...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]  (อ่าน 309423 ครั้ง)

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
จะทำอะไรละนั่น :hao4:  อย่าทำให้พี่แก้วเขาเป็นห่วงสิธีร์

ออฟไลน์ befol2e

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
แง้!! มาม่ากับไอ่หลวงหื่นกามยังไม่จบง่ายๆใช่มั้ยคะ? ฮือออ สงสารน้องธีร์กับคุณหลวง
ถึงจะมาม่า แต่ขอรสหวานด้วยได้มั้ยคะ? อย่าเอารสเผ็ดเลย เค้าน้ำตาจะไหล 5555
รอติดตามค่ะ ว่าสิ่งที่น้องธีร์คาใจมันคืออะไรกันนะ???  :katai1:

ออฟไลน์ ohuii

  • Why I cannot upload profile picture?
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-4
พ่อธีร์ใจเย็นๆ พี่แก้วไม่สบายอยู่เดี๋ยวไปช่วยไม่ได้นะ

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เล่นให้หนักเลยค่ะ คนนิสัยแบบนี้ท่าจะอยู่ด้วยกันไม่ได้
แต่เตรียมหลักฐานไปดี ๆ ด้วยน่อ เดี๋ยวจะโดนเสยกลับจนหงายเงิบ

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
ยังไม่อยากให้จบเลย

ออฟไลน์ befol2e

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คิดถึงคุณหลวงกับน้องธีร์
เมื่อไหร่คนเขียนจะมาต่อน้าาา
 :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ PURE LOVE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
พี่แก้วปลอดภัยแล้ว ดีใจจัง เหมือนเจ้าคุณไพศาลจะรู้ความสัมพันธ์ของพี่แก้วกับน้องธีร์แล้วเลยนะ
แล้วก็ไม่คัดค้านด้วย ค่อยยังชั่วหน่อย ว่าแต่น้องธีร์ คิดจะทำอะไร ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี ๆนะ
ต้องคิดถึงคนที่รักเราเอาไว้ให้มาก ๆ รู้ไหม  ขอให้เรื่องนี้อย่ามีดราม่าเลยนะคะ
อยากให้พี่แก้วน้องธีร์ ได้อยู่ด้วยกันตลอดไปจังเลย
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ soullmate

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กริ๊ดดดดดด พี่แก้วของธีร์   อย่าดราม่า มากนะค่ะ จิร้องไห้ 

ออฟไลน์ soullmate

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กริ๊ดดดดดด พี่แก้วของธีร์   :hao5: :hao5: อย่าดราม่า มากนะค่ะ จิร้องไห้   :sad11:

ออฟไลน์ Chk~a

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 618
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1
ติดใจพี่แก้ววว ว

หายไวๆนะ ธีร์เล่นงานให้หนักเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PURE LOVE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
มารอพี่แก้วน้องธีร์จ้า  :กอด1:

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
ตอนที่ ๓๒...สับสน...



ถึงจะพูดกับแชมป์ไปแบบนั้น แต่เอาเข้าจริงผมก็ยังไม่รู้หรอกครับว่าผมจะทำอะไรคนอย่างหลวงเจษฎารังสรรได้ นอกเสียจากบอกความจริงกับเจ้าคุณทั้งสองแล้วให้กฎหมายเป็นตัวตัดสินความผิดของมัน

แต่ความตั้งใจที่จะเอาเรื่องคนผิดของผมกลับถูกพับเก็บใส่กรุเอาไว้เมื่อผมได้กลับไปที่เรือนหมอเบ็นอีกครั้งหลังจากเกิดเหตุการณ์ในคืนนั้นได้ห้าวัน...อาการของหลวงพิสิษฐยังไม่ดีขึ้นมากนักแต่ก็ไม่ได้แย่ลงกว่าเดิม...ร่างสูงโปร่งยังคงนอนนิ่งบนเตียงเพราะบาดแผลยังไม่ปิดสนิทดี มีเพียงดวงตาคู่สวยที่ส่องประกายสดใสกว่าวันแรกและน้ำเสียงแหบพร่าที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ



...ผมหมายถึง...คำหยอกล้อและมุขหวานเลี่ยนที่เจ้าตัวถนัดนั่นแหละครับที่กลับมาเป็นปกติ...



"เจ้าคุณเสนาบดีท่านฝากมาขอบใจที่พ่อแก้วช่วยเหลือเรื่องงานเลี้ยงแลยังว่าให้พ่อรีบรักษาตัวให้หายโดยเร็ว"เพราะงานเลี้ยงรับรองทูตที่ผ่านไปด้วยความราบรื่นและได้รับคำชมจากอาคันตุกะไม่ขาดปากพาให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายต่างโล่งใจไปตามๆกัน แม้แต่คนนอกที่ให้ความช่วยเหลืออย่างเขายังได้รับความดีความชอบจนเจ้าคุณเสนาบดีแห่งกรมการต่างประเทศต้องฝากคำขอบคุณมากับเจ้าคุณคนสนิท

"กระผมฝากกราบขอบพระคุณเจ้าคุณเสนาบดีท่านด้วยขอรับ"เจ้าคุณไพศาลยิ้มรับอ่อนโยน หลังเสร็จงานจากกรม ท่านและเจ้าคุณจิตราก็รีบตรงมาที่นี่ทันที ส่วนผมที่กลายเป็นคนว่างงานหลังเสร็จงานเลี้ยงทูตก็มารับหน้าที่ดูแลคนป่วยต่อ เจ้าคุณทั้งสองจึงไม่แปลกใจนักที่เห็นผมคอยป้วนเปี้ยนอยู่ที่เรือนหมอทุกวัน

"หมอเบ็นว่าอาการพ่อแก้วดีขึ้น อีกไม่นานคงกลับเรือนได้"

"กระผมก็หวังเช่นนั้นขอรับ รบกวนหมอเบ็นเสียหลายวันแล้ว"ดูเอาเถอะครับคนเรา โดนแทงอาการสาหัสเป็นตายเท่ากันแต่ยังเกรงใจหมออยู่อีก

"จริงซี...ว่าจะถามพ่อแก้วแลพ่อธีร์ตั้งแต่วันก่อน...เรื่องคนร้าย..."หากแต่คำพูดถัดมาของเจ้าคุณท่านพาให้บรรยากาศในห้องอึมครึมลงถนัดตา...คนป่วยยังคงนอนนิ่ง มีเพียงดวงตาคมที่ปรายมองสบเข้ากับผมที่ยืนอยู่ไม่ไกล แม้แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังมีสีหน้าแบบไหน

"คืนนั้นพ่อทั้งสองพอจะเห็นหน้าคนร้ายบ้างหรือไม่"เจ้าคุณไพศาลขมวดคิ้วมุ่นเพราะเรื่องสำคัญที่เพิ่งนึกขึ้นได้ ไม่ต่างจากผมที่ยืนกำมือแน่นจนสั่น เพราะทุกครั้งที่ใครสักคนเอ่ยถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น ภาพของใครคนหนึ่งมักลอยเข้ามาในความคิดเสมอ...คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด คนที่ทำให้ความโกรธเกลียดค้างคาในใจของผมจนไม่สามารถให้อภัยได้



ดวงตาคมของคนบนเตียงชำเลืองมอง...ปากที่ไวกว่าความคิดกำลังจะตอบรับแต่ไม่เร็วไปกว่าเสียงแหบพร่าของเจ้าตัว



"ไม่เห็นขอรับ"หากแต่มันเป็นคำตอบที่ทำให้ผมหงุดหงิดเพราะความไม่เข้าใจ

"จำลักษณะท่าทางไม่ได้เลยรึ"เจ้าคุณจิตราเป็นฝ่ายซักไซร้บ้างแต่คนป่วยยังคงยืนยันคำตอบเดิม



...คำตอบ...ที่ผมไม่เข้าใจ...



"เจ้าคุณครับ"หลังจากยืนมองหลวงพิสิษฐสลับกับเจ้าคุณทั้งสอง ผมจึงตัดสินใจที่จะบอกความจริง เพราะสำหรับผม มันไม่ใช่เรื่องที่ควรปิดบัง...คนทำผิดควรถูกลงโทษ แม้จะเป็นลูกท่านหลานเธอหรือคนใหญ่คนโตมาจากไหนก็ไม่มีข้อยกเว้น...โดยเฉพาะ...คนเลวๆแบบมัน

"ผมรู้......"

"กระผมขอคุยกับพ่อธีร์ตามลำพังสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ"แต่กลับเป็นอีกครั้งที่ถูกขัดจังหวะ...เจ้าคุณจิตราชะงักไปเพียงครู่ขณะกำลังตั้งใจฟัง ไม่ต่างจากผมที่หันไปจดจ้องอีกฝ่าย สีหน้าของเขาเรียบเฉยไม่แม้แต่ปรายตามองมาทางนี้ และก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรเสียงพรูลมหายใจเบาของเจ้าคุณไพศาลก็ดังขึ้นเสียก่อน

"เช่นนั้นเราออกไปรอข้างนอกเถิด ว่าจะถามหมอเบ็นเรื่องพ่อแก้วเสียหน่อย"เจ้าคุณท่านยังมีท่าทีสงบนิ่งต่างจากผู้อาวุโสอีกท่านที่ยืนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพียงแค่เดินตามหลังเจ้าคุณไพศาลออกไปจากห้อง




"ทำไมถึงไม่บอกครับ"ทันทีที่ประตูปิดลงผมก็รีบยิงคำถามใส่อีกฝ่ายทันที

"ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร พี่เองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว"ใบหน้าคมนิ่งเฉย มีเพียงเสียงถอนหายใจเบาให้ได้ยินและมันยิ่งทำให้ผมสติแตก

"เกือบตายนี่ยังเรียกว่าไม่เป็นอะไรอีกเหรอครับ!"อารมณ์ที่คุกรุ่นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายตื่นตระหนก เขายังคงนอนหลับตานิ่งราวกับเบื่อหน่ายเรื่องพวกนี้เต็มที ผิดกับผมที่เป็นเดือดเป็นร้อนจนอยู่เฉยไม่ได้

"จะปกป้องคนแบบนั้นไปทำไม หรือคุณหลวงกลัวบารมีเจ้าคุณเดโช?"

"พี่ไม่ได้กลัว..."

"แล้วทำไมถึงไม่บอกล่ะครับ"ผมทรุดตัวลงนั่งบนพื้นที่ว่างบนเตียง จับมือของคนข้างๆขึ้นมากุมเอาไว้แน่น ผมกำลังร้องขอให้เขาทำในสิ่งที่ควรทำ



...หากแต่คำตอบที่ได้รับคือความเงียบ...



"ถ้าคุณหลวงไม่พูด ธีร์จะเป็นคนบอกเจ้าคุณท่านเอง!"ผมยื่นคำขาดพร้อมผละลุกจากเตียงตั้งใจจะเดินออกไปบอกความจริงกับเจ้าคุณทั้งสองให้มันจบเรื่องไปเสียที แต่กลับถูกมือหนาของอีกฝ่ายเอื้อมมารั้งเอาไว้

"อย่าเชียวพ่อ!"ทั้งยังน้ำเสียงร้อนรนของเขายิ่งทำให้ผมฉุนขาด

"พี่แก้วเป็นอะไร ทำไมถึงปกป้องคนผิดทั้งที่มันทำกับพี่แก้วขนาดนี้!"ผมสะบัดข้อมือที่ถูกฉวยเอาไว้อย่างลืมตัวจนมือหนาที่เกาะกุมกระตุกวูบ คนบนเตียงนิ่วหน้าเพราะแรงเหวี่ยงกระเทือนไปถึงแผลที่เอว

"พี่ไม่ได้ปกป้อง...แต่หากพี่พูดไป เรื่องที่เรือนแพวันนั้นก็จะแดงขึ้นมาแลคนที่เสียหายก็คือพ่อธีร์...พ่ออยากให้คนอื่นเขารู้เรื่องน่าอับอายวันนั้นหรือ"ถึงแม้สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บที่แล่นริ้วจากบาดแผลแต่ดวงตาคมกริบยังคงสงบนิ่ง

"มันต่างหากที่ควรจะต้องอาย ไม่ใช่ธีร์!"

"แต่พี่ไม่ยอม...พี่จะไม่ยอมให้ใครพูดถึงพ่อธีร์ให้เสื่อมเสีย"ให้ตายสิหลวงพิสิษฐ จะมานึกปกป้องชื่อเสียงอะไรเอาตอนที่ตัวเองถูกทำร้ายจนใกล้ตายแบบนี้วะ!

"ธีร์ก็ไม่ยอมให้คนผิดลอยนวลแบบนี้เหมือนกัน"

"แล้วพ่อคิดว่าหากพูดไปเรื่องมันจะจบเพียงเท่านี้รึ!"ความคิดที่สวนทางจบลงด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างจากคนที่นอนอยู่บนเตียง...นับเป็นครั้งที่สองหลังจากเกิดเรื่องที่เรือนแพที่ผมได้เห็นท่าทีดุดันของอีกฝ่าย...ดวงตาคมวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจเหมือนสายตาของเขาในวันนั้นจนผมเองที่กลายเป็นฝ่ายเงียบลง

"แม้เอาผิดกับหลวงเจษฎ์ได้ใช่ว่าจะจบเรื่อง ซ้ำยังยิ่งโหมไฟให้แรงขึ้นเสียอีก พ่อเองก็รู้ว่าหลวงเจษฎ์เป็นเช่นไร มีหรือที่คนอย่างเขาจะยอมอยู่เฉยไม่ระรานต่อ"ยิ่งคนป่วยแผดเสียงดังเท่าไหร่ใบหน้าคมก็ยิ่งบูดเบี้ยวเพราะแผลที่ถูกกระทบกระเทือนจากการระเบิดอารมณ์ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดเมื่อเห็นว่าผมยังคงยืนกำมือแน่นจนสั่น

"เจ้าคุณเดโชท่านมีอำนาจมากเพียงใดพ่อธีร์ก็รู้ มีหรือที่ท่านจะไม่ปกป้องลูกชายตัวเอง...แล้วอย่างไรเล่า เอาผิดเขาก็ไม่ได้ซ้ำยังยิ่งทำให้เรื่องราวใหญ่โตให้เขากลับมาทำร้ายเอาอีกรึ"

"ที่พูดมาทั้งหมด...สรุปว่าพี่แก้วเองก็กลัวบารมีเจ้าคุณเดโชสินะ"ดวงตาคมเบิกกว้างก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาวอีกครั้ง...ใบหน้าคมหมองลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพยายามอธิบายให้ฟังเลยสักนิด

"ลำพังตัวพี่เองให้เจ็บกว่านี้พี่ก็ทนได้...แต่คนที่พี่เป็นห่วงก็คือพ่อธีร์ พ่อก็เห็นแล้วทั้งเรื่องที่เรือนแพแลยังคืนงานเลี้ยง เขาเกรงกลัวใครเสียที่ไหน หากเขานึกทำอะไรพ่อธีร์ขึ้นมาอีกจะให้พี่ทำอย่างไรเล่า...พ่อธีร์อยากเห็นพี่ขาดใจตายเสียตรงนี้รึ"หากแต่น้ำเสียงแหบพร่าเว้าวอนนี้ต่างหากที่เรียกสติของผมให้กลับมา ผมมองสำรวจร่างสูงที่นอนนิ่งบนเตียงอีกครั้ง...ผ้าพันแผลสีขาวยิ่งย้ำเตือนถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น...ปลายมีดคมกริบที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่ลังเลแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เพียงพลั้งมือหากแต่จงใจให้ถึงชีวิต และคนที่นอนอยู่ที่นี่ตอนนี้อาจเป็นผมถ้าเขาไม่เอาตัวเข้าขวางเอาไว้...หรือไม่...ผมอาจไม่มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ก็เป็นได้


"เชื่อพี่สักครั้งเถิดพ่อ ถือเสียว่าพี่ขอ"ผมเงียบ...เป็นความเงียบที่ผมไม่สามารถเถียงอะไรได้ต่อ ถึงอย่างนั้นความขัดแย้งในใจยังคงไม่หายไป...จะปล่อยให้คนผิดลอยนวลต่อไปแบบนี้โดยไม่เอาความอะไรผมก็ทนไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดผมเองก็เข้าใจ...แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ!




คำขอร้องของคนป่วยยังไม่ได้การตอบรับใดเมื่อเจ้าคุณทั้งสองกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งเพื่อกล่าวลา...สีหน้าของท่านคลายกังวลลงมากเมื่อได้ยินจากหมอเบ็นว่าคนป่วยจะได้กลับเรือนภายในสี่หรือห้าวันนี้ แต่ยังคงกำชับให้ดูแลกันอย่างใกล้ชิดเพราะบาดแผลอาจติดเชื้อได้ทุกเมื่อ

"ประเดี๋ยวเอ็งกลับเรือนไปก่อน ข้าต้องไปธุระกับเจ้าคุณไพศาล"เจ้าคุณจิตราหันมาบอกผมหลังจากร่ำลาคนป่วยแต่กลับทำให้คนบนเตียงสงสัยในท่าทีรีบร้อนของผู้อาวุโสทั้งสอง เพราะยามปกติหลังเสร็จงานในกรมหากมีธุระต้องทำต่อนั่นหมายถึงเรื่องสำคัญ

"มีงานด่วนหรือขอรับ"

"ไม่ใช่งานด่วนอันใดหรอก...เจ้าคุณเสนาบดีท่านเพียงฝากของกำนัลไปขอบคุณเจ้าคุณเดโชที่ท่านช่วยเหลือให้งานเลี้ยงสำเร็จลุล่วง"ชื่อของบุคคลที่สามที่เพิ่งถูกพูดถึงเรียกให้ผมหันกลับไปมองคนที่นอนขมวดคิ้วมุ่นส่งสายตาคมกริบมาให้ราวกับล่วงรู้ความคิด...หากแต่เขายังไม่ทันได้ออกปากห้ามผมก็ดันโพล่งออกไปเสียก่อน

"ให้ผมไปด้วยนะครับ!"แม้แต่เจ้าคุณทั้งสองก็มีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยิน ท่านเองก็พอรู้มาบ้างว่าผมไม่เป็นที่ถูกชะตาของเจ้าคุณเดโชเท่าไหร่นักและผมก็มักบ่ายเบี่ยงเสมอเมื่อถูกชักชวนให้ไปเยือนเรือนหลังใหญ่นั้น

"ดีเหมือนกัน เอ็งเคยปรึกษางานกับเจ้าคุณท่านมาบ้างก็ควรไปขอบคุณท่านเสียหน่อย ภายหน้าหากมีงานอะไรท่านจะได้ช่วยเหลือ"หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งสองมองหน้ากันไปมาอย่างครุ่นคิด สุดท้ายก็เป็นเจ้าคุณจิตราที่ตอบตกลง...เพียงแต่ท่านยังไม่รู้ ว่าผมไม่ได้หวังให้เจ้าคุณผู้สูงศักดิ์คนนั้นมาเอ็นดูรักใคร่หรือแม้แต่นึกอยากได้ความช่วยเหลืออะไรในภายหลัง และสิ่งที่ผมต้องการก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าของเรือนที่ผมกำลังจะไปเยือนแม้แต่น้อย



ผมแค่อยากเห็น...น้ำหน้าของคนผิด...สีหน้าของมันตอนที่เห็นผมไปถึงเรือนพร้อมเจ้าคุณทั้งสอง



และผมก็อยากให้มันได้เห็น...สภาพของผมหลังผ่านเหตุการณ์ในคืนนั้น...บาดแผลที่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าและลำตัว...ร่องรอยของความเกลียดชังที่มีคนแบบนั้นบงการอยู่เบื้องหลัง



"พ่อธีร์..."น้ำเสียงเป็นกังวลเรียกให้เท้าที่กำลังก้าวออกจากห้องชะงักไปเพียงครู่ ผมหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง ใบหน้าคมส่ายไปมาช้าๆราวกับคำทักท้วงไม่ให้ผมทำอะไรก็ตามที่กำลังคิดอยู่

"พี่แก้วไม่ให้ธีร์บอกเจ้าคุณท่าน...ธีร์ก็จะไม่บอกครับ...พี่แก้วไม่ต้องเป็นห่วง"สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ผมเข้าใจดี...เพียงแต่สิ่งที่ผมรับปาก...คือการไม่บอกความจริงกับเจ้าคุณทั้งสอง



...แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะปล่อยให้คนผิดลอยนวลอยู่แบบนี้โดยที่ผมไม่คิดจะทำอะไร...




.................................................................................................



...ภาพที่ผมคิดเอาไว้ไม่ผิดไปจากสิ่งที่เห็นในตอนนี้นัก...ทั้งสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อเห็นผู้มาเยือน...ท่าทีร้อนรนที่พยายามซุกซ่อนไม่ให้ใครได้เห็น หรือแม้แต่ดวงตาที่เคยแข็งขึงดุดันคอยหลบสายตาทั้งจากผู้อาวุโสทั้งสองและสายตาเย็นเยียบของผมที่จดจ้องไม่ลดละ...หลวงเจษฎารังสรรในเวลานี้ไม่ต่างอะไรจากวัวสันหลังหวะเพราะความผิดที่ติดตัวสะท้อนออกมาจากท่าทีของเขาอย่างเห็นได้ชัด

"ได้ยินว่าหลวงพิสิษฐเจ็บหนัก เป็นอย่างไรบ้างรึ"แม้แต่เจ้าของเรือนที่เคยตั้งแง่กับหลวงพิสิษฐไว้มากยังมีท่าทีอ่อนลงเมื่อได้ยินข่าวคราว

"ปลอดภัยดีแล้วขอรับ แต่ยังต้องรักษาตัวอีกนานเพราะถูกทำร้ายหนักนักขอรับ"คนถามเพียงถอนหายใจยาวเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าจากปากเจ้าคุณไพศาลก่อนจะเหลือบมองมาทางผมที่นั่งอยู่ด้านหลัง เพราะรอยแผลบนใบหน้ายังคงเด่นชัดจนท่านอดถามออกมาไม่ได้

"แล้วเอ็งเล่า เป็นอย่างไรบ้าง"

"ผมไม่เป็นอะไรมากครับ ดีที่ได้คุณหลวงช่วยเอาไว้...ไม่งั้นคงแย่"ท้ายประโยคเพียงปรายสายตาเย็นเยียบมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าของเรือนที่พยายามข่มสติให้นิ่งหากแต่ความร้อนรนที่ฉายออกมาจากนัยน์ตาดุดันนั้นกลับปิดไม่มิด

"ไม่เป็นอะไรมากก็ดี แต่ฉันสงสัยนักว่าใครมันกล้าทำเรื่องเช่นนี้ ถนนหน้ากรมแม้เป็นเวลาดึกดื่นแต่ก็ใกล้เขตพระราชฐานนัก พวกมันไม่เกรงกลัวอาญาบ้างรึ!"เสียงบ่นของเจ้าของเรือนพาให้คนนั่งข้างๆสะดุ้งโหยง...ดวงตาคมกลอกไปมาไม่กล้าสบตาใครยิ่งเรียกรอยยิ้มเย็นจากผมที่นั่งอยู่ไม่ไกล

"นั่นสิครับ...ใครมันช่างกล้า"ยิ่งได้เห็นสีหน้าร้อนรนผมยิ่งได้ใจ หากแต่คำพูดของหลวงพิสิษฐยังคอยเตือนสติอยู่เสมอ...คนตรงหน้าอันตรายเกินกว่าที่ผมจะเอาตัวเข้าไปปะทะด้วย ทั้งบารมีของผู้เป็นพ่อที่คุ้มหัวและยังมีผู้ติดตามของมันที่พร้อมจะทำทุกอย่างตามที่ผู้เป็นนายสั่ง

"กระผมได้ประสานไปทางกรมกองตระเวนหัวเมืองแล้ว คาดว่าไม่นานจะติดตามเอาตัวคนผิดมาลงโทษได้เป็นแน่ขอรับ"เจ้าของเรือนเพียงพยักหน้ารับคำของเจ้าคุณผู้มาเยือน ผิดกับลูกชายที่นั่งเงียบหลุบตาต่ำเมื่อได้ยินว่าทางการกำลังเร่งสอบสวนหาคนผิด



"แม่เดือนไม่อยู่หรือขอรับ ตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้พบหน้า"คำถามของเจ้าคุณจิตราเรียกให้ผมสอดส่ายสายตาไปรอบตัวเรือน...จริงอย่างที่ว่าเพราะปกติลูกสะใภ้คนสวยของเจ้าคุณเดโชมักคอยดูแลความเรียบร้อยบนเรือนใหญ่เสมอหากสามีของเธออยู่ด้วย แต่วันนี้กลับไม่ได้พบตั้งแต่ขึ้นเรือนมา

"แม่เดือนไม่ค่อยสบาย นอนซมตั้งแต่คืนงานเลี้ยงโน่นล่ะ จนป่านนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น"เจ้าของเรือนถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าเป็นกังวล

"ให้หมอมาดูอาการหรือยังขอรับ"ผู้มาเยือนถามต่อด้วยความเป็นห่วง เพราะสำหรับท่านแล้วคุณเดือนก็เหมือนลูกเหมือนหลานที่เห็นกันมาตั้งแต่ยังเล็ก

"ทั้งหมอไทยหมอฝรั่งยังหาสาเหตุไม่ได้ ถามอะไรรึก็ไม่ยอมพูดจาเอาแต่นอนซมอยู่ในห้อง"

"เช่นนั้น กระผมขอเข้าไปเยี่ยมแม่เดือนสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ"สีหน้าของเจ้าคุณจิตราไม่สู้ดีนักเมื่อได้ฟังอาการป่วยประหลาดที่เจ้าคุณเดโชว่า หากแต่เจ้าของเรือนยังไม่ทันได้ตอบอะไร ผู้เป็นลูกชายที่นั่งเงียบอยู่นานก็โพล่งขึ้นเสียงดังเสียก่อน

"อย่าเลยขอรับ!"ทั้งน้ำเสียงร้อนรนยิ่งทำให้คนรอบข้างสงสัย

"กะ...กระผมคิดว่าควรให้แม่เดือนได้พักผ่อนขอรับ...เพิ่งจะให้บ่าวยกยาเข้าไปให้เมื่อครู่...เห็นทีจะหลับไปเสียแล้วขอรับ"ผมหรี่ตามองอาการของคนตัวใหญ่ที่พยายามข่มเอาไว้ให้เป็นปกติ เจ้าคุณทั้งสองเพียงพยักหน้ารับคำ ผิดกับผมที่ยังคงจดจ้องอีกฝ่ายด้วยความสงสัย...น่าแปลกที่อยู่ดีๆคุณเดือนล้มป่วยแถมยังเป็นวันเดียวกับที่เกิดเรื่องขึ้นกับผมและหลวงพิสิษฐ มันเหมาะเจาะเกินกว่าที่ผมจะคิดได้ว่ามันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แล้วยังเรื่องที่หลวงเจษฎ์มีท่าทีร้อนรนตอนที่เจ้าคุณท่านขอเข้าไปดูอาการอีก อดคิดไม่ได้ว่าคุณเดือนเธอจะรู้เรื่องอะไรเข้าจนถึงขั้นถูกลงไม้ลงมือหรือเปล่า



เมื่อไม่ได้เข้าไปเยี่ยมไข้คนที่ท่านเอ็นดูเหมือนลูกหลาน เจ้าคุณทั้งสองจึงขอลากลับหลังเสร็จธุระโดยมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าคุณเดโชรับอาสาลงไปส่งที่หน้าเรือน



หากแต่เพียงชั่วครู่ที่ผมแหงนหน้ามองหน้าต่างแบบบานพับบนเรือนใหญ่ เงาของใครคนหนึ่งที่ผมจำได้ดีก็ปรากฎขึ้น...รูปร่างบอบบางดูซีดเซียวลงกว่าครั้งสุดท้ายที่ผมได้พบ ใบหน้าหวานระเรื่อตอนนี้กลับอิดโรยหม่นหมอง...คุณเดือนที่ยืนลอบมองพวกผมผ่านหน้าต่างไม้ในห้องนอนสะดุ้งสุดตัวเมื่อสบตาเข้ากับผมที่ยืนขมวดคิ้วแน่นก่อนที่เงาร่างบอบบางของเธอจะหลบหายไปทันที

"มีอะไรรึพ่อธีร์"เจ้าคุณไพศาลชะงักฝีเท้าหันกลับมามองก่อนจะไล่สายตาตามผมขึ้นไปยังบานหน้าต่างที่ตอนนี้ว่างเปล่าเหลือเพียงผ้าม่านโปร่งสีขาวนวลปลิวเอื่อยเพราะแรงลม

"เปล่าครับ"ผมตอบกลับสีหน้าสงสัยของผู้อาวุโสกว่าทว่ารู้สึกได้ถึงสายตาคมกริบของใครอีกคนที่จดจ้องไม่วางตา...หลวงเจษฎารังสรรยืนนิ่งอยู่ข้างรถลากคันใหญ่ที่มีเจ้าคุณจิตราขึ้นไปนั่งคอยอยู่ก่อนหน้า...ใบหน้าขึงขังจับจ้อง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมตวัดสายตามองกลับไม่ลดละ...สีหน้าของเขาแม้แฝงไปด้วยความหวาดระแวงทว่ายังคงแข็งกร้าวน่ากลัวไม่เคยเปลี่ยน...ผมกำมือแน่นพยายามข่มอารมณ์เอาไว้ไม่ให้เผลอปราดเข้าไปต่อยหน้ามันสักทีสองทีให้หายแค้น ถึงอย่างนั้นสายตาที่เคยหลบเลี่ยงคนตัวใหญ่ตรงหน้าเสมอยังคงจดจ้องไม่ยอมแพ้

"ไปเถิดพ่อธีร์"หากแต่เสียงทุ้มของเจ้าคุณไพศาลเรียกสติให้กลับมาก่อนที่ผมจะพาตัวเองตามผู้อาวุโสกว่าขึ้นไปนั่งบนรถลาก ลูกชายเจ้าของเรือนเพียงกล่าวลาพร้อมยกมือไหว้ด้วยท่าทีนอบน้อมขัดกับแววตาดุดันที่ยังคงมองมาที่ผม...แววตาที่ผมเคยคิดว่ามันน่ากลัวแต่ในตอนนี้ผมกลับไม่เกรงกลัวเลยสักนิด เพราะคนที่ควรละอายต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ใช่ผม...แต่เป็นมันต่างหาก...



วงล้อรถเริ่มหมุนวนเมื่อรถลากคันใหญ่ออกตัว พร้อมกับความคิดของผมที่วนเวียนไม่ต่างกัน



ผมควรจะปล่อยเรื่องทั้งหมดให้จบลงแบบนี้หรือ?...ในขณะที่ใครบางคนยังคงนอนซมเพราะบาดแผลที่ถูกทำร้ายอย่างหนัก ซ้ำยังมีใครอีกคนที่ล้มป่วยแบบน่าสงสัยว่าสาเหตุจะมาจากเรื่องเดียวกันทั้งที่เธอเองไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยแม้แต่น้อย แต่ตัวต้นเหตุกลับยังใช้ชีวิตสุขสบายตามปกติ จริงอยู่ที่ท่าทีหวาดระแวงนั่นทำให้เห็นว่าเจ้าตัวไม่ได้สบายใจนักแต่ก็เป็นเพราะเกรงกลัวความผิดเท่านั้น ไม่ใช่เพราะสำนึกในบาปบุญคุณโทษอะไร


แต่คำพูดของหลวงพิสิษฐเองก็มีน้ำหนักไม่น้อย ถ้าผมบอกความจริงให้เจ้าคุณทั้งสองทราบเพื่อจับตัวคนผิดมาลงโทษ ถึงตอนนั้นผู้เป็นพ่อคงไม่ยอมให้ลูกชายเพียงคนเดียวตกเป็นจำเลย ท่านเองก็คงใช้อำนาจเส้นสายช่วยเหลือจนพ้นคดีได้ไม่ยากและยิ่งสร้างความเคียดแค้นให้อีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก สุดท้ายเรื่องอาจไม่ได้จบลงแค่ใครบางคนต้องเจ็บตัวแต่มันอาจร้ายแรงกว่านั้น



...แล้วผมควรทำยังไงดีวะเนี่ย!!!?...




"วันพรุ่งพ่อจะไปที่เรือนหมอเบ็นแต่เช้าเลยหรือไม่"เจ้าคุณไพศาลถามขึ้นเมื่อมาถึงเรือนได้ไม่นานท่านก็ขอตัวกลับโดยมีผมเดินตามลงมาส่งที่ท่าน้ำ สีหน้าของท่านดูสดใสขึ้นมากหลังจากเป็นกังวลอยู่หลายวันเพราะเป็นห่วงอาการของคุณหลวงคนสนิท

"ไปครับ คงออกไปพร้อมเจ้าคุณท่านเลย"เพราะเรือนหมออยู่ห่างจากกรมไม่มากนัก ผมเลยติดสอยห้อยตามเจ้าคุณจิตราไปด้วยทุกวัน จะได้ไม่รบกวนบ่าวที่เรือนต้องไปส่งให้เสียเวลาอีกรอบ

"เราขอบใจพ่อธีร์มากที่ช่วยดูแลพ่อแก้ว เราเองก็วุ่นวายแต่กับงานในกรมไม่มีเวลาไปดูแล ได้พ่อธีร์มาช่วยเราค่อยเบาใจ"ผมรู้ดีว่าท่านเป็นห่วงหลวงพิสิษฐอยู่ไม่น้อยแต่เพราะงานราชการล้นมือทำให้บางวันต้องอยู่โยงที่กรมจนดึกดื่นไม่มีแม้แต่เวลาแวะมาเยี่ยมไข้คนสนิท




"เราขอฝากพ่อแก้วด้วยนะพ่อ"




ผู้อาวุโสยิ้มอ่อนโยน แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ประหลาดในความคิดของผม...ดวงตาคมภายใต้ริ้วรอยบนใบหน้าของท่านแฝงความหมายบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ...รู้เพียงอย่างเดียวว่ามันไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

"คะ...ครับ...เจ้าคุณท่านไม่ต้องเป็นห่วง"ได้แต่อ้อมแอ้มตอบกลับไปเพราะยังไม่แน่ใจในคำพูดของอีกฝ่ายนัก...ไม่อยากคิดไปถึงขั้นที่ว่าท่านสงสัยในความสัมพันธ์ของผมกับคนสนิทของท่าน เพราะหากเป็นเช่นนั้นเจ้าคุณไพศาลคงไม่กล้าฝากฝังให้ผมดูแล...ก็สังคมสมัยนี้มันเปิดกว้างเหมือนยุคของผมเสียเมื่อไหร่ แม้เจ้าคุณท่านเป็นคนใจดีมีเมตตาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีเมตตาไปเสียทุกเรื่่อง




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2015 18:27:36 โดย Vivid_Vuitton »

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0


ผมบอกลาเจ้าคุณไพศาลก่อนจะเดินกลับขึ้นมาบนเรือน...แชมป์นั่งอยู่ในห้องนอน กำลังตั้งอกตั้งใจวาดภาพด้วยแท่งถ่านเล็กๆที่มันเคยบอกว่าใช้งานได้ถนัดกว่าปากกาขนนกที่คนสมัยนี้เขาใช้กันมากนัก จนถึงตอนนี้ภาพที่มันวาดนับรวมกันได้เป็นสิบๆภาพเพราะมันมักใช้เวลาว่างมานั่งขีดเขียนสิ่งที่มันพบเห็นออกมาเป็นภาพวาดเสมอ

"หลวงพิสิษฐไม่ยอมปล่อยตัวเหรอ กลับมาซะมืด"ยังไม่ทันก้าวขาพ้นประตู ไอ้ตัวดีก็แกว่งปากแซวเสียก่อน มันละมือจากภาพวาดเงยหน้าขึ้นมายกยิ้มกวน

"พ่อมึงสิ! กูไปธุระกับเจ้าคุณท่านมา"พอได้ยินผมโวยวายก็หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี

"ธุระที่ไหนวะ"

"เรือนเจ้าคุณเดโช"หากแต่เสียงหัวเราะกวนของแชมป์เงียบลงทันทีที่ได้ยินคำตอบ

"นึกยังไงถึงไป ปกติกูเห็นมึงแทบไม่อยากหายใจร่วมกับไอ้หลวงนั่น"มันหรี่ตาเรียวรีมองตามหลังผมที่เดินมาทิ้งตัวนั่งบนเตียงด้วยความสงสัย

"ไปดูน้ำหน้าคน"ไอ้ตัวดีเงียบไปเพียงครู่ ก่อนจะเบิกตากว้างราวกับเพิ่งนึกอะไรออก มันรีบวางแท่งถ่านลงแล้วจัดแจงเช็ดมือที่เลอะเขม่าจนดำเป็นปื้นก่อนจะปราดตัวเข้ามานั่งข้างๆ

"มึงอย่าบอกนะว่า..."นิ้วชี้ป้อมๆของมันยื่นมาตรงหน้าอย่างรู้ทันเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมพยักหน้ารับแทนคำตอบ

"เชี่ย! แค่จีบมึงไม่ติดแค่นี้ถึงกับจะฆ่ากันเลยเหรอวะ!"เสียงสบถดังลั่นทำให้ผมต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากมันเอาไว้เพราะกลัวคนจะแตกตื่นกันทั้งเรือน ก็เสียงมันเบาเสียที่ไหน เกิดใครได้ยินเข้าได้กลายเป็นเรื่องกันพอดี

"มันไม่ใช่แค่นั้นอ่ะดิ..."ผมเงียบ...เริ่มลังเลว่าจะเล่าทุกอย่างให้มันฟังดีไหม ไอ้แชมป์มันเป็นพวกใจร้อน เกิดมันรู้เรื่องแล้วทำอะไรบุ่มบ่ามขึ้นมา ดีไม่ดีคนที่โดนจับจะกลายเป็นมันเสียก่อน

"มึงมีอะไรที่ยังไม่ได้เล่าให้กูฟังใช่มั้ย"คนถูกปิดปากคาดคั้นอย่างรู้ทัน มันเพียงปัดมือของผมออกแล้วจ้องหน้านิ่งรอฟังคำอธิบาย...เรื่องราวที่ผมไม่เคยคิดจะเล่าให้ใครฟัง แต่เพราะกำลังสับสนจนหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ อย่างน้อยถ้าเล่าให้มันฟังอาจจะได้ไอเดียอะไรดีๆ หรือถ้าไม่ ผมก็สบายใจขึ้นมาหน่อยที่ได้ระบายอะไรออกไปบ้าง

"สัญญากับกูก่อนว่าถ้ารู้เรื่องแล้วจะไม่ทำอะไรบ้าๆ"แม้ไม่แน่ใจนักแต่มันก็ยังพยักหน้ารับ

"มึงสัญญาแล้วนะ"

"เชี่ย กูไม่ใช่เด็กสามขวบ พูดครั้งเดียวรู้เรื่องเว้ย! มึงอย่ามาลีลา มีอะไรจะเล่าก็เล่ามา"ไอ้ตัวดีเริ่มหงุดหงิดเพราะอยากรู้เรื่องเต็มที



ผมมองหน้ามันอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มเล่าทุกอย่างให้มันฟัง...ทั้งเรื่องที่เรือนแพวันนั้น เรื่องที่หลวงพิสิษฐต่อยหน้าไอ้หลวงนั่นจนล้มคว่ำ หรือแม้แต่เรื่องในคืนงานเลี้ยงท่านทูต...แชมป์นั่งอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงในตอนแรก ก่อนที่คิ้วหนาๆของมันจะขมวดมุ่นเมื่อได้ยินเรื่องที่หลวงเจษฎ์ทำกับผมที่เรือนแพ สีหน้าขุ่นเคืองแสดงให้เห็นชัดเจน และยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อมันก็แทบกระโจนลงจากเตียงตั้งท่าจะพุ่งไปที่ประตูทันที ยังดีที่ผมรู้ทันคว้าคอเสื้อด้านหลังมันเอาไว้ได้เสียก่อน

"มึงจะไปไหน!"นั่นไง สัญญากับกูเป็นเรื่องเป็นราวพอเอาเข้าจริงก็เป็นซะแบบนี้

"ปล่อยกู! กูจะไปต่อยแม่งอีกซักที"แล้วมึงช่วยลดความเลือดร้อนลงหน่อยได้มั้ยวะ ตัวอย่างกับหมีดันดิ้นพล่านไม่หยุดอีก กูเหนื่อยครับ!

"ไหนมึงสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรบ้าๆ"

"นั่นมันก่อนที่กูจะรู้ว่ามันเหี้ยแบบนี้ไง! มึงก็ด้วย รู้ว่าเป็นมันแล้วทำไมไม่ให้ตำรวจลากตัวมันเข้าคุกไปเลยวะ ปล่อยแม่งไว้ทำไม"มาเป็นชุด...ช่วยเว้นจังหวะหายใจหน่อยครับ กูได้ยินแล้วจะขาดใจแทน

"โอ๊ย! มึงอยู่เฉยๆฟังกูก่อนดิ"ผมออกแรงกระชากจนตัวมันปลิวลงมานั่งแหมะบนเตียงอีกครั้งได้สำเร็จแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือ แชมป์กำลังโกรธ เป็นอารมณ์ที่ผมไม่ได้เห็นบ่อยนักเพราะปกติมันมักอารมณ์ดีแบบเกินเหตุอยู่เสมอ

"ต่อให้แจ้งตำรวจพ่อมันก็ใช้เส้นสายช่วยได้อยู่ดี มึงเข้าใจรึยังว่าทำไมกูถึงไม่บอก"

"อ้าว! แล้วมึงจะปล่อยมันไว้แบบนี้เหรอไง!"ไอ้ตัวดียังคงโวยวายต่อ

"กูก็ไม่อยากปล่อย ถึงได้เล่าให้มึงฟังนี่ไง"ผมขึ้นเสียงแข่งจนมันเป็นฝ่ายเงียบลงแล้วรอฟังแทน

"คนอย่างมันใช้กฎหมายไม่ได้ผลหรอก พ่อมันใหญ่แค่ไหนมึงก็รู้ แค่ดีดนิ้วเป๊าะเดียวแม่งก็พ้นผิดละ ดีไม่ดีส่งคนมาตามฆ่ากูอีก"ผมปล่อยมือที่รั้งตัวมันเอาไว้ออกเมื่อเห็นท่าทีที่อ่อนลง คิ้วดกหนาของมันพันกันยุ่งเหยิงขณะกำลังใช้ความคิดตามให้ทันคำพูดของผม

"หลวงพิสิษฐบอกให้กูปล่อยให้เรื่องมันจบ แต่กูไม่อยาก เค้าเจ็บขนาดนั้นจะให้กูปล่อยคนทำผิดไว้เฉยๆกูทำไม่ได้ว่ะแชมป์"

"มึงคิดถูกแล้วที่ไม่ยอม แต่กูก็เข้าใจหลวงพิสิษฐ เค้าคงเป็นห่วงกลัวมันจะทำเหี้ยอะไรใส่มึงอีก"น้ำเสียงของมันกลับมาเป็นปกติ มีเพียงสีหน้าที่ยังคงครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

"ถ้าจะเอาคืนก็ต้องทำกันเองนี่แหละวะ"ผมพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไง





"กูนึกออกละ"หลังจากเงียบไปนาน ในที่สุดแชมป์ก็คลี่ยิ้มออกมา รอยยิ้มของมันเจ้าเล่ห์จนผมอดหวั่นใจไม่ได้ว่ามันกำลังคิดจะทำอะไรแผลงๆจนเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาหรือเปล่า

"อะไรวะ?"มันหันมามองพลางยักคิ้วกวนอย่างอารมณ์ดี

"มึงอยู่เฉยๆ เดี๋ยวกูจัดการเอง"

"มึงจะทำอะไร?"แชมป์ไม่ยอมตอบ ยิ่งทำให้ผมสงสัย

"ไอ้แชมป์!"จนผมต้องขึ้นเสียงใส่นั่นแหละ มันถึงยอมพูด

"ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก เอาแค่ให้มันอยู่ไม่เป็นสุขก็พอ หึหึ"ผมล่ะเกลียดเสียงหัวเราะแบบนี้ของมันจริงๆ เพราะเวลามันหัวเราะแบบนี้ทีไรได้มีเรื่องวุ่นวายตลอด ยกตัวอย่างเช่น ตอนมันโยนที่ทับกระดาษบนโต๊ะทำงานของอาต้นเล่นจนพวกผมมาโผล่ที่พระนครนี่ไงล่ะครับ...ถึงเรื่องนั้นจะไม่ได้มาจากความคิดแผลงๆของมันก็เถอะ

"แล้วกูต้องทำยังไงมั่ง"ผมถามขึ้นแต่มันกลับส่ายหน้าหวือ

"ตอนนี้ที่มึงควรทำคือดูแลคุณหลวงหวานใจมึงก็พอนะพ่อธีร์จ๋าาาาา"คนกำลังเครียดเสือกกวนตีน โบกแม่งให้เลยครับ!

"โอ๊ย! ลงไม้ลงมือตลอด เดี๋ยวหัวกูกระทบกระเทือนขึ้นมาไอ้ที่คิดไว้ว่าจะเอาคืนไอ้หลวงเจษฎ์นั่นยังไงหายหมดกูไม่รับผิดชอบนะเว้ย"ยังครับ ยังกวนไม่เลิก

"พอๆ กูซีเรียส...มึงไปเฝ้าไข้หลวงพิสิษฐทุกวันเหมือนเดิมแค่นั้นก็พอ"เห็นผมยกมือตั้งท่าจะโบกให้อีกรอบล่ะรีบซีเรียสขึ้นมาเลยนะมึง

"อ้าว แล้วจะไม่ให้กูทำอะไรเลยเหรอ"จะให้ผมปล่อยมันไปจัดการเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองคนเดียว ผมก็ทำไม่ได้หรอกครับ นี่มันปัญหาของผม ที่เล่าให้มันฟังก็แค่อยากได้ความคิดอะไรดีๆจากมันบ้าง ไม่ใช่ผลักภาระไปให้มันเสียทั้งหมด

"มึงไปถึงเรือนมันขนาดนั้นมันต้องรู้อยู่แล้วว่ามึงรู้ตัวคนผิด ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมันต้องโบ้ยให้เป็นความผิดมึงชัวร์ เพราะงั้นมึงควรอยู่เฉยๆ ไปเฝ้าหลวงพิสิษฐที่เรือนหมอให้คนอื่นเค้าเห็นว่ามึงไม่ได้ออกไปไหน ที่เหลือ...พี่แชมป์จัดการเองครับน้อง"ไอ้ที่บ่นมายืดยาวนั่นผมก็พอเข้าใจ แต่ไม่ได้ช่วยให้ผมไว้ใจมันมากขึ้นเลยครับให้ตายสิ

"เชื่อมือกูเหอะน่า ระดับนี้แล้วไม่ถึงตายหรอก หึหึ"

"ถ้าถึงตายมึงก็เข้าคุกก่อนมันแล้วล่ะ"แถมยังไม่มีพ่อเป็นเจ้าพระยามาพามันออกจากคุกอีกต่างหาก

"แหงสิ ถ้ามันตายมันจะไปเข้าคุกได้ไง ก็ต้องเป็นกูอยู่แล้วครับ!"คำพูดติดตลกของแชมป์เรียกเสียงหัวเราะเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันของผม คิดไม่ผิดจริงๆที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟังเพราะมันทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาก ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของมันก็ทำให้ผมอดระแวงอยู่ลึกๆไม่ได้ ก็ไอ้ความคิดพิสดารไม่เหมือนชาวบ้านเขานี่แหละครับที่ทำให้ผมกลัว แถมมันยังไม่ยอมบอกอีกต่างหากว่าไอ้วิธีที่มันคิดได้นั่นมันคืออะไรแล้วจะให้ผมยอมปล่อยมันไปจัดการคนเดียวได้ยังไงเล่า!



...มันก็ต้องแอบตามไปดูกันบ้างล่ะวะ!...
.

.

.

.

.

"ว่าอย่างไร..."เสียงทุ้มนุ่มดังเรียบขัดกับแววตาคาดคั้นจริงจัง...ผมกำลังถูกสอบสวนครับ ไม่ใช่จากเจ้าหน้าที่ที่ไหนแต่เป็นคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงนี่ล่ะ ตั้งแต่ก้าวขาเข้าห้องมาก็ถูกยิงคำถามใส่ไม่ยั้งอย่างกับผมเป็นจำเลยที่ถูกเบิกตัวขึ้นศาลแล้วถูกทนายฝั่งโจทก์ซักไซร้จนหมดทางสู้ แถมไม่มีผู้พิพากษาคอยห้ามทัพอีก

"พ่อธีร์..."ส่วนเรื่องที่เป็นคดีกันอยู่ตอนนี้ก็คือ...

"ธีร์บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร คุณหลวงจะถามซ้ำทำไมหลายๆรอบครับ"ก็เรื่องที่ผมไปเรือนเจ้าพระยาเดโชศรีวิศาลเมื่อวานนั่นแหละที่ทำให้เขาถามซ้ำไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งตั้งแต่ผมมาถึงเรือนหมอ จนถึงตอนนี้ที่ผมกำลังนั่งเช็ดตัวให้ คนป่วยก็ยังถามย้ำคำเดิมไม่หยุดหย่อน

"เชื่อได้เสียเมื่อไหร่ ดูซี เมื่อวานพี่ห้ามไม่ให้ไปยังไม่ยอมฟัง"หลวงพิสิษฐตีหน้าเครียด คิ้วดกหนาของเขาขมวดมุ่นเมื่อไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ

"ถ้าไม่ไปจะได้เห็นเหรอครับว่าหน้ามันซีดขนาดไหนตอนที่เห็นเจ้าคุณท่านเดินขึ้นเรือน"นึกถึงหน้าของหลวงเจษฎารังสรรเมื่อวานแล้วก็อดขำออกมาไม่ได้ แต่ก็เพียงไม่นานเมื่อถูกสายตาคมกริบมองปรามจนผมหยุดหัวเราะแทบทันที

"เพราะอย่างนี้เมื่อวานถึงได้รบเร้าขอตามเจ้าคุณท่านไปด้วยซีนะ"โดนจับได้เลยตีเนียนไม่ตอบเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไล่มือที่ถือผ้าชุบน้ำอุ่นไปตามหัวไหล่และต้นแขนของคนป่วย...แว่วเพียงเสียงถอนหายใจเบาของอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าผมเงียบไปนาน

"เมื่อวานพี่ขออะไรพ่อธีร์ลืมไปแล้วรึ"ผมไม่ได้เป็นโรคความจำเสื่อมจะไปลืมไปยังไงว่าเขาขอร้องไม่ให้ผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหลวงเจษฎ์ แถมยังไม่ให้ผมบอกความจริงเรื่องคนร้ายกับเจ้าคุณทั้งสองอีก แต่ผมไม่ได้ผิดสัญญาเสียหน่อย

"ธีร์ก็ไม่ได้ทำอะไรที่คุณหลวงห้ามนี่ครับ"เพราะผมไม่ได้ทำทั้งสองอย่างที่ว่ามา...ก็แค่...ไปดูให้เห็นกับตาเท่านั้นเอ๊งงง...แต่ดูท่าคนฟังจะไม่ปลื้มกับคำตอบเท่าไหร่เพราะเขาดันส่งสายตาแกมดุมาให้แทน

"ธีร์รู้ครับว่าคุณหลวงเป็นห่วง..."ร่างสูงโปร่งของเขากระตุกวูบเมื่อผมเผลอเช็ดไปโดนรอยแผลบนต้นแขนที่ยังไม่หายดีจนผมชะงักมือแทบไม่ทัน

"รู้ว่าพี่เป็นห่วงแต่ก็ยังทำ...อย่างนี้เขาเรียกว่ารั้น"โดนดุเข้าให้เลยได้แต่นั่งหน้างอไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย หลวงพิสิษฐที่รับรู้ถึงอาการมึนตึงของผมเพียงถอนหายใจเบาก่อนจะยกมือแตะลงบนข้างแก้มเรียกให้ผมหันกลับไปมอง ดวงตาคมส่องประกายระยับหากแต่วูบไหวด้วยอารมณ์ที่โอนอ่อนลงมากนัก

"ที่พี่เป็นห่วง เพราะหากเกิดอะไรขึ้นกับพ่อธีร์ตอนนี้พี่จะไปช่วยได้อย่างไรเล่า...ลำพังตัวพี่เองเรี่ยวแรงจะขยับตัวหรือก็ไม่มี พ่อธีร์ยังจะให้พี่นอนเป็นกังวลเช่นนี้ทุกวันอีกรึ"ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ รู้ดีว่าเขาเป็นห่วงผมยิ่งกว่าอะไรเพราะทั้งสีหน้าและแววตาที่แสดงออกมันชัดเจนจนผมอดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ที่กลายเป็นตัวต้นเหตุให้คนเจ็บมีเรื่องให้กังวลเพิ่มขึ้นอีก

"คุณหลวงก็รีบหายซักทีสิครับ นอนอยู่เฉยๆแบบนี้ทุกวันไม่เบื่อเหรอไง"ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องหลังจากตกอยู่ในบทสนทนาตึงเครียดมานานเกินไป...คนฟังเพียงยกยิ้ม มือหนาละออกจากแก้มเลื่อนลงมากุมมือของผมเอาไว้แทน

"ไม่เบื่อหรอก...มีพ่อธีร์คอยดูแลแบบนี้พี่จะเบื่อได้อย่างไร"แล้วไอ้มุขหวานเลี่ยนแบบนี้ต่อให้นอนเจ็บขยับตัวไม่ค่อยจะไหวก็ไม่เป็นอุปสรรคสินะ

"พ่อธีร์เล่าเบื่อหรือไม่ที่ต้องมาดูแลพี่ทุกวันเช่นนี้"นอกจากมุขหวานเลี่ยนแล้วยังมีลูกอ้อนแถมให้อีก เมื่อกี้ยังดุผมอยู่เลย เปลี่ยนอารมณ์ไวเหลือเกินนะหลวงพิสิษฐ

"ต้องมาที่เรือนหมอแต่เช้าทุกวันแบบเนี้ย มันก็น่าเบื่ออยู่นะครับ..."ผมลอยหน้าลอยตาตอบ เหลือบไปมองคนบนเตียงหน้าเจื่อนลงแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้ มือที่เกาะกุมมือของผมละออกเพราะอารมณ์น้อยอกน้อยใจของเจ้าตัว



"แต่พอเห็นหน้าพี่แก้ว ธีร์ก็หายเบื่อขึ้นมาเลยล่ะครับ"นึกว่าหยอดเป็นคนเดียวหรือไง อยู่ด้วยกันบ่อยเข้าผมก็ซึมซับอารมณ์แบบนี้ของเขามาเหมือนกัน...แว่วเสียงคนบนเตียงหัวเราะเบาเมื่อได้ยิน


"เช่นนั้นพี่คงต้องทนเจ็บอีกนานให้พ่อธีร์ได้เห็นหน้าพี่ทุกวันแล้วกระมัง"ดวงตาคมพราวระยับพร้อมมือที่กระชับแน่นขึ้นเรียกให้หน้าผมร้อนวาบ...เจอแบบนี้เข้าไปผมคงต้องยอมแพ้...เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือกว่าชลนธีร์ก็มีหลวงพิสิษฐวรเวทย์นี่แหละ...ไม่รู้ไปเรียนมาจากสำนักไหนถึงได้ช่างหยอดช่างล้อไม่ยอมใครจริงๆ




................................โปรดติดตามตอนต่อไป....................................


หายไปนาน อย่าเพิ่งลงหวายบ่าวนะเจ้าคะ  :sad4:
เพิ่งกลับมาจากภารกิจทัวร์ทั่วไทยค่ะ ถึงขั้นแบกคอมไปด้วยว่าจะแต่งต่อให้เร็วขึ้นแต่ไม่มีเวลาเลยจริงๆ (เค้าขอโทษ  :o12:)

มาถึงตอนที่ ๓๒แล้ว ถือว่ามาไกลมากจริงๆค่ะ อีกไม่เกิน๕ตอนก็จะจบแล้ว (ตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่ถ้าพี่แก้วจ่ายใต้โต๊ะงามๆคนแต่งคงต้องเซอร์วิสพระเอกให้มีโมเม้นเยอะอีกหน่อย ฮ่าๆ)

ตอนหน้าพี่แชมป์เค้าจะออกโรงเองแล้วค่ะ พี่แชมป์บอกว่าเรื่องเยอะหนักเดี๋ยวพี่แชมป์จัดการเอง ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาหรือจะยิ่งเพิ่มปัญหาให้เค้าล่ะเนี่ย  :mew5:

ยังไงก็ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตาม รักผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิมค่ะ  :bye2:

ออฟไลน์ soullmate

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อิฉันก้อมิเบื่ออออออ ..... :hao5: :hao5: :hao5: >>>อ๊ายยยยย  อยากรู้ว่าแชมป์จะทำอาราย.... เมื่อไหร่พี่แก้วจะหาย  โอ้ยยยย รออยู่นะค่ะ  สู้ๆๆๆๆ  :impress2: o13 :-[ :กอด1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รอดูแผนการณ์ของพ่อแช่ม ว่าจะสร้างความสะใจให้เราได้มากแค่ไหน

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
คาดว่าพี่แชมป์จะทำให้วุ่นวายกว่าเก่าแต่ก็ดีกว่าปล่อยคนผิดลอยนวล

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
มาต่อแล้ววว เย้ๆๆ คิดถึง พ่อธีร์กับพี่แก้วจุม รอดูความวุ่นวายที่พ่อแช่มจะก่ออย่างใจจดใจจ่อเลยยยจ้าา

ออฟไลน์ PURE LOVE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
พี่แก้วนี่นะ ขนาดเจ็บ ๆ ยังหวานได้ขนาดนี้ นี่ถ้าหายป่วยนะคง... อุ้ย เขินแทนน้องธีร์  :-[
ว่าแต่ แม่เดือนโดนทำร้ายร่างกายสินะ น่าสงสารจัง อยากให้แม่เดือนได้หลุดพ้นจากคนเลว ๆ นั่นจริง ๆ
เข้าใจความรู้สึกน้องธีร์นะ แต่ก็เข้าใจเหตุผลของพี่แก้วด้วย ก็จริงอย่างที่พี่แก้วว่าจริง ๆ
ดีแล้วที่น้องธีร์เล่าเรื่องทั้งหมดให้แชมป์ฟัง ดีกว่าเก็บเรื่องกลุ้มไว้คนเดียว
แล้วอย่างนี้ แชมป์จะทำอะไร หวังว่าจะไม่ทำอะไรเสี่ยง ๆ ให้เป็นอันตรายอะไรนะ
ใกล้จบแล้วเหรอเนี่ย ไม่อยากเลยอ่ะ อยากอ่านฉากหวาน ๆ เยอะ ๆ กว่านี้อีกค่ะ
เพราะฉะนั้นนะ พี่แก้วน้องธีร์ จ่ายใต้โต๊ะงาม ๆ ให้คนเขียน เพื่อแฟนคลับหน่อยน้าาา
หวังว่าเรื่องจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งนะคะคนเขียนจ๋า  :impress:
ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ  :L1:

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
มาต่อซะที ดีจายยยยยยยสู๊ดดดด 2คนนี้หวานขึ้นนะเนี่ย น่าร๊ากกกกกกกกกกกก ฟินฝุดๆ

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
แหม...นี่ขนาดป่วยนะคุณหลวง  :impress2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
นี่ขนาดป่วยนะคะพี่แก้ววววว
หยอดเหมือนสบายดี5555555

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
รอชมแผนการพ่อแช่มค่ะ

ออฟไลน์ befol2e

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนนี้ขอชูป้ายไฟ เชียร์ทีมพี่แชมป์ค่าาา
ต้องจัดให้อยู่หมัดเลยนะคะ คนที่มีอำนาจแล้วมารังแกผู้น้อยเนี่ย!!
อยากรู้จักว่าพี่แชมป์จะจัดการยังไง
คุณหลวงหายไวๆนะคะ จะได้กลับมาดูแลน้องธีร์ (หลังจากให้น้องธีร์ดูแลมาเต็มๆ 2 ตอน)
รอติดตามนะคะ ไม่อยากให้จบเลยง่าาา  :ling1:

ออฟไลน์ uefaza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาตามอ่านรวดเดียวเลยค่ะ สนุกมากๆเลย ทำเอาเราไม่ได้อ่านหนังสือสอบเลยทีเดียว  :hao7: อ่านไปก็นึกไปว่าจะจบแบบไหน ได้แต่ลุ้นไม่ให้จบเศร้า คนแต่งอย่าใจร้ายน้า  :monkeysad:

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษ วันปีใหม่...

หมายเหตุ : เนื้อหาในตอนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักนะคะ ผู้แต่งเพียงแต่งออกมาเพื่อสนองนี๊ดตัวเองเพราะอยากได้อะไรหวานๆในช่วงวันปีใหม่บ้าง  :hao5:


..............................................................................



๓๑ ธันวาคม รัตนโกสินทร์ศก
พระนคร, สยามประเทศ


วันสิ้นปีที่ใครหลายคนพากันตื่นเต้นวุ่นวายกับการจัดงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามาถึง...วันสิ้นปีที่หนุ่มสาวในประเทศไทยสมัยพ.ศ.๒๕๕๗ดูจะมีความสุขกันเป็นพิเศษเพราะส่วนใหญ่มักใช้เวลาหมดไปกับการอยู่กับคนที่ตัวเองรัก ครอบครัว หรือออกไปเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนฝูง...วันสิ้นปีที่ผม...ชลนธีร์ เตชะวณิช เคยใช้ชีวิตทั้งกับพ่อแม่ ญาติสนิท หรือแม้แต่ออกไปกินเหล้าเมาข้ามปีกับเพื่อนๆตั้งไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีที่ผ่านมา

แต่ใครจะไปคิด ว่าวันที่ ๓๑ ธันวาคมของปีนี้...ผมกลับมานั่งแกร่วอยู่ที่ท่าน้ำหน้าเรือนไม้ทรงไทยหลังงามของพระยาจิตรานุวัตร ข้าหลวงคนสำคัญของกรมการต่างประเทศ พร้อมกับไอ้ฐิติกรณ์ ธนกิจนุกูล โดยไม่มีวี่แววของการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ให้เห็นเลยสักนิด...


ก็วันขึ้นปีใหม่สมัยนี้ มันตรงกับวันที่ ๑ มกราคม ซะที่ไหนกันเล่า!!!


"เบื่อสัด..."เสียงบ่นรอบที่สิบของวันที่ผมได้ยินจากคนที่นั่งท้าวคางกับขอบที่นั่งของท่าน้ำใหญ่หน้าเรือน ดวงตาเรียวรีของมันเหม่อลอยไปยังคลองสายเล็กเบื้องล่างราวกับไม่ได้มองมันเสียนานทั้งๆที่ตัวเองก็ใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนนี้นานจนเกือบลืมบ้านจริงไปแล้ว

"ปกติกูไม่ค่อยตื่นเต้นกับวันปีใหม่เท่าไหร่หรอกนะ...แต่ปีนี้มัน...น่าเบื่อไปมั้ยวะ"คนขี้บ่นก็ยังบ่นไม่ยอมหยุด ผมเหลือบสายตากลับไปมองความเป็นไปรอบๆตัวเรือน เห็นพี่สนแกยืนก้มๆเงยๆอยู่แถวซุ้มต้นมะลิข้างเรือนใหญ่ คงกำลังรดน้ำพรวนดินอย่างที่แกเคยทำอยู่บ่อยๆ...ครู่หนึ่งก็เห็นพี่บุญมีเดินผ่านหน้าแกไปพร้อมถาดสำรับของหวานในมือมุ่งหน้าขึ้นเรือน...อีกฟากไอ้มิ่งกำลังหอบกระจาดมะม่วงลูกโตที่เพิ่งเก็บได้จากต้น คงเอาไปให้ป้าน้อยที่โรงครัวคิดเมนูของหวานหรือไม่ลูกสาวคนเล็กของเรือนก็อาจจะลงมาโชว์ฝีมือเอง

บรรยากาศรอบตัวของผมในวันนี้เรียกได้ว่า...ปกติโดยสิ้นเชิง...แหงล่ะ! ก็สำหรับคนพวกนั้น วันนี้มันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่งเท่านั้นเองนี่ครับ

"ถ้าตอนนี้กูอยู่บ้านคงได้ชวนพวกไอ้โจ๊กไอ้ต่อไปหาที่เคาท์ดาวน์ถึงไหนต่อไหนละ"และถ้าผมยังอยู่กับมันตอนนั้นพวกมันก็คงยกพวกกันมาลากตัวผมถึงบ้านให้ออกไปหาเหล้ากินฉลองปีใหม่เหมือนทุกปีแล้วเหมือนกัน

"มึงบ่นไปก็ไม่มีใครเค้ามาจัดงานปีใหม่ฉลองให้มึงหรอก"

"กูบ่นเฉยๆ...มึงนี่แม่ง ไม่เข้าใจกูเล้ย!"ใครบอกว่าผมไม่เข้าใจ เอาจริงๆผมก็เบื่อ ถึงผมไม่ใช่คนใส่ใจกับเทศกาลสำคัญเท่าไหร่นักแต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นจนชินทุกๆวันสิ้นปี คือภาพผู้คนที่กำลังตื่นเต้นกับการเฉลิมฉลอง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของคนรอบตัว และบรรยากาศชื่นมื่นอบอวลด้วยความสุขปกคลุมฟุ้งไปทั่ว


ผมไม่ใช่คนใส่ใจกับเทศกาลสำคัญ...แต่บรรยากาศความสุขแบบนั้นต่างหากที่ทำให้ผมคิดถึง...




"มานั่งทำอะไรกันอยู่ตรงนี้เล่าพ่อ"เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้นพร้อมกับเรือพายที่เพิ่งเข้าเทียบท่า...เจ้าคุณผู้มาเยือนยิ้มละไมทักทายพวกผมที่นั่งหายใจทิ้งกันอยู่จนสะดุ้งโหยงลุกขึ้นมายืนต้อนรับกันแทบไม่ทัน ท่าทีลุกลี้ลุกลนทำเอาผู้อาวุโสหลุดหัวเราะเบาไม่ต่างจากคนสนิทที่ก้าวเท้าขึ้นท่าน้ำตามหลังท่านมาติดๆ ใบหน้าคมอมยิ้มอย่างคนอารมณ์ดีขณะยกมือขึ้นรับไหว้ผมกับแชมป์

"เดี๋ยวผมไปเรียนเจ้าคุณจิตราให้นะครับว่าเจ้าคุณท่านมาหา"เจ้าคุณไพศาลยิ้มรับก่อนเดินตามแชมป์ไปทางเรือนใหญ่ เหลือเพียงคุณหลวงคนสนิทที่ชะงักฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้เดินตามไปด้วย

"ไม่ขึ้นไปบนเรือนด้วยกันหรือพ่อ"

"เพิ่งลงมาเมื่อกี้เองครับ"เพราะนั่งอ้อยอิ่งมองความ'ปกติ'บนเรือนใหญ่มาตั้งแต่เช้าจนเริ่มเบื่อ ถึงได้ชวนกันลงมานั่งเล่นริมท่าน้ำได้เพียงครู่คนถามก็มาถึงเรือนพอดี

"เช่นนั้นรอพี่สักครู่ พี่ขึ้นไปไหว้เจ้าคุณท่านประเดี๋ยวจะลงมาหา"ผมพยักหน้ารับคำแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเดินขึ้นเรือนไปเพียงลำพังพลางมองตามแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงที่วันนี้ไม่ได้สวมชุดราชการเช่นที่เห็นบ่อยครั้งแต่เป็นเพียงเสื้อคอตั้งแขนยาวสีน้ำตาลอ่อนกับโจงกระเบนสีเข้ม ถึงอย่างนั้นก็ยังคงสง่างามเช่นเคย



นั่งรอที่ท่าน้ำได้ไม่นานเจ้าตัวก็เดินลงมาจากเรือนใหญ่พร้อมกับแชมป์แต่ไอ้ตัวดีดันขอตัวเดินเลี่ยงไปทางโรงครัว คงไปหาอะไรทำแก้เบื่อตามประสาคนอยู่ไม่สุขแบบมัน เหลือเพียงคนตัวสูงที่เดินตรงเข้ามาหาที่ท่าน้ำ...ใบหน้าคมเจือรอยยิ้มบางก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม

"วันนี้มีธุระที่ใดหรือไม่พ่อ"ผมขมวดคิ้วมุ่นมองหน้าคนที่เพิ่งตั้งคำถาม

"ปกติถ้าไม่ได้ไปช่วยงานคุณหลวงที่เรือน ธีร์ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ"นอกจากอยู่ช่วยงานพวกพี่สนกับมิ่งแล้ว ชีวิตประจำวันของผมก็แทบไม่ได้ทำอะไร แค่นั่งๆนอนๆอยู่ที่เรือนนี้กับไอ้แชมป์เท่านั้นแหละ...เจ้าตัวเองก็รู้ดีอยู่แล้วจะมาถามผมทำไมวะ?

"เช่นนั้นไปที่เรือนกับพี่ได้หรือไม่"หลวงพิสิษฐ์ยังคงยกยิ้มบางให้ผมสงสัยหนักกว่าเดิม

"มีอะไรเหรอครับ"

"วันนี้เจ้าคุณท่านจะกลับเรือนใหญ่"ข้ออ้างที่ผมมักได้ยินเสมอเมื่อเจ้าตัวหาเรื่องชวนไปที่เรือนทั้งที่ไม่มีงานอะไรให้ทำถูกยกมาอ้างอีกครั้ง แต่จะเรียกว่าข้ออ้างก็ไม่ใช่เสียทีเดียวเพราะพักหลังมานี้เจ้าคุณไพศาลท่านกลับไปที่เรือนใหญ่บ่อยๆ ท่านเพิ่งได้หลานชายน่ะครับ กำลังเห่อหลานชายคนแรกจนเทียวไปเทียวมาระหว่างสองเรือนไม่ขาด คุณหลวงลูกชายท่านเองก็เป็นห่วงไม่อยากให้ผู้เป็นพ่อต้องเดินทางไปกลับตอนกลางคืนถึงได้รบเร้าให้อยู่ค้างด้วยเสมอ...วันนี้ก็เหมือนกัน

"แล้วคุณหลวงไม่ไปกับเจ้าคุณไพศาลล่ะครับ ให้ท่านไปคนเดียวไม่เป็นห่วงเหรอ"

"โถพ่อ เจ้าคุณท่านยังแข็งแรงนักจะให้พี่เป็นห่วงอย่างไรเล่า ประเดี๋ยวพ่อเทพเขาก็ให้คนจากเรือนมารับที่นี่ หากพี่ไปด้วยท่านได้รบเร้าขอกลับเรือนริมน้ำเสียอีกเพราะไม่อยากอยู่รบกวนลูกชายท่าน"คนตัวสูงหัวเราะเบาอย่างรู้ทัน ก็ปกติพอเขายกเรื่องเจ้าคุณท่านไปเรือนใหญ่ขึ้นมาทีไรผมต้องตอบกลับแบบนี้ทุกที...ไม่ได้หาข้ออ้างไม่ไปหรอกครับ แต่เป็นห่วงกลัวเจ้าคุณไพศาลท่านเดินทางไปไหนมาไหนเพียงลำพังเพราะปกติมักมีคนตัวสูงนี่ติดสอยห้อยตามไปด้วยเสมอ

"ก็เพราะคุณหลวงไม่ยอมไปด้วยน่ะสิ หลวงเทพถึงต้องให้คนมารับเจ้าคุณท่านเองเพราะเป็นห่วง"ผมลอยหน้าลอยตาตอบแบบคนไม่ยอมแพ้ หากแต่ประโยคถัดมาของเขากลับทำให้ผมเงียบกริบ


"เจ้าคุณท่านอยากพบหน้าหลานชาย...พี่เองก็อยากอยู่กับคนของพี่บ้าง ไม่ได้เชียวหรือ"ก็แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหนล่ะเว้ย!?


"คะ...คนของคุณหลวง ที่ไหนกันล่ะครับ"ปากยังเถียงแต่หน้านี่ร้อนไปถึงหูแล้วครับไอ้ธีร์ แถมเจ้าตัวยังดูพออกพอใจที่ได้แกล้งผมอีกต่างหากเพราะเขาเอาแต่นั่งยิ้มกริ่มไม่หุบ

"ก็คนตรงหน้าพี่นี่อย่างไร...หรือพ่อธีร์จะบอกว่าไม่ใช่"เงียบครับเงียบ...เจอแบบนี้ไม่รู้จะเถียงอะไรต่อเลยได้แต่เอาความเงียบเข้าสู้ซะเลย

"ไปเถิดพ่อ...พี่ให้แม่ชื่นเตรียมสำรับเย็นไว้รอ หากพ่อไม่ไปแม่ชื่นเขาจะน้อยใจเอาเสียอีก"น้ำเสียงนุ่มกลั้วเสียงหัวเราะเบายังคงชักแม่น้ำทั้งห้าหาข้ออ้างพาตัวผมไปที่เรือนให้ได้...ไม่อยากจะบอกเลยว่าผมจนปัญญาปฏิเสธตั้งแต่ข้อแรกที่อ้างมาแล้วล่ะครับ ไม่ต้องยืดยาวมาจนถึงเรื่องป้าชื่นหรอก

"เล่นดักไว้ทุกทางแบบนี้ ถ้าบอกว่าไม่ไปก็ไม่ได้แล้วสินะครับ"สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้คนเจ้าคารมทุกที






บรรยากาศช่วงบ่ายคล้อยที่เรือนทรงยุโรปของเจ้าคุณไพศาลเองก็ไม่ได้ต่างจากที่เรือนเจ้าคุณจิตรามากนัก ทั้งยังบ่าวไพร่บนเรือนที่มีจำนวนน้อยกว่ายิ่งทำให้เรือนนี้ดูเงียบเหงาขึ้นไปอีก...อันที่จริงก็เงียบสงบเป็นปกตินั่นแหละครับ แต่เพราะความคิดของผมที่เอาแต่ยึดติดว่ามันเป็นวันสิ้นปีที่ควรจะมีแต่เสียงหัวเราะเฮฮาและบรรยากาศชื่นมื่นเลยพาให้ยิ่งอึมครึมหนักกว่าเก่า...คงมีแต่ป้าชื่นที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษที่เห็นผมมาที่เรือนเพราะแกกลัวว่าสำรับที่เตรียมไว้จะเป็นหม้าย ก็ป้าชื่นแกขนทำกับข้าวเสียเยอะแยะ ถ้าผมไม่ยอมมาเห็นทีจะกลายเป็นลาภปากพวกบ่าวไพร่บนเรือนไปแทน


หลังสำรับเย็นผมก็พาร่างตัวเองออกมานั่งตากลมที่ศาลาแปดเหลี่ยมข้างเรือนเหมือนทุกที...ลมเอื่อยยามเย็นพัดโชยให้ผืนเจ้าพระยาเบื้องหน้ากระเพื่อมไหวสะท้อนแสงอาทิตย์สีทองส่องประกายระยิบระยับชวนมอง...ทั้งยังกลิ่นดอกโมกหอมกรุ่นที่ขึ้นอยู่ข้างศาลายิ่งทำให้ผ่อนคลาย...ดอกโมกสีขาวนวลคล้ายกับดอกแก้วหากแต่กลิ่นหอมละมุนฟุ้งยังสู้กลิ่นหอมหวานของดอกแก้วไม่ได้

"เมื่อไหร่ต้นแก้วจะออกดอกนะครับ"ผมท้าวคางมองต้นแก้วเขียวครึ้มพลางบ่นลอยๆจนคนข้างๆทอดสายตามองตาม

"เข้าหน้าฝนปีหน้ากระมัง"แต่คำว่า'ปีหน้า'ของเขาทำเอาลมหายใจของผมสะดุด

"แล้วปกติคุณหลวงทำอะไรตอนวันปีใหม่เหรอครับ"คำถามที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องดอกแก้วเมื่อครู่แม้แต่น้อยจนคนฟังยังอดขมวดคิ้วตามอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงกระทันหันของผมไม่ได้

"ปีใหม่รึ...ยังอีกตั้งหลายเดือน"สำหรับเขายังอีกหลายเดือนนัก แต่สำหรับผม...มันเหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น...ให้ตายสิ! เวลาแค่ร้อยกว่าปีมันทำให้อะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดที่วันปีใหม่ก็ยังไม่ตรงกันเลยเหรอวะ?!



"พ่อธีร์...เป็นอะไรหรือ พี่เห็นพ่อธีร์เงียบเสียตั้งแต่เมื่อตอนสำรับเย็น"เพราะอารมณ์อึมครึมของผมมันคงชัดเจนเสียจนคนข้างๆอดถามขึ้นมาไม่ได้

"เปล่าครับ"ไม่รู้จะตอบอะไรเลยได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ จะว่าผมงี่เง่าก็คงไม่ผิด ก็นี่มันเป็นวันสิ้นปีที่ช่างเงียบเหงาและราบเรียบเกินกว่าสิ้นปีไหนๆที่ผมเคยผ่านมา...ความจริงผมควรพอใจที่อย่างน้อยผมก็ได้ใช้เวลาในวันนี้กับคนข้างๆและก็คงอยู่โยงไปจนถึงวันขึ้นปีใหม่เพราะอย่างไรเสียเขาก็คงไม่ยอมปล่อยผมกลับเรือนง่ายๆ...แต่ทำไมผมยังรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้ล่ะเว้ย!



"เมื่อครู่พ่อธีร์ถามพี่เรื่องวันขึ้นปีใหม่..."เมื่อเห็นผมไม่ตอบอะไรเขาเลยวกกลับเข้าเรื่องเดิมแทนคงเพราะไม่อยากให้บรรยากาศอึมครึมไปมากกว่าเก่า

"พี่ไม่ได้ทำอะไรมากนักหรอกพ่อ ก็ไปวัดทำบุญเหมือนเช่นชาวพระนครคนอื่นเขาแลกราบขอพรจากเจ้าคุณไพศาลท่านเท่านั้น"เสียงทุ้มนุ่มอธิบายให้ฟัง ซึ่งสิ่งที่เขาเล่ามาก็ไม่ได้ต่างจากกิจกรรมในวันปกติของคนในสมัยนี้นัก

"แล้วพ่อธีร์เล่า...คนกรุงเทพเขาทำอะไรกันบ้างหรือ"ดวงตาคมส่องประกายระยับเมื่อถามถึงเรื่องในอนาคต

"วันปีใหม่สมัยผมเค้าเริ่มนับกันตั้งแต่คืนสิ้นปีครับ"คิ้วดกหนาของหลวงพิสิษฐขมวดมุ่นทันทีด้วยความสงสัย

"คืนสิ้นปีรึ"

"ใช่ครับ...พอถึงคืนสิ้นปีทุกคนก็จะออกไปหาที่ฉลองกัน บางคนก็ไปกินข้าวกับครอบครัวหรือคนสำคัญ ไม่ก็ไปเลี้ยงฉลองกับเพื่อน...แล้วพอใกล้ถึงเที่ยงคืนพวกเราก็จะคอยนับถอยหลังให้ถึงวันปีใหม่น่ะครับ"ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดให้คนที่อยู่ในช่วงเวลาที่ต่างกันเข้าใจได้มากที่สุด...เพราะถ้าในสมัยที่ผมจากมาแค่บอกว่า countdownคำเดียวทุกคนก็พยักหน้าเข้าใจกันหมด

"พ่อธีร์ก็ทำเช่นนั้นรึ...พี่หมายถึง...อยู่กับครอบครัว คนสำคัญ หรือเพื่อน"คนขี้สงสัยยังถามต่อ เพราะสำหรับเขาแล้วนี่คงเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เจ้าตัวเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

"ตอนที่พ่อกับแม่ยังอยู่ธีร์จะฉลองปีใหม่กับพ่อแม่ตลอด...แต่พอท่านเสียส่วนใหญ่จะออกไปกับเพื่อนน่ะครับ"

"แล้วคนสำคัญเล่า"ดวงตาคู่สวยจดจ้องราวกับคาดคั้นเอาคำตอบ...สำหรับผมแทบไม่เคยอยู่ฉลองเทศกาล
แบบนี้กับคนสำคัญที่ว่าสักครั้ง...จะมีก็ปีที่แล้วที่แพมชวนไปฉลองปีใหม่หลังจากเริ่มคบกันได้ไม่นาน ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยนับว่าเป็นการฉลองเทศกาลกับคนสำคัญจริงจัง เพราะสำหรับผมแล้ว แพมก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเคยมีช่วงเวลาดีๆด้วยแต่ไม่ใช่คนที่ผมผูกพันถึงขั้นตัดขาดไม่ได้

"ไม่มีหรอกครับ"และถ้าจะมีก็คงเป็นปีนี้...ที่คนสำคัญของผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยต่างหาก!

"เช่นนั้น...วันขึ้นปีใหม่ปีหน้าพ่อธีร์มาอยู่กับพี่ซี จะได้ถือว่าอยู่กับคนสำคัญ"คนไม่รู้ยังคงยกยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดีจนน่าหมั่นไส้ ถึงอย่างนั้นก็ช่วยให้ก้อนเมฆที่ครึ้มอยู่ในใจของผมจางลงไปได้บ้าง

"หลงตัวเองอีกแล้วนะครับหลวงพิสิษฐ"ผมหัวเราะเบาให้กับความมั่นอกมั่นใจเกินเหตุของคนข้างๆ แต่ปากยังคงหนักเกินกว่าจะให้บอกออกไปว่าสำหรับผมแล้ว มันคือตอนนี้ต่างหากที่ผมได้ใช้เวลาร่วมกับคนสำคัญในวันพิเศษ

"แล้วกัน...พ่อธีร์ไม่นับพี่เป็นคนสำคัญเลยหรือ ทั้งที่พี่เองให้ความสำคัญกับพ่อถึงเพียงนี้"แล้วไอ้คำพูดน้อยอกน้อยใจเป็นเด็กๆนี่ใครเขาสอนมากันครับหลวงพิสิษฐ



สุดท้ายบทสนทนาที่ศาลาริมน้ำก็จบลงที่ทั้งผมและเขาเอาแต่เถียงกันเรื่องคนสำคัญหรือไม่สำคัญจนผมเกือบลืมเรื่องที่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวไปเสียสนิท ถ้าไม่ติดที่คืนนั้นผมดันทะลึ่งตื่นขึ้นมาตอนกลางดึกแล้วไม่สามารถข่มตาหลับต่อได้จนต้องพาตัวเองลงมานั่งอยู่ที่ห้องรับแขกชั้นล่างของเรือนเพราะไม่อยากรบกวนคนกำลังหลับสบาย


ไฟสีส้มนวลถูกเปิดขึ้นให้ความสว่างแก่ห้องรับแขกขนาดใหญ่ของเรือน...ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาไม้ทรงฝรั่งตัวยาวพลางทอดสายตามองนาฬิกาลูกตุ้มแบบตั้งพื้นเรือนโตที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก...เข็มของนาฬิกาชี้บอกเวลา ๕ทุ่ม๕๐นาที...อีกแค่๑๐นาทีที่ชีวิตของผมจะก้าวเข้าสู่ปีใหม่ขณะกำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาร้อยกว่าปีก่อนที่ผมจะเกิด นับเป็นเรื่องแปลกและคงไม่มีใครเคยพบเจอเรื่องแบบนี้ นอกจากผมกับแชมป์และละครหลังข่าวที่ผมเคยดูหลายๆเรื่อง...ปีที่ผ่านมาผมผ่านเรื่องอะไรต่ออะไรมามากมายหลายอย่าง...ทั้งการเดินทางข้ามเวลาจนได้มานั่งอยู่ที่นี่ในตอนนี้...การได้พบกับบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของผมในอดีต ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกอีกโลกที่ผมไม่เคยรู้จัก มีเพื่อนแท้ที่คอยเป็นห่วงเป็นใยคอยตามหาพวกผมเวลาที่หายตัวไปหลายๆอาทิตย์...หรือแม้แต่...การได้พบกับคนสำคัญที่สุดในชีวิตรองจากพ่อกับแม่...คนที่ผมไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบหากยังคงใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบัน...คนที่ใครบางคนกำหนดเส้นทางของทั้งผมและเขาให้ได้โคจรมาพบกันในที่สุด...คนสำคัญที่ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยไม่ว่าจะปีนี้หรือปีไหนๆ และเป็นคนที่ทำให้ผมนึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมได้มาอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้

"เอาวะ อย่างน้อยก็ยังทันเคาท์ดาวน์"ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองราวกับคนบ้า...ผมไม่ได้ใส่ใจกับการเฉลิมฉลองในเทศกาลนี้เท่าไหร่หรอกครับ แต่สิ่งที่ผมให้ความสำคัญ คือการนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ต่างหากเพราะผมถือว่ามันเหมือนการที่ผมกำลังก้าวขาทีละก้าวเข้าไปสู่สิ่งใหม่ๆของปีถัดไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือร้ายมันก็เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับผมเสมอ


"๑๐...๙...๘..."เข็มของนาฬิกาที่เดินเป็นจังหวะพร้อมกับเสียงของผมที่เริ่มนับถอยหลังเพียงลำพังภายในห้องนั่งเล่นกว้างขวาง...จะว่าเหงามันก็เหงาชะมัดเพราะนอกจากจะต้องมานั่งนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่คนเดียวแล้ว คนสำคัญที่นึกอยากอยู่ด้วยก็ดันนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ข้างบนนี้เอง...ชีวิตใครจะรันทดเท่าชลนธีร์คนนี้คงไม่มีแล้วล่ะครับ!


"๕...๔...๓(๓)...๒(๒)...๑(๑)"หากแต่เสียงทุ้มนุ่มที่ดังคลอกับเสียงนับถอยหลังของตัวเองเรียกให้ผมหันกลับไปมองทันที...ร่างสูงโปร่งคุ้นตาที่เข้ามายืนประชิดด้านหลังโซฟาโดยที่ผมไม่รู้ตัว...ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางยิ่งส่งให้นัยน์ตาคู่สวยส่องประกายระยับชวนมอง...รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อตอนที่ใบหน้าคมโน้มลงใกล้แทบแนบสนิทจนได้ยินประโยคถัดมาชัดเจนกว่าเก่า



"สวัสดีปีใหม่นะพ่อ"คำพูดที่ทำเอาผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจปนสงสัย


"คุณหลวง!...ทำไม?"นั่นสิครับทำไม...ทำไมเขาถึงรู้?!

"หากนับตามพวกฝรั่ง วันนี้เป็นวันปีใหม่ไม่ใช่หรือ คนกรุงเทพเขาก็คงถือเอาตามพวกฝรั่ง ไม่เช่นนั้นพ่อธีร์คงไม่ลงมานับเลขอยู่ลำพังแบบนี้"

"เอ๊ะ?!"ไม่ต้องส่องกระจกดูก็รู้ว่าตอนนี้บนหน้าของผมมีเครื่องหมายคำถามอันเบ้อเร่อแปะอยู่...หลวงพิสิษฐเพียงหัวเราะเบากับท่าทีประหลาดของผม ก่อนจะเดินอ้อมโซฟาตัวยาวมายืนเต็มความสูงอยู่ตรงหน้าจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง

"พ่อธีร์นี่ก็จริงเชียว ไม่บอกพี่ให้รู้เสียบ้าง"น้ำเสียงแกมดุหากแต่ใบหน้ายังคงยิ้มอ่อนโยน

"ก็ธีร์..."ธีร์กลัวว่าคุณหลวงจะมองว่าไร้สาระ...อยากพูดแบบนี้แต่สุดท้ายก็กลืนมันกลับเข้าไปเสียหมดเหลือเพียงความเงียบเพราะยังตกใจไม่หาย

"ขึ้นไปข้างบนเถิด...พี่มีของจะให้"ยังไม่ทันได้ตอบรับอะไรก็ถูกจูงมือตามขึ้นไปบนห้องเสียก่อน...ผมไม่ได้ตกใจที่เขารู้วันหรอกครับเพราะเจ้าตัวเองก็บอกไปแล้วเรื่องการนับวันตามแบบสากลที่เขาก็คงรู้ดีหลังจากไปใช้ชีวิตต่างประเทศมาถึงสองปี...แต่ที่ผมสงสัย...คือคนที่ไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไรกับวันปีใหม่ของพวกชาวตะวันตกจนถึงกับเข้านอนแต่หัวค่ำเป็นปกติแล้วตื่นขึ้นมากลางดึกเพียงเพื่อลงมาบอกสวัสดีปีใหม่กับผม...นั่นต่างหากที่ทำให้ผมแปลกใจ


"เผลอหลับไปครู่เดียว ตื่นขึ้นมาไม่เห็นพ่อธีร์เสียแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเย็นพ่อธีร์ถามพี่เรื่องวันขึ้นปีใหม่"เผลอหลับไปครู่เดียวของเขาคือการที่เจ้าตัวหลับสนิทตั้งแต่สองทุ่มแล้วนอนนิ่งอยู่ท่าเดิมจนผมนึกว่าจะตื่นอีกทีเอาตอนสายของอีกวันโน่นล่ะครับ

"แต่ถึงพ่อธีร์ไม่บอก พี่ก็ตั้งใจมอบสิ่งนี้ให้พ่อในวันนี้แต่แรกเพราะเกรงว่าพี่คงรอให้ถึงวันขึ้นปีใหม่ของชาวสยามไม่ไหว"หลวงพิสิษฐละมือออกจากข้อมือที่จับจูงแล้วเอื้อมไปเปิดลิ้นชักของตู้หัวเตียงก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างที่เจ้าตัวอ้างถึงออกมาถือเอาไว้

"ถือเสียว่าเป็นของขวัญวันขึ้นปีใหม่จากพี่ก็แล้วกัน"ใบหน้าคมประดับรอยยิ้มชวนมองพร้อมกับมือหนาที่วางทาบทับลงบนฝ่ามือของผมหากแต่คราวนี้กลับสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของวัตถุเย็นเยียบในมือ...ผมยกมันขึ้นดู...วัตถุทรงกลมร้อยโซ่ห้อยสีทองต้องแสงไฟจนส่องประกายวิบวับ เมื่อกดสลักด้านบนให้เปิดออกถึงได้เห็น...หน้าปัดของนาฬิกาพกที่ตอนนี้บอกเวลาว่าเลยเที่ยงคืนของวันใหม่มาได้ไม่นาน...เข็มวินาทีหมุนวนจนเกิดเสียงดังเป็นจังหวะ...เชื่องช้าแต่กลับน่าฟัง

"นาฬิกาพก?"ผมมองวัตถุสีทองในมือที่เปิดอ้าสลับกับใบหน้าคมของเจ้าของเดิมสลับไปมา...ทั้งความตกใจ ประหลาดใจฉายออกมาทางสีหน้าของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด...แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้...ผมดีใจ...ทั้งที่มันก็เป็นเพียงของชิ้นเล็กๆดูโบราณในสายตาของผม แต่กลับมีคุณค่าเมื่อถูกหยิบยื่นจากคนตรงหน้า

"พี่ซื้อไว้ตั้งแต่คราไปเล่าเรียนที่เมืองฝรั่ง ตั้งใจว่าจะมอบให้แก่คนสำคัญ...รอมาหลายปีนึกว่าจะไม่มีโอกาสได้ให้ใครเสียแล้ว"คำว่า'คนสำคัญ'มันเป็นคำสั้นๆที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผมนะครับ...โดยเฉพาะคนสำคัญในความหมายของคนตรงหน้านี่...คนสำคัญที่เขานึกถึงตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นใคร ถึงอย่างนั้นก็ยังให้ความสำคัญถึงขนาดที่ซื้อของแทนใจมาเก็บไว้...สำหรับผม ไม่รู้จะเรียกมันว่าความโชคดีหรือความยินดีที่ได้เป็นคนๆนั้นสำหรับเขาทั้งที่ตัวเองก็เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้มีข้อดีโดดเด่นอะไร


"แล้วทำไมต้องนาฬิกา...ทำไมต้องวันปีใหม่ครับ?"แต่ก็ยังสงสัยไม่หายอยู่ดี...ของแบบนี้หากเขานึกจะให้เมื่อไหร่ก็ทำได้ ไม่เห็นต้องรอให้ถึงวันพิเศษหรือเทศกาลไหนๆ เพราะถ้าเป็นผมนึกอยากจะให้ของใครขึ้นมาสักชิ้น ผมก็คงไม่รอจนถึงวันสำคัญ...ก็สิ่งของและบุคคลต่างหากที่สำคัญกว่าเทศกาลพวกนั้นเป็นไหนๆ

"นาฬิกาเป็นเครื่องชี้บอกเวลา...สำหรับพี่การให้นาฬิกาในวันขึ้นปีใหม่..."



"นั่นหมายถึงเวลาของพี่ทั้งหมดในปีนี้...เป็นของพ่อธีร์คนเดียวอย่างไรเล่า"



ไม่ต้องรอให้เขาอธิบายอะไรยืดยาว เพียงแค่คำพูดนั้นก็ทำเอามือที่ถือสิ่งนั้นสั่นจนแทบปล่อยมันให้ร่วงไปเสีย หากแต่มือหนาที่ยื่นมาประคองซ้อนเอาไว้คงรับรู้ถึงได้ประสานเข้าจนผมกำวัตถุในมือแน่น...ดวงตาที่เบิกกว้างเพราะคำพูดเมื่อครู่สบเข้ากับนัยน์ตาคู่สวยส่องประกายระยับตรงหน้าที่สามารถดึงความสนใจไว้ได้เสมอ เช่นเดียวกับริมฝีปากหยักเจือรอยยิ้มปรายเกือบทุกเวลา

"ต่อจากนี้ไม่ว่าพ่อจะไปอยู่ที่ใด ต้องกลับไปยังที่ที่พ่อจากมาหรือไม่ พี่ขอให้พ่อธีร์ระลึกเอาไว้ทุกคราที่ได้มองนาฬิกาเรือนนี้...ว่าพี่จะออกตามหาและรอคอยเวลาที่จะได้พบพ่อธีร์ เช่นเดียวกับเข็มของนาฬิกาที่ไม่ว่าจะเดินไปข้างหน้าสักกี่ครา ท้ายสุดแล้วก็ยังเวียนมาบรรจบยังจุดเดิม"เคยได้ยินคำว่า ดีในจนน้ำตาแทบไหลไหมครับ?...ผมกำลังเป็นแบบนั้นเพราะไม่มีคำพูดใดที่สามารถอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้เลย...มันไม่ใช่เพราะคำพูดหวานซึ้งชวนเลี่ยนนั่น หรือแม้แต่สิ่งของที่ผมกำลังถืออยู่ในมือ...แต่เป็น...ความรู้สึกของคนตรงหน้าที่ส่งผ่านออกมาต่างหาก...เขา ผู้ซึ่งรับรู้ทุกเงื่อนไขของผมแต่ยังเลือกที่จะจับมือของผมเอาไว้ เลือกที่จะรอคอยทั้งที่รู้ดีว่าในวันข้างหน้าผมอาจต้องกลับไปยังที่ที่จากมา เลือกที่จะให้ความสำคัญทั้งที่รู้ดีว่าต้องพบกับแรงกดดันมากมายเพียงใด...ทั้งกฎเกณฑ์ของสังคม...ฐานะที่เป็นอยู่ หรือแม้แต่...ช่วงเวลาที่แตกต่าง...


และคำตอบของผม...คงมีเพียงสองมือที่เอื้อมออกไปโอบรั้งคนตรงหน้าเข้ามากอดเอาไว้ให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้...สองมือเปล่าที่ไม่มีพลังทำให้อะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีแม้แต่ความมั่นใจว่าจะกอดคนตรงหน้านี้ได้อีกนานแค่ไหน...รู้เพียงแต่ว่า ตราบใดที่ผมยังคงอยู่ที่นี่...ผมจะไม่มีวันปล่อยมือนี้ไปไหนอีกเลย


"ขอบคุณนะครับ...ขอบคุณ ที่เห็นธีร์สำคัญขนาดนี้...ธีร์...ไม่มีอะไรจะให้พี่แก้วเลย"และผมรู้ดีว่าต่อให้หาของขวัญชิ้นใหญ่โตขนาดไหน มันก็คงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผมได้รับ

"ก็พ่อธีร์อย่างไรเล่า...ของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับพี่"คนถูกกอดเพียงกระชับอ้อมแขนตอบกลับราวกับว่าเขากำลังรับเอาของขวัญชิ้นสำคัญที่ว่ามากอดเอาไว้แน่น ยิ่งทำให้ผมเขินหนักกว่าเก่าจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาเพียงแค่อิงหัวซบลงกับบ่ากว้างไม่ยอมขยับไปไหน



...ขอบคุณนะครับ ที่ทำให้ปีใหม่ปีนี้สำคัญยิ่งกว่าปีไหนๆ...


คำขอบคุณที่ผมพูดกับตัวเองเพียงลำพังในขณะที่อ้อมแขนแกร่งยังตระกองกอดไม่ยอมห่าง...สำหรับผม การมีคนสำคัญอยู่ข้างๆไม่ว่าจะเป็นวันใดก็มีความหมายทั้งนั้น...แต่การได้อยู่กับคนสำคัญในวันสำคัญแบบนี้...มันเกินกว่าคำว่า'มีความหมาย'ไปไกลมากนัก...ผมไม่ปฏิเสธว่าผมมีความสุข...และผมอยากให้ทุกคนมีความสุขเช่นเดียวกับผม



...สวัสดีปีใหม่นะครับ..:)


...............................................................





"แล้วทำไม...กูต้องมานั่งหงอยในคืนสิ้นปีคนเดียวแบบนี้ล่ะโว้ย!!! T[]T"" ----- แชมป์




.................................................................................


มาช้ายังดีกว่าไม่มา...สวัสดีปีใหม่นะคะมิตรรักแฟนนักอ่านทุกท่าน  :mew1:
ตั้งใจไว้ว่าจะลงตั้งแต่เมื่อคืนแต่ไม่สามารถทำให้จบได้เลยต้องเลื่อนมาเป็นวันนี้แทน (ยังเป็นวันที่ ๑อยู่ไม่ถือว่าช้าไปเนอะ)

ปีใหม่ปีนี้ขอให้ทุกท่านมีแต่ความสุข สุขภาพแข็งแรง ร่ำรวยเงินทองกันทุกคนเลยค่า
คนแต่งเองก็ไม่มีของขวัญอะไรจะให้นอกจากตอนพิเศษตอนนี้ ถือเป็นการขอบคุณสำหรับทุกการติดตามมาโดยตลอด

รักผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิมไม่ว่าจะปีนี้หรือปีไหน...ดีใจที่เราได้โคจรมาเจอกัน

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๘ ค่ะ  :mew1:

หมายเหตุ : ตอนหลักตอนหน้ารอกันอีกแป๊บน๊า ใกล้เสร็จแล้วค่า :)

หมายเหตุที่ ๒ : สำหรับวันขึ้นปีใหม่ไทยในสมัยของพี่แก้ว ตรงกับวันที่ ๑ เมษายนของทุกปีค่ะ พี่แก้วแกเลยใจร้อนรีบเอาของขวัญให้น้องธีร์ซะก่อน กลัวน้องธีร์หนีกลับกรุงเทพ  :hao7:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2015 17:41:07 โดย Vivid_Vuitton »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
ซึ้งโคตรๆๆๆๆ  :กอด1:


สวัสดีปีใหม่ครับ

ออฟไลน์ PURE LOVE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
หวาน ซึ้ง มาก ๆ เลยพี่แก้ว ดีใจกับน้องธีร์จริง ๆ เลย มีคนรักที่รักน้องมากขนาดนี้  :m1:

"นาฬิกาเป็นเครื่องชี้บอกเวลา...สำหรับพี่การให้นาฬิกาในวันขึ้นปีใหม่..."

"นั่นหมายถึงเวลาของพี่ทั้งหมดในปีนี้...เป็นของพ่อธีร์คนเดียวอย่างไรเล่า"
ความหมายลึกซึ้งกินใจเหลือเกินค่ะพี่แก้ว ทำไมไม่มีใครมาพูดอย่างนี้กับเราบ้าง  :ling1:

อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่ แค่ตอนนี้ ได้ใช้เวลาทุกวินาทีให้มีค่ามากที่สุด
ร่วมกับคนสำคัญของเรา ก็ถือเป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดแล้วล่ะเนอะ น้องธีร์พี่แก้ว

สุขสันต์ปีใหม่ ๒๕๕๘ คนเขียนด้วยนะคะ ขอให้มีความสุขมาก ๆ ตลอดปีและตลอดไปเลยจ้า
ขอบคุณมากค่ะ  :L1:

ออฟไลน์ soullmate

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :hao5: :hao5: อ๊ายยยย "เวลาของพี่ทั้งหมดในปีนี้ เป็นของพ่อธีร์คนเดียว" โอ้ยยยย หวาน อยากมีบ้างเลย ฟินๆๆจิกหมอนรอ มีแชมป์โผล่มาให้ตลกนิดๆๆ  :impress2: ขอบคุนนะคร้าา รออยุ่น้า❤❤❤

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
น้ำตาคลอเลยละค่ะ มันซึ้งจัง อ๋อยยย......(ขนาดตอนพิเศษนะเนี่ย5555 ตอนหลักจะเป็นยังไงน้า อย่ามาม่าเลยน้าตัว)

สุขสันต์วันปีใหม่ย้อนหลังนะคะ มีความสุขมากๆค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด