...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]  (อ่าน 309491 ครั้ง)

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
โถ่...พ่อธีร์โดนสูบพลังงานไปขนาดนั้นเลยหรอ  :laugh:



ปล ถามคนเขียนครับว่า มีโครงการจะรวมเล่มตีพิมพ์หรือเปล่าครับ?

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
โถ่...พ่อธีร์โดนสูบพลังงานไปขนาดนั้นเลยหรอ  :laugh:



ปล ถามคนเขียนครับว่า มีโครงการจะรวมเล่มตีพิมพ์หรือเปล่าครับ?


ขอบคุณที่ติดตามพี่แก้วกับน้องธีร์มาตลอดเลยค่ะ

ตอนนี้ยังไม่มีโครงการรวมเล่มนะคะ เพิ่งแต่งเรื่องแรกยังไม่พอใจภาษาตัวเองเท่าไหร่ค่า  :hao5:

ออฟไลน์ itim_holiday

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ๊ย~  ชอบน้องธีร์กับพี่แก้วจัง อัพไวๆ นะคะ :katai4:  (อ่านรวดเดี๋ยวยี่สิบเจ็ดบท รู้สึกค้างสุดๆ~) :katai1:

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
ตอนที่ ๒๗.๕...พิสิษฐวรเวทย์ (ครึ่งหลัง)






...แต่รักแรกแทรกลึกในดวงจิต
สุดจะคิดหักใจให้เปลี่ยนผัน
หยั่งรากลึกฝังตรึงเป็นนิรันดร์
แม้โศกศัลย์ด้วยรักนั้นมิสมใจ...






...เป็นเวลาเกือบสองปีนับตั้งแต่เขาออกเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนที่เมืองฝรั่ง...แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่ก็ทำให้เขาได้ความรู้เพิ่มเติมมากมาย ทั้งด้านภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างจากชาวสยามโดยสิ้นเชิง...ด้านความเป็นอยู่นั้นแม้ในตอนแรกที่ไปถึงจะลำบากอยู่ไม่น้อยแต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานเขาเองก็ปรับตัวได้จนกลายเป็นคุ้นเคยในที่สุด...แต่ถึงอย่างนั้นจิตใจก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะได้กลับมายังสยามประเทศ...บ้านเกิดเมืองนอนของเขาเอง...

"การเดินทางเป็นเช่นไรบ้างรึ"เจ้าคุณเจ้าของเรือนเอ่ยถามหลังจากที่คนสนิทเพิ่งกลับมาถึง...เกือบสองปีที่ท่านไม่ได้พบหน้า จะมีก็เพียงการติดต่อผ่านทางจดหมายเป็นบางครั้งบางคราว

"ราบรื่นดีขอรับ เจ้าคุณท่านสบายดีหรือไม่ขอรับ"แม้ไม่ได้พบหน้ากันเกือบสองปีแต่ท่าทีสุภาพนอบน้อมก็ไม่เคยเปลี่ยน จะมีก็เพียงรูปร่างหน้าตาที่ดูคมชัดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

"เราสบายดี กลับมาเหนื่อยๆไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด"แม้มีเรื่องมากมายอยากถามแต่ก็ต้องละเอาไว้เพราะรู้ว่ากว่าจะเดินทางกลับมาถึงต้องใช้เวลานานเพียงใด...เขาเองก็คงเหนื่อยล้าจากการเดินทางอยู่ไม่มากก็น้อย

"ได้ยินมาว่าจะย้ายไปอยู่ที่เรือนริมแม่น้ำหรือขอรับ"เพราะได้ยินมาจากบ่าวในเรือนถึงได้ถามขึ้น...เมื่อตอนที่ออกเดินทางเขาจำได้ว่าเจ้าคุณท่านกำลังให้คนเร่งสร้างเรือนทรงฝรั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่นึกว่าจะเสร็จเร็วเช่นนี้

"เรือนนี้จะยกให้พ่อเทพเขา"เจ้าของชื่อคือลูกชายคนโตที่เพิ่งออกเรือนไปได้ไม่นาน เจ้าคุณไพศาลเลยคิดจะยกเรือนฝั่งพระโขนงหลังนี้ให้เป็นเรือนหอ เพียงแค่รอให้เรือนทรงฝรั่งสร้างเสร็จก็จะย้ายไปพร้อมคุณหญิงและบ่าวผู้ติดตามเพียงไม่กี่คน

"ไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด วันพรุ่งจะพาไปพบเจ้าคุณจิตรา แกบ่นถึงพ่อแก้วไม่ขาดปาก"ดูท่าว่าจะไม่ได้มีเพียงเจ้าของเรือนกับคุณหญิงผู้เป็นภรรยาที่ตั้งหน้าตั้งตารอการกลับมาของเขา เพราะแม้แต่เจ้าคุณคนสนิทอีกท่านเองก็คอยไตร่ถามความเป็นอยู่ของอีกฝ่ายอยู่ไม่ขาด




...เรือนไม้สักทรงโบราณของเจ้าคุณจิตรายังคงเหมือนเดิมที่เคยเห็นเมื่อสองปีก่อน หากแต่ที่เปลี่ยนไปเห็นจะมีเพียง...ลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณท่านที่ตอนนี้เติบใหญ่เป็นสาวสะพรั่งและยังพร้อมด้วยกิริยามารยาทนอบน้อมอ่อนหวาน...แต่ในสายตาของเขาเธอเองก็เป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กที่คอยรบเร้าให้เขาสอนหนังสือให้อยู่ร่ำไป


...หากแต่คนที่ทำให้เขาสะดุดตาตั้งแต่ขึ้นไปถึงด้านบนของเรือนกลับกลายเป็นลูกศิษย์คนสวยของคุณหญิงสร้อยที่วันนี้มาเรียนวิธีทำอาหารสูตรชาววังที่คุณหญิงท่านรับปากว่าจะสอนให้...ท่าทีสงบเรียบร้อยผิดกับเด็กหญิงตัวเล็กแก่นแก้วที่เขาได้พบในครั้งแรก...หรือแม้แต่เมื่อสองปีก่อน อีกฝ่ายก็เป็นเพียงเด็กสาววัยแรกแย้มที่ยังคงมีความซุกซนแบบเด็กๆ...แต่เมื่อได้พบกันอีกครั้งเธอกลับกลายเป็นสาวงามเพียบพร้อมด้วยกิริยามารยาทและความรู้เรื่องการบ้านการเรือนที่ถูกถ่ายทอดมาจากคุณหญิง...ดวงตาหวานเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อได้เห็นเขาในครั้งแรก...เรียวปากบางยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีพร้อมยกมือไหว้ทักทายตามมารยาท...เขาไม่ปฏิเสธเลยว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นงามพร้อมเพียงใด

"แม่เดือนหรือนี่ แทบจำไม่ได้เสียแล้ว"เสียงทุ้มนุ่มทักทายพร้อมยกมือรับไหว้

"ห่างพระนครไปเพียงสองปีก็ลืมกันแล้วหรือเจ้าคะ"ทั้งวิธีการพูดจาก็เปลี่ยนไปจากเดิม...สำหรับแม่พิกุลนั้นแม้จะเติบโตเป็นสาวงามสะพรั่งเพียงใดแต่ภาพของเด็กหญิงตัวเล็กที่คอยเรียกชื่อเขาเจื้อยแจ้วก็ยังคงอยู่ ผิดกับอีกคนที่ในตอนนี้กลับไม่เหลือภาพเด็กหญิงจอมแก่นคนเดิมเลยสักนิด

"นั่นซีนะ เห็นทีพี่คงแก่แล้วกระมัง"คำตอบที่เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนบนเรือนไม่ขาด...เวลาเพียงสองปีทำให้อะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป...จะมีก็แต่...ดวงตาหวานฉ่ำที่คอยทอดมองมาทางเขาเสมอ ที่เขารู้สึกว่ายังคงเป็นเหมือนเดิม

"ได้ยินมาว่าพ่อแก้วได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหลวงรึ"เจ้าคุณจิตราถามขึ้นบ้างหลังจากได้ยินมาหนาหูจากผู้ใหญ่ในกรมธรรมการที่อีกฝ่ายสังกัดอยู่

"เพิ่งได้ทราบเรื่องเมื่อก่อนกลับมาเช่นกันขอรับ"

"อวยยศเป็นอะไรรึ"เจ้าของเรือนยังคงถามต่อ

"หลวงพิสิษฐวรเวทย์ขอรับเจ้าคุณท่าน"อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับอย่างยินดี

"อายุเพียงเท่านี้ได้เป็นถึงหลวงแล้ว อีกไม่นานก็คงได้เป็นคุณพระหรือพระยากระมัง"คุณหญิงสร้อยรีบสำทับบ้าง...ท่านเองก็ภูมิใจในตัวชายหนุ่มอยู่ไม่น้อย

"กระผมไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นเลยขอรับคุณหญิง"แม้ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเป็นเวลานาน ถูกรายล้อมด้วยภาษาและวัฒนธรรมชาติตะวันตกที่แตกต่าง...วัฒนธรรมที่หล่อหลอมให้คนในชาติทะเยอทะยานและเชื่อมั่นในตนเอง หากแต่ค่านิยมเหล่านั้นกลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนของคนตรงหน้าได้...ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนยังคงมีให้เห็นอยู่เสมอตั้งแต่เมื่อก่อนเรื่อยมาจนตอนนี้





"ยังชอบมานั่งเล่นที่ท่าน้ำเหมือนเคยนะเจ้าคะ"เสียงหวานดึงสติที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยให้กลับมา...คนตัวเล็กที่เพิ่งเดินมาถึงทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม...เรียวปากบางแย้มน้อยๆยิ่งทำให้น่ามองขึ้นอีก

"พี่ชอบมองแม่น้ำ เพราะแม่น้ำให้ความรู้สึกเย็นสบาย"แม้ท่าน้ำหน้าเรือนของเจ้าคุณจิตราจะเป็นเพียงคลองสายเล็กๆแต่ก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน...สายน้ำไหลเอื่อยพาใจให้ล่องลอยคิดเรื่่องต่างๆที่ผ่านเข้ามา เขาเองก็ไม่รู้ตัวว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขามักมานั่งใช้ความคิดที่ริมน้ำเสมอ

"แม่เดือนมีอะไรรึ"นึกขึ้นได้จึงถามกลับไป เหลือบไปเห็นถาดขนมในมือคนตัวเล็กกว่า

"คุณหญิงท่านสอนเดือนทำขนม อยากให้พี่แก้วได้ชิมเจ้าค่ะ"ว่าพลางยื่นขนมหวานหน้าตาสะสวยมาให้ตรงหน้า

"เสน่ห์จันทน์รึ"ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางก่อนจะยื่นมือออกไปหยิบขึ้นมาชิมสักชิ้น...อยู่ต่างบ้านต่างเมืองมาเสียนานไม่ได้ทานอาหารไทยสักมื้อ ยิ่งขนมหวานยิ่งไม่ต้องพูดถึง ก็ทางโน้นมีแต่ขนมฝรั่งแถมไม่ถูกปากเจ้าตัวอีกต่างหาก

"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"คิ้วบางขมวดมุ่นเพราะเห็นใบหน้าบูดบึ้งของอีกฝ่าย...ดวงตาคมกลอกไปมาอยู่นานแต่ก็ไม่ยอมตอบคำถามจนคนทำเริ่มใจเสียกลัวว่าจะไม่ถูกปาก...หากเพียงครู่ที่หันกลับมาสบตาก็เห็นรอยยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดี คนตัวเล็กถึงได้รู้สึกตัวว่าถูกแกล้งอีกแล้ว

"รสชาติดี หน้าตาก็ดีไม่เหมือนคราวก่อน"น้ำเสียงหยอกล้อพาให้นึกไปถึงบุหลันข้างแรมที่เจ้าตัวเคยทำ แม้จะดีใจอยู่ลึกๆที่อีกฝ่ายยังจำได้หากแต่ใบหน้าหวานกลับงอง้ำเพราะถูกล้อเข้าให้อีกครั้ง

"พี่ล้อเล่น โกรธพี่รึ"ตั้งใจจะหยอกเล่นเสียหน่อยแต่คนตรงหน้ากลับไม่นึกสนุกไปด้วย

"แม่เดือน"เรียกขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กยังเงียบอยู่

"เสน่ห์จันทน์ของแม่เดือนอร่อยนัก พี่ไม่เคยได้กินเสน่ห์จันทน์ที่รสชาติดีเช่นนี้มาก่อน จะให้พี่กินหมดนี่ก็ยังได้"บ่นยืดยาวจนอีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมา...ช่างหาวิธีมาง้อเสียจริง

"พอแล้วเจ้าค่ะ เดือนไม่โกรธแล้วเจ้าค่ะ"เสียงหวานกลั้วเสียงหัวเราะพาให้อีกคนยิ้มตาม...แม้จะโตเป็นสาวงามเพียบพร้อมแต่เขาก็ยังคงเห็นตัวตนของเด็กแก่นแก้วคนเดิมซ่อนอยู่ภายใน...เด็กหญิงตัวเล็กที่เขานึกเอ็นดูเมื่อครั้งยังเด็กไม่ได้หายไปไหนเพียงแค่ถูกบดบังด้วยมารยาทและท่วงท่าสง่างามตามกรอบของสังคมที่ตีล้อมเอาไว้

"คุณพระท่านสบายดีหรือไม่"มัวแต่หยอกล้อกันเสียนานจนเกือบลืมถามถึงผู้ใหญ่อีกท่าน

"สบายดีเจ้าค่ะ วันก่อนท่านยังถามว่าเมื่อไหร่พี่แก้วจะกลับ"

"ฝากเรียนท่านว่าวันหลังพี่จะไปหา ไม่ได้พบกันเสียนานแล้ว"ได้ยินแบบนั้นถึงได้เผลอยิ้มกว้างออกมาเมื่อจะได้มีโอกาสพบกันอีกครั้งในวันข้างหน้า

"แต่วันนี้เห็นทีต้องกลับก่อน"เจ้าตัวพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเจ้าคุณไพศาลเพิ่งลงมาจากเรือน...เพราะวันนี้จะพากันไปดูเรือนริมแม่น้ำที่กำลังเร่งสร้างจึงต้องรีบกลับ

"แล้วพบกันวันหน้านะแม่"อีกฝ่ายเพียงยกมือไหว้ลา ใบหน้าหวานเจือรอยยิ้มระเรื่อ ก่อนจะหันไปกล่าวลากับเจ้าคุณอีกท่านที่เพิ่งเดินมาถึง



...เพียงแค่ไม่กี่นาทีที่ได้พูดคุยกลับเติมเต็มความรู้สึกตลอดเวลาสองปีที่ไม่ได้พบหน้า...หญิงสาวเพียงยืนมองเรือลำน้อยค่อยๆเคลื่อนออกจากท่าน้ำจนลับตาไปในที่สุด...




"พ่อแก้วดูสนิทสนมกับแม่เดือน"เจ้าคุณไพศาลทักขึ้นขณะกำลังยืนมองคนงานเร่งสร้างเรือนไม้ทรงฝรั่งที่ตอนนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างใกล้แล้วเสร็จ

"กระผมเพียงถามสารทุกข์สุขดิบทั่วไปขอรับ"เจ้าตัวเพียงยกยิ้มบาง เพราะสำหรับเขามันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น หากแต่คำพูดถัดมาของเจ้าคุณท่านกลับยิ่งทำให้สงสัย

"แล้วแม่พิกุลเล่า"คิ้วดกหนาขมวดมุ่นเมื่อได้ยิน

"แม่พิกุลทำไมหรือขอรับ"

"สนิทสนมกันดีหรือไม่"

"กับแม่พิกุลก็เห็นกันมาตั้งแต่ยังเล็กย่อมสนิทสนมกันเป็นธรรมดาขอรับ"แว่วเสียงถอนหายใจเบาจากอีกฝ่ายยิ่งทำให้หลวงพิสิษฐสงสัยหนัก

"เจ้าคุณท่านมีอะไรหรือขอรับ"

"พ่อแก้วจำท่านเจ้าคุณเดโชได้หรือไม่"เขาเงียบลง พยายามนึกไปถึงชื่อที่อีกฝ่ายพูดถึง เพราะห่างบ้านไปนาน อีกทั้งชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นหูนี้จึงต้องใช้เวลานานกว่าจะนึกออก

"เจ้าพระยาเดโชศรีวิศาลสังกัดกรมวัง"เจ้าคุณไพศาลเพียงพยักหน้ารับ แต่เขาเองก็ไม่เห็นว่าเจ้าคุณแห่งกรมวังที่ว่าจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตราได้

"ปีก่อนเจ้าคุณท่านให้คนมาทาบทามแม่พิกุลให้ลูกชายคนโตของท่าน พ่อแก้วก็รู้จักหลวงเจษฏ์มิใช่รึ"จะว่ารู้จักเขาก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเคยพบกันไม่กี่ครั้งแต่ดูจากภายนอกแล้วก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ติดที่การพูดจาวางอำนาจเหมือนผู้เป็นพ่อเท่านั้น

"ตอนที่ท่านให้คนมาทาบทาม เจ้าคุณจิตราแกถามแม่พิกุล แต่เธอกลับบอกว่า..."เจ้าคุณไพศาลเงียบไปเพียงอึดใจ หันมามองคุณหลวงคนสนิทที่ยืนรอฟังอย่างจดจ่อ

"ให้ออกเรือนกับหลวงเจษฎ์สู้ให้เธอออกเรือนไปกับพ่อแก้วเสียดีกว่า"

"อะไรนะขอรับ!"เสียงทุ้มนุ่มตวัดดัง ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจหากคำตอบที่ได้เป็นเพียงการพยักหน้ารับจากอีกฝ่ายเท่านั้น

"ทำไมแม่พิกุลพูดเช่นนั้นเล่าขอรับ"แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจมากกว่าคือการที่เด็กสาวเรียบร้อยที่อยู่ในกรอบของกฎเกณฑ์เรื่อยมากล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้ใหญ่ถึงสองท่าน

"เธอคงไม่รู้จะบ่ายเบี่ยงอย่างไรถึงตอบเช่นนั้น"ดูท่าเจ้าคุณไพศาลเองก็เข้าใจสถานการณ์ดีทีเดียว

"แต่นั่นถือเป็นการหักหน้าเจ้าคุณท่าน พ่อแก้วก็รู้ว่าเจ้าคุณเดโชท่านเป็นคนอย่างไร"เจ้าตัวเพียงพยักหน้ารับ แม้ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวแต่ก็พอได้ยินชื่อเสียงเรื่องความเจ้ายศเจ้าอย่างของเจ้าคุณท่านนี้มาหนาหูนัก

"เจ้าคุณจิตราแกมาปรึกษาเรื่องนี้ เราเองก็เห็นว่าเหมาะสม"

"อะไรที่ว่าเหมาะสมหรือขอรับ"ใบหน้าคมสงบนิ่งหากแต่ความกังวลในใจกลับเพิ่มขึ้นทุกขณะ

"เรื่องที่จะให้แม่พิกุลออกเรือนไปกับพ่อแก้ว"แว่วเสียงหัวใจตัวเองกระตุกวูบ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกออกไป

"เจ้าคุณท่านขอรับ..."แต่ท่าทีลำบากใจนั่นต่างหากที่ทำให้เจ้าคุณไพศาลรู้

"พ่อแก้ว ฝ่ายหญิงเขาพูดมาเช่นนี้ หากพ่อแก้วปฏิเสธแล้วทางโน้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน"ใจหนึ่งก็นึกสงสารน้องสาวคนสนิท แต่ก็ลำบากใจยิ่งนักเพราะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน โดยเฉพาะกับคนที่ตนเอ็นดูประหนึ่งน้องสาวแท้ๆ

"เจ้าคุณเดโชเองก็ปักใจว่าแม่พิกุลหมั้นหมายกับพ่อแก้วอยู่ก่อน เป็นเช่นนี้ท่านจะหาว่าทางโน้นโกหกเสียอีก"ดูท่าว่าหลวงพิสิษฐกำลังถูกตีล้อมจากรอบด้าน...ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ หากแต่สำหรับเขานั้นมันยากนักที่จะตัดสินใจ

"กระผมคิดว่าไม่สมควรขอรับ"น้ำเสียงเรียบตอบกลับจนเจ้าคุณไพศาลต้องขมวดคิ้วแน่นเพราะบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียด

"หากเจ้าคุณท่านอยากให้แม่พิกุลออกเรือนเพียงเพราะเกรงคำครหานินทา แล้วความสุขของแม่พิกุลไม่สำคัญหรือขอรับ"ชั่วขณะหนึ่งที่เขาเห็นประกายวูบไหวในแววตาอ่อนโยนของอีกฝ่าย

"เจ้าคุณท่านก็เห็นด้วยว่าที่แม่พิกุลพูดเช่นนั้นเพียงเพราะต้องการบ่ายเบี่ยงแต่หากการบ่ายเบี่ยงต่อชายคนหนึ่งทำให้เธอต้องออกเรือนไปกับชายอีกคนกระผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง"น้ำเสียงราบเรียบสม่ำเสมอเอ่ยต่อ เขาเพียงแค่อยากอธิบายเพราะตนก็เข้าใจเหตุผลของหญิงสาวดี

"แม่พิกุลเองก็เพิ่งจะครบ๑๕ปียังมีโอกาสได้พบคนที่ดีอีกมาก กระผมเห็นว่าควรให้เวลาเธออีกสักหน่อยหากแม่พิกุลมีใจให้กระผมจริง กระผมเองก็ยินดีที่จะแต่งงานกับเธอขอรับ"ท้ายสุดแล้วเขาได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจยาวจากเจ้าคุณคนสนิท...เพราะจนด้วยคำพูด...เพราะสิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นความจริง

"เราเข้าใจพ่อแก้ว แต่เจ้าคุณจิตราเองก็เป็นคนมีหน้ามีตาในวงสังคม หากมีใครพูดถึงเรื่องนี้แม่พิกุลก็ไม่พ้นตกเป็นฝ่ายเสียหาย"

"กระผมเชื่อว่าเจ้าคุณจิตราต้องนึกถึงความสุขของแม่พิกุลก่อนเป็นแน่ขอรับ หากเจ้าคุณท่านลำบากใจกระผมจะเป็นคนเรียนเจ้าคุณจิตราด้วยตัวเอง"สมกับที่เป็นคนสนิท ตั้งแต่เล็กจนโตหากยืนกรานอะไรแล้วย่อมหาเหตุผลที่หนักแน่นมาหักล้างได้เสมอ แม้แต่เรื่องนี้ท่านเองก็ถึงกับจนปัญญาจะหาข้อโต้แย้งอะไรต่อ ทำได้เพียงแค่รับปากว่าจะพูดกับเจ้าคุณเพื่อนสนิทให้
.

.

.

.
...ถนนสายเล็กพาดผ่านแบ่งตลาดสองฟากฝั่งออกจากกันชัดเจน...ขนาบข้างเรียงรายด้วยร้านค้าหลากหลาย ทั้งของกิน ของใช้ หรือแม้แต่เครื่องประดับสวยงาม...ตลาดในช่วงสายคลาคล่ำไปด้วยผู้คน บ้างก็ออกมาจับจ่ายใช้สอย บ้างก็มาเดินดูของสวยงามที่เปิดขายเรียงรายสองฝั่งถนน เสียงผู้คนจอแจมีตั้งแต่บ่าวไพร่ไล่ไปจนถึงระดับเจ้านาย


...ดวงตาคมทว่าหวานฉ่ำของหญิงสาวร่างเล็กส่องประกายวิบวับ ไม่ว่าจะหันไปมองทางใดก็ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก เพราะไม่มีโอกาสได้ออกมาเปิดหูเปิดตานอกเรือนสักเท่าไหร่ พอสบโอกาสถึงได้ออกอาการดีใจเป็นเด็กน้อยเช่นนี้...อีกคนเองก็ดูท่าอารมณ์ดีไม่แพ้กันเพราะเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตั้งแต่อยู่บนเรือ...เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของสองสาวที่เดินนำหน้าพลางชี้ชวนกันให้ดูร้านนั้นร้านนี้เรียกรอยยิ้มปรายจากคนตัวสูงที่เดินตามหลังได้มากทีเดียว...

"ถ้าไม่ได้พี่แก้วเห็นทีวันนี้พิกุลจะไม่ได้ออกมา"เสียงหวานของหญิงสาวตัวเล็กกว่าดังขึ้น ใบหน้าหวานหันมาส่งยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี...เพราะอยากออกมาเปิดหูเปิดตาบ้างแต่ติดที่ผู้เป็นพ่อปรามเอาไว้ถึงได้เดือดร้อนคนตัวสูงต้องอาสาพาออกมา ไม่เช่นนั้นก็คงไม่พ้นต้องอุดอู้อยู่กับเรือนเหมือนทุกวัน

"วันนี้พี่แก้วไม่ต้องเข้ากรมหรือเจ้าคะ"หญิงสาวตัวสูงกว่าถามกลับแต่คำตอบที่ได้เป็นเพียงการส่ายหน้าตอบจากอีกฝ่ายเท่านั้น

"คุณเดือนมาดูทางนี้ซีเจ้าคะ งามเสียจริงเจ้าค่ะ"บ่าวคนสนิทรีบชักชวนเจ้าของชื่อให้เข้าร้านเครื่องประดับที่มีทั้งสร้อย แหวน กำไลประดับด้วยอัญมณีหลากสี หากแต่คนตัวเล็กกว่ากลับไม่ได้ตามไปด้วยเพียงลดจังหวะฝีเท้าลงมาเดินขนาบข้างชายหนุ่มเท่านั้น...ดวงตาหวานฉ่ำเหลือบมองคนตัวสูงเป็นพักๆจนอีกฝ่ายสังเกตเห็น

"มีอะไรรึ"

"พิกุลยังไม่ได้ขอบคุณพี่แก้วเจ้าค่ะ"ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางอย่างรู้ทัน

"เรื่องอะไรเล่า"หากเพียงอยากแกล้งคนข้างๆอีกสักหน่อย

"ก็เรื่องที่พี่แก้วเรียนเจ้าคุณพ่อ...เรื่องแต่งงาน"ท้ายประโยคลดเสียงลงเหมือนกำลังพึมพำกับตัวเอง

"หากพี่ไม่เรียนเจ้าคุณท่านหล่อนจะทำอย่างไรรึ"คนตัวเล็กหน้ามุ่ยเพราะรู้ตัวว่ากำลังถูกหยอกเข้าให้

"พิกุลก็ต้องแต่งงานกับพี่แก้วน่ะซีเจ้าคะ"หลวงพิสิษฐเพียงหัวเราะเบากับคำตอบ

"แล้วหล่อนไม่อยากแต่งงานกับพี่รึ"เพราะคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เล็กถึงได้หยอกล้อเป็นเรื่องปกติ

"โถพี่แก้ว พิกุลเห็นพี่แก้วตั้งแต่จำความได้กระมัง จะให้พิกุลแต่งงานกับพี่ชายตัวเอง พิกุลทำไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ"ใบหน้าหวานหลุบต่ำ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นก็เบาเสียจนแทบไม่ได้ยินแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้ง่ายเมื่ออยู่กับคนข้างๆ...เพราะสนิทใจมากกว่าผู้ชายคนไหน...เพราะเชื่อใจ...เพราะเคารพรัก

"ทำไม่ได้แต่ก็เรียนเจ้าคุณท่านไปแบบนั้น เดือดร้อนพี่ต้องแก้ตัวให้เป็นพัลวันรู้หรือไม่"น้ำเสียงเรียบตอบกลับจนอีกฝ่ายหน้าเจื่อนลงทันที เพราะไม่รู้ว่าคนตัวสูงเพียงแค่แหย่เล่นหรือว่าจริงจัง หากเพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาจากอีกฝ่าย

"แกล้งพิกุลอีกแล้วนะเจ้าคะ"คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาหวานจ้องเขม็งไปยังตัวการที่ยืนยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดี

"คราวหลังก็เรียนท่านไปตามตรง เจ้าคุณท่านรักหล่อนเสียอย่างกับอะไร หากหล่อนไม่เต็มใจมีหรือท่านจะบังคับให้ออกเรือนไปกับชายอื่น"

"พิกุลไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ อีกฝ่ายเป็นถึงลูกเจ้าพระยา..."พูดยังไม่ทันจบประโยคดี คนที่กำลังเอ่ยถึงก็ปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน...รูปร่างสูงใหญ่เห็นเด่นมาแต่ไกลขนาบข้างด้วยคนสนิทอีกสองคน...ท่วงท่าการเดินมีอำนาจจนคนรอบข้างต้องหลีกหลบให้...เพียงหันมาสบตาก็เดินตรงเข้ามาหาทันที

"มาซื้อของหรือจ๊ะแม่พิกุล"น้ำเสียงแหบต่ำทว่าดุดัน...คนตัวเล็กยกมือไหว้ตามมารยาทอย่างนอบน้อมหากแต่ดวงตาคมกริบกลับจ้องปราดไปที่คนตัวสูงข้างๆแทน

"พ่อแก้วรึนี่ ได้ยินว่าไปอยู่เมืองฝรั่งมาเสียนาน เพิ่งกลับมารึ"หลวงพิสิษฐเพียงพยักหน้ารับ...ดวงตาคมจดจ้องกลับหากแต่ช่างเรียบเฉย

"กลับมาไม่ทันไรก็ได้อวยยศเป็นหลวงเสียแล้ว น่าชื่นชมนัก เห็นทีฉันต้องเรียกพ่อว่าหลวงแก้วแล้วซี"หากน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ากำลังถูกชมสักนิดเพราะแม้ใบหน้านั้นยังยิ้มแย้มทว่าดวงตาคมแข็งกร้าวกลับจดจ้องอีกฝ่ายนิ่ง...ดูท่าคนตัวสูงใหญ่ยังคงติดใจเรื่องที่ถูกปฏิเสธจากหญิงสาวตรงหน้าจนพาลไปถึงอีกคน แต่ยังไม่ทันได้ปะทะคารมกันต่อเขาก็ต้องเงียบไปเมื่อเหลือบไปเห็นหญิงสาวอีกคนที่เดินมาสมทบ...สายตาแข็งกร้าวเมื่อครู่เปลี่ยนไปทันทีที่ได้มองพลางยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี...ส่วนคนที่ตกเป็นเป้าสายตาเพียงเหลือบมองก่อนจะยกมือไหว้ตามมารยาท...แม้ไม่เคยพบหน้าหากแต่รู้จักอีกฝ่ายดีเพราะได้ยินเรื่องของน้องสาวคนสนิทมาบ้าง

"นี่ใครรึ"น้ำเสียงเปลี่ยนไปจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง

"พี่เดือน ลูกสาวคุณพระพินิจเจ้าค่ะ"เป็นแม่พิกุลที่แนะนำให้ เจ้าของชื่อเพียงหลุบตาลงต่ำเพราะถูกจดจ้องไม่วางตา

"ช่างงามแท้"แถมวาจาเกี้ยวพาจนออกนอกหน้ายิ่งสร้างความอึดอัดให้อีกฝ่าย...แม้แต่คนรอบข้างเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน



การพบกันครั้งแรกสร้างความลำบากใจให้หญิงสาวไม่น้อย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะชายคนนั้นเคยมีใจให้น้องสาวคนสนิทของเธอถึงขั้นให้ผู้ใหญ่มาทาบทามสู่ขอ...หากแต่สิ่งสำคัญที่ทำให้เธอกังวลใจคือคนที่ยืนอยู่ข้างเธอในตอนนี้...ใบหน้าคมเรียบเฉยไม่แสดงท่าทีใด...ไม่มีแม้คำพูดโต้แย้งเมื่อเธอถูกเกี้ยวพาต่อหน้า...เธอเพียงลอบมองคนตัวสูง นึกหวังเพียงจะได้เห็นท่าทีไม่พอใจของอีกฝ่ายบ้าง...แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ดีนักที่คิดแบบนี้ก็ตาม
.

.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-10-2014 15:14:44 โดย Vivid_Vuitton »

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
.

.
"แม่เดือนน่ะหรือขอรับ"เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นบนเรือนไม้สักแบบไทยแท้ของพระยาไพศาลราชวราการ หลังจากที่เจ้าของเรือนบอกเรื่องที่ได้ยินมาจากคุณพระคนสนิท...คนถูกถามเพียงพยักหน้ารับก่อนจะเล่าต่อ

"เห็นว่าเทียวไปเทียวมาที่เรือนไม่ขาด"เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด...ท่าทีของหลวงเจษฎารังสรรค์ที่มีต่อแม่เดือนวันนั้นทำให้เขาไม่รู้สึกแปลกใจนักเมื่อได้ยินว่าคุณหลวงหนุ่มแสดงตัวชัดเจนว่ามีใจต่อลูกสาวของคุณพระคนสนิทของเจ้าคุณท่าน

"แล้วคุณพระท่านคิดเห็นอย่างไรเล่าขอรับ"

"ถึงจะบอกว่าสุดแท้แต่แม่เดือน แต่ดูท่าแกก็เห็นดีด้วยไม่น้อย"เพราะฐานะครอบครัวและตำแหน่งหน้าที่เพียบพร้อม ใครเลยจะไม่ยินดีที่ลูกสาวตนอาจมีวาสนาได้เป็นถึงลูกสะใภ้เจ้าพระยา

"พระพินิจแกมาปรึกษา แกว่ากลัวแม่เดือนจะตกเป็นที่ครหาเพราะเจ้าคุณเดโชท่านเคยให้คนมาทาบทามแม่พิกุล"เจ้าคุณไพศาลเล่าต่อ

"แต่เรื่องนั้นมันก็ผ่านมานานมากแล้วนะขอรับ"อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าเห็นด้วย

"เราเองก็บอกแกไปเช่นนั้น ตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าแม่เดือนจะว่าอย่างไร หากแม่เดือนตอบตกลงเห็นทีจะได้มีงานมงคลในเร็ววันนี้"หากแต่สิ่งที่ทำให้หลวงพิสิษฐเป็นกังวลมีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือเขาไม่รู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร...เขาเคยถามน้องสาวคนสนิทถึงเหตุผลที่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมแต่งงานกับอีกฝ่าย แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นเพียงเพราะเธอไม่ได้มีใจให้กับชายคนนั้น ไม่ใช่เพราะนิสัยใจคอแต่อย่างใด...แม้ภายนอกไม่ได้ดูเป็นคนเลวร้าย จะมีก็เพียงการพูดจาและท่าทีวางอำนาจ...แต่ลึกๆแล้วเขากลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นมีอะไรมากกว่าที่แสดงออกมาให้เห็น...ถึงอย่างนั้น นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเข้าไปก้าวก่ายเพราะหากฝ่ายหญิงตกลงยินยอมก็ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี
.

.

.

.
"คุณหญิงท่านสอนเสร็จแล้วรึ"เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถาม...เป็นอีกวันที่ทั้งสองมาเยือนเรือนของเจ้าคุณจิตรา...คนหนึ่งมาเพื่อเรียน ส่วนอีกคนเพียงติดตามเจ้าคุณคนสนิทมาทำธุระ...พอมีเวลาว่างถึงได้หลบมาหามุมสงบนั่งอ่านหนังสือเหมือนทุกทีแต่กลับพบคนตัวเล็กนั่งเหม่ออยู่ที่ท่าน้ำหน้าเรือนเสียก่อน

"ประเดี๋ยวตอนบ่ายคุณหญิงท่านจะออกไปธุระกับแม่พิกุลเจ้าค่ะ"เสียงหวานตอบกลับ หากแต่สีหน้าไม่สู้ดีนัก...ดวงตาคู่สวยทอดยาวออกไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า


"มีเรื่องไม่สบายใจหรือแม่"หลวงพิสิษฐนั่งลงฝั่งตรงข้าม มองคนตัวเล็กที่นิ่งเงียบตั้งแต่เมื่อครู่...คำตอบที่ได้รับเป็นเพียงเสียงถอนหายใจยาวจากอีกฝ่าย

"หนักใจอะไรเล่าให้พี่ฟังได้หรือไม่"

"ทำไมตอนนั้นพี่แก้วถึงเรียนเจ้าคุณท่านเรื่องแม่พิกุลไปแบบนั้นหรือเจ้าคะ"คำถามที่ทำเอาคนฟังขมวดคิ้วมุ่นเพราะไม่เห็นว่าเรื่องของเขาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่อีกฝ่ายกำลังไม่สบายใจอยู่ตรงไหน

"เพราะพี่รู้ว่าแม่พิกุลเองก็คิดเช่นเดียวกัน"ถึงอย่างนั้นก็ยังตอบกลับไป

"แล้วถ้าหากแม่พิกุลเต็มใจออกเรือนไปกับพี่แก้วเล่าเจ้าคะ"คนตัวเล็กถามต่อ...ใบหน้าหวานหันกลับมาสบเข้ากับดวงตาคมวาววับตรงหน้า

"พี่เห็นแม่พิกุลมาตั้งแต่ยังเล็กย่อมรู้นิสัยแลความคิดของเธอดี ที่แม่พิกุลเรียนเจ้าคุณท่านเช่นนั้นเพราะเธอเพียงต้องการบ่ายเบี่ยงไม่ใช่เพราะพี่แต่อย่างใด"หากแต่ที่เขากล้าปฏิเสธเจ้าคุณจิตรานั้นไม่ได้เป็นเพราะน้องสาวคนสนิทเพียงเหตุผลเดียว แต่ยังรวมไปถึงความรู้สึกของเขาเองอีกด้วย

"หนักใจเรื่องหลวงเจษฎ์รึ"ชั่วขณะหนึ่งที่เขาได้เห็นดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเพียงนิดเพราะความตกใจ...ใบหน้าหวานเจือความกังวลฉายแววชัดเจน

"หลวงเธอให้คนมาทาบทามกับคุณพ่อเมื่อวานนี้เจ้าค่ะ"คำตอบที่หลวงพิสิษฐไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่นักหลังจากที่ได้ฟังเจ้าคุณไพศาลเล่าเมื่อคราวก่อน

"แล้วหล่อนคิดเห็นเช่นใดเล่า"

"เดือนไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่คุณพ่อท่านก็เห็นควร"

"คุณพระท่านย่อมอยากฝากฝังหล่อนกับคนที่เหมาะสม แต่ท้ายที่สุดแล้วคนตัดสินใจก็คือหล่อนเองนะแม่เดือน"เพราะเป็นความต้องการของผู้เป็นพ่อถึงได้หนักใจ...ทั้งที่ตัวเองนั้นไม่ได้มีความรู้สึกใดต่อบุคคลที่กำลังพูดถึงอยู่แม้แต่น้อย จริงอยู่ที่เขาเองก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่เคยคิดไว้...ทั้งการปฏิบัติตัวต่อเธอนั้นก็ถือว่าให้เกียรติ ไม่เคยล่วงเกินหรือฉวยโอกาส...หากแต่หัวใจของเธอกลับอยู่ที่ใครอีกคน...ใครคนนั้นที่เธอได้แต่หวัง ว่าเขาจะตอบรับความรู้สึกนั้นกลับมาบ้าง...โดยเฉพาะในเวลาที่สถานการณ์บีบบังคับให้เธอต้องตัดสินใจอย่างในตอนนี้

"แล้วถ้าเดือนเรียนคุณพ่อว่าเดือนอยากแต่งงานกับพี่แก้วเหมือนที่แม่พิกุลทำเล่าเจ้าคะ"ดวงตาคู่สวยจดจ้องจริงจัง...เพราะอยากรู้ถึงความคิดของคนตรงหน้า...เพราะคาดหวังว่าคำตอบที่ได้รับจะเป็นคำตอบที่เธอเฝ้ารอ

"พูดอะไรเช่นนั้น! ใครมาได้ยินเข้าหล่อนเองที่จะเป็นฝ่ายเสียหาย"เสียงทุ้มนุ่มตวัดดังเพราะความตกใจ

"เดือนพูดจริงเจ้าค่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นพี่แก้วจะทำอย่างไรเจ้าคะ"ชั่วขณะหนึ่งที่หลวงพิสิษฐได้เห็นเด็กหญิงแก่นแก้วจอมดื้อรั้นคนเดิมมายืนอยู่ตรงหน้า...น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังแม้ดวงตาคู่สวยนั้นสั่นระริกเพราะความกลัว...หากเขารู้ความคิดของแม่พิกุลเพราะเติบโตมาด้วยกัน มีหรือที่เขาจะไม่รู้ความคิดของคนตรงหน้า...ดวงตาคู่สวยที่มักมองมาที่เขาเสมอตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย...ใบหน้าหวานระเรื่อที่เอียงอายเมื่อได้พูดคุย...หรือแม้แต่สีหน้าดีใจเมื่อได้พบหน้ากันอีกครั้งหลังจากห่างกันไปถึงสองปี...เขารู้มาตลอดถึงสิ่งที่คนตัวเล็กพยายามเก็บซ่อนเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยถามเพราะตนก็คิดว่าเป็นเรื่องดีที่จะเก็บทุุกอย่างเอาไว้เช่นนี้


...หากแต่ตอนนี้เขากำลังถูกคาดคั้น...ด้วยแววตาจริงจัง...ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น...และด้วยท่าทีที่ผิดแปลกไปจากหญิงสาวคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก


"ฟังพี่นะแม่เดือน"น้ำเสียงเรียบจนน่าใจหายดังขึ้นทำลายความเงียบโดยรอบ...นัยน์ตาคมฉายแววลำบากใจไม่ต่างกัน

"เรื่องหลวงเจษฎ์หากหล่อนไม่เต็มใจก็เรียนคุณพระท่าน อย่างไรเสียท่านก็คงไม่ฝืนใจหากหล่อนไม่เห็นดีด้วย ส่วนเรื่องเมื่อครู่..."เขาเงียบลงเพียงอึดใจ เหลือบมองหญิงสาวที่ยืนกลั้นใจรอฟังคำตอบ



"พี่จะถือเสียว่าแม่เดือนไม่ได้พูดออกมาก็แล้วกัน"



ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างทันทีที่ได้ยิน...รับรู้ถึงลมหายใจของตัวเองที่ติดขัดราวกับกำลังจมดิ่งลงสู้พื้นน้ำเบื้องล่าง...ทั้งเย็นเยียบและเจ็บปวด...เธอไม่รู้เลยว่าใช้ความกล้ามากมายเพียงใดที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา...แต่สิ่งที่ได้รับ กลับเป็นการปฏิเสธที่แนบเนียนราวกับต้องการรักษาน้ำใจ...หลวงพิสิษฐที่เธอรู้จักนั้นอ่อนโยนและใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้างเสมอ...หากแต่ในเวลาเช่นนี้ ให้เธอได้ยินคำปฏิเสธตรงๆยังจะดีเสียกว่าคำพูดรักษาน้ำใจแต่กลับเชือดเฉือนความรู้สึก

"ที่พี่แก้วพูดเช่นนี้เพราะพี่แก้วมีใครในใจอยู่แล้วหรือเจ้าคะ"เสียงหวานสั่นเครือ รับรู้ได้ว่ามือของตัวเองสั่นจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่

"พี่ไม่ได้มีใคร"เขาไม่ได้โกหก...การที่เขาปฏิเสธไม่ใช่เพราะมีความรู้สึกให้กับคนอื่น แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นให้กับคนตัวเล็กตรงหน้าต่างหาก

"แล้วทำไม..."หยดน้ำตารื้นขึ้นบนดวงตาคู่สวย เรียวปากบางที่เอื้อนเอ่ยสั่นระริกเพราะความรู้สึกเย็นเยียบข้างใน

"แม่เดือน"หากแต่น้ำเสียงเรียบของอีกฝ่ายกลับทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง...หลวงพิสิษฐจดจ้องคนตรงหน้าไม่วางตาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย...เขาหนักใจที่ต้องเห็นอาการแบบนี้...เสียใจที่ไม่อาจตอบรับความรู้สึกจนชั่วขณะหนึ่งพาลคิดไปว่าเขากำลังเห็นแก่ตัวอยู่หรือไม่ที่เลือกความรู้สึกของตัวเองมากกว่าคนตรงหน้า...หากแต่ท้ายที่สุดก็คิดได้ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด เพราะอย่างไรเสียเขาก็ไม่อาจคิดกับคนตรงหน้าเป็นอื่นไปได้นอกจากน้องสาวจอมแก่นแก้วที่เขานึกเอ็นดูเมื่อครั้งยังเด็ก...หากเขาเลือกที่จะตอบรับ วันหนึ่งเธอก็ต้องเสียใจที่ต้องทนอยู่กับคนที่ไม่ได้มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน...เมื่อถึงวันนั้น เขาคงรู้สึกผิดจนไม่อาจให้อภัยตัวเองเลยก็เป็นได้

"วันหนึ่งหล่อนจะได้พบ คนที่เขารักหล่อนและหล่อนก็รักเขา พี่เชื่อเช่นนั้น"คำพูดที่ส่งผ่านราวกับคำอวยพรแต่กลับทำให้น้ำตาที่รื้นรอบดวงตาหวานฉ่ำไหลลงอาบแก้ม...หากถามถึงคนที่เธอรักนั้นเธอได้พบกับเขาเมื่อนานมาแล้ว แต่เป็นเธอเองต่างหากที่ไม่ใช่คนที่เขารัก...ถึงอย่างนั้นความรู้สึกที่มีให้คนตรงหน้าก็ไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

"เดือนได้พบคนที่เดือนรักแลรอเขามาจนถึงวันนี้ แล้วพี่แก้วเล่าเจ้าคะ เมื่อไหร่จะได้พบคนที่พี่แก้วรัก คนที่พี่แก้วรอ"เสียงหวานปนเสียงสะอื้นราวกับเด็กน้อยยิ่งทำให้หลวงพิสิษฐลังเล ใจหนึ่งเขาอยากยื่นมือออกไปซับน้ำตาที่ไหลอาบพวงแก้มเนียนระเรื่อเพื่อปลอบใจ...หากแต่อีกใจก็รู้ดีว่ามีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่เด็กหญิงตัวเล็กที่เคยขี่หลังเขาเมื่อตอนหกล้มได้แผลในตอนเด็กอีกแล้ว

"หากเบื้องบนกำหนดให้พี่ได้พบกับคนนั้น วันหนึ่งพี่ก็จะได้พบ แม่เดือนเองก็เช่นกัน"รอยยิ้มปรายประดับบนใบหน้าคมหยุดน้ำตาที่รื้นไหลของคนตรงหน้า...เธอเพียงยืนนิ่งมองชายหนุ่ม...เขา...ผู้ซึ่งหนักแน่นและซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเอง...ไม่ต่างอะไรจากเธอที่เลือกบอกความรู้สึกที่มีออกไปอย่างชัดเจน...แม้ความรู้สึกของคนสองคนจะสวนทางและไม่มีวันมาบรรจบ...แต่อย่างน้อยต่างฝ่ายก็ได้รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย...ไม่ใช่เธอที่เสียใจเพียงคนเดียว...เขาเองก็รู้สึกผิดไม่ต่างกัน เพราะสำหรับหลวงพิสิษฐแล้วนั้น ผู้หญิงตรงหน้าช่างเพียบพร้อม ทั้งหน้าตา กิริยามารยาท หากใครรู้เข้าคงหาว่าเขาโง่ยิ่งนักที่มองข้ามคนตัวเล็กตรงหน้านี้ไป...แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือก...



...เลือกที่จะทำตามหัวใจตัวเอง...





...งานแต่งงานของลูกสาวพระพินิจภักดีถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตสมเกียรติ ด้วยว่าที่ลูกเขยของคุณพระนั้นเป็นถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าพระยาเดโชศรีวิศาล ขุนนางใหญ่แห่งกรมวัง...แขกเหรื่อที่มาล้วนเป็นข้าราชการสังกัดกรมต่างๆและคุณหญิงคุณนายอีกหลายท่าน...เสียงจอแจของผู้คนอื้ออึงไปทั่วสร้างสีสันให้กับเรือนไม้ทรงไทยหลังใหญ่...หากแต่คนที่ดีใจที่สุดคงหนีไม่พ้นพระเอกของงาน...ใบหน้าคมยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดีคอยต้อนรับแขกเหรื่อที่แวะเวียนเข้ามาอวยพรไม่ขาด...ผิดกับลูกสาวของพระพินิจภักดีที่แม้ในวันนี้แต่งองค์ทรงเครื่องงามพร้อมจนใครต่อใครพากันออกปากชมไม่ขาดแต่แววตาของเธอกลับหม่นหมอง แม้รอยยิ้มบนใบหน้าจะพอกลบเกลื่อนความรู้สึกของตนได้บ้างแต่ก็ไม่อาจตบตาคนใกล้ชิดที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็กได้

"พี่เดือนดูเศร้าเสียจริงเจ้าค่ะ"ลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตราได้แต่ยืนมองเจ้าสาวคนสวยทักทายแขกเหรื่อ ขณะที่คนตัวสูงข้างๆยังคงยืนนิ่งหากแต่ดวงตาคมจดจ้องไปยังที่เดียวกัน

"ทำไมพี่เดือนถึงไม่ปฏิเสธเล่าเจ้าคะพี่แก้ว"แม้แต่แม่พิกุลเองก็ดูออกเช่นกันว่าการแต่งงานที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดจากความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย

"เธอว่าเป็นความต้องการของคุณพระท่าน"หากความจริงแล้วถ้าเธอตั้งใจจะปฏิเสธก็ย่อมทำได้ แต่เธอกลับเลือกทำตามที่ผู้เป็นพ่อเห็นสมควรและเขาเองก็รู้ดีว่าเธอตัดสินใจเช่นนี้เพราะอะไร

"แล้วจะมีความสุขหรือเจ้าคะ อยู่กับคนที่ไม่ได้รัก"ยังไม่ทันได้รับคำตอบก็ถูกเจ้าคุณผู้เป็นพ่อเรียกตัวไปทักทายแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเสียก่อน เหลือเพียงคนตัวสูงที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม...ดวงตาคมจดจ้องเจ้าสาวคนสวยจนเจ้าตัวหันมาเห็นจึงเดินเข้ามาหา...ยิ่งได้มองใกล้ๆก็ยิ่งได้เห็นว่าวันนี้คนตัวเล็กตรงหน้านั้นงามพร้อมเพียงใด

"นึกว่ากลับไปเสียแล้วเจ้าค่ะ"น้ำเสียงหวานไม่ต่างจากใบหน้าถามขึ้น

"รอเจ้าคุณไพศาลท่านคุยกับท่านเจ้าคุณเดโช ประเดี๋ยวก็คงกลับ"อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับ...หลังผ่านเหตุการณ์นั้นก็แทบไม่ได้พบหน้า เพราะทั้งเธอและเขาก็ต่างบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงที่จะไปเรือนเจ้าคุณจิตราด้วยกันทั้งคู่

"จริงซี พี่ยังไม่ได้อวยพรให้แม่เดือน"ดวงตาคู่สวยเงยสบกับดวงตาคมส่องประกายระยับ...ริมฝีปากหยักประดับรอยยิ้มบาง

"พี่ขอให้แม่เดือนพบแต่ความสุขในชีวิตคู่ หากมีปัญหาอะไรขอให้อดทน อย่างไรเสียหล่อนก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาแล้ว"คำว่า'ภรรยา'จากปากของหลวงพิสิษฐ์ทำเอาหัวใจของอีกฝ่ายกระตุกวูบ ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็ยังปั้นแต่งรอยยิ้มหวานส่งกลับไป...เพราะนี่เป็นทางที่เธอได้เลือกแล้ว...แม้ไม่ได้ทำตามหัวใจตัวเองอย่างที่หวังไว้ แต่อย่างน้อยก็ยังได้ทำตามความต้องการของผู้เป็นพ่อที่เลี้ยงเธอมาเพียงลำพัง...สิ่งที่เธอต้องทำหลังจากนี้ คือก้าวต่อไปข้างหน้า แม้ว่าในตอนนี้เธอยังไม่สามารถทิ้งความรู้สึกต่างๆเอาไว้เบื้องหลังได้ก็ตาม



...ภาพของหนุ่มสาวที่ยืนเคียงกันท่ามกลางแขกเหรื่อมากมายบนเรือนกลับตกเป็นเป้าสายตาของใครคนหนึ่ง...หลวงเจษฎารังสรรค์ยืนมองหญิงสาวผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นภรรยากำลังยืนคุยกับชายหนุ่มอีกคนที่เขาไม่นึกถูกชะตานัก เพราะยังติดใจเรื่องลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตรา แม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เขาเสียหน้าไม่น้อย...เขาเองก็พอได้ยินมาบ้างว่าสองคนนี้สนิทสนมกันตั้งแต่เด็กหากแต่สีหน้าและท่าทีของภรรยาคนสวยที่มีต่ออีกฝ่ายกลับทำให้เขานึกสงสัยในความสัมพันธ์



...แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รู้...ความรู้สึกของภรรยาของตนเองที่มีต่อชายหนุ่มอีกคน...เมื่อเขาบังเอิญไปพบเข้ากับช่อดอกแก้วที่ถูกคั่นไว้ในหนังสือเล่มโปรดของเธอ


...ดอกแก้วที่ผู้เป็นภรรยาเฝ้ามองทุกคืนโดยที่เธอไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกจดจ้องจากอีกฝ่ายมาโดยตลอด...


...ดอกแก้วที่ทำให้ความเกลียดชังก่อเกิดในใจ...


...ดอกแก้วที่เป็นตัวแทนของผู้ชายคนนั้น...



................................................................................




"แอบอู้งานมานั่งถ่ายมิวสิคอะไรตรงนี้ครับ"ภาษาที่แปลกหูดึงความคิดเรื่อยเปื่อยของเขาให้กลับมา...หันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆบนพื้นท่าน้ำเล็กข้างศาลาไม้แปดเหลี่ยมของเรือนไม้ทรงฝรั่งหลังใหญ่

"ว่าอะไรนะพ่อ"แม้พักหลังจะเริ่มชินกับคำพูดแปลกๆของอีกฝ่ายแต่ก็ยังมีบางคำที่ไม่เข้าใจเอาเสียเลย อย่างคำพูดเมื่อครู่เป็นต้น

"ก็...ที่มานั่งเหม่อแบบนี้ สมัยผมเค้าเรียกว่าถ่ายมิวสิคน่ะ"คนข้างๆพยายามอธิบายแต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของเขาเลยยกธงขาวยอมแพ้

"ช่างมันเถอะครับ"ได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงตก ใครว่าอุปสรรคทางภาษามีแต่เฉพาะกับภาษาต่างประเทศ แค่ภาษาไทยด้วยกันเองเมื่อผ่านกาลเวลาเป็นตัวแปรก็ทำให้คนไม่เข้าใจกันเสียแล้ว

"ว่าแต่ออกมานั่งทำอะไรครับ ปล่อยให้ผมนั่งทำงานอยู่ในห้องคนเดียวตั้งนาน"เพราะบอกว่าจะออกมาสูดอากาศข้างนอกแต่เห็นว่าหายไปนานเลยออกมาตาม

"คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ"ว่าพลางทอดสายตามองเจ้าพระยาสายใหญ่ที่ถูกฉาบด้วยแสงสีทองของพระอาทิตย์ยามเย็น

"ชอบออกมานั่งริมแม่น้ำจริงๆนะครับ"สำหรับเด็กหนุ่มพลัดถิ่่นอย่างชลนธีร์คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวพระนครจะผูกพันกับแม่น้ำเพราะชีวิตของชาวพระนครในสมัยนี้ต่างก็พึ่งพาแม่น้ำลำคลองกันแทบทุกคน...แต่สำหรับหลวงพิสิษฐแล้วนั้น คำถามของคนข้างๆกลับทำให้เขานึกถึงใครอีกคนที่เคยถามแบบนี้เช่นกัน...ดวงตาคมเบิกกว้างเพียงครู่ก่อนจะโปรยยิ้มบางให้กับผืนน้ำเบื้องหน้า

"เราชอบมองแม่น้ำ เพราะสายน้ำให้ความรู้สึกเย็นสบาย"คำตอบที่เหมือนกันกับตอนนั้นหากแต่เวลานี้ความหมายของเขากลับเปลี่ยนไป...เพราะสายน้ำที่อยู่ข้างเขาในเวลานี้ให้ความรู้สึกเย็นสบายมากกว่าแม่น้ำสายไหนที่เขาเคยได้เห็น...สายนทีเพียงหนึ่งเดียวที่ไหลวนกลับมาจากที่แสนไกลจนได้มาพบกันในที่สุด...แม้ว่าในวันหน้านทีสายนี้อาจต้องไหลคืนกลับไปยังที่ที่จากมา...นึกถึงคำพูดของตัวเองในวันนั้นที่พูดกับหญิงสาวที่ท่าน้ำหน้าเรือน



...หากเบื้องบนกำหนดให้ได้พบกัน วันหนึ่งก็จะได้พบ...



ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางเมื่อมองคนข้างๆ...กรอบหน้าด้านข้างต้องแสงอาทิตย์ยามเย็น ดวงตาคมสวยทอดยาวออกไปไกลพร้อมรอยยิ้มปรายประดับเพราะกำลังชื่นชมความงามของสองฝั่งเจ้าพระยา

"ได้พบแล้ว"เสียงทุ้มนุ่มดังแผ่วจนอีกฝ่ายหันกลับมามอง

"อะไรนะครับ"หากคำตอบที่ได้มีเพียงมือหนาที่เอื้อมมากุมมือของคนตัวเล็กกว่าเอาไว้

"พ่อธีร์ของพี่"แม้ไม่ค่อยเข้าใจอาการแปลกๆของคนตัวสูงนักแต่ก็เลือกที่จะไม่ถามอะไร เพียงปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนที่ มีเพียงเสียงลมโชยโบกคลอกับเสียงน้ำไหลเอื่อยของเจ้าพระยาสายใหญ่เบื้องหน้า...และสองมือที่เกาะกุมสอดประสาน...ดวงตาคู่สวยสบเข้ากับดวงตาคมของอีกฝ่าย...ราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้ และหากเป็นไปได้...


...เขาก็อยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้ตลอดไป...


.................................................................................................


ตอนของพี่แก้วบ้างนะคะ  :mew1:

ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่ติดตาม ตอนหน้ากลับเข้าเนื้อเรื่องหลักแล้วค่า
น้องธีร์กำลังจะกลับมาทวงตำแหน่งคืนหลังจากปล่อยให้พี่แก้วฉายเดี่ยวมาสองตอน (มีแอบมาแย่งซีนตอนจบด้วย)

ยังไงก็ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ  :call: :call: :call:

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
กรี๊ด แปะค่า เดี๋ยวมาอ่าน

*edit
อืมม สงสารแม่เดือนนะ เพราะคนที่แต่งงานไปด้วยนี่ไม่ใช่ว่าจะดีน่ะสิ
ชอบพี่แก้วตอบกลับตรงประเด็น ไม่มีอ้อมค้อม จะได้เรื่องจบๆไป
ตอนหน้าก็ลุ้นอีก...น้องธีร์ต้องกลับยุคปัจจุบันมั้ยอ่ะ
กลัวนะ ลุ้นๆกันต่อไป เฮ้อ
อ่านเรื่องนี้ไม่ว่าจะหวานแค่ไหน มันก็ปนขมอยู่ตลอด ก็รู้อยู่ลึกๆ
ว่าน้องธีร์มาจากโลกปัจจุบันน่ะสิ

รออ่านต่อนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-10-2014 18:14:02 โดย AeRoMoZa »

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
เวรกรรมของแม่เดือนจริงๆ  :เฮ้อ:



พี่แก้วก็หวานซะ... :impress2:



ออฟไลน์ 111223

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 909
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-5
สงสารแม่เดือน แต่ทำยังไงได้เนอะ ก็คนเขาไม่ได้รัก
เขารอรักพ่อธีร์ นายเอกของเราต่างหากกกก >w<

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
สงสารคุณเดือนนนนนแต่เลือกไม่ได้จริงๆ
คนเค้าไม่ได้รัก

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
พี่แก้วออกมาเคลียร์ตัวเอง คนอ่านหายสงสัยแล้ว คนเราถ้าไม่ได้รักทำยังไงก็ไม่รักเนอะ

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0

ตอนที่ ๒๘...เส้นขนานของกาลเวลา...




ห้องนอนสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดตาสว่างจ้าเพราะหลอดไฟนีออนทรงกลมบนเพดานสูง...สัมผัสนุ่มกับกลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆของผ้าปูที่นอนสีครีมลอยมาเตะจมูก...กลิ่นของน้ำยาซักผ้าที่คุ้นเคย...มือคว้าเอาผ้านวมผืนหนาเข้ามาซุกไว้แน่นเพราะไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศจนเหลือเพียงเปลือกตาที่ปิดสนิทโผล่พ้นผ้านวมผืนหนานั้น...สติที่เริ่มลางเลือนเพราะความง่วงพาให้ร่างกายเหนื่อยล้าจมดิ่งลงสู่ความมืด...หากเพียงชั่วอึดใจกลับต้องลืมตาโพลงเพียงเพราะรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไป


ผมรีบยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางหันไปมองรอบตัว...ห้องนอนของผม...ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่?!


สองขาก้าวลงบันไดด้วยความรีบร้อน...ทีละขั้น...ทีละขั้น...ขณะที่ความสับสนในใจเพิ่มมากขึ้นทุกที...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?!...ผมจำได้ว่าเมื่อคืนยังฟาดฝีปากกับไอ้ตัวดีตามปกติแถมยังบ่นอุบที่มันนอนดิ้นเบียดผมแทบตกเตียง...แล้วทำไมตอนนี้ผมถึงกลับมาอยู่ที่บ้านของอานิด...แล้วไอ้แชมป์ล่ะ...ไอ้แชมป์หายไปไหน?!


"ตื่นแล้วเหรอธีร์"คำทักทายที่ผมมักได้ยินเป็นปกติดังขึ้น...หากในเวลานี้กลับทำให้ผมสับสน...อานิดนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารโดยมีป้าเพ็ญกำลังยกถาดอาหารเช้าเข้ามาให้...ใบหน้าของแกเปื้อนยิ้มเมื่อหันมาทักทาย


...นี่มันเป็นปกติเกินไปแล้ว!...


"มาทานมื้อเช้ากับอาก่อนแล้วค่อยไปเรียนนะลูก"ผมค่อยๆสาวเท้าเข้าไปหาอานิดที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ออนไลน์จากไอแพดคู่ใจของแกระหว่างรอป้าเพ็ญตั้งโต๊ะ

"อานิด"เจ้าของชื่อเพียงละสายตาจากตัวหนังสือในไอแพดขึ้นมามอง แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร อีกเสียงก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

"ดูท่าวันนี้พายุจะเข้า ธีร์ตื่นแต่เช้าได้"ผมหันกลับไปมอง...อาต้นที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นบนในสภาพพร้อมไปทำงาน...น้ำเสียงกลั้วหัวเราะแซวขึ้นอย่างอารมณ์ดีเพียงแต่ผมขำไม่ออก ได้แต่ยืนมองอาต้นที่เดินผ่านหน้าไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว

"เป็นอะไรน่ะเราทำหน้าอย่างกับเห็นผี"ให้ผมเจอผีตอนนี้ยังดีกว่า เพราะเหตุการณ์ตรงหน้าตอนนี้มันยิ่งกว่าเหลือเชื่อ...ผมจำไม่ได้ว่ากลับมาที่นี่ได้อย่างไร...เพราะเท่าที่จำได้


...ผมยังไม่ได้ยินเสียงเรียกจากโต๊ะไม้สักตัวนั้น...


"อาต้นกลับจากเชียงใหม่เมื่อไหร่ครับ"อีกหนึ่งข้อสงสัยเพราะผมจำได้ว่าอาต้นแกย้ายไปประจำสาขาที่เชียงใหม่เห็นว่าต้องไปอยู่นานแต่ทำไมถึงได้กลับมาเร็วแบบนี้

"พูดอะไรของธีร์ อาต้นเค้ากลับมาตั้งสองเดือนแล้วนะ"

"สองเดือน?!"ใครก็ได้บอกผมทีนี่มันเรื่องบ้าอะไร...ผมกำลังฝันใช่ไหม...ใช่แล้ว ผมต้องฝันอยู่แน่ๆ...ผมคงคิดถึงอานิดกับอาต้นมากไปถึงได้เป็นแบบนี้...ตั้งสติ สูดหายใจลึกๆครับไอ้ธีร์

"ธีร์ เป็นอะไรน่ะ ตบหน้าตัวเองทำไม"น้ำเสียงตระหนกของอานิดดังขึ้นอีกครั้งจนผมต้องลืมตามอง...ผมยังยืนอยู่ที่เดิมท่ามกลางสีหน้าแปลกใจของบุคคลทั้งสามในบ้าน...รู้สึกชาขึ้นมาบนใบหน้าเพราะเมื่อครู่ออกแรงมากไปหน่อย...ใครเป็นคนบอกนะว่าทำแบบนี้แล้วจะตื่น...แม่ง เจ็บตัวฟรีไปสิครับ

"แชมป์ล่ะครับอา...แชมป์ไปไหน"หันซ้ายหันขวามองหาไอ้ตัวดี...ถ้าผมกลับมาที่นี่ได้ มันก็ต้องกลับมากับผมสิ

"แชมป์ไม่ได้มานี่นะธีร์ เดี๋ยวก็ไปเจอกันที่มหาลัยแล้ว ธีร์มีอะไรรึเปล่าลูก"ผมได้แต่ส่ายหน้าตอบแต่ความคิดมันกลับตีกันยุ่งเหยิงไปหมด...มหาวิทยาลัย...ผมต้องไปเรียน...แล้วที่ทำเรื่องดรอปไว้คราวก่อนล่ะ!?

"งั้น...ธีร์ไปอาบน้ำก่อนนะครับ"ทางเดียวที่จะรู้ความจริงได้คือต้องไปเจอไอ้แชมป์...ถึงมันออกจะดูเป็นตรรกะที่ไร้สาระไปหน่อยก็เถอะ...แต่ลำพังผมคนเดียวในสภาพนี้คงไม่เข้าใจอะไรไปอีกนาน


ชั่วขณะที่กำลังก้าวขาขึ้นบันได...เป็นจังหวะเดียวกับที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างอานิดและอาต้นพอดี...เสียงนั้นไม่ดังนักคงเพราะกลัวว่าผมจะได้ยิน...หากแต่ผมยังพอจับใจความได้

"ตั้งแต่กลับมาก็เป็นแบบนี้ตลอดเลย ไม่เป็นอะไรแน่เหรอคะคุณ"

"ให้เวลาแกหน่อยเถอะคุณ เรื่องมันเพิ่งผ่านมาไม่นาน ผมว่าแกก็ดีขึ้นมากแล้วนะตอนนี้"เท้าที่ก้าวออกชะงักกึก


...ตั้งแต่กลับมา...ให้เวลา...ดีขึ้นมาก...


คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจ...ผมกลับมาได้ยังไง...กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่...แล้วก่อนหน้านี้ผมเป็นอย่างไรบ้าง...แล้วทำไม...



...ทำไมผมถึงจำอะไรไม่ได้เลย...



ฝีเท้าที่ชะงักลงอีกครั้งเมื่อขึ้นมาถึงชั้นบน...ผมต้องรีบไปหาไอ้แชมป์แม้ผมไม่รู้ว่าจะได้คำตอบอะไรจากมันบ้างแต่มันก็เป็นคนเดียวที่ผมนึกออกในตอนนี้...หากแต่บางอย่างกลับวูบเข้ามาในความคิด รู้ตัวอีกทีผมก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องทำงานของอาต้น หัวใจเต้นระรัวราวกับจะกระโดดออกมาข้างนอก...มือที่เอื้อมออกไปเปิดประตูด้วยความลังเล...ชั่วขณะหนึ่งที่ความกลัวฉายแววเด่นชัดแต่ความอยากรู้อยากเห็นกลับมีมากกว่า


...ประตูห้องที่เปิดออก พร้อมกับสายตาที่สอดส่องเข้าไปข้างในเพียงเสี้ยวนาที...และเป็นอีกเสี้ยวนาทีที่ผมพาร่างตัวเองวิ่งกลับลงมาข้างล่างอีกครั้ง...

"โต๊ะในห้องทำงานอาต้นหายไปไหนครับ!"แผดเสียงดังลั่นปนกับเสียงหอบจนเจ้าของบ้านทั้งสองชะงักมือจากอาหารเช้าตรงหน้า...สีหน้าตกใจของอานิดฉายออกมาชัดเจนก่อนจะหันกลับไปมองอาต้นราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ

"โต๊ะอะไรเหรอธีร์"แม้พยายามปั้นแต่งสีหน้าให้เป็นปกติหากแต่ผมรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไปของอาทั้งสอง

"ก็โต๊ะไม้สักที่อาต้นเอามาจากบ้านลุงกิตติ"ภาพที่ผมเห็นในห้องนั้น...คือห้องทำงานโล่งๆที่มีเพียงโซฟาตัวยาวที่อาต้นมักใช้ต่างเตียงเวลาอยู่ทำงานจนดึกกับชั้นหนังสือเรียงรายติดผนัง...หากแต่โต๊ะไม้สักคุ้นตาที่เคยตั้งเด่นอยู่มุมห้องกลับหายไป

"ไม่มีนี่ ห้องอาไม่เคยมีโต๊ะแบบที่ธีร์ว่าหรอกนะ"คำโกหกคำโตถูกส่งผ่านพร้อมรอยยิ้มของอาต้นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด

"มีสิครับ มันเคยอยู่ในห้องทำงาน"ยืนยันเสียงแข็ง...ถึงตอนนี้ผมจำไม่ได้ว่ากลับมาที่นี่ได้ยังไง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดเสียหน่อย

"ไม่มีหรอกธีร์ อาว่าธีร์จำผิดแล้วล่ะ"เป็นอานิดที่ช่วยสำทับเข้าอีกแรง

"แต่ว่า..."

"นี่ก็สายมากแล้ว อาว่าธีร์รีบไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่านะลูก เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน"อานิดรีบขัดขึ้นก่อนที่ผมจะพูดอะไรต่อ แววตาจริงจังถูกซ่อนไว้ภายใต้รอยยิ้มปรายบนใบหน้า



...นี่มันแปลกจนเกินไป...



ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วขับรถไปมหาวิทยาลัยทันที...ไม่มีประโยชน์ที่จะคาดคั้นเอาคำตอบจากอาทั้งสองเพราะไม่ว่าจะพยายามถามเท่าไหร่คำตอบที่ได้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม...แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกได้...อาต้นกับอานิดกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง


"รีบมาทำไมแต่เช้าวะ ไหนบอกวันนี้เรียนบ่าย"เสียงทักทายเป็นปกติของเพื่อนสนิททั้งสองดังขึ้นเมื่อผมเดินเข้าโรงอาหารมา...คำถามที่ผมต้องขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง...เอาเข้าจริงผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทุกวันนี้ผมต้องเรียนอะไรบ้าง

"ไอ้โจ๊ก...ไอ้ต่อ"

"เรียกไมวะ กลัวลืมชื่อเหรอ"ไอ้โจ๊กเงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยวขึ้นมายักคิ้วกวนให้ ส่วนไอ้ต่อยังนั่งก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความในโปรแกรมแชทจากมือถือของมัน

"มึง...ไอ้แชมป์ล่ะ"สีหน้าของไอ้สองคนเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อถูกถามถึงบุคคลที่สาม...ไอ้ต่อละสายตาจากมือถือตรงหน้าขึ้นมามอง

"อยู่ที่เดิมมั้ง"

"ที่เดิม?...ที่ไหนวะ"

"ก็ที่เดิมไง"ผมชักหงุดหงิด ก็แล้วไอ้ที่เดิมที่มันว่ามันคือที่ไหนล่ะโว้ย



ผมเดินตามทางเท้าผ่านหน้าโรงอาหารคณะเภสัชมุ่งตรงไปยังตึกสถาปัตย์ที่อยู่ค่อนข้างไกลจากโรงอาหารกลางที่พวกไอ้ต่อนั่งอยู่...สุดท้ายมันก็ยอมบอกว่าไอ้แชมป์อยู่ที่ไหนเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของผม...แต่พอรู้ก็ยิ่งแปลกใจ...คนอย่างไอ้แชมป์น่ะเหรอจะมาหมกตัวอยู่ในที่แบบนั้น...สองขาเร่งก้าวผ่านตึกสถาปัตย์เลี้ยวไปด้านหลัง จำนวนนักศึกษาที่เดินผ่านเริ่มบางตาลงเพราะส่วนใหญ่มักชุมนุมกันอยู่หน้าตึกแทน...เดินต่อมาได้สักพักถึงได้เห็น สระบัวกว้างกินพื้นที่หลังตึกสถาปัตย์กับตึกศิลปกรรมที่อยู่ติดกัน...บริเวณโดยรอบร่มรื่นเพราะต้นราชพฤกษ์สูงใหญ่แผ่กิ่งก้านบังแสงแดด...ผมไม่ค่อยได้เดินมาแถวนี้บ่อยนักเพราะส่วนใหญ่มีแต่เด็กศิลปกรรมและเด็กสถาปัตย์ที่มาหามุมสงบวาดงานส่งอาจารย์...ถึงอย่างนั้นตอนนี้ผมก็เห็นเพียงกลุ่มนักศึกษาไม่กี่คนจับจองพื้นที่...พยายามสอดส่ายสายตามองหาไอ้ตัวดีจนเห็นหัวเกรียนๆของมันโผล่พ้นต้นราชพฤกษ์ต้นใหญ่...ผมค่อยๆสาวเท้าเข้าไปทางด้านหลัง แอบเห็นมันกำลังวาดรูปยุกยิกไม่จริงจังมากนัก คงไม่ใช่งานที่ต้องใช้ส่งอาจารย์

"แชมป์"เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงก่อนจะหันกลับมามอง

"เชี่ยยย มาเงียบๆตกใจหมด"แชมป์เป็นอีกคนที่ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจที่ได้เห็นผม และนั่นยิ่งทำให้ผมสงสัย

"ทำอะไรของมึง"ถามขึ้นเมื่อเห็นมันพยายามซุกกระดาษวาดรูปไว้ด้านหลัง...ท่าทางมันหลุกหลิกชอบกล

"ป่าวววว แล้วมึงอ่ะมาทำอะไรแถวนี้"ผมไม่ตอบอะไรเพียงแค่ทิ้งตัวลงนั่งข้างมันแทน

"มึง...กูกำลังฝันอยู่ใช่มั้ยวะ"คำถามที่ทำเอามันขมวดคิ้วมุ่น

"ที่กูกลับมาที่นี่ แล้วมึงอยู่ตรงนี้ ไอ้โจ๊ก ไอ้ต่อ คนที่บ้านกู...มันคือความฝันใช่มั้ย"คนข้างๆยังคงเงียบ...สีหน้ามันหม่นลงเล็กน้อย

"ใช่มั้ยแชมป์"ขึ้นเสียงดังเมื่อไม่ได้รับคำตอบ

"มึงไม่ได้ฝัน"เพียงคำพูดสั้นๆที่ทำให้ผมเงียบกริบ...น้ำเสียงของมันช่างเรียบเฉยผิดกับไอ้ตัวดีที่ผมรู้จัก

"แล้วกูกลับมาได้ไง กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมกูจำอะไรไม่ได้เลย"

"เรื่องบางเรื่่องมึงไม่ต้องไปจำมันหรอกธีร์ รู้แค่ว่าตอนนี้มึงอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว"ผมยกมือคว้าหมับเข้าที่ไหล่มันทั้งสองข้าง...แม้แต่มันเองก็แปลกไปจนน่าใจหาย...ไอ้คนที่มันเคยดื้อแพ่งบอกผมว่าจะไม่ยอมกลับมา แต่ตอนนี้กลับมีท่าทีสงบนิ่งราวกับเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น

"มึงเป็นอะไรไป ไหนมึงบอกว่ามึงจะอยู่กับคุณพิกุลไง"ชื่อของบุคคลที่สามคงไปสะกิดใจมันเข้ามันถึงได้ปัดมือของผมออกแล้วนั่งเอนหลังพิงโคนต้นราชพฤกษ์ต้นใหญ่แทน

"แล้วมึงรู้มั้ยว่าอาต้นเอาโต๊ะไปไว้ที่ไหน เมื่อเช้ากูเข้าไปดูในห้องแต่มันไม่อยู่แล้ว"คำตอบที่ได้รับมีเพียงเสียงถอนหายใจยาวกับเปลือกตาที่ปิดลงช้าๆของมัน

"เชี่ยแชมป์! กูถามว่ามึงรู้มั้ยว่าโต๊ะอยู่ที่ไหน"เพราะอารมณ์ที่ปะทุถึงขีดสุดถึงได้ตะโกนออกไปเสียงดัง...ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน...ร้อนรน...เดือดพล่าน ถึงกับพาลใส่คนอื่น

"โต๊ะนั่น...ไม่อยู่แล้ว"คำตอบเพียงสั้นๆแต่กลับเหมือนถูกใครเอาค้อนปอนด์มาฟาดใส่...ตอนนี้หัวของผมหนักอึ้งไปหมด...ความสับสนและไม่เข้าใจที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครให้คำตอบกับผมได้

"มึงหมายความว่าไง"ชั่วขณะหนึ่งที่แชมป์ลืมตา...ผมเห็นแววตาโศกของมันชัดเจน

"กูหมายความว่า...โต๊ะนั่นไม่อยู่แล้วและเราจะไม่ได้กลับไปที่นั่นอีก"คำพูดเน้นย้ำ ช้าและชัดเจนฝังลึกลงไปข้างใน...ทั้งตัวชาไปหมดจนแทบไร้ความรู้สึก

"มึงว่าอะไรนะ"แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมายังสั่นจนน่าใจหาย

"ธีร์...ฟังกูนะ สิ่งที่มึงควรทำตอนนี้ คือลืมมันไปซะแล้วกลับมาใช้ชีวิตแบบที่มึงเคยเป็น...มึงเข้าใจกูใช่มั้ย"จะให้ผมเข้าใจอะไร...ในเมื่อสิ่งที่มันพูดมาไม่มีเหตุผลเลยสักนิด...อยู่ดีๆผมก็กลับมาอยู่ในโลกปัจจุบันโดยที่ผมหาสาเหตุไม่ได้และไม่มีใครอยากพูดถึงมัน...ทุกคนทำตัวเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่ไอ้คนตรงหน้า...ท่าทีของมันเวลาพูดถึงเรื่องนั้นเฉยเมยราวกับไม่ใช่เรื่องของมันเอง...ทั้งๆที่มันก็เป็นคนหนึ่งที่ควรเสียใจไม่น้อยไปกว่าผม

"ใช้ชีวิตแบบที่เคยเป็น"ผมทวนคำที่มันเพิ่งพูดออกมาซ้ำอีกครั้ง...แบบที่เคยเป็นเหรอ...แบบไหนล่ะ?...ผมเคยมีชีวิตแบบไหนมาก่อน แม้แต่ตอนนี้ตัวผมเองยังจำแทบไม่ได้

"ธีร์"ได้ยินเสียงมันเรียกชื่อกับสายตาที่ช้อนมองเมื่อผมยันตัวลุกขึ้นยืน...ร่างกายชาไปหมดจนแทบไม่รู้สึกถึงมือของมันที่ฉวยข้อมือของผมเอาไว้...ผมเหลือบมองคนที่ยังนั่งอยู่บนพื้น มืออีกข้างของมันถือกระดาษวาดรูปที่ลงเส้นดินสอไว้เพียงหยาบๆแต่ก็พอดูออกว่าเป็นภาพใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวผมยาวประบ่าที่มีดวงตาหวานฉ่ำ...ใบหน้าที่ผมเองก็คุ้นเคย

"มึงบอกให้กูลืม แล้วมึงล่ะลืมได้มั้ย"เจ้าตัวก้มลงไปมองภาพวาดในมือของตัวเอง เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมสะบัดมืออีกข้างของมันออก

"มึงจะไปไหน"เสียงตะโกนตามหลังขณะที่ผมก้าวเท้าห่างออกไปทุกที...ในหัวของผมขาวโพลน...มันว่างเปล่าจนน่าใจหาย...ทั้งความคิดของผม...และโลกที่ผมกำลังใช้ชีวิตอยู่ในตอนนี้





"อ้าวธีร์ ลืมของเหรอลูก"

"อานิด โต๊ะตัวนั้นอยู่ที่ไหนครับ"ผมยิงคำถามใส่คนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นทันทีที่กลับมาถึง ไม่แม้แต่จะตอบคำถามที่เจ้าตัวถามขึ้น...อานิดนิ่งไปทันทีก่อนจะปิดนิตยสารที่กำลังอ่านอยู่ลง

"ธีร์พูดเรื่องอะไร อาไม่เข้าใจ"

"อานิดอย่าโกหกธีร์เลยครับ อาเอาโต๊ะตัวนั้นไปไว้ที่ไหน"เพราะร้อนรนจนอยู่เฉยไม่ได้...ความกลัวที่แทรกลึกอยู่ข้างในยิ่งทำให้สติที่ควรมีขาดหาย...กลัว...ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง...ทั้งที่อีกใจหนึ่งก็รู้ดีว่ารอบตัวของผมในตอนนี้มันเหมือนจริงยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

"ธีร์ อา..."

"อานิดครับ ธีร์ขอร้อง บอกธีร์ได้มั้ยว่าโต๊ะตัวนั้นอยู่ที่ไหน"คว้าเอามือเล็กๆของอาขึ้นมาจับเอาไว้แน่น...รับรู้ได้ว่ามือของเธอสั่น

"จะหาโต๊ะตัวนั้นไปทำไม"แว่วเสียงถอนหายใจเบาจากอีกฝ่าย หากแต่สายตาที่ส่งมานั้นกลับสงบนิ่ง

"ธีร์..."ผมให้คำตอบไม่ได้ เพราะรู้ดีว่ามันเป็นสิ่งที่อาไม่อยากได้ยินที่สุด

"จะกลับไปอีกใช่มั้ย"กลายเป็นน้ำเสียงเรียบของเธอที่ทำให้ผมเบิกตากว้างแทน

"อานิดรู้"

"ทำไมอาจะไม่รู้ ธีร์ต่างหากที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าคนทางนี้เป็นห่วงธีร์มากแค่ไหน"

"ธีร์รู้แต่ธีร์..."ได้แต่หลุบตาลงต่ำเมื่อสบกับดวงตาแข็งกร้าวของอีกฝ่าย

"แต่ธีร์เลือกคนทางนั้นมากกว่า"ผมได้แต่ขมวดคิ้วแน่น...อานิดรู้ทุกอย่าง...ทุกอย่างที่ผมไม่เคยเล่า

"ทำไมล่ะธีร์ ที่นี่คือโลกของธีร์นะ ที่ของธีร์คือที่นี่ ธีร์จะไปไหนอีก"เสียงหวานตวัดห้วนด้วยอารมณ์ที่พุ่งสูงไม่ต่างกัน หากแต่คำถามนั้นยิ่งทำให้ผมลังเล...ที่ของผม...โลกของผม...ที่ที่ผมควรอยู่...ที่นี่...กรุงเทพมหานครในปีพ.ศ.๒๕๕๗...แต่ทำไมผมกลับไม่รู้สึกแบบนั้น

"ถ้าธีร์อยากรู้ว่าโต๊ะตัวนั้นอยู่ที่ไหน อาก็จะบอก"หันกลับไปสบดวงตาแข็งกร้าวทันทีที่ได้ยิน...อานิดกำลังไม่พอใจ...แต่เหนือสิ่งอื่นใด...ผมยังอยากรู้




"อาเผามันทิ้งไปแล้ว"




เพียงคำตอบเดียวที่ทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง...ไม่มีแม้เสียงทักท้วงหรือคำถามใดหลุดออกจากปาก...เนื้อตัวของผมเริ่มชา...ในหัวขาวโพลนว่างเปล่า...ผมเพียงปล่อยมือจากอานิดหากสายตายังคงจดจ้อง...ความรู้สึกเดิมที่เลือนหายไปนานกลับมาอีกครั้ง



...ความรู้สึกของการสูญเสีย...



"อานิดล้อธีร์เล่นใช่มั้ยครับ"เจ้าของชื่อได้แต่ส่ายหน้า...แววตาของเธอจริงจังเกินกว่าที่ผมจะคิดเข้าข้างตัวเองได้ว่ามันเป็นเพียงคำโกหก


"ธีร์จะไปไหนน่ะ!"เสียงตวาดห้วนดังไล่หลังกลับไม่สามารถหยุดสองเท้าที่กำลังก้าวออกไปได้...ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังไปที่ไหน รู้เพียงอย่างเดียวคือผมไม่อยากอยู่ที่นี่...ผมไม่ได้โกรธอานิด เพราะผมเข้าใจดีว่าอานิดรู้สึกอย่างไร...หลายครั้งที่อานิดต้องร้องไห้เพราะเป็นห่วงผม ตั้งแต่ตอนที่เสียพ่อกับแม่...ตอนที่ผมหายตัวไปเป็นเดือนๆโดยไม่บอกกล่าว...หรือแม้แต่ในฝัน อานิดก็ยังร้องไห้เพราะผมอยู่เสมอ...ผมรู้ว่าที่อานิดทำไปเพราะความเป็นห่วง...เพราะความรักที่มีให้ผมเหมือนลูกชายแท้ๆ...เพียงแต่ผมไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกเสียใจนี้ได้




ผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง...บ้านของผม...บ้านที่เคยมีแต่เสียงหัวเราะของเด็กชายตัวเล็กที่วิ่งวนไปรอบบ้านอย่างอารมณ์ดีในวันที่พ่อของเขาได้หยุดอยู่บ้านหลังจากทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาให้...เสียงบ่นแกมดุของแม่เพราะกลัวว่าจะหกล้มจนเจ็บตัว...เสียงของคนในบ้านที่หัวเราะให้กับความซุกซนอารมณ์ดีของเด็กชายตัวน้อย...หากแต่ตอนนี้ตรงหน้ากลับมีเพียงตัวบ้านที่ว่างเปล่า...ผมไม่ได้กลับมาที่บ้านหลังนี้อีกเลยนับตั้งแต่ย้ายไปอยู่กับอานิดเพราะแกพยายามบ่ายเบี่ยงเสมอ...มีเพียงบางครั้งที่ผมมาหยุดยืนอยู่หน้ารั้วบ้าน...ยืนมองตัวบ้านหลังใหญ่โดดเด่นหากแต่เงียบเหงาจนน่าใจหาย...ทุกครั้งที่ได้มองบ้านหลังนี้ มันทำให้ผมพาลนึกไปถึงความสุขที่เคยได้อยู่กันพร้อมหน้า ความสุขเพียงชั่วครู่ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นเพียง...สิ่งที่เคยมีอยู่...บ้านหลังนี้ทำให้ผมเข้าใจคำว่าสูญเสีย...บ้าน...ที่กักเก็บทั้งเสียงหัวเราะ...และน้ำตาของผมเอาไว้มากมาย


...และในตอนนี้ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างอะไรจากวันนั้น...วันที่ผมรับรู้ว่าคนสำคัญในชีวิตได้จากไปตลอดกาล...


รูปถ่ายของพ่อและแม่ยังคงวางอยู่บนหลังตู้โชว์ในห้องนั่งเล่น...ใบหน้าของพ่อดูเคร่งขรึมทว่าดวงตาของท่านกลับอ่อนโยน ผิดกับแม่ที่ยิ้มหวานละมุนอยู่เคียงข้าง...ผมส่งยิ้มบางให้กับคนในรูปก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ...รูปที่ถูกถ่ายก่อนเกิดเหตุการณ์นั้นเพียงไม่กี่วัน...

"ธีร์คิดถึงพ่อกับแม่"คำพูดราวกับเด็กน้อยเวลาต้องการอ้อนขออะไรสักอย่าง

"ทำไมทุกคนทิ้งธีร์ไปหมดเลยครับ"ภาพของพ่อและแม่ในความคิดของผมยังเด่นชัดแม้เวลาผ่านไปถึงหกปีแล้วก็ตาม

"ทั้งพ่อ...แม่...แล้วก็..."ชั่วขณะหนึ่งของความคิด...ภาพของใครอีกคนกลับลอยซ้อนเข้ามาแทนที่...ริมฝีปากหยักได้รูปคลี่ยิ้มบางอย่างอารมณ์ดียามหยอกล้อ...ดวงตาคมภายใต้แพขนตาหนาส่องประกายระยับสะกดให้ยิ่งจ้องมอง...ท่อนแขนแกร่งที่คอยดึงรั้งเอาไว้ไม่ยอมห่าง...และคำพูดหวานซึ้งชวนเลี่ยนแต่ฟังเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ...ภาพของคนตรงหน้าชัดเจนราวกับอยู่เพียงแค่เอื้อมหากแต่คำพูดของอานิดเมื่อครู่กลับมาตอกย้ำความจริงอีกครั้ง...



...ผมจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว...



ความสูญเสียที่กลับมาอีกครั้งรุนแรงไม่ต่างจากครั้งแรก...แม้ไม่ใช่คนในครอบครัว...แต่ก็ถือเป็นคนสำคัญ...คนที่ทำให้ตัวตนที่พร่าเลือนของผมเมื่อผ่านความสูญเสียใครครั้งแรกกลับมาชัดเจนอีกครั้ง...คนที่อยู่ในสถานที่ที่ผมไม่ควรอยู่หากแต่กลับรู้สึกว่ามันเป็นบ้านอีกหลัง...คนที่ทำให้ผมค้นพบ...ที่ของผม...


ผมค่อยๆทรุดตัวลงนั่งพิงตู้โชว์ในห้องนั่งเล่น...มือยังคงกอดรูปถ่ายของพ่อกับแม่เอาไว้แน่นแต่ความคิดกลับล่องลอยไปถึงใครอีกคน...ยังไม่ทันได้บอกลา...เจอหน้ากันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ผมเองก็จำไม่ได้...เขาจะรู้ไหมว่าผมหายไปไหน...แล้วเขาจะรู้ไหม...ว่าผมจะไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกแล้ว...



...ไม่ได้กลับไปอีก...ไม่ต่างอะไรกับตายจากกัน...



...แบบนี้ให้ตายจากกันยังดีเสียกว่า...
.

.


ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
.

.

.

"...ธีร์"


"...ธีร์"


"พ่อธีร์"


ลืมตาโพลงเพราะเสียงเรียก...ภาพแรกที่เห็นคือดวงตาคมส่องประกายระยับห่างแค่เอื้อม ยิ่งทำให้ตกใจรีบผลุดลุกขึ้นนั่งจนอีกฝ่ายผงะถอย...หัวใจเต้นระรัวเมื่อมองสำรวจไปรอบๆ



...ห้องทำงานที่เรือนเจ้าคุณไพศาล...



"หลับไปเสียนาน เหนื่อยหรือพ่อ ขึ้นไปนอนบน..."คำพูดขาดหายเพราะตัวผมที่โถมเข้าไปกอดเอาไว้แน่น...อีกฝ่ายชะงักไปก่อนจะทาบมือหนาลงบนหลังเพียงแผ่วเบา

"เป็นอะไรรึ"ส่ายหน้าตอบแต่น้ำตากลับไหลออกมาเอาดื้อๆ

"พ่อธีร์"เรียกซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่ายังเงียบอยู่

"คิดถึง"แว่วเสียงหัวเราะเบาจากอีกฝ่าย

"หลับไปเพียงชั่วยามเดียวก็คิดถึงกันเสียแล้วรึ"พยักหน้ารับแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือเพราะความอบอุ่นตรงหน้าคอยเตือนสติให้รับรู้การมีอยู่...นี่ต่างหากคือความจริง

"แล้วกัน คิดถึงเสียจนร้องไห้เชียวหรือพ่อ"เพราะน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ยอมหยุดจนเสื้อของอีกฝ่ายเปียกชุ่มถึงได้รู้ตัว...มือหนายกขึ้นปาดหยดน้ำตาข้างแก้ม...ตั้งแต่ได้พบคนๆนี้ ไม่รู้ว่าร้องไห้ไปกี่ครั้งกัน ทั้งที่หลังจากเรื่องพ่อและแม่ก็ไม่เคยร้องไห้ออกมาอีกเลยแท้ๆ

"ฝันร้ายน่ะครับ"แถมยังเป็นฝันที่เหมือนจริงจนน่าใจหายทั้งที่พยายามปลุกตัวเองกี่ครั้งก็ยังไม่ยอมตื่นจนเกือบจมดิ่งลึกลงไปกับความฝันนั้น...ถ้าเขาไม่เรียกเอาไว้เสียก่อน

"เล่าให้เราฟังได้หรือไม่"ยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเองบ้างเมื่อเริ่มรู้สึกว่าสภาพตัวเองตอนนี้คงย่ำแย่เต็มที

"ฝันถึงบ้าน"อีกฝ่ายเพียงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้...ดวงตาคมยังคงจดจ้องรอฟังเรื่องราว

"ฝันว่ากลับไปที่บ้าน...บ้านที่ไม่ได้กลับไปนานแล้ว"คำพูดวกวนจนแม้แต่ตัวเองยังต้องขมวดคิ้วแน่น แม้ความฝันนั้นติดตาแต่การเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

"กรุงเทพน่ะหรือพ่อ"ส่ายหน้าตอบอีกครั้งก่อนจะเล่าต่อ

"บ้านที่เคยอยู่กับพ่อและแม่ก่อนที่ท่านจะเสีย"เพียงได้ยินประโยคนั้น มือหนาก็เอื้อมมากุมมือของผมเอาไว้...เพราะเข้าใจความรู้สึก...เพราะเคยเกิดขึ้นกับตัวเองเช่นกัน...ความรู้สึกของการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก แต่ในกรณีของผมอยู่ในช่วงเวลาที่สามารถจดจำความเจ็บปวดทุกอย่างได้แม่นยำ

"ฝันเห็นอาที่ดูแลผมแทนพ่อกับแม่...เห็นเพื่อนสนิท...แล้วก็...ฝันถึงคุณหลวง"นัยน์ตาคมฉายแววประหลาดใจ

"ฝันถึงเราว่าอย่างไรเล่า"

"ฝันว่า...จะไม่ได้เจอคุณหลวงอีกแล้ว"ราวกับภาพความฝันเมื่อครู่ฉายวนซ้ำอีกครั้ง...มองภาพตัวเองนั่งกอดเข่าอยู่ในบ้านเพียงลำพัง...มือที่ถือรูปถ่ายของพ่อกับแม่แต่ความคิดกลับสะท้อนภาพของคนตรงหน้า...ตัวตนที่ชัดเจนหากแต่เอื้อมเท่าไหร่ก็ไม่ถึงเพราะความฝันที่เหมือนจริงจนน่าใจหาย


มือหนาของอีกฝ่ายบีบแน่นราวกับเตือนสติให้รับรู้...ความคิดที่จดจ่ออยู่กับภาพเมื่อครู่ถูกดึงกลับมาสู่ปัจจุบันทันที

"ฝันร้ายเท่านั้น ลืมมันเสียเถิด"เสียงทุุ้มนุ่มเอ่ยเบาราวกำลังปลอบใจ แม้ใบหน้าคมยังประดับรอยยิ้มเช่นที่เคยเป็นหากเพียงดวงตาคู่สวยนั้นที่ฉายแววหม่น...เพราะเขาเองก็รู้ดีไม่ต่างกัน



...เงื่อนไขของผม...


...เงื่อนไขของเวลา...



การใช้ชีวิตอยู่ที่พระนครเป็นเวลานานขนาดนี้ทำให้ผมหลงลืม...เศษเสี้ยวบางส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ ณ เวลาปัจจุบัน...กรุงเทพมหานครในปีพ.ศ.๒๕๕๗...ณ ที่นั้น ตัวตนของผมยังคงอยู่...ครอบครัว...เพื่อน...คนรู้จัก...ทุกอย่างยังคงดำเนินไปเช่นเดียวกับเวลาในพระนคร...หากเพียง ณ ที่นั้น ในตอนนี้...เหลือเพียงชื่อ กับความเป็นกังวลถึง'ชลนธีร์'ที่ไม่มีใครรู้ว่าหายไปอยู่ที่ไหน...อยู่สุขสบายดีหรือไปตกระกำลำบากอย่างไร...การรับรู้ของคนทางนั้นถูกปิดตาย...เช่นเดียวกับคนฝั่งนี้...มีบ้างที่ผมหวนนึกถึงที่ที่จากมา...เป็นห่วงคนที่อยู่เบื้องหลัง...หากแต่ความสุข ความสบายใจเมื่อได้อยู่ที่นี่ทำให้ผมลืมตัว...ลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม...ลืมไปว่า...วันหนึ่ง...ผมอาจจะต้องกลับไป...




"แปลกจริง ไม่เคยเห็นเอ็งเข้าห้องพระ"เสียงนุ่มละมุนของคุณหญิงเจ้าของเรือนดังขึ้นเรียกสติที่จดจ่อต่อองค์พระพุทธเบื้องหน้าให้หันกลับไปมอง...คุณหญิงสร้อยเพิ่งก้าวพ้นธรณีประตูห้องพระเข้ามาก่อนจะนั่งลงพับเพียบกราบองค์พระอย่างนอบน้อม

"ไม่บอกเสียล่วงหน้าจะได้ร้อยมาลัยไว้ให้ เอ็งจะได้เอามาถวายพระท่าน"

"ไม่เป็นไรครับ ผมแค่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย"จำไม่ได้แล้วว่านั่งอยู่ในห้องพระบนเรือนท่านนานเท่าไหร่ รู้เพียงสายตาที่จดจ้ององค์พระเบื้องหน้ากับเปลวเทียนที่ถูกจุดไว้... เปลวเทียนที่วูบไหวไปมาเหมือนใจที่ไม่สงบนิ่ง

"มีเรื่องให้กังวลใจรึ"ผู้อาวุโสกว่ามีหรือจะไม่รู้...การที่ผมผู้ไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาในห้องพระนี้แม้แต่ครั้งเดียวกลับมานั่งอยู่ที่นี่ย่อมสร้างความแปลกใจให้ท่านไม่น้อย

"สวดมนต์เสียหน่อย ช่วยให้สบายใจขึ้น"เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบอะไรถึงได้ยื่นหนังสือสวดมนต์เล่มบางมาให้...หนังสือที่เป็นเพียงแผ่นกระดาษร้อยด้วยเชือกเข้าเป็นเล่มถูกเขียนด้วยลายมือวิจิตรบรรจง

"คุณหญิง...เคยต้องอยู่ห่างบ้านนานๆมั้ยครับ"คำถามที่ทำเอาคนกำลังพนมมือตั้งจิตลดมือลงแล้วหันกลับมามอง...ดวงหน้าละไมแม้มีร่องรอยบอกอายุยิ้มอ่อนโยน

"เคยซี...ถึงที่นี่จะเป็นบ้าน แต่ก็ไม่ใช่บ้านเกิด"เกือบลืมคิดไปว่าคุณหญิงเองก็ต้องมีครอบครัวอีกฝั่งเช่นเดียวกัน

"ได้กลับไปเยี่ยมคนที่บ้านบ้างมั้ยครับ"หากแต่คำตอบที่ได้รับเป็นเพียงการส่ายหน้าช้าๆของอีกฝ่าย

"ไม่ได้กลับเสียนานแล้ว เป็นหญิงหากออกเรือนมาก็ต้องอยู่กับสามี มีหน้าที่ดูแลเรือนแลบ่าวไพร่ให้สามี มีบ้างที่ญาติทางโน้นจะมาหาแต่ก็นับครั้งได้...เอ็งคิดถึงบ้านรึ"ท้ายประโยคลงด้วยคำถามที่ทำให้หัวใจของผมกระตุกวูบ เพียงแค่พยักหน้ารับตอบกลับ

"เอ็งกับอ้ายแช่มมาอยู่ที่นี่เสียนาน จะลากลับไปเยี่ยมบ้านบ้าง ข้ากับเจ้าคุณท่านก็ไม่ว่ากระไรหรอก"หากคุณหญิงยังไม่รู้ว่าการกลับไปในความหมายของท่านกับผมมันต่างกัน

"ผม...ไม่รู้ว่าตัวเองอยากกลับไปรึเปล่า"เพราะการเดินทางข้ามเวลาในแต่ละครั้งยิ่งทำให้ผมกลัว...กลัวว่าจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก...กลัวว่าวันหนึ่งเมื่อตื่นขึ้นมาเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงความฝัน...กลัว...ว่าความฝันนั้นจะเป็นจริง

"ดูท่าจะมีปัญหากับทางบ้านล่ะซี"คนไม่รู้ย่อมมองตามสิ่งที่ควรจะเป็น...รอยยิ้มละไมของผู้อาวุโสให้ความรู้สึกสบายใจ...ชั่วขณะหนึ่งที่ผมรู้สึกเหมือนว่าผมกำลังนั่งคุยกับแม่...แม่ที่มักจะยิ้มอย่างอ่อนโยนและคอยฟังผมเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้เสมอ

"ขึ้นชื่อว่าครอบครัวอย่างไรเสียก็ยังเป็นครอบครัว เป็นสายเลือด ต่อให้มีปัญหาอยากตัดขาดกันเพียงใดแต่สายเลือดอย่างไรเสียก็ตัดไม่ขาด"ผมอยากบอกคุณหญิงสร้อยเหลือเกินว่าแม้แต่คุณหญิงสร้อยเองก็เป็นสายเลือดเช่นเดียวกัน...สายใยถักทอเชื่อมโยงระหว่างผมไม่ได้ผูกยึดเพียงคนทางโน้นหากแต่คนทางนี้เองก็ผูกพันไม่น้อยไปกว่ากัน...สายใยเส้นบางหากเหนียวแน่นยากจะใช้อะไรมาตัดให้ขาด...และไม่ใช่แค่ผม...แชมป์เองก็เช่นเดียวกัน...แม้ไม่ได้ผูกพันกันด้วยสายเลือดแต่สายใยเกี่ยวโยงบางเบาระหว่างมันกับลูกสาวคนเล็กของคุณหญิงสร้อยเองก็พันผูกแน่นหนาไม่น้อยไปกว่ากัน...ผมเพียงพนมมือก้มลงกราบแทบตักคุณหญิงผู้ได้ชื่อว่าเป็นครอบครัว...เป็นผู้มีพระคุณ...เป็นผู้ให้ทั้งที่ไม่รู้แม้แต่หัวนอนปลายเท้าของผม...นั่นเป็นการแสดงความเคารพ...แสดงความขอบคุณ...และแสดงความรักเพียงอย่างเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้

"เอ็งนี่ประหลาดนักเชียว"แม้จะบ่นแบบนั้นแต่มือที่ลูบผมอย่างอ่อนโยนกลับแตกต่าง

"สอนผมสวดมนต์หน่อยนะครับ ผมไม่ค่อยได้สวด"ผู้อาวุโสกว่าเพียงพยักหน้ารับก่อนที่ผมจะหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มบางขึ้นมาเปิดดู



...บทสวดเนิบนาบหากแต่ไพเราะน่าฟังของคุณหญิงสร้อยช่วยให้จิตใจของผมสงบลงได้บ้าง...ความคิดฟุ้งซ่านวนเวียนถึงโลกทั้งสองถูกดึงกลับมาจดจ่ออยู่ที่องค์พระพุทธและเปลวเทียนวูบไหวตรงหน้า...จิตที่มั่นคงระลึกถึงคนทางโน้นพร้อมภาวนา...'ขออย่าได้เป็นกังวล'...คงเป็นสิ่งเดียวที่ผมอธิษฐานได้ในตอนนี้...หากแต่ชั่วขณะหนึ่งกลับระลึกถึงความฝันที่เพิ่งผ่านมา...ความฝันที่เหมือนจริงจนน่าใจหาย...ฝัน...ที่ผมภาวนาขอให้มันไม่เกิดขึ้น...


...ไม่ได้กลับมาอีก...ไม่ต่างอะไรกับตายจากกัน...


...ไม่ว่าอย่างไหน...ก็เจ็บปวดทั้งนั้น...

...


ใกล้จบแล้วค่ะ ใจหายนิดๆเพราะตอนแรกไม่คิดว่าจะแต่งได้ยาวขนาดนี้
เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวเรื่องแรกที่ได้แต่งเลย แต่พอแต่งแล้วก็ได้รู้ตัวเองว่ายังมีข้อผิดพลาดและต้องแก้ไขอีกมาก

ยังไงก็ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้น้องธีร์ พี่แก้ว พี่แชมป์ คุณพิกุล และคนแต่งด้วยนะคะ
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ  :bye2:

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
อื้อหือ ทำเอาหัวใจจะวาย
ตะกอนความกลัวของเราก็ถูกปลุกปั่นให้ขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นจนมองลำบาก
ตามความคิดระลึกได้ว่าตัวเองมาจากไหนของน้องธีร์ไปด้วย
น้ำตาแอบซึมนิดๆไปแล้ว
ทางออกของเรื่องนี้ ส่วนนึง(อาจจะเป็นส่วนใหญ่)ที่ไม่น่ากำหนดเองได้
คงต้องแล้วแต่พรหมลิขิตแล้วล่ะ

รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

ออฟไลน์ ลิงน้อยสุดเอ๋อ

  • ถึงจะเหงา แต่ไม่ได้ง่าย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-2
    • Fanpage
สงสารธีร์น่ะ ถ้าไม่กลับมาหาคนทางนี้อีก

ไม่อยากให้แยกจากกันจริงๆ เอาใจช่วยค่ะ

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
ตอนที่อานิดบอกเผาไปแล้วนี่แบบ
เงิบพอๆกับธีร์เลย
คือจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วนี่โคตรแย่
อยากรู้ตอนจบว่าจะอย่างไงมากกก
เพราะพระนครกับกทมไม่ใช่ใกล้ๆ
จะแบบย้อนเวลาไป-มามันก็ไม่ใช่
โอ้ยยยยยยยยยเครียดแทนธีร์กะพี่แก้ว

ออฟไลน์ eye-lifestyle

  • พรุ่งนี้ไม่เคยมีจริง
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
อื้อหื้อ...อ่านไปเครียดไป ยกมือขึ้นปาดเหงื่อรอบเบ้าตาอันเขียวช้ำ :m29: :m26:
เกือบร้องไห้อ่ะคนเขียน มันดูโหวงๆเหวงชอบกล :o11:

ใกล้จบแล้วเหรอเนี่ย...แต่ก็ขอให้จบแบบแฮปปี้นะคะ :oni1: :a11: :a3:
เรื่องนี้สนุกมากๆ o13 o13 o13 o13 o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ไม่อยากเศร้าเลยค่ะ เป็นไปได้ไหม.   . .

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ชักจะกังวลกับตอนจบเสียแล้วซิ :mew2:

ออฟไลน์ ลิงน้อยสุดเอ๋อ

  • ถึงจะเหงา แต่ไม่ได้ง่าย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-2
    • Fanpage
มาดันๆๆๆๆ เผื่อคนแต่งมาอัพต่อ อิอิ

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0

ตอนที่ ๒๙...สิ่งที่ค้างในใจ...




เสียงไม้กระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าดเพราะใครบางคนลงฝีเท้าหนักบนพื้นเรือนปลุกให้ผมตื่นขึ้นในเช้าอีกวัน...ยกแขนปัดป่ายไปข้างตัวเพื่อบิดขี้เกียจถึงได้รู้สึกว่าที่นอนข้างๆนั้นว่างเปล่า...ยังไม่ทันได้ตั้งคำถาม...ประตูไม้แบบบานพับของห้องนอนก็ถูกเปิดออกดัง'ปึง!' พร้อมเสียงบ่นยาวตามหลังมาไม่ขาด...รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่น้ำหนักตัวระดับน้องๆหมีควายโถมลงมาทับ

"โอ๊ย!"ร้องสิครับ...คนเพิ่งตื่น แถมเมื่อคืนยังมีเรื่องให้คิดจนดึกดื่นกว่าจะหลับลงได้ก็เกือบเช้าแล้ว

"กูหนัก!"โวยวายเสียงดังพร้อมทั้งมือและเท้าที่ทั้งผลักทั้งถีบไอ้น้องหมีที่ตอนนี้ทำตัวเป็นหมีโคอาล่าเกาะต้นยูคาลิปตัสแน่นหนึบ...แว่วเสียงตัวการหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีจนต้องลืมตาขึ้นมอง

"ไอ้แชมป์! ลงไปเลยนะมึง"ไอ้ตัวดียิ้มเผล่อยู่ตรงหน้า แต่ท่าทางของผมกับมันตอนนี้สิ ไม่อยากจะอธิบาย...เอาเป็นว่าผมรีบถีบมันลงจากตัวไปนั่งบนที่นอนข้างๆแทนก็แล้วกัน

"เจ้าคุณท่านให้หา"เสียงกวนกลั้วเสียงหัวเราะดังขึ้นขณะผมยันตัวลุกขึ้นนั่ง...ได้ยินแบบนั้นเลยจัดการโบกหัวมันไปสักทีจนมันร้องโอดโอย

"แค่เจ้าคุณให้หาต้องปลุกกูแบบนี้เลยนะ"คนถูกบ่นยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองป้อยๆ

"เปล่า กูมีเรื่องจะเล่าให้ฟังด้วย"แล้วไอ้หน้ายิ้มกริ่มอารมณ์ดีเกินเหตุนี่มันอะไรวะ

"ตกลงเจ้าคุณเรียกหรือมึงมีอะไรจะเล่าให้ฟัง?"

"ทั้งสองอย่าง"

"งั้นกูไปหาเจ้าคุณท่านก่อน"ตั้งท่าจะลุกแต่ดันถูกมันดึงคอเสื้อจนเกือบหงายหลังกลับมานั่งปุบนเตียงเหมือนเดิม

"อะไรอีกวะ ให้เจ้าคุณท่านรอนานเดี๋ยวก็โดนด่า"คนอย่างเจ้าคุณจิตราถึงจะใจดีแต่บทจะดุขึ้นมาใครก็ไม่กล้าหือ

"มึงไม่ต้องรีบ เจ้าคุณท่านลงไปใส่บาตรอีกซักพักกว่าจะขึ้นมา"

"สรุป จะให้ฟังที่มึงเล่าก่อน?"ผมเลิ่กคิ้วถามอย่างรู้ทันในขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้ารับรัวๆ

"ว่า..."

"ก็..."แล้วดูมันครับ พอผมตั้งใจฟังดันทำอ้ำๆอึ้งๆจนน่าหงุดหงิด

"ไม่เล่างั้นกูไปอาบน้ำละ"

"เฮ้ยยย! เล่าๆ ฟังกูก่อน"แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ถูกกระชากลงมานั่งบนเตียงตามเดิม...คราวนี้ผมหันไปกอดอกมองหน้ามันนิ่ง คนเพิ่งตื่นยังไม่เต็มตาแต่โดนดึงแล้วดึงอีกเป็นใครก็หงุดหงิด

"คุณพิกุลอ่ะ"เถียงกันมานานถึงได้ยอมเปิดปากเล่าซักที

"เจ้าคุณท่านให้คุณพิกุลเลื่อนเวลากลับเข้าวังไปอีกหน่อย"คนเล่ายิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี...ไม่ผิดจากที่ผมคาดนักเพราะเรื่องที่ทำให้แชมป์ร่าเริงจนเกือบเป็นบ้าได้มีอยู่เพียงไม่กี่เรื่อง...หนึ่งในนั้นคือลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณท่านกับคุณหญิงสร้อย

"หืม...ทำไมวะ"แต่จะว่าไปก็แปลก เพราะเท่าที่ผมรู้มา คุณหญิงสร้อยท่านอยากให้คุณพิกุลรีบกลับเข้าวังอย่างกับอะไร...ก็เพราะเรื่องลูกสาวคนเล็กของท่านกับไอ้ตัวดีข้างๆผมนี่ล่ะที่เป็นปัญหา ถึงขั้นที่คุณหญิงสร้อยเคยเมินไอ้แชมป์อยู่หลายวัน แต่ช่วงหลังเริ่มดีขึ้นบ้างคงเพราะท่าทีสำรวมไม่ยุ่มย่ามของเพื่อนผมและการวางตัวของคุณพิกุล...แต่เรื่องจะให้ยอมรับ...เห็นทีจะเป็นไปไม่ได้

"เจ้าคุณท่านถามเมื่อเช้า พอคุณพิกุลบอกอีกสามวันต้องกลับเข้าวังท่านก็สงสัยเพราะตอนแรกบอกว่าจะอยู่นานกว่านี้"

"อ้าว แล้วคุณหญิงสร้อยแกไม่ว่าอะไรเหรอ"

"แกก็คงอยากเถียง แต่เจ้าคุณท่านว่ามางี้คุณหญิงแกจะไปขัดได้ไง"จริงอย่างที่มันว่า สุดท้ายการตัดสินใจย่อมตกอยู่กับผู้เป็นใหญ่ของเรือน เจ้าคุณจิตราเองก็คงไม่รู้เหตุผลของคุณหญิงถึงได้บอกแบบนั้น เป็นใครก็ไม่อยากให้ลูกสาวไปอยู่ห่างตัวแม้จะด้วยหน้าที่แต่ถ้ายืดเวลาออกไปได้ผู้เป็นพ่อมีหรือจะไม่ทำ

"แค่นี้ ต้องมาปลุกกันเสียงดัง"ผมแกล้งบ่นเพราะเห็นหน้ายิ้มเผล่ของมันแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ แอบเห็นมันหน้าจ๋อยลงทันที

"มึงอ่ะ ไม่ดีใจกับกูเลยเหรอวะ"แล้วดูมันครับ ทำเสียงน้อยอกน้อยใจเป็นเด็กๆ

"ก็ดีแล้ว"พอเห็นว่าผมยกยิ้มให้ถึงได้ยิ้มออกมาได้บ้าง...สำหรับแชมป์ การได้อยู่ใกล้ๆคนที่มันรักคงเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้



ผมไม่ได้เล่าถึงความฝันนั้นให้แชมป์ฟัง เพราะผมรู้ดีว่าภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มร่าเริงของมันที่เห็นอยู่ทุกวันแฝงไว้ด้วยความกังวลใจไม่ต่างกัน...หลายครั้งที่ผมได้ยินเสียงถอนหายใจยาวจากคนที่นอนอยู่ข้างๆ...สีหน้าวิตกราวกับคนไม่มีทางออก หรือแม้แต่ท่าทีไม่สบายใจที่มันพยายามซุกซ่อนเอาไว้...ทั้งผมและมันไม่ได้แตกต่างกันเพียงแต่เราเลือกที่จะไม่พูดออกมาเพราะรู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างเป็นกังวล...แม้มันเคยพูดถึงการตัดสินใจแต่ลึกๆแล้วผมก็รู้...ว่ามันกลัว...กลัวว่าสิ่งที่มันตั้งใจ สิ่งที่มันคาดหวัง...ในวันหนึ่งอาจเปลี่ยนไป



...แชมป์เองก็ไม่รู้เช่นกัน...ว่ามันจะทำได้อย่างที่มันเคยพูดไว้หรือเปล่า...




ผมลุกไปอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นก่อนจะเดินออกมาที่โถงกลางเรือนที่มีเจ้าของเรือนกับแขกคุ้นหน้าอีกสองท่านนั่งรออยู่...ยกมือไหว้ทักทายผู้มาเยือนตามมารยาท สงสัยว่าวันนี้จะมาคุยธุระอีกเช่นเคย

"เจ้าคุณท่านมีอะไรเหรอครับ"

"เรื่องงานเลี้ยงท่านทูตน่ะ"คำตอบของเจ้าของเรือนทำเอาผมกับไอ้แชมป์หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก

"มีปัญหาอะไรอีกเหรอครับ"ต้องใช้คำว่า'อีก'เพราะตั้งแต่เริ่มต้นมาก็มีปัญหานั่นนี่คอยกวนใจท่านตลอด หากแต่คำตอบที่ได้เป็นเพียงการส่ายหน้าช้าๆจากผู้อาวุโสกว่าเท่านั้น

"ข้าว่าจะให้เอ็งสองคนร่วมด้วย"

"เอ๊ะ!"เป็นอีกครั้งที่ผมสองคนได้แต่มองหน้ากันไปมาสลับกับเจ้าคุณท่าน

"แต่งานใหญ่ขนาดนั้น แล้วพวกผมก็แค่คนนอกไม่ได้มีหน้าที่อะไรเกี่ยวข้อง"รีบปฏิเสธออกไปทันที จริงอยู่ว่าพวกผมเคยช่วยท่านรับแขกมาบ้างตอนงานบุญวันเกิดคุณพิกุล แต่นั่นก็เพียงงานเล็กๆไม่ได้เป็นทางการใหญ่โตเหมือนงานเลี้ยงรับรองทูตฝรั่งเศสที่จะมีขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า

"เอ็งสองคนลงแรงกับงานนี้มากอยู่ จะมาบอกว่าเป็นคนนอกได้อย่างไร"น้ำเสียงเจ้าคุณจิตราฟังดูไม่ค่อยพอใจนัก เหลือบไปเห็นเจ้าคุณไพศาลยังคงนั่งเงียบหากแต่ใบหน้าท่านยิ้มละไมเช่นเดียวกับคนสนิทของท่าน

"พวกผมไม่ได้ทำอะไรมากเลยครับ จะไปเกะกะเปล่าๆ อีกอย่างท่านเจ้าคุณเดโชเองก็คงไม่ค่อยพอใจนัก"อีกหนึ่งปัญหาสำคัญเพราะผมจำได้ดีเรื่องที่เจ้าคุณแห่งกรมวังไม่ยอมให้หลวงพิสิษฐเข้าร่วมงานทั้งที่เขาเองก็เป็นคนช่วยจัดการเรื่องต่างๆ

"หากจัดงานในเขตพระราชฐานก็ถูกของเจ้าคุณเดโชท่าน แต่นี่ย้ายมาจัดที่กรมแล้วข้าไม่เห็นว่าจะเป็นปัญหา"

"แต่..."

"ไปเถิดพ่อ พ่อแช่มเองก็รู้ภาษาจะได้ช่วยกัน ในพระนครหาคนรู้ภาษานี้ยากนัก"กลายเป็นเจ้าคุณผู้มาเยือนแทรกขึ้นแทนจนผมกับไอ้แชมป์ที่กำลังสรรหาข้ออ้างสารพัดเงียบลงทันที

"ประเดี๋ยวเอ็งสองคนออกไปกับหลวงพิสิษฐ ให้หลวงแกช่วยดูเรื่องเสื้อผ้าให้เรียบร้อย"ยังไม่ทันได้ตอบรับ เจ้าของเรือนก็สั่งการเสร็จสรรพ หันไปมองเจ้าของชื่อที่วันนี้แต่งตัวค่อนข้างสบายด้วยเสื้อคอจีนสีน้ำเงินเข้มกับโจงกระเบนสีน้ำตาล ใบหน้าเปื้อนยิ้มเหมือนอย่างทุกวัน
.

.

.

เพราะงานเลี้ยงที่เป็นทางการพวกผมถึงต้องวุ่นวายหาเสื้อผ้ากันใหม่ จะให้ใส่ชุดเดิมๆที่มีอยู่ก็คงใช้ไม่ได้เกรงว่าจะเสียหน้าไปถึงเจ้าคุณทั้งสอง...คนรับหน้าที่เลยต้องพาพวกผมมาถึงตลาด แต่ตลาดที่ว่าไม่ได้เหมือนกับตลาดสดที่พี่สนเคยพาผมไปเพราะที่นี่เป็นตรอกใหญ่ที่มีร้านค้าเรียงรายอยู่สองฟาก...ร้านรวงส่วนใหญ่เป็นตึกแถวก่อด้วยไม้สร้างเรียงต่อกันเป็นแนวยาว มีทั้งร้านเครื่องประดับสำหรับสตรี ร้านเสื้อผ้า หรือแม้แต่ร้านกาแฟ...กลางตรอกเป็นถนนที่มีรถลากวิ่งสวนกันไปมาแต่ก็เพียงเชื่องช้าเท่านั้นเพราะรถลากที่นี่เขาใช้คนลาก...ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่มีทั้งไทย จีน ฝรั่ง ที่สามารถแยกแยะได้โดยง่าย อย่างชาวสยามการแต่งตัวก็เหมือนกับที่พวกผมได้เห็นกันเกือบทุกวัน ผู้ชายบางคนสวมเสื้อ บ้างไม่สวม ผู้หญิงก็มีตั้งแต่นุ่งเพียงผ้าสไบคาดอกไปจนถึงระดับเจ้านายที่สวมเสื้อลูกไม้แขนพองห่มทับด้วยสไบสีหวานชวนมอง...ส่วนคนจีนสังเกตได้จากสีผิวและใบหน้าที่ทำให้ผมหันไปแซวไอ้แชมป์บ่อยๆเพราะหน้ามันเองก็ไม่ได้ต่างกัน(แต่ก็ถูกมันแขวะกลับว่าหน้าผมต่างจากมันเสียเมื่อไหร่)...แต่ที่สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นผู้หญิงชาวยุโรปที่แต่งตัวเหมือนหลุดออกมาจากนิทานแฟนตาซีที่ผมเคยได้ดูสมัยเด็กๆ...ชุดเดรสลูกไม้ยาวที่มีกระโปรงฟูฟ่องเหมือนสุ่ม บ้างถือร่มลูกไม้เข้ากับชุด บ้างก็สวมหมวก ท่วงท่าการเดินงามระหงจนพวกผมเผลอเหลียวมองตามหลายต่อหลายครั้ง...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นย่านชุมชนใหญ่ในสมัยพระนครที่ทำเอาผมตื่นตาตื่นใจจนแทบลืมจุดประสงค์ที่มาเสียสนิท


"ต้องซื้อชุดใหม่เลยเหรอครับ"ไอ้ตัวดีถามขึ้นเมื่อคนเดินนำหน้าพามาหยุดยืนอยู่หน้าร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง ด้านหน้าเป็นตู้โชว์กั้นด้วยกระจกใสกรอบด้วยไม้ ภายในมีหุ่นตั้งโชว์สวมชุดสูทแบบสากลสองแบบ หน้าตาก็เหมือนกับสูททั่วๆไปในสมัยของผม

"งานเลี้ยงใหญ่จัดที่กรมต้องแต่งให้เรียบร้อย"ว่าพลางเดินนำเข้าไปด้านในที่มีเจ้าของร้านยืนรอต้อนรับลูกค้า...ผมเองไม่ค่อยสันทัดเรื่องการซื้อขายในสมัยนี้เท่าไหร่เลยปล่อยให้เป็นหน้าที่คนตัวสูงแทน...เห็นเจ้าของร้านยืนมองหน้าผมกับไอ้แชมป์สลับกันไปมาคงกำลังกะไซส์เสื้อผ้าให้ก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านหลัง

"ถ้ารู้ว่าต้องออกงานกูใส่สูทมาจากบ้านแล้ว"ไอ้แชมป์ยื่นหน้าเข้ามากระซิบเบาจนผมหลุดหัวเราะกับความคิดเพี้ยนๆของมัน ขืนทำจริงมีหวังได้แตกตื่นกันทั้งเรือน



เจ้าของร้านหายไปสักพักก่อนจะกลับมาพร้อมชุดสูทสีดำในมือสองชุด ท่าทีสุภาพนอบน้อมตามประสาคนทำงานด้านบริการซึ่งผมไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในสมัยปัจจุบัน...สิ่งที่แตกต่างที่สุดที่ผมสังเกตได้คือรอยยิ้ม...ชาวพระนครมักมีรอยยิ้มเจือบนใบหน้าเสมอแม้แต่กับคนแปลกหน้า ที่นี่ทุกคนสามารถยิ้มให้กันอย่างไม่เคอะเขิน...ไม่เหมือนกรุงเทพในสมัยของผมที่ต่างคนต่างรีบเร่งจนบางครั้งลืมมองรอบๆตัวไปเสียสนิท...ภาพผู้คนโดยสารบนรถไฟฟ้าต่างก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์มือถือกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับสังคมในปัจจุบัน ต่างกับที่นี่...พระนครที่ไม่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ใดๆแต่กลับทำให้ผู้คนใกล้ชิดกันมากกว่า...ผมได้รับรอยยิ้มเป็นมิตรจากผู้คนรอบข้างเพียงแค่เดินสวนกันทั้งที่ผมไม่รู้จักคนพวกนั้นมาก่อน หรือแม้แต่พ่อค้าแม่ค้าบางคนที่เชื้อเชิญให้ลองชิมขนมที่ตนวางขายโดยไม่คิดสตางค์...ความมีน้ำใจและโอบอ้อมอารีมีให้เห็นจนชินตา จนบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าหากในปัจจุบันเราจะกลับมาทำแบบที่บรรพบุรุษเราเคยทำกันไว้บ้างก็คงจะดีไม่น้อย


ผมเดินเข้าไปลองเสื้อในห้องด้านหลัง...การใส่สูทเป็นอะไรที่ง่ายกว่าการแต่งกายในสมัยนี้มากนัก...ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินออกมาจากห้องพร้อมชุดสูทสีดำแบบเต็มยศ ข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวตีเกล็ดด้านหน้าเพื่อเพิ่มรายละเอียด...ยืนหมุนอยู่หน้ากระจกสองสามรอบเพราะไม่ได้แต่งแบบนี้เสียนานจนรู้สึกแปลกตาตัวเองไปบ้าง พอดีกับที่ปลายสายตาเหลือบไปเห็นคนที่ยืนรออยู่ด้านนอก

"ใส่ได้หรือไม่"เสียงทุ้มนุ่มถามขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามาดูใกล้ๆ

"หลวมไปนิด แต่ไม่มีปัญหาครับ"น่าแปลกที่เจ้าของร้านสามารถกะไซส์ของผมได้ใกล้เคียง แม้จะหลวมไปบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาเท่าไหร่นัก...ผมยืนมองตัวเองหน้ากระจกไม้บานสูงอีกครั้ง พยายามจัดการผูกหูกระต่ายที่พาดอยู่รอบคอแต่เพราะไม่ได้แต่งแบบนี้นานเกินไปถึงได้ค่อนข้างทุลักทุเล...มือสองข้างพยายามจับปลายหูกระต่ายตวัดไปมาพยายามนึกถึงวิธีผูกที่พ่อเคยสอน แต่ดูท่าว่าปมที่ผูกเสร็จก่อนกลับกลายเป็นปมที่หัวคิ้วของตัวเอง...แว่วเสียงหัวเราะเบาจากคนข้างๆก่อนที่มือหนาจะยื่นมาจับปลายโบว์ทั้งสองฝั่งแล้วตวัดไปมาให้อย่างคล่องแคล่ว

"ลืมไปว่าอยู่ต่างประเทศมาตั้งนาน"เพราะปกติไม่ค่อยได้เห็นชาวพระนครแต่งตัวตามแบบสากลบ่อยนักแต่สำหรับเขาที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศแถบนั้นมาก่อนการผูกหูกระต่ายของชุดสูทคงไม่ใช่เรื่องยาก...เจ้าตัวเพียงยกยิ้มบาง สายตายังจดจ่อกับมือที่ตวัดปลายโบว์ไปมาอย่างไม่เร่งรีบ...ผมช้อนตามองดวงตาคมสวยใต้แพขนตาหนาที่อยู่ห่างไปไม่มากนัก...ใบหน้าที่ผมเห็นจนชินตา...จนพาลนึกไปว่าหากวันหนึ่งผมไม่ได้เห็นอีกแล้ว...ผมจะเป็นอย่างไร

"มองเสียขนาดนี้พี่ก็อายเป็นนะพ่อ"ชั่วขณะที่ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มน้อยๆพร้อมมือที่ละออกจากปกเสื้อ...ดวงตาคมตวัดขึ้นมองเพียงครู่จนผมต้องเป็นฝ่ายละสายตาหันกลับไปมองตัวเองผ่านกระจกไม้บานสูงแทน...คำเรียกแทนตัวเองว่า'พี่'ให้ได้ยินบ่อยครั้งตั้งแต่'วันนั้น'ยังไม่ชินหูนัก...แม้ต่อหน้าเจ้าคุณไพศาลหรือบ่าวคนอื่นๆในเรือนเองเขาก็เปลี่ยนมาใช้คำนี้แทนจนบางครั้งสังเกตได้ว่าเจ้าคุณท่านส่งสายตามีนัยยะมาให้ หากแต่ผู้อาวุโสกว่าเลือกที่จะเงียบไว้และไม่ถามอะไรต่อ...แต่สำหรับผมแล้วการเรียกแทนอีกฝ่ายด้วยชื่อยังเป็นอะไรที่ไม่คุ้นชินนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกสายตาคาดคั้นจนต้องอ้อมแอ้มเรียกออกไปอยู่บ่อยครั้ง

โบว์หูกระต่ายถูกผูกอย่างเรียบร้อย พอดีกับที่แชมป์เดินออกมา...สูทของมันไม่ได้ต่างจากผมมากนักเพียงแต่เพิ่มเสื้อกั๊กข้างในที่เจ้าตัวดูจะชอบใจเป็นพิเศษ เห็นมันหมุนตัวไปมาหน้ากระจกแล้วยกมือขึ้นเสยผมเกรียนๆของตัวเองแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้...คนตัวสูงข้างๆเองก็เช่นกัน




จัดการเรื่องเสื้อผ้าเสร็จไอ้ตัวดีก็เริ่มอิดออดขอเดินเที่ยวต่อไม่ยอมกลับเรือนทันที เพราะตัวมันเองไม่ได้มีโอกาสออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ่อยนัก...ผมเหลือบมองคนตัวสูงที่พามาเพราะเกรงใจ ไม่รู้ว่าเขาต้องรีบกลับไปทำธุระกับเจ้าคุณไพศาลต่อหรือเปล่า หากแต่อีกฝ่ายเพียงส่ายหน้าปฏิเสธทั้งยังอาสาพาเดินดูโดยรอบ


"คิดอะไรอยู่หรือพ่อ"เสียงทุ้มนุ่มดังแผ่วขัดกับเสียงจอแจของผู้คน หากแต่ที่ทำให้สะดุ้งสุดตัวคือปลายนิ้วอุ่นที่แตะสัมผัสหลังมือเพียงแผ่วเบาราวกับเจ้าของเรียวนิ้วนั้นไม่จงใจ...แม้เดินอยู่เคียงข้างแต่ใจกลับลอยไปที่ไหนเสียได้

"เปล่าครับ"ทำได้เพียงส่ายหน้าตอบเพราะแม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ากำลังเป็นกังวลเรื่องอะไรอยู่...แชมป์ยังคงเดินนำหน้า มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศรอบตัว ใบหน้าของมันเปื้อนยิ้มตามประสาคนอารมณ์ดี ส่วนหนึ่งคงเพราะข่าวดีเรื่องลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตรา

"กังวลเรื่องงานเลี้ยงรึ"

"งานใหญ่ขนาดนั้น ธีร์กลัวว่าจะทำอะไรให้เจ้าคุณท่านขายหน้า"งานเลี้ยงเป็นเพียงส่วนหนึ่ง หากแต่อีกส่วนที่กังวล...ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร...ยิ่งใกล้วันงานหัวใจกลับยิ่งโหวงหวิวอย่างประหลาด ทั้งเรื่องความฝันวันนั้นก็ยังรบกวนจิตใจไม่จางหาย

"ไม่ต้องกังวลไป คิดเสียว่าเป็นงานเลี้ยงทั่วไป"คำปลอบโยนและรอยยิ้มบางที่ได้เห็น ได้ยินจนชินกลับไม่สามารถข่มความไม่สบายใจข้างใน...เมื่อหันไปสบเข้ากับ...ดวงตาคมวาวโรจน์แข็งกร้าวของใครบางคนเบื้องหน้า...ร่างสูงใหญ่ที่ไม่ได้เห็นอีกเลยนับแต่วันที่เกิดเรื่องวันนั้น...ใบหน้าคมดุดันที่ขยับเข้าใกล้มาทุกขณะเรียกให้ตัวเองยกมือขึ้นจับข้อแขนของคนข้างๆอย่างลืมตัว...แม้แต่แชมป์ที่เดินนำหน้าอยู่ก็ชะงักฝีเท้ากึก...ภาพของหลวงเจษฎารังสรรและคนสนิทอีกสองคนเดินตรงเข้ามาใกล้ยิ่งทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ...ความอึดอัดลอยวนจนเผลอกลั้นลมหายใจ คนที่ยืนอยู่ใกล้รับรู้ถึงกับเบี่ยงตัวเข้าขวางเอาไว้อีกฝั่งอย่างแนบเนียน...หากแต่ใบหน้าดุดันนั้นเพียงเฉียดเข้าใกล้แล้วผ่านไปเสมือนคนไม่เคยรู้จัก...มีเพียงดวงตาดำขลับแข็งขึงที่เหลือบมองเพียงปลายสายตา...เท่านั้นก็เพียงพอจะทำให้มือที่จับแขนคนข้างๆสั่นระรัว เพราะความกลัวที่มองไม่เห็นแต่รับรู้ได้...ความกลัวที่ผมเคยสัมผัสด้วยตัวเอง...ความกลัว...ที่มีต่อคนตัวสูงใหญ่ที่เพิ่งเดินผ่านไปไม่นาน

"แปลก ไม่เข้ามาหาเรื่องเหมือนทุกที"พอได้ยินเสียงทุ้มนุ่มของคนข้างๆถึงได้พรูลมหายใจยาวอย่างโล่งอก...อีกฝ่ายเพียงเหลือบมองใบหน้าของผมที่ตอนนี้มันคงซีดเซียวจนผิดวิสัย...มือหนายกขึ้นทาบทับมือที่จับข้อแขนของเขาแน่น

"ไม่ต้องกลัว พี่อยู่นี่ทั้งคน"เพราะรอยยิ้มปรายเรียกสติถึงได้รู้ตัวว่ากำลังยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนจอแจในตลาด และสายตากวนพิลึกของไอ้แชมป์ที่ส่งมาพร้อมรอยยิ้มกริ่มตามแบบของมันถึงได้รีบละมือออกทันที

"ม่ะ ไม่ได้กลัวซักหน่อย"รีบสาวเท้าเดินนำหน้าแล้วลากแขนไอ้ตัวดีที่ยังยิ้มเผล่ให้เดินตาม...แว่วเสียงหัวเราะเบาตามหลัง

"หลวงพิสิษฐหวงมึงออกนอกหน้าขนาดนี้ กูว่าถ้าจับมึงใส่หีบล็อคกุญแจได้แกคงทำไปแล้ว"ไม่ต้องรอให้มันได้กวนอะไรต่อผมก็จัดการประเคนนิ้วกลางให้มันเป็นรางวัลไปเรียบร้อยโทษฐานปากเสียไม่ดูเวล่ำเวลา...แล้วใครมันจะไปยอมถูกจับยัดลงหีบวะ...อึดอัดตายชัก...


หากเมื่อผมเหลียวกลับไปมองถึงได้เห็น...ดวงตาคมที่มองตามแผ่นหลังของคนตัวสูงใหญ่ที่เพิ่งเดินผ่านไปเมื่อครู่...สายตาของความไม่เข้าใจและเป็นกังวล...ถูกอย่างที่หลวงพิสิษฐว่ามันแปลก...แปลกที่คนแบบนั้นเลือกจะเดินผ่านหน้าพวกผมไปราวกับคนไม่เคยรู้จักซึ่งผิดวิสัยอันธพาลของเจ้าตัว...แม้เรื่องราวในวันนั้นจบลงที่ความเกรงกลัวต่อบารมีของผู้เป็นพ่อ แต่คนอย่างเขามีหรือจะยอมอยู่เฉยไม่เอาความทั้งที่ตัวเองก็โดนตอกหน้ากลับไปไม่ใช่น้อย...คนอย่างหลวงเจษฎารังสรรไม่เคยรามือจากสิ่งที่เขาชัง...นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมรู้



"วันนี้เจ้าคุณท่านกลับเรือนใหญ่ พี่อยากให้พ่อธีร์มาอยู่ด้วย"ใบหน้าคมโน้มเข้ากระซิบใกล้เมื่อเดินกลับมาถึงรถลากที่รออยู่ทำเอาผมชะงักฝีเท้า

เหลือบมองไอ้ตัวดีที่เพิ่งกระโดดขึ้นนั่งรอบนรถลาก"แล้วแชมป์ล่ะครับ?"

เจ้าของชื่อส่งสายตาสงสัยแทนคำถาม หากแต่คนตัวสูงเพียงยกยิ้มบางถามคนบนรถแทน

"กลับคนเดียวได้หรือไม่พ่อ นึกขึ้นได้ว่างานยังไม่เสร็จดีเห็นทีต้องขอตัวพ่อธีร์ไปช่วยก่อน"แล้วผมไปตอบตกลงตอนไหนถึงได้หันไปคุยกับไอ้แชมป์เสร็จสรรพแบบนี้เล่า!

"ไม่มีปัญหาครับคุณหลวง ฝากไอ้ธีร์ด้วยนะครับ"ตอบรับกันเป็นลูกคู่ เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะมึง

"บอกตอนไหนกันครับว่าจะไป"ตวัดสายตากลับไปมองคนที่ยืนประชิดตัวหลังจากรถของไอ้ตัวดีเคลื่อนตัวออกไปได้ไม่นาน

"พ่อธีร์ไม่ได้บอก...แต่พี่อยากให้ไป...ไม่ได้รึ"ท้ายประโยคยังยื่นหน้าเข้ามากระซิบเสียใกล้จนหน้าร้อนวูบขึ้นมา ดีที่คนรอบข้างไม่ได้สังเกตเห็นอาการแปลกๆของผมไปด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้คิดว่าผมไข้ขึ้นหรือไม่ก็เมาอากาศที่มันร้อนอบอ้าวนี่ แถมคนจงใจแกล้งหยอกดูท่าจะพออกพอใจเสียเต็มทีถึงได้ยืนยิ้มกริ่มอารมณ์ดีมองหน้าผมไม่วางตา...สุดท้ายก็เลยต้องจำใจบวกสมยอมอีกนิดหน่อยตามคนตัวสูงกลับมาถึงเรือนริมแม่น้ำของเจ้าคุณไพศาลจนได้
.

.

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-10-2014 00:29:42 โดย Vivid_Vuitton »

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
"ตายแล้วคุณหลวง! ลงไปทำอะไรเจ้าคะ!"แล้วก็ไม่ต้องตกใจหรอกครับถ้าป้าชื่นแกจะโวยวายเสียงดังจนลมแทบจับแบบนี้ เพราะผมเองก็มีอาการไม่ต่างจากแกเท่าไหร่หลังจากที่กลับมาถึงเรือนแล้วถูกคนตัวสูงชวนมานั่งเล่นที่ท่าน้ำเล็กข้างศาลาได้ไม่นาน อยู่ดีๆพ่อคุณเขาก็นึกสนุกจัดแจงถอดเสื้อกระโดดตูมลงน้ำหน้าตาเฉยจนผมได้แต่อ้าปากค้างเพราะไม่เคยเห็นหลวงพิสิษฐในสภาพแบบนี้มาก่อน...ภาพผู้ชายผิวสีเข้มสวย ตัวสูง หน้าตาดีราวกับพระเอกในวรรณคดีไทยพร้อมรอยยิ้มละไมที่ได้เห็นกันทุกวันแทบหายวับไปกับตา

"อากาศมันร้อน เล่นน้ำเสียหน่อยชื่นใจดี...แม่ชื่นลงมาเล่นด้วยกันซี!"ใบหน้าคมหันไปส่งยิ้มยียวนให้บ่าวคนเก่าแก่ของเจ้าคุณท่านที่พ่วงตำแหน่งพี่เลี้ยงคนสนิทของเขามาตั้งแต่ยังเล็ก

"ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะเจ้าคะ...คุณธีร์ก็อีกคนไม่ช่วยกันห้ามเสียบ้าง"แล้วทำไมคนถูกบ่นถึงกลายเป็นผมไปได้ล่ะครับป้าชื่น

"อย่าไปว่าพ่อธีร์เขาเลย ดูสิ ชวนลงมาเล่นน้ำด้วยกันก็ไม่ยอม"คนในน้ำบ่นอุบเพราะพยายามหลอกล่ออยู่นานแต่ผมก็ไม่ยอมลงไปสักที เพียงแค่นั่งหย่อนขาแช่น้ำมองอีกฝ่ายลอยคออย่างสบายอารมณ์เท่านั้น

"ใครเขาจะเล่นเป็นเด็กเหมือนคุณหลวงกันเล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวไปหาผ้ามาให้ผลัด แล้วอย่าอยู่นานนักนะเจ้าคะจะจับไข้เอาได้"เห็นป้าชื่นแกส่ายหน้าอย่างอ่อนใจก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในเรือน บ่นเสียยืดยาวแต่สุดท้ายก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

"ป้าชื่นนี่รักคุณหลวงเหมือนลูกเลยนะครั..."



'ซ่าาาาา!'



แม่ง...เหมือนโดนสาดน้ำสงกรานต์ไม่มีผิด


"คุณหลวง!"แถมตัวการยังลอยคอหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีที่แกล้งผมได้สำเร็จ

"ไหนๆก็เปียกแล้ว ลงมาเล่นน้ำด้วยกันเถิดพ่อ"มือหนาเอื้อมขึ้นจับแขนให้ผมสะดุ้งเฮือกพร้อมออกแรงดึง

"บอกแล้วไงครับว่าไม่เล่น เปียกหมดแล้วเห็นมั้ย"ปากก็เถียง ตัวยังต้องคอยขืนเอาไว้เพราะดูท่าคนตัวสูงไม่ยอมรามือง่ายๆ

"เอาแต่นั่งดูจะไปสนุกอะไรเล่า"จากที่เป็นคนนั่งดูเฉยๆกลายเป็นถูกรบเร้าไม่หยุดหย่อน...สองมือพยายามปัดป่ายสุดกำลังแต่มีหรือจะสู้แรงคนตัวใหญ่กว่าได้



'ตูมมม!'



สุดท้ายเลยถูกดึงลงมาร่วมด้วยแบบไม่สวยเท่าไหร่นัก...พอโผล่พ้นน้ำได้ก็รีบผวาเกาะบ่าคนตัวสูงทันที...ไม่ใช่ว่าผมว่ายน้ำไม่เป็นแต่เพราะน้ำในแม่น้ำมันไม่ได้ใสเหมือนน้ำในสระ ไม่รู้ความลึก ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่บ้าง นั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกโหวงหวิวจนต้องยึดคนข้างๆเป็นที่พึ่ง

"กลัวรึ"เสียงทุ้มนุ่มดังข้างหู...ไม่ต้องถามก็น่าจะรู้คำตอบเพราะสองมือที่คล้องคอเขาเอาไว้แน่น...ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางพร้อมวาดแขนโอบรอบเอวของผมเอาไว้เพื่อช่วยพยุงตัว

"เล่นอะไรเป็นเด็กๆ"แม้โดนบ่นแต่ก็ยังหัวเราะร่วนจนผมเริ่มหงุดหงิด

"ทำไมชอบแกล้งครับ"ขมวดคิ้วถามเสียงดุแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือที่เกาะอยู่

"พ่อธีร์น่าแกล้งนี่"น้ำเสียงยียวนกลั้วเสียงหัวเราะเรียกให้ผมวักน้ำใส่หน้าเข้าให้สักที อีกฝ่ายสะดุ้งเผลอปล่อยมือที่เกาะท่าน้ำจมหายไปกับผืนน้ำเบื้องล่างหากแต่มือที่รั้งเอวของผมเอาไว้ดึงให้ผมดำดิ่งตามลงไปด้วย...ผมทะลึ่งตัวโผล่พ้นผิวน้ำแต่กลับไร้วี่แววคนตัวสูง...สองมือเกาะท่าน้ำเล็กเอาไว้แน่นพลางสอดส่ายสายตา

"คุณหลวง..."ใจที่เริ่มกระสับกระส่ายจนต้องร้องเรียกหากแต่ผืนน้ำเบื้องหน้ายังสงบนิ่ง

"ม่ะ...ไม่ตลกนะครับ คุณหลวง!"ค่อยๆปล่อยมือจากท่าน้ำเพราะความเป็นห่วงที่มีมากกว่าแล้วทิ้งตัวลงใต้น้ำอย่างกล้าๆกลัวๆ...แม้เจ้าพระยาในเวลานี้ยังใสสะอาดแต่ทัศนวิสัยใต้น้ำก็ไม่ได้กระจ่างใสเหมือนน้ำในสระ...สิ่งที่ทำได้ เพียงแค่ปัดป่ายมือไปมาพยายามมองหาทว่าไม่เป็นผล...สุดท้ายก็ต้องโผล่ขึ้นมาเกาะท่าน้ำเดิมพลางหอบเอาอากาศเข้าปอด...ความกังวลใจเพิ่มมากขึ้น ตั้งใจผละมือออกแล้วดำลงไปดูอีกครั้ง หากแต่ท่อนแขนแกร่งที่ตวัดโอบรอบตัวเอาไว้จากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งเฮือก

"เฮ้ยยย!"เผลอร้องออกมาเสียงดังทว่าเจ้าของท่อนแขนที่โอบกระชับเพียงหัวเราะเบาอย่างพึงใจ

"เป็นห่วงพี่รึ"น้ำเสียงทุ้มดังแผ่วชิดหูจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น

"เล่นบ้าอะไรเนี่ย! นึกว่าจมน้ำตายไปแล้วนะครับ"ตวัดเสียงดังด้วยความไม่พอใจ แต่คนถูกดุไม่มีทีท่าสลด ยังคงส่งยิ้มยียวนมาให้เหมือนทุกที

"โถพ่อ แม่น้ำนี้พี่ว่ายเล่นตั้งแต่เล็กจะไปจมได้อย่างไร"เอ๊อ! ผมผิดเองครับ ผิดที่เป็นห่วง ลืมไปเสียสนิทว่าคนแถวนี้โตมากับน้ำไม่ใช่เด็กเมืองกรุงแบบผม

"พี่แกล้งหยอกพ่อเล่น โกรธพี่รึ"สงสัยแสดงออกทางสีหน้ามากไปหน่อยจนอีกฝ่ายสังเกตได้ มือหนายื่นมาประคองแก้มให้หันกลับไปสบดวงตาคมที่ส่องประกายระยับกลมกลืนกับรอยยิ้มสวย...นึกจะโกรธก็โกรธไม่ลง

"อย่าเล่นแบบนี้อีกนะครับ ธีร์ไม่ชอบ"ได้แต่มุ่ยหน้าตอบกลับไป เพราะความรู้สึกเมื่อครู่มันน่ากลัว...กลัว...ว่าจะสูญเสีย

"พี่ดีใจที่พ่อธีร์เป็นห่วง"หากแต่รอยยิ้มตรงหน้าทำให้ผมลืมความกลัวเมื่อครู่ไปหมดสิ้น...มือใหญ่ยังคงประคองแก้มไม่ห่าง...ใบหน้าคมโน้มเข้าใกล้โดยที่ผมไม่สามารถถอยหนีไปไหนได้เพราะหลังที่พิงชิดขอบท่าน้ำ...ริมฝีปากหยักสวยได้รูปห่างเพียงคืบเรียกให้ผมค่อยๆปรือตาลง...แม้บรรยากาศโดยรอบไม่ได้เงียบสงัดแต่ยังได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังระรัว ราวกับรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นที่เคลื่อนเข้ามาใกล้...ใกล้...จนแทบแนบสนิท...




"คุณธีร์! บ่าวนึกว่าจะช่วยกันห้าม ลงไปกับเขาด้วยหรือเจ้าคะ!"หากแต่เสียงแหวลั่นของป้าชื่นทำให้ต่างฝ่ายสะดุ้งสุดตัวแล้วผละออกจากกันทันที หันกลับไปมองต้นเสียงที่โหวกเหวกอยู่หน้าเรือนเพราะมองไม่เห็นคนที่นั่งอยู่ริมท่าน้ำเหมือนเคยก่อนจะเดินลงมาตามพร้อมผ้าพับใหญ่ในมือ แกถอนหายใจพรืดพลางส่ายหน้าเมื่อได้เห็น...คนสองคนในน้ำที่กำลังหัวเราะร่วนกับท่าทีเป็นกังวลเกินเหตุของแก...ถึงอย่างนั้นก็ทำใจโกรธไม่ลงเพราะถูกลูกอ้อนของคนตัวโตในน้ำหยอกล้อเสียจนป้าชื่นแกยิ้มออกมาได้
.

.

.

.

เพราะเป็นตัวต้นเหตุให้ผมต้องลงไปเปียกด้วย หน้าที่จัดการผมยาวละต้นคอที่ใช้เวลานานกว่าคนปกติกว่าจะแห้งนี่เลยกลายเป็นของคนขี้แกล้งไปโดยปริยาย...ร่างสูงที่นั่งเอนหลังพิงหัวเตียงยังไม่ยอมสวมเสื้อเพราะบ่นว่าร้อน โดยมีผมนั่งซ้อนอยู่ด้านหน้า สองมือของเขาใช้ผ้าบรรจงเช็ดผมที่เปียกชื้นให้อย่างเบามือไล่ลงมาถึงหยดน้ำพราวที่เกาะตามแผ่นหลัง

"พรุ่งนี้ต้องเข้าไปช่วยเจ้าคุณท่านที่กรมเหรอครับ"ถามขึ้นเพราะได้ยินเขาคุยกับป้าชื่นเมื่อครู่เรื่องที่เจ้าคุณไพศาลขอตัวให้ไปช่วยดูแลความเรียบร้อยของบริเวณจัดงาน

"ท่านให้ไปช่วยจดบันทึกรายละเอียดปลีกย่อย เห็นว่าหลวงวิเศษณ์เองก็งานล้นมือ"ดูท่าว่างานใหญ่โตนี้จะไม่ได้มีแค่คนรอบข้างของผมที่วิ่งวุ่น เพราะหลายครั้งที่หลวงพิสิษฐถูกดึงตัวจากกรมไปช่วยเนื่องจากคนในกรมการต่างประเทศเองก็วุ่นวายไม่แพ้กัน

"คงเป็นงานใหญ่มากเลยสิครับ"

"งานนี้เป็นงานสำคัญที่อาจส่งผลต่อสยามประเทศ หากมีข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดเขาจะเอามาเป็นข้อต่อรองได้...ทางนั้นเขาอยากได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงของเรา เจรจากันมาหลายต่อหลายครั้งแต่ฝั่งเรายังไม่ยอม"ผืนดินของประเทศใครจะไปยอมยกให้กันง่ายๆ...เพียงแต่ผมเองก็รู้ดีว่า แม้บรรพบุรุษของเราพยายามทุกวิถีทางที่จะรักษาผืนแผ่นดินไทยให้คงอยู่หากแต่สิ่งที่ประเทศเล็กๆอย่างเราทำได้ คือเพียงประคับประคองไม่ให้ทั้งประเทศต้องสูญเสียความเป็นเอกราชให้กับมหาอำนาจฝั่งตะวันตก...หลวงพิสิษฐยังไม่ล่วงรู้ ว่าในวันข้างหน้าเราต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศสตามที่ทุกคนเป็นกังวล แต่เป็นเพราะถูกบีบบังคับด้วยกำลังทหารไม่ใช่เพราะการเจรจาทางการฑูตแต่อย่างใด...การส่งเรือรบเข้ามาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา อู่ข้าวอู่น้ำของพระนคร...ข่มขู่ด้วยกำลังว่าจะปิดน่านน้ำไทย รวมถึงหลายชีวิตที่ต้องบาดเจ็บล้มตาย ทำให้สยามไม่สามารถขัดขืนข้อเสนอของฝรั่งเศสได้...เราเพียงต้องยอมสละอวัยวะบางส่วนเพื่อรักษาชีวิต...รักษาเอกราชของไทยให้คงอยู่ตราบจนถึงลูกหลาน

"เป็นอะไรหรือพ่อ"เสียงทุ้มดึงความคิดที่หดหู่ของผมให้กลับมา...มือหนาที่กำลังเช็ดปลายผมให้ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผมเงียบไปนาน

"คิดอะไรนิดหน่อยครับ"ผมไม่ได้บอก...ความจริงที่อาจทำให้หัวใจของคนฟังแตกสลาย...ความรักในชาติบ้านเกิดของเขามีไม่น้อยไปกว่าใคร แม้ไม่ได้ทำงานสายนี้โดยตรงแต่ได้ชื่อว่าเป็นชาวสยามย่อมไม่มีใครยินดีกับการสูญเสีย...แว่วเสียงถอนหายใจเบา มือหนาละจากปลายผมเปียกชื้นเปลี่ยนมาสอดประสานโอบเอวของผมเอาไว้

"หลังเสร็จงานนี้พี่คงต้องกลับไปทำงานที่กรมตามเดิม เจ้าคุณเสนาบดีท่านจะออกว่าราชการที่หัวเมืองทางใต้เห็นว่าจะให้พี่ตามไปด้วย"

"ไปนานมั้ยครับ"เพราะเคยชินกับการอยู่ด้วยกันจนเกือบลืมไปว่าเขาเองก็ยังมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ถึงอย่างนั้นก็ยังใจหายเมื่อคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายไปหลายวัน

"หนึ่งเดือนได้กระมัง ต้องไปหลายที่เพราะสมเด็จท่านมีดำริจะสร้างโรงเรียนตามหัวเมืองใหญ่ให้พวกเด็กๆนอกพระนครมีที่เล่าเรียน"แต่อันนี้มันก็นานกว่าที่คาดไว้ไปหน่อย

"ป่านนั้น...ธีร์อาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วก็ได้นะครับ"



...ความเงียบก่อตัวอีกครั้งจนคนที่นั่งซ้อนหลังรู้สึกได้...ความจริงที่ว่าผมไม่ใช่คนของที่นี่กลับมาตอกย้ำทั้งตัวเองและความคิดของคนที่นั่งอยู่ด้วย...ตั้งแต่วันที่เปิดปากเล่าความจริงเรื่องที่มาของผมให้ฟังจนถึงวันนี้ เขาไม่เคยถามถึงมันอีกเลย หากแต่ผมรู้ดีว่ามันยังคงติดค้างอยู่ราวกับแผลเป็นที่ไม่มีวันหาย...คนตัวสูงพรูลมหายใจยาวก่อนโน้มตัวลงอิงหน้าผากกับไหล่ของผม

"พี่อยากอยู่กับพ่อธีร์"ริมฝีปากหยักแตะพรมลงบนลาดไหล่ไล่ลงถึงกลางหลังเชื่องช้านุ่มนวลทว่าลมหายใจอุ่นของเจ้าตัวกลับทำให้ร้อนวาบขึ้นมา สัมผัสได้ถึงปลายจมูกกับเรือนผมดำสนิทไล้เรื่อยสะเปะสะปะ นิ้วเรียวลากไล้ทั่วแผ่นหลังเพียงแผ่วเบาเรียกให้ผมผวาหนีอย่างลืมตัว หากแต่คนตัวสูงยังรั้งเอวของผมเอาไว้

"ธีร์ ก็อยู่นี่แล้วไงครับ"ทำได้เพียงกลั้นเสียงตอบกลับไปเพราะสัมผัสโหวงหวิวจากคนข้างหลัง

"พี่หมายถึง...อยู่ให้นานกว่านี้"เพียงครู่เดียวริมฝีปากนุ่มก็ละออกพร้อมอ้อมแขนแกร่งกระชับตัวผมให้ขยับเข้าใกล้จนแผ่นหลังเปลือยเปล่าแนบชิดกับหน้าอกอุ่น เรือนผมดำสนิทระเรี่ยอยู่ข้างแก้มเมื่อใบหน้าคมเกยคางลงบนลาดไหล่ รู้สึกถึงลมหายใจร้อนจากคนตัวสูงรินรดต้นคอ




"พี่รักพ่อธีร์...อยู่ที่นี่กับพี่ตลอดไปได้หรือไม่"หากน้ำเสียงที่เอ่ยราวเสียงกระซิบกลับทำให้หัวใจกระตุกวูบ...คำว่ารักได้ยินเพียงบางเบาทว่าหนักแน่นย้ำเตือนลงในความรู้สึก...มันไม่ใช่คำถามแต่เป็นการร้องขอ...การร้องขอที่ผมเองก็อยากตอบรับ...ผมเบือนหน้ากลับไปหา เอื้อมมือโอบรั้งอีกฝ่ายแนบแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปเสียตอนนี้

"ธีร์ก็อยากอยู่กับพี่แก้ว...ธีร์รักพี่แก้วนะครับ"เสียงที่ตอบกลับไม่ได้ดังไปกว่าคนตัวสูงเมื่อครู่ หากแต่คนที่รับรู้ตอบรับด้วยอ้อมแขนแกร่งที่กระชับกลับมา...มือหนาลูบหลังปลอบโยนก่อนจะเลื่อนขึ้นแนบข้างแก้มให้ผมผละออกจากบ่ากว้างที่ซบอยู่เพียงครู่ สบเข้ากับดวงตาคมสวยหากประกายในดวงตากลับวูบไหวไม่มั่นคง มีเพียงริมฝีปากหยักนั้นยังคงยกยิ้มบางให้เช่นที่เคยเป็น...

สองมือของผมประคองใบหน้าได้รูปของคนตรงหน้าก่อนจะโน้มตัวลงทาบทับริมฝีปากลงบนรอยยิ้มอ่อนโยนนั้น ไออุ่นระเรื่อยข้างแก้มให้รับรู้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ริมฝีปากหยักค่อยๆเผยอรับสัมผัสของผมเชื่องช้า นุ่มนวล แล้วเปลี่ยนเป็นหนักหน่วง...ปลายลิ้นอุ่นชื้นแทรกลึกฉกชิมความหวานของกันและกันเนิ่นนาน...จูบของผมกับเขาหลอมรวมความรู้สึกทุกอย่างเข้าด้วยกัน...ทั้งความสุข...ความเจ็บปวด...ความโหยหากันและกันอย่างไม่จบสิ้น...และ...




...ความรัก...




...ชั่วขณะที่ท่อนแขนแกร่งยังโอบกระชับตัวผมเอาไว้ไม่ห่าง...สองมือสอดประสานแน่นราวกับเป็นหนึ่งเดียว...ผมยังหวัง...


...ให้ความรักของเขาเหนี่ยวรั้งผมเอาไว้...ให้ผมได้อยู่ที่นี่...กับคนในอ้อมแขนนี้...นานเท่าที่ใจต้องการ...



...



หวานปนขื่นเล็กๆนะคะตอนนี้ ให้น้องธีร์อยู่กับพี่แก้วอีกหน่อย  :hao5:

ขอบคุณทุกกำลังใจและการติดตาม ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ :call:


edited:

ฝากเพลงให้ฟังกันค่ะ คนแต่งใช้เพลงนี้เป็นตัวแทนน้องธีร์ให้พี่แก้ว
เพราะรู้สึกว่าพี่แก้วเป็นผู้ชายที่ใช้สายตาเยอะมากจริงๆ  :o8:

http://youtu.be/_Ti8Jp7rY_E
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2014 09:47:16 โดย Vivid_Vuitton »

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ช่วงท้ายตอนนี่มันอะไร เง้อ หน่วงหนัก
แถมคนเขียนยังใช้คำว่า "ให้น้องธีร์อยู่กับพี่แก้วอีกหน่อย"
กรีดร้อง หมายความว่ายังไงค้า
อย่าให้ต้องเตรียมทิชชูเอาไว้สั่งน้ำมูกตอนจบเรื่องน้า

กรี๊ดมากกับ "มองเสียขนาดนี้ พี่ก็อายเป็นนะพ่อ"
อื้อหือ เรียกแทนตัวเองว่าพี่
คนอ่านดิ้นค่ะ เขินแทนน้องธีร์ที่แอบโดนแซว

หลวงเจษฎ์ไม่น่าไว้ใจจริงๆ วันงานต้องมีเรื่องแหง
ศึกหลายด้าน ทั้งภายนอก(หลวงเจษฎ์)
และภายใน(น้องธีร์เป็นคนกรุงเทพ)
เครียดล่วงหน้าไปแล้วค่า

จริงๆมันก็หน่วงนิดๆตั้งแต่ตอนที่แล้วนะ เรื่องเป็นคนกรุงเทพ
มาตอนนี้ยิ่งตอกย้ำหลายจุด อื้อหือ ที่เคยทำเป็นลืมนี่ไม่ได้ผล
ยังไงก็รออ่านต่ออยู่นะคะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
คิดถึงอนาคตแล้วใจมันเศร้า

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ง่ะ.เฮ้อ.. จะหวานก็ไม่หวาน จะขมก็ไม่ขม เสียดใจจัง

ออฟไลน์ Mississippi

  • Don't act like it's a bad thing to fall in love with me
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
หน่วงๆสุดๆ คนแต่งอย่าใจร้ายเลยค่ะ ฮือออออออออออออออออ :o12:

Linyu_ta

  • บุคคลทั่วไป
งื้ออออออออออ เค้าหน่วง เค้าอึดอัด เค้าฟินนนน คือทั้งสุขทั้งเศร้า ทั้งหวานทั้งขมปนเปกันไปหมด คิดอยากหยุดเวลาให้คุณหลวงกับพ่อธีร์จริงๆ สงสารทั้งคู่  :sad4:

เพิ่งได้มีโอกาสอ่านเรื่องนี้เมื่อคืน อ่านแบบหยุดไม่ได้ ไม่อยากนอน ไม่อยากทำงานเลย มาทำงานก็แอบอู้มาอ่านอีกต่างหาก 5555555555555
ชอบนิยายเรื่องนี้ๆมากเลยค่ะ เราเป็นคนชอบอ่านนิยายแนวไทยๆอย่างนี้อยู่แล้วด้วย ยิ่งเป็นย้อนยุคปนประวัติศาสตร์แบบนี้ยิ่งชอบ อ่านไปก็เคลิ้มไป เหมือนได้กลับไปรัชกาลที่5เหมือนพ่อธีร์

อยากจะให้ถึงตอนที่พ่อธีร์ได้อยู่กับคุณหลวงเร็วๆ (หวังว่าคนเขียนจะไม่ใจร้ายให้เขาสองคนแยกกันน้าาา  :o12:) ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา หรือต้องกังวลกับอะไร แต่ไม่ได้อยากให้จบเร็วๆนะคะคนเขียน อย่าเข้าใจเราผิดน้าา คือยังอยากอ่านอีกเรื่อยๆเลย (อยากได้เป็นเล่มด้วยแล่ะ อิอิ) แต่ก็ยังมองหาทางออกให้พ่อธีร์ไม่เจอเลยว่าจะหยุดเวลาอยู่แค่ตอนนี้ยังไง จะต้องทำยังไงถึงจะได้อยู่กับคุณหลวง  :เฮ้อ:

อ่านเรื่องเดียวได้หลายอารมณ์ดีเหลือเกิน ขอบคุณมากๆนะคะสำหรับนิยายดีๆแบบนี้ เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด