...กลับมาถึงเรือนเจ้าคุณไพศาลเอาเสียเกือบเที่ยงวันเพราะมัวแต่ชื่นชมความงามสองฝั่งคลองพลางเก็บดอกบัวมาฝากป้าชื่นตามที่สัญญาไว้...แกดูดีใจไม่น้อยที่ได้ทั้งบัวตูมดอกใหญ่เอาไว้จับกลีบใส่แจกันถวายพระ ส่วนก้านบัวก็นำมาลอกใยออกไว้ทำแกงสายบัว...เห็นว่าจะเตรียมไว้ให้เจ้าคุณไพศาลเป็นสำรับเย็น...วันนี้เจ้าคุณท่านเข้ากรมแต่เช้ากว่าจะกลับก็เกือบค่ำเช่นเคยเพราะช่วงนี้ทั้งเจ้าคุณไพศาลและเจ้าคุณจิตราต่างก็ต้องวิ่งวุ่นกับงานเลี้ยงท่านทูตฝรั่งเศสที่จะมีขึ้นในอาทิตย์หน้า...แม้แต่ไอ้แชมป์ที่ปกติเอาแต่นั่งๆนอนๆอยู่ที่เรือนช่วงนี้ก็วุ่นวายหนักเพราะเจ้าคุณท่านพามันกับคุณหลวงคนสนิทออกไปพบคนจากสถานทูตอยู่บ่อยครั้ง
...ผมรีบตรงดิ่งมายังศาลาแปดเหลี่ยมริมน้ำทันทีที่กลับมาถึงเพราะอยากเห็นต้นแก้วที่หลวงพิสิษฐปลูกเอาไว้...ไม่แปลกที่ผมไม่เคยสังเกตเห็นเพราะโดยรอบศาลาไม้นี้ก็เต็มไปด้วยไม้ดอก ไม้ยืนต้นมากมายขึ้นเรียงรายจนร่มรื่น...ต้นแก้วสูงเทียมไหล่ถูกปลูกไว้ข้างศาลาอย่างที่หลวงพิสิษฐว่า...ผมนั่งท้าวคางมองต้นแก้วใบเขียวครึ้มจากศาลาแปดเหลี่ยมริมน้ำพลางนึกไปถึงยามที่มันออกดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมฟุ้งคงทำให้บรรยากาศโดยรอบดีขึ้นได้ไม่น้อย
หลวงพิสิษฐกำลังนั่งอ่านเอกสารปึกหนาที่เจ้าคุณไพศาลฝากเอาไว้ เห็นว่าเป็นรายชื่อคณะทูตฝรั่งเศสที่จะมาร่วมงานเลี้ยงและรายละเอียดการจัดงานปลีกย่อยซึ่งเขาต้องนำมาตรวจทานแทนในระหว่างที่เจ้าคุณท่านกำลังวุ่นวายอยู่กับงานที่กรม
"คุณหลวงครับ"เรียกขึ้นโดยไม่มองหน้าอีกฝ่ายเพราะมัวแต่มองดอกแก้วสีขาวในมือที่คนตัวสูงยื่นให้เมื่อตอนอยู่ที่วัด
"มีอะไรรึ"จนอีกฝ่ายตอบกลับถึงเงยหน้าขึ้นมองได้
"เล่าเรื่่องของคุณหลวงให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยครับ"เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมไม่เคยรู้เรื่องของเขาเลยนอกจากเรื่องที่เขาเป็นคนสนิทของเจ้าคุณไพศาลที่เสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้
"อยากรู้เรื่องอะไรเล่า"คนตัวสูงยกยิ้มบางอย่างอารมณ์ดีพลางรวบกองเอกสารบนโต๊ะให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
"ก็...ทุกเรื่องที่คุณหลวงอยากเล่า"เพราะถ้าเป็นเรื่องที่เขาไม่สะดวกที่จะบอก ผมก็ไม่จำเป็นต้องรู้
"เรื่องของเรารึ"พยักหน้ารับอีกครั้ง...คนตัวสูงกลอกตาไปมาราวกับกำลังนึกอะไรบางอย่าง
"ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวข้าหลวง พ่อของเราเคยเป็นคนสนิทของเจ้าคุณท่านแลเจ้าคุณจิตรา"น้ำเสียงเนิบนาบราวกับเขากำลังเล่านิทานให้ผมฟัง
"ท่านมีตำแหน่งเป็นหลวงอยู่กรมการต่างประเทศเช่นเดียวกับเจ้าคุณทั้งสอง ส่วนคุณแม่ท่านเป็นญาติฝั่งแม่ของเจ้าคุณท่าน"
"ถ้าอย่างงั้นคุณหลวงก็นับเป็นญาติห่างๆของเจ้าคุณไพศาลสิครับ"อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับก่อนจะเริ่มเล่าต่อ
"เจ้าคุณท่านเล่าให้ฟังว่าเดิมทีท่านไม่ถูกชะตาคุณพ่อนักเพราะท่านมีใจให้คุณแม่ที่เจ้าคุณท่านเอ็นดูประหนึ่งน้องสาว แม้ในตอนนั้นท่านทั้งสามยังเป็นหลวงเช่นเดียวกันแต่ด้วยฐานะทางครอบครัวของเจ้าคุณไพศาลที่สูงกว่า ท่านเกรงว่าคุณแม่จะลำบาก"เข้าตำราพี่ชายหวงน้องสาวสินะครับ
"แต่คุณพ่อเป็นคนดี ขยันทำงาน แลยังเป็นข้าหลวงที่ซื่อสัตย์ สุดท้ายเจ้าคุณท่านก็ยอมใจอ่อน"
"แล้ว..."ชะงักคำพูดเพียงแค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าสมควรจะถามออกไปดีหรือไม่ หากแต่อีกฝ่ายเพียงยกยิ้มบางส่งกลับมา
"อยากรู้อะไรก็ถามมาเถิด"ถึงจะบอกแบบนี้แต่ก็ยังไม่กล้าถามออกไปอยู่ดี
"หากพ่ออยากรู้ว่าทำไมท่านถึงเสีย..."
"คุณหลวงไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ"รีบพูดแทรกทันที แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ส่ายหน้าตอบ
"ท่านถูกโจรฆ่าตายในคืนเดือนมืดเมื่อครั้งเราอายุได้สองปี พวกมันลอบขึ้นเรือนหมายจะขโมยของแต่แม่ของเราตื่นมาพบเข้าเสียก่อน"น้ำเสียงราบเรียบราวกับว่าสิ่งที่เล่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ผิดกับผมที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้กำลังมีสีหน้าแบบไหน...ผมเอื้อมมือไปกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นจนรับรู้ได้ว่ามือของตัวเองนั้นสั่นเทิ้มผิดกับอีกฝ่ายที่ยังคงสงบนิ่ง
"หลังจากนั้นเจ้าคุณท่านจึงรับเรามาเลี้ยงเพราะท่านเองก็รักใคร่เอ็นดูคุณแม่ประหนึ่งน้องสาวแท้ๆ"แม้สีหน้าจะไม่บ่งบอกความรู้สึก แต่ประกายหม่นในดวงตาคมที่ทอดยาวออกไปยังผืนน้ำเบื้องหน้านั่นกลับแสดงออกอย่างชัดเจน...ต่อให้เรื่องราวผ่านมาเป็นหลายสิบปีก็ไม่สามารถลบล้างความรู้สึกสูญเสียนี้ได้...ผมเข้าใจดี...เพราะผมเองก็เป็นเช่นนั้น
"พ่อธีร์...ร้องไห้ทำไม"รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ดวงตาคมคู่นั้นละสายตาจากผืนน้ำเบื้องหน้ากลับมามอง...ประกายหม่นในดวงตานั้นถูกแทนที่ด้วยแววตาตื่นตระหนก...หยดน้ำใสๆไหลลงมาอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
"เราขอโทษ เราไม่น่าเล่าให้พ่อธีร์ฟังเลย"มือใหญ่ค่อยๆประคองแก้มของผมพลางเกลี่ยนิ้วปาดหยดน้ำตานั้น
"เล่าให้ฟังดีแล้วล่ะครับ ผมจะได้รู้ว่าชีวิตของคุณหลวงผ่านอะไรมาบ้าง"และมันก็ไม่ได้ต่างกันกับชีวิตของผมเท่าไหร่นัก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงร้องไห้ให้กับเรื่องของเขา
"หยุดร้องเถิด ประเดี๋ยวจะเล่าเรื่องสมัยเรียนให้ฟัง สหายของเราก่อเรื่องไว้มาก ให้เล่าไปอีกสามวันก็ไม่หมด"กลายเป็นเขาเองที่ต้องเป็นฝ่ายปลอบ...ผมเพียงพยักหน้ารับ ก่อนที่เขาจะเริ่มเล่าเรื่องราวในตอนเด็กต่อ...ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากคำที่เขาว่าเพราะแต่ละเรื่่องนั้นจัดได้ว่าเด็ดจนเด็กวัยรุ่นสมัยผมยังอาย...เรื่องน่าเศร้าในตอนแรกถูกแทนที่ด้วยเรื่องตลกในวัยเรียนของหลวงพิสิษฐและเพื่อนสนิทอีกสามสี่คน...ทั้งเรื่องที่เพื่อนของเขารวมหัวกันแกล้งหลอกผีจนอาจารย์ที่สอนจับไข้ไปสามวัน หรือแม้แต่เรื่องที่แอบพายเรือออกไปงมกุ้งกันตอนดึกแต่ดันทำไม้พายหายจนต้องผลัดกันว่ายน้ำดันเรือกลับมาจนถึงเรือน...ผมได้แต่นั่งฟังพลางหัวเราะร่าราวกับกำลังนั่งดูตลกคาเฟ่...ไม่คิดเลยว่าหลวงพิสิษฐที่แสนอ่อนโยนและใจดีจะเคยเป็นเด็กเกเรที่ถูกเจ้าคุณท่านใช้ไม้เรียวตีเอาไม่รู้กี่ครั้ง...ยิ่งได้ฟังผมก็ยิ่งได้เห็นหลากหลายมุมในชีวิตของเขาที่ไม่ได้เป็นแค่หลวงพิสิษฐวรเวทย์อย่างที่ผมรู้จักในตอนนี้...
...เจ้าคุณไพศาลกลับมาถึงเรือนเอาตอนใกล้ค่ำอย่างที่คิดไว้...วันนี้สีหน้าท่านดูไม่สู้ดีนักแต่ก็ยังชวนผมให้อยู่ร่วมสำรับเย็นด้วยกัน
"งานที่กรมมีปัญหาหรือขอรับ"เป็นคุณหลวงคนสนิทที่ถามขึ้นระหว่างร่วมโต๊ะอาหาร...ท่าทางกังวลของเจ้าของเรือนแสดงออกชัดเจนจนแม้แต่ผมยังรู้สึกได้
"มิใช่งานที่กรม แต่เป็นงานเลี้ยงคณะทูตฝรั่งเศสต่างหากที่มีปัญหา"คิ้วสีดอกเลาของท่านขมวดมุ่น...ดูท่าจะไม่ใช่ปัญหาเล็กๆเสียแล้ว
"มีอะไรที่กระผมพอจะช่วยได้หรือไม่ขอรับ"เห็นความกังวลใจของเจ้าคุณไพศาลขนาดนี้มีหรือที่คุณหลวงคนสนิทจะยอมอยู่เฉย
"ฝ่ายกรมวังเขาไม่ยอมทำตามแผนงานที่ทางเราส่งไปให้ เห็นทีวันพรุ่งต้องไปพบท่านเจ้าคุณเดโชเสียหน่อย"ผมไม่แปลกใจที่ได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง เพราะหากมีปัญหาจากฝ่ายนั้นเห็นทีจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหัวเรือใหญ่ของกรม
"ให้กระผมไปด้วยเถิดขอรับ กระผมได้อ่านแผนการจัดงานทั้งหมดแล้ว คงพอช่วยพูดกับท่านได้บ้าง"เจ้าคุณไพศาลเพียงพยักหน้ารับ
"พ่อธีร์ก็ไปเสียด้วยกัน เคยปรึกษางานกับท่านมาบ้างแล้วมิใช่รึ"แล้วเอาผมไปจะไปช่วยอะไรได้ล่ะครับเจ้าคุณ คราวก่อนไปเรือนท่านยังโดนเหยียบเสียแทบจมดิน
"พ่อธีร์เป็นคนนอก เกรงว่าจะไม่เหมาะขอรับ"ถูกครับคุณหลวง เอาผมไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก...ที่สำคัญผมเองก็ไม่อยากไปเหยียบเรือนนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง
"ได้อ่านแผนการจัดงานจากพ่อแก้วมาบ้างแล้วมิใช่รึ"
"อ่านแล้วครับ"อ้อมแอ้มตอบกลับไม่เต็มเสียง
"เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิดพ่อ หากมีปัญหาอะไรจักได้ช่วยกันพูดกับเจ้าคุณท่าน"ถึงไม่อยากไปแต่เจ้าคุณไพศาลออกปากเสียขนาดนี้จะให้ปฎิเสธก็คงไม่ได้...เหลือบไปเห็นหลวงพิสิษฐมีทีท่าลำบากใจไม่แพ้กันเพราะทั้งผมและเขาต่างก็รู้ดีว่าทำไมผมถึงไม่ควรไปเรือนเจ้าพระยาเดโชอีก
"คืนนี้ก็นอนเสียที่นี่ วันพรุ่งจักได้ออกแต่เช้ามืด"
"ห๊ะ!"ร้องเสียงดังจนเจ้าคุณไพศาลยังตกใจ...แว่วเสียงคนตัวสูงกลั้นหัวเราะจากอีกฝั่งของโต๊ะ
"มีอะไรรึ"
"เปล่าครับ"ได้แต่ส่ายหน้าตอบ...เหลือบไปมองคนตัวสูงที่ยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี...ช่างเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วเหลือเกินนะครับหลวงพิสิษฐ
"ประเดี๋ยวจักให้บ่าวมันขึ้นไปเตรียมห้องรับรองแขกห้องเดิมที่พ่อธีร์เคยนอนไว้ให้"ถ้าเจ้าคุณท่านรู้ว่าผมไม่เคยได้นอนที่ห้องรับรองแขกสักที ท่านคงอยากเตะส่งผมออกจากเรือนแถมลงหวายให้อีกสักสิบยี่สิบที
...กว่าจะได้ลงมือทานมื้อเย็นกันก็ตกค่ำเพราะมัวแต่นั่งถกปัญหาเรื่องงานเลี้ยงกันเสียนาน...ผมขอตัวขึ้นมาข้างบนก่อนเมื่อเห็นว่าเจ้าคุณท่านจะคุยธุระกับคุณหลวงคนสนิท...อย่าถามเลยครับว่าผมจะนอนที่ห้องไหน...ถ้าไม่ใช่ห้องที่มีเตียงสี่เสาหลังใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง กับโต๊ะไม้สักโบราณที่เต็มไปด้วยกองเอกสารวางเกลื่อน...ต่อให้หนีไปนอนห้องรับรองแขกก็ต้องถูกบังคับให้มาลงเอยที่ห้องนี้อยู่ดี...ทำไมผมจะไม่รู้...ก็ผมเคยทำมาแล้วน่ะสิ!
อากาศยามค่ำคืนในหน้าฝนของพระนครช่างเย็นสบายจนอดไม่ได้ที่จะออกมายืนรับลมริมหน้าต่าง...สายฝนโปรยฉ่ำเพิ่งลงเม็ดเมื่อตอนหัวค่ำยิ่งทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงอีก...ผมชอบฟังเสียงฝน...มันช่วยให้ผ่อนคลายโดยเฉพาะเวลาที่มีเรื่องมากมายให้คิด...ยิ่งได้เห็นโต๊ะไม้สักโบราณนั่นพาลให้ผมนึกไปถึงคำพูดของภิกษุหนุ่มที่เพิ่งได้พบ...ถ้าหากทุกอย่างที่เกิดขึ้นถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้า...แล้วเวลาของผมที่พระนครยังเหลืออยู่อีกมากน้อยแค่ไหน...โชคชะตาของผมจะถูกลิขิตให้อยู่ที่นี่ต่อ หรือต้องกลับไปยังที่ที่ผมจากมา...คำถามที่ผมคงไม่ได้รับคำตอบจนกว่าจะถึงวันนั้น...วันที่โต๊ะโบราณตัวใดตัวหนึ่งส่งเสียงเรียกขึ้นอีกครั้ง...
ความคิดที่ล่องลอยวุ่นวายเสียจนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง...รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อถูกลำแขนแกร่งโอบล้อมเอาไว้จากด้านหลัง...ในมือของเขาถือดอกไม้สีขาวนวลส่งกลิ่นหอม คงเพราะถูกเด็ดมาจากต้นกลิ่นหอมละมุนนั้นเลยจางหายไปบ้าง
"ดอกแก้วยิ่งส่งกลิ่นหอมเมื่อยามฝนโปรย"เสียงนุ่มทุ้มคลอไปกับเสียงฝน...อ้อมแขนที่กระชับแน่นกว่าเก่าจนไม่รู้สึกถึงอากาศเย็นยะเยือกภายนอก
"หน้าฝนปีหน้าต้นแก้วที่ศาลาริมน้ำก็คงออกดอกแล้วสิครับ"
"อยากให้พ่อธีร์ได้เห็น"ลมหายใจอุ่นระเรื่อยอยู่ข้างแก้มก่อนจะฝังจมูกลงบนไหล่ของผม...แว่วเสียงสูดหายใจลึกของคนตัวสูง
"แต่พ่อธีร์หอมกว่าดอกแก้วเสียอีก"คำพูดที่ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
"นธีร์ไม่มีกลิ่นหรอกนะครับ"สายน้ำที่ไหนมันจะไปส่งกลิ่นหอมกัน...หันกลับไปสบกับดวงตาคมที่ส่องประกายระยับ สองมือที่โอบกระชับรอบเอวเปลี่ยนมาวางพาดบนขอบหน้าต่างราวกับกลัวว่าผมจะหนีไปไหน
"แต่นธีร์ของพี่แก้วหอมยิ่งกว่าอะไร"ริมฝีปากหยักได้รูปประทับลงบนหน้าผากของผมเพียงแผ่วเบาแล้วค่อยระเรื่อยลงมาข้างแก้มก่อนจะฉกชิมความหวานจากริมฝีปาก...ลมหายใจอุ่นคลอเคลียหยอกล้อไม่ห่าง...สองมือโอบรั้งคนตัวสูงให้โน้มลงแนบชิดมากขึ้น ความรู้สึกร้อนวูบแผ่ไปทั่วจนลืมไปว่าอากาศข้างนอกเย็นยะเยือกเพียงใด...รู้สึกตัวอีกทีเมื่อตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับฟูกนุ่มบนเตียงสี่เสากับน้ำหนักของคนตัวสูงที่อยู่ด้านบน...ดวงตาคมส่องประกายระยับอยู่ตรงหน้า แม้เพียงเสี้ยวของความคิดที่อยากละสายตายังทำไม่ได้...ราวกับถูกสะกดให้แน่นิ่งก่อนที่ปลายจมูกโด่งจะฝังลงที่ข้างแก้มอีกครั้งเพื่อฉกชิมความหอมหวานเป็นครั้งสุดท้าย
"มากกว่านี้เห็นทีจะอดใจไม่ไหว"ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่ว่างข้างๆ หากแต่อ้อมแขนยังคงกระชับแน่นไม่ยอมปล่อย แว่วเสียงหอบหายใจสอดประสานคลอกับเสียงฝนด้านนอก
"เรื่องเจ้าพระยาเดโช หากพ่อธีร์ไม่อยากไปเราจะเรียนเจ้าคุณท่านให้"มือใหญ่ยังคงคลอเคลียไล้เรื่อยบนเส้นผม
"ไม่ต้องหรอกครับ อย่างน้อยให้ผมได้ช่วยท่านเรื่องงานบ้างท่านเหนื่อยมามากแล้ว"ได้แต่ซุกหน้าลงบนอกกว้างของอีกฝ่าย...เหตุการณ์เมื่อครู่ยังวนเวียนอยู่ในความคิด
"เราเองก็ไม่อยากให้พ่อไป"ผมรู้เหตุผลนี้ดี แต่ถ้าเป็นงานผมก็ไม่อยากทำให้มันเสียเรื่อง
"มีทั้งเจ้าคุณกับพี่แก้วไปด้วย คงไม่มีอะไรหรอกครับ"ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่เจ้าพระยาเจ้าของเรือน หากแต่เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านต่างหาก
"อีกอย่าง...ผมก็ผู้ชายนะครับเรื่องอะไรจะยอมให้ไอ้หลวงหื่นกามนั่นมาทำอะไรรุ่มร่าม"แว่วเสียงหัวเราะเบาจากคนตัวสูง
"เราก็ผู้ชาย พ่อธีร์ยังยอม......โอ๊ยย!"ไม่ต่อยให้หน้าหงายก็บุญเท่าไหร่แล้ววะ เล่นไม่รู้จักเวลา
"มือหนักเช่นนี้เห็นทีคงไม่ต้องเป็นห่วง"ยกมือลูบแขนตัวเองป้อยๆเพราะเพิ่งถูกหมัดเน้นๆเข้าให้ แต่ยังคงหัวเราะออกมาได้
"จะนอนได้รึยังครับ"คนตัวสูงพยักหน้ารับก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้แน่น ไม่รู้ว่ากลัวหายหรือกลัวโดนต่อยอีกรอบกันแน่
...แต่เรื่องที่น่าเป็นห่วง คือเรื่องของวันพรุ่งนี้ต่างหาก...ผมได้แต่ภาวนาขอให้ทุกอย่างราบรื่น ไม่ใช่แค่เรื่องของผมเอง แต่ยังรวมถึงเรื่องการจัดงานเลี้ยงคณะทูต...ใครๆต่างก็รู้ดีถึงกิตติศัพท์ความดื้อรั้นเอาแต่ใจของเจ้าพระยาเดโช...ผมได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้ท่านจะยอมฟังความเห็นจากเจ้าคุณไพศาลบ้าง...ท่านลงแรงกับงานนี้ไปมากจนผมไม่อยากให้มันเสียเรื่องเพียงเพราะความเอาแต่ใจของคนเพียงคนเดียว
...ส่วนเรื่องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่าน...มีทั้งเจ้าคุณไพศาลและหลวงพิสิษฐไปด้วยแบบนี้...เขาคงไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่าม...
...ถ้าผมไม่ประเมินเขาต่ำเกินไป...
...........................................................................................
มาสายไปสองวัน อย่าเพิ่งลงหวายบ่าวนะเจ้าคะ

หายไปสองอาทิตย์หวังว่าคุณผู้อ่านยังไม่ลืมพี่แก้วกับน้องธีร์กันนะคะ
กราบแทบอกคุณผู้อ่านทุกท่าน ฝากตอนนี้ด้วยค่า
