ตอนที่ ๑๗...สองสิ่งที่เหมือนกัน
"คุณหลวงครับ...โต๊ะนั่น"
สิ่งที่ทำให้ใจผมสั่นได้มากกว่าการเข้ามาในห้องนอนของหลวงพิสิษฐคือของบางอย่างที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของผมในตอนนี้
ภาพของโต๊ะไม้สักโบราณคุ้นตาปรากฎให้เห็นตรงหน้า...ทั้งสีของไม้ ขนาด และรูปทรง เหมือนกับโต๊ะในห้องทำงานของเจ้าคุณจิตราไม่ผิดเพี้ยน...ผมเดินเข้าไปใกล้พลางไล่สายตาไปทั่ว...ที่ทับกระดาษรูปร่างเหมือนกันวางทับกองเอกสารหลายแผ่น...นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน
"มีอะไรรึพ่อ"เจ้าของห้องเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางสาวเท้าเข้ามายืนข้างๆ
"คุณหลวงได้โต๊ะนี่มาจากไหน"ผมขมวดคิ้วแน่น...สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้ผมมึนงงไปหมด
"นี่รึ...ลูกชายคุณพระคนสนิทของเจ้าคุณไพศาลแกมอบให้ แกมีความสามารถด้านงานไม้ จักหาใครในพระนครเทียบฝีมือยากนัก"เจ้าของห้องอธิบายเสียงเรียบ หากแต่สิ่งที่ผมติดใจกลับไม่ใช่ความปราณีตบรรจงในผลงานชิ้นนี้
"แต่โต๊ะตัวนี้กับที่เรือนเจ้าคุณจิตรา..."นิ้วเรียวชี้ไปที่โต๊ะพลางขมวดคิ้วมุ่น สมองกำลังประมวลผลอะไรบางอย่าง
"อ้อ เขาทำไว้สองตัวน่ะ เป็นของขวัญให้เจ้าคุณทั้งสองวันที่รับตำแหน่งพระยา แต่เจ้าคุณไพศาลกลับยกให้เราเสียนี่ ท่านว่ามันเข้ากับห้องนี้"ผมเคยได้ยินมาว่าเจ้าคุณทั้งสองสนิทกันมากเพราะเรียนด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก...เข้ารับราชการก็พร้อมๆกัน และยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นพระยาพร้อมกันอีก...ไม่นึกว่าแม้แต่ของขวัญก็ยังได้ของที่เหมือนกัน...และผมก็พอจะเข้าใจเจ้าคุณไพศาล เพราะเมื่อเทียบกับห้องอื่นบนเรือนนี้ที่ตกแต่งแบบฝรั่ง...มีเพียงห้องของหลวงพิสิษฐห้องเดียวที่ยังดูเป็นแบบไทยโบราณอยู่ และผมก็ไม่เถียงว่ามันเข้ากับห้องนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งสีและเนื้อไม้ก็เป็นแบบเดียวกันกับเตียงและตู้หนังสือในห้อง...แต่สิ่งที่เห็นมันทำให้ผมสับสนไปหมด...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน...สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างปัจจุบันของผมและปัจจุบันของที่นี่ กลับไม่ได้มีเพียงแค่ชิ้นเดียว...และถ้ามันไม่ได้มีแค่ชิ้นเดียว...แล้วในโลกปัจจุบันของผมล่ะ...โต๊ะอีกตัวหนึ่งอยู่ที่ไหน...หรือมันยังอยู่หรือไม่
"เป็นอะไรรึพ่อ"ถามเพียงสั้นๆ ผมเลยได้เพียงส่ายหน้าตอบ...แต่สัมผัสของมือใหญ่ที่แตะลงแผ่วเบาที่แก้มทำเอาเรื่องที่กำลังสงสัยกลับปลิวหายไปทันที รู้สึกร้อนวูบที่หน้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น...เขาเพียงยืนมองหน้าและโปรยยิ้มให้เช่นเคย
"คุณหลวงรู้มั้ยครับ ก่อนมาที่นี่ผมเคยฝัน"ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมา...เจ้าของห้องมองหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงถาม
"ในฝันนั้นมีเพียงความมืด...มีเพียงเสียงเดียวที่ผมได้ยิน...เสียงนั้นเหมือนกับเสียงคุณหลวงไม่มีผิด"คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ฟังสิ่งที่ผมเล่า
"เสียงนั้นเรียกผมว่า..."
"-พ่อธีร์-"สองเสียงที่ประสานกันทำให้ผมหันไปมองคนตัวสูงด้วยความแปลกใจ
"คุณหลวงรู้..."หากแต่เจ้าตัวเพียงแค่ส่ายหน้า
"ยังจำวันแรกที่เราได้พบกับพ่อได้หรือไม่ วันนั้นพ่อถามว่าเราเคยพบกันมาก่อนไหม"ผมพยักหน้ารับ ยังคงจำได้ดี
"สิ่งที่เราตอบพ่อในวันนั้นเป็นความจริง เรามิเคยเห็นหน้าพ่อมาก่อน หากแต่เรารู้สึกถูกชะตา ในคราแรกเราคิดว่าเพราะพ่อเป็นคนประหลาดนัก ท่าทางแลการพูดจารึก็ไม่เหมือนชาวพระนคร"ผมหรี่ตามองคนตัวสูง ไม่แน่ใจว่ากำลังถูกชมหรือแอบด่า แต่ก็เลือกที่จะเงียบไว้ไม่อยากขัด
"แต่มันมิใช่อย่างที่เราคิด ทุกคราที่เราได้ใกล้ชิดพ่อ เรารู้สึกประหลาดนัก มันเป็นความรู้สึกที่แม้แต่หญิงใดในพระนครก็มิเคยทำให้เรารู้สึกเช่นนี้ได้"คำพูดที่ทำให้ผมหน้าแดงวาบขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่รอยยิ้มปรายบนใบหน้าของคนตัวสูงกลับแสดงออกได้ดีกว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นไหนๆ
"หากพ่อธีร์บอกว่าเคยฝันถึงใครบางคนที่เรียกพ่อแบบนั้น การที่เราได้มาเจอกับพ่อก็คงมิใช่เรื่องบังเอิญ"ในสมัยของผม คำว่าพรหมลิขิตคงกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปเสียแล้ว...แต่ในเวลานี้จะหาคำใดมาอธิบายสิ่งที่มันเกิดขึ้นทั้งหมดนอกจากคำนี้...ก็คงไม่มีอีกแล้วเช่นกัน
"ดึกมากแล้ว นอนเถิดพ่อ"คำพูดที่เรียกสติผมกลับมา...หันไปมองเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ที มองหน้าคนตัวสูงทีอย่างลังเล
"คุณหลวงจะให้ผมนอนห้องนี้จริงเหรอครับ"เห็นอีกฝ่ายกลั้นหัวเราะแล้วพาลรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกแกล้งเสียนี่
"ขำอะไรครับ"ถามกลับตาขวาง...ที่จริงไม่รู้จะทำอะไรเลยใส่อารมณ์แก้เก้อไปอย่างนั้น
"ไม่อยากนอนห้องนี้รึ"ยังยั่วไม่เลิก...ใช่ว่าไม่อยาก...แต่มันรู้สึกแปลกๆ...ก่อนจะได้ตอบอะไร มือใหญ่ก็ยื่นมาฉวยข้อมือของผมเอาไว้พลางเดินนำไปที่เตียง...แล้วผมก็เดินตามเขาไปโดยดีเสียด้วยสิ
"เราเพียงอยากให้พ่ออยู่ด้วย แต่ถ้าพ่อไม่สบายใจ..."ว่าพลางนั่งลงบนเตียงกว้างแล้วดึงให้ผมนั่งลงข้างๆ มือที่จับอยู่นั้นยังไม่ยอมปล่อย
"ยังไม่ได้บอกซักหน่อยว่าไม่สบายใจ"บ่นพึมพำกับตัวเองแต่ดูท่าจะดังพอให้คนข้างๆได้ยิน...นิ้วเรียวค่อยๆเกลี่ยปลายผมที่ยาวลงมาปรกหน้าของผมขึ้นไปทัดหู ดวงตาคมคู่นั้นยังมองมาไม่วางตา หากแต่ใบหน้าเจือรอยยิ้มอ่อนโยน
"ขอให้เราได้เห็นหน้าพ่อเช่นนี้ทั้งคืน เราก็มีความสุขมากแล้ว"ผมได้แต่ช้อนตามองใบหน้าคมนั้นโดยไม่มีคำพูดใดๆ ปลายนิ้วเรียวระเรื่อยลงมาไล้อยู่ข้างแก้มและวนเวียนอ้อยอิ่งอยู่เช่นนั้น
"คุณหลวง"ผมเรียกคนตรงหน้าเมื่อถูกมองด้วยดวงตาสวยคู่นั้น หากแต่เจ้าตัวเพียงส่ายหน้าเบาๆ
"พ่อธีร์...เราอาจเป็นหลวงพิสิษฐของใครต่อใคร แต่สำหรับพ่อแล้ว เราขอเป็นเพียงพี่แก้วของพ่อได้หรือไม่"น้ำเสียงเนิบนาบน่าฟังทำเอาผมรู้สึกร้อนวูบไปทั้งหน้าแม้แต่นิ้วเรียวของอีกฝ่ายที่ไล้อยู่บนแก้มก็คงสัมผัสได้เช่นกัน...ที่ทำได้...ก็เพียงแค่ก้มหน้าหลบสายตา
"...พี่แก้ว..."เสียงที่เอ่ยออกมาช่างเบายิ่งนัก แต่กลับดังพอที่คนตรงหน้าจะได้ยิน...ร่างสูงโน้มเข้ามาใกล้ จรดริมฝีปากได้รูปลงบนหน้าผากของผมเพียงแผ่วเบา ก่อนจะดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้
"พ่อธีร์ของพี่"เสียงนุ่มกระซิบเบาๆที่ข้างหู ลมหายใจอุ่นระเรี่ยต้นคอทำเอาผมต้องซุกหน้าเข้ากับอกกว้างนั้นยิ่งกว่าเดิม
...หากแม้หลวงพิสิษฐจะล่วงรู้...ผมเองก็มีความสุขเช่นกัน...
...แสงอรุณยามเช้าส่องลอดบานหน้าต่างทรงฝรั่งบนชั้นสองของเรือน...แว่วเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วและลมโชยเอื่อยโบกพลิ้วหยอกล้อกับผ้าม่านโปร่งบาง...ราวกับนาฬิกาบอกเวลาให้ตื่น...หากเพียงขยับตัวก็สัมผัสได้ถึงท่อนแขนแกร่งที่วางพาดผ่านตัว...ภาพแรกที่เห็นเมื่อลืมตาคือกรอบหน้าคมเข้มที่ถูกสรรสร้างมาอย่างงามพร้อมของคนตัวสูงที่ยังคงหลับตาพริ้ม ได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะ ท่อนแขนที่พาดอยู่ยังโอบรอบเอาไว้เพียงหลวมๆ...ผมมองใบหน้ายามหลับใหลของอีกฝ่ายราวกับนักสำรวจ...แพขนตาหนา...สันจมูกโด่ง...ริมฝีปากหยักได้รูป หรือแม้แต่กรอบหน้าคมเข้ม...แม้ผมเองจะไม่สันทัดเรื่องการมองผู้ชายด้วยกันสักเท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนตรงหน้านั้นช่างใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ...
