสองจดจ้องเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าคุณท่านได้ไม่น้อย แต่กลับยิ่งทำให้คนที่ตกเป็นเป้าสายตาประหม่าจนแทบทำอะไรไม่ถูก

"แม่ชื่น...ลงไปชงชาแลหาของว่างให้เราที ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า หิวเสียแล้ว"เมื่อเห็นว่าบ่าวคนเก่าแก่ยังยืนนิ่งไม่ขยับไปไหนถึงได้กระแอมท้วงจนอีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัวเพราะมัวแต่เป็นกังวลอาการของคนป่วย...เจ้าของชื่อเพียงค้อมตัวลงอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินตามหลังเจ้าคุณท่านออกมาอย่างเสียไม่ได้





"เจ้าคุณท่านเจ้าคะ"หากแต่เสียงเรียกให้เจ้าของเรือนชะงักฝีเท้าหันกลับไปมองแทนคำถาม แม่ชื่นเพียงเหลือบมองภาพคนสองคนในห้องผ่านบานประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก

"ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ดีแน่หรือเจ้าคะ"สำหรับคนที่ใช้ชีวิตมานานพอสมควรย่อมดูออกเป็นธรรมดาว่าความสัมพันธ์ของคนสองคนในห้องนั้น เป็นมากกว่าเจ้านายกับผู้ช่วยหรือแม้แต่คนสนิท หากด้วยฐานะของตนที่เป็นเพียงบ่าวถึงไม่สามารถก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผู้เป็นนายได้


เจ้าของเรือนเพียงเหลือบมองภาพของคนสองคนผ่านบานประตูนั้นเช่นกัน ใบหน้าอ่อนโยนยกยิ้มจนคนที่ยืนค้อมตัวด้วยความเคารพยิ่งสงสัย

"แม่ชื่นเลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กเคยเห็นเขาให้ความสำคัญกับใครเท่าคนนี้หรือไม่เล่า"หากบ่าวไพร่บนเรือนยังดูออก มีหรือที่ผู้อาวุโสอย่างเจ้าคุณไพศาลจะไม่ล่วงรู้...คนสนิทที่ท่านเลี้ยงมากับมือตั้งแต่เจ้าตัวยังจำความไม่ได้ ใบหน้าคมเข้มชวนมองทั้งยังท่าทีสุภาพอ่อนน้อมทำให้หลวงพิสิษฐเป็นที่โปรดปรานทั้งกับผู้ใหญ่หลายท่านที่พบเห็น หรือแม้แต่สาวน้อยสาวใหญ่ในพระนครเองต่างพากันชื่นชมไม่ขาดปากจนได้ยินถึงหูเจ้าคุณท่านอยู่บ่อยครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยเห็นว่าหลวงคนสนิทจะให้ความสำคัญหรือสนอกสนใจหญิงใดเป็นพิเศษ...นึกว่าเป็นเพราะเจ้าตัวเอาแต่สนใจกับงานราชการจนไม่เป็นอันคิดถึงเรื่องรักใคร่ แต่พอได้พบกับเด็กหนุ่มท่าทีประหลาดคนนั้น ทั้งยังเรื่องที่หลวงพิสิษฐว่าเจ้าตัวมีคนในใจเมื่อตอนที่เจ้าคุณท่านหมายมั่นให้ออกเรือนกับลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตรานั้นก็ยิ่งทำให้แน่ใจ...คราแรกนั้นนับเป็นความทุกข์หนักอก ด้วยว่าตำแหน่งหน้าที่การงานหรือแม้แต่ชื่อเสียงของท่านเองก็ใหญ่โตไม่น้อย ทั้งยังกฎเกณฑ์ของสังคมที่ตีกรอบให้ความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นเรื่องผิดแผก หากแต่เมื่อได้เห็น ภาพของคนสองคนครั้งแล้วครั้งเล่า ความคิดที่ว่าก็ค่อยๆเลือนหาย บรรยากาศอบอุ่นที่ปกคลุมยามคนทั้งสองอยู่ใกล้กันทำให้ท่านเผลอยิ้มกับตนเองหลายต่อหลายครั้ง...ทั้งยังเรื่องในคืนงานเลี้ยงที่หลวงพิสิษฐถูกทำร้ายปางตาย...ท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนราวกับคนเสียสติของเด็กหนุ่มในคืนนั้นยิ่งทำให้เจ้าคุณไพศาลแน่ใจ ว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกฉาบฉวยที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วจางหาย แต่มันคือความมั่นคงที่คนทั้งสองมีให้ต่อกัน...ความรู้สึก ที่ไม่ถูกแบ่งแยกทั้งจากฐานะ ชาติกำเนิด หรือแม้แต่เพศ

"เขาเป็นคนดี แม่ชื่นก็เห็น"สายตาของเจ้าคุณไพศาลที่เหลือบมองคนในห้องเรียกให้บ่าวคนสนิทปรายสายตาจดจ้องตาม...ภาพของเด็กหนุ่มที่ขยับผ้าแพรผืนใหญ่ห่มให้คนบนเตียงอย่างระมัดระวังเพราะกลัวพลาดไปถูกแผล ทั้งยังสายตาของคนป่วยที่จดจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา

"แต่เขาเป็นชายนะเจ้าคะ"หากแต่คนที่เลี้ยงดูมากับมือยังปล่อยวางไม่ได้

"แล้วอย่างไรเล่า...เขาไม่ทำให้พ่อแก้วของแม่ชื่นทุกข์ใจก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ"

"หากใครรู้เข้า เห็นทีจะเป็นทุกข์กันหมดน่ะสิเจ้าคะ"คราวนี้เจ้าคุณไพศาลถอนหายใจยาวก่อนจะเอื้อมมือไปปิดบานประตูห้องนอนลงอย่างเบามือที่สุด

"เป็นทุกข์เพราะคำพูดของคนนอกหรือจะทุกข์เท่าคนใกล้ตัวไม่เข้าใจ...แม่ชื่นอยากให้เป็นอย่างไหนเล่า"คำพูดตัดบทก่อนที่เจ้าของเรือนจะเดินลงบันไดไป ทิ้งให้คนฟังยืนเงียบครุ่นคิดเพียงลำพัง




..........................................................................................





"จะทำอะไรน่ะพ่อ"คนป่วยเหลือบมองด้วยสีหน้าสงสัย หลังจากจัดแจงให้เขานอนพักพร้อมห่มผ้าให้เรียบร้อย ก็ได้เวลาหันมาจัดการเรื่องของตัวเองบ้าง ผมลากเอาเสื่อกับหมอนที่ป้าชื่นแกเตรียมไว้นอนเฝ้าไข้ในตอนแรกออกมากองไว้ข้างเตียง แต่สงสัยต้องลงไปขอฟูกมาปูทับเสียหน่อยเพราะลำพังแค่เสื่อหลังคงเดี้ยงน่าดู

"ปูที่นอนไงครับ"

"ใครว่าพี่จะให้พ่อธีร์นอนพื้นเล่า...ขึ้นมานอนบนนี้ด้วยกันเถิด"ไม่พูดเปล่ายังยกมือตบเตียงดังปุๆอีกต่างหาก เห็นผมเป็นแมวหรือไงนะ

"ไม่ได้ครับ เกิดธีร์นอนดิ้นไปโดนแผลขึ้นมาจะทำยังไง"ยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง ถึงผมไม่ใช่คนนอนดิ้นนักก็เถอะ แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงให้คนป่วยอาการหนักขึ้นมาหรอกครับ

"โถพ่อ เตียงออกกว้างเช่นนี้ ทำเหมือนกับพ่อไม่เคยนอนไปได้"คนบนเตียงยกยิ้มกวนจนผมนึกอยากฟาดหมอนที่ถืออยู่ใส่เจ้าตัวเข้าให้ ยังดีที่ยั้งไว้ได้ทัน

"ถ้าอยากให้ขึ้นไปนอนบนเตียง ก็ต้องรีบหายนะครับ จนกว่าจะถึงตอนนั้น...ธีร์จะนอนข้างล่างนี่ล่ะ"ยังยืนยันคำเดิมพร้อมปูผ้าบนเสื่อให้เรียบร้อย ส่วนคนตัวสูงก็ได้แต่นอนหน้ามุ่ยเพราะถูกขัดใจ ที่เขาว่าคนป่วยมักขี้อ้อนเป็นพิเศษสงสัยจะจริง

"พอพี่หายดี พ่อธีร์ก็ขอกลับไปอยู่เรือนโน้นเสียอีกกระมัง..."ขี้อ้อนไม่พอยังขี้น้อยใจแถมประชดประชันด้วย...ผมผละจากที่นอนชั่วคราวบนพื้นขึ้นไปนั่งข้างๆคนที่นอนไม่สบอารมณ์อยู่บนเตียง...เห็นสีหน้าเรียบเฉยของเจ้าตัวแถมไม่ยอมสบตาด้วยยิ่งเรียกรอยยิ้มกริ่มได้เป็นอย่างดี

"ถึงกลับไปอยู่เรือนโน้น เดี๋ยวก็ถูกคนบางคนลากมาที่นี่จนได้น่ะแหละ หรือไม่จริงครับ...หลวงพิสิษฐ"ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้าไปยักคิ้วกวนใกล้ๆ เจ้าของชื่อที่เบือนหน้าหนีไปอีกทางเลยสบโอกาสเอื้อมมือมาคว้าตัวจนแทบเสียหลัก ก่อนจะฝังจมูกลงบนแก้มซ้ายของผมจนร้อนผ่าวขึ้นมา พร้อมเสียงหัวเราะเบาตามประสาคนอารมณ์ดีที่ได้เอาคืน

"โอ๊ย!"ตามด้วยเสียงร้องโอดโอยเพราะถูกผละออกด้วยความตกใจจนกระเทือนถึงแผลที่เอวอีกฝ่ายเข้าให้ เดือดร้อนผมต้องรีบเข้าไปดูอาการอีกรอบเพราะกลัวว่าแผลจะเปิดขึ้นมา

"เล่นไม่รู้จักเวลา เจ็บตัวเลยเห็นมั้ย"แต่คนถูกบ่นกลับไม่มีท่าทีสลดแม้แต่น้อย ซ้ำยังยกยิ้มหวานมองผมไม่วางตา

"เจ็บ...แต่ได้กำไร ถือว่าคุ้มนะพ่อ"แถมด้วยคำพูดยียวนที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้งนี่อีก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรถึงได้ละมือออกแล้วจัดแจงห่มผ้าให้ตามเดิม ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาเพราะรับรู้ถึงดวงตาพราวระยับที่จดจ้องอยู่

"กลายเป็นคนฉวยโอกาสแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะครับ"คนป่วยเพียงหัวเราะเบาเมื่อเห็นว่าผมเริ่มหน้ามุ่ยบ้างหลังจากโดนแกล้งซ้ำแล้วซ้ำอีก

"ตั้งแต่...ได้พบพ่อธีร์กระมัง"สุดท้ายก็กลายเป็นผมที่ต้องยอมแพ้เหมือนเคย ก็อย่างที่แชมป์มันว่าอยู่บ่อยๆ คนอย่างผมเคยเถียงชนะใครเขาที่ไหน กรณีของแชมป์คือมันกวนประสาทเกินกว่าที่ผมจะต่อปากต่อคำด้วย...แต่กับหลวงพิสิษฐ...เห็นทีจะเป็นเพราะคำพูดหยอกล้อไม่อายปากของเจ้าตัวเขานี่ล่ะครับ ที่ผมยอมแพ้




กว่าจะส่งคนป่วยให้เข้านอนได้ก็ปาไปบ่ายแก่ๆเพราะเจ้าตัวเอาแต่อิดออดว่าไม่ง่วงบ้างล่ะ อยากคุยกับผมมากกว่านอนพักบ้างล่ะ หรือแม้แต่ลากผมไปนอนอยู่ข้างๆทั้งที่ถูกบ่นเรื่องแผลที่ยังไม่หายสนิท สุดท้ายเจ้าตัวก็ผลอยหลับไปเพราะฤทธิ์ยาฝรั่งที่หมอเบ็นจัดไว้ให้ ผมเลยถือโอกาสลงมายืดเส้นยืดสายข้างล่างเพราะไม่ชอบอุดอู้อยู่แต่ในห้องโดยไม่ลืมหยิบหนังสือบนชั้นในห้องนอนของเขาติดมือลงมาอ่านเล่นไปพลางๆ


ในยุคที่ไม่มีแม้แต่เครื่องมือสื่อสารหรืออำนวยความสะดวกใดๆอย่างพระนคร หนังสือเห็นจะเป็นสื่อบันเทิงเพียงอย่างเดียวที่ผมสามารถหาเสพย์ได้ แต่น่าแปลกที่ระยะเวลาเกือบสองเดือนที่ผมใช้ชีวิตอยู่ที่นี่โดยปราศจากอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ทั้งหลายกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกเบื่อแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกเป็นสุขกับชีวิตที่สงบราบเรียบแบบนี้ มากกว่าชีวิตยุ่งเหยิงวุ่นวายที่ทุกอย่างดูเร่งรีบอย่างในกรุงเทพมหานคร ความสุขที่ผมพบได้เพียงแค่นั่งมองเจ้าพระยาผืนใหญ่ตรงหน้าเป็นชั่วโมงโดยไม่ลุกไปไหน ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนสองฟากฝั่ง เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของชาวพระนคร หรือแม้แต่เด็กตัวเล็กๆที่จับกลุ่มกันกระโดดน้ำเสียงดังลั่น



ความสุขสงบที่ไม่มีเรื่องอื่นให้เป็นกังวล...นอกเสียจากเรื่องของใครบางคนที่ผมยังต้องจัดการ



ผมไม่ได้บอกหลวงพิสิษฐเรื่องที่ผมกับแชมป์วางแผนกันไว้เพราะรู้ดีว่าเจ้าตัวต้องออกปากห้าม ที่สำคัญผมไม่อยากให้เขาเป็นห่วง เพราะเพียงแค่วันที่ผมไปเยือนเรือนเจ้าคุณเดโชครั้งนั้น เจ้าตัวก็ถึงกับสอบปากคำผมยาวเหยียดทั้งที่ผมยังไม่ทันลงมือทำอะไร...สิ่งที่ผมกับแชมป์ตกลงกันมีเพียงผมกับมันเท่านั้นที่รู้...ความจริงผมไม่อยากรบกวนแชมป์เพราะนี่ไม่ใช่ปัญหาของมัน แต่เมื่อมองจากสภาพรอบตัว ผมก็ต้องยอมรับว่าแชมป์สามารถทำทุกอย่างได้ง่ายกว่าผมมากนัก


วันแรกที่มันลงมือ ผมเป็นห่วงมันจนไม่เป็นอันทำอะไร ได้แต่นั่งกระสับกระส่ายอยู่ที่เรือนหมอเบ็นจนคนป่วยยังสงสัย จนมันสาธยายสิ่งที่มันทำให้ฟังตอนเย็นวันนั้นถึงพอโล่งใจได้บ้างว่ามันปลอดภัยดี และมันก็ทำให้ผมสะใจไม่น้อยที่รู้ว่าคนอย่างหลวงเจษฎารังสรรถูกเพื่อนผมทำอะไรให้บ้าง...แม้แต่วันก่อนหน้าที่จะย้ายมาอยู่เรือนนี้ชั่วคราว ผมยังได้เห็นสีหน้าของมิ่งที่เล่าเรื่องไก่ชนตัวเก่งของหลวงเจษฎ์ที่พ่ายไม่เป็นท่าหลังจากเจ้าของมันคุยโวไปทั่วตลาดว่าไก่ชนของมันฝีมือชั้นหนึ่งหาใครเทียบยาก


ยิ่งได้รับรู้ว่าคนที่ผมเกลียดถูกเอาคืนครั้งแล้วครั้งเล่าผมยิ่งสะใจ แต่มันคงจะดีกว่านี้หากผมเป็นคนลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเองโดยไม่ต้องยืมมือใคร ผู้ชายคนนั้นยังคงเป็นคนอันตรายเกินกว่าที่แชมป์หรือใครจะรับมือได้ ทั้งชื่อเสียงและบรรดาศักดิ์ของผู้เป็นพ่อ หรือแม้แต่นิสัยเหี้ยมโหดของเจ้าตัว ยังไม่รวมถึงลูกน้องของมันที่รายล้อมส่งให้หลวงเจษฎารังสรรเป็นคนที่ผมไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง...ถึงอย่างนั้น การที่แชมป์ลงมือสำเร็จถึงสองครั้งติดๆกันก็ทำให้ผมได้เห็น ว่าผู้ชายคนนั้นยังมีช่องโหว่อีกมากให้พวกผมลงมือ แต่หากพลาดพลั้งขึ้นมา คนที่ต้องมารับกรรมทั้งหมดคือแชมป์ เพราะแบบนี้ผมถึงได้เป็นห่วง


"ของว่างเจ้าค่ะคุณธีร์"เสียงเรียกของป้าชื่นดึงความคิดที่ลอยฟุ้งของผมให้กลับมาหยุดอยู่ที่ขนมหน้าตาสะสวยตรงหน้า พร้อมกับน้ำใบเตยกลิ่นหอมเตะจมูกที่วางเคียงกัน

"ขอบคุณครับป้าชื่น แต่วันหลังให้บ่าวยกมาก็ได้จะได้ไม่รบกวนป้าชื่นนะครับ"ผมว่าพลางยกน้ำใบเตยขึ้นจิบ สำหรับผม ป้าชื่นไม่ได้เป็นเพียงบ่าวเหมือนคนอื่นๆ เพราะความอาวุโสและเรื่องที่แกเป็นคนดูแลหลวงพิสิษฐมาตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งยังเจ้าคุณไพศาลเองก็ให้ความสำคัญกับป้าชื่นมากกว่าบ่าวคนอื่นในเรือน ด้วยว่าแกเป็นคนเก่าแก่ของคุณหญิงท่าน ผมเลยให้ความเคารพแกเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเสียมากกว่า

"รบกวนอะไรกันเล่าเจ้าคะ ว่าแต่คุณธีร์ลงมานั่งที่ศาลาแบบนี้ คุณหลวงหลับแล้วหรือเจ้าคะ"

"ได้ยาฝรั่งของหมอเข้าไป หลับสนิทเลยครับ"ผู้อาวุโสกว่าเพียงยกยิ้มก่อนขยับเข้ามาใกล้แต่ไม่ยอมนั่งลง จนผมต้องบอกให้แกนั่งได้นั่นแหละ ผมหยิบขนมขนาดพอดีคำในจานขึ้นมาชิมตามด้วยน้ำใบเตยรสหวานติดลิ้น จนเริ่มสังเกตว่าป้าชื่นแกเอาแต่นั่งอมยิ้มมองหน้าผมไม่วางตา

"ป้าชื่น...มีอะไรรึเปล่าครับ"พอถามกลับไปแกถึงกับสะดุ้งโหยงคงเพราะมัวแต่มองหน้าผมเพลิน

"ไม่มีเจ้าค่ะ...ของว่างถูกปากคุณธีร์หรือไม่เจ้าคะ"เจ้าตัวรีบส่ายหน้าตอบก่อนจะเปลี่ยนเรื่องมาที่ขนมในจานแทน

"อร่อยมากครับ...ผมไม่ค่อยได้กินขนมอร่อยๆแบบนี้ สงสัยต้องรบกวนป้าชื่นทำให้บ่อยๆ"ได้ทีเลยหยอดป้าชื่นกลับให้แกได้ยิ้มเขินบ้าง ผมไม่ค่อยได้ทานขนมไทยบ่อยนัก อย่างที่รู้ๆกันว่าขนมไทยสมัยนี้หาที่รสชาติเหมือนสมัยก่อนได้ยาก ทั้งสีและกลิ่นส่วนใหญ่ก็ใช้สิ่งสังเคราะห์ไม่ได้มาจากธรรมชาติ ทั้งยังวิธีการทำก็ไม่ละเอียดอ่อนเหมือนที่คนสมัยก่อนเขาทำกัน พอมาอยู่ที่นี่เลยกลายเป็นว่าผมติดใจขนมไทยหลายชนิดจนแทบลืมรสชาติของพวกเค้กหรือขนมอบแบบตะวันตกไปเสียสนิท

"คุณธีร์ก็ชมบ่าวเกินไป ขนมพวกนี้ใครๆในสยามเขาก็ทำกันได้เจ้าค่ะ"

"แต่ผมชอบขนมที่ป้าชื่นทำนี่ครับ"ว่าพลางหยิบขนมอีกชิ้นเข้าปากเป็นการยืนยันคำพูด เห็นป้าชื่นแกยิ้มกว้างไม่ยอมหุบแล้วผมก็อดยิ้มตามออกมาไม่ได้

"คุณธีร์นี่ล่ะก็ บ่าวเห็นไม่ค่อยพูดค่อยจา ไม่นึกว่าจะปากหวานเยี่ยงนี้นะเจ้าคะ"แต่คราวนี้ป้าชื่นแกทำเอาผมแทบสำลัก ก็ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครบอกว่าผมปากหวานเลยสักคน ส่วนใหญ่มักโดนหาว่าหน้าตาไม่รับแขกเสียมากกว่า แม้แต่กับแพมตอนที่คบกันก็มักบ่นเสมอว่าผมเป็นพวกไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ปล่อยให้เธอคอยเดาอารมณ์เอาเองจนบางครั้งกลายเป็นเจ้าตัวที่หงุดหงิด...ที่ป้าชื่นแกบอกว่าผมปากหวานเนี่ย...สงสัยจะติดมาจากใครบางคนล่ะมั้ง

"คุณหลวงเธอก็ปากหวานเหมือนคุณธีร์นี่ล่ะเจ้าค่ะ ตั้งแต่เล็กจนโตหากนึกอยากได้อะไรเป็นต้องมาอ้อนขอเอากับบ่าวทุกที เพราะเจ้าคุณท่านดุนักเจ้าค่ะ"แล้วป้าชื่นแกอ่านใจผมออกเหรอครับ ถึงได้พูดถึงคนที่ว่าขึ้นมาแบบนี้

"ป้าชื่นคงรักคุณหลวงมากเลยนะครับ"

"บ่าวเองไม่มีลูกหลานที่ไหน มีโอกาสได้เลี้ยงคุณหลวงตั้งแต่ยังเล็กนับว่าเป็นบุญของบ่าวเจ้าค่ะ คุณหลวงเธอเป็นคนดีมีน้ำใจ เจ้าคุณท่านยังว่ามีคนมาชมให้ท่านฟังบ่อยนักเจ้าค่ะ"ผมท้าวคางฟังแกเล่า แม้แกไม่ได้บอกว่ารักอีกฝ่ายมากขนาดไหนแต่ผมก็พอดูออก หลังจากได้เห็นท่าทีเป็นห่วงเป็นใยตั้งแต่ตอนที่หลวงพิสิษฐกลับมาถึงเรือน หรือแม้แต่สีหน้ายิ้มแย้มตอนที่แกกำลังเล่าให้ฟังอยู่นี่ก็เช่นกัน

"เห็นคุณหลวงเธอเติบโตมีหน้าที่การงานดีพร้อมบ่าวก็ดีใจ...จะมีก็แต่..."ท้ายประโยคที่ขาดหาย แกเพียงเหลือบตามองผมที่กำลังตั้งใจฟังแทน

"เรื่องคู่ครองนี่ล่ะเจ้าค่ะ"หากแต่คำพูดถัดมากลับทำให้ผมนิ่งสนิท ความรู้สึกชาวาบเข้ามาแทนที่จนเผลอเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น...ความรู้สึก...เหมือนตอนที่ได้รู้ว่าเจ้าคุณจิตราหวังจะได้คนๆนั้นไปเป็นเขยโดยที่ผู้ใหญ่ฝั่งเขาก็เห็นดีด้วย

"ป้าชื่น...อยากให้คุณหลวงออกเรือนเหรอครับ"ปากที่ไวกว่าความคิดยิ่งทำให้ผมตอกย้ำตัวเองเข้าไปอีกว่าผมนี่มันโง่ชะมัดที่ถามออกไปแบบนั้น...ใครบ้างจะไม่อยากเห็นลูกเห็นหลานตัวเองแต่งงานมีครอบครัว...ถึงป้าชื่นแกจะไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆก็เถอะ

"ใครบ้างจะไม่คิดเล่าเจ้าคะ"เจ้าตัวว่าตามความคิดผมเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน แถมยังถอนหายใจยาวให้ผมยิ่งรู้สึกหน่วงหนักขึ้นไปอีก

"บ่าวเองก็เคยนึกอยากเห็นคุณหลวงเธอเป็นฝั่งเป็นฝากับคนที่เพียบพร้อมเจ้าค่ะ..."คำพูดของป้าชื่นแต่ละคำราวกับค้อนปอนด์ที่ฟาดลงบนตัวผมซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแทบจมดิน ผมรู้สึกเหมือนตัวเล็กลงเหลือแค่สองนิ้วแล้วล่ะครับ


"แต่ตอนนี้ เพียงได้เห็นคุณหลวงเธอมีความสุขกับคนที่เธอเลือก...บ่าวก็ดีใจแล้วเจ้าค่ะ"หากแต่คำพูดถัดมากลับทำให้หัวใจกระตุกวูบ...ดวงหน้าละไมภายใต้ริ้วรอยจางๆยกยิ้มบางให้ผมที่นั่งเบิกตากว้างด้วยความตกใจ สีหน้าของผู้อาวุโสแม้ไม่ได้แสดงออกถึงความยินดีอย่างสุดซึ้งแต่ก็ไม่ได้บึ้งตึงเช่นคนไม่พอใจ...แค่นั้นผมก็พอเดาออกว่าความหมายของคำพูดนั้นคืออะไร...เพียงแต่ว่า...ผมไม่ทันตั้งตัวเท่านั้นเอง

"คนที่เลือก...เหรอครับ"คำพูดลอยๆหลุดจากปากคล้ายคนไม่ได้สติ ป้าชื่นเพียงลุกขึ้นยืนตั้งท่าจะเดินเข้าเรือนโดยไม่ตอบคำถาม มีเพียงสีหน้าประหลาดใจของผมที่ทำให้แกชะงักฝีเท้าเพียงชั่วครู่


"บ่าวเชื่อว่าคุณหลวงเธอเลือกคนไม่ผิดเจ้าค่ะ"คำพูดทิ้งท้ายก่อนที่แกจะเดินลับหายไป ปล่อยให้ผมนั่งเงียบกับบทสนทนาเมื่อครู่ตามลำพัง


สำหรับผม...นั่นถือเป็นการยอมรับ...แม้ดูจากสีหน้าท่าทางของป้าชื่นมันจะไม่ใช่การยอมรับด้วยความเต็มใจนัก แต่รอยยิ้มละไมของแกก็ทำให้ผมรู้ ว่าแกเองก็ไม่ได้รังเกียจ...มันน่าดีใจนะครับที่ได้รู้ว่าเราเป็นที่ยอมรับของใครสักคน ในเรื่องที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนมันก็เป็นไปได้ยากแบบนี้...และถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองเกินไป...ผมคิดว่าเจ้าคุณไพศาลเองก็เช่นกัน...เพราะคำพูดแปลกๆของท่านในวันนั้น...ผมยังคงจำได้ดี...




...................................................................................................




เวลาที่พระนครแต่ละวันยังคงผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหมือนกับชีวิตประจำวันของคนที่นี่ แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด ทั้งที่ผมเคยคิดว่า การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับใครสักคนทุกวันๆมันอาจทำให้ความรู้สึกของคนสองคนเริ่มเปลี่ยนแปลง ความเบื่อหน่าย ชินชาอาจเข้ามาแทนที่ความรู้สึกวูบไหวในช่วงแรกจนกลายเป็นความเคยชินและจืดจางไปในที่สุด แต่ผมกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะทุกวันที่ผ่านผมคอยแต่เฝ้าภาวนาให้ผมได้เห็นรุ่งอรุณของพระนครในวันถัดไป และรอยยิ้มของใครบางคนที่ผมอยากเห็นทุกครั้งเมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมา


ชีวิตประจำวันของผมแทบไม่ได้ออกไปไหน งานภูเขาทองที่หลวงพิสิษฐเคยรับปากว่าจะพาไปดู ผมก็ไม่ได้ไป หรือแม้แต่งานราชการหัวเมืองที่เจ้าคุณเสนาบดีเคยวางตัวให้เขาติดตามไปด้วยก็ต้องหาคนอื่นไปแทนเพราะเจ้าตัวยังไม่หายดี หลายครั้งที่เขาคอยรบเร้าให้ผมออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้างเพราะกลัวว่าผมจะเบื่อ ผมก็เอาแต่ปฏิเสธ จะมีก็แต่ขอกลับไปที่เรือนเจ้าคุณจิตราบ่อยครั้งเพราะเรื่องที่เคยตกลงกับแชมป์เอาไว้...ไอ้แชมป์นี่ก็ตัวดี ปกติเห็นมันปากมากคอยหาเรื่องแซวคนนั้นคนนี้ แต่พอเป็นเรื่องหลวงเจษฎารังสรรมันกลับปิดปากเงียบ เดือดร้อนผมต้องคอยตามไปง้างปากมันถึงเรือนให้มันเล่าให้ฟังอยู่เสมอ...จนกระทั่งวันที่มันไม่รู้จะสรรหาวิธีไหนมาเอาคืนไอ้หลวงเจษฎ์แล้วนั่นล่ะ มันถึงยอมถามความเห็นจากผมเสียที



ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0



"วันพรุ่งต้องไปที่เรือนโน้นอีกแล้วหรือพ่อ"เจ้าของห้องถามขึ้นหลังได้ยินผมขออนุญาตเจ้าคุณท่านกลับไปที่เรือนเจ้าคุณจิตราเป็นวันที่สองติดๆกันที่โต๊ะอาหาร...เจ้าตัวยังคงกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงอ่านหนังสือเล่มหนาเช่นที่เคยทำเหมือนทุกวัน อาการของเขาดีขึ้นมากจนเกือบหายเป็นปกติ ถึงอย่างนั้นทั้งเจ้าคุณไพศาลและป้าชื่นก็ยังคอยห้ามไม่ให้เจ้าตัวลุกเดินไปไหนบ่อยนัก ยิ่งเดินขึ้นลงบันไดแต่ละครั้งเป็นต้องได้ยินเสียงป้าชื่นแกบ่นยาวทุกครั้งไป

"มีธุระกับแชมป์น่ะครับ"ผมอ้อมแอ้มตอบเมื่อนึกถึงเรื่องที่คุยกับแชมป์เมื่อตอนบ่าย...หลังจากให้มันเป็นฝ่ายลงมือคนเดียวมานาน นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้จัดการไอ้หมอนั่นด้วยตัวเองเสียที และตั้งใจไว้ว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน เพราะสำหรับผม การตามจองเวรใครสักคนไม่ใช่เรื่องน่าสนุก แม้คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่ผมเกลียดนักหนาก็ตาม อีกอย่างตอนนี้ชีวิตของมันก็ปั่นป่วนไม่เป็นท่าหลังจากถูกแชมป์ตามรังควานไม่หยุดหย่อน

"ธุระสำคัญรึ ต้องไปถึงสองวัน"คนถามละสายตาจากตัวหนังสือตรงหน้าเหลือบมองผมที่นั่งท้าวค้างอยู่กับโต๊ะไม้สัก มืออีกข้างหมุนที่ทับกระดาษเล่นโดยไม่ใส่ใจกับมันมากนัก

"ก็...สำคัญครับ"ไม่รู้จะตอบอะไรเลยได้แต่เนียนไปตามน้ำ...เจ้าตัวเพียงขมวดคิ้วมุ่นมองด้วยความสงสัยก่อนจะปิดหนังสือในมือลงแล้วลุกเดินมาหาผมแทน

"ไม่ไปไม่ได้รึ"ผมชะงักมือที่หมุนที่ทับกระดาษเล่นก่อนเหลือบมองเจ้าของร่างสูงที่ตอนนี้พิงตัวลงกับขอบโต๊ะ

"มีอะไรรึเปล่าครับ ปกติเห็นอยากให้ธีร์ออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกจะแย่"

"ข้างนอกที่ว่าไม่ได้หมายถึงเรือนโน้นเสียหน่อย"แล้วไอ้สีหน้าไม่สบอารมณ์แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะครับ

"อ้าว แล้วทำไมถึงไม่อยากให้ไปเรือนโน้น"

"กลัวว่าไปแล้วจะไม่อยากกลับมาน่ะซี"คราวนี้ผมหลุดหัวเราะพรืด สงสัยเจ้าตัวคงกลัวว่าหายดีแล้วผมจะรีบเผ่นกลับไปอยู่กับไอ้แชมป์...อันที่จริงผมก็เคยคิดแบบนั้นบ่อยๆ ไม่ใช่ไม่อยากอยู่กับเขาหรอกครับ แต่ผมเกรงใจเจ้าคุณไพศาลท่าน ที่ขอมาก็เพียงแค่มาดูแลคนป่วยชั่วคราวแต่ตอนนี้เขาเองก็แทบหายเป็นปกติแล้ว ผมเลยไม่รู้ว่าจะอยู่ทำอะไรต่อ


เสียงหัวเราะของผมคงเรียกความสงสัยจากเจ้าตัวได้ไม่น้อยเมื่อเขาเอาแต่ยืนขมวดคิ้วมุ่น

"กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง"ผมว่าพลางหมุนที่ทับกระดาษในมือเล่นอีกครั้ง นึกตลกกับคำพูดของเขา หากแต่มือของผมกลับถูกหยุดเอาไว้ด้วยมือหนาที่ยื่นมาสอดประคองข้างใต้ พร้อมกับดวงตาคมที่คราวนี้ดูจริงจังผิดกับเมื่อครู่


"ก็เรื่องของพ่อธีร์ น่ากลัวน้อยเสียที่ไหน"ลมหายใจของผมสะดุดกึกเมื่ออยู่ดีๆน้ำเสียงของเขากลายเป็นเคร่งเครียดไม่แพ้ดวงตาที่จดจ้อง...สายตา...ที่หยุดอยู่บนที่ทับกระดาษในมือ...นั่นทำให้ผมเข้าใจความหมายได้ในทันที


นานเท่าไหร่แล้วที่ผมกลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง...นานเท่าไหร่ที่ผมไม่ได้ยินเสียงเรียกจากโต๊ะตัวนี้ หรือแม้แต่ที่เรือนเจ้าคุณจิตรา...นานเท่าไหร่...ผมเองก็จำไม่ได้...รู้แต่ว่ามันนาน...นานจนผมเกือบลืมไปแล้วเพราะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลานั้น เรื่องราวที่ทำให้ผมเป็นกังวลมากกว่าเรื่องสำคัญที่สุดที่ผมควรระลึกถึงตลอดเวลา


"คนทางบ้านพ่อธีร์คงเป็นห่วงพ่อน่าดู"นิ้วเรียวไล้วนอ้อยอิ่งอยู่บนหลังมือของผม เช่นเดียวกับสายตาที่ยังคงจดจ้องอยู่ที่เดิม...คำว่า'คนทางบ้าน'พาลให้ผมนึกไปถึงหน้าของอานิดและอาต้น หลังจากฝันร้ายคราวนั้น ผมก็ไม่เคยฝันถึงอานิดอีกเลย อาจเป็นเพราะทางนี้มีเรื่องให้ผมเป็นกังวลมากจนแทบนอนไม่หลับ แต่ผมไม่เคยลืม...สีหน้าของอานิดในตอนนั้นที่พูดถึงโต๊ะไม้สักโบราณ แววตาแข็งกร้าวจริงจังของแกที่ทำให้ผมนึกกลัว...กลัวว่าวันหนึ่งอานิดจะลุกขึ้นมาทำอย่างที่แกพูดในความฝัน...กลัวว่าโต๊ะตัวนั้นจะหายไป...ที่สำคัญ...ผมกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากอานิดเผาโต๊ะตัวนั้นขึ้นมาจริงๆ...ถ้าเป็นแบบนั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของผมกับแชมป์...ผมต้องกลับไป...หรือติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต...ผมไม่สามารถรู้ได้เลย

"แล้วถ้าธีร์ต้องกลับไปจริงๆ...คนทางนี้จะเป็นห่วงธีร์บ้างมั้ยครับ"ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ละสายตาจากมือที่ประคองอยู่กลับมาสบตา ดวงตาคมพราวระยับหากแต่ฉายแววหม่นเหมือนทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ พร้อมกับมือหนาที่เอื้อมมาโน้มศีรษะของผมให้อิงเข้ากับตัว

"หากไม่เป็นห่วงพี่จะถามพ่อเช่นนี้รึ"ลมหายใจอุ่นระเรื่อยอยู่ใกล้ๆเมื่อเขาโน้มลงฝังจมูกลงบนเรือนผมยาวละต้นคอของผม





"พี่ขออะไรพ่อธีร์อย่างหนึ่งได้หรือไม่"

"อะไรเหรอครับ"

"ย้ายมาอยู่ที่เรือนนี้เสียด้วยกันกับพี่ได้หรือไม่พ่อ"



คำขอที่ทำเอาผมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย เพราะหากเป็นเวลาปกติ ผมคงอดยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีไม่ได้...ก็คำขอของเขามันช่างเหมือนกับ



...คำขอแต่งงาน...



หากยังไม่ทันได้ตอบอะไร เจ้าตัวก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน...คำตอบ...ที่ทำให้ลมหายใจของผมสะดุดนิ่ง ไม่ต่างจากดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกใจ...คำตอบที่เฉลยทุกคำถามในใจผมให้กระจ่าง


"จะหาว่าพี่เห็นแก่ตัวพี่ก็ยอม...แต่พี่อยากอยู่กับพ่อธีร์ ในวันที่สิ่งนี้ส่งเสียงเรียกพ่ออีกครา"หลวงพิสิษฐปรายตามองวัตถุในมือก่อนเลื่อนสายตาขึ้นสบกันอีกครั้ง








"แลหากพ่อธีร์บอกพี่คำเดียวว่าไม่อยากไป...พี่จะไม่ยอมปล่อยมือพ่อธีร์เป็นอันขาด"








น้ำเสียงเน้นย้ำหนักแน่นจนผมแทบปล่อยวัตถุในมือให้ร่วงไปเสีย ติดที่มือหนาของคนข้างๆยังคงกระชับซ้อนมันเอาไว้...ผมเหลือบตามองคนตัวสูงที่ตอนนี้เอาแต่จดจ้องวัตถุทรงเหลี่ยมในมือ นัยน์ตาคมสั่นระริกของเขายิ่งทำให้ผมหนักใจ

สองครั้งที่ผมเดินทางข้ามเวลาโดยที่ผมไม่สามารถยับยั้งหรือฝืนความต้องการของตัวเองได้...หนึ่งครั้งที่ผมหายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่เขาไม่มีแม้แต่โอกาสได้เอ่ยปากท้วงอะไร




ไม่มี...แม้แต่โอกาสได้บอกลา...




"แล้วถ้า...พี่แก้วไม่สามารถหยุดมันได้ล่ะครับ"


ร่างสูงตรงหน้าทรุดลงนั่งคุกเข่าพร้อมมือหนาที่แตะลงข้างแก้ม ทำให้ผมได้เห็น...ใบหน้าคมเข้มเจือรอยยิ้มปราย และดวงตาคู่สวยที่จดจ้องแม้มันดูหม่นหมองนัก




"หากพี่ไม่สามารถหยุดยั้ง...ก็ขอให้พี่ได้เห็นว่าพ่อธีร์กำลังจากไปที่ใด...ไม่ใช่หายไปโดยที่พี่ไม่รู้ความอันใดเลย"




สิ้นเสียง...ผมเพียงปล่อยวัตถุต้นเหตุในมือแล้วโผเข้าหาร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่ลังเล...น้ำหนักที่โถมทับเรียกให้อีกฝ่ายนิ่วหน้าเพราะความเจ็บแล่นปลาบถึงแผลที่ช่วงเอว...ถึงอย่างนั้นสองมือของเขาก็ยังโอบรอบตัวผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อยไปไหน...มือหนายกขึ้นลูบผมเพียงเบาๆหากแต่รับรู้ได้ว่ามันสั่น...สั่น...จนน่าใจหาย

"พี่แก้ว..."เจ้าของมือชะงักเล็กน้อยราวกับรอฟังคำตอบ...คำตอบที่เบาราวเสียงกระซิบเพราะผมกำลังซบหน้าลงบนไหล่กว้างของเจ้าตัว











"ถ้าวันนั้นมาถึง...อย่าปล่อยมือธีร์นะครับ"








...



เหตุการณ์ในวันนั้นยังคงเรียกรอยยิ้มของผมได้ทุกครั้งที่นึกถึง...แม้ไม่ใช่รอยยิ้มที่มาจากความโล่งอกเสียทีเดียว แต่ผมก็ยังยิ้มได้...คำพูดของเขาในวันนั้นเหมือนเครื่องย้ำเตือนให้ผมรับรู้...ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...เขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากผม



...หากผมไม่เอ่ยปาก...



ทุกอย่างยังคงผ่านไปด้วยดี...ทั้งเรื่องแผนการที่ออกไปจัดการกับแชมป์ ที่สุดท้ายมันก็เป็นฝ่ายลงมือเองอีกครั้งเพราะความคิดมากเกินเหตุ ถึงผมไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็เลือกที่จะไม่โต้แย้งอะไร เพราะอย่างน้อยผมก็ได้มีส่วนร่วมในแผนการนั้นไม่มากก็น้อย...หรือแม้แต่ความเป็นไปบนเรือนเจ้าคุณไพศาล ที่ดูเป็นปกติจนเหลือเชื่อหลังจากที่ผมมีโอกาสได้คุยกับป้าชื่นในวันนั้น...ท่าทีของเจ้าของเรือนหรือแม้แต่ป้าชื่นที่ยังเอ็นดูผมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งที่ตัวต้นเหตุเองก็ดูจะเอาอกเอาใจผมจนเกินเหตุอยู่บ่อยครั้ง


และมันคงจะดีกว่านี้...หากไม่มีใครบางคนมาเยือนถึงเรือนเจ้าคุณไพศาลในวันหนึ่ง...ใครบางคนที่ผมไม่รู้จักแต่กลับสามารถทำให้หัวใจที่กำลังลอยละล่องจมดิ่งลงสู่ความมืดได้ในชั่วพริบตา...ใครคนนั้น ที่พูดกับผมเพียงประโยคสั้นๆที่ท่าน้ำใหญ่หน้าเรือน แต่กลับทำให้ทั้งตัวผมชาวาบราวกับคนไร้ความรู้สึก


"ใครมาหาหรือพ่อ"เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามหลังจากที่ผมกลับมาถึงห้องนอน...คำพูดที่ลอยผ่านโสตประสาทแต่กลับไม่รับรู้...รู้เพียงมือของตัวเองที่กำแน่นจนสั่น

"พ่อธีร์..."เจ้าตัวยังถามย้ำเมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบอะไร...ผมเหลือบมองคนที่นั่งพิงหัวเตียงพลางขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย...สีหน้า...ของคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยตั้งแต่แรก ไม่มีแม้แต่ความเป็นกังวล เพียงแค่ถามเพราะความอยากรู้


"พี่แก้ว..."เจ้าของชื่อเพียงเหลือบมอง และตัวผมที่พยายามข่มอารมณ์ทั้งหมดให้เป็นปกติ




...ทั้งที่ข้างในมันเดือดพล่านจนแทบควบคุมไม่อยู่...




"พรุ่งนี้...ธีร์กลับไปนอนที่เรือนโน้นนะครับ"



เพราะคำพูดของใครคนนั้น...ที่ทำให้ผมรู้ว่า...ผมไม่ควรคิดเข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป




'หลวงเจษฎ์ให้มาเรียนคุณว่า เพลานี้เพื่อนของคุณอยู่กับหลวงเธอ...หากอยากพบ ให้คุณไปหาที่ท้ายตลาดคืนวันพรุ่งตาม
ลำพัง...หลวงเธอจะรออยู่ที่นั่น'





.......................................โปรดติดตามตอนต่อไป.................................................




Author's Talk :

หายไปสองอาทิตย์...ไม่สบายเจ้าค่ะ เป็นไข้นอนซมต้องให้น้องธีร์มาดูแล (พี่แก้วง้างมือเตรียมตบ)
พอดีขึ้นก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาถึงได้มาปั่นให้จบตอน

ตอนนี้อยากให้หวาน...แต่อ่านแล้วมันก็ไม่หวาน :mew5: (ทำไมล่ะ นี่เค้าพยายามหวานที่สุดแล้วนะ)
ตอนหน้าจะเป็นยังไง...ติดตามกันด้วยนะเจ้าคะ


รักผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิม...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ถึงจะดีใจที่ตอนนี้ยังไม่เจออะไรที่สะเทือนใจแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีีนี้ โล่งใจไปตอนนึงต้องลากความกังวลต่อไปตอนหน้าอีก กลัวว่าแชมป์จะเป็นอะไรมาก
ดีใจแทนธีร์ที่ผู้ใหญ่ฝั่งหลวงแก้วรับรู้และก็ยอมรับในความสัมพันธ์ครั้งนี้

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
พี่แชมป์ทำพลาดซะแล้ว

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

ออฟไลน์ befol2e

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เอ้ยยยย ทำไมเรื่องมันกลับตาลปัตรขนาดนี้เนี่ยยย
ให้พี่แก้วกับน้องธีร์หวานกันนานๆหน่อยได้ไหม? อีคุณหลวงหื่นกามบ้า!!!
อย่าให้เกิดอะไรอีกเลยนะคะ เพราะพี่แก้วยังไม่หายดี น้องธีร์ต้องแย่แน่ๆเลย
 :m31:

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0

ตอนที่ ๓๕...วิกฤต...



บรรยากาศวังเวงแผ่ปกคลุมโดยรอบ เช่นเดียวกับลมหนาวที่พัดโชยให้ขนลุกอยู่บ่อยครั้ง...ตลาดสดในยามค่ำคืนมีสภาพไม่ต่างจากเมืองร้าง แผงลอยของพวกพ่อค้าแม่ค้ายังคงวางเกลื่อนหากแต่ว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตใด...ยิ่งเป็นฝั่งท้ายตลาดยิ่งไม่ต้องพูดถึง เสียงโหวกเหวกและบรรยากาศครึกครื้นของพวกนักพนันในตอนกลางวัน เวลานี้กลับเงียบเชียบและว่างเปล่า มีเพียงเสียงจิ้งหรีดร้องกันระงมและแสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุในมือที่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสิ่งมีชีวิตในละแวกนี้

เป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้มาเยือนตลาดริมน้ำในเวลาแบบนี้ ที่หากเป็นเวลาปกติผมคงไม่นึกอยากเฉียดกายเข้าใกล้แม้แต่น้อย แต่เมื่อมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำ...ผมก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อเช้า...ผมกลับไปที่เรือนเจ้าคุณจิตราตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดีเพื่อไปดูให้แน่ใจ ว่าข้อความที่ผมได้รับมานั้นไม่ใช่เรื่องโกหก...ผมเลือกถามเอากับไอ้มิ่งที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าเรือนพอดี ถึงได้ความว่าแชมป์มันไม่ได้กลับเรือนตั้งแต่เมื่อคืนวาน โดยที่มิ่งเองก็ไม่รู้ว่ามันหายตัวไปไหน แม้แต่พี่สนที่ช่วงหลังตัวติดกับมันบ่อยๆยังนึกสงสัย เพราะปกติแชมป์ไม่ใช่คนเหลวไหลถึงขั้นออกไปเที่ยวเตร็ดเตร่แล้วไม่ยอมกลับมานอนที่เรือน...ตอนแรกพวกพี่สนแกนึกว่าไอ้แชมป์ไปอยู่กับผม แต่พอเห็นผมมาที่เรือนตอนเช้า ทั้งพี่สนทั้งไอ้มิ่งถึงได้จับผมนั่งสอบปากคำอยู่นานสองนาน...แต่ผมก็ยังปิดปากเงียบเพราะรู้ดีว่ามันอาจส่งผลถึงความปลอดภัยของคนที่หายตัวไป




"มาแล้วรึ"


น้ำเสียงแหบต่ำที่ไม่ได้ยินมาเสียนานดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าดังสวบสาบเข้ามาใกล้เมื่อผมเดินมาหยุดยืนหน้าเพิงไม้ขนาดย่อมที่พวกนักพนันใช้แทนวงเหล้า วงไพ่ หรือวงอบายมุขอะไรก็ตามแต่ที่คนพวกนั้นจะคิดได้ ผมหรี่ตามองเงาร่างสูงใหญ่โดดเด่นท่ามกลางความมืด แม้ไม่เห็นหน้าแต่ก็รู้ได้ในทันทีว่ามันคือคนที่เรียกผมมาถึงที่นี่

"เพื่อนกูอยู่ที่ไหน"ความโกรธพุ่งพล่านเพียงแค่ได้เห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า...หลวงเจษฎารังสรรกำลังสาวเท้าเข้าใกล้ กรอบหน้าคมชัดส่องสะท้อนแสงตะเกียงในมือเผยให้เห็นรอยยิ้มเหยียดที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าตัว

"หน้าตาหรือก็งาม ทำไมพูดจาไม่น่าฟังเอาเสียเลยเล่าพ่อ"คนตัวใหญ่จิ๊ปากอย่างไม่พอใจขัดกับสีหน้าอารมณ์ดีหนักหนา...ดีเสียจนผมอยากพุ่งเข้าไปปล่อยหมัดตรงใส่หน้ามันสักทีสองทีให้หายโมโห...แต่ที่ทำได้ คือการยืนกำหมัดแน่นจนรู้สึกถึงปลายเล็บที่จิกลงบนฝ่ามือของตัวเอง

"กูถามว่าเพื่อนกูอยู่ไหน!"

"ไม่ได้พบกันเสียนาน มาถึงก็เอาแต่ถามหาคนอื่น ไม่คิดถึงพี่เจษฏ์คนนี้บ้างหรือจ๊ะ"เสียงแหบต่ำกลั้วเสียงหัวเราะยังกวนประสาทไม่เลิก

"คิดถึงเรื่องชั่วๆที่มึงทำน่ะสิ"ผมแค่นหัวเราะตอบกลับไปบ้าง

"โถๆๆ คนอย่างพี่น่ะรึจะไปทำเรื่องชั่วช้าที่ใดได้"

"อย่านึกว่ากูไม่รู้เรื่องคืนงานเลี้ยงทูต"วูบหนึ่งที่ดวงตาแข็งขึงเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก หากเพียงชั่วครู่ก็ข่มอารมณ์กลับเป็นปกติตามเดิม...ริมฝีปากหยักหนาเหยียดยิ้มอย่างไม่แยแส

"เรื่องที่หลวงแก้วถูกทำร้ายสาหัสน่ะรึ...พี่เองก็อยากรู้เสียจริงว่าใครมันกล้าคิดร้ายกับคนอย่างหลวงแก้วได้"เสียงหัวเราะร้ายยิ่งทำให้ผมโกรธจนตัวสั่น...แต่ยังระลึกได้ว่าสาเหตุที่ผมมาถึงที่นี่ไม่ได้เป็นเพราะต้องการกระชากหน้ากากของคนตรงหน้า แต่เป็นเรื่องอื่นที่สำคัญกว่านั้น

"มึงอย่ามาลีลา บอกมาว่ามึงเอาเพื่อนกูไปไว้ที่ไหน"


เพียงครู่เดียวที่มันปรายตามองไปทางเพิงไม้ด้านหลัง พร้อมกับแสงนวลของตะเกียงอีกดวงที่สว่างวาบขึ้นมา เงาร่างของคนสามคนก็ปรากฎสู่สายตาไม่ไกลนัก สองคนที่ขนาบข้างผมจำได้ดีเพราะมันคือคนสนิทของไอ้หลวงเจษฎ์ที่ลงมือในคืนงานเลี้ยง...และคนตรงกลางที่ผมแทบไม่ต้องเรียกความจำจากสมองส่วนไหน เพราะเพียงแค่แว่บเดียวที่เห็น ผมก็จำได้ทันที

"ไอ้แชมป์!"สภาพของแชมป์ที่ถูกหิ้วปีกทั้งสองข้างทำเอาลมหายใจของผมสะดุดกึก...ศีรษะมันฟุบลงทำให้ผมเห็นหน้าไม่ชัดนัก ก่อนที่หนึ่งในลูกสมุนของหลวงเจษฏ์จะดึงศีรษะที่ฟุบลงให้แหงนขึ้น แสงสว่างจากตะเกียงส่องให้เห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้า ทั้งเสื้อผ้ายังสกปรกมอมแมม หรือแม้แต่ช่วงตัวที่งองุ้มไร้เรี่ยวแรง...แชมป์พยายามปรือตามองอย่างยากเย็นเพราะแผลบวมปูดใกล้ขอบตา ก่อนจะส่งเสียงแหบพร่าออกมาเบาๆ



"ธีร์..."



ภาพตรงหน้าเรียกให้ผมก้าวขาออกไปหาโดยไม่ลังเล เป็นจังหวะเดียวกับที่มือหยาบใหญ่เอื้อมมาคว้าแขนเอาไว้...แรงกระชากทำเอาตัวผมเซไปอีกทาง ทั้งยังแรงกดมหาศาลบนต้นแขนที่เรียกให้ผมนิ่วหน้าเพราะความเจ็บแล่นริ้วขึ้นมา ผมตวัดสายตาขึ้นมอง พยายามสะบัดตัวให้เป็นอิสระแต่กลับไม่เป็นผลเมื่อมันยังคงขืนแรงเอาไว้ ทั้งยังดวงตาคมกริบที่วาวโรจน์ผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ

"นึกอยากแก้แค้น แต่กลับส่งอ้ายลูกเจ๊กเด็กเมื่อวานซืนมาแบบนี้ พ่อธีร์ดูถูกพี่เกินไปกระมัง"

"มึงรู้ได้ยังไง"คนตัวสูงใหญ่ระเบิดหัวเราะลั่นเรียกให้ผมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย

"ฟ้ามีตากระมัง พี่ถึงไม่ได้ไปร่วมงานบุญกับเจ้าคุณพ่อแลได้เห็นว่าอ้ายเด็กเวรคนนี้มันทำอะไรกับเรือนแพของพี่บ้าง"ดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกใจยิ่งเรียกให้มันเหยียดยิ้มเย็นราวกับผู้ชนะ


สิ่งที่พวกผมทำในวันนั้น มันคือความผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย...ความประมาทเลินเล่อกลายเป็นเหตุให้ทุกอย่างลงเอยเช่นนี้...ผมควรเตือนสติแชมป์ หรือไม่ ก็ควรดื้อดึงสักนิดที่จะลงมือเอง เพราะอย่างน้อยหากมีใครสักคนที่ต้องรับผลของการกระทำในวันนั้น...คนๆนั้นมันควรจะเป็นตัวผมเอง


แม้ยังตกตะลึงกับคำตอบที่ได้รับแต่ก็ยังพยายามแค่นหัวเราะกลับโดยไม่เกรงกลัวไอ้คนตัวสูงใหญ่ตรงหน้า

"แต่ไอ้เด็กเวรที่มึงว่าก็ทำชีวิตของมึงปั่นป่วนมาเป็นเดือนๆโดยที่มึงจับไม่ได้...แบบนี้เค้าเรียกว่าโง่รึเปล่าวะ!"แล้วก็สำนึกได้ว่าไม่ควรไปกวนประสาทมันเลย เมื่ออีกฝ่ายฟาดฝ่ามือหนาเข้าที่ใบหน้าผมเต็มๆจนชาวาบไปทั้งซีกหน้า ความรู้สึกปวดหนึบที่มุมปากและรสเฝื่อนจากของเหลวข้างในค่อยๆแผ่ซ่าน...หากยังไม่ทันได้โต้ตอบอะไร มือหนาก็คว้าเข้าที่ปลายคางบังคับให้แหงนขึ้นสบกับสายตาขึงขังของมัน

"พูดอะไรระวังปากบ้าง พ่อธีร์ก็รู้ว่าพี่อารมณ์ร้อน เกิดพี่พลั้งมือหนักกว่านี้ เห็นทีพ่อจะได้ไปนอนโรงหมอเป็นเพื่อนหลวงแก้วเสียอีกคน"ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้มล้อ แรงบีบตรงปลายคางยังคงย้ำแน่นจนผมอึดอัด


"มึงจะเอายังไง!"เมื่อความอดทนถึงขีดสุดจนต้องตะเบ็งเสียงใส่คนตรงหน้าอย่างร้อนรน...มันเพียงปรายตามองยังร่างปวกเปียกที่ถูกหิ้วปีกทั้งสองข้างของไอ้แชมป์

"ถามได้ดี...พ่อว่าพี่ควรทำอย่างไรกับอ้ายคนที่มันปั่นป่วนชีวิตของพี่ดีเล่า"

"เรื่องนี้เป็นความคิดกูคนเดียว...มันไม่เกี่ยว!"

"กว่าจะได้ตัวมันมาพี่ต้องลงแรงไปตั้งเท่าไหร่ คิดว่าออกรับแทนเพื่อนแล้วพี่จะปล่อยมันไปรึ"

"ถ้ามึงอยากแก้แค้น..."ผมเหลือบมองสายตาเป็นกังวลของแชมป์เพียงครู่ "ก็มาลงกับกู ปล่อยมันไปซะ"


สิ้นเสียง...รอยยิ้มเย็นก็ปรากฎบนใบหน้าของอีกฝ่ายราวกับเจ้าตัวพอใจในคำตอบนักหนา แว่วเสียงไอ้แชมป์ออกปากท้วงทั้งที่ตัวมันเองยังไม่มีแรงแม้แต่จะขืนตัวออกจากไอ้สองคนที่จับมันเอาไว้

"กับพ่อธีร์น่ะรึ...เอ พี่ควรจะทำอย่างไรดีน้อ"มือหยาบใหญ่ออกแรงบีบแน่นตรงปลายคางพร้อมกับใบหน้าแข็งขึงที่ขยับเข้าใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจดังฟืดฟาด ทั้งตัวผมสั่นเทิ้ม ไม่ใช่ด้วยความกลัว แต่เป็นความโกรธ ความเกลียดที่มีต่อคนตรงหน้า...อารมณ์ที่พุ่งพล่านเรียกให้ผมล้วงมือเข้าในผ้าคาดเอวจนสัมผัสกับปลายวัตถุเย็นเยียบที่หยิบติดมือมา หากเป็นระยะประชิดตัวแบบนี้ผมคงจัดการอะไรได้ไม่ยาก แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสภาพน่าเป็นห่วงของแชมป์กลับทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิด และสิ่งเดียวที่ทำได้...คือการยืนหลับตานิ่งไม่โต้ตอบ

"ปล่อยมันไปก่อน แล้วมึงอยากทำอะไรก็ทำ"เสียงหัวเราะต่ำน่ารังเกียจดังก้องข้างหูก่อนที่ลมหายใจอุ่นร้อนจะผละออก พร้อมกับแรงกระชากที่ต้นแขนจนตัวผมปลิวตามแรงของคนตัวสูงใหญ่



หลวงเจษฎารังสรรลากตัวผมมาถึงเพิงไม้ด้านหลัง มือหยาบหนาออกแรงเหวี่ยงจนร่างของผมกระแทกลงกับพื้น...ความเจ็บแปลบแล่นปราดขึ้นบนหัวไหล่ ทั้งยังรอยแดงช้ำบนมุมปากจากการระเบิดอารมณ์เมื่อครู่...ยังไม่ทันได้ขยับตัวหรือแม้แต่ส่งเสียงใด ร่างสูงใหญ่ก็ขยับเข้าประชิดตัวอีกครั้ง เงาดำทะมึนที่หยัดยืนอยู่เบื้องหน้าเรียกให้ผมถดตัวหนีตามสัญชาติญาณทันที

"มึงจะทำอะไร"

"พ่อธีร์พูดเองว่าหากพี่นึกอยากแก้แค้นให้ทำกับพ่อ"เสียงหัวเราะเย็นเยียบดังขึ้นเมื่อมันเห็นว่าแผ่นหลังของผมชนเข้ากับเสาไม้พอดี...ผมมองผ่านร่างสูงใหญ่ไปด้านหลังก่อนตวัดสายตากลับมาจดจ้องที่มันอีกครั้ง

"กูบอกให้ปล่อยเพื่อนกูไปก่อน"ภาพของแชมป์ที่ยังถูกยึดตัวไว้โดยคนสนิททั้งสองของมันเรียกให้ผมท้วงขึ้น หากแต่คนฟังเพียงเหลือบมองแล้วไหวไหล่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

"ไม่ต้องกังวลไป รอให้พี่เสร็จธุระกับพ่อเสียก่อน พี่ถึงจะปล่อยมัน"คำว่า'ธุระ'ของมันทำเอาหนาววาบไปทั้งตัว สมแล้วที่ผมเรียกมันว่าไอ้หลวงหื่นกาม ก็สีหน้าของมันตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากสรรพนามที่ใช้เรียกมันเลยสักนิด...แม่งเอ๊ย! นี่มันคิดจะเอาผมให้ได้เลยใช่ไหมวะ!

"พ่อธีร์นี่น๊า...หากว่าง่ายแบบนี้ตั้งแต่แรก พี่คงไม่ต้องลงแรงให้เหนื่อย...หลวงแก้วเองก็ไม่ต้องมาเจ็บตัวเช่นนี้"คำสารภาพที่หลุดจากปากอย่างง่ายดายเพียงเพราะเห็นว่าตนกำลังได้เปรียบเรียกให้ผมกำหมัดแน่น ทั้งความโกรธ ความสงสัยก่อเกิดจนต้องแผดเสียงลั่นถามออกไปอีกครั้ง


"มึงเกลียดอะไรหลวงพิสิษฐนักหนาถึงได้ตามจองเวรเค้าไม่เลิก!"หากแต่เสียงตวาดห้วนที่ตอบกลับทำเอาผมสะดุ้งเฮือก

"ตามจองเวรรึ!...ข้าต่างหากที่ต้องถาม!"ทั้งยังใบหน้าดุดันที่ขยับเข้าใกล้ทุกขณะ ริมฝีปากหนาของมันเม้มเข้าหากันแน่นจนเห็นสันกรามนูนเด่น ดูเหมือนว่าตัวมันเองก็กำลังพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ไม่น้อย

"ไม่ว่าหญิงใดในพระนครที่ข้าหมายปองเป็นต้องมีไอ้แก้วมาเกี่ยวข้อง...คราแม่พิกุลก็หนหนึ่ง แลยิ่งกับแม่เดือน......เป็นเอ็งจะรู้สึกเยี่ยงไรหากหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียเอาแต่พร่ำเพร้อถึงชายอื่นทุกค่ำคืน ถึงขนาดร่ำไห้กับของแทนใจอ้ายผู้ชายคนนั้นให้ข้าเห็นตำตา!"คำพูดพรั่งพรูราวกับคนสิ้นสติทำเอาผมประหลาดใจไม่น้อย ไอ้เรื่องความรู้สึกของคุณเดือนที่มีต่อหลวงพิสิษฐผมก็พอได้ยินมาบ้าง เพียงแต่ไม่เคยนึกว่ามันจะหยั่งรากลึกลงในความคิดของคนตัวสูงใหญ่ตรงหน้าจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา


วูบหนึ่งที่ผมได้เห็นแววตาโศกของหลวงเจษฎารังสรรยามเอ่ยถึงคนที่ได้ชื่อว่าภรรยา...หากเพียงครู่เดียวก็กลับมาจดจ้องด้วยสีหน้าขึงขังเช่นเคย


"เมียข้าน่ะโง่ รู้ทั้งรู้ว่าไอ้แก้วมันไม่ได้รักแต่ยังพร่ำเพ้อถึงมันไม่ขาด..."รอยยิ้มเย็นเหยียดบนมุมปาก


"แต่กับเอ็งที่มันรักนักหนา...อยากรู้จริงเชียวว่าไอ้แก้วมันจะทำอย่างไรหากได้รู้ว่าของรักของมันมีตำหนิ...เจ็บทั้งตัว เจ็บทั้งใจ เห็นทีจะตรอมใจก็ครานี้"เสียงหัวเราะต่ำพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ปราดขึ้นคร่อมอยู่เหนือตัว...แขนทั้งสองของมันราวกับกรงขังที่กันไม่ให้ผมขยับหนีไปไหน...ราวกับย้อนภาพเหตุการณ์ที่เรือนแพในวันนั้นให้กลับมาอีกครั้ง


หากแต่คราวนี้...ผมคงไม่รอให้ใครมาบังเอิญเห็นเข้าหรือปาฏิหาริย์ใดที่ช่วยให้รอดพ้นจากคนตรงหน้า...ผมค่อยๆล้วงมือเข้าใต้ผ้าคาดเอวอีกครั้งเมื่อร่างสูงใหญ่ของมันทาบทับอยู่ด้านบน...สัมผัสของวัตถุเย็นเยียบกระชับอยู่ในมือพร้อมกับลมหายใจที่สะดุดเพียงครู่...เสียงของแชมป์ยังดังโหวกเหวกอยู่ไม่ไกลขณะที่เจ้าตัวพยายามดิ้นพล่านเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ




...เอาวะ!...ตายเป็นตาย...






'โครม!'



'พลั่ก!'




ดวงตาแข็งขึงของคนตรงหน้าเบิกกว้าง ไม่ต่างอะไรจากมือของผมที่ชะงักนิ่งอยู่ที่เดิม...ใบหน้าดุดันหันกลับไปมองทางต้นเสียง เพื่อพบกับ


ร่างของลูกน้องมันทั้งสองคนที่ร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น


และร่างของไอ้แชมป์...ที่ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายถูกประคับประคอง โดยชายร่างสูงใหญ่สองคนที่ปกปิดหน้าด้วยผ้าดำ เหลือเพียงดวงตาคมกริบที่จ้องเขม็งมาทางผม


"พวกเอ็งเป็นใคร!"น้ำเสียงดุดันแผดลั่นด้วยโทสะ หากยังไม่ทันได้ตอบอะไร หนึ่งในสองคนนั้นก็ตั้งท่าพุ่งเข้ามาทางนี้ทันที

"พามันหนีไปก่อน!"ผมรีบสวนกลับทันควันจนคนตัวสูงใหญ่ที่ปกปิดหน้าชะงักฝีเท้า พลางหันซ้ายหันขวาราวกับกำลังตัดสินใจ...ทั้งเสียงโวยวายของแชมป์เองทำให้มันลังเลไม่น้อย


...ผมไม่รู้หรอกว่าคนพวกนั้นเป็นใคร...รู้แต่ว่า...พวกมันไม่ได้มาร้าย


ผมเหลือบมองร่างปวกเปียกของแชมป์ที่ถูกประคองเอาไว้ สีหน้ามันกังวลอย่างเห็นได้ชัดเพียงแต่สภาพของมันในตอนนี้คงไม่สามารถช่วยอะไรใครได้


"ไปสิโว้ย!"


เป็นอีกครั้งที่ผมแผดเสียงลั่นจนไอ้โม่งสองคนนั้นสะดุ้งโหยง ก่อนที่มันจะลากตัวไอ้แชมป์ที่ยังโวยวายไม่หยุดปากให้หลบหายไปในความมืดอย่างลังเล

ผมถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก โดยลืมนึกไปเสียสนิทว่ายังมีไอ้ตัวหัวหน้ายังยืนโดดเด่นอยู่ไม่ไกล...ใบหน้าดุดันตวัดกลับมาพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ปรี่เข้ามาหา เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมตวัดปลายวัตถุที่กระชับอยู่ในมือออกไปด้วยความตระหนก



"โอ๊ย!!"



เสียงร้องดังลั่นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ผงะถอย ดวงตาเหลือกลืมด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าในมือของผม คือปลายโลหะสีเงินที่ตอนนี้ถูกย้อมด้วยสีแดงฉานส่องสะท้อนกับแสงตะเกียงจนเกิดเป็นเงาวิบวับ...มือหยาบใหญ่ยกขึ้นกุมหน้าท้องของตัวเองก่อนจะแบออกเพื่อพบว่า ทั้งมือของมันกลับถูกฉาบฉานด้วยสีเดียวกัน

"พ่อธีร์..."น้ำเสียงดุดันเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นอ่อนยวบ ปลายมีดที่ตวัดถูกช่วงตัวเพียงถากๆหากแต่พอทำให้ความเจ็บแล่นริ้วขึ้นมา

"จะ...ใจเย็นก่อนเถิดพ่อ...มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน"หลวงเจษฎารังสรรระล่ำระลักจนแทบฟังไม่เป็นศัพท์ขณะที่ผมขยับเข้าใกล้...สองมือที่กระชับด้ามมีดสั่นระรัวด้วยความตกใจไม่แพ้กันหากแต่พยายามข่มสติเอาไว้ให้เป็นปกติ

"มึงจำได้มั้ย...คืนนั้นที่มึงสั่งให้ลูกน้องของมึงไปแทงหลวงพิสิษฐ"ร่างสูงใหญ่ถอยกรูดจนมาถึงลานกว้างหน้าเพิงไม้...ผมเหลือบมองลูกน้องทั้งสองของมันที่ยังนอนแน่นิ่งไม่ได้สติ พลันภาพเหตุการณ์ในคืนวันนั้นก็ย้อนกลับมาในความคิดอีกครั้ง...ความโกรธ เกลียด กลัวพุ่งสูงเพียงเพราะนึกไปถึงรอยเลือดแดงฉานที่ฉาบลงบนพื้น กับเสียงกรีดร้องของตัวเองดังกึกก้อง

"แผลแค่นี้...มึงยังเจ็บได้ไม่ถึงครึ่งของเค้าด้วยซ้ำ"สายตาของผมเย็นเยียบไม่ต่างอะไรจากน้ำเสียง...โทสะที่บดบังทำเอาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแทบปลิวหาย...ชั่วขณะหนึ่งที่ผมอยากปราดเข้าไปฝังปลายมีดลงบนร่างของมันเหมือนอย่างที่มันเคยทำ หากแต่สติที่เหลืออยู่เพียงนิดคอยเตือนให้รับรู้



...ว่าผมจะไม่ยอมกลายเป็นคนเลวแบบมัน...



ร่างสูงใหญ่งองุ้มพร้อมกับสองมือที่กุมช่วงท้องของตัวเองเอาไว้แน่น...รอยแผลถากๆจนเสื้อขาดวิ่นไม่ได้ทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตหากแต่พอทำให้ความเจ็บปวดแผ่ซ่านจนใบหน้าของเจ้าตัวบิดเบี้ยว...ดวงตาที่เคยแข็งขึงตอนนี้ฉายแววของความกลัวระคนตระหนกเมื่อเห็นว่าปลายมีดคมกริบยังจ่ออยู่เบื้องหน้า

"พี่ยอมแล้ว...พ่อธีร์จะเอาอะไร พี่ยอมทุกอย่าง ขออย่างเดียว...อย่าทำอะไรพี่เลยนะพ่อ"มือหยาบใหญ่ยกขึ้นโบกเคว้งคว้างทั้งยังเสียงหอบหายใจหนักที่ทำให้ผมรู้ว่าเจ้าตัวเองก็เจ็บอยู่ไม่น้อย น้ำเสียงอ่อนยวบผิดกับตอนแรกยิ่งเรียกสายตาเยียบเย็นให้มองสภาพน่าสมเพชของคนตรงหน้า


...กลัวตาย...แต่ไม่เคยนึกถึงคนอื่น...


"กูไม่ทำอะไรมึงหรอก...เพราะคนอย่างมึง ซักวันกรรมจะตามสนองเอง"ดวงตาของมันเหลือกลืมขึ้นมองอย่างลังเลว่าผมจะไม่ทำอะไรอย่างที่พูดไว้จริงหรือเปล่า


"กลับไปซะ...ให้เรื่องทั้งหมดมันจบที่นี่...แต่ถ้ามึงยังไม่จบ กูจะไปบอกเจ้าคุณเดโชพ่อของมึงถึงเรื่องชั่วๆที่มึงทำ...อยากรู้เหมือนกันว่าทั้งเรื่องหลวงพิสิษฐกับเรื่องวันนี้ พ่อของมึงยังปกป้องมึงได้อยู่มั้ย!"เสียงตวาดดังลั่นพร้อมกับปลายมีดที่พุ่งเข้าหาจนทั้งร่างของมันผวา มือหนายกขึ้นปัดป้องด้วยความตระหนก แต่ผมเพียงหยุดปลายโลหะคมกริบห่างจากใบหน้าของมันแค่คืบ


หลวงเจษฎารังสรรหอบหายใจระรัว มันรีบพยักหน้ารับคำก่อนพยายามประคองตัวเข้าไปหาลูกน้องอีกสองคนที่ยังนอนสลบอยู่ไม่ไกล




ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0




แต่เพียงเสี้ยวนาทีที่ผมหันหลัง ร่างสูงใหญ่กลับโถมเข้าหา มือหนาฉวยเข้าที่ข้อแขนแล้วออกแรงบิดจนผมร้องลั่น แรงบีบหนักหน่วงทำให้ผมเผลอปล่อยมีดพกในมือร่วงลงพื้น พร้อมกับที่คนด้านหลังยกเท้าเตะมันให้ออกห่าง  ท่อนแขนตวัดเข้ารัดรอบคอจนลมหายใจของผมสะดุด เสียงหัวเราะต่ำของมันดังก้องเมื่อเห็นว่าผมพยายามดิ้นจนสุดแรง

"คิดจะขู่ข้า...เอ็งรู้จักข้าน้อยเกินไปกระมัง"แรงผลักรุนแรงจนร่างของผมล้มลงกระแทกพื้น เป็นจังหวะเดียวกับที่มันกระโจนตามลงมานั่งคร่อมเอาไว้ มือหยาบใหญ่คว้าเข้าที่คอแล้วออกแรงบีบจนผมแทบสำลัก

"พ่อข้าเป็นถึงเจ้าพระยา เอ็งนึกว่าเพียงเรื่องอ้ายแก้วแลเพื่อนของเอ็งจะทำอะไรคนอย่างข้าได้รึ...ข้าจะบอกอะไรให้...ต่อให้ฆ่าเอ็งเสียตรงนี้ พ่อข้าก็หาทางช่วยให้ข้าพ้นผิดจนได้!"รอยยิ้มเย็นเหยียดบนมุมปากพร้อมกับแรงกดมหาศาลรอบคอจนลมหายใจของผมขาดห้วง ทำได้เพียงยกมือปัดป่ายในอากาศแล้วคว้าเข้าที่ข้อมือของอีกฝ่ายเพื่อพยายามขืนมันออก


"ป...ปล่อย..."เรี่ยวแรงของผมเริ่มหดหาย ทั้งมือที่พยายามขืนเอาไว้กลับสั่นระรัว ใบหน้าขึงขังของคนตรงหน้าจริงจังเกินกว่าจะมองเป็นเรื่องล้อเล่น...วูบหนึ่งที่ความกลัวแล่นปราดขึ้นมาพร้อมกับสติที่เลือนลางลงทุกขณะ ลมหายใจที่ขาดหายจนก่อเกิดความทรมานกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำใสไหลรื้น...ดวงตาพยายามปรือมองภาพตรงหน้าหนักอึ้งทั้งยังพร่ามัว





...ผมกำลังจะตาย...










"ไอ้ธีร์!!"

หากแต่เสียงคุ้นหูทว่าล่องลอยอยู่ไกลละลิบเรียกสติให้ผมเหลือกตาขึ้นมองอีกครั้ง


ภาพของแชมป์ที่กลับหัวกลับหางจนดูบิดเบี้ยวไม่ต่างจากร่างของมันที่ยังงองุ้มไม่เป็นปกติ...ในมือกระชับท่อนไม้ขนาดพอเหมาะเอาไว้มั่นกำลังพุ่งตรงเข้ามา



'พลั่ก!'



และก็เป็นท่อนไม้ในมือของมันที่ฟาดเข้าเสยคางของหลวงเจษฎารังสรรเต็มแรง มือหยาบหนาที่เกาะกุมตรงคอละออกพร้อมกับความทรมานที่ลอยหายไปเรียกให้ผมผวาจนลืมตาโพลง...ร่างกายหอบเอาอากาศเข้าปอดราวกับคนไม่เคยหายใจ ผมเหลือบมองภาพตรงหน้าที่พร่ามัวเพราะถูกบดบังด้วยหยดน้ำตา...ใบหน้าดุดันที่แหงนหงายเพราะแรงกระแทก...หากเพียงครู่เดียว ร่างสูงใหญ่กลับโงนเงนล้มตึงลงนอนแผ่หราบนพื้นจนเกิดเสียงดังปนกับเสียงหอบหายใจทั้งของผมและไอ้แชมป์


...แล้วทุกอย่างก็เงียบสงบ...


"ไอ้เหี้ย! ทำเพื่อนกู!"แชมป์ที่ตั้งท่าจะปรี่เข้าไปซ้ำอีกรอบกลับชะงักมือเมื่อเห็นว่าร่างสูงใหญ่ตรงหน้านอนแน่นิ่ง ดวงตาของมันเบิกโพลงราวกับคนตื่นตระหนกแต่กลับเลื่อนลอย...ผมรีบยันกายลุกขึ้นขยับเข้าใกล้ด้วยความสงสัย...เพียงแรงฟาดที่ปลายคางคงไม่สามารถทำให้คนตัวสูงใหญ่อย่างหลวงเจษฎารังสรรสิ้นสติได้


...หากไม่มี...


...หินก้อนนั้น...ที่ดันอยู่ผิดที่ผิดทางตอนที่ร่างสูงใหญ่นั้นล้มลง


...ก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นที่กระแทกเข้าที่ท้ายทอยของมันจนร่างทั้งร่างแน่นิ่ง...


"มึงอย่ามาสำออย! โดนแค่นี้ทำเป็นสลบ มึงลุกขึ้นมาสิวะ"ไอ้ตัวดีที่ไม่รู้เรื่องอะไรยังคงโวยวายจนผมต้องรีบคว้าแขนมันเพื่อเรียกสติเมื่อเหลือบไปเห็นว่าลูกน้องอีกสองคนของมันเริ่มขยับตัว...พวกมันพยายามยันกายลุกขึ้นนั่งพลางสะบัดศีรษะไปมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมลากไอ้แชมป์ให้วิ่งหนีก่อนที่พวกมันจะหันมาเห็นเข้า


สองขาที่ก้าวออกอย่างทุลักทุเลโดยทิ้งความสงสัยเรื่องหลวงเจษฎารังสรรเอาไว้เบื้องหลัง ไม่นานนักพวกผมก็มาหยุดยืนตรงท่าน้ำใหญ่หน้าตลาด เหลือบไปเห็นไอ้แชมป์หยุดยืนก้มหน้าพลางหอบหายใจจนตัวโยน ใบหน้าของมันบวมช้ำจากการถูกทำร้ายหนัก เช่นเดียวกับร่องรอยฟกช้ำตามเนื้อตัว

"กูบอกให้มึงหนีไปไง"คนถูกบ่นเพียงตวัดสายตาขุ่นเคืองขึ้นมอง มันพยายามยืดตัวขึ้นเต็มความสูงแต่เพราะความเจ็บจากบาดแผลเรียกให้มันยกมือขึ้นกุมหน้าท้องตัวเองอีกครั้ง

"ถ้ากูหนี ป่านนี้มึงตายห่าไปแล้ว!...เลิกได้มั้ยวะธีร์ นิสัยห่วงคนอื่นจนลืมตัวเองแบบเนี้ย ไม่นึกถึงกูก็นึกถึงคนอื่นที่เค้าเป็นห่วงมึงบ้างเหอะ"ไอ้ตัวดีบ่นยาวพลางหอบหายใจถี่ สีหน้าของมันโกรธจัดแบบที่ผมไม่ได้เห็นบ่อยนัก

"เออ...ขอบใจ...แล้วไอ้สองคนนั้นมันไปไหนแล้ววะ มึงรู้มั้ยว่ามันเป็นใคร"ผมเลือกที่จะไม่เถียงอะไรต่อ พอดีกับที่นึกถึงไอ้โม่งสองคนนั้นขึ้นมาได้...แชมป์เพียงแค่นหัวเราะใส่ก่อนเดินนำไปยังท่าน้ำที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีเรือพายจอดรอเทียบท่า เช่นเดียวกับร่างสูงใหญ่สองร่างบนเรือที่นั่งนิ่งราวกับกำลังรอพวกผมอยู่นาน หากแต่เมื่อเพ่งมองใบหน้าทั้งสองผ่านความมืดยามค่ำคืน ผมก็แหกปากร้องลั่นออกมาทันที



"พี่สน...ไอ้มิ่ง!"



เจ้าของชื่อรีบยกมือเป็นสัญญาณให้ผมหุบปากเสียเพราะเกรงว่าลูกน้องของหลวงเจษฏ์จะตามมาได้ยินเข้า ขณะที่ไอ้แชมป์พยายามรุนหลังให้ผมก้าวลงเรือ

"มากันได้ไงวะ"ไอ้มิ่งที่ทำหน้าที่เป็นฝีพายพยักเพยิดไปทางพี่สนที่นั่งอยู่หัวเรืออีกฝั่ง

"อ้ายมิ่งมันมาเล่าให้ข้าฟังเรื่องที่เอ็งถามหาอ้ายแช่ม มันว่าท่าทางเอ็งไม่สู้ดีนักมันเลยชวนข้าลอบตามเอ็งมา...เอ็งนี่ก็จริงเชียว กล้าออกมาพบหลวงเจษฎ์เพียงลำพัง ไม่กลัวตายบ้างหรือวะ"คำถามของพี่สนทำเอาผมเงียบลงทันที...เพียงเพราะเป็นห่วงไอ้แชมป์จนลืมนึกไปถึงเรื่องอื่น สุดท้ายเลยต้องเดือดร้อนทั้งพี่สนทั้งไอ้มิ่งที่ตามมาช่วย

"ขอบคุณพวกพี่มากนะ ถ้าไม่ได้พวกพี่ผมคงแย่"

"มาขอบอกขอบใจอะไรกันเล่า พวกเอ็งก็เพื่อนข้า มีปัญหาแล้วข้าจะไม่ช่วยได้อย่างไรวะ"มิ่งที่ประคองฝีพายรีบตอบรับ

"ว่าแต่...หลวงเจษฎ์เธอไม่อาละวาดเอารึตอนที่เอ็งไปช่วยมันออกมา"ไอ้แชมป์เพียงไหวไหล่ให้พี่สนที่นั่งประจันหน้ากันอยู่

"อาละวาดอะไร แค่โดนฟาดเบาๆเสือกสำออยสลบ สงสัยกลัวโดนหนักกว่านี้ หึหึ"เสียงหัวเราะร่วนของแชมป์ช่างต่างจากผมที่ยังนั่งเงียบ


ภาพของคนตัวสูงใหญ่ที่ล้มตึงนอนแน่นิ่งวนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง ดวงตาที่เบิกโพลงดูล่องลอยผิดวิสัย ทั้งที่น้ำหนักมือของแชมป์ไม่ได้รุนแรงหากแต่แรงกระแทกที่ท้ายทอยคงทำให้หมดสติ...ความกังวลใจก่อเกิดเพียงครู่ด้วยเพราะไม่รู้อาการของมัน...


"ธีร์..."


"อ้ายธีร์!"

เสียงเรียกของพี่สนทำเอาผมสะดุ้งโหยง หันกลับไปมองคนตัวสูงใหญ่ที่นั่งจ้องหน้าผมด้วยความสงสัย

"อะ...อะไรพี่ เรียกซะดังเลย"พี่สนแกได้แต่ส่ายหน้าปลงคงเพราะเรียกผมอยู่นานแต่ผมดันไม่สนใจ

"ข้าถามว่า...จะให้อ้ายมิ่งมันไปส่งที่เรือนเจ้าคุณไพศาล หรือจะกลับไปที่เรือนกับพวกข้า"

แต่พอเจอคำถามนี้ทำเอาความกังวลเรื่องหลวงเจษฎารังสรรลอยหายไปทันทีเมื่อนึกได้ว่ายังมีเรื่องอื่นให้กังวลมากกว่า...ผมเหลือบมองไอ้แชมป์ที่ส่งสายตาเป็นห่วงมาให้ ทั้งพี่สนกับไอ้มิ่งเองก็นั่งเงียบรอฟังคำตอบ


"กลับกับพวกพี่แหละ พรุ่งนี้ค่อยไปเรือนโน้น"หลังใช้ความคิดสักพักถึงได้หันไปบอกฝีพายที่นั่งอยู่ด้านหลัง

ก็ถ้ากลับไปเรือนเจ้าคุณไพศาลในสภาพแบบนี้ สงสัยได้โดนสอบปากคำยาวแถมด้วยคำบ่นสารพัดอีกแน่ๆ...ผมยังไม่อยากให้คนป่วยเป็นกังวล...ถึงแม้วันพรุ่งนี้ที่กลับไปจะไม่ได้โดนบ่นน้อยไปกว่ากันก็เถอะ...


.......................................โปรดติดตามตอนต่อไป...............................................



มาแบบสั้นๆหน่อยนะเจ้าคะ  :mew2:
ตอนนี้เป็นตอนที่แต่งยากที่สุดแล้วค่ะ เพราะปกติไม่ถนัดดราม่าเลยจริงๆ
(ดราม่าไม่ถนัดจีบกันทั้งเรื่องเลยได้มั้ย #เสียงจากธีร์)
จับน้องธีร์มาบู๊นิดๆพอเป็นพิธีว่าผมก็บู๊เป็นนะคร้าบ(ได้ข่าวว่ายังไม่ทันได้บู๊เลย)

ยังไงก็ฝากตอนนี้ไว้ด้วยนะคะ รักผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิม
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PURE LOVE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ดีนะที่พี่สนกับพี่มิ่งตามมาช่วย ไม่งั้นไม่อยากจะนึกเลย เฮ้อ
ไอ้หลวงเจษฎ จะตาย หรือ จะสติฟั่นเฟือนหรือเปล่านั่น
จะเป็นแบบไหน ก็ถือว่าผลกรรมตามทันนั่นแหละนะ
แต่กลัวแชมป์กับธีร์ ต้องโดนลงโทษนี่สิ  โทษหนักแน่ ๆ ด้วย กลัวจัง  :ling3:

ออฟไลน์ befol2e

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอ้ววว แจ็คพ็อต อิหลวงหื่นกามดันมาเห็นซะได้
เกือบซวยแล้วมั้ยน้องธีร์ ทำอะไรคนเดียว ไม่ยอมปรึกษาใครแบบนี้
เดี๋ยวให้พี่แก้วจับขังไว้แต่ในเรือนเลยหนิ!!
ว่าแต่บู๊กันขนาดนี้ จะมีปัญหาอะไรตามมาไหมเนี่ย?
เพราะท่าทางหลวงหื่นกามนั่นก็เจ็บไม่น้อย
พระยาเดโชไม่ยอมแน่เลย ลูกชายโดนทำร้ายขนาดนั้น

คิดถึงพี่แก้วจัง พาร์ทนี้ไม่มีบทเลย 5555
รอติดตามค่ะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
โล่งใจไปที แต่สั้นไปหน่อยอะ

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
บอกได้แค่ว่า โดนซะบ้างก็ดี

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0

ตอนที่ ๓๖...ผิดที่ใคร...



หลวงพิสิษฐยังนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะไม้สักเหมือนเมื่อสิบนาทีก่อน มือหนาจรดปลายปากกาขนนกค้างบนกระดาษเอกสารเอาไว้จนน้ำหมึกซึมเปื้อนเป็นวงกว้าง สายตาคมกริบจดจ้องทั้งยังสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ ยิ่งทำให้คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงอย่างผมรู้สึกหนาวๆร้อนๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

"เรื่องมัน...ก็เป็นอย่างที่ธีร์เล่าไป"ได้แต่ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อเมื่อถูกกดดันด้วยสายตาคู่เดิม ท่าทางเดิมๆ และความเงียบจนน่าอึดอัดที่ปกคลุมอยู่ตอนนี้

ไอ้ที่คิดไว้ตอนแรกมันไม่ได้ต่างจากความเป็นจริงเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อตอนบ่ายที่ผมกลับมาถึงชนิดที่ว่ายังไม่ทันก้าวขาพ้นประตูเรือนริมน้ำของเจ้าคุณไพศาลดี เสียงร้องดังลั่นของป้าชื่นก็ดังขึ้นทันทีที่หันมาเห็นสภาพของผม อันที่จริงก็แค่รอยฟกช้ำตรงมุมปากกับรอยถลอกตามเนื้อตามตัวนิดหน่อย แต่ป้าชื่นแกเล่นโวยวายเสียอย่างกับใครตาย พอได้ยินไปถึงชั้นบนเท่านั้นล่ะ คนป่วยที่นั่งทำงานอยู่ในห้องนอนจึงรีบผลุนผลันลงมาดู

แต่เชื่อเถอะครับว่าอาการตกอกตกใจของป้าชื่นยังไม่น่ากลัวได้ถึงครึ่งของสายตาเยียบเย็นของเขาที่มองปราดมาในครั้งแรก บรรยากาศอึมครึมที่ปกคลุมห้องนั่งเล่นจนผมได้แต่เสมองไปทางนั้นทีทางนี้ทีเพราะไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากให้ผมตามขึ้นไปบนห้องด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนน่าขนลุก ลงเอยด้วยการนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงสี่เสาหลังใหญ่ให้อีกฝ่ายจับหน้าจับตัวหมุนไปมาสำรวจสภาพจนทั่ว

แถมพอถูกคาดคั้นหนักเข้า ไอ้คำแก้ตัวที่เตรียมมาเสียดิบดีอย่างเช่นว่า 'หกล้มหน้าฟาดกับพื้นจนปากแตก' หรืออะไรเทือกนั้นเป็นอันต้องตกไปทันทีเพราะเจ้าของห้องดันตาดีสังเกตเห็นรอยช้ำรอบต้นคอของผมอีกต่างหาก...จะให้บอกว่าไปช่วยงานป้าน้อยในครัวแล้วถูกเชือกกล้วยรัดคอเอาก็ดูตลกพิลึก สุดท้ายเลยต้องจำใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังแบบเลี่ยงไม่ได้ รวมไปถึงแผนการป่วนประสาทของไอ้แชมป์ก่อนหน้านี้ที่เป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด


...แล้วทุกอย่างก็ลงเอยอย่างที่เห็น...


"เอ่อ...คุณ..."

"พี่เคยบอกพ่อธีร์ว่าอย่างไรรึ"ยังไม่ทันได้เรียก อีกฝ่ายก็แทรกขึ้นจนผมรีบหุบปากฉับ ทำได้เพียงชำเลืองมองคนตัวสูงที่ตอนนี้วางปากกาขนนกในมือเสียทีหลังจากถือมันค้างอยู่เป็นสิบนาทีได้

"ก็..."ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาเขี่ยที่นอนเล่น อาการเหมือนเด็กดื้อแล้วถูกพ่อแม่ดุไม่มีผิด


หลวงพิสิษฐพรูลมหายใจยาวก่อนผละจากโต๊ะไม้สักที่นั่งทำงานอยู่เมื่อครู่แล้วเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ใบหน้าคมเรียบเฉย ทั้งยังไม่ยอมพูดอะไรด้วยแม้สักคำทำเอาผมได้แต่เหลือบมอง พยายามนึกสรรหาคำพูดดีๆเพื่อทำลายบรรยากาศชวนอึดอัด แต่จนแล้วจนรอดก็ทำได้เพียงอ้าปากแล้วหุบฉับลงอยู่อย่างนั้นเป็นนานสองนาน

"เหตุใดถึงไม่ยอมบอกพี่"สุดท้ายก็กลายเป็นคนข้างๆที่ถามขึ้นทำลายความเงียบนั้นเสียเอง

"ธีร์ไม่อยากให้คุณหลวงเป็นห่วง แล้ว...คุณหลวงก็ยังไม่หายดี"แล้วถ้าบอกก็ได้ถูกสั่งห้ามหรือไม่ก็ขอตามไปด้วยน่ะสิ

"แลเป็นเช่นนี้พี่ไม่เป็นห่วงหรือพ่อ"

"แต่ธีร์ก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้วนี่ครับ"

"เจ็บขนาดนี้ยังว่าไม่เป็นอะไรอีกรึ!"น้ำเสียงตวัดห้วนจนผมสะดุ้งสุดตัว ดวงตาคู่สวยวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจเมื่อเขากวาดสายตามองรอยช้ำรอบต้นคอที่ตอนนี้กลายเป็นสีม่วงเข้ม ไล่เรื่อยลงมาตามเนื้อตัวที่มีแต่แผลถลอกและวกกลับมาหยุดอยู่ที่มุมปากบวมช้ำจนห้อเลือด

"จะให้พี่ขาดใจตายเสียให้ได้หรืออย่างไร"คิ้วดกหนาขมวดมุ่นเป็นปมเรียกให้ผมเอื้อมมือออกไปแตะมือใหญ่ของอีกฝ่ายทันที ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นหลวงพิสิษฐโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และครั้งนี้ที่ผมเป็นต้นเหตุเต็มๆ


ผมถอนหายใจยาวเหยียดก่อนอิงศีรษะลงบนไหล่กว้างของคนข้างๆ แรงบีบลงบนมือหนาเรียกให้อีกฝ่ายกระชับตอบกลับมาเพียงแผ่วเบา อาการ'อ้อน'ที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนักถูกนำมาใช้หากแต่ไม่ใช่การอ้อนเพราะอยากได้สิ่งของใด เพียงแค่อ้อนขอให้อีกคนคลายอารมณ์ขุ่นมัวลงเท่านั้นเอง

"แล้วคุณหลวงจะให้ธีร์ทำยังไง...เป็นคุณหลวง ถ้าเพื่อนตกอยู่ในอันตราย คุณหลวงจะไม่ไปช่วยเหรอครับ"คนถูกถามเบือนหน้าหนีไปมองนอกหน้าต่างยิ่งทำให้ใจเสีย คราวก่อนถึงจะโกรธยังไงก็ยังออกปากว่า ไม่ใช่นั่งเงียบเป็นสิบนาทีอย่างเมื่่อครู่นี้

"เรื่องเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นแต่แรกหากพ่อธีร์ไม่ดื้อดึงทำตามใจ"

"ธีร์รู้ว่าคุณหลวงโกรธ แต่ถ้าจะให้ธีร์ปล่อยคนผิดไปแบบนั้น...ธีร์ก็ทำไม่ได้"ผมอธิบาย ไม่ใช่เพื่อแก้ตัวแต่เพื่อให้เข้าใจ

"คุณหลวงไม่ให้ธีร์บอกเจ้าคุณท่าน ไม่ถือสาเอาเรื่องคนอย่างมัน ทั้งที่มันทำกับคุณหลวงขนาดนี้...แล้วจะให้ธีร์อยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลยเหรอครับ"

"แต่พ่อก็ไม่ควรทำอะไรเกินตัว หากพ่อแช่มไปช่วยไว้ไม่ทันจะเป็นเช่นไร...พ่อธีร์ไม่คิดบ้างรึ"คนถูกเถียงสวนทันควัน มือข้างที่ว่างกำแน่นอยู่บนหน้าขา ดูก็รู้ว่ากำลังข่มอารมณ์เพียงใด

"ใช่ว่าพี่ไม่โกรธไม่เกลียดเขา แต่ที่พี่ไม่ถือสาเอาความเป็นเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของพ่อธีร์ต่างหาก แลพ่อธีร์มาทำเช่นนี้ จะไม่ให้พี่โกรธพ่อได้อย่างไรเล่า"พูดเสียขนาดนี้จะให้เอาอะไรไปต่อปากต่อคำได้ ก็ในเมื่อสิ่งที่เขาว่ามามันจริงไปหมดทุกอย่าง ที่ทำได้ ก็เพียงสอดประสานปลายนิ้วเข้ากับเรียวนิ้วยาวของอีกฝ่ายแล้วเกาะกุมไว้เพียงเบาๆ



ศีรษะอิงไหล่แนบเนิ่นนานกว่าหลวงพิสิษฐจะหันกลับมามองเมื่อเห็นว่าผมไม่เถียงอะไรต่อ แว่วเสียงถอนหายใจก่อนเขาจะละมือที่ถูกเกาะกุมแล้วเปลี่ยนมาโอบรอบตัวผมเอาไว้แทน น้ำเสียงตวัดห้วนเมื่อครู่ถูกปรับให้กลับมาทุ้มนุ่มเป็นปกติ

"สัญญากับพี่ ว่าจะไม่ทำการใดที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีก"ผมเพียงพยักหน้ารับทั้งที่ยังอิงหน้าอยู่กับไหล่กว้างนั้นโดยไม่ขัดขืน ไม่แม้แต่จะโต้แย้งอะไร เพราะผมรู้ดีว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้คนข้างๆเป็นกังวลมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทั้งเรื่องที่เจ้าตัวเองต้องมาเจ็บปางตายแล้วยังเรื่องวุ่นวายที่ผมกับไอ้แชมป์ร่วมกันก่อนี่อีก

"แลหากมีอะไรต้องรีบบอกให้พี่รู้ ห้ามปิดบังเข้าใจหรือไม่"น้ำเสียงคาดคั้นหนักกว่าเมื่อครู่เพียงนิดเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาคู่สวยที่จดจ้องอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ สายตาเยียบเย็นเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเหมือนเดิมเรียกให้ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนยวบไม่ต่างกัน



"ครับ...ธีร์สัญญา"





"แลเรื่องหลวงเจษฏ์ที่พ่อธีร์เล่าให้พี่ฟัง...เขาเป็นเช่นไรบ้างรึ"ราวกับนึกอะไรได้บางอย่าง...หลวงพิสิษฐตั้งคำถามที่เรียกภาพเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฉายวนซ้ำในหัวอีกครั้ง...ภาพของคนตัวสูงใหญ่ที่ล้มครืนลงตรงหน้า ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจหากแต่แน่นิ่งจนน่ากลัว...วินาทีนั้น ผมไม่มีแม้แต่สติที่จะเข้าไปสำรวจร่างบนพื้นว่ามันยังหายใจดีอยู่หรือไม่เพราะมัวแต่เป็นห่วงกลัวว่าไอ้ลูกน้องของมันสองคนจะตื่นขึ้นมาเอาเรื่อง ทำได้เพียงทิ้งความกังวลใจเอาไว้เบื้องหลัง




"ธีร์ไม่รู้ครับ"




....................................................................................



คำตอบของคำถามนั้นมาเยือนถึงเรือนเจ้าคุณไพศาลในวันรุ่งขึ้น เมื่อตอนที่บ่าวสักคนเข้ามาแจ้งหลวงพิสิษฐว่ามีแขกมาขอพบ...ตอนแรกผมเข้าใจว่าคงเป็นผู้ใหญ่ในกรมของเขาสักคนที่มาเยี่ยมเยียนคนเจ็บเหมือนเช่นทุกที แต่เมื่อได้เห็นร่างแบบบางในชุดสไบสีหวานที่ยืนรออยู่ตรงศาลาแปดเหลี่ยมข้างเรือนกลับทำเอาหัวใจของผมกระตุกวูบ


"แม่เดือน"


เจ้าของชื่อน้อมตัวพุ่มมือขึ้นไหว้เจ้าของเรือนอย่างนอบน้อม อีกฝ่ายเองก็ยกมือรับไหว้เช่นกัน

"ไม่ได้พบกันเสียนาน คุณหลวงสบายดีไหมเจ้าคะ"

"พี่สบายดี...เชิญขึ้นเรือนก่อนเถิดแม่"ดวงตากลมโตไล่สำรวจร่างสูงโปร่งที่เบี่ยงตัวหลบเชื้อเชิญให้ตนขึ้นเรือน ก่อนระบายยิ้มบางเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอาการดีขึ้นมากจนเกือบหายเป็นปกติ

"ดิฉันคงอยู่ไม่นาน คุยเสียตรงนี้ก็ได้เจ้าค่ะ"หากแต่ท่าทีการพูดจาของเธอทำเอาผมแปลกใจไม่น้อย...ผมจำได้ว่าเมื่อพบกันครั้งแรกการพูดคุยของสองคนนี้ดูสนิทสนมกันพอตัว หรือแม้แต่ครั้งนี้ที่คนตัวสูงยังคงใช้คำแทนตัวว่า'พี่' ในขณะที่อีกฝ่ายกลับเลี่ยงไปใช้ภาษาที่ห่างเหินมากกว่านั้น

"ถ้างั้น ผมจะไปบอกป้าชื่นให้เอาน้ำมาให้นะครับ"แต่เพราะไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริง จึงทำได้เพียงขอตัวแล้วปล่อยให้ผู้มาเยือนคุยธุระกับอีกคนตามลำพัง

และผมก็คงเดินกลับขึ้นเรือนไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะเสียงหวานนั้นเรียกเอาไว้ "อยู่ด้วยกันก่อนเถิด...เรามีเรื่องต้องพูดกับพ่อธีร์เช่นกัน"


ผมชะงักฝีเท้าก่อนจะหันกลับมาสบกับดวงตากลมโตที่เพิ่งสังเกตว่ามันบวมช้ำผิดวิสัย รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆแต่ก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้...หลวงพิสิษฐเหลือบมองผมครู่หนึ่งอย่างชั่งใจก่อนเอ่ยปากถามถึงธุระของคนตัวเล็กที่ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย เพราะการที่ลูกสะใภ้คนสวยของเจ้าพระยาเดโชผู้ซึ่งไม่เคยเหยียบย่างมาที่นี่เลยสักครั้งกลับมาเยือนเรือนริมน้ำของเจ้าคุณไพศาลด้วยตัวเองย่อมไม่ใช่เรื่องปกติ

"ดิฉันมีเรื่องต้องแจ้งให้คุณหลวงแลพ่อธีร์ทราบเจ้าค่ะ......


....เรื่องหลวงเจษฎ์"


เสียงหวานเว้นจังหวะเพียงครู่ ริมฝีปากอิ่มกดเม้มเข้าหากันจนกลายเป็นเส้นตรง ทั้งยังมือขาวที่ถือกระเป๋าสานใบน้อยประสานกันไว้เบื้องหน้าบิดไปมาราวกับเจ้าตัวอึดอัดเต็มที ไม่ต่างจากตัวผมที่ยืนนิ่งแต่กลับรับรู้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงจนเผลอกลั้นลมหายใจ

"หลวงเธอ...ถูกทำร้ายอาการสาหัสเจ้าค่ะ"

ไม่ผิดจากที่คิดเมื่อคำบอกเล่าจากปากของเธอเป็นเรื่องเดียวกับที่ผมกังวลมาตลอดสองวันที่ผ่านมา...แต่ที่ว่าสาหัสน่ะ...สาหัสขนาดไหนล่ะ...หัวแตก แผลที่ถูกแทง หรือสาหัสกว่านั้น?...เหลือบมองคนตัวสูงข้างๆที่ยังมีสีหน้าราบเรียบเป็นปกติ ต่างเพียงแค่คิ้วดกหนาที่ขมวดมุ่นน้อยๆ

"เกิดอะไรขึ้นหรือแม่"

"สองคืนก่อน พ่อยศแลพ่อเชิดพาหลวงเธอกลับมาที่เรือน ดิฉันถามเท่าใดก็ไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น...บอกเพียงแต่ว่า...ถูกพ่อธีร์แลพวกทำร้ายเอาเจ้าค่ะ"

"ไม่จริง!...ผมแค่ป้องกันตัว"เสียงตวัดห้วนอย่างลืมตัว...ไอ้สองคนนั้น...สลบไม่รู้เรื่องรู้ราวยังมีหน้ามาโยนความผิดให้คนอื่น อยากรู้นักถ้ามันได้เห็นว่านายของมันทำอะไรผมไว้บ้างมันยังจะพูดแบบนี้กันอยู่ไหม

คนตัวสูงปรายสายตามองเป็นเชิงปรามให้ผมเย็นลงก่อน มือหนาวาดไพล่หลังพลางยืดตัวตรงก่อนถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเช่นเคย

"สาหัสที่แม่เดือนว่า เป็นถึงขนาดไหนหรือ"

"หมอฝรั่งที่มาดูอาการว่าลำพังบาดแผลตามตัวไม่สาหัสนัก มีก็แต่...ศีรษะถูกกระแทกรุนแรงเข้าที่สำคัญ...แลเมื่อฟื้นขึ้นมาเมื่อเช้านี้........"

ใบหน้าหวานหลุบลงต่ำพร้อมกับลมหายใจของผมที่สะดุดนิ่ง




"หลวงเธอก็ขยับตัวไม่ได้อีกเลยเจ้าค่ะ"




ราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด ร่างทั้งร่างของผมชาวาบ คำว่า'สาหัส'ที่คุณเดือนว่ามันรุนแรงกว่าที่คิดไว้ในตอนแรกมากนัก ภาพของคนตัวสูงใหญ่ที่กระโจนเข้าบีบต้นคอด้วยสีหน้าเคียดขึ้งฉายวนในความคิด แรงกดรุนแรงในตอนนั้นเรียกให้ความร้อนปร่าขึ้นมาที่รอยช้ำรอบต้นคอจนหายใจติดขัด หากแต่เพียงครู่ร่างสูงใหญ่กลับโงนเงนล้มตึง ดวงตาเหลือกลืมราวจดจ้องทว่าเลื่อนลอยว่างเปล่า สติขาดหาย


...และตื่นมาอีกครั้งเพื่อพบว่าตัวเองขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้อีกแล้ว...


...แบบนี้ต่างหากที่เรียกว่าสาหัสของจริง...


"ไม่มีทางรักษาให้หายเลยหรือ"หลวงพิสิษฐเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่น้อยเมื่อเห็นว่าดวงตากลมโตของคุณเดือนมีน้ำคลอเต็มหน่วย  หากเธอเพียงส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบแม้รู้ดีว่ากิริยาเช่นนี้เป็นการเสียมารยาทแต่เพราะไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำพูดใดได้ มือขาวยกขึ้นเกลี่ยหยดน้ำใสไม่ให้ไหลลงอาบแก้มพลางสูดหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์

"เช่นนั้น...ที่แม่เดือนมาในวันนี้..."ราวกับนึกอะไรออก ร่างสูงโปร่งขยับกายเพียงนิดแต่เพียงพอที่จะทำให้ตัวผมที่ยืนแข็งเป็นหินกลายเป็นฝ่ายอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตาคมกวาดมองรอบตัวเผื่อว่าจะมีใครตามติดคนตัวเล็กเพื่อมาพาตัวผมไป เพราะการที่ลูกชายเจ้าพระยาคนใหญ่คนโตบาดเจ็บหนักขนาดนี้ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะไม่ถือสาเอาความ ดีไม่ดีผู้เป็นพ่อจะให้คนมาลากตัวไปลงโทษก่อนจะถึงมือทางการเสียด้วยซ้ำ

คนตัวเล็กยกยิ้มน้อยๆราวกับล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่าย ร่างแบบบางเหยียดกายตรงอีกครั้ง คราบหยดน้ำตาใสถูกปัดออกจนแห้งเหือดเหลือเพียงแววตาราบเรียบจริงจัง

"ที่ดิฉันมาในวันนี้เพียงเพื่อมาแจ้งให้คุณหลวงแลพ่อธีร์ทราบ...เพลานี้เจ้าคุณเดโชตามเสด็จทูลกระหม่อมอยู่ที่เมืองจันทบุรี ตามกำหนดจะกลับถึงพระนครในอีกสามวันเจ้าค่ะ"

"แม่เดือนหมายความว่าอย่างไร"คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่นกับคำตอบที่ได้รับ หากเพียงครู่ดวงตาคมกลับเบิกกว้างเพราะคำพูดถัดมาของผู้มาเยือน


"ดิฉันอยากให้พ่อธีร์หนีไปเสียก่อนที่เจ้าคุณท่านจะกลับมาเจ้าค่ะ"


"เอ๊ะ!"แม้แต่ผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ได้แต่มองหน้าลูกสะใภ้คนสวยของเจ้าพระยาเดโชที่สบดวงตาหวานกลับมาแน่นิ่ง ไม่เหลือเค้าของหยาดน้ำตาโศกเศร้าเมื่อครู่แม้แต่น้อย

"หากเจ้าคุณท่านทราบความ พ่อธีร์คงไม่พ้นต้องโทษหนัก...ทางเดียวที่พอจะทำได้ คือพ่อธีร์ต้องหนีไปเจ้าค่ะ"

"แต่ผมไม่ได้ทำ...มันเป็นอุบัติเหตุ"ผมกลอกตาไปมาอย่างคนคิดอะไรไม่ออก จริงอยู่ที่ผมเป็นส่วนหนึ่งให้หลวงเจษฏารังสรรต้องมีสภาพอย่างที่คุณเดือนว่า แต่สิ่งที่เจ้าตัวมันทำก่อนหน้านั้นก็เรียกได้ว่าเลวร้ายไม่ต่างกัน


หากอาการในตอนนี้ของมันเรียกว่าสาหัส...สภาพของผมในคืนนั้นก็สาหัสไม่แพ้กัน


"พ่อธีร์ก็รู้ชื่อเสียงของเจ้าคุณท่านดี มีหรือที่ท่านจะยอมปล่อยให้คนที่ทำร้ายลูกชายท่านพ้นผิดโดยง่าย แม้พ่อธีร์ไม่ตั้งใจ แต่ท่านก็ต้องหาทางเอาผิดจนได้"คำตอบของคุณเดือนทำเอาผมนึกขำ ตลกสิ้นดีที่แม้แต่ในสมัยนี้คนใหญ่คนโตก็ยังมีอำนาจค้ำฟ้า ถึงขั้นว่าจะเอาผิดใครก็ทำได้โดยไม่ต้องสอบสวนหาความจริงกันเชียวหรือ และต่อให้สืบสาวราวเรื่องรู้ว่าไม่ใช่แค่ฝ่ายผมฝ่ายเดียวที่ผิด ก็ยังจะหาทางต้อนให้จนมุมจนได้เพียงเพราะอีกฝ่ายไม่สามารถลุกขึ้นมาตอบโต้อะไรได้สินะ

"พ่อยศแลพ่อเชิดเล่า ป่านนี้ไม่ร้องแรกแหกกระเชอให้เขารู้กันไปทั่วแล้วหรือ"

"คุณหลวง..."ผมตวัดสายตามองคนที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าเมื่อเห็นเขามีท่าทีเห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย แม้แต่คนเที่ยงตรงรักความถูกต้องอย่างเขายังโอนอ่อนตาม แล้วคนที่มีส่วนสร้างเรื่องแบบผมล่ะ จะเถียงอะไรได้

"เพลานี้ยังไม่มีใครล่วงรู้อาการของหลวงเจษฎ์เจ้าค่ะ ดิฉันให้บ่าวเฝ้าหน้าห้องเอาไว้แลไม่ให้ใครเข้าเยี่ยม"หลวงพิสิษฐเพียงครางเบาในลำคอราวรับคำหากแต่ไม่ตอบอะไรมากไปกว่านั้น ใบหน้าคมฉายแววครุ่นคิดหนัก ผิดกับผมที่ตอนนี้เหมือนคนพิการทางความคิดเพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มืดแปดด้าน ใครเลยจะคาดคิดว่าการแก้เผ็ดเล็กๆน้อยๆของผมกับแชมป์จะลงเอยด้วยเรื่องราวใหญ่โตอย่างที่เห็น ซ้ำยังทำให้คนข้างกายเป็นกังวลหนักกว่าเก่าทั้งที่เพิ่งสัญญากับเขาว่าจะไม่ทำอะไรให้อีกฝ่ายยุ่งยากใจอีก


ผลพวงของการกระทำและความโกรธเคืองเชื่อมต่อโยงใยตั้งแต่แรกเริ่ม จนตอนนี้กลายเป็นปมแน่นหนาที่ไม่รู้จะหาทางคลายมันออกได้อย่างไร


"แม่เดือน...หลวงเจษฐ์เป็นสามีของหล่อน เหตุใดหล่อนถึงทำเช่นนี้"คำถามของหลวงพิสิษฐไม่ต่างจากสิ่งที่ผมนึกอยู่เท่าไหร่นัก...คนเป็นภรรยาที่สามีถูกทำร้ายเสียจนสาหัสขนาดนั้น นอกจากจะไม่ถือสาเอาความ ซ้ำยังชี้ทางออกให้ตัวต้นเหตุ ไม่ว่าใครก็สงสัยด้วยกันทั้งนั้น

ทว่าคำตอบของเธอ คือรอยยิ้มลางเลือนบนใบหน้าหวานปนโศกที่ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ ดวงตากลมสวยปรายมองมาทางผมเพียงครู่ก่อนเบือนสายตากลับไปหาคนถามที่ยังยืนขวางอยู่เบื้องหน้า

"เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นดิฉันเองก็มีส่วน...หากดิฉันยอมบอกความจริงเสียตั้งแต่แรกว่าหลวงเธอคือคนร้ายที่ทำร้ายคุณหลวง เรื่องราวคงไม่บานปลายถึงเพียงนี้"

"คุณเดือนรู้..."กลายเป็นผมที่โพล่งออกไปอย่างลืมตัว

นึกไปถึงวันที่ไปเยือนเรือนเจ้าคุณเดโชหลังจากเกิดเรื่อง ร่างแบบบางมีสีหน้าอิดโรยที่หลบอยู่หลังม่านโปร่งบนห้องนอน ดวงตาหม่นที่สบกันเพียงครู่ก่อนเธอจะหลบหาย...เพราะแบบนี้ถึงไม่กล้าเผชิญหน้า...เพราะเธอรู้...ความจริงทั้งหมด

"ครานั้นเราไม่มีทางเลือกเพราะอย่างไรเสียเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นสามี...แต่ครานี้ ขอให้เราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องบ้างเถิดพ่อ"แววตาจริงจังช่างขัดกับเสียงหวานน่าฟังยิ่งนัก เห็นทีนี่จะไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายสำหรับคุณเดือนเช่นกัน เธอเสี่ยงเหลือเกินที่ทำแบบนี้...หากเจ้าคุณเดโชทราบว่าลูกสะใภ้คนสวยเป็นคนคาบข่าวมาบอกให้ผมไหวตัวทัน แทบไม่อยากนึกว่าเธอต้องเจอกับอะไรบ้าง




ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0


"ดิฉันขอคุยกับพ่อธีร์ตามลำพังสักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ"ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ ผู้มาเยือนเอ่ยขออนุญาตอีกครั้ง เหลือบมองคนตัวสูงที่มีสีหน้าเคร่งเครียดตั้งแต่เมื่อครู่ หากเขาเพียงผ่อนลมหายใจเบาแล้วรับคำ

"เสร็จธุระแล้ว ตามพี่ขึ้นไปบนห้องนะพ่อ"ริมฝีปากหยักยกยิ้มน้อยๆราวฝืนใจ ก่อนจะหันไปยกมือรับไหว้คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ใกล้ๆแล้วเดินกลับขึ้นเรือนทันที


ตอนนั้นเองที่ผมได้เห็น...ดวงตาคู่สวยของคุณเดือนที่ปรายมองตามจนกระทั่งแผ่นหลังกว้างนั้นลับหาย สายตาที่สื่อความหมายบางอย่างที่ผมเข้าใจดี


...ความอาลัย...


หากเพียงครู่ที่ร่างแบบบางหันกลับมา ใบหน้าซีดเซียวยิ่งเด่นชัดเมื่อเธอขยับเข้าใกล้ให้ผมสังเกตเห็นรอยบวมช้ำรอบดวงตา...กว่าจะปั้นแต่งสีหน้าให้เป็นปกติได้ ไม่รู้ว่าผ่านการร้องไห้มากี่ครั้งกัน

"เรามีเรื่องหนึ่งอยากขอร้องพ่อธีร์"เสียงหวานเอ่ยขึ้นเมื่อหลวงพิสิษฐลับตาไปได้ไม่นาน

"อะไรครับ"



"เราขอให้พ่อธีร์...อโหสิให้หลวงเจษฎ์เถิด"



ลมหายใจสะดุดนิ่งอีกครั้งเมื่อสิ่งที่เธอขอเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยนึกถึง ไม่สิ...ต้องเรียกว่าลืมนึกถึงไปต่างหาก...'อโหสิ' ใครๆก็พูดได้แต่ทำกันง่ายเสียเมื่อไหร่...ร่องรอยรอบต้นคอและตามร่างกายก็มีให้เห็น ไหนจะความเกลียดชังที่ฝังลึกตั้งแต่แรกเริ่มอีกล่ะ...กี่ครั้งแล้วที่ทั้งร่างกายและจิตใจถูกมันทำร้าย กี่ครั้งที่ชีวิตต้องปั่นป่วนไม่เป็นสุข แม้แต่คนรอบข้างเองก็พลอยเป็นทุกข์หนัก ทั้งแชมป์ ทั้งคนที่เพิ่งเดินจากขึ้นเรือนไปเมื่อครู่นี้

หรือแม้แต่...คนที่กำลังยืนขอร้องผมตรงหน้านี้ก็เถอะ

บางทีผมก็อยากถาม...เธอไม่เจ็บ ไม่ทรมานหรือ ที่ต้องทนอยู่กับสามีจอมอันธพาลทั้งที่เธอเองก็ไม่ได้นึกรักอะไรในตัวชายคนนั้น...แล้วตอนนี้ เธอจะดีใจบ้างไหมที่สามีผู้ซึ่งเอาแต่สร้างปัญหาต้องกลายเป็นคนพิการ ไม่สามารถลุกขึ้นมาลงไม้ลงมือแผดเสียงโวยวายใส่เธอได้อีกแล้ว

เพราะสำหรับผม สิ่งที่เกิดขึ้นแม้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าเบื้องลึกในจิตใจ ผมไม่ได้รู้สึกสงสารอะไรผู้ชายคนนั้น มันสาสมแล้วกับสิ่งที่มันทำมาทั้งหมด ทั้งกับตัวผมเองหรือใครก็ตามที่มันเคยกระทำให้คนเหล่านั้นเจ็บช้ำ


...ไม่เลยสักนิดเดียว...


"เรารู้ว่าพ่อธีร์ชังหลวงเธอนัก...แต่เพลานี้หลวงเธอก็ได้รับกรรมที่ก่อแล้ว"เสียงหวานสั่นเครือยิ่งเรียกความจำในคืนนั้นให้กลับมา...วินาทีที่ผมจรดปลายมีดจ่อเบื้องหน้าคนที่กลัวตายจนลนลาน น้ำเสียงเยียบเย็นของตัวเองที่เอ่ยกับคนชั่วหนึ่งคนอย่างไม่แยแส



"กูไม่ทำอะไรมึงหรอก เพราะคนอย่างมึง ซักวันกรรมจะตามสนองเอง"



แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากผลพวงของการกระทำของตัวเอง จะนับว่าเป็นเพราะกรรมของคนที่ก่อเอาไว้ได้ไหมนะ

"เรื่องที่เกิดขึ้น ผมเองก็ต้องขอโทษคุณเดือน...แต่ที่จะให้อโหสิ......"สายตาหลุบต่ำลงมองพื้นอย่างคนชั่งใจ...ที่ผมขอโทษ เพราะผมรู้ดีว่าต่อจากนี้ภาระหนักอึ้งในการดูแลสามีคงไม่พ้นตกอยู่ที่เธอผู้เป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียวโดยที่ผมมีส่วนก่อให้เกิดภาระนั้น...แต่เรื่องที่เธอขอร้องมันเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ทำให้ผมรู้สึกผิดเสียเมื่อไหร่

"พ่อธีร์อย่าได้เป็นกังวล เราไม่เคยถือโทษโกรธพ่อแม้แต่น้อย...แต่หากพ่อธีร์นึกอยากขอโทษ ขอให้อโหสิต่อหลวงเธอเถิด ไม่ใช่เพื่อตัวหลวงเธอแต่เพื่อตัวพ่อธีร์เองต่างหาก...อย่าให้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้กลายเป็นเวรกรรมติดตามตัวทั้งพ่อธีร์แลหลวงเธอไปในภายหน้าเลยนะพ่อ"


จนถึงตอนนี้ผมได้รู้แล้ว ว่าจิตใจของคนตรงหน้าช่างงดงามสูงส่งยิ่งนัก ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเธอไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วยแม้แต่น้อยแต่กลับต้องกลายเป็นผู้รับผลของการกระทำทั้งหมด การกระทำที่เกิดจากความอยากเอาชนะของสามีตนเอง ความเข้าใจผิด โกรธแค้น ความเกลียดชัง หรืออะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดเรื่องราวต่างๆ



"ผม..."



ความเงียบโรยตัวปกคลุมเพียงอึดใจ มือไม้ทั้งสองข้างกำแน่นจนสั่นน้อยๆ นับเป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่ายเลยสำหรับผม...หากเพียงครู่เดียวที่ตัดใจเอ่ยคำนั้นออกมาให้คนฟังพอมีรอยยิ้มบางเบาระบายบนใบหน้าโศกได้บ้าง...คำพูดที่ราวกับปลดปล่อยทุกอย่างที่สุมอยู่ในอกทั้งของตัวเองและคนรอบข้าง




"ผมอโหสิให้เขา..."



.........................................................................................




บานประตูห้องนอนถูกเปิดออกเผยให้เห็นแผ่นหลังกว้างของเจ้าของห้องที่ยืนสงบนิ่งหน้าโต๊ะไม้สักตัวงาม...เจ้าตัวสะดุ้งน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงประตูไม้ปิดลงก่อนหันกลับมามองด้วยสีหน้าลำบากใจหนักหนา สีหน้าที่ผมไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักสำหรับคนมีไหวพริบในการแก้ปัญหาได้เกือบทุกเรื่องอย่างหลวงพิสิษฐ...หากแต่ไม่ใช่เรื่องที่กำลังเกิดในขณะนี้

"แม่เดือนกลับไปแล้วหรือ"เสียงทุ้มนุ่มถามขึ้นเมื่อผมก้าวเข้าประชิดตัวอีกฝ่าย หากแต่คำตอบของผม คือการเอื้อมสองมือออกไปโอบรอบเอวของคนตรงหน้าแล้วซุกหน้าลงบนลาดไหล่กว้างราวกับกำลังหาที่พึ่งพิง

"ธีร์จะทำยังไงดีครับ"แว่วเสียงคนถูกกอดถอนหายใจยาว มือหนายกขึ้นลูบเรือนผมยาวละต้นคออย่างอ่อนโยนอย่างที่เคยทำ ก่อนวาดท่อนแขนแกร่งโอบรั้งตัวผมแนบแน่นจนไม่เหลือที่ว่างระหว่างกัน

"ธีร์ไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้น คุณหลวงก็รู้ใช่มั้ยครับ"

"พี่รู้...คนดี พี่รู้ว่าพ่อไม่ได้ตั้งใจ"ยิ่งได้ยินคำปลอบโยน มือที่โอบรอบเอวสอบก็ยิ่งสั่น ความกลัวก่อเกิดทั้งที่ไม่เคยเป็นเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของคนตรงหน้า อ้อมกอดที่คอยปกป้องดูแลแม้ตัวเองต้องบาดเจ็บเจียนตายมาแล้ว

"บอกความจริงกับเจ้าคุณเดโชท่านไม่ได้เหรอครับ บอกท่านว่าลูกชายท่านทำอะไรเอาไว้บ้าง ท่านเป็นผู้ใหญ่ น่าจะฟังความกันบ้าง"คนตัวสูงผละออกเพียงนิด มือหนายึดบ่าทั้งสองของผมเอาไว้มั่น ดวงตาคู่สวยทว่าหม่นแสงจดจ้องยิ่งทำให้ผมรู้ว่าคนตรงหน้าหนักใจเพียงใด

"คนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะพ่อ ลูกชายถูกทำร้ายถึงเพียงนี้จะให้มีกะจิตกะใจฟังความอันใดหรือ...แลยิ่งเป็นเจ้าคุณเดโชด้วยแล้ว......."ดวงตาคู่สวยหลุบลงต่ำก่อนที่เขาจะเอ่ยประโยคนั้นจบหากแต่พอให้ผมเข้าใจได้ด้วยตัวเอง...ใช่สิ...คนอารมณ์ร้อนอย่างเจ้าพระยาเดโชศรีวิศาล ผู้ซึ่งขึ้นชื่อว่ารักและตามใจลูกชายอย่างกับอะไร ลองมาเกิดเรื่องเช่นนี้เห็นทีจะมีแต่โมโหจนเลือดขึ้นหน้าไม่ฟังความใครให้เสียเวลา

"แล้วจะให้ธีร์ทำยังไง...จะให้ธีร์หนี...แล้วจะหนีไปไหน ธีร์ไม่รู้จักใครที่นี่ ไปไหนก็ไม่เป็นนอกจากเรือนนี้กับเรือนเจ้าคุณจิตรา...แล้วถ้าหนี...เมื่อไหร่จะได้กลับมา ต้องรอนานขนาดไหนกว่าเจ้าคุณท่านจะหายโกรธ ต้องไปอยู่ไกลบ้าน ไกลคนรู้จัก......ไกลคุณหลวง...อีกนานเท่าไหร่ครับ"เสียงสั่นระร่ำระลักอย่างคนหมดหนทาง ทั้งดวงตาที่กลอกไปมาราวคนไม่มีสติ หากเพียงครู่ทุกอย่างกลับสงบนิ่งเมื่อมือหนาโอบรั้งตัวผมเข้าไปแนบชิดอีกครั้ง และครั้งนี้มันหนักหน่วงจนกลายเป็นความเจ็บปวด...เพียงแต่ไม่รู้ว่าที่เจ็บคือตัว...หรือหัวใจ...เมื่อคิดว่าจะต้องจากอ้อมอกนี้ไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ได้



...จะได้พบกันอีกไหมหรือต้องจากไกลชั่วนิรันดร์...หากเป็นเช่นนั้นสู้ตายจากกันไม่ดีกว่าหรือ...



"พ่อธีร์..."เสียงทุ้มนุ่มสั่นเครือเช่นเดียวกับมือหนาที่ลูบหลังปลอบโยนแผ่วเบา ต่างจากอ้อมกอดหนักหน่วงยิ่งนัก





"...หนีไปกับพี่..."





หากแต่เป็นเพราะคำพูดสั้นๆที่ทำเอาหัวใจแทบหล่นหาย ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกปนประหลาดใจ ทำได้เพียงผละออกจากอ้อมแขนแกร่งแล้วจดจ้องดวงตาคู่สวยคู่นั้นแทน

"อ...อะไรนะครับ"แม้เสียงของตัวเองยังสั่นไม่ต่างกัน มือหนาเข้าประคองข้างแก้มอ่อนโยน ที่หากเป็นเวลาปกติคงหวานแสนหวาน ไม่หวานปนขื่นอย่างที่รู้สึกอยู่เช่นนี้

"หนีไปกับพี่ก่อนที่เจ้าคุณเดโชท่านจะทราบความ พาพ่อแช่มไปเสียด้วยกัน"น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังเกินกว่าจะฟังเป็นเรื่องล้อเล่น เสี้ยวหนึ่งของความคิด ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านยากจะหาคำใดมาอธิบาย ผิดกับอีกเสี้ยวหนึ่งที่ความกังวลใจเกาะกินจนเหลือจะกล่าว

"ต...แต่คุณหลวงยังไม่หายดี...แล้วยังงานของคุณหลวงอีก"ดวงหน้าคมส่ายไปมาราวกับต้องการปัดเป่าความกังวลใจให้หายสิ้น ริมฝีปากหยักฝืนยิ้มอ่อนโยนกว่าครั้งไหน...อ่อนโยน...จนแม้แต่คนได้มองยังนึกเจ็บ

"ลืมคำพี่แล้วหรือคนดี...พี่จะไม่ยอมปล่อยมือนี้ หากพ่อธีร์ไม่เอ่ยปาก"มือหนาประคองซ้อนมือของผมก่อนใบหน้าคมโน้มลงจรดริมฝีปากหยักบนหลังมือเพียงแผ่วเบา...คำพูดย้ำเตือนคำสัญญาในคืนนั้นหนักแน่นชัดเจนเสียเต็มตื้นจนแทบล้น ดวงตาร้อนผะผ่าวกลั่นทั้งอารมณ์และความรู้สึกรวมตัวเป็นหยดน้ำใสรื้นรินโดยรอบ...เพียงหยาดเดียวที่ร่วงหล่น ปลายนิ้วหัวแม่มือที่คอยประคองกลับปัดป่ายให้เหือดหาย

"ขอเพียงได้อยู่กับพ่อธีร์ ให้พี่ไปอยู่ที่ใด ทำอะไร หรือให้เจ็บเจียนตายพี่ก็ทนได้"หากเพียงหยาดเดียวยังไม่เพียงพอ สายน้ำตาร่วงหล่นลงพร้อมเสียงสะอื้นหนักและความอบอุ่นของหน้าอกกว้างที่โผเข้าหา มือหนาที่ลูบหลังปลอบโยนกลับไม่ช่วยให้ดวงตาที่ร้อนผ่าวแห้งเหือดกลับยิ่งเปียกปอนจนชุ่มไปถึงเสื้อผ้าป่านเนื้อบางของอีกฝ่าย...ความรู้สึกผิดเกาะกินจิตใจยิ่งกว่าตอนที่ได้ฟังข่าวร้ายจากปากของคุณเดือน...ผิดที่ทำให้เขาต้องเป็นทุกข์...ผิดที่การกระทำแต่กลับกลายเป็นเขายังคอยยื่นมือมาประคองเอาไว้ยามใกล้ล้ม...ผิดเหลือเกินที่เขาให้ความสำคัญกับคนธรรมดาคนหนึ่งมากขนาดนี้


...ผิด...จนนึกเห็นแก่ตัวไม่อยากปล่อยอ้อมกอดนี้ให้ห่างตัวอีกเลย...



"แล้วจะไปเมื่อไหร่ครับ"คำถามของคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งยามถูกอ้อมแขนแกร่งตระกองกอดเอาไว้แนบอก

"วันพรุ่งกลับไปลาคนที่เรือนโน้นเสีย...เราจะออกเดินทางกันตอนค่ำ"

วินาทีนั้น...ผมไม่รู้หรอกว่าต้องออกเดินทางไปที่ไหน...ไปอยู่ที่ใด...ต้องลำบากลำบนมากน้อยขนาดไหน...รู้เพียงแต่ว่า หากยังมีคนในอ้อมแขนนี้อยู่เคียงข้าง ต่อให้ต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลอีกกี่ร้อยกี่พันเส้นทาง



...ผมก็ยอม...



........................................โปรดติดตามตอนต่อไป.......................................


ตอนหน้าจบแล้ว(มั้ง)คะ  :-[

ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามกันเหมือนเดิม
รักผู้อ่านทุกท่านเสมอค่ะ :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-02-2015 12:02:00 โดย Vivid_Vuitton »

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
จะจบแบบไหนเนี่ย หวังว่าน้ำตาคงไม่ท่วมจอนะ
ขอสมน้ำหน้าไอ้คุณเจษ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :hao5: จะจบแบบไหนหนอ  :m31: ชังน้ำหน้านักบ้านนั้นสร้างปัณหาให้ตลอด จะให้ธีร์กับเพื่อนอยู่ที่นี้อย่างสงบสุขไม่ได้หรือไร

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
จะจบแล้วเหรอ อย่าจบแบบเศร้ามากนะคะ สงสารพี่แก้ว สงสารพ่อธีร์ พ่อแชมป์ สงสารคนอ่านด้วย

ตอนนี้ถ้าเลือกหนีจริงก็เสียดายคนดีๆแทนที่จะได้ช่วยชาติ  แต่ถ้าไม่หนีก็จะสู้อำนาจพระยาได้เหรอ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด