The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษ วันปีใหม่...หมายเหตุ : เนื้อหาในตอนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักนะคะ ผู้แต่งเพียงแต่งออกมาเพื่อสนองนี๊ดตัวเองเพราะอยากได้อะไรหวานๆในช่วงวันปีใหม่บ้าง

..............................................................................
๓๑ ธันวาคม รัตนโกสินทร์ศก
พระนคร, สยามประเทศ
วันสิ้นปีที่ใครหลายคนพากันตื่นเต้นวุ่นวายกับการจัดงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามาถึง...วันสิ้นปีที่หนุ่มสาวในประเทศไทยสมัยพ.ศ.๒๕๕๗ดูจะมีความสุขกันเป็นพิเศษเพราะส่วนใหญ่มักใช้เวลาหมดไปกับการอยู่กับคนที่ตัวเองรัก ครอบครัว หรือออกไปเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนฝูง...วันสิ้นปีที่ผม...ชลนธีร์ เตชะวณิช เคยใช้ชีวิตทั้งกับพ่อแม่ ญาติสนิท หรือแม้แต่ออกไปกินเหล้าเมาข้ามปีกับเพื่อนๆตั้งไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีที่ผ่านมา
แต่ใครจะไปคิด ว่าวันที่ ๓๑ ธันวาคมของปีนี้...ผมกลับมานั่งแกร่วอยู่ที่ท่าน้ำหน้าเรือนไม้ทรงไทยหลังงามของพระยาจิตรานุวัตร ข้าหลวงคนสำคัญของกรมการต่างประเทศ พร้อมกับไอ้ฐิติกรณ์ ธนกิจนุกูล โดยไม่มีวี่แววของการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ให้เห็นเลยสักนิด...
ก็วันขึ้นปีใหม่สมัยนี้ มันตรงกับวันที่ ๑ มกราคม ซะที่ไหนกันเล่า!!!
"เบื่อสัด..."เสียงบ่นรอบที่สิบของวันที่ผมได้ยินจากคนที่นั่งท้าวคางกับขอบที่นั่งของท่าน้ำใหญ่หน้าเรือน ดวงตาเรียวรีของมันเหม่อลอยไปยังคลองสายเล็กเบื้องล่างราวกับไม่ได้มองมันเสียนานทั้งๆที่ตัวเองก็ใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนนี้นานจนเกือบลืมบ้านจริงไปแล้ว
"ปกติกูไม่ค่อยตื่นเต้นกับวันปีใหม่เท่าไหร่หรอกนะ...แต่ปีนี้มัน...น่าเบื่อไปมั้ยวะ"คนขี้บ่นก็ยังบ่นไม่ยอมหยุด ผมเหลือบสายตากลับไปมองความเป็นไปรอบๆตัวเรือน เห็นพี่สนแกยืนก้มๆเงยๆอยู่แถวซุ้มต้นมะลิข้างเรือนใหญ่ คงกำลังรดน้ำพรวนดินอย่างที่แกเคยทำอยู่บ่อยๆ...ครู่หนึ่งก็เห็นพี่บุญมีเดินผ่านหน้าแกไปพร้อมถาดสำรับของหวานในมือมุ่งหน้าขึ้นเรือน...อีกฟากไอ้มิ่งกำลังหอบกระจาดมะม่วงลูกโตที่เพิ่งเก็บได้จากต้น คงเอาไปให้ป้าน้อยที่โรงครัวคิดเมนูของหวานหรือไม่ลูกสาวคนเล็กของเรือนก็อาจจะลงมาโชว์ฝีมือเอง
บรรยากาศรอบตัวของผมในวันนี้เรียกได้ว่า...ปกติโดยสิ้นเชิง...แหงล่ะ! ก็สำหรับคนพวกนั้น วันนี้มันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่งเท่านั้นเองนี่ครับ
"ถ้าตอนนี้กูอยู่บ้านคงได้ชวนพวกไอ้โจ๊กไอ้ต่อไปหาที่เคาท์ดาวน์ถึงไหนต่อไหนละ"และถ้าผมยังอยู่กับมันตอนนั้นพวกมันก็คงยกพวกกันมาลากตัวผมถึงบ้านให้ออกไปหาเหล้ากินฉลองปีใหม่เหมือนทุกปีแล้วเหมือนกัน
"มึงบ่นไปก็ไม่มีใครเค้ามาจัดงานปีใหม่ฉลองให้มึงหรอก"
"กูบ่นเฉยๆ...มึงนี่แม่ง ไม่เข้าใจกูเล้ย!"ใครบอกว่าผมไม่เข้าใจ เอาจริงๆผมก็เบื่อ ถึงผมไม่ใช่คนใส่ใจกับเทศกาลสำคัญเท่าไหร่นักแต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นจนชินทุกๆวันสิ้นปี คือภาพผู้คนที่กำลังตื่นเต้นกับการเฉลิมฉลอง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของคนรอบตัว และบรรยากาศชื่นมื่นอบอวลด้วยความสุขปกคลุมฟุ้งไปทั่ว
ผมไม่ใช่คนใส่ใจกับเทศกาลสำคัญ...แต่บรรยากาศความสุขแบบนั้นต่างหากที่ทำให้ผมคิดถึง...
"มานั่งทำอะไรกันอยู่ตรงนี้เล่าพ่อ"เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้นพร้อมกับเรือพายที่เพิ่งเข้าเทียบท่า...เจ้าคุณผู้มาเยือนยิ้มละไมทักทายพวกผมที่นั่งหายใจทิ้งกันอยู่จนสะดุ้งโหยงลุกขึ้นมายืนต้อนรับกันแทบไม่ทัน ท่าทีลุกลี้ลุกลนทำเอาผู้อาวุโสหลุดหัวเราะเบาไม่ต่างจากคนสนิทที่ก้าวเท้าขึ้นท่าน้ำตามหลังท่านมาติดๆ ใบหน้าคมอมยิ้มอย่างคนอารมณ์ดีขณะยกมือขึ้นรับไหว้ผมกับแชมป์
"เดี๋ยวผมไปเรียนเจ้าคุณจิตราให้นะครับว่าเจ้าคุณท่านมาหา"เจ้าคุณไพศาลยิ้มรับก่อนเดินตามแชมป์ไปทางเรือนใหญ่ เหลือเพียงคุณหลวงคนสนิทที่ชะงักฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้เดินตามไปด้วย
"ไม่ขึ้นไปบนเรือนด้วยกันหรือพ่อ"
"เพิ่งลงมาเมื่อกี้เองครับ"เพราะนั่งอ้อยอิ่งมองความ'ปกติ'บนเรือนใหญ่มาตั้งแต่เช้าจนเริ่มเบื่อ ถึงได้ชวนกันลงมานั่งเล่นริมท่าน้ำได้เพียงครู่คนถามก็มาถึงเรือนพอดี
"เช่นนั้นรอพี่สักครู่ พี่ขึ้นไปไหว้เจ้าคุณท่านประเดี๋ยวจะลงมาหา"ผมพยักหน้ารับคำแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเดินขึ้นเรือนไปเพียงลำพังพลางมองตามแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงที่วันนี้ไม่ได้สวมชุดราชการเช่นที่เห็นบ่อยครั้งแต่เป็นเพียงเสื้อคอตั้งแขนยาวสีน้ำตาลอ่อนกับโจงกระเบนสีเข้ม ถึงอย่างนั้นก็ยังคงสง่างามเช่นเคย
นั่งรอที่ท่าน้ำได้ไม่นานเจ้าตัวก็เดินลงมาจากเรือนใหญ่พร้อมกับแชมป์แต่ไอ้ตัวดีดันขอตัวเดินเลี่ยงไปทางโรงครัว คงไปหาอะไรทำแก้เบื่อตามประสาคนอยู่ไม่สุขแบบมัน เหลือเพียงคนตัวสูงที่เดินตรงเข้ามาหาที่ท่าน้ำ...ใบหน้าคมเจือรอยยิ้มบางก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม
"วันนี้มีธุระที่ใดหรือไม่พ่อ"ผมขมวดคิ้วมุ่นมองหน้าคนที่เพิ่งตั้งคำถาม
"ปกติถ้าไม่ได้ไปช่วยงานคุณหลวงที่เรือน ธีร์ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ"นอกจากอยู่ช่วยงานพวกพี่สนกับมิ่งแล้ว ชีวิตประจำวันของผมก็แทบไม่ได้ทำอะไร แค่นั่งๆนอนๆอยู่ที่เรือนนี้กับไอ้แชมป์เท่านั้นแหละ...เจ้าตัวเองก็รู้ดีอยู่แล้วจะมาถามผมทำไมวะ?
