ตอนที่ ๑๙...อดีตที่ตามหา......บริษัทของเจ้าสัว ธิวากร เตชะวณิช เป็นบริษัทก่อสร้างขนาดกลาง หากแต่มั่นคงด้วยผู้ร่วมหุ้นทางธุรกิจที่มีคุณภาพและยังได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก...เจ้าสัวแต่งงานกับลูกสาวท่านทูตและมีบุตรชายด้วยกันสองคน บุตรสาวอีกหนึ่งคน...หนึ่งในนั้นคือท่านทูตธีรวัฒน์ เตชะวณิช ที่เลือกเรียนสายการทูตตามตระกูลของผู้เป็นแม่ ส่วนบุตรชายคนโตคือคุณเอกภพ เตชะวณิช เป็นผู้สืบทอดกิจการบริษัทต่อจากผู้เป็นพ่อแต่เพียงผู้เดียว ด้วยว่าน้องสาวคนเล็กอย่างคุณนิรมล เตชะวณิช หันไปเอาดีด้านการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแทน
...ทั้งหมดคือประวัติของครอบครัวฝั่งพ่อที่ผมรู้มา...ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้ และบางครั้งผมก็ยังนึกด่าตัวเองในใจเป็นสิบรอบที่ไม่ยอมขวนขวายถามคุณย่าตั้งแต่ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ถึงความเป็นมาของสกุลของท่าน...แต่ก็นั่นล่ะ ถ้าเหตุการณ์แปลกๆทั้งหมดนั่นมันไม่เคยเกิดขึ้นกับผม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยากรู้เรื่องญาติฝั่งของคุณย่าไปทำไม...
"อ้าว น้องธีร์ มาหาคุณเอกภพเหรอคะ"เสียงหวานของเลขาคนเก่าแก่หน้าห้องประธานดังขึ้นเมื่อเห็นผมเดินมาจากโถงลิฟท์ชั้นบนสุด...เธอคุ้นเคยกับผมพอสมควรเพราะผมเองก็มาหาลุงอยู่บ่อยครั้งเมื่อตอนที่พ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่
"ครับ ผมโทรบอกลุงเอกไว้แล้ว ตอนนี้ลุงอยู่มั้ยครับ"สิ้นเสียง เลขาคนสนิทก็จัดการต่อสายเข้าไปในห้องทันที ก่อนจะหันมาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้ผมเข้าไปในห้องได้
ผมเปิดประตูบานใหญ่เข้าไปด้านใน...เกือบหนึ่งปีแล้วที่ผมไม่ได้มาที่นี่ เพราะส่วนใหญ่จะไปพบลุงที่บ้านเสียมากกว่า...ลุงเอก หรือ คุณเอกภพ เตชะวณิช ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทกำลังนั่งดูรายงานจากแฟ้มเล่มโตอยู่ที่โต๊ะทำงานก่อนจะวางมันลงเมื่อเห็นว่าผมเดินเข้ามา
"ว่าไงธีร์ มาหาลุงถึงที่ทำงาน มีธุระอะไรด่วนรึเปล่า"ผมยกมือไหว้พอเป็นพิธีก่อนจะเดินตรงเข้ามาหา...ลุงเอกอายุห้าสิบแล้ว แต่ดูเด็กกว่าอายุจริงนักเพราะแกดูแลสุขภาพตัวเองอยู่ตลอด ดูเผินๆแกออกจะคล้ายพ่อของผมอยู่บ้างเพราะอายุห่างกันเพียงแค่สามปี
"ไม่ได้เจอกันนานลุงเอกสบายดีมั้ยครับ"ก่อนอื่นคงต้องถามสารทุกข์สุขดิบกันก่อน แว่วเสียงลุงถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน
"สุขภาพน่ะยังดี แต่งานเยอะจริงๆ ว่าจะให้ต้นมาช่วยแต่กว่าจะเรียนจบกลับมาก็เดือนหน้าโน่น"พี่ต้นคือลูกชายของลุงเอกที่ตอนนี้กำลังเรียนปริญญาโทด้านการบริหารอยู่ที่ประเทศอังกฤษ
"แล้วเราล่ะ เป็นไงบ้าง เห็นอานิดของเราว่าหายไปเสียนาน"ผมไม่แปลกใจถ้าอานิดจะเล่าให้ลุงฟัง เพราะอย่างไรเสียก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน...แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้น
"ลุงเอกครับ ธีร์มีเรื่องอยากจะถาม"อีกฝ่ายเพียงแค่เงียบแล้วมองหน้า ราวกับรอฟังอยู่
"ลุงเอกพอจะรู้เรื่องเจ้าคุณต้นตระกูลของคุณย่ามั้ยครับ"คำถามที่ทำเอาลุงเอกถึงกับขมวดคิ้วแน่น ผมไม่แน่ใจว่าแกสงสัยว่าทำไมผมถึงถามเรื่องนี้ หรือแกกำลังคิดถึงสิ่งที่แกพอจะรู้อยู่บ้าง
"เจ้าคุณต้นตระกูลเหรอ...เอ ถ้าต้นตระกูลของฝั่งคุณแม่นี่เห็นจะเป็นคุณตานะ ท่านเป็นคนขอพระราชทานนามสกุลน่ะ"ข้อมูลที่ลุงว่ามาตรงกับสิ่งที่ผมค้นเจอในอินเตอร์เนทไม่ผิดเพี้ยน
"คุณทวดของผมคือคุณอัษฎาเหรอครับ"
"ใช่ ว่าแต่เจ้าคุณต้นตระกูลที่ธีร์ว่านี่หมายถึงคนไหนล่ะ"
"พระยาจิตรานุวัตร คุณตาของคุณทวดน่ะครับ"การลำดับญาติเป็นอะไรที่ทำให้ผมสับสนเสมอ ถึงแม้ว่าญาติฝั่งพ่อของผมจะมีไม่มากนัก เพราะเท่าที่รู้มาตั้งแต่สมัยคุณทวดท่านก็มีลูกเพียงแค่สองคนเท่านั้น คือคุณย่ากับพี่ชายของท่าน
"อ๋อ นึกออกแล้ว ท่านเป็นคนที่ขอให้คุณทวดของธีร์เป็นผู้สืบสกุลแทนน่ะเพราะท่านไม่มีลูกชาย คุณแม่เคยเล่าให้ลุงฟัง"โชคดีที่ลุงเอกพอจะรู้อะไรมาบ้าง
"แล้ว คุณทวดอัษฎาเคยอยู่บ้านเดียวกับเจ้าคุณรึเปล่าครับ"คำถามที่ผมอยากรู้คำตอบมากกว่าอะไรทั้งหมด คือเรื่องเกี่ยวกับเรือนหลังนั้น
"ไม่เคยหรอก คุณทวดของธีร์ท่านอยู่กับพ่อแม่จนไปเรียนต่อต่างประเทศ พอดีกับที่เจ้าคุณท่านขอให้มาเป็นผู้สืบสกุล แต่พอท่านเรียนจบกลับมาเจ้าคุณท่านก็เสียไปแล้ว"
"เอ๊ะ แล้วเรือนริมน้ำของเจ้าคุณจิตราล่ะครับ"ผมเริ่มสงสัย เพราะหากคุณทวดที่เป็นผู้สืบสกุลไม่เคยอยู่เรือนนั้นมาก่อน แล้วจะมีใครเข้าไปอยู่หลังจากที่เจ้าคุณจิตราเสียไปล่ะ
"เรือนริมน้ำของท่านเห็นว่าถูกปล่อยทิ้งเพราะไม่มีใครมาอยู่ต่อ"คำบอกเล่าของลุงเอกทำเอาผมใจหาย เรือนไม้สักที่งดงามเช่นนั้นกลับถูกปล่อยร้างไม่มีคนดูแล
"แล้วเรือนนั้นอยู่ที่ไหนเหรอครับ"ผมรู้สึกเหมือนสิ่งที่ผมกำลังหาคำตอบอยู่มันอยู่เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น...กำลังคิดว่าหากรู้ที่ตั้งหรือมีใครในตระกูลสักคนที่ย้ายเข้าไปอยู่ตอนนี้ ก็คงจะไขปริศนาทั้งหมดได้โดยง่าย
"ไม่เหลือแล้วล่ะธีร์ เห็นว่าหลังจากที่เรือนถูกปล่อยทิ้งไม่นานก็เกิดไฟไหม้ใหญ่ ยิ่งเป็นเรือนไม้ไฟยิ่งลามง่าย กว่าชาวบ้านแถวนั้นจะมาเห็นก็ไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว"หากแต่คำตอบที่ได้รับราวกับถูกใครเอาไม้มาตีแสกหน้าอย่างจัง ผมรู้สึกชาไปหมดทั้งตัวเมื่อได้ยินสิ่งที่ลุงเอกเล่า...เรือนถูกปล่อยร้างแล้วยังเกิดไฟไหม้ใหญ่...เรือนไม้สักที่ผมเองก็ผูกพันกับมันไม่น้อยไปกว่าเจ้าของเรือน...มันทำให้ผมรู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก
"ไม่เหลืออะไรเลยเหรอครับลุง"ลุงเอกเพียงแค่พยักหน้ารับโดยไม่ตอบอะไร...หากเรือนของเจ้าคุณถูกไฟไหม้หมด โต๊ะไม้สักตัวนั้นก็คงเช่นเดียวกัน...และนั่นก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมกับแชมป์ไม่เคยเดินทางไปยังสถานที่ที่โต๊ะตัวนั้นอยู่ เพราะมันมอดไหม้ตามเรือนนั้นไปแล้วนั่นเอง
"แต่ที่ดินก็ยังเป็นชื่อพี่ชายของคุณย่าของธีร์อยู่นะ เป็นมรดกมาจากคุณทวดของธีร์นั่นแหละ"ใจหนึ่งผมก็อยากจะไปดูที่นั้นให้เห็นกับตา แต่ก็คิดว่ามันคงไม่มีประโยชน์อะไร
"ว่าแต่ อยากรู้เรื่องนี้ไปทำไมล่ะ ปกติไม่เห็นธีร์เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลยนี่"
"อ๋อ เอ้อออ พอดีธีร์ทำรายงานเรื่องเจ้าคุณท่านนี้น่ะครับพอหาข้อมูลเลยรู้ว่าท่านเป็นต้นตระกูลของคุณย่า คิดว่าลุงเอกน่าจะตอบได้ดีกว่าข้อมูลในอินเตอร์เนท"รีบแก้ตัวพัลวันเพราะเป็นจริงอย่างที่ลุงว่า ผมไม่เคยสนใจลำดับญาติมาแต่ไหนแต่ไร มีงานรวมญาติทีไรพอไปถึงก็เอาแต่ยกมือไหว้ แต่ไม่เคยจำได้เสียทีว่าใครเป็นใครนอกจากญาติสนิท และผมก็สนิทกับญาติฝั่งแม่เสียมากกว่า
"ลุงก็รู้จากคุณย่าของธีร์นั่นแหละ ท่านชอบเล่าเรื่องเก่าๆให้ลุงฟัง"
"งั้น ธีร์ไม่รบกวนลุงแล้วดีกว่าครับ ท่าทางลุงเอกคงมีงานอีกเยอะ"ผมสังเกตเห็นแฟ้มเอกสารกองโตบนโต๊ะของลุงแล้วก็คิดว่าควรกลับก่อนดีกว่าเพราะลุงเอกคงต้องใช้เวลาเคลียร์งานอีกนาน
"พูดอะไรอย่างนั้น หลานมาหาทั้งที เดี๋ยวไปกินข้าวกับลุงเลยก็แล้วกัน ไม่ได้เจอกันนานแล้วนี่นะ"ว่าจะขอตัวกลับแต่ก็คงปฏิเสธคำชวนของลุงไม่ได้เลยต้องตอบรับไป
.
.
.
หลังจากกลับมาจากบริษัทของลุงเอกผมก็รีบโทรรายงานไอ้ตัวดีทันที...น้ำเสียงมันตกใจไม่แพ้ผมตอนที่รู้เรื่องเรือนของเจ้าคุณจิตรา...จะว่าไปตัวมันเองก็ผูกพันกับเรือนนั้นมากกว่าผมเสียอีก...ผมจับได้ว่าน้ำเสียงมันสั่นเล็กน้อยหลังจากที่ผมเล่าให้ฟัง แต่ปากก็ยังพร่ำถามถึงลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตราไม่ขาด ซึ่งข้อนี้ผมเองก็ต้องบอกว่าจนปัญญา เพราะไม่ว่าจะถามลุงเอกอีกสักกี่คำถาม สิ่งที่แกรู้มาก็ไม่มากไปกว่าสิ่งที่แกได้บอกไปก่อนหน้า เหตุเพราะทั้งปู่และย่าของผมท่านเสียไปแล้วทั้งคู่ จะให้ไปถามข้อมูลจากใครก็คงไม่ได้แล้ว
ผมกลับมาที่บ้านเอาตอนเกือบค่ำ...แต่ยังไม่ทันก้าวขาพ้นประตูไอ้ต่อก็โทรมาเสียก่อน ไม่รู้พรายกระซิบที่ไหนบอกมันว่าผมกลับมาแล้วมันเลยรีบโทรมาต้อนรับการกลับมาของผมทันที
-สาดดดดดดดดดดด-นั่นไงครับ ผิดคำผมที่ไหน
"ไรของมึง"ผมตอบกลับแบบไม่ค่อยสนใจนัก รู้อยู่แล้วว่ามันกำลังโกรธ
-กูเนี่ยต้องถาม หายหัวไปไหนมาเป็นเดือน เชี่ยแชมป์อีกตัว กูเพิ่งโทรไปด่ามันมาเมื่อกี้-อย่างน้อยผมก็ไม่ใช่คนแรกที่โดนมันด่า เท่ากับว่าอารมณ์มันคงเย็นลงระดับหนึ่ง
"ไม่บอก มีไรมึง"
-เชี่ยยยยย เดี๋ยวนี้ไม่เห็นกูเป็นเพื่อนแล้วสินะจะไปไหนไม่บอกกูกับไอ้โจ๊กเลยพวกมึงสองตัวนิ่-มันยังด่าผมไม่เลิก แต่ลองคิดกลับกันถ้าเป็นมันที่หายไปผมก็คงด่ามันอยู่เหมือนกันแต่คงไม่ขนาดนี้เพราะผมมันพวกไม่ค่อยสนใจโลกอยู่แล้ว
"อย่ามางอนเป็นผู้หญิง ดูหน้ามึงด้วยครับ"ผมตอบกลับกลั้วเสียงหัวเราะให้มันรู้ว่าแค่แหย่เล่น
-มึงไม่ต้องมาปากดีเลย ออกมาหาพวกกูที่ร้านพี่โอ้เดี๋ยวนี้ กูบอกไอ้แชมป์แล้ว ถ้าพวกมึงไม่ถึงภายในหนึ่งชั่วโมงกูจะไปลากตัวมึงถึงบ้าน-ได้ยินเสียงผู้คนจอแจรอบๆตัวมันผมก็พอจะเดาได้ตั้งแต่ที่มันโทรมาแล้วว่ามันอยู่ที่ไหน
"ขี้เกียจว่ะ เพิ่งกลับถึงบ้านเนี่ย"แต่ผมไม่มีอารมณ์จะออกไปไหนเลยแม้แต่น้อย
-มึงอย่ามา กูให้เวลาหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้เหลือ55นาทีละเพราะมึงมัวแต่เถียงกู ไม่มากูไปลากถึงบ้านจริงๆนะเว้ย-แว่วเสียงไอ้โจ๊กช่วยผสมโรงด่าอยู่ไกลๆ
"เออๆ แค่นี้นะ"ผมแค่ตกลงไปอย่างนั้น ไม่คิดจะออกไปจริงๆหรอกครับ...เอาไว้เจอพวกมันวันหลังเพราะวันนี้ผมไม่มีอารมณ์ทำอะไรเอาเสียเลยหลังจากได้รู้เรื่องเรือนของเจ้าคุณจิตรา...มันทำให้ผมหดหู่จนเกือบร้องไห้...เรือนไม้สักหลังสวยที่เคยเต็มไปด้วยความคึกคักของพวกบ่าวไพร่ในเรือน รวมไปถึงเจ้าของเรือนทั้งสองกับลูกสาวคนเล็ก...หากเพียงเวลาร้อยกว่าปีบัดนี้มันกลับเหลือเพียงพื้นดินว่างเปล่า...นั่นยิ่งทำให้ผมอยากกลับไปพระนครมากขึ้นเพราะจะได้ใช้เวลาอยู่ที่เรือนนั้นได้นานกว่านี้ กับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของผมทั้งสามท่าน...
อานิดยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเช่นเคย หากแต่เธอมีสีหน้าไม่สู้ดีนักเมื่อผมกลับไปถึง
"ธีร์ ไปไหนมาลูก กลับมาเอาเกือบค่ำ"และผมรู้ดีว่าเธอเป็นเช่นนี้เพราะกลัวว่าผมจะหายไปอีกครั้ง
"ธีร์ไปหาเพื่อนมาครับ"ผมไม่อยากบอกอานิดว่าผมไปพบลุงเอกมาในวันนี้ เพราะผมรู้ดีว่าอานิดคงสงสัยอยู่ไม่น้อยที่คนอย่างผมจะออกไปพบปะกับญาติพี่น้อง
"วันหลังจะไปไหนก็บอกอาก่อน อาเป็นห่วง"แกดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่ผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้แกสบายใจได้มากกว่านี้
"อานิดครับ ธีร์ยังไม่ไปไหนหรอก อาไม่ต้องเป็นห่วง"คำว่า'ยังไม่ไปไหน'ยิ่งทำให้แกเบิกตากว้างกว่าเก่า
"หมายความว่าธีร์จะไปอีกใช่มั้ย"ผมชักรู้สึกเหมือนกำลังทะเลาะกับแพมไม่มีผิด...ผู้หญิงนี่เวลางี่เง่าขึ้นมาไม่ว่าจะเด็กหรือไม่เด็กก็เหมือนกันหมดสินะ
"อานิดครับ ธีร์เคยบอกแล้วไง"
"ถึงธีร์จะบอกว่าไม่ให้อาตามหาถ้าธีร์หายไปอีก อาก็ทำไม่ได้หรอกนะ ธีร์เป็นหลานอา อาจะปล่อยให้ธีร์หายไปไหนอีกได้ยังไง"ถ้าอานิดได้รู้ความจริง อาคงจะไม่พูดคำนี้ เพราะเรื่องนี้แม้แต่ผมเองยังไม่สามารถควบคุมมันได้เลย
"ธีร์ง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะครับ"ผมไม่อยากเถียงอะไรมากกว่านี้ เพราะรู้ดีว่าอานิดคงไม่ยอมง่ายๆ...อีกฝ่ายเพียงแค่พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ผมเลยรีบเดินขึ้นมาบนห้องทันที
...ผมทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างพลางหลับตานึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่มันเกิดขึ้น...เรื่องราวที่ผมได้พบเจอและได้รับรู้ทั้งในอดีตและปัจจุบันมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกหน่วงข้างใน...ยิ่งโดยเฉพาะในเวลานี้ ตอนที่ผมตัดสินใจดรอปเรียน...มันทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยแม้แต่น้อย...ผมไม่ต้องไปเรียน...ไม่ได้ทำงาน...วันๆก็คงได้แต่ใช้ชีวิตไร้สาระ...ถึงจะมีเพื่อน มีครอบครัว แต่มันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนตอนอยู่อีกที่เลยแม้แต่น้อย...
"คุณหลวงครับ"ผมเรียกใครคนหนึ่งราวกับว่าเขาอยู่ตรงนี้และจะตอบกลับมา หากแต่ทุกอย่างมันยังคงเงียบสงบเหมือนเคย...ผมได้แต่ถอนหายใจยาว...เขาว่าคนเราจะฟุ้งซ่านที่สุดก็ตอนที่อยู่คนเดียว เห็นทีว่าจะจริง...
"ธีร์...คิดถึงพี่แก้วนะครับ"
เสียงพูดเพียงแผ่วเบาราวกับกำลังกระซิบกับตัวเอง...พร้อมกันกับที่โทรศัพท์มือถือส่งเสียงร้องอยู่ข้างๆ..หากแต่ผมไม่สนใจจะหยิบมันขึ้นมาแม้แต่น้อย...ผมเบื่่อเหลือเกิน...เบื่อเทคโนโลยีที่มันล้ำสมัยพวกนี้...อยากคุยกันก็เพียงแค่ยกโทรศัพท์โทรหากัน...ได้ยินแต่เสียง...ไม่เหมือนสมัยก่อน อยากคุยกันก็มาเจอหน้า...มันมีความสุขกว่าเป็นไหนๆ...ผมรู้ว่าผมกำลังเพ้อเจ้อ...แต่กลับหยุดความคิดฟุ้งซ่านในหัวนี้ไม่ได้เลย
โทรศัพท์มือถือยังคงแผดเสียงลั่นเป็นรอบที่สิบ...ผมรู้ดีว่าคงเป็นไอ้โจ๊กไม่ก็ไอ้ต่อที่โทรมาเร่งให้ผมออกไปหา...หากแต่ผมไม่สนใจ...นี่ผมกลายเป็นคนเฉยเมยต่อเพื่อนฝูงไปแล้วรึเปล่านะ...
"ธีร์ หลับรึยังลูก"เสียงอานิดที่มาเคาะประตูเรียกทำให้ผมต้องจำใจลุกไปเปิดอย่างเสียไม่ได้
"ครับ"ทันทีที่เปิดประตูแกก็ยื่นแก้วนมสดในมือมาให้
"อาเห็นธีร์ไม่ค่อยสบายใจ ดื่มนมซักหน่อยช่วยให้ผ่อนคลายได้นะลูก"ผมรู้ว่าอานิดเป็นห่วงผมเสมอ...แต่ผมก็ทำให้แกเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่า
"มะรืนนี้ท่านทูตกิตติกับคุณหญิงอรชวนธีร์กับอาไปทานข้าวที่บ้าน ธีร์ไปกับอานะ"ทันทีที่ผมได้ยินชื่อลุงกิตติ ผมก็รีบตอบรับทันที...จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้พ่อของผมกับลุงเป็นเพื่อนสนิทกัน โดยที่บรรพบุรุษของทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนสนิทกันมากเช่นกัน...ผมไม่มีอะไรที่อยากรู้เป็นพิเศษจากลุงกิตติ...จะมีก็เพียง...ความคิดถึงถึงคนๆหนึ่งจนอยากจะรู้เรื่องราวของเขาจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกเป็นหลาน
.
.
.
ผมไม่ได้มาที่บ้านลุงกิตตินานพอสมควรแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่พ่อกับแม่เสียไป ช่วงนั้นท่านยังประจำอยู่ต่างประเทศแต่เพิ่งจะกลับมาเมื่อสามปีก่อนหน้า...ผมสนิทกับท่านดีเช่นเดียวกันกับคุณหญิงอร ก็อย่างที่ผมเล่าไปไม่รู้กี่รอบ พ่อกับแม่ผมสนิทกับท่านด้วยกันทั้งคู่ แล้วยังอานิดกับอาต้นอีก คุณหญิงอรเลยชวนอานิดมาหาที่บ้านอยู่บ่อยๆ
"ตาธีร์ ไม่เจอนานเลย เห็นนิดว่าเรียนหนัก ปีสองเรียนหนักมากเลยเหรอจ้ะ"เป็นคุณหญิงอรที่ทักขึ้นระหว่างที่เรากำลังร่วมโต๊ะอาหารค่ำ ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นท่านทูตกับคุณหญิงแต่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ไม่ได้เป็นทางการอะไร เหมือนการทานข้าวกับญาติผู้ใหญ่เสียมากกว่า
"นิดหน่อยครับคุณป้า"ผมอ้อมแอ้มตอบ รู้ดีว่าอานิดเองก็คงไม่ได้เล่าเรื่องที่ผมหายไปให้ท่านฟัง
"แล้วนี่เลือกได้รึยังว่าจะเรียนเอกอะไร"เป็นลุงกิตติที่ถามผมบ้าง ท่านอายุมากกว่าพ่อของผมไม่กี่ปี ท่าทางสุขุมแต่อ่อนโยน ตั้งแต่ผมรู้ว่าท่านเป็นลูกหลานของเจ้าคุณไพศาลผมถึงได้มาสังเกตเอาตอนนี้ว่าแววตาอ่อนโยนของท่านดูคล้ายกันเสียจริง
"เลือกความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเหมือนคุณพ่อครับ"
"อืม ดีๆ มีอะไรสงสัยก็ถามลุงได้นะ ถึงลุงจะจบมาหลายสิบปีแล้วก็เถอะ"ลุงกิตติพูดติดตลกเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ร่วมโต๊ะอาหารได้เป็นอย่างดี
หลังทานอาหารเสร็จคุณหญิงอรก็ชวนอานิดไปดูคอลเลคชั่นกระเป๋าใหม่ของแกที่เพิ่งไปสอยมาจากฝรั่งเศส...ก็ตามประสาผู้หญิงเขาล่ะครับ ผมเลยมีโอากาสได้นั่งคุยกับลุงกิตติในห้องนั่งเล่นเพลินๆ ท่านถามถึงเรื่องเรียน แล้วยังเสนอให้ผมลองไปฝึกงานที่สถานทูตอีก ท่านว่าจะช่วยฝากให้ แต่ผมยังไม่ได้บอกเรื่องที่ผมจะดรอป เลยได้แต่ตอบรับไปพอเป็นพิธี เพราะเอาเข้าจริงกว่าจะฝึกงานก็ปีสามโน่น ยังเหลือเวลาอีกนาน
"ลุงครับ"เมื่อมีโอกาสอยู่กันสองคน ผมเลยคิดจะถามเรื่องเจ้าคุณต้นตระกูลของท่าน
"ลุงช่วยเล่าเรื่องเจ้าคุณต้นตระกูลของลุงให้ธีร์ฟังหน่อยได้มั้ยครับ"ท่านมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยเมื่อผมขอให้เล่า คงเพราะรู้จักกันมานานแต่ผมก็ไม่เคยแสดงความสนใจเรื่องนี้สักที
"อยู่ๆทำไมถาม หรือติดใจเพราะชื่อบนโต๊ะนั่นเหมือนอานิดของเรา"อีกฝ่ายตอบกลับกลั้วเสียงหัวเราะ ท่านเป็นคนอารมณ์ดี ใครอยู่ใกล้ก็มักจะยิ้มตามได้เสมอ...สมแล้วที่ทำงานด้านนี้
"ก็...นิดหน่อยครับ"ผมอ้อมแอ้มตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก...จะบอกได้อย่างไรล่ะว่าอยากรู้เรื่องอีกคนหนึ่งมากกว่า...เขินเป็นเหมือนกันนะครับ...
"แต่โต๊ะนั่นไม่ใช่ของท่านหรอกนะ เป็นของคนสนิทท่าน"แต่แหม ลุงกิตติเปิดประเด็นมาเสียขนาดนี้ ไอ้ผมจะไม่เลยตามเลยก็คงไม่ได้แล้วล่ะครับ
"ใครเหรอครับ"แต่ก็ต้องเนียนไปก่อน
"ชื่อหลวงพิสิษฐ เป็นคนสนิทของเจ้าคุณไพศาล ธีร์เคยเห็นรูปรึยังล่ะ เห็นคุณอรเขาว่าอานิดเราขอยืมรูปไปนี่"ไม่อยากจะบอกลุงเลยว่านอกจากรูปก็เห็นมาแล้ว...ผมหมายถึงตัวจริงต่างหากเล่า...คิดไปถึงไหนกันแล้วครับคุณผู้อ่าน
"เคย...ครับ"หัวใจที่มันห่อเหี่ยวมาทั้งวันเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเพียงเพราะได้ยินชื่อของอีกฝ่าย...เคยว่าไอ้แชมป์ไว้ว่าอาการหนัก...ผมว่าผมก็ไม่ต่างจากมันเท่าไหร่เลยตอนนี้
"สนิทกันทางไหนเนี่ยลุงเองก็ไม่รู้หรอกนะ แต่เห็นว่าอยู่เรือนเดียวกับเจ้าคุณตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่"
"ลุงกิตติ...รู้เรื่องคุณหลวง เอ้ย หลวงพิสิษฐ เยอะมั้ยครับ"เผลอเรียกอีกฝ่ายจนติดปากเสียแล้วครับไอ้ธีร์
"ไม่ค่อยรู้หรอก ประวัติท่านไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่จะรู้เรื่องเจ้าคุณไพศาลเสียมากกว่า...แต่คุณปู่ของลุงเคยบอกนะว่าท่านเป็นหนุ่มรูปงาม ลุงเห็นในรูปลุงก็ว่าหล่อจริงๆ นี่ขนาดลุงเป็นผู้ชายด้วยกันนะ สงสัยตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่คงเนื้อหอมน่าดู ธีร์ว่ามั้ย"
"คะ...ครับ"เรื่องนี้ผมไม่เถียงเลยครับลุง
"คุณปู่ของลุงเล่าว่าตอนเด็กๆเคยไปเรียนหนังสือกับหลวงพิสิษฐ เพราะท่านเป็นครู ท่านชอบสอนหนังสือให้เด็กๆอยู่ที่ท่าน้ำของเรือนเจ้าคุณไพศาล"ผมพาลนึกไปถึงวันที่เห็นคุณหลวงสอนหนังสือเด็กๆวันนั้นแล้วก็อดยิ้มตามออกมาเสียไม่ได้
"เด็กๆติดท่านแจเพราะท่านใจดี ขอให้สอนอะไรท่านก็สอน ก็อย่างว่านะธีร์ คนเป็นครูก็ย่อมมีจิตวิญญาณของความเป็นครู"ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนี้
"แต่เรื่องอื่นลุงก็ไม่รู้แล้วล่ะ เพราะลุงก็ได้ยินมาจากคุณปู่แค่นั้น คุณปู่เองก็ไม่ได้อยู่เรือนเดียวกับท่าน จะไปมาหาสู่กันก็นานๆที"
"ท่านมีภรรยามั้ยครับ"กำลังรู้สึกว่าตัวเองโง่มากครับที่ถามคำถามนี้ออกไป แต่จะถอนคำพูดก็คงไม่ทันแล้ว
"ลุงไม่รู้หรอกธีร์ เรื่องของหลวงพิสิษฐลุงก็รู้แค่จากปากของคุณปู่เท่านั้นแหละ คุณปู่เคยเจอท่านแค่ตอนยังเล็กนัก"แกตอบกลั้วเสียงหัวเราะเช่นเคย คงนึกตลกอยู่ในใจที่ผมถามเรื่องแต่งงานขึ้นมา
"แล้ว เรื่องโต๊ะนั่นล่ะครับ"
"โต๊ะนั่นลุงไปเจอตอนย้ายของออกจากเรือนริมแม่น้ำ...พอดีจะปรับปรุงเรือนใหม่น่ะเพราะมันเก่ามากแล้ว เห็นแล้วถูกใจว่าลายไม้มันสวยนัก ก็เลยเอามาไว้ที่บ้าน ตอนนั้นธีร์ยังไม่เกิดเลย"
"เรือนริมน้ำนั่นยังอยู่เหรอครับลุง"คำตอบของลุงกิตติที่ทำให้ผมเบิกตากว้าง...รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงกว่าปกติ
"ยังอยู่สิ ตอนที่ปรับปรุงตอนนั้นก็ตั้งแต่ก่อนธีร์เกิดนั่นแหละ นี่เห็นว่าจะทำอีกรอบเพราะมันก็ตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว...มีคนขอซื้อที่ตรงนั้นหลายคนเลยล่ะ แต่ลุงไม่อยากขาย เสียดายเรือนสวยๆแถมทำเลยังดีอีก"ท่านพูดไปยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี
"ลุงครับ...ผมอยากเห็นเรือนนั่น"คำตอบที่ทำเอาเจ้าของบ้านหันมามองด้วยสีหน้าแปลกใจ
"ธีร์อยากไปเหรอ"ผมพยักหน้ารับ...รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่อย่างน้อยเรือนหลังนั้นก็ยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้...เรือนที่มีความทรงจำของผมมากมายอยู่ในนั้น
"เอาไว้วันหลังลุงจะพาไป แต่คงต้องเป็นหลังจากที่ลุงกลับมาจากดูงานที่ฝรั่งเศสล่ะ"ผมลืมไปเสียสนิทว่าลุงกิตติกำลังจะบินไปดูงานที่ฝรั่งเศสเกือบสองเดือน...จริงๆแล้วก็แค่เดือนเดียวแหละครับ แต่ท่านว่านานๆทีเลยถือโอกาสไปหาพี่อิงกับพี่อาร์มลูกชายท่านที่ทำงานอยู่ที่นั่นทั้งคู่ด้วย...แต่อย่างน้อยท่านก็รับปาก ทำเอาผมตื่นเต้นขึ้นมาทันที...ผมอยากเห็นเรือนหลังนั้นว่าตอนนี้มันจะมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง...
.
.
.
กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว เหตุเพราะผมมัวแต่ชวนลุงกิตติคุยนั่นคุยนี่ทั้งเรื่องเจ้าคุณไพศาลและเรือนทรงฝรั่งริมแม่น้ำของท่าน...กลับมาถึงผมก็ตรงดิ่งขึ้นห้องนอนทันที ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากให้อานิดเป็นห่วงผมเลยไม่ค่อยได้เข้าไปในห้องทำงานของอาต้นบ่อยนัก จะมีก็เพียงบางวันที่อานิดไม่อยู่...
...อาบน้ำเสร็จก็มาทิ้งตัวนอนบนเตียงนุ่มๆของตัวเองเช่นเคย...วันนี้ถึงจะไม่ได้ทำอะไรมากมายแต่ก็รู้สึกเพลียอยู่ดีเพราะตอนนี้ก็เกือบตีหนึ่งแล้ว...และก็เป็นเช่นทุกคืนก่อนที่ผมจะผลอยหลับไปเพราะความง่วง...ราวกับเสียงกล่อมจากที่ไหนสักแห่งที่คอยกล่อมให้ผมหลับฝันดีทุกคืน...ราวกับตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของคนตัวสูงที่คุ้นเคย...และราวกับ'เขา'อยู่ตรงนี้ข้างๆผม...
'คิดถึงเหลือเกินพ่อธีร์ของพี่'น้ำเสียงนุ่มที่ผมได้ยินเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ...แม้จะเป็นคำพูดเดิมๆที่ผมได้ยินเกือบทุกคืนแต่กลับทำให้ผมยิ้มได้...
"ผมก็คิดถึงคุณหลวงครับ"
...
น้องธีร์เค้าเป็นคนตรงๆ ชัดเจน และอยากรู้อยากเห็นนะคะ

ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ ตอนหน้า...ยังไม่ได้เริ่มจ้า

รอก่อนนะทุกคน ><"