...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]  (อ่าน 309346 ครั้ง)

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
แล้วเมื่อไหร่จะทำให้พ่อธีร์เป็นของพี่แก้วเล่า ?  :z1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อนาคตจะเป็นเช่นไร~~~

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
พี่แก้วมัวแต่งกลอนให้พ่อธีร์อยู่หรือคะ ป่านฉะนี้ถึงยังไม่มา คิดถึงจะแย่

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
อ๊ายยยย ทำไมประโยคมันส่องี้อะหลวงแก้ววว

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
ความรักไม่มีใครสามารถห้ามกันได้หรอกนะ

ออฟไลน์ p.spring

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 282
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
มิได้เป็นวันนี้ วันหน้าก็ได้เป็น 
แแล้วเมื่อใดเล่าพ่อแก้ววว  ให้มันไวๆหน่อยยยย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
ความรักใส กิ๊ง เลย



 o13

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
แวะมาอัพเดทนิดนึงนะคะ ตอนนี้คนแต่งติดภารกิจ แต่จะพยายามลงตอนต่อไปภายในอาทิตย์นี้ค่ะ (เค้าสัญญาาาา)
อย่าเพิ่งลืมพี่แก้ว น้องธีร์ กะพี่แช่มน๊าาาา จะรีบมาต่อให้เร็วที่สุดจ้าาา

 :katai4: :call:

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
ตอนแรกว่าจะไม่ลงอิมเมจตัวละคร แต่ดันไปเจอสองคนนี้เข้า!
ตรงกับอิมเมจน้องธีร์กับแชมป์ของคนแต่งมากกก เลยลองทำมาให้ดูกันนะคะ
ไม่รู้ว่าจะตรงใจใครบ้างรึเปล่าน๊าาา

ปล.คนแต่งไม่ได้ตามเกาหลีพอเห็นรูปแล้วคิดว่าใช่เลยลองทำดูค่า
ปล.2 อิมเมจพี่แก้วยังไม่มีใครเข้าตาเลย เพราะผู้ชายหน้าไทยยิ้มละมุนนี่หายากจริงๆ  :ling3:
ปล.3 รอตอนต่อไปกันอยู่รึเปล่าน๊า กำลังแต่งอยู่นะคะ พี่แช่มเขาบอกว่าขอบิ้วอารมณ์ดราม่าแป๊บนึง ปกติเล่นแต่บทฮา พอมาดราม่าแล้วลำบากจริงๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2014 22:29:38 โดย Vivid_Vuitton »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ p.spring

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 282
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
น่ารักกกก  ตอนนี้เราจินตนาการพี่แก้วเป็น ท๊อป จรณตอนเป็นเป็นหม่อนชัชวีร์ แล้วก็ พอร์ช ศรัณย์ อยู่
ชา ผช หน้าไทยยากมากตอนนี้

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
คิดถึงพี่แก้ววววววว555555555

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
*warning* เนื้อหาในตอนนี้เป็นเรื่องช-ญนะคะ ผู้อ่านท่านใดไม่นิยมแนวนี้สามารถข้ามตอนนี้ไปได้โดยไม่กระทบกับเนื้อเรื่องหลักค่ะ ผู้แต่งเพียงเพื่อเพิ่มอรรถรสของเนื้อหาและความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่องถึงได้เกิดเป็นตอนนี้ขึ้นมาค่ะ


ตอนที่ ๒๔...คำมั่นสัญญา...(Champ's Vision)



...งานบุญวันเกิดลูกสาวเจ้าของเรือนผ่านไปได้ด้วยดี บรรดาบ่าวไพร่ต่างโล่งใจกันเป็นแถวเพราะจะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงบ่นของคุณหญิงสร้อยอีกแล้ว...คงมีก็แต่ผมนี่ล่ะ ที่ยังไม่โล่งใจเสียทีเดียว...จะอะไรเสียอีกล่ะครับ...ก็คำพูดที่คุณหญิงแกเคยพูดไว้กับผมนั่นแหละ...ทำเอาผมเป็นบ้าเป็นบอจนข้ามวัน ดีที่ได้ไอ้ธีร์มานั่งดราม่าเป็นเพื่อนที่ริมท่าน้ำตอนวันงานถึงได้สบายใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไอ้ความกังวลที่มันสุมแน่นอยู่ในอกมันจะหายไปเสียทีเดียว...


"ไปเรือนนู้นเหรอมึง"ผมงัวเงียตื่นขึ้นในตอนเช้าเหมือนเคย แต่ไอ้ธีร์ดันตื่นก่อนจนได้...เห็นมันแต่งตัวพร้อมพลางยืนเสยผมยาวรุงรังของมันอยู่หน้ากระจก...กูบอกให้ตัดตั้งหลายทีก็ไม่ยอม ยาวจนจะมัดจุกได้อยู่แล้วเนี่ย

"เออ ตื่นได้แล้วมึงอะ ตื่นสายทุกวันไม่กลัวโดนด่าเหรอวะ"ผมไม่ได้ตื่นสายนะครับ แต่ใครใช้ให้มันทะลึ่งตื่นก่อนผมเองล่ะ

"สายเชี่ยไร เจ้าคุณยังไม่ตื่นเลยมั้งป่านนี้"ยกมือขึ้นขยี้ตาเพื่อให้ตื่นเต็มที่...ฟ้าเพิ่งสางสว่างเป็นสีฟ้าหม่นแบบนี้เค้าไม่เรียกว่าสายครับ

"ตื่นจนออกไปถึงไหนต่อไหนละ"มันยังคงเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าให้เข้าที่เข้าทาง ถ้ามันลำบากขนาดนั้นเดี๋ยวผมหากรรไกรมาตัดให้ก็ได้นะ

"ไปไหนวะ เช้าป่านนี้"

"เห็นบอกว่าไปธุระกับคุณหญิงสร้อย"คำตอบที่ทำเอาผมตื่นเต็มตา...เห็นมันหันมายกยิ้มกวนให้อย่างอารมณ์ดี

"แน่ะ! กูรู้ว่ามึงกำลังจะถามถึงคุณพิกุล เค้าไม่ได้ไปด้วย"สวรรค์ครับ ขอบคุณที่ประทานพรให้ผมเป็นซินเดอเรลล่า สโนไวท์ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ทางของผมสะดวกถึงหนึ่งวัน...ดีใจจนน้ำตาจะไหล

"แล้วแกจะกลับมากันเมื่อไหร่วะ"สงสัยดีใจออกนอกหน้าไปหน่อยมันเลยเดินมาดีดหน้าผากเข้าให้...กูแค่ถามทำไมต้องรุนแรงด้วยเนี่ย

"หุบยิ้มหน่อยครับพี่แชมป์ กูเห็นแล้วสยอง แกบอกไปธุระที่ไหนไม่รู้จำไม่ได้ละ รู้แต่ว่าไกล ถ้ากลับทันก็คงเย็นๆค่ำๆ หรือถ้าไม่ทันก็คงต้องค้าง หึหึ"แล้วมันจะหัวเราะแบบนี้เพื่อออออ?

"แล้วมึงอ่ะ"ถามมันกลับบ้างเพราะช่วงนี้เห็นไปเรือนเจ้าคุณไพศาลทีไรไม่เคยได้กลับมาภายในวันเดียวหรอกครับ

"กูทำไม"ขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย...ส่วนผมที่มีเรื่องให้อารมณ์ดีแต่เช้า ตอนนี้ถึงได้มีแรงกวนประสาทมันได้บ้าง

"ก็จะถูกขอร้องให้นอนค้างด้วยอีกคืนหรือไม่พ่ออออ"เลียนเสียงคุณหลวงหวานใจมันเสียหน่อย...แต่ไม่น่าลามปามเลยเพราะมันรีบโบกหัวผมกลับดังพลั่ก...ลืมไปว่าไอ้นี่มันประเภทชอบใช้ความรุนแรง

"เชี่ยยย แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นเขิน รีบไปเลยมึงอ่ะ"ว่าพลางยกขายันเข้าให้...เลยโดนมันแจกนิ้วกลางให้สักทีก่อนเดินออกจากห้องไป...ช่วงนี้เห็นมันมีความสุขดีก็ดีใจกับมัน ถึงแม้ตอนวันงานจะได้เห็นหลวงเจษฎ์ในตำนานที่มันเคยเล่าให้ฟังมาทำห่ามใส่จนผมได้แต่ยืนอ้าปากหวอก็เถอะ...ไอ้หลวงนั่นก็มารยาททรามเสียจริง พูดจาอะไรไม่ได้เกรงใจคนฟังแถมยังวาดมาดใหญ่โตเสียเต็มที่...เห็นแล้วก็โมโหแทน
.

.

.
ส่วนเรื่องของผมน่ะเหรอครับ...ถ้าจะให้เล่าคงต้องย้อนยาวไปถึงตอนที่ผมเพิ่งกลับมาที่นี่อีกครั้งโน่นล่ะ...ผมยังไม่ได้มีโอกาสได้เล่าเพราะไอ้ธีร์เอาแต่แย่งผมเล่าเรื่องของมันไปเสียหมด...ใช่ซี๊ ใครมันจะไปอยากรู้เรื่องอาภัพของพี่แชมป์สุดหล่อ...แต่ผมอยากเล่านะ ฮ่าๆ...เอาเป็นว่า เรื่องมันมีอยู่ว่า...คุณพิกุลเธอไม่ยอมคุยกับผมเลยนับตั้งแต่ผมกลับมา...ทั้งที่หลวงพิสิษฐเองก็ช่วยแก้ตัวให้พวกผมเรียบร้อยว่าผมกลับไปเยี่ยมญาติที่หัวเมือง...แม้แต่คุณหญิงสร้อยกับเจ้าคุณก็เชื่อสนิทใจ...แต่คนตัวเล็กนี่สิ...ผมไม่รู้ว่าเธอเชื่อในสิ่งที่หลวงพิสิษฐบอกหรือไม่ รู้แต่เธอไม่พอใจที่ผมหายตัวไปเงียบๆ...ผมพยายามหาทางคุยกับเธอหลายครั้งแต่เธอก็เอาแต่หลบหน้า...ตามลงไปช่วยงานในโรงครัวที่ปกติเธอมักจะเรียกให้ผมช่วยหยิบนั่นหยิบนี่ให้เสมอ แต่ช่วงนั้นไม่แม้แต่จะเรียกชื่อผมด้วยซ้ำ...แต่คนอย่างไอ้แชมป์เสียอย่าง...หน้าด้านเป็นที่หนึ่งครับ...ผมก็ยังคอยตามเธอไปนั่นมานี่อยู่ตลอดจนคุณหญิงท่านสังเกตเห็นนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะถือว่าไม่ได้ทำอะไรเสียหาย...อีกอย่างคุณพิกุลเองก็เป็นผู้หญิงที่วางตัวดีที่หนึ่ง ไอ้เรื่องจะทำตัวเสื่อมเสียให้ถูกด่าไม่ต้องไปพูดถึง เธอไม่คิดจะทำแน่ และผมเองก็เช่นกัน...


หลังจากกลับมาได้ไม่กี่วันและผมรู้สึกอึดอัดกับสภาพที่เป็นอยู่ ผมจึงหาโอกาสตอนที่เธอลงไปเตรียมสำรับที่โรงครัว...ผมไม่ชอบให้อะไรมันค้างคา...เพราะผมไม่รู้เลยว่าเธอโกรธอะไรผมกันแน่...ก็ผู้หญิงเนี่ย เข้าใจยากจริงๆครับ...


"น้ำเดือดหรือยังบุญมี"เสียงหวานเจื้อยแจ้วดังขึ้นพร้อมเจ้าตัวที่เดินถือถ้วยพริกแกงเข้ามาในโรงครัว

"เดือดแล้วครับ"คำตอบที่ทำเอาดวงตากลมโตหวานฉ่ำนั่นเบิกกว้างกว่าเก่า...เธอชะงักฝีเท้ามองหน้าผมที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ในโรงครัวที่ตอนนี้มีเพียงผมกับเธอ...ส่วนพี่บุญมีเพราะผมอาสาเป็นลูกมือให้ลูกสาวเจ้าของเรือนเสียเอง แกถึงยอมขึ้นไปบนเรือนแต่โดยดี

"พ่อแชมป์"เสียงหวานเอ่ยเรียกอย่างสงสัย

"น้ำเดือดแล้ว ต้องทำอะไรต่อครับ"ยกฝาหม้อขึ้นดูน้ำในหมอที่เดือดพล่าน...เห็นว่าจะทำแกงส้มแต่ผมก็ไม่รู้เสียด้วยสิว่าเขาต้องใส่อะไรกันบ้าง...เธอไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่เดินมาหยุดที่หน้าเตาแล้วจัดการกวาดพริกแกงในถ้วยลงในหม้อน้ำเดือดจนน้ำในหม้อกลายเป็นสีส้ม

"บุญมีไปไหนเสียเล่า"ถามกลับเสียงเรียบโดยไม่มองหน้าผมแม้แต่น้อย

"ผมให้แกขึ้นไปช่วยงานคุณหญิงแทนครับ ตรงนี้ผมพอจะทำเองได้"คนตัวเล็กไม่ตอบอะไรกลับยังคงสาละวนอยู่กับหม้อแกงตรงหน้า

"คุณพิกุล...เป็นอะไรรึเปล่าครับ"มึนตึงใส่ผมมาหลายวันจนผมเองก็ชักทนไม่ไหว...ความอดทนผมไม่ค่อยสูงเหมือนคนอื่นเขา อยากรู้อะไรก็ต้องถามเพราะไม่ชอบให้ค้างคา...แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบอะไรเสียนี่

"คุณพิกุล"เรียกชื่ออีกครั้งพร้อมยื่นมือไปฉวยข้อมือเล็กนั่นเพียงแผ่วเบา หากแต่ทำให้อีกฝ่ายชะงักไป...ถึงจะคอยตามหลังเธอต้อยๆเกือบทุกวันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะได้ใกล้ชิดสนิทสนมอะไรกับเธอไปมากกว่านั้น

"ใส่ใจด้วยรึ"น้ำเสียงเรียบตอบกลับ ทำให้ผมรู้ว่าเธอกำลังไม่พอใจ

"ใส่ใจสิครับ"ว่าพลางปล่อยมือของเธอให้เป็นอิสระ เกรงว่าใครจะเข้ามาเห็นเสียก่อน...ผมน่ะไม่เป็นอะไรเพราะเป็นผู้ชาย แต่ลูกสาวเจ้าของเรือนที่มียศเป็นถึงพระยานี่สิจะเสียหายเอา

"เห็นว่าไปไหนมาไหนมิบอกกล่าว นึกว่ามิได้ใส่ใจ"คำตอบที่เรียกรอยยิ้มบางของผมขึ้นมาได้...ไอ้เราก็นึกว่าโกรธ...ที่แท้

"แล้วก็ไม่บอกว่างอน"มือที่ถือทัพพีคนน้ำแกงในหม้อชะงักไปชั่วครู่ หากแต่ไม่ยอมหันมามองผมสักนิด

"ฟังผมนะครับ...ผมรู้ว่าคุณพิกุลไม่พอใจที่ผมหายไปไม่บอก ผมไม่ได้มาแก้ตัวแต่ขอให้คุณพิกุลเข้าใจว่าผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย"อธิบายยืดยาวเพราะชักจะทนไม่ไหวกับความอึดอัดนี่เช่นกัน

"อยู่เรือนนี้แท้ๆ ไปไหนมาไปมิบอกแม้แต่เจ้าของเรือนกลับให้คนอื่นมาบอกเสียได้"ว่าพลางยกชามใส่เนื้อปลาลงในหม้อ

"ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากบอกคุณพิกุลเป็นคนแรกนะครับ"โบราณเขาว่าผู้หญิงงอนต้องรีบง้อครับ...ว่าแต่คนโบราณเขาเคยพูดแบบนี้ไว้ด้วยเหรอ...คนตัวเล็กยังคงเงียบอยู่ เลยต้องงัดไม้ตายออกมาใช้กันบ้าง


"โธ่ คุณพิกุลคร้าบ หายโกรธแชมป์เถอะนะ"ง้อปกติไม่หาย...ก็ต้องอาศัยลูกอ้อนนี่แหละวะ

"น๊า จะให้แชมป์ทำอะไรแชมป์ยอมทุกอย่างเลย อย่าโกรธแชมป์นะคร้าบ"เขยิบเข้าไปใกล้อีกหน่อยถึงได้เห็นว่าคนตัวเล็กแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว

"อะไรก็ได้รึ"เรียวปากบางขยับถามทั้งที่ยังเจือรอยยิ้มอยู่จนผมรีบพยักหน้ารับรัวๆจนเมื่อยคอ

"จะให้ไปปีนต้นมะม่วง ผ่าฟืน ล้างท่าน้ำ กวาดลานหน้าเรือน หรือให้มาช่วยเป็นลูกมือในครัวทุกวันเลยก็ได้เอ้า ขอแค่คุณพิกุลหายโกรธแชมป์ก็พอ"ตอนนี้จะให้ไปบุกน้ำลุยไฟก็ยอมแล้วครับ ดีกว่าให้เธอเงียบใส่ผมแบบที่ผ่านมานี้

"พอแล้วๆ เรามิโกรธพ่อแล้ว"แว่วเสียงหัวเราะเบาจากคนตัวเล็ก แต่ยังคงไม่หันมา

"จริงนะ"เลยต้องยื่นหน้าเข้าไปถามแทน...พอดีกับที่อีกฝ่ายหันกลับมา ใบหน้าหวานฉ่ำอยู่ห่างไปเพียงคืบ ดวงตากลมสวยส่องประกายระยับ...กรุ่นกลิ่นน้ำปรุงหอมที่เธอใช้...ใจหนึ่งผมอยากยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าหวานนี่อีกครั้ง

"โอ๊ยยยยย!"แล้วก็ต้องร้องออกมาเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายถือทัพพีที่ตักน้ำแกงส้มค้างไว้แล้วดันหกรดใส่เท้าผมเสียนี่

"พ่อแชมป์ เป็นอะไรหรือไม่"คนตัวเล็กเองก็ดูตกใจไม่แพ้กัน รีบวางทัพพีลงแล้วหันมาดูทันที

"ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง อูยยยย"ปากดีครับผมน่ะ...น้ำแกงเดือดพล่านแบบนั้นไม่เจ็บเลยมั้ง

"ไปเอาน้ำล้างเสียก่อน ประเดี๋ยวจะเป็นหนัก"ขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยปากไล่ให้ไปเอาน้ำเย็นล้างเท้า

"ดีใจจังที่เป็นห่วง"ยิ้มหวานให้เสียทีจนอีกฝ่ายได้แต่เขินจนหน้าแดง...เจ็บตัวแต่สาวเจ้าหายงอนมันก็คุ้มกันนะครับ



...และทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติอยู่ได้สักพัก...จนกระทั่งคุณหญิงสร้อยเรียกผมไปคุยในวันนั้น...ผมรู้สึกราวกับใครเอาหินก้อนใหญ่มาทับไว้บนอก มันใหญ่มากเสียจนผมเองก็ไม่มีแรงจะยกมันออกไป...สิ่งแรกที่ผมคิด คือผมอยากกลับบ้าน...อยากกลับไปอยู่ในโลกของผมที่ไม่มีใครมาดูถูกว่าผมเป็นเพียงเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า...กลับไปเป็นลูกป๊ากับม๊าที่อยากได้อะไรก็ได้...แต่ใบหน้าหวานฉ่ำของคนตัวเล็กกลับลอยเวียนวนในความคิดไม่รู้จักจบ...ผมเคยบอกธีร์ไปว่า ต่อให้เธอแต่งงานออกเรือนไปขอให้ผมได้รอพบเธออยู่ที่นี่ผมก็พอใจแล้ว...พระเอกใช่ไหมล่ะ...ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลยครับ...ผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้น...ผมยังมีอารมณ์ ความรู้สึก และผมยังอยากเป็นเจ้าของ...ใครจะไปทนเฉยได้หากคนที่ตัวเองรักต้องตกเป็นของคนอื่น...และในกรณีของผม ถ้ามันถึงเวลานั้นจริงๆ ผมก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะห้าม


และก็เป็นไอ้ธีร์ที่เตือนสติผมอีกครั้ง...ผมยอมรับว่าตกใจมากเมื่อได้ยินมันบ่นยาวในวันนั้น...ปกติแล้วมันเป็นคนไม่ค่อยพูด...ไอ้เรื่องกวนประสาทกันนี่มันเป็นปกติครับ แต่เรื่องจริงจังส่วนใหญ่มันจะเอาแต่เงียบเสียมากกว่า...ธีร์เป็นพวกปากหนักที่จะพูดอะไรออกมาแต่ละครั้งคนฟังต้องลุ้นตาม...แต่วันนั้นมันกลับเตือนสติผมได้มากจนผมยังแปลกใจ...จริงอยู่ที่ว่าเราไม่เคยมานั่งเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังกันเท่าไหร่นัก แต่ถ้าถามถึงความสนิทและรู้ใจ ก็คงไม่มีใครเข้าใจผมได้มากกว่ามันอีกแล้ว...ผมยังจำคำพูดของมันในวันนั้นได้ดี...ความรู้สึกที่คุณพิกุลมีให้ผมมันมีค่ามากกว่าที่ผมจะตัดใจทิ้งมันแล้วหนีไปให้ไกล...ในตอนนี้ผมควรคิดแค่ว่าผมจะทำอะไรดีๆให้เธอได้บ้างในเวลาที่ผมยังอยู่ที่นี่...กำลังใจของผมเริ่มกลับมา



...แต่กลายเป็นเธอเองต่างหากที่มีท่าทีเปลี่ยนไป...



ผมสังเกตเห็นอาการผิดปกติของเธอตั้งแต่วันงาน...ถึงแม้ช่วงนั้นผมเองก็ไม่สบายใจหนักจนหาเรื่องหลบหน้าเธออยู่สองสามวันก็เถอะ...แต่ตอนวันงานหลังจากที่ผมได้คุยกับไอ้ธีร์ ผมกลับสังเกตได้ว่าเธอเองก็มีทีท่าแปลกไปเช่นกัน...เธอไม่ยอมสบตา...พยายามหลบหน้า และเราไม่ได้คุยกันอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น...
.

.

.
หลังจากธีร์ออกไปไม่นานผมถึงได้ฤกษ์ออกมาจากห้องบ้าง เพราะวันนี้เจ้าคุณกับคุณหญิงไม่อยู่คงไม่มีใครมาคอยบ่น...งานก็ไม่มีให้ทำนอกจากช่วยพวกพี่สนกับมิ่งข้างล่าง แต่เดี๋ยวค่อยลงไปก็แล้วกัน...ออกมาด้านนอกเห็นเรือนเงียบเชียบแล้วก็แปลกใจนักเพราะปกติลูกสาวคนเล็กของคุณหญิงสร้อยมักจะนั่งเด่นอยู่กลางเรือนเสมอ...ไม่ร้อยมาลัยก็เย็บปักถักร้อย หรือบางทีก็ให้พวกพี่ชดยกผักผลไม้ขึ้นมานั่งแกะสลักอยู่บนเรือน...แต่วันนี้เธอกลับไม่อยู่...


"พี่ชดๆ...เค้าไปไหนกันหมดอ่ะ"ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าคุณกับคุณหญิงสร้อยไม่อยู่ แต่ก็ยังเนียนถามพี่ชดที่กำลังทำความสะอาดเรือนอยู่ด้านนอก

"เจ้าคุณกับคุณหญิงท่านไปธุระ กว่าจักกลับคงค่ำ"อีกฝ่ายตอบโดยไม่หันกลับมามองหน้า

"แล้ว คุณพิกุลล่ะ"นี่แหละประเด็น...ยังเช้าอยู่ไม่น่าจะลงไปที่โรงครัวเร็วขนาดนี้

"เห็นว่าลงไปเก็บดอกมะลิมาร้อยมาลัยถวายพระ เอ็งถามทำไมรึ"พี่ชดหันมาขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย

"อ๋อเปล่าพี่ เห็นเรือนเงียบๆแค่สงสัยว่าไปไหนกันหมด"แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ พี่ชดแกถึงยอมหันกลับไปทำความสะอาดเรือนต่อ


ไม่รอช้าผมรีบลงมาข้างล่างทันที...ไม่ได้จะฉวยโอกาสตอนที่พ่อแม่เขาไม่อยู่นะครับ...แต่ขอแค่ได้เห็นหน้า...ได้อยู่ใกล้ๆ...ผมคงไม่ขอมากไปหรอกมั้ง...


เห็นคนตัวเล็กกำลังก้มๆเงยๆอยู่แถวซุ้มต้นมะลิข้างเรือน...ที่นี่เขาปลูกต้นมะลิไว้เยอะเอาไว้ร้อยมาลัยเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปหาซื้อเหมือนในกรุงเทพในยุคปัจจุบัน แถมพวงมาลัยดอกมะลิสมัยผมก็หาไม่ได้ง่ายเสียด้วย ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นดอกรักมากกว่า


...ผมยืนมองเธออยู่นานเพราะใบหน้าหวานที่กำลังยิ้มบางอย่างอารมณ์ดี...มือเล็กค่อยๆปลิดดอกมะลิทีละดอกสองดอกอย่างเชื่องช้าไม่รีบร้อน...สไบสีส้มที่เธอห่มอยู่ก็ช่างตัดกับซุ้มมะลิขาวนวลนั่นเสียจริง...ในมือเธอมีตะกร้าขนาดย่อมที่มีดอกมะลิสีขาวอยู่จำนวนหนึ่ง...เช้าๆแบบนี้แดดยังไม่ร้อนแถมยังมีลมเย็นเอื่อยพัดโบกให้เย็นสบาย

"ให้ช่วยมั้ยครับ"มือเล็กที่กำลังเอื้อมออกไปปลิดดอกมะลิตรงหน้าชะงักเล็กน้อยหากแต่เธอไม่ยอมหันมาสบตา...โดยไม่รอคำตอบผมยื่นมือออกไปหยิบตะกร้าหวายในมือเธอมาถือเอาไว้แทน

"มิต้องไปทำงานอื่นรึ"เสียงหวานดังขึ้นแต่ยังไม่ยอมหันมา...ไม่รู้ว่าดอกมะลิตรงหน้ามันน่าสนใจมากกว่าผมตรงไหน

"เดี๋ยวเสร็จแล้วค่อยไปทำก็ได้ครับ"ถึงความหน้าด้านของผมจะเป็นเลิศ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ผมก็ไม่รู้จะเข้าหน้าเธออย่างไรเช่นกัน...ทำได้เพียงคอยถือตะกร้าหวายเดินตามหลังเธออย่างเงียบเชียบ


"คุณหญิงออกไปข้างนอกกับเจ้าคุณท่านเหรอครับ"ผมถามขึ้นเพียงเพื่อทำลายความเงียบที่มันปกคลุมอยู่เสียนาน เมื่อคนตัวเล็กเอาแต่สนอกสนใจพุ่มดอกมะลิตรงหน้า...ใบหน้าหวานไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม หากแต่ยังคงน่ามองเสมอในสายตาของผม

"ลูกสาวคุณพระที่กรมของเจ้าคุณพ่อเธอออกเรือน ท่านจึงไปร่วมงาน"เสียงหวานตอบกลับโดยไม่มองหน้าแม้แต่น้อย

"กลับมืดเหรอครับ"เธอเพียงพยักหน้ารับ

"แล้ววันนี้คุณพิกุลจะทำอะไรบ้างครับ"เอากับผมสิ เขาไม่คุยด้วยก็ยังหน้าด้านหน้าทน...แต่ก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อผมไม่ชอบอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดแบบนี้

"ปกติทำอะไรก็ทำเช่นนั้น"แต่นี่มันก็เฉยเมยไปไหมครับ


"แล้วคุณพิกุลเป็นอะไรครับ"ผมเคยบอกไปแล้วว่าความอดทนของผมมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินนัก คิดว่าจะอดทนตามเธอต้อยๆได้ทั้งวันเหมือนคราวก่อน...แต่ครั้งนี้กลับเป็นหนักกว่าเก่าถึงขั้นไม่มองหน้ากันเลยทีเดียว แล้วผมจะทนได้อย่างไรเล่า!


"ได้มะลิพอแล้ว ขอบใจมากนะพ่อ"มือเล็กเอื้อมมาฉวยตะกร้าหวายที่ผมถืออยู่โดยไม่ยอมตอบคำถาม...ไม่แม้แต่จะสบตา...เธอเพียงเดินผ่านหน้าผมไปอย่างเงียบเชียบทิ้งให้ผมยืนมึนด้วยความสงสัยอยู่อย่างนั้น


ผมเดินตามกลับขึ้นมาบนเรือน...คนตัวเล็กนั่งอยู่บนพื้นยกกลางเรือนพร้อมพานทองเหลืองที่เต็มไปด้วยดอกมะลิสีขาวนวล...กลิ่นมะลิหอมโชยไปทั่ว หากแต่ผมจำได้ว่ากลิ่นน้ำปรุงที่เธอใช้นั้นหอมกว่ามากนัก...พี่ชดที่นั่งอยู่ข้างๆเตรียมเข็มร้อยมาลัยไว้พร้อม...ดวงตากลมโตหวานฉ่ำจดจ้องเพียงเข็มร้อยมาลัยในมือกับดอกมะลิสีขาวนวลในตะกร้า แม้จะรับรู้ว่าผมยืนอยู่ตรงนั้นแต่กลับไม่สนใจแม้แต่น้อย...สิ่งที่ผมทำได้...เพียงแค่หยิบหนังสือที่วางอยู่ใกล้ๆเธอมานั่งอ่านบนพื้นด้านล่าง...คอยลอบมองเธอเป็นพักๆผ่านหนังสือเล่มหนาในมือ

"วันนี้เจ้าคุณท่านแลคุณหญิงกลับค่ำ คุณพิกุลจะลงครัวเองหรือไม่เจ้าคะ"เสียงใสของพี่ชดดังขึ้นทำลายความเงียบ ดูท่าพี่ชดเองก็ไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติของคนตัวเล็กข้างๆ แต่เพียงถามตามหน้าที่เท่านั้น

"ให้ป้าน้อยทำเถิด"คนถูกถามหันไปยิ้มบางตอบ...รอยยิ้มที่เคยมีให้ผมเสมอ แต่วันนี้มันกลับหายไป

"เช่นนั้นบ่าวลงไปบอกป้าน้อยให้นะเจ้าคะ"พูดจบพี่ชดก็ลุกขึ้นลงจากเรือนทันที...เหลือเพียงคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ กับผมที่ยังคงไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร



"คุณพิกุล"อยากหาอะไรมาฟาดหัวตัวเองสักสามรอบ...จะหน้าด้านไปถึงไหนวะไอ้แชมป์...แต่จะให้ผมนั่งเงียบเป็นใบ้มองเธอทั้งวันผมก็ทำไม่ได้เหมือนกันครับ...ต่อให้เธอจะทำได้ดีกว่าผมก็เถอะ

"มิมีงานอื่นต้องทำรึ"น้ำเสียงเรียบเฉยชานั่นทำให้ผมหน้าเจื่อนลงทันที...ถามแบบนี้ อยากให้ผมไปให้พ้นหน้าสินะ

"ไม่มีครับ แต่ถ้าคุณพิกุลไม่อยากเห็นหน้าผมไปก็ได้ครับ"ไม่ได้น้อยใจ แต่ผมไม่อยากอยู่สร้างความลำบากใจให้เธอต่างหาก...พูดจบก็วางหนังสือเล่มหนาลงที่เดิมแล้วเดินกลับเข้าห้องนอนแทน...ไม่อยากลงไปที่เรือนบ่าวเพราะไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับใคร ถึงแม้พี่สนกับมิ่งจะช่วยสร้างเสียงหัวเราะให้ผมได้เสมอก็ตามที



...อึดอัด...แบบนี้มันน่าอึดอัดนัก...ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงพลางนึกย้อนหาสาเหตุที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปเช่นนี้...เป็นเพราะผมที่คอยหลบหน้าเธอหรือ...ก็ไม่น่าใช่ เพราะไอ้อาการแปลกๆของผมนั่นมันก็เป็นเพียงแค่สองสามวันก่อนงานบุญวันเกิดซึ่งผมเองแทบไม่มีโอกาสได้คุยกับเธอตามลำพังเพราะมีเรื่องคุณหญิงสร้อยเข้ามาเกี่ยว...หรือผมไปทำอะไรที่ทำให้เธอไม่พอใจเข้า...ก็ไม่มีอีกนั่นแหละ...



...ก็แล้วมันเรื่องอะไรล่ะโว้ย!!!...



'ก๊อกๆ' เสียงเคาะประตูดังขัดความคิดอันฟุ้งซ่านในหัว หากแต่ความคิดแรกที่ปรากฏขึ้นคือใบหน้าหวานของคนตัวเล็ก ถึงได้รีบลุกพรวดขึ้นไปเปิดประตูทันที

"คุณ..."ยังไม่ทันได้เอ่ยชื่อก็ต้องชะงักไปเสียก่อนเพราะคนที่ยืนอยู่หน้าห้องตอนนี้ไม่ใช่คนที่ผมคาดหวังเอาไว้

"เป็นอะไรของเอ็ง ท่าทางพิกลนัก"พี่สนผงะออกเล็กน้อยเมื่อผมเปิดประตูออกไปด้วยความรีบร้อน

"เปล่าพี่ มีอะไรอ่ะ"อาการดีใจเมื่อครู่หายวับไปกับตา...เขาไม่คุยด้วยแบบนี้ยังจะหวังให้มาเคาะประตูเรียกอีกเหรอวะไอ้แชมป์

"สายป่านนี้มิเห็นลงไปที่เรือนบ่าว ไม่สบายหรือวะ"พี่สนแกคงสงสัยเลยขึ้นมาตามเพราะปกติแล้วถ้าเจ้าคุณจิตราไม่อยู่ผมมักจะลงไปใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนบ่าวและโรงครัวเป็นประจำ...แต่วันนี้ผมไม่มีอารมณ์ทำอะไรเอาเสียเลย

"ไม่ได้เป็นไรพี่ สบายดี"ส่ายหน้าตอบแต่คนถามยังคงยืนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย

"ข้าเห็นท่าทางเอ็งพิลึกนักตั้งแต่งานบุญวันเกิดคุณพิกุล"ไม่แปลกที่พี่สนจะสังเกตเห็น ก็ตั้งแต่หลังวันงานผมเอาแต่หมกตัวอยู่บนเรือนเพราะมัวแต่คอยสังเกตอาการของคนตัวเล็กจนไม่เป็นอันทำอะไร...ขนาดมิ่งเองยังเคยถามอยู่เหมือนกันแต่ผมก็ได้เพียงส่ายหน้าตอบกลับไป จะไปบอกได้อย่างไรล่ะว่าเครียดที่ถูกลูกสาวเจ้าของเรือนเขาเมินใส่

"ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ พี่มีอะไรให้ผมช่วยเหรอขึ้นมาตามถึงห้องเนี่ย"ไม่อยากถูกซักให้มากความจึงรีบเปลี่ยนเรื่องเสียดีกว่า...เห็นพี่สนแกมีท่าทีลุกลี้ลุกลน หันซ้ายหันขวาก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบเบาๆ

"อ้ายมิ่งมันได้ของดีมา วันนี้เจ้าคุณท่านแลคุณหญิงไม่อยู่เสียด้วย"เห็นแกยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี...ส่วนไอ้ของดีที่ว่าจะเป็นอะไรได้นอกจาก ยาดองที่ทั้งแกและมิ่งติดใจกันหนักหนา ผมเห็นพวกแกแอบตั้งวงกันอยู่บ่อยๆแต่ต้องรอพระอาทิตย์ตกเสียก่อนไม่เช่นนั้นคงถูกคุณหญิงสร้อยด่าเปิง

"เฮ้ย แต่เช้าเลยเหรอพี่"ผมเองไม่ค่อยถูกกับของพวกนี้เท่าไหร่นัก เคยไปร่วมวงกับพวกแกอยู่ครั้งสองครั้ง แต่ผมไม่สู้ครับ...ยิ่งยาดองสมัยนี้ไม่รู้เขาทำกันอย่างไรมันถึงได้แรงจนแสบคอแสบท้องไปหมด

"เออสิวะ วันนี้ทางสะดวกเอ็งรีบตามข้ามา"ไม่พูดเปล่ากวักมือเรียกผมยิกๆอีก

"ไม่เอาอ่ะ เมาแต่หัววัน"รีบส่ายหน้าตอบ วันนี้ยิ่งอารมณ์ไม่ค่อยปกติไม่อยากสังสรรค์กับผู้คนเลยจริงๆ



...พี่สนแกพยายามโน้มน้าวผมอยู่สักพักเมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลแกเลยเดินส่ายหน้าปลงๆลงจากเรือนไป แต่ยังกำชับเสียงแข็งว่าถ้าพร้อมเมื่อไหร่ให้ตามลงไปทันที...โถพี่ ลงไปผมก็ได้โดนป้าน้อยบ่นหูชา ก็พวกแกตั้งวงกันทีไรป้าน้อยแกก็เริ่มบ่นตั้งแต่ตอนนั้นยันเลิกนั่นแหละครับ



...เมื่อเห็นว่าการนอนก่ายหน้าผากอยู่แต่ในห้องไม่ได้ช่วยอะไร...ผมเลยลุกออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกแทน แต่ไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือภาษาฝรั่งเศสเล่มใหม่ที่เจ้าคุณจิตราเพิ่งให้ไว้ติดมือไปด้วย...ตั้งใจจะลงไปนั่งอ่านที่ศาลาแปดเหลี่ยมข้างเรือนเพราะตรงนั้นลมโกรกเย็นสบายดี...ออกมาก็พบกับลูกสาวเจ้าของเรือนที่ยังนั่งอยู่กลางเรือนไม่ไปไหน หากแต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนจากการร้อยมาลัยมาเป็นงานเย็บปักถักร้อยแทน...ช่วงแรกที่มาอยู่ที่นี่ผมเคยสงสัยว่าผู้หญิงสมัยนี้เขาไม่มีอะไรทำนอกจากงานพวกนี้แล้วหรือ และผมก็ได้รับคำตอบว่า...ผมเข้าใจถูกแล้วครับ...และไอ้งานพวกนี้ผมก็เห็นเธอทำได้ทุกวันไม่จบไม่สิ้นเสียที...


...ผมเดินผ่านกลางเรือนหมายจะลงไปข้างล่างแต่ยังคงเหลือบมองคนตัวเล็กที่นั่งอยู่...แน่นอนว่าเธอไม่มองมาที่ผม...ดวงตากลมโตจดจ้องไปที่ผ้าแพรสีเขียวสดตรงหน้าที่เธอบรรจงปักเป็นรูปดอกไม้สีขาวตัดกับสีผ้าแพร...ข้างๆมีพี่บุญมีกับพี่ชดกำลังหัดทำงานฝีมือกับเจ้าตัวอยู่แต่ดูท่าลำบากไม่น้อยเพราะแกเอาแต่นั่งหน้ามุ่ย ขมวดคิ้วมุ่นกันทั้งสองคน...แว่วเสียงคนตัวเล็กหัวเราะคิกคักเมื่อบ่าวทั้งสองยื่นผลงานมาให้ดู หากแต่ดอกไม้ของทั้งพี่สาวทั้งสองมันไม่ค่อยจะเป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่นัก

"ยากเหลือเกินเจ้าค่ะ ให้บ่าวทำครัวหรือกวาดถูเรือนยังดีเสียกว่า"พี่ชดบ่นอุบ โดยมีพี่บุญมีพยักหน้าสนับสนุนอยู่ข้างๆ

"ทำงานฝีมือต้องใจเย็น ค่อยทำไปประเดี๋ยวก็ดีขึ้น"เรียวปากบางขยับเอ่ยเสียงหวานให้กำลังใจพี่สาวทั้งสอง


ชั่ววินาทีที่ผมกำลังจะละสายตาจากภาพตรงหน้า...คือวินาทีเดียวที่ดวงตากลมโตหวานฉ่ำช้อนขึ้นสบกัน...เพียงวินาทีเดียวที่ทำให้หัวใจของผมเต้นระส่ำได้...และก็เป็นเพียงวินาทีเดียวก่อนที่เธอจะหันกลับไปและไม่มองมาทางนี้อีกเลย



ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
ผมตอบตัวเองไม่ได้ว่าความอึดอัดนี้คืออะไร...มันบีบหัวใจ...มันทำให้ผมไม่มีเรื่ยวแรงและอารมณ์จะทำอะไรทั้งสิ้น...ใบหน้าหวานนั้นลอยวนเวียนในความคิดไม่รู้จบ...เรียวปากที่เคยแย้มบาง พวงแก้มสีระเรื่อ ดวงตาหวานฉ่ำภายใต้แพขนตาหนา แววตาที่เคยส่องประกายระยับเมื่อได้สบกัน...หากแต่ตอนนี้ทุกอย่างมันหายไป

ไวกว่าความคิด ผมรีบสาวเท้าลงจากเรือนมุ่งตรงไปยังเรือนบ่าวด้านหลัง...ผมกำลังหงุดหงิด...และสิ่งเดียวที่จะช่วยผมได้ในตอนนี้คงหนีไม่พ้น...



"อ้ายแช่ม! มาพอดี มานั่งข้างๆข้านี่"ได้ยินเสียงโล้งเล้งตั้งแต่ยังเดินไม่ถึงเรือนบ่าว เสียงมิ่งแหวกอากาศขึ้นทันทีที่เห็นผมเดินมาแต่ไกลพลางเขยิบตัวหลบเพื่อให้มีที่นั่งเพิ่มบนแคร่ไม้หน้าเรือนนอนที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นวงยาดองชั่วคราว

"ถึงกับต้องให้พี่สนไปตามเชียวหรือวะถึงจะยอมลงมาได้"มันว่าพลางตบหลังผมฉาดใหญ่...โชยกลิ่นยาดองคละคลุ้ง...หน้าเข้มๆของมันแดงระเรื่อเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์...พี่สนกับบ่าวผู้ชายอีกสองสามคนในวงก็เช่นกัน


ผมรับกระบอกไม้ไผ่บรรจุยาดองสีอำพันที่พี่สนยื่นมาให้...โดยไม่รอช้าจัดการกระดกพรวดทีเดียวจนหมดทำเอาเพื่อนร่วมวงอ้าปากค้างไปตามๆกัน

"เบาๆสิวะเอ็ง ประเดี๋ยวก็ได้เมาพับมันตรงนี้เสียล่ะ"แว่วเสียงพี่สนบ่นขึ้น ดูท่าแกสงสัยไม่น้อยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับอ้ายแช่มที่มักจะปฏิเสธการร่วมวงแบบนี้เสมอ...แต่กลับไม่ใช่วันนี้

"พี่! จัดมาอีก"ยื่นแก้วเปล่าไปให้พี่สนที่นั่งอยู่ตรงข้าม แม้จะมีสีหน้าลังเลแต่ก็รับมันไว้แล้วเติมแก้วใบเดิมจนเต็ม

"เอ็งเป็นอะไรหรือเปล่าวะ"มิ่งวางมือลงบนไหล่ของผมพลางจ้องตาไม่กระพริบ ผมเพียงแค่ส่ายหน้าตอบก่อนจะกระดกแก้วที่สองในมือขึ้นอีกรอบ...ยาดองสีอำพันค่อยๆไหลผ่านลำคอจนเริ่มรู้สึกร้อนผ่าว...กลิ่นฉุนของมันที่ผมเคยเบือนหน้าหนีแทบทุกครั้งที่พวกพี่สนกับมิ่งชวนให้ร่วมวง แต่วันนี้มันคงเป็นอย่างเดียวที่ทำให้ผมพอจะลืมเรื่องเฮงซวยที่มันเกิดขึ้นในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ได้

"นั่งนิ่งกันทำไมวะ กินดิ๊"แค่สองแก้วอาการก็เริ่มออก...ไม่ได้เมานะครับ แต่ผมไม่เข้าใจว่าไอ้พวกนี้มันจะนั่งจ้องหน้าผมกันทำไม...เรียกมาร่วมวงแต่กลับให้ผมกระดกแก้วอยู่คนเดียว

"ประหลาดคนนักเอ็งนี่"เห็นพี่สนแกส่ายหน้าเบาๆ ก่อนที่ทั้งวงจะกลับสู่ภาวะปกติ...เวลาเหล้าเข้าปากเขาไม่ค่อยดราม่าใส่กันนักหรอกครับ และนี่ก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะผมเองก็ไม่พร้อมตอบคำถามใครๆเช่นกัน


ยาดองแก้วแล้วแก้วเล่าถูกส่งผ่านลำคอจนตอนนี้ความรู้สึกร้อนวูบมันแผ่ซ่านไปทั้งตัว...แว่วเสียงคนในวงหัวเราะร่ากันอย่างอารมณ์ดี แทรกด้วยเสียงของป้าน้อยที่บ่นขึ้นทุกครั้งที่เดินผ่าน...วันนี้แกต้องรับหน้าที่ในโรงครัวคนเดียวเพราะลูกสาวเจ้าของเรือนไม่ได้ลงครัวเอง แถมพวกบ่าวผู้ชายยังมารวมตัวตั้งวงยาดองกันแต่หัววันอีก เป็นใครก็คงต้องบ่น หากแต่เสียงบ่นของแกไม่มีใครสนใจเลยสักนิด...เห็นทีป้าน้อยจะแพ้ยาดองในไหที่ตั้งอยู่ข้างกายพี่สนไม่ห่างนี่เสียแล้ว


ผมจำไม่ได้ว่าดื่มไปกี่แก้ว...รู้แต่ว่าตอนนี้หัวมันเริ่มหนักจนตั้งไม่ตรงต้องอาศัยไหล่ของมิ่งเป็นที่พักชั่วคราวจนเพื่อนร่วมวงโห่แซวกันเสียลั่น...ไอ้มิ่งเองก็คอยยกมือผลักหัวของผมออกเป็นพักๆ มันบ่นว่าหนักแต่ผมว่าจริงๆแล้วมันก็มีสภาพไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นักหรอก เพราะผมเห็นมันนั่งโยกไปเยกมาได้สักพักแล้ว

"มึงนั่งเฉยๆดิวะ กูเวียนหัวววว!"โวยวายขึ้นเมื่อรู้สึกว่าไหล่ของมันที่ผมอาศัยหนุนอยู่ชักเริ่มโอนเอนไม่เป็นท่า แต่สติมันยังพอมีเหลือถึงได้ยกมือขึ้นโบกหัวผมเสียแรง

"ก็หัวเอ็งโตเสียขนาดนี้ ข้าก็หนักบ้างสิวะ ไม่ไหวก็กลับขึ้นเรือนไปนอนโน่น"แว่วเสียงเพื่อนร่วมวงหัวเราะครืนแต่ผมไม่มีแรงจะเถียงอะไรกลับ ได้แต่อาศัยไหล่ของไอ้มิ่งเป็นหลักยึดไว้แทน

"เอ้า! เอ็งจะนอนหรือจะกินต่อวะอ้ายแช่ม"แล้วพี่สนมันจะแซวผมทำไมวะเนี่ย เห็นแกหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีแต่หน้าตานี่แดงก่ำไปหมด

"ผมไม่อ่อนขนาดนั้นว่ะพี่ จัดมาอย่าให้ขาด"พยายามตั้งหัวตัวเองให้ตรงก่อนจะยื่นมือไปรับแก้วจากพี่สนอีกรอบ...วันนี้วงเหล้าช่างครื้นเครง...เอ๊ะ หรือว่าผมเมา?

"ประเดี๋ยวพวกเอ็งคอยดู ข้าว่าไม่พ้นสามแก้ว ฮ่าๆ"ได้ทีรุมผมกันใหญ่...ไอ้มิ่งที่นั่งชันเข่าอยู่ข้างๆยกมือขึ้นโยกหัวผมไปมายิ่งทำให้มึนหนักกว่าเก่าจนผมต้องรีบปัดมือมันออก

"ดูหน้ามันสิวะ แดงเสียอย่างกับลูกตำลึง นี่เอ็งเมายาดองหรือเขินอ้ายมิ่งมันวะอ้ายแช่ม ฮ่าๆ"แล้วนั่นใครมันปากดีแซวผมวะ...หันไปมองหน้าไอ้มิ่งที่ยิ้มเผล่อยู่ข้างๆแล้วก็ขนลุกขึ้นมาทันที มันจะยิ้มหาสวรรค์วิมานอะไรของมัน

"หน้าแม่งโหดงี้มีอารมณ์ด้วยไม่ลงว่ะ หึหึ"จบประโยคด้วยการกระดกยาดองอีกสักแก้ว...แรกๆมันก็ขมบาดคอทำไมตอนนี้มันช่างหวานลิ้นเสียจริง ให้ผมเหมาคนเดียวหมดไหผมก็ยอมนะครับ

"อ้ายแช่มเอ๋ย ถึงผิวเอ็งจะขาวอย่างกับลูกเจ๊กเช่นนี้ข้าก็คิดสับปะดนกับเอ็งไม่ลงหรอกวะ ข้ากลัวฟ้าจะผ่าเอา ฮ่าๆ"เสียงหัวเราะจากวงยาดองยังคงดังอย่างต่อเนื่อง...ตั้งวงกันมาแต่เช้านี่ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงแล้วครับ...ไอ้พวกนี้นี่มันคอแข็งกันจริงๆ แต่มีเหรอที่ผมจะยอมให้พวกมันมาว่าผมอ่อน เพราะไม่ว่าพี่สนจะส่งมาให้อีกสักกี่แก้ว ผมก็รับมาจัดการแต่โดยดี



...กว่าจะรู้ตัวอีกที...หน้าขาวๆของผมมันก็แดงแจ๋เพราะฤทธิ์เหล้า สติที่เคยมีครบร้อยตอนนี้คงเหลือเพียงไม่ถึงครึ่งเพราะผมดันเอาหน้าลงไปไถกับพื้นแคร่ไม้ที่นั่งอยู่เสียแล้ว...ก็มันมึนนี่ครับจะให้นั่งตัวตรงยังไงไหว...แว่วเสียงเพื่อนร่วมวงหัวเราะลั่นคงเพราะสภาพของผมตอนนี้ซึ่งผมเองก็ไม่เห็นเสียด้วยว่ามันทุเรศลูกตาแค่ไหน

"ไหวไหมวะเอ็ง"เห็นไอ้มิ่งยื่นหน้าเข้ามาถามเสียใกล้แต่หน้ามันกวนพิกล...ผมมองเห็นไม่ค่อยชัดนักเพราะตอนนี้ตาเริ่มพร่าไปหมด...ไม่ได้กินเหล้าเสียนานดันมาซดยาดองแทนน้ำ แล้วมันจะไหวไหมล่ะครับ

"ข้าว่าพามันขึ้นเรือนเถอะ ดูท่าไม่ค่อยดี"เสียงพี่สนดังขึ้นไกลๆทั้งที่ผมก็เห็นแกนั่งอยู่ที่เดิมแต่ยังได้ยินเสียงหัวเราะคลอมาไม่มีขาด...มันมีอะน่าขำกันนักหนา

"อ้ายแช่ม ลุกไหวไหมวะ"เสียงใครวะมาถามข้างๆหู...ถ้ากูลุกไหวกูคงวิ่งขึ้นไปนอนบนเรือนแล้วคร้าบ ไม่มานอนแอ้งแม้งอยู่บนแคร่ท้ายเรือนแบบนี้หรอก


ผมรู้สึกเหมือนถูกใครสองคนกำลังหิ้วปีกเดินกลับเรือน...อันที่จริงผมก็ไม่รู้หรอกว่าพวกมันจะพาผมไปไหน รู้แต่ผมไม่มีแรงจะสะบัดตัวออกเลยต้องปล่อยให้มันหิ้วปีกอย่างทุลักทุเลแบบนี้แหละ...และมันยิ่งลำบากขึ้นอีกเมื่อถึงตอนที่ผมต้องปีนขึ้นบันไดเรือนเพราะผมได้ยินเสียงไอ้สองคนข้างๆบ่นอุบว่าตัวผมหนัก หนึ่งในนั้นเป็นมิ่งเพราะผมจำเสียงของมันได้...มันพยายามหิ้วผมขึ้นบันไดเรือนทีละขั้นซึ่งผมก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดีด้วยการทิ้งตัวลงบนขั้นบันไดจนพวกมันร้องด่าเสียงดัง...กว่าจะขึ้นมาบนเรือนได้ผมได้ยินมันบ่นเสียหูแทบชา...รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หัวเกรียนๆของผมได้สัมผัสกับหมอนนุ่มบนเตียงนั่นแหละ...อาาาา สบายชะมัด...แต่ทำไมโลกมันหมุนคว้างอย่างนี้ล่ะเว้ย

"เมาแล้วลำบากพวกข้าเสียจริง"แว่วเสียงไอ้มิ่งบ่นอุบ ตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้อง



...และทุกอย่างก็เงียบสงบ...



...ผมนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง...ลมเอื่อยพัดโกรกผ่านทางหน้าต่างช่วยให้คลายร้อนได้บ้างในยามปกติ แต่ยามที่ฤทธิ์แอลกอฮอล์มันแผ่ซ่านอยู่ในร่างกายของผมเช่นนี้มันคงช่วยอะไรไม่ได้...เม็ดเหงื่อเริ่มผุดพรายบนใบหน้าจนอยากจะลุกขึ้นไปอาบน้ำเพื่อคลายร้อนหากแต่สิ่งที่ทำได้คือการนอนอยู่นิ่งๆ...สิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้ได้ คือแม้สติของผมมันจะเหลืออยู่เพียงน้อยนิดแต่มันก็ยังคงวนเวียนคิดแต่เรื่องเดิมไม่จบสิ้น...ใบหน้าหวานระเรื่อของคนตัวเล็กลอยวนอยู่ตรงหน้าจนผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว...หากแต่ภาพของเธอที่เฉยชากับผมนั่นทำเอาผมนิ่วหน้าขมวดคิ้วแทบจะทันที...


...สัมผัสเย็นที่แตะลงข้างแก้มเรียกสติที่ล่องลอยให้กลับมาอีกครั้ง...ผมคงกำลังฝันอยู่เป็นแน่...เพราะมันช่างเย็นสบายขัดกับความรุ่มร้อนในใจของผมเสียจริง...สัมผัสของผ้าชุบน้ำเย็นๆที่ไล่วนไปทั่วใบหน้าและลำคอทำให้ผมสบายตัวขึ้นมาก...ผมค่อยๆปรือตาขึ้นมองหากแต่มันพร่าเสียจนผมเริ่มหงุดหงิด...ไอ้ธีร์เหรอ?...แต่มันคงไม่กลับมาเร็วขนาดนี้...แล้วใครล่ะ?

...พยายามเพ่งสายตาแข่งกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ในร่างกาย ก่อนจะเห็นภาพคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างเตียง...ใบหน้าหวานระเรื่อที่ผมเฝ้านึกถึงมาตลอด แม้ไม่มีรอยยิ้มแต่งแต้มหากแต่ยังคงชวนให้มองเสมอ...มือเรียวเล็กบรรจงลูบไล้ผ้าผืนบางบนใบหน้าของผม ไล่ลงมาถึงลำคอ เรื่อยลงไปตามแขนทั้งสองข้าง...ผมยกมือขึ้นฉวยข้อมือเล็กนั่นจนเธอชะงักไป...ดวงตากลมโตสบกันกับดวงตาที่พยายามปรือขึ้นมองเธอให้ชัดขึ้นของผม...มือที่ถูกจับเอาไว้สั่นเล็กน้อย หากแต่ใบหน้าหวานยังคงนิ่งเฉย

"คุณพิกุล"ถ้ามันเป็นความฝัน ผมก็ขออยู่ในฝันนี้ให้นานที่สุดก็แล้วกัน


"คุณพิกุลโกรธผมเรื่องอะไรครับ"รับรู้ได้ว่าเสียงของตัวเองนั้นแหบพร่าเพราะดื่มเข้าไปมาก...แต่หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าหรือเพราะคนตรงหน้ากันแน่...อีกฝ่ายไม่ตอบเพียงแค่ขืนมือออก เล็กน้อยและบรรจงเช็ดหน้าเช็ดตาของผมอย่างเบามือ

"แชมป์ทำอะไรผิดครับ"คำถามที่ทำเอาคนตัวเล็กชะงักมือไป...ดวงตาหวานฉ่ำสั่นระริก เรียวปากบางเม้มแน่นอย่างเห็นได้ชัดหากแต่ไม่มีคำตอบใด...ผมยกมือขึ้นประคองมือเรียวเล็กนั่นไว้อีกครั้งแล้วดึงมาทาบไว้กับอกของตัวเอง...อีกฝ่ายเพียงแค่มองตามโดยไม่ได้ขัดขืน


"แค่ที่เป็นอยู่นี่ก็เจ็บมากพอแล้ว อย่าให้มันต้องเลวร้ายไปมากกว่านี้เลยนะครับ"ดวงตากลมโตเบิกกว้างกว่าเดิม...มือเล็กที่ทาบอยู่บนอกของผมสั่นเล็กน้อย...สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้ คือการพยายามปั้นรอยยิ้มที่คิดว่าดูดีที่สุดส่งกลับไปให้เธอ

"ผมรู้ว่าผมไม่สามารถยืนเคียงข้างคุณพิกุลได้เพราะผมไม่มีอะไรเทียบเท่าคุณพิกุลได้เลย...แต่ผมขออย่างเดียว..."ใบหน้าหวานยังคงเรียบเฉย หากแต่ประกายตาสั่นระริกนั้นฉายแววชัดกว่าเก่า...มือที่ถูกเกาะกุมอยู่นั้นเย็นเฉียบและสั่นเทิ้ม



"ให้แชมป์ได้มองคุณพิกุลแบบนี้ต่อไป...ได้มั้ยครับ"ราวกับคนบ้าที่กำลังพูดกับตัวเอง แต่มันคงดีเสียกว่าจะให้ผมอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไร...ผมกระชับมือเรียวเล็กบนอกให้แน่นกว่าเดิมและรับรู้ได้ว่าเธอเองก็กระชับมือตอบกลับเช่นกัน...สองมือที่เกาะกุมกันแน่น...ดวงตาที่สอดประสาน...แค่นั้นก็คงพอให้ผมเข้าใจได้ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร...หากแต่หยาดน้ำใสที่รื้นรอบดวงตาหวานฉ่ำทำเอาผมตกใจ

"อย่าร้องนะครับคนดีของแชมป์"ยกมืออีกข้างขึ้นเกลี่ยมันออกเพียงแผ่วเบา หากแต่ยังคงทาบทับมือสัมผัสแก้มใสระเรื่อ...ไม่อยากละออกแม้เพียงวินาทีเดียว


"พ่อแชมป์"เสียงหวานนั้นสั่นเครือและแผ่วเบา หากแต่น้ำเสียงช่างอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อนไม่ผิดเพี้ยน...เพียงแค่นั้นก่อนที่เธอจะชักมือกลับและลุกออกจากห้องไปทันที...เสียงประตูที่ปิดลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจยาวของตัวเอง...ผมจะทำอะไรได้มากกว่านี้อีกเหรอ...
.

.

.

.

.
"เจ้าของบ้านไม่อยู่ ได้ทีนอนยาวยันเย็นเลยนะมึง"เสียงห้วนๆของไอ้ธีร์ปลุกให้ผมลืมตาตื่น...แต่ความจริงผมตื่นเพราะแรงถีบจากเท้าของมันต่างหาก...จะปลุกกันดีๆไม่เป็นเลยหรือไงวะ

"อย่าเสียงดัง กูปวดหัว"แค่ดันตัวลุกขึ้นมานั่งโลกก็หมุนคว้าง...เหลือบไปมองนอกหน้าต่างถึงได้รู้ว่าใกล้ค่ำเต็มที แต่ยังคงทำอะไรไม่ได้นอกจากยกมือขึ้นกุมขมับตัวเองเพราะฤทธิ์ยาดองเมื่อเช้ายังไม่หมดไป

"สมน้ำหน้า! พี่สนบอกกูหมดแล้วว่าตั้งวงกันแต่เช้า"ผมสะบัดหัวสองสามทีเพื่อเรียกสติ...ก่อนจะนึกอะไรออก...เมื่อกลางวันไอ้ที่ผมเพ้อนั่น...ตกลงผมฝันหรือเปล่าครับ!

"เป็นอะไรของมึง"ไอ้ธีร์ที่นั่งอยู่ปลายเตียงขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรเพราะยังคงนึกไปถึงบทสนทนาเมื่อตอนกลางวันนั่น

"กูฝันไปรึเปล่าวะ"ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองพลางยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองเพียงเบาๆ

"มึงสร่างยังเนี่ย บ่นเชี้ยไรวะ"ไอ้คนนั่งขัดสมาธิอยู่ปลายเตียงขึ้นเสียงถามอีกรอบแต่ไม่ได้รับคำตอบใดกลับไป






"เออแชมป์ พี่ชดเพิ่งบอกกู"ผมเห็นสีหน้ามันเปลี่ยนไป...ท่าทีมันอึกอักเหมือนกับไม่รู้ว่าจะพูดออกมาดีไหม

ผมได้แต่มองหน้ามันด้วยความสงสัย "บอกอะไรวะ?"



ธีร์เงียบไปสักพัก...ผิดกับผมที่ทำหน้าอยากรู้เต็มที



"พี่ชดบอกว่าคุณพิกุลจะกลับเข้าวังอีกไม่กี่วันนี้"คำตอบที่ทำเอาผมเบิกตากว้าง รีบพรวดพราดเข้าไปประชิดตัวมันทันทีจนมันผงะหนีด้วยความตกใจ

"มึงว่าอะไรนะ"ออกแรงเขย่ามันจนตัวโยนจนอีกฝ่ายดิ้นพล่านให้หลุดจากมือที่เกาะไหล่มันอยู่

"เชี้ยเจ็บ! กูบอกว่า..."

"กูได้ยินแล้ว"รีบขัดขึ้นก่อนที่มันจะพูดออกมาอีกรอบ

"ได้ยินแล้วจะถามทำไมวะ"โวยวายเสียงดังก่อนจะหันมามองหน้าผมที่นิ่งไปทันทีที่รู้ข่าว...มันยื่นมือมาบีบไหล่ราวกับจะปลอบใจ


"มึงโอเคนะ"

"กูไม่โอเค"น้ำเสียงหนักแน่นของผมทำเอามันชะงักไปทันที...ผมสะบัดตัวออกก่อนจะนั่งก้มหน้านิ่งอยู่บนเตียงเหมือนเดิม...ไอ้ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ยังทรมานผมไม่พออีกเหรอ...ยังจะต้องให้ผมทรมานอีกสักแค่ไหน...แค่เห็นหน้าทุกวันแต่แตะต้องไม่ได้ บอกความรู้สึกไม่ได้ มันก็เจ็บมากพอแล้วนะครับ...แต่การที่ผมจะไม่ได้เห็นหน้าเธออีกและอาจจะตลอดไป...ผมไม่รู้เลยว่าจะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไรดี

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0

"แชมป์"แรงบีบที่ไหล่เรียกสติผมกลับมาอีกครั้ง...ผมหันไปมองหน้าเจ้าของมือโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับ

"คุณพิกุลอยู่ข้างนอก เจ้าคุณกับคุณหญิงยังไม่กลับมา"ไม่ต้องรอให้มันพูดอะไรต่อ ผมรีบลุกพรวดออกจากห้องทันที...ถ้านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะได้บอกอะไรบางอย่างกับเธอ...ผมจะไม่ลังเลอีกเลย


...คนตัวเล็กนั่งอยู่บนพื้นยกกลางเรือนเช่นเคย...เธอดูตกใจไม่น้อยที่เห็นผมเดินมาหยุดยืนตรงหน้า...พี่บุญมีที่นั่งอยู่ข้างๆก็เช่นกัน

"พี่บุญมี เมื่อกี้เห็นป้าน้อยแกเรียกหาอ่ะ เห็นบอกว่าจะให้ช่วยดูเรื่องสำรับเย็น"เป็นไอ้ธีร์ที่เดินตามหลังออกมาที่แทรกขึ้น...พี่บุญมีได้แต่ขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย

"ข้าเพิ่งขึ้นมาจากโรงครัว ไม่เห็นป้าน้อยแกจะว่ากระไร"

"ว่าดิพี่ ป้าน้อยเพิ่งบอกผมเมื่อกี้เอง พี่ลงไปหาแกหน่อยเผื่อแกมีอะไรให้ช่วยนะ"คำตอบของธีร์ที่ทำเอาพี่บุญมีเริ่มลังเล ถึงจะเป็นบ่าวเหมือนกันแต่ป้าน้อยก็ถือว่าอาวุโสกว่ามาก แกเลยจำใจเดินลงจากเรือนอย่างเสียไม่ได้โดยมีไอ้ธีร์ตามหลังไปติดๆ...เหลือบไปเห็นมันหันกลับมามองพร้อมส่งสายตาเป็นห่วงให้...ก่อนจะหันกลับมาสบเข้ากับดวงตากลมโตที่จ้องอยู่นานด้วยความสงสัย...สภาพตอนเพิ่งตื่นนอนหลังจากการดื่มอย่างหนักคงดูไม่ดีเท่าไหร่นักหากแต่ผมไม่ได้สนใจ...ใบหน้าหวานยังคงเรียบเฉยจนผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์เมื่อกลางวันนั้นเป็นเรื่องจริงหรือผมแค่เพ้อเพราะฤทธิ์เหล้ากันแน่


"คุณพิกุลจะกลับเข้าวังเหรอครับ"คำถามที่ทำเอาตากลมโตนั้นเบิกกว้างกว่าเก่า ก่อนจะละสายตาที่สบกันแล้วพยักหน้ารับเพียงเท่านั้น

"เมื่อไหร่ครับ"

"อีกเจ็ดวัน"คำตอบเพียงสั้นๆที่ทำเอาผมทรุดตัวนั่งกับพื้นแทบจะทันที

"ไปนานมั้ยครับ"แม้ทั้งตัวจะชาไปพร้อมกับคำพูดนั้นแต่ก็ยังแค่นคำถามออกมาหวังเพียงว่าจะได้รับคำตอบที่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง...แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นเพียงการพยักหน้ารับของคนตัวเล็กแทน

"จำเป็นต้องไปเร็วขนาดนี้เลยเหรอครับ"ประกายในดวงตากลมโตนั้นสั่นระริก หากแต่ยังคงไม่มองหน้า

"เรามีหน้าที่รับใช้หม่อมท่าน เมื่อหม่อมท่านเสด็จกลับวังเราก็ต้องเข้าไปถวายงานรับใช้"เสียงหวานเอ่ยตอบเบายิ่งนัก ผมรู้สึกได้ว่ามันสั่นเครือผิดปกติ...รู้ตัวอีกทีผมก็พาร่างของตัวเองขึ้นมานั่งอยู่บนพื้นยกกลางเรือนไม่ห่างจากเธอนัก

"ถ้าคุณพิกุลไม่อยากเห็นหน้าผม ผมไปเองก็ได้นะครับ อยู่กับเจ้าคุณและคุณหญิงท่านเถอะนะครับ"บางอย่างดลใจให้ผมพูดคำนี้ออกมา...ผมอดคิดไม่ได้ว่าอาการเฉยเมยของเธอที่มีต่อผมในช่วงหลายวันที่ผ่านมามันเป็นเพราะว่าเธอไม่อยากเห็นหน้าผมอีกแล้ว

"หาใช่เพราะพ่อแชมป์ไม่ เราเพียงต้องทำตามหน้าที่"

"ทำไมต้องโกหกครับ"เรียวปากบางเม้มเข้าหากันแน่น...แค่พูดมาคำเดียวว่าไม่อยากเห็นหน้าผมอีกแล้ว ผมก็พร้อมจะไปจากที่นี่ ไม่เห็นต้องหาเรื่องบ่ายเบี่ยงกันแบบนี้เลย

"บอกผมสิว่าไม่อยากเห็นหน้าผมแล้ว แค่นี้เอง"ถึงข้างในมันจะรุ่มร้อนเหมือนไฟเผาเพียงใด หากแต่สิ่งที่ทำได้คือการแค่นยิ้มส่งกลับไปให้เธอเหมือนที่เคยทำมาทุกครั้ง...แชมป์อารมณ์ดีเสมอ...แชมป์ทำให้คุณพิกุลยิ้มได้เสมอ...และแชมป์จะไม่ทำให้คุณพิกุลร้องไห้...นั่นคือสิ่งที่ผมคิดมาตลอด


...ใบหน้าหวานระเรื่อนั้นเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด...เธอพยายามเบี่ยงตัวไปอีกทางเพื่อไม่ให้ผมได้เห็น...หยดน้ำตาใสที่รื้นขึ้นในดวงตากลมโตคู่นั้น...ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พร้อมกับมือที่เอื้อมไปฉวยข้อมือเรียวเล็กของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น

"ร้องไห้ทำไมครับ"น้ำเสียงตื่นตระหนกอย่างชัดเจน...เพิ่งบอกไปเมื่อครู่ว่าจะไม่ทำให้ร้องไห้แต่ดันมาร้องให้เห็นเสียได้

"ปล่อยเราเถิดพ่อ"พยายามขืนข้อมือให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ผมยังไม่ยอมปล่อย...จนกว่าจะได้คำตอบ

"คุณพิกุลเป็นอะไร บอกผมสิครับ"คาดคั้นถามพร้อมกับสองมือที่จับไหล่บางนั้นให้หันมาเผชิญหน้า...ผมจ้องลึกเข้าไปในแววตาสั่นระริกนั้น...หยดน้ำตาใสเอ่อล้นจนไหลลงมาอาบพวงแก้มชมพูระเรื่อ

"อย่าร้องนะครับคนดีของแชมป์"คำพูดเดิมเหมือนที่ผมพูดไว้เมื่อตอนกลางวัน...หากมันเป็นความฝัน...เธอก็คงได้ยินมันแล้วในตอนนี้...ผมยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาที่เปื้อนพวงแก้มของเธอเพียงแผ่วเบา ร่างบอบบางของเธอสั่นเทิ้มด้วยเสียงสะอื้นที่เธอพยายามสะกดมันเอาไว้

"ถ้าคุณพิกุลลำบากใจ ผมจะไปเอง"รอยยิ้มที่พยายามปั้นแต่งให้สมบูรณ์แบบที่สุด...ผมทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้...เพราะผมไม่มีอะไรที่จะให้เธอได้เลย...นอกจากสิ่งที่เรียกว่า...ความสบายใจ...



ผมละมือจากไหล่บาง...หันหลังกลับเพื่อลุกออกจากที่ตรงนั้น...และเป็นจังหวะเดียวกับที่คนตัวเล็กฝากคำพูดทิ้งท้ายเอาไว้



"หากวันหนึ่งเรามิได้อยู่ที่นี่แล้ว ขอให้พ่อพึงระลึกเอาไว้ ว่าเรามิเคยนึกรังเกียจพ่อแชมป์แม้แต่น้อย"เรียวปากบางเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ผมเอาหัวใจของผมกระตุกวูบ...หันกลับไปสบกับดวงตากลมโตที่ตอนนี้รื้นไปด้วยน้ำตาแต่กลับแข็งกร้าวจริงจัง...หากนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอยอมเผยความรู้สึกให้ผมได้ฟัง...มันก็คงเป็นโอกาสสุดท้ายของผมเช่นกัน...



สองมือเอื้อมออกไปรั้งร่างเล็กบอบบางนั้นให้เข้ามาแนบชิด...เป็นครั้งแรกที่ได้ใกล้ชิดเธอถึงเพียงนี้...กรุ่นกลิ่นน้ำปรุงผสมกับกลิ่นกายหอมละมุน...เรือนผมสีดำสนิทนุ่มลื่นราวกับผ้าแพรเนื้องาม...ใบหน้าหวานฉ่ำแนบชิดอยู่กับอกคงได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ

"ผมเคยบอกคุณพิกุลว่า ถ้าวันนึงผมไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ผมขอให้คุณพิกุลใช้ชีวิตอย่างมีความสุข"นึกย้อนไปถึงครั้งที่มอบภาพวาดฝีมือของตัวเองให้กับเธอ...ในวันนั้นผมคิด...หากวันหนึ่งผมต้องกลับบ้าน...ผมยังอยากเห็นเธอมีความสุข

"ผมขอถอนคำพูดครับ"ร่างเล็กบอบบางขืนตัวออกเพื่อสบตากับผมนิ่งเนิ่นนาน...ดวงตากลมโตหวานฉ่ำฉายแววสงสัย...ผมเพียงแค่ยิ้มบางกลับไปให้...รอยยิ้มที่ไม่ต้องปั้นแต่งเพราะมันออกมาจากข้างใน

"เพราะผมจะไม่ไปไหน...ผมจะอยู่รอคุณพิกุลที่นี่ ไม่ว่าคุณพิกุลจะกลับเข้าวัง หรือต้องออกเรือนแต่งงานไปกับใครก็ตาม...เมื่อไหร่ที่กลับมา...คุณพิกุลจะเห็นแชมป์รออยู่ที่นี่เสมอนะครับ"ผมยังอยากเห็นเธอมีความสุข...แต่ขอให้ผมได้เห็นมันด้วยตาของผมเอง...และผมตัดสินใจแล้ว...ผมจะอยู่ที่นี่...เพื่อรอหัวใจของผม



...หยาดน้ำตาใสไหลรื้นอาบแก้มเธออีกครั้ง...ดวงตาของเธอแดงก่ำและร่างบอบบางนั้นสั่นเทิ้ม...มือเรียวเล็กเอื้อมมาแตะที่ข้างแก้มของผมเพียงแผ่วเบา

"สิ่งที่เราต้องทำนั้นคือหน้าที่ แต่ขอให้พ่อจำไว้เถิดว่า...หัวใจของพิกุลดวงนี้อยู่ที่พ่อแชมป์เพียงคนเดียวเท่านั้น แลจะไม่มีวันเปลี่ยนไปให้ใคร...ขอให้พ่อถือเอาคำของเรานี้ไว้เป็นคำสัญญา"ถ้อยคำจริงจังที่พรั่งพรูจากอีกฝ่ายเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาได้ในพริบตา...หากเธอเองยอมให้คำมั่นสัญญา...แล้วทำไมผมจะให้เธอบ้างไม่ได้เล่า

"ผมสัญญา...ว่าจะรักษาหัวใจของพิกุลดวงนี้ให้ดีที่สุด ถึงผมจะไม่สามารถยืนเคียงข้างคุณพิกุลได้ แต่ผมจะยืนรอ ในที่ที่คุณพิกุลมองเห็นผมได้เสมอ"สองมือที่ประสานกันแน่นราวกับเป็นการแลกเปลี่ยนคำสัญญาที่ต่างฝ่ายต่างให้ไว้...ใบหน้าหวานเจือรอยยิ้มบางที่ผมคิดถึง...ผมเองก็เช่นกัน...




ผมเคยนึกโทษโชคชะตาที่เล่นตลกกับชีวิตของผมด้วยการส่งผมมาที่นี่...ให้ได้พบและตกหลุมรักกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมไม่อาจเอื้อมมือไปคว้าเธอมาไว้แนบอกได้...ผมเคยด่าทอ โมโห และหงุดหงิดเมื่อคิดว่าผมจะไม่มีวันได้เป็นเจ้าของ...แต่สิ่งที่ผมได้รับจากเธอในวันนี้มันยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด...และนั่นทำให้ผมนึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ส่งผมมายังที่นี่...ให้ได้พบและตกหลุมรักกับผู้หญิงคนหนึ่งที่แม้ไม่อาจเอื้อมมือไปคว้าเธอมาไว้แนบอกได้



...แต่ผมก็ได้เป็นเจ้าของหัวใจของเธอ...


...แม้เพียงในความคิดก็ตาม...
.

.

.

.

.
"ยิ้มออกแล้วนะมึง"เสียงไอ้ธีร์ดังขึ้นทำลายความเงียบบนชานเรือน...วันนี้อากาศดีมันเลยชวนผมออกมานั่งรับลมข้างนอกแทน เพราะอยู่ในห้องก็ได้แต่อุดอู้ไม่มีอะไรให้ทำ...เจ้าคุณจิตรากับคุณหญิงสร้อยกลับมาได้สักพักแล้ว ท่าทางแกดูอ่อนเพลียจากการเดินทางเพราะเมื่อมาถึงก็ตรงเข้าห้องทันที...สายตาของคุณหญิงสร้อยที่มีต่อผมยังคงเหมือนเดิม...แต่ผมเองก็คงทำอะไรให้มันดีขึ้นไปกว่านี้ไม่ได้เช่นกัน

"ยิ้มได้ก็ดีแล้ว"ไอ้ตัวดีที่ตอนนี้นอนแผ่หราอยู่กลางเรือนยังคงพูดต่อ...ผมเองก็ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ มองพระจันทร์ดวงกลมโตที่ลอยเด่นบนท้องฟ้าเช่นกัน

"ธีร์"เสียงเรียกที่ทำให้เจ้าของชื่อละสายตาจากท้องฟ้าเบื้องบนแล้วหันกลับมามอง

"มึงเคยคิดจะอยู่ที่นี่ตลอดไปมั่งมั้ยวะ"แว่วเสียงมันหัวเราะครืน ก่อนจะแหงนหน้ามองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลเบื้องบนต่อ

"อารมณ์ไหนของมึงวะ หึหึ"ดูมันครับ...ผมถามดีๆ ดันกวนกลับเสียได้

"ก็คิดนะ"คำตอบเพียงสั้นๆจากคนที่นอนยกมือประสานท้ายทอยต่างหมอนหนุน...ดวงตาคมโตของมันสะท้อนประกายแสงจันทร์วิบวับ

"แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่ะ"ท้ายประโยคมันหันมายกยิ้มกวนให้

"ต้องรอหลวงพิสิษฐมาขอก่อนเหรอไงถึงจะตัดสินใจได้"โดนแซวเข้าหน่อยก็เขินจนหน้าแดงเลยครับมัน แต่ก็ยังมีแรงยกขาถีบผมกลับแก้เก้อ...ส่วนผมก็ได้แต่หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีที่นานๆจะได้แกล้งมันสำเร็จซักที


"ธีร์"หลังจากเงียบไปได้สักพักผมก็เรียกขึ้นอีก...แว่วเสียงคนข้างๆบ่นอุบเพราะกำลังเพลินกลับการนอนตากลมชมจันทร์

"กูจะอยู่ที่นี่ตลอดไปได้มั้ยวะ"สายตาของผมยังคงทอดไกลไปยังท้องฟ้าเบื้องบนเลยไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้คนข้างๆกำลังมีสีหน้าแบบไหน

"โตแล้วคิดเองได้ ไม่เห็นต้องถามกู"ตอบพร้อมกับมือที่ยื่นมาผลักหัวผมเบาๆ...ปากว่ามือถึงไม่เคยเปลี่ยน...ผมไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่นอนมองพระจันทร์ดวงโตอย่างเงียบๆ...แค่ถามมันไปอย่างนั้นเพราะในใจผมมีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว...




...ก็ให้สัญญาไปแล้ว...จะกลับคำพูดแล้วหนีกลับบ้านได้อย่างไรเล่า!...


....................................................................................



มาแล้วจ้าาาา ลืมน้องธีร์กันรึยังน๊าาาา  :mew2:
ตอนนี้เป็นตอนของพี่แชมป์บ้างนะคะ พี่แชมป์ขอดราม่าบ้างหลังจากปล่อยให้น้องธีร์เล่าเรื่องอยู่คนเดียว
(พี่แชมป์บอกหมั่นไส้ค่ะ  :z6:)

ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ ใครคิดถึงพี่แก้วรอตอนหน้าเน๊อออ พี่แก้วแอบซุ่มก่อน  :call: :call: :call:

ปล. เอาพี่แชมป์กับคุณพิกุลมาฝากด้วยค่ะ  :mew1:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2014 04:15:36 โดย Vivid_Vuitton »

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
คิดถึงพี่แก้ว
อ่านตอนพ่อแชมป์ยังมีอุปสรรคขนาดเป็นชายหญิงแล้วพ่อธีร์ไม่ยิ่งกว่านี้หรอกเหรอ

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
แชมป์นี่พระเอกจริงๆ
ไม่อยากคิดตอนคู่ธีร์ดราม่าเลย โอ้ยยยย

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
หวานแบบหน่วงๆ สู้เค้านะแชมป์

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
รอมาต่อนานมาก มาทีก็มายาวจริงๆ อ่านแล้วพี่แชมป์มาวินมาก กระชากอารมณ์ จะหน่วงก็หน่วงไม่สุด จะยิ้มก็ได้ไม่กว้างเท่าไหร่ จะว่าโลกพี่แชมป์เป็นสีชมพูมันก็ไม่ใช่ พี่แชมป์อินเลิฟ คุณพิกุลอินเลิฟ แต่ไม่ได้อารมณ์หวานชื่นเลย ต่างคนก็ได้แต่จะซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเอง และยึดมั่นตามคำสัญญาของอีกฝ่าย แล้วก็ได้แต่มองกันไปเรื่อยๆอย่างนั้นเหรอ ตอนนี้มันก็ยังเลี้ยงหัวใจเลี้ยงชีวิตไว้ได้ แต่ถ้าคุณพิกุลต้องแต่งงานจริงๆ มันจะกลายเป็นความทรมานนะ แต่...จำได้ว่าคุณพิกุลไม่ได้แต่งงานใช่ป่ะ ก็จะถือว่าตอนนี้เป็นจบแบบแฮปปี้ก็แล้วกัน

รออ่านต่ออยู่นะคะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ p.spring

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 282
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
หน่วง หน่วงสุดๆ พ่อแชมป์

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ซีนนี้สงสารแชมป์เลยค่ะ

ออฟไลน์ PURE LOVE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ยังอ่านไม่ถึงตอนล่าสุด แต่มาให้กำลังใจคนเขียนก่อนจ้า
ชอบมาก ๆ เลยค่ะ คนเขียนแต่งเก่งมาก อ่านแล้วลื่นไหลดีจัง
เนื้อเรื่องก็สนุก น่าติดตาม ชอบทั้งพี่แก้ว พ่อธีร์ พี่แช่ม คุณพิกุล ชอบหมดเลย
โดยเฉพาะคุณหลวง  :o8: อบอุ่น นุ่มนวลมากเลยอ่ะ อิจฉาพ่อธีร์เล็ก ๆ อิอิ
แต่รักกันต่างกาลเวลาอย่างนี้ ทำให้กลัวไม่สมหวังจังเลย  :mew2:
ขอเถอะนะคะ ขอให้เรื่องนี้จบแบบมีความสุข ได้สมหวังทั้งสองคู่เถอะน้า
รอติดตามนะคะ ^^

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
มาตามพี่แก้วพ่อธีร์
แอนด์เดอะแก๊งและคนแต่งค่ะะะ
คิดถึงจัง

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
แวะมาบอกว่า...ไม่เกินวันอาทิตย์นี้ พี่แก้วกับน้องธีร์จะกลับมานะคร๊าาา
ขอโทษที่หายไปนาน ติดภารกิจจริงๆ

ออฟไลน์ PURE LOVE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เย้ๆๆ  ดีใจจัง รอพี่แก้วน้องธีร์นะจ้ะ คิดถึงจังเลย  :กอด1:
ขอบคุณคนเขียนมากเลยค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0


ตอนที่ ๒๕...กลิ่นดอกแก้ว...



...มีคนเคยบอกไว้ว่าความสุขมักอยู่กับเราเพียงไม่นาน...ความทุกข์ก็เช่นกัน...ในชีวิตหนึ่ง มนุษย์เราอาจพบเจอทั้งความสมหวังและผิดหวัง แต่ไม่มีอะไรที่จะคงอยู่ตราบนิรันดร์...สุขก็ไม่จีรัง...ทุกข์ก็ไม่ยั่งยืน...คงเหมือนกับสายนทีที่ไหลผ่าน...มีบ้างที่กระแสนทีเชี่ยวกรากด้วยลมและพายุ...แต่ย่อมมีเวลาที่สายน้ำนั้นนิ่งสงบ...หากแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน...แม้ว่าสายนทีจะนิ่งสงบหรือบ้าคลั่งเพียงใดมันก็ยังคงไหลวนเรื่่อยไปและไม่มีวันหวนกลับคืน...


...เหมือนกับชีวิตของผม...แม้มันจะราบเรียบดีแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเวลาของผมได้หยุดลง...วันเวลายังคงหมุนวนเรื่อยไปทั้งในโลกปัจจุบัน...และโลกที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในตอนนี้...โลกที่เคยมีเพียงผมและไอ้แชมป์เพียงสองคนราวกับตัวประหลาดที่อยู่ผิดที่ผิดทาง แต่ในตอนนี้โลกใบนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ผมได้รู้จักและผูกพันธ์...บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษ และคนสนิทของท่านที่เอ็นดูผมเหมือนลูกเหมือนหลาน...คนที่ผมสามารถเรียกได้เต็มปากว่าเพื่อน...หรือแม้แต่...คนที่อยู่ข้างๆผมในตอนนี้...



...นัยน์ตาคมทอดยาวออกไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า ริมฝีปากหยักได้รูปยกยิ้มบางอย่างอารมณ์ดี...แว่วเสียงลมเย็นเอื่อยพัดคลอกับเสียงไม้พายกระทบผืนน้ำเป็นจังหวะจากคนตัวสูง...จังหวะพายเชื่องช้าเนิบนาบอย่างไม่รีบร้อนเฉกเช่นปกติของผู้คนในพระนคร

"ไหนว่าจะมาเก็บบัวไงครับ"ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตัวสูงพายออกมาไกลจากเรือนไม้ทรงฝรั่งของเจ้าคุณไพศาลมากขึ้นทุกที...เมื่อครู่เกิดนึกสนุกรับอาสาป้าชื่นออกมาเก็บบัวให้เมื่อเห็นว่าแกตั้งใจจะแกงสายบัวให้ได้ชิมกันในวันนี้...เดือดร้อนป้าชื่นต้องห้ามเสียยกใหญ่แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะยอมฟัง...สุดท้ายป้าชื่นก็ต้องยอมอย่างเสียไม่ได้

"แถวนี้ไม่มีหรอกต้องผ่านคุ้งน้ำฟากกระโน้นเสียก่อน"ผมมองตามสายตาของคนตัวสูงออกไปเบื้องหน้า...จริงอย่างที่เขาว่า ริมน้ำเจ้าพระยาสายใหญ่เช่นนี้ไม่มีแม้แต่บัวสักกอให้ได้เห็น...เจ้าพระยาในสมัยพระนครนั้นช่างโล่งตาผิดกับเจ้าพระยาในกรุงเทพมหานครราวกับว่ามันไม่ใช่ที่แห่งเดียวกัน...แม่น้ำสายใหญ่เป็นทางสัญจรของเรือลำน้อยใหญ่ หากแต่ความชุลมุนแออัดช่างต่างกันยิ่งนัก...ไม่ว่าจะมองไปด้านไหนก็ช่างสบายตาขัดกับภาพของเจ้าพระยาในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง

"อีกไกลมั้ยครับ"ถามขึ้นอีกครั้งเพราะไม่ค่อยชินเส้นทางแถวนี้สักเท่าไหร่เมื่อคนตัวสูงพายเรือออกมาอีกด้านของเส้นทางปกติที่ผมเดินทางจากเรือนของเจ้าคุณจิตรา

"ไม่ไกลนัก เบื่อแล้วหรือพ่อ"ได้แต่ส่ายหน้าตอบ...ตรงกันข้ามผมกลับชอบเสียด้วยซ้ำที่มีโอกาสได้ออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้างเพราะปกติก็ใช้ชีวิตอยู่เพียงแค่เรือนสองหลังเพียงเท่านั้น

"กลัวป้าชื่นแกจะรอเก้อเป็นสายบัวน่ะครับ"เห็นท่าทีสบายอารมณ์ของคนตัวสูงแล้วก็อดเป็นห่วงแกงสายบัวของป้าชื่นเสียไม่ได้

"แม่ชื่นแกจะลงครัวเย็น"ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มกลั้วเสียงหัวเราะแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้...ลงครัวเย็นแต่พาออกมาเก็บบัวแต่เช้า ป่านนั้นบัวไม่เฉาเสียก่อนเหรอ

"ลงครัวเย็นแล้วต้องรีบออกมาแต่เช้าเลยเหรอครับ"ปากที่ตรงกับใจถามออกไปแต่สายตายังคงเป็นประกายวิบวับเพราะมัวแต่ชื่นชมความงามของสองฝั่งเจ้าพระยาที่ไม่ว่าจะได้มองสักกี่ครั้งก็ยังคงงดงาม...ผมติดภาพเจ้าพระยาในกรุงเทพมหานครจนอดแปลกใจในความสงบเงียบแบบนี้เมื่อครั้งที่มาอยู่ที่นี่แรกๆ...เจ้าพระยาที่ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ของเรือเร็ว...ไม่มีเรือแพข้ามฟาก...ไม่มีเศษซากวัชพืชลอยเกลื่อน...มีเพียงเสียงของผู้คนที่ทักทายกันเมื่อยามพายเรือผ่าน แม้ไม่รู้จักกันมาก่อนแต่รอยยิ้มจริงใจของคนที่นี่กลับมีให้กันอยู่เสมอ...สายน้ำของเจ้าพระยาที่นี่นั้นไหลเอื่อยเพียงช้าๆเช่นเดียวกับวิถีชีวิตของผู้คนสองฟากฝั่ง

"ช่างซักเสียนี่กระไร"แว่วเสียงกระเซ้าเย้าแหย่จนต้องหันกลับไปมอง...คนตัวสูงที่ยังคอยสลับไม้พายไปมาเพื่อบังคับทิศทางเรืออย่างเชื่องช้า...อันที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจที่เห็นเขาพายเรือได้เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาแม่น้ำลำคลองด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ไม่คิดว่าคนอย่างหลวงพิสิษฐจะลงแรงเป็นสารถีเสียงเองต่างหาก

"จะพาไปที่อื่นก่อน อยากไปหรือไม่เล่า"

"ยังไม่ได้บอกว่าจะพาไปไหน แล้วผมจะบอกได้ยังไงว่าอยากไปรึเปล่า"เมื่อครู่ยังลากผมลงเรือบอกว่าจะพาไปเก็บบัว ตอนนี้กลับมาบอกว่าจะพาไปที่อื่นเสียนี่...คงไม่ได้คิดจะพาผมไปขายพ่อค้าจีนแถวนี้หรอกนะครับ

"แล้วกัน ไม่ไว้ใจเราเลยรึพ่อ"น้ำเสียงตัดพ้อนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมได้ยินบ่อยๆในช่วงนี้

"ก็คุณหลวงไม่บอก ผมจะไว้ใจได้ไงครับ เกิดคุณหลวงพาผมไปขายที่ไหนต่อไหนแล้วผมจะทำยังไงล่ะ"อีกฝ่ายหัวเราะร่าเมื่อได้ยินคำตอบ

"ขายไปก็คงไม่ได้ราคา ตัวผอมบางเยี่ยงนี้เกรงว่าจะทำงานให้เขาไม่ได้น่ะซี"ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น...ผมก็ไม่ได้ตัวเล็กขนาดนั้นเสียหน่อย ยิ่งช่วงนี้ต้องช่วยพวกพี่สนทำงานที่เรือน แม้แต่ไอ้แชมป์ยังเคยทักเลยว่าตัวหนาขึ้น...แต่ถ้าให้เทียบกับคนที่กำลังพายเรือให้ผมอยู่ตอนนี้ผมก็คงต้องยอมแพ้...แม้เขาเองจะไม่ได้มีรูปร่างบึกบึนเช่นเดียวกับพวกบ่าวผู้ชายในเรือนอย่างพี่สนหรือมิ่งเพราะวันๆต้องทำแต่งานที่ใช้แรง...แต่ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ชายรูปร่างสมส่วนสง่างามคนหนึ่งเลยทีเดียว...ว่าแต่...นี่เขาคิดจะเอาผมไปขายจริงๆเหรอ?!

"ขายไปก็ดีนะครับ ดีกว่านั่งๆนอนๆอยู่ที่เรือน"เพิ่งบ่นไปแท้ๆแต่กลับไปท้าเขาเสียนี่...เหลือบไปเห็นคนตัวสูงกลั้นหัวเราะอยู่คนเดียว

"แล้วเราจะอยู่กับใครเล่า...พ่อธีร์..."โน้มตัวเข้ามาใกล้ให้ได้เห็นรอยยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดี...ดวงตาคมส่องประกายระยับจับจ้องไม่วางตาจนผมต้องเป็นฝ่ายละสายตาหนีเสียเอง

"แล้วจะพาไปไหนครับ"เถียงต่อไม่ได้ ก็เปลี่ยนเรื่องมันสิครับ..งานถนัดของผมล่ะ...อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรยิ่งทำให้ผมสงสัยหนัก แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพียงปล่อยให้คนตัวสูงพาเรือแล่นไปเบื้องหน้าอย่างสบายอารมณ์...คงไม่ได้คิดจะเอาผมไปขายอย่างที่ว่าหรอก




...ผ่านเจ้าพระยาสายใหญ่เลี้ยวเข้าคุ้งน้ำด้านหน้าที่เป็นเพียงลำคลองเล็กๆ...บรรยากาศสองฟากฝั่งเงียบสงบกว่าแม่น้ำสายใหญ่ที่เพิ่งผ่านมามากนัก...จั่วเรือนไม้ทรงโบราณโผล่พ้นยอดไม้สูงให้เห็นเรียงราย แม้จะเข้าช่วงสายแล้วแต่อากาศกลับไม่ร้อนอย่างที่คิดเพราะเริ่มเข้าหน้าฝนและยังมีไม้ยืนต้นที่ขึ้นเรียงรายสองฝั่งคลองช่วยบังแดดเอาไว้...ไม่นานนักเรือลำน้อยก็พาผมมาเทียบท่าน้ำแห่งหนึ่ง...มองขึ้นไปด้านบนเห็นพระอุโบสถสีขาวตั้งสง่าอยู่ไม่ไกลนัก...คนตัวสูงจัดแจงผูกเรือเทียบท่าก่อนจะลุกก้าวขึ้นไปบนท่าน้ำอย่างคล่องแคล่ว...มือใหญ่ยื่นมาตรงหน้าหมายจะช่วยให้ผมลุกตามได้โดยง่าย...โดยไม่ต้องคิดผมยื่นมือออกไปจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้มั่นพลางยันตัวลุกขึ้นยืน พื้นเรือโคลงเคลงทำให้ทรงตัวได้ไม่ดีนักแต่ก็สามารถก้าวข้ามขึ้นไปบนท่าน้ำได้อย่างปลอดภัยดี...หลวงพิสิษฐปล่อยมือออกก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบตะกร้าของใส่บาตรกับดอกบัวสีชมพูระเรื่อดอกใหญ่ที่ถูกพับกลีบอย่างสวยงาม...ผมไม่ทันสังเกตเห็นแต่แรกคงเพราะเขาวางมันไว้ด้านหลัง

"ครั้งงานบุญวันเกิดแม่พิกุลเห็นพ่อธีร์ว่าอยากทำบุญ"

"จำไม่ได้ว่าเคยพูดนะครับ"

"ไม่อยากทำบุญร่วมกับเรารึ"ริมฝีปากหยักยกยิ้มยียวนเช่นเคย

"ก็ไม่ได้บอกว่าไม่อยาก แต่ผมไม่ได้พูดซักหน่อย คุณหลวงพูดเองเออเองนะครับ"แว่วเสียงหัวเราะเบาจากอีกฝ่าย

"เอาเป็นว่าเราขอให้พ่อธีร์มาก็แล้วกัน เข้าไปด้านในเถิดประเดี๋ยวจะสาย"พูดจบก็ออกเดินนำหน้าไปทางอุโบสถเรือนสีขาวที่โดดเด่นอยู่ไม่ไกลนัก...ผมเดินตามหลังผ่านลานวัดกว้างที่มีกลุ่มเด็กชายผมจุกสี่ห้าคนกำลังวิ่งเล่นส่งเสียงดัง...เห็นแล้วก็อดนึกเปรียบเทียบกับเด็กๆในยุคของผมไม่ได้...สมัยนี้พวกเขาไม่มีเกมส์ออนไลน์ให้ได้เล่น ไม่มีเครื่องเล่นเกมส์ที่ทันสมัย แต่เด็กเหล่านี้กลับมีเสียงหัวเราะที่ดังสดใสกว่าคนในยุคของผมมากนัก...การละเล่นพื้นบ้านที่แสนธรรมดาอย่างวิ่งไล่จับหรือมอญซ่อนผ้ากลับทำให้พวกเขาสนุกสนานได้มากกว่าเครื่องเล่นเกมส์ราคาแสนแพงที่กลายเป็นตัวแยกเด็กเหล่านั้นออกจากโลกภายนอกแม้กระทั่งพ่อแม่ของพวกเขาเอง...ผมหยุดยืนมองเด็กชายสี่ห้าคนที่วิ่งวนไปรอบลานวัด ใบหน้าเปื้อนยิ้มเหล่านั้นทำเอาผมอดยิ้มตามออกมาโดยไม่รู้ตัว...เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายตัวเล็กสุดที่กำลังเป็นฝ่ายวิ่งไล่เพื่อนๆที่วิ่งไปกันคนละทางพลางหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี...โดยไม่ทันระวัง เด็กชายตัวเล็กก็วิ่งเข้ามาชนผมเข้าอย่างจัง...ร่างสูงเพียงแค่เอวของผมร่วงลงไปนั่งอยู่กับพื้นพลางส่งเสียงโอดโอย...เดือดร้อนเพื่อนๆที่กำลังวิ่งหนีอยู่ต้องรีบเดินเข้ามาดูเพราะความเป็นห่วง

"ซุ่มซ่ามเสียจริงอ้ายน้อย"เด็กชายตัวสูงที่สุดในกลุ่มบ่นอุบแต่ก็ยื่นมือไปดึงแขนคนตัวเล็กกว่าให้ลุกขึ้นยืน

"พี่มั่น น้อยเจ็บ"เจ้าหนูตัวเล็กเริ่มงอแง ใบหน้าเหยเกเพราะก้นที่กระแทกกับพื้นอย่างจัง...เด็กชายตัวสูงได้แต่กลอกตาไปมาพลางยกมือขึ้นปัดฝุ่นที่เปรอะตามเนื้อตัวของคนตัวเล็กกว่า

"ไม่ต้องร้อง ประเดี๋ยวข้าพาไปซื้อขนม"ได้ยินแบบนั้นถึงได้ยิ้มร่าออกมาทั้งที่ตาแดงก่ำ

"คุณขอรับ ขอประทานโทษแทนอ้ายน้อยมันด้วยขอรับ มันไม่รู้จักระวังวิ่งชนคุณเข้าเสียได้"กลายเป็นเด็กชายตัวสูงที่ยกมือไหว้ปลกๆ ส่วนคนที่วิ่งชนตอนนี้หลบไปอยู่ข้างหลังแทน

"ไม่ต้องขอโทษหรอก พี่มายืนขวางเอง เจ็บมากมั้ยไอ้หนู"ยื่นหน้าไปถามเด็กชายตัวเล็กที่เอาแต่ก้มหน้างุด มือเล็กเกาะแขนคนตัวสูงกว่าเอาไว้แน่น

"คุณเขาถามก็ตอบเขาซีวะอ้ายนี่"พอโดนดุเข้าถึงได้ส่ายหน้าตอบ

"ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เอ้านี่ พี่ให้ไว้ไปซื้อขนม ไม่ต้องร้องนะ"ผมยื่นอัฐที่พอมีติดตัวให้เด็กชายตัวเล็กที่ยังมีท่าทางตื่นกลัว แต่เจ้าตัวเล็กเอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธ

"รับไว้เถอะ จะได้ซื้อขนมให้พี่เค้าด้วยไง"ได้ยินดังนั้นถึงได้ยอมยื่นมือออกมารับแต่โดยดี

"ขอบพระคุณขอรับ"อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงก่อนจะฉวยข้อมือเด็กชายตัวสูงกว่าวิ่งตามเพื่อนๆไปอีกทาง...ในมือชูอัฐที่เพิ่งได้รับไปพลางยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี...ผมเผลอยิ้มให้กับภาพตรงหน้า...ก่อนจะหันไปสบเข้ากับดวงตาคมของคนตัวสูงที่ยืนรออยู่ไม่ไกลนัก...รอยยิ้มปรายปรากฎบนใบหน้าเช่นเคย



...ผมเดินตามหลวงพิสิษฐเข้ามาในตัวอุโบสถที่มองจากท่าน้ำดูเด่นเป็นสง่าแต่ด้านในกลับไม่ใหญ่โตอย่างที่เห็น...มีเพียงพระประธานองค์ใหญ่ตั้งเด่นอยู่กลางโบสถ์ รายล้อมด้วยพระพุทธรูปปางต่างๆเพียงไม่กี่องค์...ชาวบ้านสองสามคนกำลังนั่งสนทนาธรรมกับพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งนั่งสง่าอยู่หน้าพระประธาน...ดูจากลักษณะแล้วอายุของท่านไม่น่าจะเกิน๓๐ปี  หากแต่ใบหน้าของท่านช่างคุ้นตายิ่งนัก...


พวกผมนั่งรอจนชาวบ้านเหล่านั้นพากันลากลับจึงได้เดินเข้าไปหา...ยิ่งมองใกล้ๆก็ยิ่งคุ้นเคยราวกับเคยพบกันที่ไหนมาก่อน...รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้ายิ่งทำให้ท่านดูอ่อนโยนนัก...รอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับคนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างผมในตอนนี้



...รอยยิ้มที่ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าผมเคยพบท่านที่ไหนมาก่อน...



"ไม่ได้พบกันเสียนาน สบายดีรึโยมแก้ว"น้ำเสียงเนิบนาบอ่อนโยนเช่นเดียวกับใบหน้าและท่าทาง...ไม่ผิดแน่...แม้จะดูอ่อนวัยกว่ามาก...แต่ลักษณะท่าทางของภิกษุรูปนี้เหมือนกับหลวงพ่อที่อานิดพาผมไปพบในครั้งก่อนไม่ผิดเพี้ยน

"สบายดีขอรับ หลวงพี่เป็นอย่างไรบ้างขอรับ"คนถูกถามตอบกลับอย่างนอบน้อม

"อาตมาสบายดี วันนี้มาทำบุญหรือโยม"ผมจดจ้องใบหน้าและท่าทางที่คุ้นตาของท่านระหว่างสนทนากับหลวงพิสิษฐ...นานจนผู้ถูกมองสังเกตเห็น

"นี่พ่อธีร์คนสนิทของกระผมขอรับ เจ้าคุณไพศาลท่านให้มาช่วยงานราชการที่เรือน"รอยยิ้มอ่อนโยนที่ท่านส่งมาช่างเหมือนกันจนน่าตกใจ...อดคิดไม่ได้ว่าภิกษุรูปนี้จะรู้เรื่องของผมเช่นเดียวกันหรือไม่

"ท่าทางไม่เหมือนชาวพระนคร เห็นทีจะมาไกลมากซีนะโยม"คำทักทายธรรมดาที่ผมได้ยินจากคนที่นี่จนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อมาจากปากของภิกษุรูปนี้แล้วนั้นความสงสัยของผมกลับมีมากขึ้นทุกที...หลวงพิสิษฐเองก็มีท่าทีประหลาดใจไม่แพ้กัน

"ก็...ไกลพอสมควรครับ"ท่านเพียงส่งยิ้มบางเมื่อได้ยินคำตอบ...ใจหนึ่งผมอยากถามออกไปตรงๆ แต่ถ้าทั้งหมดนี่มันเป็นเพียงเรื่องที่ผมคิดไปเองคนเดียว ท่านคงคิดว่าผมสติไม่ดีเป็นแน่



...หลังจากถวายของและดอกไม้ธูปเทียนก็ได้เวลารับศีลรับพร...ผมเพียงนั่งพนมมือนิ่งพร้อมกับคนตัวสูงตั้งใจรับพรจากพระท่าน...น้ำเสียงของท่านกังวานใสราวกับเสียงแก้ว บทสวดให้พรที่ผมเคยได้ยินมาบ้างเมื่อตอนใส่บาตรทำบุญแต่กลับไพเราะน่าฟังกว่ามากนัก...เหลือบมองหลวงพิสิษฐที่นั่งพับเพียบสงบนิ่ง...ใบหน้าคมมีรอยยิ้มปรายประดับ...เขาเองก็ปรายตามองมาเช่นกัน...สองสายตาประสานนิ่งคลอด้วยเสียงกังวานใสจากพระท่าน...ผมเพียงภาวนาในใจ...ขอให้ผลบุญที่ได้ทำร่วมกันในวันนี้ส่งผลให้มีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้นในชีวิต ทั้งของผมเองและคนข้างๆ


"หลวงพ่อท่านอยู่หรือไม่ขอรับ กระผมไม่ได้พบเสียนาน"เสียงนุ่มเอ่ยถามภิกษุรูปงามที่นั่งสง่าอยู่เบื้องหน้าหลังจากสนทนากันมาได้สักพัก...เพราะวัดนี้อยู่ไม่ห่างจากเรือนเจ้าคุณไพศาลมากนัก ทั้งเจ้าคุณท่านและหลวงพิสิษฐจึงรู้จักสนิทสนมกับเจ้าอาวาสของวัดเป็นอย่างดี

"ท่านอยู่ที่กุฏิ ไม่ค่อยสบายนักเห็นว่าจับไข้เพราะถูกฝน"

"เช่นนั้นกระผมขอตัวขึ้นไปพบท่านนะขอรับ หากว่ามีสิ่งใดพอช่วยเหลือท่านได้บ้าง"ผู้ถูกถามเพียงพยักหน้ารับ

"ขึ้นไปพบหลวงพ่อท่านกับเราไหมพ่อธีร์"คนตัวสูงหันกลับมาถามผมที่นั่งเงียบอยู่นาน...ผมได้แต่หันไปมองภิกษุหนุ่มที่ยังคงมีรอยยิ้มปรายบนใบหน้า

"ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งรอที่นี่ก็ได้"โบราณท่านว่า อยากรู้ก็ต้องถามครับ...อะไรนะ! โบราณไม่เคยว่าไว้เหรอครับ...งั้นผมนี่แหละที่ว่าไว้...หลวงพิสิษฐเพียงแค่พยักหน้ารับแล้วเดินออกจากอุโบสถไปเหลือเพียงผมกับหลวงพี่ที่ยังคงนั่งเงียบอยู่...เอาเข้าจริงก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี


"มีอะไรอยากถามอาตมาหรือโยม"ราวกับรู้ความคิดในใจเพราะท่านเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นมาเสียก่อน

"คือ..."ได้แต่อ้ำอึ้งมองหน้าอีกฝ่าย...ใบหน้าเจือรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดียวกับหลวงพ่อท่านนั้น

"โยมไม่ใช่ชาวพระนคร แล้วมาจากที่ใดกันรึ"เสียงใสกังวานถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมเงียบไปเสียนาน

"คือ...ผมมาจากที่ที่จะเรียกว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ แต่จะเรียกว่าไกลก็ไม่ใช่ซะทีเดียวครับ"หากเป็นคนอื่นได้ฟังคำตอบเช่นนี้คงสงสัยอยู่ไม่น้อย หากแต่หลวงพี่ท่านยังคงมีสีหน้าเป็นปกติ

"มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนานเช่นนี้คนทางบ้านไม่เป็นห่วงหรือโยม"หายตัวจากกรุงเทพมาได้เดือนกว่า...ผมรู้ว่าอานิดและทุกคนที่นั่นคงวุ่นวายกันน่าดู

"ผมไม่ทราบเลยครับ"บ่อยครั้งที่ผมฝันถึงอานิด...อาต้น...ไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อ และทุกคนที่นั่น...บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกคิดถึงบ้านที่เคยอยู่กับพ่อและแม่...แต่น่าแปลกที่มันเป็นเพียงแค่ความคิด...เพราะในความเป็นจริงแล้ว ผมยังอยากอยู่ที่นี่ต่อไปให้นานอีกหน่อย

"หลวงพี่ครับ...คนเราจะสามารถฝืนชะตาตัวเองได้มั้ยครับ"คำถามที่ออกจะฟังแล้วประหลาด หากแต่คนฟังยังคงมีท่าทีเป็นปกติ...ผมไม่รู้หรอกว่าท่านรู้ที่มาที่ไปของผมเหมือนกับหลวงพ่อท่านนั้นหรือไม่...ผมรู้เพียงว่าท่านคงมีคำตอบบางอย่างให้กับสิ่งที่ผมสงสัยอยู่

"ไม่มีใครฝืนชะตาตนเองได้หรอกโยม มิเช่นนั้นมนุษย์เราคงไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดเพราะทุกคนสามารถฝืนชะตาตนเองได้"

"ผมไม่ได้หมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดน่ะครับ คือผมหมายถึง..."

"ไม่ว่าจะเป็นการกระทำใด หากถูกกำหนดเอาไว้แล้วไม่ว่าโยมหรืออาตมาเองก็ไม่สามารถฝืนมันได้"คำตอบนั้นทำเอาผมนิ่งไปทันที...เพราะความคิดแผลงๆที่เคยแล่นเข้ามาในหัว...ความคิดที่ว่าหากโต๊ะไม้สักตัวนั้นส่งเสียงเรียกอีกครั้ง ผมจะสามารถฝืนตัวเองไม่ให้กลับไปยังโลกปัจจุบันของผม...แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้...ผมกลับไม่แน่ใจ

"ไม่ว่าเราจะทำดีมากแค่ไหนก็ตามเหรอครับ"แว่วเสียงถอนหายใจยาวจากอีกฝ่าย

"กรรมดีที่เราก่ออาจส่งผลให้เราเห็นได้ในชาตินี้ภพนี้ หรือเป็นตัวลิขิตให้เราได้ไปเกิดในชาติภพที่ดีภายหน้า แต่อย่าลืมว่าเราทุกคนล้วนมีกรรมติดตัวมาตั้งแต่เกิดด้วยกันทั้งนั้น โยมเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมคนเราถึงได้เกิดมาไม่เท่ากัน บ้างก็มี บ้างก็ขาด นั่นเป็นเพราะกรรมเก่าที่ติดตัวเรามาแต่ชาติปางก่อน"ผมได้แต่นั่งเงียบฟังหลวงพี่อธิบายยืดยาว...แม้จะไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง แต่ก็พอรู้ได้ถึงสิ่งที่ท่านต้องการจะสื่อออกมา

"หมายความว่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอาจมีผลมาจากชาติปางก่อนก็ได้เหรอครับ"

"โยมเข้าใจถูกแล้ว"รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าท่านอีกครั้ง...หากแต่ไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย...ผมไม่รู้เลยว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของผมในตอนนี้มันเรียกว่าเป็นบุญหรือกรรม...และผมก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่าสุดท้ายแล้วมันจะลงเอยเช่นไร




...ผมกราบลาหลวงพี่ออกมารอหลวงพิสิษฐที่ลานวัดด้านนอกที่ตอนนี้เงียบสงบเพราะกลุ่มเด็กชายตัวเล็กที่ผมได้พบเมื่อครั้งมาถึงนั้นไม่อยู่เสียแล้ว...ไม้ยืนต้นสูงใหญ่ที่ขึ้นอยู่ข้างอุโบสถหลังสีขาวช่วยบังแดดได้เป็นอย่างดี...ผมทิ้งตัวนั่งลงบนแคร่ไม้ใต้ร่มไม้ใหญ่นั้น...ในเวลาแบบนี้จะมีอะไรดีไปกว่าการอยู่เงียบๆใช้ความคิดเพียงลำพัง...คำพูดของหลวงพี่ไม่ได้มีผลกระทบต่อผมเพียงคนเดียวเพราะมันพาลให้ผมนึกไปถึงสิ่งที่ไอ้แชมป์เคยพูดเอาไว้เมื่อตอนที่นอนชมจันทร์กันอยู่กลางเรือน


...แชมป์จะไม่ยอมกลับไป...


...แต่มันจะทำได้อย่างที่มันตั้งใจไว้หรือ...ผมเองก็อยากรู้...เพราะผมเองก็เคยมีความคิดแบบนี้เช่นกัน



"พี่ชาย"เสียงแหลมเล็กดังขึ้นขัดจังหวะความคิดที่กำลังล่องลอยไม่สิ้นสุด...หันกลับไปมองมือเล็กที่กระตุกแขนของผมเบาๆ...ก่อนจะสบเข้ากับดวงตากลมแป๋วของเด็กชายตัวเล็กที่วิ่งชนผมเมื่อครู่

"ว่าไงไอ้หนู แล้วนี่เพื่อนไปไหนกันหมดล่ะ"หันไปมองรอบๆไม่เห็นวี่แววของเพื่อนเจ้าตัวเล็กเลยสักคน

"ถูกเรียกให้กลับเรือนกันไปหมดแล้วขอรับ"เป็นฝ่ายเข้ามาคุยแต่กลับก้มหน้างุด เด็กนี่ก็แปลกดีนะครับ

"อ้าว แล้วทำไมเรายังไม่กลับ เดี๋ยวพ่อแม่ก็เป็นห่วงกันพอดี"

"น้อยไม่มีพ่อแม่ขอรับ น้อยอยู่กับหลวงตาที่วัดนี่ขอรับ"เคยเป็นกันหรือเปล่าครับ ที่ว่าเราจะเห็นใจคนที่มีอะไรคล้ายคลึงกับเรา...ผมนี่ล่ะคนหนึ่ง...เด็กตัวเล็กแค่นี้แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในวัด ไม่มีพ่อแม่คอยดูแล...ถึงจะมีหลวงตาคอยอบรมสั่งสอนแต่ก็เทียบไม่ได้กับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่แท้ๆ

"แล้วมาหาพี่มีอะไรรึเปล่า"ได้แต่ยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ...เด็กชายตัวเล็กไม่ตอบเพียงแต่ยื่นมือออกมาตรงหน้าก่อนจะค่อยๆคลายมือออกเผยให้เห็นอัฐจำนวนหนึ่ง

"พี่มั่นบอกว่า น้อยซุ่มซ่ามวิ่งไปชนพี่ชาย น้อยจะเอาอัฐของพี่ชายมาไม่ได้ขอรับ"ว่าพลางเหลือบตาไปมองอีกฟากหนึ่งของลานวัด...เห็นเด็กชายเจ้าของชื่อยืนรออยู่ไม่ไกลนัก...ที่ไม่ยอมเดินเข้ามาด้วยคงเพราะอยากให้เจ้าตัวเป็นฝ่ายพูดกับผมด้วยตัวเอง

"นึกว่าเรื่องอะไร ไม่ต้องเอามาคืนพี่หรอก"น้อยได้แต่ส่ายหน้าไปมา

"ไม่ได้ขอรับ พี่มั่นบอกว่าให้น้อยเอามาคืนพี่ชายขอรับ"ยังคงยืนยันเสียงแข็งจนผมอดหัวเราะออกมาเพราะความน่าเอ็นดูของเด็กชายตัวเล็กนี่ไม่ได้

"รักพี่ชายจริงนะเรา เชื่อที่เค้าพูดไปหมด"

"พี่มั่นไม่ใช่พี่ชายของน้อยขอรับ แต่พี่มั่นชอบมาเล่นกับน้อยเพราะน้อยไม่ค่อยมีเพื่อนขอรับ"ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกสงสารเด็กคนนี้มากขึ้นไปอีก

"งั้นน้อยก็เก็บอัฐนี้ไว้ไปซื้อขนมให้พี่มั่นนะ บอกพี่มั่นว่าพี่ให้ พี่เค้าไม่ว่าอะไรน้อยหรอก"ผมเอื้อมมือไปกุมมือเล็กๆนั่นพอเป็นสัญญาณว่าให้เก็บอัฐนี้เอาไว้

"แต่..."

"เก็บไว้เถอะ พี่ไม่ค่อยได้ใช้"แม้จะมีอัฐติดตัวแต่วันหนึ่งๆผมก็แทบไม่ได้ใช้ทำอะไร...ข้าวปลาก็มีให้กินไม่ขาดแถมวันๆก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน...อย่างน้อยมันคงเป็นประโยชน์กับเด็กสองคนนี้มากกว่า



ผมนั่งมองเด็กชายตัวเล็กวิ่งไปหาคนตัวสูงกว่าที่ยืนรออยู่ไม่ไกล...ใบหน้าเปื้อนยิ้มของน้อยที่กำลังชูมือร่าอย่างอารมณ์ดี...มั่นเองก็หันมายกมือขอบคุณผมจากที่ไกลๆนั้นเช่นกัน ก่อนที่เด็กสองคนจะพากันกอดคอเดินหายไปทางด้านหลังวัด...อย่างน้อยเขาก็ยังมีเพื่อน...อย่างน้อย...น้อยก็ไม่ได้เหงาอยู่คนเดียว

"เป็นเด็กมันดีอย่างงี้แหละนะ"บ่นพึมพำกับตัวเองพลางเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่...แดดช่วงสายวันนี้ไม่จัดมากเพราะเริ่มเข้าหน้าฝนแล้ว ยังดีที่วันนี้ฝนไม่ตกไม่เช่นนั้นคงไม่ได้แม้แต่พายเรือออกมาเก็บบัวให้ป้าชื่น...กรุ่นกลิ่นดอกไม้หอมลอยมาเตะจมูก...ผมได้กลิ่นนี้ตั้งแต่เดินเข้ามาในเขตวัด...กลิ่นหอมจนเกือบฉุนแผ่อบอวลไปทั่ว...ได้แต่สอดส่ายสายตามองหาที่มาของมันจนไปสะดุดตาเข้ากับแนวไม้ที่ขึ้นเรียงรายอยู่ใกล้ๆ...ลำต้นของมันไม่สูงใหญ่มากนักหากแต่แผ่กิ่งก้านออกจนกลายเป็นพุ่มหนาประปรายด้วยช่อดอกสีขาวนวล...ยิ่งผมเดินเข้าไปใกล้กลิ่นหอมละมุนนั้นก็ยิ่งเด่นชัด...ผมเอื้อมมือออกไปโน้มกิ่งที่อยู่ต่ำสุดลงมาให้ได้เห็นช่อดอกไม้สีขาวนวล กลีบดอกแยกเป็นแฉกเหมือนรูปดาวตรงกลางเป็นเกสรสีเหลือง...กลิ่นของมันไม่ได้หอมหวานเหมือนดอกมะลิหรือกุหลาบ...แต่กลับหอมนุ่มละมุนเหมือนน้ำหอมราคาแพงที่วางขายตามห้างสรรพสินค้า




"ดอกแก้ว"น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นด้านหลัง...หันกลับไปพบคนตัวสูงที่ยืนยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดี

"ครับ?"มือใหญ่เอื้อมมาปลิดดอกไม้สีขาวที่ว่าก่อนจะยื่นมันมาให้ผมรับเอาไว้

"เขาเรียกว่าดอกแก้ว เข้าหน้าฝนยิ่งออกดอกงามนัก"เห็นจะจริงอย่างที่เขาว่าเพราะแนวต้นแก้วที่ปลูกเรียงรายนี้ประปรายไปด้วยดอกแก้วสีขาวนวลส่งกลิ่นหอมละมุนฟุ้งไปทั่ว

"ชื่อเหมือนคุณหลวงเลยนะครับ"ก้มลงมองดอกแก้วขาวนวลในมือ...ผมเคยได้ยินชื่อดอกไม้นี้แต่ไม่เคยได้เห็นของจริงสักที...ไม่คิดว่ากลิ่นของมันจะหอมติดจมูกเช่นนี้

"ชื่อของเราก็มาจากต้นแก้วนี่ล่ะ"คนตัวสูงเงยหน้ามองซุ้มดอกแก้วด้านบนพลางสูดหายใจลึก

"นึกว่าจะมีแต่ผู้หญิงซะอีกที่ตั้งชื่อตามดอกไม้"ว่าพลางนึกไปถึงลูกสาวของเจ้าคุณจิตราทั้งสองที่มีชื่อตามดอกไม้เช่นเดียวกัน

"ดอกแก้วเป็นตัวแทนของความดีแลความบริสุทธิ์ โบราณท่านว่าเรือนใดปลูกต้นแก้วไว้จะทำให้คนในเรือนมีความดี มีคุณค่า แลมีจิตใจที่บริสุทธิ์"ผมเห็นด้วยกับคนที่ตั้งชื่อนี้ให้กับเขา เพราะมันเหมาะสมยิ่งกว่าชื่อใดๆ

"เจ้าคุณไพศาลท่านตั้งให้เหรอครับ"อีกฝ่ายเพียงส่ายหน้าตอบ

"คุณแม่ของเราตั้งให้ก่อนที่ท่านจะเสีย"ใบหน้าของเขาช่างเรียบเฉย...แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั่นต่างหากที่ทำให้ผมรับรู้ได้ถึงความเศร้าโศกที่อยู่ข้างใน


"คุณแม่ของพี่แก้วคงภูมิใจที่ลูกชายของท่านเติบโตเป็นคนดีสมกับชื่อที่ท่านตั้งนะครับ"รอยยิ้มปรายปรากฎบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง...ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดี...ความรู้สึกของการสูญเสีย


"ที่เรือนเจ้าคุณไพศาลท่านก็มีอยู่ต้นหนึ่ง"หลวงพิสิษฐว่าพลางเงยหน้ามองพุ่มดอกไม้สีขาวด้านบนอีกครั้ง

"อยู่ตรงไหนครับ ผมไม่เคยเห็น"ถ้าปลูกไว้ที่เรือนผมต้องจำกลิ่นนี้ได้สิ

"เราปลูกไว้ข้างศาลาริมน้ำ แต่ยังเล็กนัก กว่าจะออกดอกเห็นทีต้องรอถึงปีหน้า"

"ถึงตอนนั้นศาลาริมน้ำคงหอมฟุ้งน่าดูนะครับ"นึกภาพศาลาแปดเหลี่ยมริมน้ำที่มีต้นแก้วขึ้นอยู่ข้างๆ...ดอกแก้วขาวนวลสะอาดตาคงส่งกลิ่นหอมละมุนไปทั่ว...หากผมได้อยู่ที่นี่จนถึงวันนั้นคงจะดีไม่น้อย





ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0



...กลับมาถึงเรือนเจ้าคุณไพศาลเอาเสียเกือบเที่ยงวันเพราะมัวแต่ชื่นชมความงามสองฝั่งคลองพลางเก็บดอกบัวมาฝากป้าชื่นตามที่สัญญาไว้...แกดูดีใจไม่น้อยที่ได้ทั้งบัวตูมดอกใหญ่เอาไว้จับกลีบใส่แจกันถวายพระ ส่วนก้านบัวก็นำมาลอกใยออกไว้ทำแกงสายบัว...เห็นว่าจะเตรียมไว้ให้เจ้าคุณไพศาลเป็นสำรับเย็น...วันนี้เจ้าคุณท่านเข้ากรมแต่เช้ากว่าจะกลับก็เกือบค่ำเช่นเคยเพราะช่วงนี้ทั้งเจ้าคุณไพศาลและเจ้าคุณจิตราต่างก็ต้องวิ่งวุ่นกับงานเลี้ยงท่านทูตฝรั่งเศสที่จะมีขึ้นในอาทิตย์หน้า...แม้แต่ไอ้แชมป์ที่ปกติเอาแต่นั่งๆนอนๆอยู่ที่เรือนช่วงนี้ก็วุ่นวายหนักเพราะเจ้าคุณท่านพามันกับคุณหลวงคนสนิทออกไปพบคนจากสถานทูตอยู่บ่อยครั้ง



...ผมรีบตรงดิ่งมายังศาลาแปดเหลี่ยมริมน้ำทันทีที่กลับมาถึงเพราะอยากเห็นต้นแก้วที่หลวงพิสิษฐปลูกเอาไว้...ไม่แปลกที่ผมไม่เคยสังเกตเห็นเพราะโดยรอบศาลาไม้นี้ก็เต็มไปด้วยไม้ดอก ไม้ยืนต้นมากมายขึ้นเรียงรายจนร่มรื่น...ต้นแก้วสูงเทียมไหล่ถูกปลูกไว้ข้างศาลาอย่างที่หลวงพิสิษฐว่า...ผมนั่งท้าวคางมองต้นแก้วใบเขียวครึ้มจากศาลาแปดเหลี่ยมริมน้ำพลางนึกไปถึงยามที่มันออกดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมฟุ้งคงทำให้บรรยากาศโดยรอบดีขึ้นได้ไม่น้อย


หลวงพิสิษฐกำลังนั่งอ่านเอกสารปึกหนาที่เจ้าคุณไพศาลฝากเอาไว้ เห็นว่าเป็นรายชื่อคณะทูตฝรั่งเศสที่จะมาร่วมงานเลี้ยงและรายละเอียดการจัดงานปลีกย่อยซึ่งเขาต้องนำมาตรวจทานแทนในระหว่างที่เจ้าคุณท่านกำลังวุ่นวายอยู่กับงานที่กรม

"คุณหลวงครับ"เรียกขึ้นโดยไม่มองหน้าอีกฝ่ายเพราะมัวแต่มองดอกแก้วสีขาวในมือที่คนตัวสูงยื่นให้เมื่อตอนอยู่ที่วัด

"มีอะไรรึ"จนอีกฝ่ายตอบกลับถึงเงยหน้าขึ้นมองได้

"เล่าเรื่่องของคุณหลวงให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยครับ"เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมไม่เคยรู้เรื่องของเขาเลยนอกจากเรื่องที่เขาเป็นคนสนิทของเจ้าคุณไพศาลที่เสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้

"อยากรู้เรื่องอะไรเล่า"คนตัวสูงยกยิ้มบางอย่างอารมณ์ดีพลางรวบกองเอกสารบนโต๊ะให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

"ก็...ทุกเรื่องที่คุณหลวงอยากเล่า"เพราะถ้าเป็นเรื่องที่เขาไม่สะดวกที่จะบอก ผมก็ไม่จำเป็นต้องรู้

"เรื่องของเรารึ"พยักหน้ารับอีกครั้ง...คนตัวสูงกลอกตาไปมาราวกับกำลังนึกอะไรบางอย่าง



"ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวข้าหลวง พ่อของเราเคยเป็นคนสนิทของเจ้าคุณท่านแลเจ้าคุณจิตรา"น้ำเสียงเนิบนาบราวกับเขากำลังเล่านิทานให้ผมฟัง

"ท่านมีตำแหน่งเป็นหลวงอยู่กรมการต่างประเทศเช่นเดียวกับเจ้าคุณทั้งสอง ส่วนคุณแม่ท่านเป็นญาติฝั่งแม่ของเจ้าคุณท่าน"

"ถ้าอย่างงั้นคุณหลวงก็นับเป็นญาติห่างๆของเจ้าคุณไพศาลสิครับ"อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับก่อนจะเริ่มเล่าต่อ

"เจ้าคุณท่านเล่าให้ฟังว่าเดิมทีท่านไม่ถูกชะตาคุณพ่อนักเพราะท่านมีใจให้คุณแม่ที่เจ้าคุณท่านเอ็นดูประหนึ่งน้องสาว แม้ในตอนนั้นท่านทั้งสามยังเป็นหลวงเช่นเดียวกันแต่ด้วยฐานะทางครอบครัวของเจ้าคุณไพศาลที่สูงกว่า ท่านเกรงว่าคุณแม่จะลำบาก"เข้าตำราพี่ชายหวงน้องสาวสินะครับ

"แต่คุณพ่อเป็นคนดี ขยันทำงาน แลยังเป็นข้าหลวงที่ซื่อสัตย์ สุดท้ายเจ้าคุณท่านก็ยอมใจอ่อน"

"แล้ว..."ชะงักคำพูดเพียงแค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าสมควรจะถามออกไปดีหรือไม่ หากแต่อีกฝ่ายเพียงยกยิ้มบางส่งกลับมา

"อยากรู้อะไรก็ถามมาเถิด"ถึงจะบอกแบบนี้แต่ก็ยังไม่กล้าถามออกไปอยู่ดี

"หากพ่ออยากรู้ว่าทำไมท่านถึงเสีย..."

"คุณหลวงไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ"รีบพูดแทรกทันที แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ส่ายหน้าตอบ

"ท่านถูกโจรฆ่าตายในคืนเดือนมืดเมื่อครั้งเราอายุได้สองปี พวกมันลอบขึ้นเรือนหมายจะขโมยของแต่แม่ของเราตื่นมาพบเข้าเสียก่อน"น้ำเสียงราบเรียบราวกับว่าสิ่งที่เล่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ผิดกับผมที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้กำลังมีสีหน้าแบบไหน...ผมเอื้อมมือไปกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นจนรับรู้ได้ว่ามือของตัวเองนั้นสั่นเทิ้มผิดกับอีกฝ่ายที่ยังคงสงบนิ่ง

"หลังจากนั้นเจ้าคุณท่านจึงรับเรามาเลี้ยงเพราะท่านเองก็รักใคร่เอ็นดูคุณแม่ประหนึ่งน้องสาวแท้ๆ"แม้สีหน้าจะไม่บ่งบอกความรู้สึก แต่ประกายหม่นในดวงตาคมที่ทอดยาวออกไปยังผืนน้ำเบื้องหน้านั่นกลับแสดงออกอย่างชัดเจน...ต่อให้เรื่องราวผ่านมาเป็นหลายสิบปีก็ไม่สามารถลบล้างความรู้สึกสูญเสียนี้ได้...ผมเข้าใจดี...เพราะผมเองก็เป็นเช่นนั้น





"พ่อธีร์...ร้องไห้ทำไม"รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ดวงตาคมคู่นั้นละสายตาจากผืนน้ำเบื้องหน้ากลับมามอง...ประกายหม่นในดวงตานั้นถูกแทนที่ด้วยแววตาตื่นตระหนก...หยดน้ำใสๆไหลลงมาอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว

"เราขอโทษ เราไม่น่าเล่าให้พ่อธีร์ฟังเลย"มือใหญ่ค่อยๆประคองแก้มของผมพลางเกลี่ยนิ้วปาดหยดน้ำตานั้น

"เล่าให้ฟังดีแล้วล่ะครับ ผมจะได้รู้ว่าชีวิตของคุณหลวงผ่านอะไรมาบ้าง"และมันก็ไม่ได้ต่างกันกับชีวิตของผมเท่าไหร่นัก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงร้องไห้ให้กับเรื่องของเขา

"หยุดร้องเถิด ประเดี๋ยวจะเล่าเรื่องสมัยเรียนให้ฟัง สหายของเราก่อเรื่องไว้มาก ให้เล่าไปอีกสามวันก็ไม่หมด"กลายเป็นเขาเองที่ต้องเป็นฝ่ายปลอบ...ผมเพียงพยักหน้ารับ ก่อนที่เขาจะเริ่มเล่าเรื่องราวในตอนเด็กต่อ...ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากคำที่เขาว่าเพราะแต่ละเรื่่องนั้นจัดได้ว่าเด็ดจนเด็กวัยรุ่นสมัยผมยังอาย...เรื่องน่าเศร้าในตอนแรกถูกแทนที่ด้วยเรื่องตลกในวัยเรียนของหลวงพิสิษฐและเพื่อนสนิทอีกสามสี่คน...ทั้งเรื่องที่เพื่อนของเขารวมหัวกันแกล้งหลอกผีจนอาจารย์ที่สอนจับไข้ไปสามวัน หรือแม้แต่เรื่องที่แอบพายเรือออกไปงมกุ้งกันตอนดึกแต่ดันทำไม้พายหายจนต้องผลัดกันว่ายน้ำดันเรือกลับมาจนถึงเรือน...ผมได้แต่นั่งฟังพลางหัวเราะร่าราวกับกำลังนั่งดูตลกคาเฟ่...ไม่คิดเลยว่าหลวงพิสิษฐที่แสนอ่อนโยนและใจดีจะเคยเป็นเด็กเกเรที่ถูกเจ้าคุณท่านใช้ไม้เรียวตีเอาไม่รู้กี่ครั้ง...ยิ่งได้ฟังผมก็ยิ่งได้เห็นหลากหลายมุมในชีวิตของเขาที่ไม่ได้เป็นแค่หลวงพิสิษฐวรเวทย์อย่างที่ผมรู้จักในตอนนี้...








...เจ้าคุณไพศาลกลับมาถึงเรือนเอาตอนใกล้ค่ำอย่างที่คิดไว้...วันนี้สีหน้าท่านดูไม่สู้ดีนักแต่ก็ยังชวนผมให้อยู่ร่วมสำรับเย็นด้วยกัน

"งานที่กรมมีปัญหาหรือขอรับ"เป็นคุณหลวงคนสนิทที่ถามขึ้นระหว่างร่วมโต๊ะอาหาร...ท่าทางกังวลของเจ้าของเรือนแสดงออกชัดเจนจนแม้แต่ผมยังรู้สึกได้

"มิใช่งานที่กรม แต่เป็นงานเลี้ยงคณะทูตฝรั่งเศสต่างหากที่มีปัญหา"คิ้วสีดอกเลาของท่านขมวดมุ่น...ดูท่าจะไม่ใช่ปัญหาเล็กๆเสียแล้ว

"มีอะไรที่กระผมพอจะช่วยได้หรือไม่ขอรับ"เห็นความกังวลใจของเจ้าคุณไพศาลขนาดนี้มีหรือที่คุณหลวงคนสนิทจะยอมอยู่เฉย

"ฝ่ายกรมวังเขาไม่ยอมทำตามแผนงานที่ทางเราส่งไปให้ เห็นทีวันพรุ่งต้องไปพบท่านเจ้าคุณเดโชเสียหน่อย"ผมไม่แปลกใจที่ได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง เพราะหากมีปัญหาจากฝ่ายนั้นเห็นทีจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหัวเรือใหญ่ของกรม

"ให้กระผมไปด้วยเถิดขอรับ กระผมได้อ่านแผนการจัดงานทั้งหมดแล้ว คงพอช่วยพูดกับท่านได้บ้าง"เจ้าคุณไพศาลเพียงพยักหน้ารับ

"พ่อธีร์ก็ไปเสียด้วยกัน เคยปรึกษางานกับท่านมาบ้างแล้วมิใช่รึ"แล้วเอาผมไปจะไปช่วยอะไรได้ล่ะครับเจ้าคุณ คราวก่อนไปเรือนท่านยังโดนเหยียบเสียแทบจมดิน

"พ่อธีร์เป็นคนนอก เกรงว่าจะไม่เหมาะขอรับ"ถูกครับคุณหลวง เอาผมไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก...ที่สำคัญผมเองก็ไม่อยากไปเหยียบเรือนนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง

"ได้อ่านแผนการจัดงานจากพ่อแก้วมาบ้างแล้วมิใช่รึ"

"อ่านแล้วครับ"อ้อมแอ้มตอบกลับไม่เต็มเสียง

"เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิดพ่อ หากมีปัญหาอะไรจักได้ช่วยกันพูดกับเจ้าคุณท่าน"ถึงไม่อยากไปแต่เจ้าคุณไพศาลออกปากเสียขนาดนี้จะให้ปฎิเสธก็คงไม่ได้...เหลือบไปเห็นหลวงพิสิษฐมีทีท่าลำบากใจไม่แพ้กันเพราะทั้งผมและเขาต่างก็รู้ดีว่าทำไมผมถึงไม่ควรไปเรือนเจ้าพระยาเดโชอีก

"คืนนี้ก็นอนเสียที่นี่ วันพรุ่งจักได้ออกแต่เช้ามืด"

"ห๊ะ!"ร้องเสียงดังจนเจ้าคุณไพศาลยังตกใจ...แว่วเสียงคนตัวสูงกลั้นหัวเราะจากอีกฝั่งของโต๊ะ

"มีอะไรรึ"

"เปล่าครับ"ได้แต่ส่ายหน้าตอบ...เหลือบไปมองคนตัวสูงที่ยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี...ช่างเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วเหลือเกินนะครับหลวงพิสิษฐ

"ประเดี๋ยวจักให้บ่าวมันขึ้นไปเตรียมห้องรับรองแขกห้องเดิมที่พ่อธีร์เคยนอนไว้ให้"ถ้าเจ้าคุณท่านรู้ว่าผมไม่เคยได้นอนที่ห้องรับรองแขกสักที ท่านคงอยากเตะส่งผมออกจากเรือนแถมลงหวายให้อีกสักสิบยี่สิบที



...กว่าจะได้ลงมือทานมื้อเย็นกันก็ตกค่ำเพราะมัวแต่นั่งถกปัญหาเรื่องงานเลี้ยงกันเสียนาน...ผมขอตัวขึ้นมาข้างบนก่อนเมื่อเห็นว่าเจ้าคุณท่านจะคุยธุระกับคุณหลวงคนสนิท...อย่าถามเลยครับว่าผมจะนอนที่ห้องไหน...ถ้าไม่ใช่ห้องที่มีเตียงสี่เสาหลังใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง กับโต๊ะไม้สักโบราณที่เต็มไปด้วยกองเอกสารวางเกลื่อน...ต่อให้หนีไปนอนห้องรับรองแขกก็ต้องถูกบังคับให้มาลงเอยที่ห้องนี้อยู่ดี...ทำไมผมจะไม่รู้...ก็ผมเคยทำมาแล้วน่ะสิ!




อากาศยามค่ำคืนในหน้าฝนของพระนครช่างเย็นสบายจนอดไม่ได้ที่จะออกมายืนรับลมริมหน้าต่าง...สายฝนโปรยฉ่ำเพิ่งลงเม็ดเมื่อตอนหัวค่ำยิ่งทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงอีก...ผมชอบฟังเสียงฝน...มันช่วยให้ผ่อนคลายโดยเฉพาะเวลาที่มีเรื่องมากมายให้คิด...ยิ่งได้เห็นโต๊ะไม้สักโบราณนั่นพาลให้ผมนึกไปถึงคำพูดของภิกษุหนุ่มที่เพิ่งได้พบ...ถ้าหากทุกอย่างที่เกิดขึ้นถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้า...แล้วเวลาของผมที่พระนครยังเหลืออยู่อีกมากน้อยแค่ไหน...โชคชะตาของผมจะถูกลิขิตให้อยู่ที่นี่ต่อ หรือต้องกลับไปยังที่ที่ผมจากมา...คำถามที่ผมคงไม่ได้รับคำตอบจนกว่าจะถึงวันนั้น...วันที่โต๊ะโบราณตัวใดตัวหนึ่งส่งเสียงเรียกขึ้นอีกครั้ง...


ความคิดที่ล่องลอยวุ่นวายเสียจนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง...รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อถูกลำแขนแกร่งโอบล้อมเอาไว้จากด้านหลัง...ในมือของเขาถือดอกไม้สีขาวนวลส่งกลิ่นหอม คงเพราะถูกเด็ดมาจากต้นกลิ่นหอมละมุนนั้นเลยจางหายไปบ้าง

"ดอกแก้วยิ่งส่งกลิ่นหอมเมื่อยามฝนโปรย"เสียงนุ่มทุ้มคลอไปกับเสียงฝน...อ้อมแขนที่กระชับแน่นกว่าเก่าจนไม่รู้สึกถึงอากาศเย็นยะเยือกภายนอก

"หน้าฝนปีหน้าต้นแก้วที่ศาลาริมน้ำก็คงออกดอกแล้วสิครับ"

"อยากให้พ่อธีร์ได้เห็น"ลมหายใจอุ่นระเรื่อยอยู่ข้างแก้มก่อนจะฝังจมูกลงบนไหล่ของผม...แว่วเสียงสูดหายใจลึกของคนตัวสูง

"แต่พ่อธีร์หอมกว่าดอกแก้วเสียอีก"คำพูดที่ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

"นธีร์ไม่มีกลิ่นหรอกนะครับ"สายน้ำที่ไหนมันจะไปส่งกลิ่นหอมกัน...หันกลับไปสบกับดวงตาคมที่ส่องประกายระยับ สองมือที่โอบกระชับรอบเอวเปลี่ยนมาวางพาดบนขอบหน้าต่างราวกับกลัวว่าผมจะหนีไปไหน

"แต่นธีร์ของพี่แก้วหอมยิ่งกว่าอะไร"ริมฝีปากหยักได้รูปประทับลงบนหน้าผากของผมเพียงแผ่วเบาแล้วค่อยระเรื่อยลงมาข้างแก้มก่อนจะฉกชิมความหวานจากริมฝีปาก...ลมหายใจอุ่นคลอเคลียหยอกล้อไม่ห่าง...สองมือโอบรั้งคนตัวสูงให้โน้มลงแนบชิดมากขึ้น ความรู้สึกร้อนวูบแผ่ไปทั่วจนลืมไปว่าอากาศข้างนอกเย็นยะเยือกเพียงใด...รู้สึกตัวอีกทีเมื่อตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับฟูกนุ่มบนเตียงสี่เสากับน้ำหนักของคนตัวสูงที่อยู่ด้านบน...ดวงตาคมส่องประกายระยับอยู่ตรงหน้า แม้เพียงเสี้ยวของความคิดที่อยากละสายตายังทำไม่ได้...ราวกับถูกสะกดให้แน่นิ่งก่อนที่ปลายจมูกโด่งจะฝังลงที่ข้างแก้มอีกครั้งเพื่อฉกชิมความหอมหวานเป็นครั้งสุดท้าย



"มากกว่านี้เห็นทีจะอดใจไม่ไหว"ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่ว่างข้างๆ หากแต่อ้อมแขนยังคงกระชับแน่นไม่ยอมปล่อย แว่วเสียงหอบหายใจสอดประสานคลอกับเสียงฝนด้านนอก

"เรื่องเจ้าพระยาเดโช หากพ่อธีร์ไม่อยากไปเราจะเรียนเจ้าคุณท่านให้"มือใหญ่ยังคงคลอเคลียไล้เรื่อยบนเส้นผม

"ไม่ต้องหรอกครับ อย่างน้อยให้ผมได้ช่วยท่านเรื่องงานบ้างท่านเหนื่อยมามากแล้ว"ได้แต่ซุกหน้าลงบนอกกว้างของอีกฝ่าย...เหตุการณ์เมื่อครู่ยังวนเวียนอยู่ในความคิด

"เราเองก็ไม่อยากให้พ่อไป"ผมรู้เหตุผลนี้ดี แต่ถ้าเป็นงานผมก็ไม่อยากทำให้มันเสียเรื่อง

"มีทั้งเจ้าคุณกับพี่แก้วไปด้วย คงไม่มีอะไรหรอกครับ"ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่เจ้าพระยาเจ้าของเรือน หากแต่เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านต่างหาก

"อีกอย่าง...ผมก็ผู้ชายนะครับเรื่องอะไรจะยอมให้ไอ้หลวงหื่นกามนั่นมาทำอะไรรุ่มร่าม"แว่วเสียงหัวเราะเบาจากคนตัวสูง

"เราก็ผู้ชาย พ่อธีร์ยังยอม......โอ๊ยย!"ไม่ต่อยให้หน้าหงายก็บุญเท่าไหร่แล้ววะ เล่นไม่รู้จักเวลา

"มือหนักเช่นนี้เห็นทีคงไม่ต้องเป็นห่วง"ยกมือลูบแขนตัวเองป้อยๆเพราะเพิ่งถูกหมัดเน้นๆเข้าให้ แต่ยังคงหัวเราะออกมาได้

"จะนอนได้รึยังครับ"คนตัวสูงพยักหน้ารับก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้แน่น ไม่รู้ว่ากลัวหายหรือกลัวโดนต่อยอีกรอบกันแน่



...แต่เรื่องที่น่าเป็นห่วง คือเรื่องของวันพรุ่งนี้ต่างหาก...ผมได้แต่ภาวนาขอให้ทุกอย่างราบรื่น ไม่ใช่แค่เรื่องของผมเอง แต่ยังรวมถึงเรื่องการจัดงานเลี้ยงคณะทูต...ใครๆต่างก็รู้ดีถึงกิตติศัพท์ความดื้อรั้นเอาแต่ใจของเจ้าพระยาเดโช...ผมได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้ท่านจะยอมฟังความเห็นจากเจ้าคุณไพศาลบ้าง...ท่านลงแรงกับงานนี้ไปมากจนผมไม่อยากให้มันเสียเรื่องเพียงเพราะความเอาแต่ใจของคนเพียงคนเดียว


...ส่วนเรื่องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่าน...มีทั้งเจ้าคุณไพศาลและหลวงพิสิษฐไปด้วยแบบนี้...เขาคงไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่าม...



...ถ้าผมไม่ประเมินเขาต่ำเกินไป...


...........................................................................................


มาสายไปสองวัน อย่าเพิ่งลงหวายบ่าวนะเจ้าคะ  :sad4: :sad4: :sad4:
หายไปสองอาทิตย์หวังว่าคุณผู้อ่านยังไม่ลืมพี่แก้วกับน้องธีร์กันนะคะ


กราบแทบอกคุณผู้อ่านทุกท่าน ฝากตอนนี้ด้วยค่า  :call: :call: :call:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-09-2014 16:02:35 โดย Vivid_Vuitton »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด