ตอนที่ ๑๔...บุคคลอันตรายและความหมายที่ซ่อนเร้น...
รุ่งเช้าเวียนมาอีกครั้ง...เกือบสองอาทิตย์แล้วที่ผมกลับมาอยู่ที่นี่...และเป็นอีกวันที่ผมได้แต่ภาวนา...ว่าขอให้ได้อยู่เห็นรุ่งเช้าของพระนครให้นานอีกสักหน่อย...แว่วเสียงนกร้องอยู่ด้านนอกหน้าต่าง...แสงแดดอ่อนเริ่มทอแสง และลมเอื่อยพัดไหวจนผ้าม่านปลิวตามเพียงแผ่วเบา...ผมชอบยามเช้าที่นี่...ชอบสูดกลิ่นน้ำค้างเย็นฉ่ำที่ลอยมาเตะจมูก...กลิ่นดอกไม้ที่บานรับแสงอรุณ...และ...
...เสียงกรนของไอ้คนข้างๆ...
แม่งเอ๊ย! กำลังอยู่ในอารมณ์สุนทรีย์ ดันกรนเสียงดังอย่างกับรถแทรกเตอร์...หมดอารมณ์กันพอดี...
"โอ๊ยยยย! อะไรของมึงเนี่ย"โมโหไอ้ตัวก่อมลภาวะทางเสียงเลยยันโครมเข้าให้...มันสะดุ้งตื่นหันมาโวยวายเสียงดัง
"ไม่ตื่นไปวัดเหรอไง"ถามกลับเสียงเรียบ...นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานแล้วก็อดขำไม่ได้...ไอ้ตัวแสบที่มันคอยกวนประสาทผมตั้งแต่เด็ก...ตอนนี้กลายเป็นแมวเชื่องๆเพราะตกหลุมรักลูกสาวท่านเจ้าคุณ...แหม่ มันน่าเอาไปแต่งเป็นนิยายเสียจริง
"ปลุกดีๆก็ได้นะครับ เชี่ยยยย"ท้ายประโยคหันมาใส่ผมเต็มๆ ก่อนจะลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าเดินออกไปอาบน้ำ...เขินแรงตลอดครับไอ้นี่...แต่จะว่าไป...ผมก็อดทึ่งในความหน้าด้านของมันไม่ได้...ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็ไอ้ที่มันเล่นบทโรแมนติกกับคุณพิกุลเมื่อวานนั่นแหละ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังหรอกนะ แต่ไม่รู้จะไปหลบอยู่แถวไหนดีก็เลยยืนรออยู่แถวนั้น หึหึ...ได้ยินหมดเลยครับไอ้คุณแช่ม
"ไปนานป่ะวะ"ผมถามขึ้นเมื่อมันเดินกลับเข้ามาในห้อง
"คงไม่ แค่ไปใส่บาตรแล้วก็กลับ...มึงมีไร"วันนี้แต่งเสียหล่อ เสื้อสีฟ้าน้ำทะเลกางเกงแพรสีดำ
"พี่สนชวนไปตลาด แกบอกจะพาไปเปิดหูเปิดตา"
"เฮ้ยๆ รอกูด้วยดิ อยากไปด้วย"โลภนะมัน จะไปทั้งวัดทั้งตลาด
"เออเดี๋ยวกูบอกแกให้...รีบไปได้แล้วมึงอะ หมั่นไส้ว่ะ หึหึ"แซวมันอีกรอบเพราะรู้ว่ามันต้องเขินหน้าแดง แต่ต้องปากเสียใส่ผมก่อนถึงจะหายเขิน
"-วย"นั่นไง ผิดคำผมที่ไหน
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็เดินลงมาที่เรือนบ่าวตามปกติ...บอกพี่สนแกให้รอไอ้แชมป์กลับจากวัดแล้วค่อยออกไปกัน...แต่แกก็บ่นอุบ บอกว่าถ้าไปสายตลาดจะวายเสียก่อน...ผมเองไม่เคยเห็นตลาดในพระนครก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเปิดกันถึงกี่โมง...แต่แกว่าให้รีบไป แถมทิ้งท้ายว่าจะชวนไอ้แชมป์ไปด้วยกันอีกวันหลัง ผมเลยตกลง...วันนี้ก็อดไปแล้วกันครับมึง ไปทำบุญร่วมชาติกับลูกสาวท่านเจ้าคุณก่อนแล้วกัน...
"ตลาดอยู่ไกลมั้ยพี่"ผมถามขึ้นขณะที่แกใช้ไม้พายดันเรือออกจากท่าน้ำ...เห็นแกว่าอยู่เลยคุ้งน้ำข้างหน้าไปหน่อยไม่ไกลมาก
"ดีนะที่วันนี้เอ็งไม่ต้องไปเรือนเจ้าคุณไพศาล...ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องออกมาคนเดียว"พี่สนบ่นอุบเพราะโดนป้าน้อยใช้ให้ออกมาซื้อของ ตอนแรกแกว่าจะชวนมิ่งแต่มิ่งต้องไปส่งเจ้าคุณจิตราที่กรมเสียนี่
"ช่วงนี้ทางนั้นเค้ายุ่งอ่ะพี่"เพราะงานเลี้ยงรับรองคณะทูตจากฝรั่งเศสที่ใกล้เข้ามาทุกที ทำให้ทั้งเจ้าคุณไพศาลและคุณหลวงคนสนิทต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างกรมกับเรือนเจ้าพระยาเดโชเกือบทุกวันหลังจากนี้...ผมเลยได้มีเวลาหยุดหายใจอยู่เฉยๆบ้าง
"แล้วจะไปอีกเมื่อใดวะ"พี่สนถามขึ้น
"เห็นว่าอีกสามวัน...พี่ว่างไปส่งผมป่ะ"
"อีกสามวันรึ ถ้าเจ้าคุณไม่ใช้ให้ข้าไปที่ใด ข้าก็ไปได้"ผมพยักหน้ารับ...นั่งคุยกับแกได้ครู่เดียว แกก็พายเรือมาจอดเทียบท่าตรงตลาด...ช่วงเช้านี่คนพลุกพล่านน่าดู...แม้แต่ท่าน้ำใหญ่โตของตลาดยังมีเรือมาผูกเทียบท่าเสียเต็ม
"ป้าน้อยจะเอาอะไรมั่ง"ผมถามขึ้นเมื่อเดินเข้ามาถึงตลาดใหญ่ริมน้ำ...ได้ยินเสียงชาวบ้านที่พากันตั้งร้านรวงอยู่ริมทางเรียกลูกค้าเข้าร้านกันไม่ขาด...ผักสด ผลไม้สด หรือแม้แต่ปลาสดๆวางเรียงรายเต็มสองทาง
"ก็พวกของสด เอ็งเดินตามมาเดี๋ยวข้าจัดการเอง"เออครับ มาตลาดสดคงจะเอาของแห้งล่ะมั้ง ผมนี่ไม่น่าถาม
"เอ้าพี่! ไหนบอกจะมาซื้อของ"ผมท้วงขึ้นเมื่อแกเดินนำลิ่วมาจนถึง...ซุ้มยาดอง...หน้าตามันก็ไม่ต่างจากซุ้มยาดองสมัยผมเท่าไหร่หรอกครับ...แล้วจะได้ซื้อของกันไหมวันนี้
"น่า ข้าขอสักกรึ้บ จักได้มีแรงแบกของ"ไม่ค่อยอ้างเลยครับพี่น้อง ว่าแล้วแกก็จัดแจงสั่งยาดองสูตรโปรดของแก แถมยังเผื่อแผ่ให้ผมอีก
"เห้ยพี่ กินไรแต่เช้า พี่เอาเหอะตามสบาย"ผมรีบปฎิเสธเสียงดัง ข้าวปลายังไม่ได้กินจะให้มาซัดยาดองแต่เช้านี่ก็ไม่ไหวนะครับ...ว่าแต่ คนที่นี่เขาจัดยาดองกันแต่เช้าแบบนี้กันเลยรึ เห็นลูกค้านั่งกันเกือบเต็ม
"แม่ลำดวน...ของพี่สูตรเดิมนะจ๊ะ"เสียงโหวกเหวกมาแต่ไกลจนผมต้องหันกลับไปมอง...ชายสามคนที่เพิ่งเดินมาถึงร้านยาดองที่ผมกับพี่สนยืนอยู่...ไอ้ตัวเล็กสองคนท่าทางอันธพาลนั่นผมไม่เคยเจอ...แต่คนข้างหน้านี่ แค่เจอครั้งเดียวก็ไม่ลืมครับ...รู้สึกตาขวาเขม่นนิดๆ สงสัยวันนี้จะซวย...
"อ้าว นึกว่าใคร พ่อคนสวยนี่เอง วันนี้มาเที่ยวหรือพ่อ"แล้วดูมันเรียก...ผมมองหน้าคนตัวใหญ่เจ้าของตำแหน่งหลวงเจษฎารังสรรที่ยืนแสยะยิ้มอยู่ตรงหน้า ไม่อยากจะเสวนาด้วยแต่ก็ต้องยกมือไหว้อย่างเสียไม่ได้
"ไม่ต้องไหว้พี่หรอก...พี่ไม่ถือ"เป็นญาติกูตั้งแต่ตอนไหนครับ แล้วมาส่งเสียงอ่อนเสียงหวานแถมแสยะยิ้มน่ารังเกียจให้อีก...ส่วนพี่สนที่ยืนอยู่ข้างๆได้แต่เงียบกริบ เพราะตำแหน่งของอีกฝ่ายเป็นถึงหลวง จะไปต่อปากต่อคำก็ใช่เรื่อง
"นี่พ่อจักไปที่ใดต่อ ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม"
"ไม่เป็นไรครับ พี่!เสร็จยัง ไปเหอะ"ผมตอบกลับเสียงเรียบก่อนจะหันไปเรียกพี่สน แกรีบยกแก้วยาดองแก้วที่สองขึ้นกระดกก่อนจะหันมาพยักหน้าให้
"มากับบ่าวรึ พี่ก็นึกว่ามาคนเดียว"ไอ้พวกคนแบบนี้มันมีกันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วนะครับเนี่ย ผมเองก็เพิ่งจะรู้
"เอ็งน่ะ จักไปไหนก็ไป ประเดี๋ยวข้าจักพาพ่อคนสวยนี่ไปส่งที่เรือนเอง"หลวงเจษฎ์หันไปออกคำสั่งกับพี่สนที่ได้แต่ยืนก้มหน้า แกดูมีท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย...แล้วมันว่าใครสวยวะครับ
"ไม่ต้องครับ ผมมากับพี่เค้า ผมก็ต้องกลับกับพี่เค้า"
"โถๆ เรียกบ่าวว่าพี่ แล้วพี่เจษฏ์นี่ล่ะจ๊ะ พ่อจักเรียกว่ากระไร"ก็มีคำให้เรียกอยู่...แต่ไม่พูดดีกว่ากลัวจะมีปัญหาเสียก่อน ผมเลยลากแขนพี่สนให้เดินหนีไปอีกทาง แต่ก็ยังโดนไอ้สองคนที่เดินตามหลังมาเมื่อครู่ยืนขวางหน้าไว้เสียก่อน
"มึงนี่ ไม่ได้ยินที่หลวงแกสั่งหรือไงวะ หลวงแกว่าจักไปส่งคุณเขาเอง มึงจักไปไหนก็ไป"ผมไม่รู้หรอกว่าตำแหน่งของสองคนนี้คืออะไร แต่ดูก็รู้ว่าคงทำงานในกรมเช่นกัน ไม่ใช่บ่าวแน่ๆ
"เอ้า ยังยืนบื้ออยู่อีก ฟังภาษาคนมิรู้เรื่องหรือวะ โง่เสียจริงบ่าวไพร่พวกนี้"แม้จะถูกด่าทอขนาดไหนอีกฝ่ายก็โต้ตอบอะไรไม่ได้ ด้วยศักดินาที่ต่างกันลิบลับ ทำให้พี่สนได้แต่ยืนก้มหน้านิ่ง
"พี่เค้าเป็นคนของผม เค้าฟังแต่คำสั่งผม ขอตัวนะครับ"ผมรีบดึงแขนแกให้เดินออกไปจากตรงนั้น เห็นไอ้สองคนทำท่าจะเดินตามแต่ถูกคนตัวใหญ่ห้ามไว้เสียก่อน เหลือบไปเห็นสายตาน่ารังเกียจที่ยังจ้องมาไม่เลิก
"ใครวะ อ้ายธีร์ ข้าล่ะตกใจหมด"พี่สนโพล่งขึ้นหลังจากเดินออกมาได้ไม่ไกลนัก แกลูบหน้าลูบอกตัวเองพลางถอนหายใจยาว
"ลูกชายเจ้าพระยาเดโชอ่ะ"
"เอ้า แล้วเขารู้จักเอ็งได้เยี่ยงไรเล่า"
"เรื่องมันยาวอ่ะพี่ จะซื้ออะไรก็รีบซื้อเหอะ จะได้รีบกลับ"ผมรีบไล่แกให้ไปซื้อของตามที่ป้าน้อยสั่ง...ว่าจะออกมาเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย ดันเจอมลภาวะเสียได้...
.
.
.
ที่ผมเคยบอกไว้ว่าเขม่นตาขวา...มันไม่ใช่แค่วันนั้นวันเดียวนะครับ เพราะอีกสองวันถัดมาผมก็เห็นไอ้คนตัวสูงนี่มานั่งเสนอหน้าคุยกับเจ้าคุณจิตราถึงเรือน...ผู้มาเยือนมีท่าทีแปลกใจที่เห็นผม แต่ก็ยังไม่วายแสยะยิ้มน่ารังเกียจให้
"พ่อเจษฏ์เขามาคุยเรื่องงานเลี้ยงทูตแทนท่านเจ้าคุณน่ะแม่สร้อย"เสียงเจ้าคุณจิตราบอกคุณหญิงสร้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ
"เจ้าคุณพ่อท่านมีงานมาก ให้กระผมมาแทนขอรับ"น้ำเสียงแข็งกร้าวหากแต่ยังนอบน้อมเพราะคุยกับผู้ใหญ่ตอบกลับ
"ไม่นึกว่าพ่อจักอยู่เรือนนี้...ช่างบังเอิญเสียจริง"ว่าแล้วก็หันมาทางผมที่นั่งเงียบอยู่นาน จนไอ้แชมป์หันมามองหน้าผมเหรอหรา
"รู้จักกันแล้วรึ"เจ้าของเรือนเอ่ยถาม ถึงอีกฝ่ายจะเป็นแค่หลวงแต่ด้วยบารมีของพ่อที่ใหญ่นัก แม้แต่เจ้าคุณจิตราเองก็ดูเกรงใจผู้มาเยือนไม่น้อย
"ได้พบเมื่อคราที่หลวงพิสิษฐไปพบเจ้าคุณพ่อที่เรือนขอรับ"แล้วไม่บอกไปด้วยล่ะว่าเคยเจอที่ตลาดแถมยังมารยาททรามใส่อีก
"ประเดี๋ยวเจ้าคุณไพศาลคงมาถึง รอคุยเสียทีเดียวก็แล้วกันพ่อเจษฏ์"เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ
ผมขอปลีกตัวเดินลงมาจากเรือนเพราะไม่อยากอยู่ร่วมวงสนทนากับผู้ชายไม่มีมารยาทคนนั้น...ไอ้แชมป์เองก็รีบวิ่งลงเรือนตามหลังมา แต่มันไม่ได้ถามอะไรคงเพราะเห็นว่าผมกำลังหงุดหงิด มันเลยเดินไปทางโรงครัวแทน...ไม่ต้องถามนะครับว่ามันไปทำอะไร...
ส่วนผมจะไปที่ไหนได้นอกจากศาลาไม้สักข้างเรือน...เวลาผมเบื่อผมมักจะมานั่งเล่นที่นี่ นั่งมองซุ้มดอกมะลิที่ขึ้นอยู่ข้างๆ...ดอกมะลิที่ใครบางคนเคยหยิบเศษของมันที่ปลิวมาติดผมออกให้...
"อยู่นี่เองหรือพ่อ"แล้วไอ้มลพิษทางเสียงนี่...จะหนีอย่างไรก็ไม่พ้นสินะ
"มีอะไรครับหลวงเจษฎ์"ผมถามกลับ...อีกฝ่ายยังคงแสยะยิ้มหวานส่งมาให้
"พี่แค่อยากคุยกับพ่อคนสวยดีๆ แต่พ่อคนสวยทำเหมือนไม่อยากคุยกับพี่เสียได้"อยากคุยดีๆก็ช่วยเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกผมก่อนเป็นอย่างแรกจะเป็นพระคุณมากทีเดียว
"ผมชื่อธีร์ครับ"ตอบกลับเสียงเรียบ
"แต่พี่อยากเรียกพ่อคนสวยนี่"มีคำไหนที่มันยิ่งกว่าคำว่า'หน้าด้าน'ไหมครับคุณผู้อ่าน ผมจะได้เอามาด่ามันเสียตรงนี้เลย
"ผมขอตัวก่อนนะครับ มีงานต้องทำ"เมื่อไม่อยากสนทนาด้วยก็เลยได้แต่หาเรื่องปลีกตัว รีบหันหลังหมายจะขึ้นเรือน แต่กลับถูกอีกฝ่ายกระชากแขนเอาไว้เสียก่อน...ถูกแล้วครับ เขากระชากผมจนตัวแทบปลิว ผมพยายามสะบัดมือที่ฉวยแขนของผมเอาไว้แน่น ทั้งที่ตัวผมก็ไม่ใช่เล็กๆหากแต่ไม่สามารถสู้แรงอีกฝ่ายได้เลย
"พี่มีอะไรจักบอกเสียหน่อย"ว่าพลางยื่นหน้าเข้ามากระซิบใกล้ๆ...ผมพยายามขืนตัวหนีออกมาแต่แรงบีบที่แขนกลับกดหนักขึ้นกว่าเดิม
"พ่อนี่งามกว่าสาวๆในพระนครเสียอีก...ถูกใจพี่เสียจริง"ว่าพลางแสยะยิ้มน่ารังเกียจ...แรงกดที่แขนเพิ่มหนักขึ้นจนผมรู้สึกชา...ผมไม่เคยกลัวผู้ชายแบบนี้แม้แต่น้อย...ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอ...แต่สิ่งที่ทำให้ผมอึดอัด คือท่าทางวางอำนาจของเขา ที่ถือเพียงแค่ว่ามีเจ้าพระยาเป็นพ่อแล้วจะทำเช่นนี้กับใครก็ได้...ผมรังเกียจ...ตั้งแต่วันแรกที่เจอ...แม้แต่วันที่ไปตลาด ท่าทีที่เขาแสดงออกต่อพี่สน ถึงแม้พี่สนจะเป็นแค่บ่าวแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ใช่คน...ผมรังเกียจ...คนที่คิดว่าอยากได้อะไรก็จะได้...เพียงเพราะตัวเองมีอำนาจ...
"นั่นพ่อเจษฏ์รึ"เสียงหนึ่งดังขัดขึ้นเสียก่อนทำให้หลวงเจษฏ์ที่จับแขนผมเอาไว้แน่นต้องคลายมือออก เหลือเพียงรอยแดงที่ขึ้นชัดบนต้นแขน
"สวัสดีขอรับเจ้าคุณไพศาล"เสียงทักทายทำให้ผมที่ยืนหันหลังอยู่รู้ว่าเป็นเจ้าคุณที่เพิ่งมาถึง
"มากับเขาด้วยรึ หลวงแก้ว"น้ำเสียงเย้ยหยันทักทายอีกคนทำให้ผมต้องหันไปกลับมอง...หลวงพิสิษฐ ที่เดินตามหลังเจ้าคุณไพศาลมา...ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่สายตาที่จ้องอยู่นั้น มันขึงขังผิดปกติ
"สวัสดีหลวงเจษฎ์"น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับ
"เอ้าพ่อธีร์ ไม่เจอเสียหลายวัน สบายดีนะ"เจ้าคุณไพศาลทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม...ผมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
"มาทำอะไรกันตรงนี้เล่า"เจ้าคุณยังถามต่อ ผมเห็นคนตัวใหญ่ข้างๆยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่น่ารังเกียจในสายตาของผม
"เดี๋ยวผมขึ้นไปบอกเจ้าคุณจิตราให้นะครับว่าเจ้าคุณมาถึงแล้ว"ผมรีบบอกผู้มาถึงใหม่ก่อนจะปลีกตัวเดินขึ้นเรือนทันที...หากใบหน้าเรียบเฉยของคุณหลวงหนุ่มยังคงติดตา
หลังจากคุยธุระเสร็จ...คุณหญิงสร้อยก็ชักชวนแขกทั้งสามให้อยู่ทานข้าวด้วยกันเช่นเคยตามมารยาทที่ดีของเจ้าบ้าน...ส่วนผมกับไอ้แชมป์ขอตัวลงมากินกับพวกพี่สนที่เรือนบ่าวเพราะไม่อยากร่วมวงกับใครบางคน
"นั่นหรือวะ หลวงเจษฏ์ที่เอ็งเคยเล่าให้ฟัง"มิ่งหันไปถามพี่สนทั้งที่ยังเคี้ยวปลาทูอยู่เต็มปาก
"เออ คนนี้ล่ะ ที่ข้าเจอที่ตลาดกับอ้ายธีร์"คำตอบของพี่สนทำเอาไอ้แชมป์หันมามองหน้าผมอีกครั้ง เพราะผมไม่ได้เล่าอะไรให้มันฟังตั้งแต่กลับมาจากตลาดวันนั้น
"กร่างเสียเต็มประดา คงถือว่ามีพ่อเป็นเจ้าพระยา"พี่สนว่าต่อ
"ข้าเคยได้ยินเรื่องคุณหลวงคนนี้มาจากคนที่ตลาด เขาลือกันให้ทั่ว"เป็นป้าน้อยที่ร่วมวงสนทนาบ้าง
"ลืออะไรหรือป้า"มิ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย
"เขาว่าหลวงคนนี้รสนิยมแปลกนัก"
"แปลกยังไงอ่ะป้า"ไอ้แชมป์ที่นั่งเงียบอยู่นานจนทนไม่ได้เลยต้องถามบ้าง
"เขาว่าแกเจ้าชู้"
"โอ๊ยป้า แล้วมันแปลกยังไงอ่ะ ผู้ชายเจ้าชู้ก็เป็นเรื่องปกติ"ไอ้แชมป์บ่นอุบ แถมยังหันไปค้อนขวับใส่ป้าน้อย
"ฟังให้จบซีวะ เอ็งนี่...เขาว่าหลวงแกมีรสนิยมประหลาด...ชอบเด็กผู้ชาย"ทั้งวงกับข้าวอื้ออึงด้วยเสียงอุทานด้วยความตกใจ...จะมีก็แต่ผมคนเดียวที่นั่งเงียบตั้งแต่แรก
"จริงหรือป้า แต่หลวงแกมีเมียแล้วนี่ ก็คุณเดือนลูกสาวพระพินิจที่เคยมาเล่าเรียนการเรือนกับคุณหญิงไม่ใช่รึ"มิ่งยังคงถามต่อ
"มีเมีย แล้วชอบผู้ชายไม่ได้หรือวะ...ข้าน่ะ ได้ยินมาเต็มสองหู พวกที่ตลาดเขาลือกันว่าหลวงแกชอบพาเด็กหนุ่มๆไปที่เรือนแพริมน้ำที่เจ้าพระยาท่านสร้างให้ นังเจิมบ่าวที่เรือนท่านเจ้าคุณเล่าให้ฟังเองเชียวนะโว้ย ไม่เชื่อข้าก็ตามใจ มันว่าท่านเจ้าคุณก็รู้ แต่เพราะเป็นลูกชายคนเดียวท่านเลยไม่กล้าว่าอะไร"เสียงฮือฮายังคงดังอย่างต่อเนื่อง...ส่วนผมยังนั่งตักปลาทูชิ้นโตเข้าปากไม่ได้สนใจอะไร...ผมไม่ได้แปลกใจ เพราะท่าทีน่ารังเกียจนั่นมันแสดงออกให้เห็นหมดแล้ว
"สงสัยจริงอย่างที่ป้าเล่า วันนั้นหลวงนั่นก็พูดจาเกี้ยวพาอ้ายธีร์เสียเต็มที"คราวนี้ทั้งวงสนทนาหันมามองผมกันเป็นตาเดียว...ขอบคุณครับพี่สนที่โยนระเบิดมาให้...แต่ถามผมก่อนก็ได้นะว่าอยากรับไว้รึเปล่า
"จริงหรือวะอ้ายธีร์"มิ่งรีบถามขึ้นทันที แต่ผมเพียงแค่ยักไหล่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
"ขนาดเอ็งยังไม่เว้นเชียวรึ ตัวก็สูงเยี่ยงนี้"ขอบคุณครับป้าน้อยที่ยังพอเห็นความเป็นชายในตัวผมอยู่บ้าง...ส่วนไอ้แชมป์มันได้แต่นั่งมองผมตาปริบๆ สงสัยอยากจะถามเต็มทีแต่ยังไม่มีจังหวะ
หลังกินข้าวกันเสร็จผมก็ยังเตร่อยู่แถวเรือนบ่าวไม่ไปไหน...เพราะไม่อยากเห็นหน้าไอ้หมอนั่น...ถึงผมอยากจะเห็นหน้าใครอีกคนมากกว่าก็ตาม...แต่ก็ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปที่เรือนเจ้าคุณไพศาลอยู่ดี...ไอ้แชมป์มันรีบลากผมไปถามเสียยกใหญ่...ผมก็ตอบตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดตรงศาลาเมื่อครู่...
"แม่งเลวว่ะ"ด่ามาเต็มหน้าผมเลยทีเดียว
"มึงไม่ต่อยมันซักทีวะ กูโมโหแทน"
"เจ้าคุณแกยังต้องปรึกษางานกับเจ้าพระยาเดโชอยู่ ถ้ากูต่อยก็เป็นเรื่องดิ"
"แสดงว่ามึงคิด หึหึ"มันถามกลับอย่างรู้ทัน...ถูกอย่างที่มันว่า ถ้าเป็นคนอื่นเข้ามาแบบนี้โดนผมไปแล้วครับ เหมือนไอ้รุ่นพี่ตอนม.ปลายนั่น ถึงผมจะโดนรุมแต่มันก็เจ็บตัวไม่น้อยอยู่...ผมไม่เคยรังเกียจเพศที่สาม แต่ผมไม่ชอบเป็นรายบุคคลไป คนดีๆน่าคบก็มีเยอะ อย่างบางคนที่เข้ามาแบบมีมารยาทผมก็จะปฎิเสธแบบมีมารยาท...แต่ถ้าเข้ามาแบบนี้ส่วนใหญ่จะจบไม่สวยเท่าไหร่
ผมเหลือบไปเห็นเจ้าคุณไพศาลเดินลงมาจากเรือนพร้อมคนตัวสูงที่ผมอยากเจอมาหลายวัน...ตามด้วยผู้มาเยือนอีกคน ผมเลยไม่ได้เดินไปส่งเพราะขี้เกียจต่อปากต่อคำ กลัวจะระงับอารมณ์ไว้ไม่ได้...ได้แต่ยืนมองจนแกลงเรือไป
...ไม่เป็นอะไร...พรุ่งนี้ก็ได้เจอกัน...
.
.
.
.
"คุณหลวง ตรงนี้เขียนผิดนะครับ"ผมยื่นกระดาษแผ่นที่ห้าของวันนี้ที่ต้องแก้ไขกลับไปให้คนตัวสูงที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ...เจ้าตัวเพียงแต่รับมันมาแล้วแก้ตามที่ผมบอก
"พักหน่อยมั้ยครับ ท่าทางเหนื่อยๆ"ถามออกไปเมื่อเห็นว่าจุดที่ต้องแก้ไม่ใช่คำแปลที่ผิด แต่เป็นตัวอักษรต่างหากที่เขียนผิด ซึ่งไม่ใช่วิสัยของคนทำงานรอบคอบอย่างเขาเลยสักนิด
"ไม่ต้องหรอก จักได้รีบทำให้เสร็จ"เห็นนั่งเงียบทำงานมาตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ก็บ่ายคล้อยแล้ว ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน
"หิวมั้ยครับ...เดี๋ยวผมไปบอกป้าชื่นหาอะไรมาให้กิน"ส่ายหน้าตอบ...วันนี้แปลกๆ แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไร
"ป้าชื่นบอกว่าไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้วไม่ใช่เหรอครับ"...เงียบ...
"คุณหลวงครับ"
"พ่อธีร์"
"ครับ"
"เราจักทำงาน ไม่มีสมาธิ"...เงียบกว่า...ได้แต่นั่งนิ่งบนเก้าอี้หวายข้างๆมองคนตัวสูงทำงานต่อไป
"ถ้าพ่อธีร์เบื่อจักกลับเรือนก่อนก็ได้ เราจักให้บ่าวไปส่ง"ไอ้อาการมึนตึงแบบนี้มันคืออะไร...นั่งเงียบใส่ผมตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ใกล้เย็นเต็มที...ถามคำตอบคำ...ไม่ถามก็ไม่ตอบ
"คุณหลวงเป็นอะไรครับ"...แถมบางทีถามไปก็ไม่ยอมตอบอีก
"คุณหลวงครับ"
"พรุ่งนี้เราต้องไปเรือนเจ้าพระยาเดโช พ่อจักไปกับเราหรือไม่"อยากรู้เรื่องตอนนี้ แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับพรุ่งนี้กันเล่า
"ไม่ไปครับ"ตอบกลับเสียงเรียบจนอีกฝ่ายหันมามอง...นัยน์ตาคมกริบฉายแววอะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถเข้าใจได้
"ไม่ไปหาคนที่พ่อธีร์อยากเจอรึ"หาาาา?...คนที่ผมอยากเจอ...ใครวะ?...มีใครที่ผมอยากเจอมากไปกว่าคนตรงหน้านี่อีกหรือไง
"คุณหลวงพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ"ผมขมวดคิ้วแน่น ถามกลับด้วยความสงสัย
"เห็นเมื่อวานดูสนิทสนมกันดี พรุ่งนี้ไปกับเราก็ได้ หลวงแกคงดีใจที่ได้เจอพ่อ"เริ่มจับต้นชนปลายถูก...แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าไปเอาความคิดนี้มาจากไหน
"คุณหลวงหมายถึง หลวงเจษฎ์เหรอครับ"แต่ก็ยังถามต่อให้แน่ใจ...อีกฝ่ายจ้องหน้านิ่ง ก่อนจะหันกลับไปสนใจตัวหนังสือตรงหน้าต่อ...นี่มันน่าหงุดหงิดยิ่งกว่า
"คุณหลวงกำลังเข้าใจผิดนะครับ...ผมกับหลวงเจษฎ์..."แล้วก็ต้องเงียบลงเมื่อสบเข้ากับดวงตาคมของอีกฝ่ายที่ตอนนี้แข็งกร้าวดูน่ากลัว...ทำไมถึงมองผมแบบนี้
"เราเข้าใจพ่อธีร์...หลวงแกก็รูปงามนัก ถ้าพ่อจะพึงใจก็มิใช่เรื่องแปลก"น้ำเสียงเรียบเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนใครเอาหินก้อนใหญ่มาฟาดหัวผมอย่างแรง...ทั้งเจ็บ...ทั้งมึน...ทั้งไม่เข้าใจ...ไอ้หลวงน่ารังเกียจคนนั้นน่ะเหรอรูปงาม...เขาใช้อะไรคิด...แล้วใช้อะไรมาตัดสินผมแบบนี้
"แต่จะทำอะไรก็อย่าให้ประเจิดประเจ้อเกินไปล่ะพ่อ ถึงเป็นผู้ชายด้วยกันคนอื่นเขาก็สงสัยเอาได้"และเขาก็กำลังดูถูกผม...ผู้ชายที่ผมไม่เคยคิดว่าจะพูดจาแบบนี้ออกมาได้ กำลังดูถูกผม...เพราะความเข้าใจผิด
"อีกอย่าง หลวงแกก็ออกเรือนแล้ว หากใครรู้เข้ามันจักมิงาม..."คำพูดพรั่งพรูจากคนตรงหน้าไม่ได้ซึมเข้ามาในหัวผมเลยแม้แต่น้อย...เพราะตอนนี้แผลที่ถูกหินก้อนนั้นฟาดเมื่อครู่มันกำลังออกฤทธิ์...เลือดกำลังไหลซึมออกมาไม่หยุด...ผมเจ็บ...เจ็บกับคำพูดของคนตรงหน้าและท่าทีเฉยชาเหมือนไม่รู้สึกอะไร
"ปึง!"ไวกว่าความคิด มือที่ตบโต๊ะอย่างแรงจนกองเอกสารร่วงกระจัดกระจายลงบนพื้น
"อย่ามาดูถูกผม!"ตวาดเสียงดังลั่น แต่อีกฝ่ายก็ยังคงนิ่ง...ผมเจ็บ...เจ็บที่มือ...เพราะแรงที่ฟาดลงไป...แต่ที่เจ็บกว่า...คือข้างใน
"คุณมีสิทธิ์จะคิดอะไรก็ได้...แต่คุณไม่มีสิทธิ์มาตัดสินและพูดจาดูถูกผมแบบนี้"คนๆนี้เป็นใคร...ตัดสินคนอื่นทั้งที่ไม่รู้ความจริง...ทำร้ายคนอื่นด้วยคำพูด...ผู้ชายอ่อนโยนที่เคยนั่งอยู่ตรงนี้หายไปในพริบตา เหลือเพียงใครบางคนที่ผมไม่รู้จัก...และไม่คิดอยากรู้จักอีกแล้ว
"เราเอง..."เขาลุกขึ้นยืน...มองหน้าผมที่กำลังยืนหอบเพราะอารมณ์ที่ปะทุแรงเมื่่อครู่
"เราเองก็ดูพ่อธีร์ผิดไปเช่นกัน"
ราวกับมีใครเอาไม้มาฟาดซ้ำแผลเดิมอีกรอบ...แล้วก็ปล่อยให้เลือดมันไหลเป็นทางอยู่แบบนั้น...หลวงพิสิษฐเดินออกจากห้องไปแล้ว...และได้นำบางอย่างตามหลังเขาออกไปเช่นกัน...
...ผู้ชายคนแรกที่ผมรัก...ไม่มีตัวตนอยู่จริงบนโลกนี้...ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบันหรืออนาคต...
...................................................................................
กินมาม่ากันหน่อยมั้ยตัวเธอออออ

เมื่อวานไม่ได้ลง คิดถึงเค้ามั้ยเนี่ย อิอิ

ฝากตอนนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ กราบบบบบบ