"แอบมองคนหลับ...มิงามนะพ่อ"รอยยิ้มปรายปรากฎบนใบหน้าหากแต่เจ้าตัวยังคงหลับตาพริ้ม มีเพียงเสียงหยอกล้อเบาๆที่ทำให้ผมต้องละสายตาแทบจะทันที
"มองตอนตื่นก็ได้...เราไม่หวงหรอก"แพขนตาหนากระพริบช้าๆเผยให้เห็นดวงตาคมวาววับที่จดจ้องมา
"ตื่นแล้วก็ไม่บอกนะครับ"ได้แต่ทำหน้ามุ่ยแก้เก้อ
"ตื่นนานแล้ว...แต่นอนมองหน้าพ่อเสียเพลิน"รอยยิ้มกริ่มทำเอาหน้าผมร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้ง...บางครั้งก็นึกตลกตัวเองที่มีอาการเขินอายอย่างกับผู้หญิงเป็นกับเขาเหมือนกัน...แต่ก็ดูเอาเถอะ ช่างหยอด ช่างล้อเสียขนาดนี้...ใครมันจะไปทนเฉยอยู่ได้
"เอ ปากหวานแบบนี้กับทุกคนรึเปล่านะครับ"แว่วเสียงหัวเราะเบาของอีกฝ่าย
"เห็นทีจะไม่ได้เสียแล้ว"
"ทำไมล่ะครับ"ขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย
"เกรงว่าบางคนจะร้องไห้อีกน่ะซี"
"หลงตัวเองไปรึเปล่าครับ"ถึงจะเขินหน้าแดง แต่เรื่องต่อปากต่อคำก็ไม่เคยยอมเหมือนกัน
"ให้เราหลงตัวเองหน่อยเถิดพ่อ เราจะได้รู้ว่าไม่ได้คิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียว"อ้อมแขนยิ่งกระชับแน่นกว่าเดิมทำเอาผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
...และถ้าผมไม่ได้คิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียว...ผมว่านี่มันก็เป็นเช้าที่สดใสวันหนึ่งเลยทีเดียวนะ...
หลวงพิสิษฐลงไปข้างล่างแล้ว เหตุเพราะเจ้าคุณไพศาลมีงานจะสั่งก่อนที่ท่านจะออกไปที่กรม...ส่วนผมที่ยังอยู่ในห้องไม่กล้าเสนอหน้าลงไปด้วยกลัวว่าเจ้าของเรือนเขาจะรู้เอาเสียก่อนว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนที่ห้องรับรองแขกอย่างที่แกว่า...แม้ผมจะล่วงรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนรอบข้างจะเข้าใจมัน...ผมรู้ดีว่าสมัยนี้เรื่องระหว่างผมกับคุณหลวงหนุ่มเป็นเรื่องยากนักที่ใครจะยอมรับได้ แม้แต่เจ้าคุณไพศาลเองถึงแม้ท่านจะมีเมตตาและเป็นคนใจดีอยู่มาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะเข้าใจเรื่องแบบนี้เช่นกัน...
...ผมสอดส่ายสายตาไปทั่วห้อง พลันสะดุดตากับโต๊ะไม้สักตัวเดิม...สิ่งที่สงสัยค้างคาเมื่อคืนนี้วนกลับมาในความคิดอีกรอบ...มันคือความบังเอิญจริงหรือ...โต๊ะโบราณที่ผมเคยคิดมาตลอดว่ามันมีเพียงหนึ่งเดียว มาวันนี้ผมกลับได้เห็นอีกหนึ่งตัวที่เหมือนกัน...ที่ทับกระดาษยังวางทับกองเอกสารปึกหนาบนโต๊ะ...ผมหยิบมันขึ้นมาพลางพลิกดูด้านล่าง...แน่ล่ะว่ามันไม่มีตัวอักษรอะไรอย่างที่ผมคาดหวังไว้...ผมไล่สายตาและนิ้วมือไปตามเนื้อไม้ของโต๊ะที่คุ้นตาเป็นอย่างดี...ฝีมือคนที่ทำมันช่างปราณีตบรรจง...ลวดลายสลักเสลาบนขาโต๊ะก็ทำได้อย่างวิจิตรงดงาม
"ทำอะไรอยู่รึพ่อ"เสียงนุ่มปลุกผมจากความคิดพร้อมเจ้าของห้องที่เดินเข้ามา
"เปล่าครับ"ผมส่ายหน้าตอบ
"เราเห็นพ่อธีร์สนใจโต๊ะตัวนี้ตั้งแต่เมื่อคืน มีอะไรรึ"คำถามที่ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร...ใจหนึ่งผมก็อยากบอกความจริง แต่อีกใจก็คิดว่าเขาคงหาว่าผมบ้าเป็นแน่
"แค่คิดว่ามันเหมือนกันมากน่ะครับ"
"กับของที่เรือนเจ้าคุณจิตราน่ะรึ"ผมพยักหน้ารับ ยังไม่ละสายตาจากมัน
"ต้องเหมือนซี ก็ช่างคนเดียวกัน"
"เจ้าคุณท่านถูกใจโต๊ะตัวนี้นัก แต่กลับยกให้เราเสียนี่ ท่านว่ามันเข้ากับห้องนี้ ตอนแรกเราปฏิเสธเพราะมันเป็นของขวัญของท่าน แต่ท่านก็ยืนกรานให้เรารับไว้ ท่านว่าอย่างไรเสียก็อยู่ในเรือนเดียวกัน"
"แล้วคุณหลวงชอบมันมั้ยครับ"คนตัวสูงพยักหน้ารับ
"แต่มีอย่างอื่นที่ชอบมากกว่า"ผมขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มกริ่มมองมา
"พ่อธีร์ของพี่แก้วน่ะ"ก้มลงกระซิบข้างหูเบาๆทำเอาใบหน้าผมร้อนวูบอีกครั้ง
"คุณหลวง!"เจ้าของห้องเพียงแค่หัวเราะเบาๆเมื่อถูกผมตีที่แขนเข้าให้...ทำไมถึงเป็นคนชอบแกล้งแบบนี้นะหลวงพิสิษฐ!
...กว่าจะกลับมาถึงเรือนเจ้าคุณจิตราก็บ่ายแก่แล้ว เพราะต้องนั่งทำงานที่ค้างตั้งแต่เมื่อวานให้เสร็จ...พอกลับมาถึงก็เจอไอ้ตัวดีตั้งท่ากวนประสาทอยู่ที่ท่าน้ำนี่...ถึงขั้นต้องมารอรับเสด็จกันเลยทีเดียว
"เป็นสาวเป็นแส้ ริไปค้างอ้างแรมบ้านผู้ชาย"ทำเสียงเลียนแบบตัวร้ายในละคร ใส่อารมณ์เต็มที่เลยนะมึง
"เชี่ยยยย ถีบมาได้!"ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องโดน...ไม่เคยจะจำ
"แหม๊ๆ อารมณ์ดีนะจ๊ะน้องสาว"ไม่พูดเปล่ายื่นหน้ากวนๆเข้ามาอีก...ไอ้นี่ถ้าไม่เจ็บตัวอีกทีคงไม่เลิก
"จะไปไหนครับพี่ธีร์..."ไอ้แชมป์รีบคว้าคอเสื้อผมไว้ได้ทันก่อนที่ผมจะเดินขึ้นเรือน แล้วไอ้ท่ายักคิ้วหลิ่วตาของมันนี่คืออะไรครับ
"ไหนเล่าให้พี่แชมป์ฟังซิครับ ว่าอะไรยังไง"
"อะไรยังไงวะ"ผมปัดมือมันออกจากคอเสื้อแต่มันยังรั้งไว้แน่นไม่ปล่อย
"เอ้า บ้านช่องไม่กลับเนี่ยอะไรยังไงคร้าบบบบ"
"หึ! คิดจะเล่นกูไม่ดูตัวเองเลยนะครับ เชี่ยแชมป์"ไอ้ฉากโรแมนติกที่มีผมเป็นพยานรักนั่นมันยังติดตาผมอยู่เลยนะ
"เล่นไรวะ กูแค่ถาม ทำไมมึงต้องร้อนตัว อ๊ะๆ หรือว่ามีซัมติง"มันชี้หน้าพลางส่งเสียงแซว ท่าทางมันน่าถีบพิลึก
"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน กูมีเรื่องสำคัญกว่า"แต่ผมรีบตัดประเด็นเสียก่อนเพราะมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า...ภาพของโต๊ะไม้สักในห้องหลวงพิสิษฐยังคงติดอยู่ในใจผม...และผมคิดว่าควรจะเล่าให้มันฟังเช่นกัน
.
.
.
"มึงบอกว่าห้องหลวงพิสิษฐมีโต๊ะที่เหมือนกับของเจ้าคุณจิตรา?"หลังจากได้ฟังที่ผมเล่ามันก็เอาแต่นั่งขมวดคิ้วแน่นพลางเคาะมือลงบนโต๊ะไม้ที่ศาลาข้างเรือนอย่างครุ่นคิด
"เหมือนเป๊ะเลยเหรอวะ"ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง
"ช่างคนเดียวกัน ทำไว้สองตัวพร้อมกัน"นั่นหมายความว่ามันเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
"แล้วมึงว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับโต๊ะในห้องคุณจิตรามั้ย"คำถามที่ผมเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน...เกือบหนึ่งเดือนแล้วที่ผมกลับมายังพระนคร และผมกับมันก็ไม่เคยได้ยินเสียงประหลาดหรือแสงเรืองรองจากที่ทับกระดาษนั้นอีกเลย
"ถ้าโต๊ะไม้สักกับที่ทับกระดาษในห้องเจ้าคุณเป็นตัวเชื่อมโลกปัจจุบันกับที่นี่...แล้วโต๊ะในห้องคุณหลวงล่ะ"ไอ้แชมป์ยังคงมีคำถามอย่างต่อเนื่อง แต่ผมเองก็ตอบมันไม่ได้เช่นกัน
"ว่าแต่...มึงบอกว่า โต๊ะนั่นอยู่ในห้องคุณหลวง..."ผมพยักหน้าให้กับคำถามของมันอีกครั้ง สมองยังคงใช้ความคิดอย่างหนัก
"งั้นเมื่อคืนมึงก็นอนห้องคุณหลวงอ่ะดิ!!"ก็ใช่อ่ะดิ...เห้ยยยยย!
"ฮืออออ น้องธีร์ของพี่แชมป์ หมดกันพี่แชมป์อุตส่าห์เฝ้าทะนุถนอมมาเป็นสิบปี ดันเสร็จผู้ชายซะงั้น"ดูมันพูดเข้า อยากตะโกนใส่หน้ามันจริงๆว่ากูยังไม่เสร็จโว้ย แต่ไม่ได้ ต้องเนียนนิ่งไปก่อน
"ไม่น่าเลย ฮืออออ....เชี่ยยยย!"แต่พอได้ยินคำพูดกวนประสาทนี่แล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ นึกเหรอว่าผมจะยอมให้มันแซวได้นาน...กว่ามันจะรู้ตัวก็หัวทิ่มลงไปจูบพื้นหญ้าด้วยฝีเท้าของผมเสียแล้ว
"โอ๊ยมึงนี่ ซาดิสม์ขึ้นทุกวันนะ ไม่สงสารกูก็สงสารหลวงพิสิษฐเค้าบ้างเห๊อะ"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณหลวงเล่า!
"แน่ะ หน้าแดงทำไมวะ กูแค่ล้อเล่น"ไอ้นี่...ได้ทีแล้วเอาใหญ่...ผมได้แต่ยืนจ้องหน้ามันเขม็งในขณะที่มันเอาแต่หัวเราะจนตัวงอ นานๆทีจะไล่กูจนมุมได้นะครับไอ้แชมป์
"ไปดีกว่า เบื่อคนอารมณ์ดี ฮ่าๆๆ"ไม่พูดเปล่าเดินหนีไปทางโรงครัวอีก แต่ไม่ต้องมาหาเรื่องชิ่งหรอกเพราะผมเห็นว่าคุณพิกุลเพิ่งเดินลงจากเรือนไปทางโรงครัว...มันเองก็ไม่ได้เนียนไปกว่าผมเท่าไหร่หรอกครับ
...ผมมองภาพตรงหน้าแล้วก็อดยิ้มตามออกมาไม่ได้...เพื่อนผมกำลังมีความสุข แม้จะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร...แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นทางที่มันเลือกแล้ว...ผมเองก็เช่นกัน
...หากแต่วูบหนึ่งในความคิด คำพูดของหลวงพ่อในวันนั้นกลับวนเข้ามาในหัว...
'จิตของโยมนั้นผูกพันกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยที่โยมไม่รู้ตัว...เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม จิตที่เข้มแข็งจึงได้พากายไปยังที่แห่งนั้นได้ โดยอาศัยสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างสองที่นั้น'
ถ้าจิตของผมที่ผูกพันกับสถานที่แห่งนี้ทำให้ผมเดินทางย้อนเวลานับร้อยปีมายังพระนครได้...แล้วจิตของไอ้แชมป์ล่ะ?...ในเมื่อตัวมันเองก็สามารถเดินทางมายังที่นี่ได้พร้อมกับผม...มันไม่น่าเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ...ตรงกันข้าม...ไอ้แชมป์เองเสียอีกที่ดูจะผูกพันกับเรือนหลังนี้มากกว่าผม...ทั้งเรื่องคุณพิกุล แล้วไหนยังจะทำงานให้เจ้าคุณจิตราอีก...เมื่อเทียบกับผมที่วันหนึ่งๆใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่เรือนเจ้าคุณไพศาลแล้ว...ไอ้แชมป์ต่างหากที่ผูกพันกับเรือนหลังนี้มากกว่าใคร...
'หมายความว่าผมสามารถไปที่นั่นได้เพราะของสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันใช่มั้ยครับ'
คำถามที่ผมถามหลวงพ่อในวันนั้นผมยังจำมันได้ดี
'ไม่ใช่ทุกที่นะโยม ต้องเป็นที่ที่จิตโยมผูกพันอยู่เท่านั้น สมมติว่าบนโลกนี้มีของห้าชิ้นที่เหมือนกัน แต่โยมเคยเห็นแค่สองชิ้น โยมก็จะผูกพันกับของแค่สองชิ้นนั้น ส่วนอีกสามชิ้นที่โยมไม่เคยเห็นมาก่อน โยมก็จะไม่รู้สึกอะไรกับมัน'
ผูกพันกับของเพียงสองชิ้น...หากโต๊ะแฝดนั่นคือของสองชิ้นที่ว่า...เป็นไปได้ไหมว่ามันสามารถทำให้ผมเดินทางข้ามเวลาได้ทั้งคู่...และเป็นไปได้ไหมที่การเดินทางข้ามเวลาของผมในครั้งหน้าอาจจะลงเอยที่ห้องของหลวงพิสิษฐ...แต่ผมก็ยังสงสัย...ครั้งแรกที่ผมมาที่นี่...ผมไม่เคยเห็นโต๊ะที่เรือนของเจ้าคุณจิตรามาก่อน แล้วทำไมผมกับแชมป์ถึงได้มาลงเอยที่เรือนของเจ้าคุณจิตรา...ทำไมไม่ใช่ห้องของหลวงพิสิษฐ...แล้วยังเรื่องจิตที่ผูกพัน...ถ้าหากถามผม จิตที่ผูกพันของผมคงหนีไม่พ้นคนตัวสูงนั่นเป็นแน่...ส่วนจิตที่ผูกพันของแชมป์ก็คือคุณพิกุล...แต่ทำไมผมกับมันถึงมาลงเอยอยู่ที่เดียวกัน...แล้วโต๊ะตัวที่อยู่ในห้องทำงานของอาต้น...คือโต๊ะตัวไหนกันแน่?
ผมขมวดคิ้วแน่น...ความคิดในหัวมีมากมายไปหมด หากแต่มันเหมือนปมเชือกที่ผูกร้อยเรียงต่อกันอย่างไม่รู้จบ...การจะแก้ทีละปมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลาอีกมาก...มันคงจะดีหากผมได้มีโอกาสกลับไปยังโลกปัจจุบันอีกครั้งเพื่อที่ผมจะได้ค้นหาความจริง...โดยเฉพาะเรื่องโต๊ะไม้สักอีกตัวนั่น...แต่อีกใจผมกลับภาวนา...ขออย่าเพิ่งให้มันถึงเวลานั้นเลย...ผมยังอยากอยู่ที่นี่ต่อไป แม้จะแค่อีกวันเดียวก็ตาม...
.
.
.
คืนนั้นผมฝันเห็นอานิดอีกครั้ง...เป็นเวลานานมากแล้วที่ผมไม่ได้ฝันถึงแก...ผมเห็นอานิดกำลังนั่งร้องไห้อยู่ในห้องนั่งเล่น มือกำโทรศัพท์มือถือของผมเอาไว้แน่น...หน้าตาของเธอดูอิดโรยลงไปมาก...ผมรู้ว่าอานิดเป็นห่วง...ผมรู้ว่าอานิดรักผมเหมือนลูกแท้ๆ...แต่ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ถึงจะทำให้อานิดเข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผมในตอนนี้...ใจหนึ่งผมก็อยากกลับไปเพื่อบอกความจริง...ความจริงที่ไม่รู้ว่าอานิดจะเข้าใจและยอมรับมันได้ไหม...แต่อีกใจ...ผมก็ยังอยากอยู่ที่นี่...ตั้งแต่สูญเสียพ่อกับแม่...ผมไม่เคยมีที่ที่คิดว่าเป็นที่ของตัวเองเลย...ผมรู้สึกว่าผมอยู่คนเดียว...แม้อานิดกับอาต้นจะให้ความรักกับผมมากมายขนาดไหน...แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของผม...แต่เมื่อผมได้มาที่นี่...ผมกลับรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง...แม้แต่ทุกคนที่ผมได้พบเจอที่นี่ ทั้งเจ้าคุณทั้งสอง คุณหญิงสร้อย คุณพิกุล พี่สน มิ่ง ป้าน้อย และบ่าวคนอื่นๆ...โดยเฉพาะ...คนๆนั้น...คนที่ทำให้ชีวิตของผมถูกเติมเต็มได้อย่างไม่น่าเชื่อ...ผู้ชายคนหนึ่งที่ทำให้หัวใจของผมรู้สึกอบอุ่นได้อย่างน่าประหลาด...และมันทำให้ผมรู้สึกว่าไม่อยากจะไปจากที่นี่อีกเลย...
ผมค่อยๆเดินเข้าไปหาอานิดที่ยังคงนั่งอยู่บนโซฟา...เธอผลอยหลับไปแล้ว...ผมได้แต่คุกเข่าลงตรงหน้าและก้มกราบแทบตักของเธอเพียงแผ่วเบา
"ธีร์ขอโทษที่ทำให้อาเป็นห่วง ธีร์สบายดี อานิดไม่ต้องเป็นห่วงธีร์นะครับ"สิ่งที่ทำได้ในฝัน เพียงแค่จับมือของเธอไว้เพียงแผ่วเบา...หากความฝันนี้จะสามารถสื่อความรู้สึกของผมที่มีไปถึงเธอได้...ผมก็ขอให้เธอได้รับรู้มัน
"ธีร์รักอานะครับ แต่ธีร์ยังกลับไปไม่ได้...ธีร์ขอโทษนะครับอา"น้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับมือที่ยังจับเอาไว้แน่น...นั่นคือทั้งหมดของความฝันที่ผมจำได้...
.......................................................................
นิรมลสะดุ้งตื่นขึ้นมาในห้องนั่งเล่นห้องเดิม...เธอเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว มองไปรอบๆห้องที่ยังคงเงียบสนิทเช่นเคย หากแต่ภาพที่เธอได้เห็นเมื่อครู่ช่างเด่นชัด...มันคือความฝันหรือ...
หลานชายที่หายไปมาปรากฎตรงหน้าแล้วกราบลงแทบตักพลางเอ่ยคำขอโทษไม่หยุดปาก...เธอยังรู้สึกถึงไออุ่นจากมือของหลานชายที่ประคองมือเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย...และเธอก็ยังเห็น...ภาพหลานชายของเธออยู่ในสถานที่หนึ่งที่เธอไม่คุ้นตาแม้แต่น้อย...เรือนไม้โบราณทรงฝรั่งริมแม่น้ำ...กับใครอีกคนที่เธอคุ้นตาหากแต่เธอกลับนึกไม่ออก...แม้สถานที่นั้นแปลกตาแต่สีหน้าของหลานชายเธอช่างมีความสุข...เธอได้เห็นธีร์ยิ้ม...ยิ้มที่มาจากข้างในอย่างที่เธอไม่เคยได้เห็นอีกเลยนับตั้งแต่พ่อกับแม่ของเขาเสียไป...
"ธีร์...ธีร์สบายดีใช่ไหมลูก"แม้ในใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและกังวล หากแต่สิ่งที่เห็นก็ช่วยปลอบประโลมเธอได้ไม่น้อย...แม้ในใจลึกๆเธอยังคงหวัง...หวังว่าวันหนึ่งหลานชายของเธอจะกลับมา...
...
เค้ามีอะไรจะสารภาพ...ว่าตอนนี้หมดสต๊อกแล้วจ้าาาาา

ตอนต่อไปรอเค้าหน่อยนะ กำลังเร่งปั่นอยู่ค่ะ

ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ หวังว่าจะไม่งงและเข้าใจมากขึ้น กราบบบบ
