ตอนที่ ๑๕...คำสารภาพ...
บาดแผลยังไม่หายดี...แม้ปากแผลจะปิดสนิทแล้ว แต่ความเจ็บปวดนั้นยังคงอยู่...และคงเหลือไว้เพียงรอยแผลเป็นที่ยากจะหาย...
ห้าวันแล้วที่ผมเอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมไปทำงานตามเดิม...ผมบอกเจ้าคุณจิตราว่าขอเอางานทั้งหมดมาทำที่นี่แทน ซึ่งแกก็ไม่ได้ห้าม...แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เริ่ม...และก็เป็นห้าวันที่ผมเฝ้าภาวนา ขอให้ได้กลับไปโลกปัจจุบันเสียที...ผมไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว...มันช่างเป็นห้าวันที่ยาวนานเหลือเกิน
"เอ็งเป็นอะไรหรือเปล่าอ้ายธีร์...ข้าเห็นเอ็งมิค่อยสดใส"เจ้าของเรือนเอ่ยถามขณะกำลังทานข้าวกลางวัน...ไอ้แชมป์หันมามองผมเล็กน้อย
"เห็นเจ้าคุณไพศาลว่าหลวงพิสิษฐเองก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน...มีปัญหาอะไรกันรึ"
"เปล่าครับ"ตอบกลับสั้นๆ เจ้าคุณจิตราได้แต่มองหน้าพลางถอนหายใจ...อาการแปลกๆของผมเกิดขึ้นหลังกลับจากเรือนเจ้าคุณไพศาลเมื่อห้าวันก่อน...ต่อให้เป็นเด็กสามขวบก็คงจะพอเดาได้ แล้วยิ่งอีกคนก็มีอาการไม่ต่างกัน...
"มีอะไรไม่เข้าใจก็พูดกันตรงๆเสีย มิใช่เด็กๆกันแล้ว"ก็เพราะว่าพูดตรงถึงได้เป็นแบบนี้...ตอนนี้ถ้าเลือกได้ ขอไม่พูดอะไรเลยดีกว่า...
"พรุ่งนี้ไปเรือนท่าน...ข้าสั่ง"แต่ดูเหมือนฟ้าฝนไม่เป็นใจ อยากจะหนีแต่ก็ขัดคำสั่งคนที่ให้ที่อยู่ที่กินไม่ได้
"ครับ"ตอบกลับเสียงเบา เหลือบไปเห็นเจ้าคุณเองก็ลอบถอนหายใจยาวเช่นกัน
.
.
.
.
ผมมายืนอยู่ที่ท่าน้ำหน้าเรือนนี้อีกครั้งในรอบหกวัน...เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายความรู้สึกของผมที่มีในตอนนี้...รู้เพียงแค่ว่าผมต้องมาทำงาน...และนี่เป็นคำสั่ง...ถึงจะบ่ายเบี่ยงไม่อยากเจอแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถทำให้ผู้ใหญ่เสียงานได้อีกแล้ว...
"พ่อธีร์...มาแต่เช้าเชียวรึ"เจ้าของเรือนกล่าวทักทายเมื่อผมเดินเข้ามาด้านใน...ผมยกมือไหว้เจ้าคุณไพศาลที่กำลังนั่งจิบชายามเช้าอย่างสบายอารมณ์ หากไร้ซึ่งเงาของหลวงคนสนิท
"นั่งก่อนเถิดพ่อ"เจ้าของเรือนผายมือชักชวน ผมจึงนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม
"เรามิใช่คนอ้อมค้อมนัก คงต้องถามพ่อธีร์ตรงๆเสียล่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้น"คำถามที่ทำเอาผมได้แต่เงียบ...ไม่มีคำตอบให้อีกฝ่าย
"หลวงแกเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทำงานมาสี่ห้าวันแล้ว ถามอะไรก็มิยอมตอบ แลยังว่าจักขอกลับไปทำงานที่กรมแกตามเดิม...บอกเราเถิด หากมีอะไรที่เราช่วยได้จักได้ช่วยกันแก้ เป็นเช่นนี้มันจักเสียงานเสียการไปหมด"
"ผมไม่เป็นไรครับ ส่วนเรื่องงานไม่ต้องเป็นห่วง ผมไม่ทำให้เสียแน่นอนครับ"หากแต่เจ้าคุณไพศาลไม่ได้มีท่าทีสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย
...ห้องทำงานห้องเดิมที่ผมเห็นเสียจนชินตา...สถานที่ที่ทำให้ผมยิ้มได้ทุกครั้ง และเฝ้าภาวนาขอให้มีเวลาอยู่ที่นี่นานขึ้นอีกหน่อย...หากตอนนี้ มันกลับกลายเป็นที่เดียว ที่ผมอยากไปให้พ้น
...เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม...แผ่นหลังกว้างนั้นก็ยังคงเหมือนเดิม จะผิดไปก็ตรงใบหน้าซีดเซียวและดูซูบลงอย่างเห็นได้ชัด...กรอบหน้าคมที่เคยเกลี้ยงเกลาตอนนี้ประปรายด้วยไรหนวดและเครา...แววตาแข็งกระด้างเฉยชา...เขา...ไม่ใช่คนเดิมที่ผมเคยรู้จักอีกแล้ว
...ผมเดินเข้าไปลากเก้าอี้หวายที่เคยตั้งเคียงโต๊ะทำงานออกมาอยู่อีกมุมหนึ่ง...ทิ้งตัวลงนั่งและพยายามตั้งสมาธิให้จดจ่อเพียงแค่ตัวหนังสือตรงหน้า...ความเงียบเข้าปกคลุมก่อเกิดเป็นความอึดอัดในใจ...ทั้งตัวผมเอง และผมแน่ใจว่าอีกคนในห้องนี้ก็เช่นกัน
...เวลาช่างผ่านไปเชื่องช้ายิ่งนักเมื่อเทียบกับตอนปกติ...ผมได้แต่เฝ้ามองดวงอาทิตย์ดวงโตที่สาดแสงจ้าอยู่เบื้องบน หมายให้มันคล้อยต่ำเรี่ยเส้นขอบแม่น้ำเจ้าพระยาเสียที...ผมจะได้ไปจากที่นี่...หากแต่ดวงอาทิตย์คงไม่ฟังคำขอจากคนพลัดถิ่นเช่นผม ถึงได้ลอยอ้อยอิ่งอยู่กลางฟากฟ้าแผดแสงเจิดจ้ากว่าเคย...
...เวลาหกวันมันทำให้ความโกรธในใจของผมหายไปหมดสิ้น...คงเหลือไว้แต่ความไม่เข้าใจ...และแผลเป็นที่ยังไม่หายสนิทดี...สิ่งที่เขาพูดออกมาวันนั้น มันยังคงก้องอยู่ในความคิดของผมทุกคำ ทุกประโยค ราวกับใครฝังมันเอาไว้แน่นและยากที่จะถอนคืน...คำพูดนั้นมันทำร้ายผมเสียเหลือเกิน...เพราะคนที่พูดมันออกมา...คือคนที่ผมรู้สึกดีมากกว่าใคร...บ่อยครั้งที่อยากถาม...แต่เมื่อนึกถึงคำพูดส่อเสียดเหล่านั้นมันทำให้ผมได้แต่นิ่งเงียบ...ทิฐิในใจมันมีมากกว่า...และผมรู้ว่าตัวเขาเองก็เช่นกัน...แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจ...ผมทำอะไรผิด และมันสมควรแล้วหรือไม่ที่ผมต้องถูกประนามเช่นนี้
...ในที่สุดคำขอต่อดวงอาทิตย์ก็เป็นผลเมื่อมันลอยคล้อยต่ำสาดแสงทองอยู่เหนือแม่น้ำเจ้าพระยาเพียงแค่เอื้อม...ผมกล่าวลาเจ้าคุณไพศาลเพื่อขอตัวกลับเรือน...เขายังคงอยู่ในห้องทำงานเมื่อผมเดินออกมาโดยไม่มีการกล่าวลาใดๆต่อกัน...เจ้าคุณเองก็เพียงแค่ยิ้มอ่อนโยนพลางยกมือขึ้นตบบ่าของผมเบาๆราวกับจะปลอบโยน
.
.
.
"ทำงานอยู่รึพ่อ"เสียงหวานเอ่ยขึ้น คงเพราะเห็นผมนั่งเหม่ออยู่ที่ศาลาไม้สักข้างเรือนเหมือนเคย...บนโต๊ะมีกองเอกสารและหนังสือภาษาอังกฤษวางระเกะระกะ หากแต่ผมยังไม่ได้แตะมันสักนิด
"คุณพิกุล"เรียกชื่อลูกสาวเจ้าของเรือนที่ยืนยิ้มปรายอยู่ก่อนจะเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้าม
"เห็นพ่อแชมป์ว่า ช่วงนี้พ่อมิค่อยสบายใจนัก"สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้ ตอนนี้เธอเรียกชื่อไอ้แชมป์ได้ถูกต้องอย่างที่มันต้องการแล้ว
"ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ"คำโกหกคำโตที่ส่งออกไป แม้แต่ใครก็คงดูออก
"พ่อธีร์ แม้เรากับพ่อจักมิได้คุยกันมากนัก แต่เราก็เห็นพ่อเหมือนญาติเราคนหนึ่ง เราเห็นพ่อธีร์มิสบายใจก็พลอยเป็นห่วง คุณแม่ท่านก็ถามถึง พ่อธีร์จักให้ผู้ใหญ่ท่านเป็นห่วงเยี่ยงนี้รึ"ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งตอกย้ำว่าผมทำให้ทุกคนที่นี่ไม่สบายใจแค่ไหน ทั้งๆที่ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับที่นี่เลย...หากแต่สิ่งที่มันอยู่ข้างใน มันคือสิ่งที่ผมไม่สามารถพูดกับใครได้
"เห็นพ่อแชมป์ว่า พ่อธีร์มีปัญหากับหลวงแก้ว"ผมขอยกเว้นไอ้แชมป์ไว้คน เพราะมันต้องดูออกแน่อยู่แล้ว...แต่ทำไมต้องเอาไปบอกคุณพิกุลด้วยวะเนี่ย
"มีอะไรเล่าให้เราฟังได้หรือไม่...เรารู้จักหลวงแก้วตั้งแต่ยังเล็ก ได้ฟังที่คุณพ่อและเจ้าคุณไพศาลเล่าแล้วก็แปลกใจนัก"อย่าว่าแต่คุณพิกุล แม้แต่ผมเองยังแปลกใจ...แปลกใจที่ตัวเองโดนด่าเสียเละเทะขนาดนี้
"จักหาว่าเราสอดมิเข้าเรื่่องก็สุดแท้แต่พ่อ แต่เราก็เป็นห่วงงานของคุณพ่อเช่นกัน ช่วงนี้งานท่านมากนักแลยังมีปัญหาเยี่ยงนี้ เราเองก็พลอยไม่สบายใจ"คุณพิกุลเป็นคนดีนัก และผมก็เชื่อว่าคนที่เธอเป็นห่วงคงไม่ได้มีเพียงเจ้าคุณกับคุณหญิงสร้อย แต่ยังรวมไปถึงไอ้เพื่อนตัวดีของผมที่ทำท่าอยากถามไม่รู้กี่ครั้งแต่ก็ได้แต่ปิดปากเงียบเมื่อเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของผม
"ผมเข้าใจคุณพิกุลครับแต่มันไม่มีอะไรจริงๆ"ผมมองหน้าคนตัวเล็กที่แสดงท่าทีเป็นกังวลเห็นได้ชัด
"คุณหลวงแค่เข้าใจผมผิดนิดหน่อย"ไอ้คำว่านิดหน่อยผมเติมให้มันดูไม่ร้ายแรงเธอจะได้ไม่เป็นห่วง
"นิดหน่อยรึ"แต่ดูเหมือนเธอจะดูออกเสียนี่
"พ่อธีร์ เราโตมากับหลวงแก้ว ย่อมรู้จักหลวงเธอดี...แม้หลวงเธอจักมิใช่ผู้ชายเจ้าสำราญ ชอบเที่ยวเตร็ดเตร่ แต่ก็มิเคยเก็บเนื้อเก็บตัวเยี่ยงนี้มาก่อน เห็นทีปัญหาที่พ่อว่าจักมิใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้วกระมัง"ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวจากอีกฝ่าย...สำหรับผมมันคงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงได้ดูใหญ่โตนักสำหรับเขา
"มีปัญหาอะไรก็ให้พูดจากันเสียมิดีหรือพ่อ บึ้งตึงใส่กันเยี่ยงนี้ เรามิเห็นใครจักได้ประโยชน์"เธอเงียบไปสักพักก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากคนตัวเล็ก หากแต่เธอพยายามกลั้นไว้ด้วยการยกมือขึ้นมาปิดแต่พองาม
"มีอะไรเหรอครับคุณพิกุล"เจ้าของชื่อหันมามองหน้า ใบหน้ายิ้มหวานระเรื่่อ
"ก็ถ้าหากพ่อธีร์เป็นหญิงเราคงอดคิดเสียไม่ได้ว่าเป็นเรื่องพ่อแง่แม่งอนกระมัง"คำพูดที่ทำให้ผมนิ่งสนิท...พ่อแง่แม่งอนงั้นเหรอ...ใบหน้าหวานฉ่ำของคุณพิกุลยังเจือรอยยิ้ม ก่อนที่เจ้าตัวจะปลีกตัวขึ้นเรือนไป...ทิ้งให้ผมสงสัยกับคำพูดของเธอไม่หาย
.
.
.
.
เป็นอีกวันที่ผมต้องมาที่นี่...หากแต่วันนี้พระยาเจ้าของเรือนไม่อยู่ คงเหลือเพียงคุณหลวงคนสนิทที่ออกมานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาริมน้ำ...แม้รับรู้ได้ถึงการมาถึงแต่ก็ไม่มีแม้เสียงทักทาย
...ผมเดินตรงลิ่วไปยังห้องทำงานตามปกติ...ไม่ช้าร่างสูงโปร่งของอีกฝ่ายก็เดินตามมา และทุกอย่างก็ยังคงเป็นเช่นเดิม...ความเงียบและความอึดอัดลอยวนเวียนอยู่ในห้อง...ทิฐิที่สูงลิ่วของคนสองคนมันทำให้ผมอยากระเบิดอารมณ์ออกมาอีกครั้ง หากแต่ยั้งตัวเองไว้ได้เพราะรู้ตัวดีว่าการทำอะไรด้วยความขาดสติเป็นเรื่องสิ้นคิดเพียงใด...และผมก็ได้เห็นมาแล้วจากเหตุการณ์วันนั้น...
ผมสูดหายใจลึก...พลางไล่ทิฐิที่มีในใจ...แม้คำพูดเสียดสีเหล่านั้นยังคงอยู่ แต่ผมไม่สามารถปล่อยให้ทุกอย่างยืดเยื้อได้อีกแล้ว...หากยังต้องทำงานร่วมกันในบรรยากาศเช่นนี้ต่อไป ไม่วันใดก็วันหนึ่งผมคงได้ระเบิดมันออกมาหนักกว่าเก่า...ผมเดินไปหยุดอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม...คนตัวสูงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัยเล็กน้อย คงเพราะไม่คิดว่าผมอยากจะเข้าใกล้เขาอีกครั้งหลังจากปะทะคารมกันไปในวันนั้น...ใบหน้าคมดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้มองในระยะใกล้เช่นนี้
"เขียนเสร็จรึยังครับ จะได้เอาไปตรวจ"ว่าพลางยื่นมือออกไปตรงหน้า...พยายามข่มแววตาตัวเองให้เป็นปกติเมื่อได้สบเข้ากับนัยน์ตาคมของอีกฝ่าย...เขาเพียงพยักหน้าเบาๆก่อนจะยื่นปึกเอกสารหลายแผ่นมาให้...ผมรับมันมาแล้วนั่งไล่ดูบนเก้าอี้หวายตัวเดิมที่ถูกลากไปวางอยู่อีกมุม แต่ยังลอบมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายเป็นระยะ
"ผมรู้ว่าคุณหลวงอึดอัดที่ต้องทำงานกับผม...อดทนหน่อยนะครับ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว"ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนตอนที่พูด แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเมื่ออีกฝ่ายยังคงนั่งหันหลังให้เช่นเคย
"เรามิเคยพูดว่าอึดอัด"ประโยคแรกในรอบหนึ่งอาทิตย์ช่างสั้นนัก...และยังราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
"การกระทำมันแสดงออกชัดเจนกว่าคำพูดนะครับ"สิ้นเสียง อีกฝ่ายชำเลืองมองเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
"ถ้าเช่นนั้นพ่อก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน"เขาพูดถูก...ผมอึดอัด...แต่คนละความหมายกับเขา...ผมอึดอัดเพราะผมมีความรู้สึก...อึดอัดที่ถูกเมิน...อึดอัดที่ถูกคำพูดเสียดสีนั้นว่าร้าย...แต่เขาคงจะอึดอัดที่ต้องทำงานร่วมกับคนที่เขาดูถูกไว้เสียเต็มที่
...ผมไม่ตอบอะไรได้แต่ปล่อยความเงียบให้ปกคลุมอีกครั้ง...ผมคิดว่าผมทำดีที่สุดแล้ว...
คนตัวสูงเพียงลุกขึ้นยืนเดินตรงไปทางประตู แต่ก็ยังหยุดปรายตามองที่ผมเพียงครู่
"จักไปบอกแม่ชื่นให้ทำกับข้าว อยากกินอะไรหรือไม่"ผมส่ายหน้าตอบ อีกฝ่ายจึงเดินออกจากห้องไป
...ผมนั่งตรวจทานงานเขียนของอีกฝ่ายก่อนจะเดินกลับมาวางมันไว้ที่โต๊ะตามเดิม...เวลาห้าวันที่เขาเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานหากแต่จำนวนงานไม่ได้มากอย่างที่คิดไว้...แล้วยังมีจุดให้แก้ไขอีกหลายจุด จนผมเริ่มสงสัยว่าเขาเป็นอะไรกันแน่...แม้แต่คำพูดเสียดแทงอารมณ์ในวันนั้น จนถึงตอนนี้ผมเองก็ยังไม่เข้าใจ...ทำไมต้องโกรธ...ผมทำอะไรผิด...
...มือที่ไม่ทันระวังปัดเข้ากับกระดาษปึกหนาบนโต๊ะจนร่วงกระจัดกระจายไม่เป็นท่า...ผมรีบก้มลงเก็บพลางยกมือขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด
"โว้ย ต้องมานั่งเรียงหน้าใหม่อีก"เอกสารที่กองเรียงกันเรียบร้อยแต่ตอนนี้กลับลงไปเกลื่อนอยู่บนพื้น...โชคดีที่หลวงพิสิษฐเขียนหน้ากำกับไว้เลยช่วยให้จัดเรียงได้ง่ายขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ผมหงุดหงิดไม่น้อยที่ต้องมานั่งก้มๆเงยๆอยู่แบบนี้...
...เอกสารแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกจัดเรียงอยู่ในมือ...ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดเข้ากับกระดาษอีกแผ่นที่ไม่ได้เขียนหน้ากำกับเอาไว้...และตัวหนังสือในนั้นยังเป็นข้อความเพียงสั้นๆ ต่างจากกระดาษแผ่นอื่น...
...ผมเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา...ไล่อ่านตัวอักษรทีละตัว...ลายมือบนกระดาษแผ่นนั้นเป็นลายมือเดียวกับเอกสารอื่นไม่ผิดเพี้ยน...เพียงข้อความบนนั้นที่แตกต่าง...มือที่จับอยู่เริ่มสั่น...และสิ่งที่ได้ยินชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด...คือเสียงหัวใจของตัวเอง...
"หากแม้นสายนทีย้อนกลับได้
พี่จะโอบเจ้าไว้แนบอกพี่
ดวงเนตรฉ่ำโอษฐ์เอื้อนเอ่ยถ้อยพาที
จะมิมีวาสนาอีกหรือไร
ยามเจ้าห่างหายไปปวดใจนัก
ดั่งของรักที่ใฝ่ปองพลันสูญหาย
หากเจ้าหวนคืนมาอีกคราใด
พี่จะไม่ปล่อยเจ้าห่างไปไกลตา
พี่มิอาจเอ่ยความตามใจคิด
ด้วยพินิจไตร่ตรองเป็นหนักหนา
แม้นใฝ่ปองเคียงคู่ยอดชีวา
ด้วยเกรงว่าเจ้าจะตัดซึ่งไมตรี"
...๒๑ กรกฎาคม...
[/size]
ถ้อยคำเรียงร้อยที่ได้อ่านยังคงวนเวียนอยู่...มือที่ถือมันอยู่ยังคงสั่นเทา...และสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ไหลมาอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว...น้ำตากำลังไหลริน...ผมกำลังร้องไห้...น้้ำตาที่ไม่เคยมีใครได้เห็นอีกเลยนับแต่ตอนที่เสียพ่อกับแม่คราวนั้น...มันกลับมาทำให้ผมรู้ตัวอีกครั้ง ว่าผมยังมีความรู้สึก...แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกของการสูญเสีย...มันเป็นความรู้สึกราวกับความหนักหน่วงที่อยู่ในใจตั้งแต่แรกเริ่ม ตอนนี้มันกลับปลิวหายไปหมด...
...วันที่ที่ลงท้าย คือช่วงเวลาที่ผมหายไป...เขาเขียนมันขึ้นมาตอนที่ผมไม่อยู่...
...เสียงบานประตูที่เปิดออกทำให้ผมละสายตาจากตัวหนังสือตรงหน้าที่ผมไล่อ่านวนเวียนไม่รู้กี่ครั้ง...เขายืนอยู่ตรงนั้นพลางขมวดคิ้วมองเอกสารที่ปลิวเกลื่อน...และตัวผมที่นั่งนิ่งอยู่บนพื้น...มือยังคงสั่น...และน้ำตายังคงไม่แห้งเหือดไป...คนตัวสูงสาวเท้ายาวเข้าหาด้วยความสงสัยในภาพที่เห็นตรงหน้า หากแต่ต้องชะงักไปเมื่อเห็นสิ่งที่ผมถืออยู่...เขาขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะยื่นมือมาดึงกระดาษแผ่นนั้นออกจากมือของผม...กำลังจะหันหลังกลับหากแต่มือของผมคว้ามือใหญ่ของเขาไว้ได้ทัน...
"ทำไม..."พยายามกลั้นน้ำตาที่ไหลอยู่ คำพูดเลยขาดหายเพียงแค่นั้น
"ทำไมไม่เคยพูด"มือของผมที่บีบอยู่นั้นมันสั่นเสียจนผมเองยังตกใจ...เขาเพียงถอนหายใจยาวแต่ไม่ยอมหันกลับมามอง
"เกรงว่าพ่อจักรังเกียจ"คำตอบเพียงสั้นๆ...รังเกียจงั้นหรือ...ผมเคยแสดงท่าทีแบบนั้นให้เขาเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
"แล้วเคยถามมั้ย ว่าผมรังเกียจรึเปล่า"ทิฐิและความอึดอัดที่เคยมีลอยหายไปแล้ว...เหลือเพียงตัวผมที่นั่งนิ่งอยู่กับพื้นและคนตัวสูงที่ยืนหันหลังให้ เพียงแค่มือของผมเท่านั้นที่ยังบีบมือใหญ่ของอีกฝ่ายแน่นไม่ยอมปล่อย
"ทำไมไม่ถาม!"ตวาดเสียงดังพร้อมน้ำตาที่ไหลรินลงมาอีกครั้ง เสียงสะอื้นเหมือนเด็กน้อยมันช่างน่าอาย...ผมกำลังร้องไห้ โดยหาคำตอบกับตัวเองไม่ได้เลยว่าเพราะอะไร
...ใบหน้าคมเข้มนั้นหันมา...และโดยไม่ทันตั้งตัวร่างสูงของคนตรงหน้าก็โผลงมากอดผมเอาไว้แน่น...ตัวผมสั่น...เขาเองก็เช่นกัน...อ้อมแขนนั้นกระชับแน่นราวกลับกลัวว่าผมจะหายไปเสียต่อหน้า...
"เราขอโทษ อย่าร้องเลยนะพ่อ"ราวกับคำสั่งที่ทำให้น้ำตายิ่งไหลออกมาไม่หยุด...เสียงสะอื้นนั้นยิ่งทำให้วงแขนของคนตรงหน้ากระชับแน่นขึ้นอีก
"พ่อจักโกรธหรือเกลียดเราก็ยอม แต่อย่าร้องไห้แบบนี้ เราขอโทษ พ่อธีร์ เราขอโทษ"น้ำเสียงนุ่มสั่นเครือเอ่ยเบาข้างหู...มือที่คลายอ้อมกอดออกเอื้อมมาเกลี่ยหยาดน้ำใสที่ข้างแก้มเพียงแผ่วเบา
"ผมโกรธ..."เพียงคำพูดสั้นๆที่ทำอีกฝ่ายชะงักมือ ใบหน้าคมเข้มเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
"โกรธที่คุณหลวงไม่เคยถาม...โกรธที่คุณหลวงไม่เคยพูด...โกรธที่ทำให้ผมคิดว่าผมคิดไปเองคนเดียว แล้วผมก็โกรธ...ที่คุณหลวงดูถูกผม...หาว่าผมมีอะไรกับไอ้หลวงหื่นกามนั่น"คำพูดทั้งหมดที่อัดอั้นอยู่ข้างในตลอดเวลาเจ็ดวันพรั่งพรูออกมาไม่หยุด...เสียงที่ดังกว่าปกติสั่นเครือปนกับเสียงสะอื้น...น้ำตาที่คิดว่าหยุดไปแล้วกลับไหลลงมาอีกครั้ง...ก่อนที่อีกฝ่ายจะดึงตัวผมเข้าไปกอดไว้แน่น หากแต่คราวนี้ผมเอื้อมมือออกไปโอบรอบแผ่นหลังกว้างนั้นกลับเช่นกัน
"เราขอโทษ หยุดร้องเถิดพ่อ"ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับเพียงแค่กระชับวงแขนให้แน่นขึ้นกว่าเดิม...ในที่สุดผมก็ได้รู้ความรู้สึกของคนตรงหน้า...ความรู้สึกที่มันเหมือนกันกับผม...ความรู้สึกที่ทำให้ผมไม่อยากแม้แต่จะปล่อยมืออออกจากวงแขนนี้อีกเลย...แม้ผมจะไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นเช่นไรก็ตาม
"เราเกรงว่าพ่อจักรังเกียจ...พ่อเป็นชาย เราก็เช่นกัน...เราพยายามหักใจ แต่ทุกครั้งที่เราได้อยู่ใกล้พ่อเรามีความสุขเหลือเกิน"วงแขนแกร่งยังตระกองกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย...น้ำเสียงนุ่มเอ่ยความรู้สึกที่มีให้ผมได้ฟังโดยที่ผมทำได้เพียงซุกหน้าลงบนแผ่นอกกว้างเท่านั้น
"ที่พ่อมิพอใจเรื่องแม่พิกุล เรามิกล้าคิดเข้าข้างตัวเอง เราเพียงแต่คิด หากพ่อมีใจให้แม่พิกุลจริงเราจักยินดีด้วย แม่พิกุลเองก็งามพร้อมแลพ่อเองก็เป็นชายจักพึงใจแม่พิกุลก็มิใช่เรื่องผิด"
"หากแต่เรื่องหลวงเจษฎ์ทำให้เราขาดสติยิ่งนัก ยิ่งได้เห็นพ่อกับหลวงเจษฎ์ที่เรือนวันนั้น แลเรื่องที่เรารู้มาเกี่ยวกับหลวงแก เรายิ่งโกรธ"ผมได้แต่เงียบฟังสิ่งที่เขาระบายออกมาไม่หยุดหย่อน...เสียงสะอื้นและน้ำตาแห้งเหือดไปแล้ว คงเหลือเพียงอ้อมแขนอุ่นที่ยังไม่ยอมปล่อยไปไหน
"เราเข้าใจว่าพ่อเองก็พึงใจหลวงเจษฎ์จึงยอมให้แกเข้าใกล้ เราโกรธที่คนๆนั้นไม่ใช่เรา"
"อย่าร้องเลยนะพ่อ เรามิอยากเห็นพ่อร้องไห้ หากพ่ออยู่กับเราแล้วต้องเป็นแบบนี้ เรา..."คำพูดสุดท้ายถูกหยุดไว้ด้วยนิ้วเรียวของผมที่แตะเพียงแผ่วเบาบนริมฝีปากหยักได้รูปนั้น
"ผมไม่อยากฟังแล้ว"คนตัวสูงเพียงยกมือขึ้นกุมมือของผมเอาไว้แน่น ผมจ้องกลับไปที่นัยน์ตาคมที่เคยนิ่งสนิทแต่บัดนี้กลับฉายแววไม่มั่นใจ
"ทำไมคุณหลวงชอบคิดไปเองครับ ตั้งแต่เรื่องคุณพิกุล เรื่องไอ้หลวงหื่นกามนั่น คุณหลวงไม่คิดจะถามผมเลยเหรอครับ"ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมโกรธ...โกรธคนตรงหน้าที่ทำเรื่องง่ายๆให้มันวุ่นวายขนาดนี้...เขาไม่ตอบอะไรเพียงส่งสายตาเจือแววเสียใจมาให้...มือใหญ่นั้นยังคงกุมมือผมเอาไว้แน่น
"แล้วผมก็ไม่เคยพูดว่าผมไม่อยากอยู่กับคุณหลวง เลิกคิดไปเองได้แล้วนะครับ"ผมยกมืออีกข้างประคองใบหน้าคมเข้มนั้นเพียงแผ่วเบาขณะที่อีกฝ่ายทาบทับมือใหญ่ของเขาลงมาเช่นกัน...เพียงชั่วครู่ที่เวลาเหมือนหยุดนิ่ง...ความเงียบก่อตัวอีกครั้งหากมีเพียงแววตาสองดวงที่สบกันไม่ไหวติง ราวกับต้องการจะสื่อความรู้สึกทั้งหมดนั้นออกมา...ริมฝีปากหยักได้รูปบรรจงจูบลงบนหน้าผากของผมเพียงแผ่วเบาทว่าความอบอุ่นนั้นแทรกลึกไปถึงกลางหัวใจ...หลวงพิสิษฐคนเดิมกลับมาแล้ว...
...ผู้ชายคนแรกที่ผมรักกลับมาอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง...และผมขอมีเพียงคนๆนี้ไม่ว่าทั้งในปัจจุบันหรืออนาคต...
.
.
.
.
กว่าจะรู้ตัว ดวงอาทิตย์ดวงโตก็ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว...ภายนอกปกคลุมด้วยความมืดมิด แว่วเพียงเสียงลมโชยแผ่วเบา...เก้าอี้หวายตัวเดิมถูกลากกลับมาวางอยู่เคียงโต๊ะทำงาน...เช่นเดียวกับตัวผม...วันนี้เสียเวลาทำงานไปนาน เลยต้องอยู่ยาวจนดึกดื่น...ผมไล่สายตาตามตัวอักษรบนกระดาษในมือ หากแต่รู้สึกได้ถึงสายตาคมของอีกฝ่ายที่มองอยู่นาน
"มองอะไรครับ"ละสายตาจากตัวหนังสือตรงหน้าก็สบเข้ากับดวงตาสวยคู่นั้นทันที...รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าคมเข้ม...รอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมาเสียนาน
"มองพ่อธีร์"ความรู้สึกร้อนวูบจนต้องหลบสายตามาอ่านข้อความในกระดาษต่อ
"ได้ทีเอาใหญ่นะครับคุณหลวง"ได้แต่ตอบกลับด้วยเสียงอ้อมแอ้ม
"ก็เราไม่ได้มองเสียนาน ขอมองหน่อยมิได้รึ"คำตอบที่ทำให้ผมก้มหน้าลงจนเกือบชิดแผ่นกระดาษในมือ...แว่วเสียงหัวเราะของคนตัวสูงเบาๆ
"ก้มหน้าเสียใกล้ จักอ่านรู้เรื่องหรือพ่อ"ยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุ...ยอมเอากระดาษบางๆนี่บังหน้าเสียดีกว่าให้สู้สายตาคมกริบนั่น...มือใหญ่เอื้อมมาดึงแผ่นกระดาษตรงหน้าออก เผยให้เห็นรอยยิ้มโปรยของคนตัวสูงอีกครั้ง
"ดึกแล้ว ไว้วันพรุ่งค่อยทำต่อ"ว่าพลางวางแผ่นกระดาษลงบนโต๊ะ...แม้แต่อีกฝ่ายเองก็วางปากกาขนนกลงเช่นกัน
...เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเจ้าคุณไพศาลที่เปิดเข้ามา...แกเพิ่งกลับมาถึงเรือนและดูประหลาดใจที่ผมยังนั่งอยู่ในห้อง
"อ้าว พ่อธีร์ ดึกมากแล้วยังมิกลับรึ"ผมเองก็ไม่รู้ว่าดึกมากที่เจ้าคุณว่ามันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว
"กำลังจะกลับแล้วครับ"เจ้าคุณไพศาลขมวดคิ้วมุ่น สีหน้ากังวลเล็กน้อย
"เห็นทีจักไม่ได้เสียล่ะ ดึกป่านนี้บ่าวไพร่มันเข้านอนกันหมดแล้ว ค่อยกลับวันพรุ่งเถิดพ่อ"คำตอบของเจ้าของเรือนที่ทำเอาผมเบิกตากว้าง แต่คนตัวสูงข้างๆเพียงแค่กลั้นหัวเราะเบาๆ
"คืนนี้ก็นอนเสียที่นี่ ห้องรับรองแขกที่เรือนเราก็มี"
"จะดีเหรอครับ ผมเกรงใจ"ไม่ได้เกรงใจแต่ตกใจต่างหาก...ตั้งแต่ทำงานที่เรือนนี้มายังไม่เคยต้องนอนค้างอ้างแรมแม้แต่ครั้งเดียว...แล้วทำไมมันจะต้องเป็นวันนี้ครับ
"เกรงใจอะไรกันเล่า หากเราปล่อยพ่อกลับเสียตอนนี้เห็นทีได้ถูกเจ้าคุณจิตราค่อนขอดเป็นแน่ ให้คนของเขาทำงานเสียดึกดื่น"เจ้าของเรือนยังยืนกรานคำเดิม ผมเลยได้แต่เงียบไม่รู้จะเถียงอะไร
"ประเดี๋ยวให้หลวงแกพาไปที่ห้องรับรองแขกนะพ่อ"พยักหน้ารับแบบไม่ค่อยสมยอมเท่าไหร่...ส่วนคนถูกอ้างถึงเอาแต่นั่งอมยิ้มไม่พูดอะไร
"เจ้าคุณจะนอนแล้วเหรอครับ"เห็นเจ้าคุณไพศาลกำลังเอื้อมมือปิดประตูเลยทักขึ้น
"กำลังจักขึ้นเรือน เห็นไฟสว่างอยู่นึกว่าหลวงแกลืมดับ"พูดจบก็ยิ้มอ่อนโยนเช่นเคยก่อนจะปิดประตูห้องทำงานลง...แว่วเสียงหัวเราะของบางคนอยู่ใกล้ๆ
"ขำอะไรครับ"ยิ้มหวานโปรยแต่ไม่ได้มองหน้าทำเอาผมสงสัย
"ไม่มีอะไร...ไปเถิดพ่อ"ว่าพลางลุกขึ้นเดินนำออกจากห้อง...เอาเถอะ อย่างน้อยก็นอนห้องรับรองแขก...ไม่ได้นอนห้องเดียวกันเสียหน่อย...แล้วนี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่ครับ?...
เดินขึ้นมาบนชั้นสองเห็นประตูห้องหลายบาน เลยชักไม่แน่ใจว่าเจ้าคุณแกมีห้องรับรองแขกกี่ห้องกันแน่...คนตัวสูงเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง ก่อนจะเปิดออกแล้วเดินนำเข้าไป...แล้วนี่เขาจะเข้าไปทำไมล่ะครับ
"นี่ห้องรับรองแขกแน่เหรอครับ ทำไมกว้างจัง"แม้จะมืดแต่ก็ยังพอเห็นได้รางๆว่าห้องนี้กว้างขวางเกินกว่าจะเป็นห้องรับรองแขกธรรมดา
"มิใช่หรอก...ห้องเราเอง"หาาาาา?
"คุณหลวง"กำลังตกใจอยู่เลยเรียกออกไปได้แค่นั้น...อีกฝ่ายหันกลับมายิ้มโปรยให้เช่นเคย...แล้วมันใช่เวลาไหมเล่า
"พ่อธีร์อยากนอนที่ห้องรับรองแขกรึ"น้ำเสียงยียวนถามขึ้น...ความจริงก็ไม่อยาก...ไมใช่!...คือผมยังไม่พร้อมเอ๊ย!...พอๆ คิดไปไหนแล้วครับไอ้ธีร์
"นอนเสียที่นี่ล่ะ เรามิทำอะไรพ่อหรอก"ถึงจะพูดแบบนั้นมันก็ห้ามหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะนี่ไม่ได้...เจ้าของห้องเอื้อมมือไปเปิดไฟในห้องให้สว่าง...ดวงไฟสีส้มเผยให้เห็นสภาพห้องที่ถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อย...เตียงสี่เสาขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องถูกคลุมทับด้วยผ้าแพรมันวับสีน้ำเงิน...ฝั่งผนังห้องก็เต็มไปด้วยชั้นหนังสือหลายชั้นและหนังสือที่อัดแน่นอยู่เต็ม...แต่ที่ทำให้ผมตกใจจนต้องเบิกตาโพลงกลับเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่เบื้องหลังเจ้าของห้องในตอนนี้ต่างหาก...
"คุณหลวงครับ...โต๊ะนั่น!"
.......................................................................
จุดพลุให้น้องธีร์หน่อยคร๊าาาา

พี่แก้วเขาหึงโหดนะขอบอก ลูกชายต้องระวังตัวดีๆละ หึหึ
ว่าจะแกล้งให้งอนกันนานๆ สงสารนังน้องธีร์นั่งเป็นหมาหงอยเลย

ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ
