Chapter VIII...แรกเริ่มของความรู้สึก
"เหนื่อยมั้ยมึงงงงง"เสียงกวนของไอ้แชมป์เอ่ยขึ้น...ผมที่กว่าจะกลับมาถึงเรือนก็มืดเสียแล้ว แถมตอนกลับมาถึงยังเดินกลับไปเรือนบ่าวหน้าตาเฉย จนไอ้มิ่งกับพี่สนต้องเตือนสติให้อีกรอบว่าตอนนี้แกช่วยกันย้ายของผมกับไอ้แชมป์ขึ้นไปบนเรือนเรียบร้อย...แต่ผมก็ยังไม่ค่อยชินอยู่ดี
"ไม่เหนื่อย แต่โคตรง่วง...เห็นแต่ตัวหนังสือจนตาลาย"ผมตอบไอ้แชมป์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง...เจ้าคุณให้พวกผมมาอยู่ที่ห้องของคุณดาวเรืองลูกสาวคนโต เพราะเธอแต่งงานย้ายออกไปตั้งแต่ต้นปี ส่วนเจ้าคุณแกไปนอนที่ห้องหนังสือเพราะคุณพิกุลเธอไปนอนกับคุณหญิงสร้อยแทน
"เหมือนกูเลยว่ะ...ทั้งอังกฤษทั้งฝรั่งเศส...ดีนะกูยังคืนอาจารย์ไปไม่หมด"ไอ้ตัวดีว่า ในมือมันยังถือหนังสือภาษาฝรั่งเศสที่เจ้าคุณให้กลับมาอ่านเป็นการบ้าน
"อย่ามาเนียนครับเชี่ยแชมป์...มึงลงมานอนข้างล่างนี่"ผมหันไปเห็นไอ้แชมป์มันทิ้งตัวลงบนเตียงสี่เสาต่อหน้าต่อตา
"มาก่อนได้ก่อนเว้ย...มึงแหละนอนข้างล่าง วันนี้กูทำงานเหนื่อย"
"เหนื่อยเชี่ยไร แค่ตื่นเช้าเดินขึ้นเรือน กูนี่ต้องนั่งเรือไปกลับเป็นชั่วโมงๆ"ผมบ่นไปงั้น เพราะจริงๆแล้วการได้นั่งเรือชมความงามของสองฝั่งแม่น้้ำไม่ได้ทำให้ผมเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
"เหนื่อยนักก็นอนเรือนโน้นดิ จะกลับมาแย่งเตียงกูทำไมวะ"มันพูดลอยๆพลางนอนกระดิกเท้าอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์
"บ้านกูซะที่ไหนครับสัส"เดินไปโบกหัวมันสักรอบ โทษฐานทำหน้ากวนประสาท
"นี่ก็ไม่ใช่บ้านมึงเหมือนกัน"
"แล้วนี่มันบ้านมึงเหรอ"ยังเถียงต่อ
"ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง"มันหันมายิ้มกรุ้มกริ่มใส่ผม ผมรู้ทันทีว่ามันหมายถึงอะไร
"ถุ้ยยยย ปากดี"
"ฮ่าๆ กูล้อเล่น...มาๆนอนด้วยกันนี่แหละเตียงออกจะกว้าง"มันว่าพลางกระเถิบตัวหลบไปอีกทาง ตบเตียงปุๆให้ผมไปนอนด้วย
"มึงชอบนอนถีบกูอ่ะ"ไอ้แชมป์นี่ตัวนอนดิ้นเลยครับ ขนาดเตียงห้องผมที่น้องๆคิงไซส์ นอนด้วยกันสองคนมันยังสามารถถีบผมตกเตียงได้
"กูไม่ถีบแล้ว มาๆ นอนได้ละ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไม่ใช่เหรอไง"ขี้เกียจเถียงกับมันต่อ เลยทิ้งตัวลงบนที่ว่างบนเตียงอีกฝั่งแทน
"แชมป์"ผมเรียกชื่อคนข้างๆ...มันละสายตาจากหนังสือตรงหน้ามามอง
"เมื่อคืนกูฝันถึงอานิด"ผมเล่าสั้นๆ...ภาพอานิดที่ฟุบหน้าลงร้องไห้บนโต๊ะนั้นผมยังจำได้ดี
"กูรู้มึงคิดมาก...แต่เราทำอะไรไม่ได้ตอนนี้...เพราะงั้นทำใจให้สบายซะ...อานิดแกไม่เป็นไรหรอก"ไอ้แชมป์วางหนังสือลงบนโต๊ะหัวเตียงใกล้กับตะเกียงที่ให้แสงสว่างแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆ
"ผมมึงยาวละนะ ให้ใครตัดให้หน่อยดีมั้ยวะ แม่งอย่างกับผู้หญิง เดี๋ยวกูนอนๆอยู่เผลอปล้ำทำไงวะเนี่ย"แล้วดูมัน เข้าโหมดซึ้งได้ไม่ถึงสองนาทีกวนประสาทกูอีกจนได้
"สัส! ยาวยังไงกูก็ยังหล่อเว้ย ไม่เกรียนเหมือนมึง หึหึ"ผมปัดมือมันทิ้งก่อนจะเสยผมให้เข้าที่เข้าทาง...จะว่าไปมันก็ยาวขึ้นมากจริงๆ ด้านหลังผมแทบจะรวบเป็นหางม้าสั้นๆได้แล้ว
"สบายหัวจะตาย แทบไม่ต้องสระผม"แล้วมันยังประจารความโสโครกของตัวเองให้ผมฟังอีก
"พอๆ นอนได้ละมึง...กูง่วงงงง"ผมผลักหัวเกรียนๆของมันที่พยายามยื่นเข้ามาไถใกล้ๆจมูกไปอีกทาง
"แชมป์"
"เมื่อกี้ใครมันบอกจะนอนวะ"เจ้าของชื่อที่นอนตะแคงหันหลังให้ผมอยู่พลิกกลับมาถาม
"มีไรว่ามาอย่ามาลีลา"
"กูดีใจว่ะ ที่มีมึงอยู่ที่นี่กับกู"ผมเห็นหน้ามันนิ่งไปเล็กน้อยไม่ต่อปากต่อคำเหมือนปกติ
"ถ้ากูต้องมาที่นี่คนเดียวกูคงไม่รู้จะทำไง"นั่นเป็นคำสารภาพจากใจของผม...แชมป์รู้จักผมดีกว่าใคร การที่ผมจะยอมแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นแทบเป็นไปไม่ได้...ทุกคนรู้จักชลนธีร์ที่เข้มแข็ง...ดูแลตัวเองได้...และไม่เคยขอความช่วยเหลือใคร แม้แต่อาแท้ๆของตัวเอง...มีแต่มัน...ที่เคยเห็น...ถึงผมจะแสดงออกไม่บ่อยนัก แต่มันก็รู้ดี
"อย่ามาทำเสียงอ่อย มึงมันเก่ง ไม่มีกูมึงก็อยู่ได้"มันตอบเสียงเรียบ ราวกับพยายามให้กำลังใจ
"เออกูรู้...แต่มันก็ดีกว่า หึหึ"
"นอนครับนอน...ชวนกูคุยอยู่ได้ จะได้นอนกันมั้ยวันนี้"มันว่าพลางดึงผ้าห่มไปทั้งผืนแล้วนอนหันหลังให้ผมเหมือนเดิม...ผมได้แต่หัวเราะอาการ-เขิน-ของมันก่อนจะหลับตาลงบ้าง...พรุ่งนี้ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะเลยนะไอ้ธีร์...
.
.
.
.
...เช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องอาศัยมิ่งพายเรือไปส่งที่บ้านเจ้าคุณไพศาลเหมือนเคย...วันนี้พี่สนแกไม่ว่างเพราะต้องออกไปช่วยป้าน้อยถือของที่ตลาดแต่เช้า...
"เหนื่อยไหมวะอ้ายธีร์...เอ้ย พ่อธีร์"มิ่งถามขึ้นด้วยความสับสนในสรรพนามทำเอาผมหัวเราะออกมาเบาๆ
"เรียกเหมือนเดิมก็ได้มิ่ง...ผมก็ยังเป็นไอ้ธีร์คนเดิมนั่นแหละ"ผมที่ยังนั่งชมธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำหันไปบอกมันที่ได้แต่ยกมือลูบหัวตัวเองแก้เก้อ
"มันจะมิงาม...ข้าเป็นบ่าว"
"ผมก็ไม่ได้มียศอะไรมากไปกว่ามิ่งหรอก...เรียกเหมือนเดิมเถอะ ยังไงมิ่งก็เป็นเพื่อนผมคนหนึ่งนะ"ผมหันกลับไปยิ้มให้คนตัวใหญ่ที่พายเรืออยู่ด้านหลัง...เจ้าตัวเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
ฝีพายของมิ่งดูจะคล่องแคล่วกว่าพี่สน เพราะใช้เวลาเพียงไม่นานจากเรือนเจ้าคุณจิตรา มิ่งก็พาเรือมาจอดเทียบท่าเรือนเจ้าคุณไพศาลเสียแล้ว...จะต่างจากเมื่อวานก็ตรงที่...คนที่มารอรับผมวันนี้ไม่ใช่บ่าวผู้หญิงคนเดิม...แต่เป็นคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ท่าน้ำนี่ต่างหาก!
"สวัสดีขอรับคุณหลวง"มิ่งยกมือไหว้คุณหลวงหนุ่มที่ละสายตาจากหนังสือตรงหน้าเมื่อเห็นเรือของผมมาเทียบท่า...วันนี้หลวงพิสิษฐสวมเสื้อสีขาวเหมือนเคย ต่างแค่กางเกงผ้าแพรมันวับสีน้ำเงินเข้ม
"อ้ายสนไม่ได้มารึวันนี้"หลวงพิสิษฐเอ่ยถาม
"อ้ายสนไปตลาดกับป้าน้อยขอรับ...กระผมขอตัวกลับก่อนนะขอรับ"ว่าพลางยกมือไหว้
"ขอบคุณนะมิ่ง"ผมที่ตอนนี้ขึ้นมายืนริมท่าน้ำเรียบร้อยเอ่ยขอบคุณ มิ่งหันมายิ้มรับก่อนจะแจวเรือกลับไปทางเดิม
"หิวหรือไม่"แล้วนี่มันช่างเป็นคำทักทายที่ไพเราะเสนาะหูและเหมาะสมอะไรเช่นนี้...ผมประชดครับ...ไม่มีอรุณสวัสดิ์อะไรทั้งนั้นเลยหรือพ่อคุณ
"ทานมาแล้วครับ"ผมตอบกลับ
"วันนี้ดูแปลกตาไปนะพ่อ"พูดพลางเหยียดยิ้มบางๆที่ผมรู้สึกว่ากวนพิลึก...แน่ล่ะสิ ก็วันนี้ผมแต่งตัวเหมือนคนบางคนแถวนี้ไม่มีผิด เพราะเจ้าคุณจิตราเพิ่งให้บ่าวเอาเสื้อผ้ามาให้เมื่อคืน ท่านว่าเห็นผมกับไอ้แชมป์ใส่แต่ชุดเดิมๆเกือบทุกวัน...แต่ผมก็ยังหนีบแตะคู่ใจมาอยู่ดี เพราะมันใส่สบายกว่า
"แล้วจะมองอีกนานไหมพ่อ"เมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องไม่เลิกเลยสวนกลับด้วยภาษาโบราณเสียเลย...เจ้าตัวเลยได้แต่หัวเราะเบาๆก่อนจะหันไปหยิบหนังสือที่อ่านทิ้งไว้เมื่อครู่
"อ่านอะไรอยู่ครับ"ถามไปอย่างนั้น ก็คงจะเป็นเรื่องการบ้านการเมืองเหมือนเคย
"รามเกียรติ์น่ะ"ห้ะ! อารมณ์ไหนของเขา
"คุณหลวงนี่สนใจหลายเรื่องจริงนะ"พูดพลางเดินตามคนตัวสูงกว่าเข้าไปในเรือน
"อยู่ว่างๆ หยิบฉวยอะไรได้ก็เอามาอ่าน"ตอบกลับเสียงเรียบเหมือนเคย
"พ่อรู้หรือไม่ว่านางสีดาเป็นธิดาของทศกัณฑ์"
"เฮ้ย จริงดิ!"ความรู้ใหม่ที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนทำเอาผมเผลอร้องเสียงดัง
"จริงสิ...ตอนแรกเกิด ภิเภกทำนายว่านางสีดาจักนำภัยพิบัติใหญ่หลวงมาสู่วงศ์ยักษ์ ทศกัณฐ์จึงสั่งให้นำนางสีดาใส่ผอบลอยน้ำไป...เมื่อกลับมาพบกันอีกคราทศกัณฐ์ไม่รู้ว่านางสีดาเป็นธิดาจึงเกิดหลงรัก กลายเป็นเรื่องราวตามหนังสือ"ผมไม่รู้ว่าควรทึ่งกับเรื่องราวของรามเกียรติ์หรือความรู้รอบตัวของคนเล่าเรื่องดี...อยากจะถามเหลือเกินว่าวันๆอ่านหนังสือสักกี่เล่ม
"แล้วคุณหลวงชอบตอนไหนในเรื่องที่สุด"ตอนนี้ผมเข้ามาถึงห้องทำงานห้องเดิม แล้วก็ต้องสะดุดตาเข้ากับเก้าอี้หวายที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะทำงานของหลวงพิสิษฐ...เมื่อวานยังไม่มีเลยนี่
"เมื่อวานเห็นพ่อนั่งกับพื้นดูท่าไม่ค่อยสบายนัก เลยให้บ่าวยกเก้าอี้มาให้ จักได้ไม่เมื่อยตัว"รอยยิ้มหวานเช่นเคย ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะทำงานตามเดิม...ผมเลยทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หวายข้างๆพลางเอื้อมมือหยิบเอกสารสองสามแผ่นบนโต๊ะขึ้นมาดู
"เมื่อครู่พ่อถามว่าเราชอบตอนใดในเรื่องรึ..."ผมละสายตาจากตัวหนังสือตรงหน้าขึ้นมอง ก่อนที่หลวงพิสิษฐ์จะร่ายบทกลอนในหนังสือโดยที่ไม่ต้องหยิบมันขึ้นมาอ่านแม้เพียงตัวอักษรเดียว...
“สุดเอยสุดสวาท โฉมประหลาดล้ำเทพอัปสร
ทั้งวาจาจริตก็งามงอน ควรเป็นนางฟ้อนวิไลลักษณ์
อันซึ่งธุระของเจ้า หนักเบาจงแจ้งให้ประจักษ์
ถ้าวาสนาเราเคยบำรุงรัก ก็จะเป็นภักษ์ผลสืบไป
ตัวพี่มิได้ลวนลาม จะถือความสิ่งนี้นี่ไม่ได้
สาวสวรรค์ขวัญฟ้ายาใจ พี่ไร้คู่จะพึ่งแต่ไมตรี”
.
.
...ผมนั่งฟังคุณหลวงหนุ่มร่ายกลอนยาวจนได้แต่กระพริบตาปริบๆ...ถึงผมเองไม่ได้มีความรู้เรื่องวรรณคดีหรือบทกลอนเหล่านี้มากมายนัก...แต่บทที่หลวงพิสิษฐร่ายให้ฟังมันช่างเพราะเสียเหลือเกิน
"พ่อธีร์"เสียงนุ่มเรียกอีกครั้งปลุกผมจากภวังค์...สะดุ้งโหยงหันไปมองคนข้างๆ
"ห้ะ"
"เป็นอะไร หน้าแดง ไม่สบายรึ"ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมต้องถอยหนี...หน้าแดง?...ผมเนี่ยนะหน้าแดง
"ปะ เปล่าครับ!...ละ แล้วทำไมคุณหลวงถึงชอบบทนี้ล่ะ"ผมรีบเปลี่ยนเรื่องถามกลับตะกุกตะกัก
"ก็มันตลกน่ะซี...บทนี้ยักษ์นนทกใช้เกี้ยวพระนารายณ์ที่จำแลงลงมาเป็นนางอัปสร...สงสารเจ้ายักษ์ช่างโง่เสียจริง"ไอ้เราก็นึกว่าชอบเพราะเป็นบทจีบสาว...ที่แท้ชอบเพราะตลกในความโง่ของตัวละครเสียงั้น
"เจ้าบทเจ้ากลอนแบบนี้ สาวๆหลงแย่นะครับคุณหลวง"ได้ทีเลยแซวกลับบ้าง เห็นนิ่งๆแบบนี้แต่เจ้าสำบัดสำนวนนัก..สงสัยสาวๆในพระนครคงติดใจกันเป็นแถว
"เรารึ...ไม่หรอก...ทำแต่งานใครเขาจักมาแล"มีตัดพ้อต่อว่าด้วยเว้ย
"อ้าว แล้วคุณพิกุลล่ะ เห็นใครๆเค้าก็ว่า..."
"ว่ากระไรรึ"ยังไม่ทันพูดจบประโยคดีคนตัวสูงก็ขัดขึ้นเสียก่อน
"ก็ว่าคุณหลวงกับคุณพิกุลเป็นคู่หมายกันน่ะสิ"ผมอ้อมแอ้มตอบ...แต่อีกฝ่ายได้แต่ขมวดคิ้วแน่น
"มิใช่หรอก...พ่อก็อย่าพูดไป ใครมาได้ยินเข้าแม่พิกุลเขาจะเสียหาย"ว่าพลางจรดปากกาบนกระดาษเพื่อคัดลอกเอกสารต่อ...ดูท่าทางแปลกพิกลเวลาพูดถึงเรื่องคุณพิกุล แต่ผมไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
.
.
.
.
"นี่แผ่นสุดท้ายแล้ว"หลังจากใช้เวลาในห้องทำงานตั้งแต่เช้าจนเกือบบ่าย...หลวงพิสิษฐก็ยื่นกระดาษอีกแผ่นมาให้ผมดู
"เสร็จหมดแล้วเหรอ"ผมตรวจทานตัวอักษรบนแผ่นกระดาษนั้นพลางถามขึ้น
"ยังหรอก...เดี๋ยววันพรุ่งค่อยทำต่อ"เจ้าตัวเอ่ยขึ้นก่อนจะวางปากกาขนนกลงที่เดิม
"อ้าว ทำต่อก็ได้นะคุณหลวง"ผมวางกระดาษแผ่นเดิมลงบนโต๊ะ ไม่มีอะไรต้องแก้ไข
"กลัวพ่อธีร์เบื่อ...ขลุกอยู่แต่ในห้องทำงานเสียตั้งแต่เช้า"แล้วจะมายิ้มพร่ำเพรื่อให้ผมทำไมล่ะนี่
"ไม่เบื่อหรอกครับ...เจ้าคุณจิตราให้มาทำงาน ผมก็ต้องมาทำงานสิ"ผมส่ายหน้าตอบ
"ออกไปนั่งที่ศาลาริมน้ำเป็นเพื่อนเราก่อนแล้วค่อยกลับมาทำต่อก็แล้วกัน...เราเมื่อยมือเสียแล้ว"สรุปที่เลิกทำไม่ใช่เพราะกลัวผมเบื่อ แต่เพราะเจ้าตัวเมื่อยนี่เอง...แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก
"ขี้เกียจก็บอกมาเถอะคุณหลวง หึหึ"ผมเลยแซวกลับบ้าง...อย่างคุณหลวงพิสิษฐก็มีช่วงเวลาขี้เกียจกับเขาเป็นเหมือนกัน
"ดูว่าเข้า...เรานั่งคัดหนังสือตั้งแต่เช้าตั้งไม่รูู้กี่หน้า เราก็เหนื่อยเป็นนะ"แล้วไอ้น้ำเสียงตัดพ้อต่อว่านี่มันคืออะไรครับ
"ใช่สิ งานผมมันสบายจะตาย แค่นั่งตรวจทานที่คุณหลวงเขียน"เทียบกับผมแล้ว งานคุณหลวงหนักกว่ามากจริงๆ เพราะผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากตรวจทานตัวอักษรและคำแปล ส่วนเวลาที่เหลือก็เอาแต่นั่งอ่านหนังสือเล่มอื่นไปพลางๆ
"เรามิได้ว่าพ่อธีร์เสียหน่อย ทำเป็นใจน้อยไปเสียได้"ว่าพลางลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วจัดแจงกองเอกสารบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ
'ก็ถ้าลายมือกูดีก็คงช่วยเขียนไปแล้วล่ะเว้ย'ผมบ่นงึมงำกับตัวเอง...ลายมือของผมนี่เข้าขั้นวิบัติ อย่างเวลาเข้าเรียนจดเลคเชอร์มาต้องเอามานั่งเขียนอีกรอบให้เป็นระเบียบ ไม่อย่างนั้นตอนสอบแม้แต่ลายมือตัวเองก็อ่านไม่ออก
"มิต้องช่วยเขียนหรอก...แค่ช่วยดูให้เราก็ขอบใจมากแล้ว"อุตส่าห์บ่นคนเดียวก็ยังจะได้ยินอีก...หูดีไปแล้วนะคุณหลวง
"ไปเถิดพ่อ...พักสายตาเสียบ้าง"ว่าพลางหันมายกยิ้มบางๆให้...ผมชอบมองเวลาแกยิ้ม...ทั้งๆที่หน้าออกเข้ม เวลาอยู่เฉยๆดูเหมือนดุ แต่พอยิ้มกลับดูอ่อนโยน...
....แล้วนี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่?!...
ผมเดินตามหลวงพิสิษฐมาจนถึงศาลาแปดเหลี่ยมสีขาวหม่นที่ตั้งอยู่ริมน้ำ...ตรงกลางมีโต๊ะไม้สีเดียวกันตั้งอยู่...ริมศาลามีบันไดทอดลงไปที่่ท่าน้ำเล็กๆ...ศาลานี้ตั้งอยู่อีกฟากของเรือน คนละฝั่งกับท่าน้ำใหญ่ที่ผมใช้เป็นประจำ
"ไหนว่าจะพักสายตาไงครับคุณหลวง"คนที่ชวนผมออกมาพักสายตาตอนนี้กลับหยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมาเปิดอ่านเสียอย่างนั้น
"พักสายตาจากเอกสาร...มิได้บอกว่าพักสายตาจากการอ่านเสียหน่อย...อีกอย่างเราบอกว่าเมื่อยมือ มิได้เมื่อยตา"เผื่อคุณผู้อ่านยังไม่ทราบ...ผมจะได้บอกไว้ ณ ที่นี้เลยว่า ไอ้คุณหลวงนี่มัน ที่สุดของความ...กวนตีนหน้านิ่ง...
"เป็นอะไรรึพ่อ...เงียบเชียว"อยากจะด่าแต่ด่าไม่ถูก ก็เลยได้แต่เงียบอย่างนี้ไงล่ะ
"เมื่อวานว่าจักให้เล่าให้เราฟังว่าพ่อมาจากที่ใดก็ลืมเสีย มัวแต่สอนหนังสือเจ้าพวกนั้น"คนตัวสูงยังคงพูดต่อโดยไม่ละสายตาจากหนังสือตรงหน้า
"ว่าอย่างไร"แล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นมาถาม...ไอ้เราก็นึกว่าแค่ถามลอยๆเห็นมัวแต่สนใจกับหนังสือเล่มหนาอยู่
"แล้วจะฟังหรือจะอ่านล่ะพ่อออออ"กวนมาก็กวนกลับ...อีกฝ่ายไดัแต่หลุดขำออกมาก่อนจะวางหนังสือในมือลง
"ฟังสิ...มิเช่นนั้นจะถามหรือ"ยกยิ้มมุมปากให้ผมอีกสักที
"ที่ๆผมอยู่ เค้าเรียกว่ากรุงเทพ..."ผมเริ่มเล่า พยายามเลี่ยงประเด็นเรื่องย้อนเวลาเพราะถึงพูดไปอีกฝ่ายก็คงไม่เชื่อ แถมจะพาลว่าผมสติไม่ดีไปเสียอีก ผมเห็นคนตัวสูงขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้ถามอะไร
"กรุงเทพเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย...เป็นเมืองที่เจริญก้าวหน้าทุกอย่าง...เรามีไฟฟ้า...มีน้ำประปา...คลองบ้านเราไม่ได้ใสแจ๋วเหมือนคลองที่นี่...น้ำสีดำเหมือนถ่านแถมยังมีกลิ่นเหม็น"ผมเห็นคนฟังยิ่งขมวดคิ้วหนักเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมเล่า
"เรามีเทคโนโลยี...เวลาจะไปไหนมาไหนเราก็ไม่ได้ใช้เรืออย่างเดียว แต่เราใช้รถยนต์ด้วย..."
"ที่ที่พ่อธีร์อยู่มีรถยนต์ด้วยรึ...เราเคยเห็นเมื่อครั้งไปศึกษาที่ต่างประเทศ"คนฟังถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
"ช่ายยยย...แล้วก็มีรถไฟที่วิ่งบนฟ้า"ผมว่าพลางกลั้นหัวเราะ พยายามทำหน้าจริงจังเต็มที่เมื่อเห็นคนฟังทำหน้าประหลาดพิกล
"รถไฟอะไรวิ่งบนฟ้าได้"
"ก็รถไฟฟ้าน่ะสิ..."ผมหัวเราะเบาๆกับสีหน้าของอีกฝ่าย
"แล้วประเทศไทยนี่มันอยู่ส่วนไหนรึ"คนตัวสูงยังคงมีคำถาม...ผมก็อยากตอบเหลือเกินว่ามันก็อยู่ตรงนี้นี่แหละ
"อยู่ไม่ไกลจากที่นี่หรอก"แต่ต้องเลี่ยงตอบอย่างเสียไม่ได้
"แล้วพ่อธีร์ชอบที่ใดมากกว่ากัน...กรุงเทพหรือพระนคร"คำถามนี้ทำเอาผมนิ่งสนิท...นั่นสิ ผมชอบที่ไหนมากกว่ากัน ระหว่าง...กรุงเทพ...โลกที่ผมอยู่...โลกของความสะดวกสบาย โลกที่มีเพื่อน มีแฟน มีครอบครัว มีคนรู้จัก...แต่ก็เป็นโลกของความเห็นแก่ตัว แก่งแย่งชิงดี โลกแห่งความรีบเร่ง โลกที่หมุนเร็วในทุกวินาทีอย่างไม่มีวันหยุด...หรือ...พระนคร...โลกที่ผมไม่รู้จักใครสักคนนอกจากไอ้แชมป์...แต่กลับเงียบสงบ...โลกที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนผมก็เห็นแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง...โลกที่แม้แต่คนไม่รู้จักกันก็ยังยิ้มและทักทายให้กัน...โลกที่ไม่ต้องรีบเร่งอะไรสักอย่าง...เพราะที่นี่ -เวลา- ไม่ใช่ปัจจัยในการดำเนินชีวิต
"ว่าอย่างไร"คนตัวสูงเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเงียบไป...กำลังรอฟังคำตอบ
"ก็คง...ชอบทั้งสองที่มั้ง"
"แล้วกัน...เลือกไม่ได้หรอกรึ"
"ไม่ได้หรอก...เพราะมันไม่เหมือนกันเลย"อย่างที่ผมว่า...สองโลกนี้ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว...ทั้งๆที่มันคือสถานที่เดียวกัน...ต่างแค่เวลาเพียงร้อยปีที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม...
"เราอยากไปกรุงเทพเสียจริง...อยากเห็นรถไฟที่วิ่งบนฟ้า"คำพูดของคุณหลวงทำเอาผมหัวเราะลั่น
"ขำอะไร...ก็พ่อธีร์ว่าที่ที่พ่ออยู่มีรถไฟที่วิ่งบนฟ้า...เราก็อยากเห็นน่ะซี"หันมาขมวดคิ้วถามผมที่หัวเราะจนท้องแข็ง
"ฮะๆ ไม่ได้ขำเรื่องนั้น...แต่คำพูดคุณหลวงมัน โอ๊ย ฮ่าๆๆ"หยุดไม่ได้แล้วครับไอ้ธีร์...ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างหลวงพิสิษฐวรเวทย์จะพูดจาเหมือนเด็กสามขวบเป็นกับเขาเหมือนกัน
"เราพูดอะไรผิดรึ"เจอหน้านิ่งๆแบบนี้เข้าไปผมเลยหยุดขำได้แล้วส่ายหน้าตอบทันที
"ถ้าพ่อธีร์กลับกรุงเทพเมื่อใด อย่าลืมบอกเราบ้าง...เราอยากไปเห็นกรุงเทพเหลือเกิน"แล้วประโยคนั้นก็ทำให้ผมเงียบสนิท...กลับกรุงเทพอย่างนั้นหรือ...ถ้ามันทำได้ง่ายๆเหมือนนั่งรถทัวร์จากเชียงใหม่เข้ากรุงเทพก็คงจะดี...แต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะกลับไปได้อย่างไร...แล้วถึงผมกลับไปได้ ผมจะได้กลับมาที่นี่อีกไหมก็ยังไม่รู้
"คิดอะไรอยู่หรือพ่อ"เป็นอีกครั้งที่เสียงนุ่มคุ้นหูปลุกผมจากภวังค์ความคิด ผมได้แต่ส่ายหน้าตอบอีกฝ่าย
"พ่อธีร์เหมือนมีอะไรในใจ...หากมีอะไรที่เราช่วยได้ขอให้บอกเถิด"มือใหญ่แตะลงที่บ่าของผมเพียงเบาๆเป็นเชิงปลอบ...ผมมองตามมือนั้นไล่ไปถึงใบหน้าคมเข้มของอีกฝ่าย...แม้เรียวปากนั้นจะไม่ได้ยิ้มเหมือนเคย แต่แววตาช่างอ่อนโยนยิ่งนัก
"ผมไม่เป็นไรหรอก...ขอบคุณนะ"ยิ้มบางๆตอบไปคงพอให้คลายกังวลได้บ้าง แต่ดวงตาคมคู่นั้นยังจ้องมาที่ผมไม่วางตา...น่าแปลกที่ความยียวนกวนประสาทถูกแทนที่ด้วยแววตาจริงจังนี่แทน
"ม่ะ...ไม่อ่านหนังสือต่อแล้วเหรอคุณหลวง"รีบเปลี่ยนเรื่องเสียก่อนเลยพอดึงสติของอีกฝ่ายกลับมาได้บ้าง ก่อนจะยกมือที่วางอยู่บบนบ่านั้นออกแล้วกลับไปสนใจหนังสือตรงหน้าแทน...ผมแอบเห็นรอยยิ้มบางเบื้องหลังหนังสือเล่มหนานั้น...แล้วก็อดยิ้มตามเสียไม่ได้...ชั่วขณะหนึ่งของความคิด...
...ผมอยากเห็นรอยยิ้มนี้ไปนานๆ...
.
.
.
.
"พรุ่งนี้มิต้องมาที่เรือนหรอก...เจ้าคุณไพศาลจักไปหาเจ้าคุณจิตราที่เรือน เราต้องตามท่านไปด้วย"เวลาล่วงเลยมาถึงยามเย็น ในที่สุดคนตรงหน้าก็วางหนังสือเล่มหนาลงแล้วหันมาบอกกับผมที่ตอนนี้ลงมานั่งเล่นริมท่าน้ำ...บรรยากาศยามเย็นริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาช่างสวยงามจนผมอยากจะหากล้องดิจิตอลสักตัวมาบันทึกภาพเอาไว้...ฝั่งตรงข้ามเรือนเป็นวัดเก่าแก่เรียงรายด้วยบ้านเรือนทรงโบราณและถูกแซมด้วยสีเขียวของต้นไม้ใหญ่...ที่นี่ต้นไม้เยอะ ไม่เหมือนกรุงเทพยุคปัจจุบันที่จะมองไปทางไหนก็เห็นแต่สายไฟ...เรือเล็กเรือน้อยพายอ้อยอิ่งอยู่กลางแม่น้ำ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ ไม่มีมลภาวะ...แสงแดดยามเย็นยิ่งสาดส่องให้ภาพตรงหน้าสวยงามนัก...
"งามไหมพ่อ"เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นใกล้ๆ ผมหันไปมองหลวงพิสิษฐที่ตอนนี้มานั่งอยู่ข้างผมเสียแล้ว
"สวย...สวยมาก"ผมพยักหน้ารับ...ยังคงมองภาพตรงหน้าไม่วางตา
"เราเคยไปมาหลายที่...แต่จักหาที่ใดงามเสมือนพระนครหามีไม่"คนข้างๆเอ่ยต่อพลางทอดสายตาสู่แม่น้ำเบื้องหน้า...ดวงตาคมเข้มสะท้อนกับแสงแดดเป็นประกายวิบวับ...สันจมูกโด่งรับกับริมฝีปากหยักได้รูปที่ยกยิ้มบางๆ...เป็นถึงคุณหลวงแต่กลับนั่งบนพื้นท่าน้ำอย่างไม่ถือตัว แถมยังพับขากางเกงแพรแล้วแช่เท้าลงในน้ำอย่างที่ผมทำอีก
"แต่เราอยากเห็นกรุงเทพ...อยากเห็นที่ที่พ่อธีร์อยู่"ประโยคสุดท้ายดังขึ้นพร้อมดวงตาคมเข้มที่หันมา...สบตา...เนิ่นนาน...ราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้...ใบหน้าด้านข้างสะท้อนแสงแดดยามเย็น...งาม...ราวกับรูปปั้น...ทั้งใบหน้า...ทั้งรูปร่างสูงโปร่ง...ราวกับถูกเบื้องบนสรรค์สร้างมาอย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ
"ถ้าพ่อธีร์กลับกรุงเทพแล้วจักมาพระนครอีกไหม"ราวกับถูกใครถีบออกจากภวังค์...ผมละสายตาจากคนตรงหน้า เหม่อออกไปยังแม่น้ำกว้างและไม่มีคำตอบใดๆ...เพียงได้แต่ชมความงามริมฝั่่งแม่น้ำต่อไปเท่านั้น...
'ผมไม่รู้'...เพียงคำตอบในใจที่เอ่ยกับตัวเอง...
.........................................................................
เรื่อยๆมาเรียงๆก่อนนะเจ้าคะ...คนแต่งชอบแบบเนิ่บๆเจ้าค่ะ

เดี๋ยวเขาจะว่าพ่อธีร์ใจเร็วด่วนได้เสียก่อน อิอิ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ (กราบเบญจางคประดิษฐ์) <<< ไม่ใช่ละ