"เช่นนั้นไปที่เรือนกับพี่ได้หรือไม่"หลวงพิสิษฐ์ยังคงยกยิ้มบางให้ผมสงสัยหนักกว่าเดิม
"มีอะไรเหรอครับ"
"วันนี้เจ้าคุณท่านจะกลับเรือนใหญ่"ข้ออ้างที่ผมมักได้ยินเสมอเมื่อเจ้าตัวหาเรื่องชวนไปที่เรือนทั้งที่ไม่มีงานอะไรให้ทำถูกยกมาอ้างอีกครั้ง แต่จะเรียกว่าข้ออ้างก็ไม่ใช่เสียทีเดียวเพราะพักหลังมานี้เจ้าคุณไพศาลท่านกลับไปที่เรือนใหญ่บ่อยๆ ท่านเพิ่งได้หลานชายน่ะครับ กำลังเห่อหลานชายคนแรกจนเทียวไปเทียวมาระหว่างสองเรือนไม่ขาด คุณหลวงลูกชายท่านเองก็เป็นห่วงไม่อยากให้ผู้เป็นพ่อต้องเดินทางไปกลับตอนกลางคืนถึงได้รบเร้าให้อยู่ค้างด้วยเสมอ...วันนี้ก็เหมือนกัน
"แล้วคุณหลวงไม่ไปกับเจ้าคุณไพศาลล่ะครับ ให้ท่านไปคนเดียวไม่เป็นห่วงเหรอ"
"โถพ่อ เจ้าคุณท่านยังแข็งแรงนักจะให้พี่เป็นห่วงอย่างไรเล่า ประเดี๋ยวพ่อเทพเขาก็ให้คนจากเรือนมารับที่นี่ หากพี่ไปด้วยท่านได้รบเร้าขอกลับเรือนริมน้ำเสียอีกเพราะไม่อยากอยู่รบกวนลูกชายท่าน"คนตัวสูงหัวเราะเบาอย่างรู้ทัน ก็ปกติพอเขายกเรื่องเจ้าคุณท่านไปเรือนใหญ่ขึ้นมาทีไรผมต้องตอบกลับแบบนี้ทุกที...ไม่ได้หาข้ออ้างไม่ไปหรอกครับ แต่เป็นห่วงกลัวเจ้าคุณไพศาลท่านเดินทางไปไหนมาไหนเพียงลำพังเพราะปกติมักมีคนตัวสูงนี่ติดสอยห้อยตามไปด้วยเสมอ
"ก็เพราะคุณหลวงไม่ยอมไปด้วยน่ะสิ หลวงเทพถึงต้องให้คนมารับเจ้าคุณท่านเองเพราะเป็นห่วง"ผมลอยหน้าลอยตาตอบแบบคนไม่ยอมแพ้ หากแต่ประโยคถัดมาของเขากลับทำให้ผมเงียบกริบ
"เจ้าคุณท่านอยากพบหน้าหลานชาย...พี่เองก็อยากอยู่กับคนของพี่บ้าง ไม่ได้เชียวหรือ"ก็แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหนล่ะเว้ย!?
"คะ...คนของคุณหลวง ที่ไหนกันล่ะครับ"ปากยังเถียงแต่หน้านี่ร้อนไปถึงหูแล้วครับไอ้ธีร์ แถมเจ้าตัวยังดูพออกพอใจที่ได้แกล้งผมอีกต่างหากเพราะเขาเอาแต่นั่งยิ้มกริ่มไม่หุบ
"ก็คนตรงหน้าพี่นี่อย่างไร...หรือพ่อธีร์จะบอกว่าไม่ใช่"เงียบครับเงียบ...เจอแบบนี้ไม่รู้จะเถียงอะไรต่อเลยได้แต่เอาความเงียบเข้าสู้ซะเลย
"ไปเถิดพ่อ...พี่ให้แม่ชื่นเตรียมสำรับเย็นไว้รอ หากพ่อไม่ไปแม่ชื่นเขาจะน้อยใจเอาเสียอีก"น้ำเสียงนุ่มกลั้วเสียงหัวเราะเบายังคงชักแม่น้ำทั้งห้าหาข้ออ้างพาตัวผมไปที่เรือนให้ได้...ไม่อยากจะบอกเลยว่าผมจนปัญญาปฏิเสธตั้งแต่ข้อแรกที่อ้างมาแล้วล่ะครับ ไม่ต้องยืดยาวมาจนถึงเรื่องป้าชื่นหรอก
"เล่นดักไว้ทุกทางแบบนี้ ถ้าบอกว่าไม่ไปก็ไม่ได้แล้วสินะครับ"สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้คนเจ้าคารมทุกที
บรรยากาศช่วงบ่ายคล้อยที่เรือนทรงยุโรปของเจ้าคุณไพศาลเองก็ไม่ได้ต่างจากที่เรือนเจ้าคุณจิตรามากนัก ทั้งยังบ่าวไพร่บนเรือนที่มีจำนวนน้อยกว่ายิ่งทำให้เรือนนี้ดูเงียบเหงาขึ้นไปอีก...อันที่จริงก็เงียบสงบเป็นปกตินั่นแหละครับ แต่เพราะความคิดของผมที่เอาแต่ยึดติดว่ามันเป็นวันสิ้นปีที่ควรจะมีแต่เสียงหัวเราะเฮฮาและบรรยากาศชื่นมื่นเลยพาให้ยิ่งอึมครึมหนักกว่าเก่า...คงมีแต่ป้าชื่นที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษที่เห็นผมมาที่เรือนเพราะแกกลัวว่าสำรับที่เตรียมไว้จะเป็นหม้าย ก็ป้าชื่นแกขนทำกับข้าวเสียเยอะแยะ ถ้าผมไม่ยอมมาเห็นทีจะกลายเป็นลาภปากพวกบ่าวไพร่บนเรือนไปแทน
หลังสำรับเย็นผมก็พาร่างตัวเองออกมานั่งตากลมที่ศาลาแปดเหลี่ยมข้างเรือนเหมือนทุกที...ลมเอื่อยยามเย็นพัดโชยให้ผืนเจ้าพระยาเบื้องหน้ากระเพื่อมไหวสะท้อนแสงอาทิตย์สีทองส่องประกายระยิบระยับชวนมอง...ทั้งยังกลิ่นดอกโมกหอมกรุ่นที่ขึ้นอยู่ข้างศาลายิ่งทำให้ผ่อนคลาย...ดอกโมกสีขาวนวลคล้ายกับดอกแก้วหากแต่กลิ่นหอมละมุนฟุ้งยังสู้กลิ่นหอมหวานของดอกแก้วไม่ได้
"เมื่อไหร่ต้นแก้วจะออกดอกนะครับ"ผมท้าวคางมองต้นแก้วเขียวครึ้มพลางบ่นลอยๆจนคนข้างๆทอดสายตามองตาม
"เข้าหน้าฝนปีหน้ากระมัง"แต่คำว่า'ปีหน้า'ของเขาทำเอาลมหายใจของผมสะดุด
"แล้วปกติคุณหลวงทำอะไรตอนวันปีใหม่เหรอครับ"คำถามที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องดอกแก้วเมื่อครู่แม้แต่น้อยจนคนฟังยังอดขมวดคิ้วตามอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงกระทันหันของผมไม่ได้
"ปีใหม่รึ...ยังอีกตั้งหลายเดือน"สำหรับเขายังอีกหลายเดือนนัก แต่สำหรับผม...มันเหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น...ให้ตายสิ! เวลาแค่ร้อยกว่าปีมันทำให้อะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดที่วันปีใหม่ก็ยังไม่ตรงกันเลยเหรอวะ?!
"พ่อธีร์...เป็นอะไรหรือ พี่เห็นพ่อธีร์เงียบเสียตั้งแต่เมื่อตอนสำรับเย็น"เพราะอารมณ์อึมครึมของผมมันคงชัดเจนเสียจนคนข้างๆอดถามขึ้นมาไม่ได้
"เปล่าครับ"ไม่รู้จะตอบอะไรเลยได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ จะว่าผมงี่เง่าก็คงไม่ผิด ก็นี่มันเป็นวันสิ้นปีที่ช่างเงียบเหงาและราบเรียบเกินกว่าสิ้นปีไหนๆที่ผมเคยผ่านมา...ความจริงผมควรพอใจที่อย่างน้อยผมก็ได้ใช้เวลาในวันนี้กับคนข้างๆและก็คงอยู่โยงไปจนถึงวันขึ้นปีใหม่เพราะอย่างไรเสียเขาก็คงไม่ยอมปล่อยผมกลับเรือนง่ายๆ...แต่ทำไมผมยังรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้ล่ะเว้ย!
"เมื่อครู่พ่อธีร์ถามพี่เรื่องวันขึ้นปีใหม่..."เมื่อเห็นผมไม่ตอบอะไรเขาเลยวกกลับเข้าเรื่องเดิมแทนคงเพราะไม่อยากให้บรรยากาศอึมครึมไปมากกว่าเก่า
"พี่ไม่ได้ทำอะไรมากนักหรอกพ่อ ก็ไปวัดทำบุญเหมือนเช่นชาวพระนครคนอื่นเขาแลกราบขอพรจากเจ้าคุณไพศาลท่านเท่านั้น"เสียงทุ้มนุ่มอธิบายให้ฟัง ซึ่งสิ่งที่เขาเล่ามาก็ไม่ได้ต่างจากกิจกรรมในวันปกติของคนในสมัยนี้นัก
"แล้วพ่อธีร์เล่า...คนกรุงเทพเขาทำอะไรกันบ้างหรือ"ดวงตาคมส่องประกายระยับเมื่อถามถึงเรื่องในอนาคต
"วันปีใหม่สมัยผมเค้าเริ่มนับกันตั้งแต่คืนสิ้นปีครับ"คิ้วดกหนาของหลวงพิสิษฐขมวดมุ่นทันทีด้วยความสงสัย
"คืนสิ้นปีรึ"
"ใช่ครับ...พอถึงคืนสิ้นปีทุกคนก็จะออกไปหาที่ฉลองกัน บางคนก็ไปกินข้าวกับครอบครัวหรือคนสำคัญ ไม่ก็ไปเลี้ยงฉลองกับเพื่อน...แล้วพอใกล้ถึงเที่ยงคืนพวกเราก็จะคอยนับถอยหลังให้ถึงวันปีใหม่น่ะครับ"ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดให้คนที่อยู่ในช่วงเวลาที่ต่างกันเข้าใจได้มากที่สุด...เพราะถ้าในสมัยที่ผมจากมาแค่บอกว่า countdownคำเดียวทุกคนก็พยักหน้าเข้าใจกันหมด
"พ่อธีร์ก็ทำเช่นนั้นรึ...พี่หมายถึง...อยู่กับครอบครัว คนสำคัญ หรือเพื่อน"คนขี้สงสัยยังถามต่อ เพราะสำหรับเขาแล้วนี่คงเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เจ้าตัวเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
"ตอนที่พ่อกับแม่ยังอยู่ธีร์จะฉลองปีใหม่กับพ่อแม่ตลอด...แต่พอท่านเสียส่วนใหญ่จะออกไปกับเพื่อนน่ะครับ"
"แล้วคนสำคัญเล่า"ดวงตาคู่สวยจดจ้องราวกับคาดคั้นเอาคำตอบ...สำหรับผมแทบไม่เคยอยู่ฉลองเทศกาล
แบบนี้กับคนสำคัญที่ว่าสักครั้ง...จะมีก็ปีที่แล้วที่แพมชวนไปฉลองปีใหม่หลังจากเริ่มคบกันได้ไม่นาน ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยนับว่าเป็นการฉลองเทศกาลกับคนสำคัญจริงจัง เพราะสำหรับผมแล้ว แพมก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเคยมีช่วงเวลาดีๆด้วยแต่ไม่ใช่คนที่ผมผูกพันถึงขั้นตัดขาดไม่ได้
"ไม่มีหรอกครับ"และถ้าจะมีก็คงเป็นปีนี้...ที่คนสำคัญของผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยต่างหาก!
"เช่นนั้น...วันขึ้นปีใหม่ปีหน้าพ่อธีร์มาอยู่กับพี่ซี จะได้ถือว่าอยู่กับคนสำคัญ"คนไม่รู้ยังคงยกยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดีจนน่าหมั่นไส้ ถึงอย่างนั้นก็ช่วยให้ก้อนเมฆที่ครึ้มอยู่ในใจของผมจางลงไปได้บ้าง
"หลงตัวเองอีกแล้วนะครับหลวงพิสิษฐ"ผมหัวเราะเบาให้กับความมั่นอกมั่นใจเกินเหตุของคนข้างๆ แต่ปากยังคงหนักเกินกว่าจะให้บอกออกไปว่าสำหรับผมแล้ว มันคือตอนนี้ต่างหากที่ผมได้ใช้เวลาร่วมกับคนสำคัญในวันพิเศษ
"แล้วกัน...พ่อธีร์ไม่นับพี่เป็นคนสำคัญเลยหรือ ทั้งที่พี่เองให้ความสำคัญกับพ่อถึงเพียงนี้"แล้วไอ้คำพูดน้อยอกน้อยใจเป็นเด็กๆนี่ใครเขาสอนมากันครับหลวงพิสิษฐ
สุดท้ายบทสนทนาที่ศาลาริมน้ำก็จบลงที่ทั้งผมและเขาเอาแต่เถียงกันเรื่องคนสำคัญหรือไม่สำคัญจนผมเกือบลืมเรื่องที่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวไปเสียสนิท ถ้าไม่ติดที่คืนนั้นผมดันทะลึ่งตื่นขึ้นมาตอนกลางดึกแล้วไม่สามารถข่มตาหลับต่อได้จนต้องพาตัวเองลงมานั่งอยู่ที่ห้องรับแขกชั้นล่างของเรือนเพราะไม่อยากรบกวนคนกำลังหลับสบาย
ไฟสีส้มนวลถูกเปิดขึ้นให้ความสว่างแก่ห้องรับแขกขนาดใหญ่ของเรือน...ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาไม้ทรงฝรั่งตัวยาวพลางทอดสายตามองนาฬิกาลูกตุ้มแบบตั้งพื้นเรือนโตที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก...เข็มของนาฬิกาชี้บอกเวลา ๕ทุ่ม๕๐นาที...อีกแค่๑๐นาทีที่ชีวิตของผมจะก้าวเข้าสู่ปีใหม่ขณะกำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาร้อยกว่าปีก่อนที่ผมจะเกิด นับเป็นเรื่องแปลกและคงไม่มีใครเคยพบเจอเรื่องแบบนี้ นอกจากผมกับแชมป์และละครหลังข่าวที่ผมเคยดูหลายๆเรื่อง...ปีที่ผ่านมาผมผ่านเรื่องอะไรต่ออะไรมามากมายหลายอย่าง...ทั้งการเดินทางข้ามเวลาจนได้มานั่งอยู่ที่นี่ในตอนนี้...การได้พบกับบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของผมในอดีต ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกอีกโลกที่ผมไม่เคยรู้จัก มีเพื่อนแท้ที่คอยเป็นห่วงเป็นใยคอยตามหาพวกผมเวลาที่หายตัวไปหลายๆอาทิตย์...หรือแม้แต่...การได้พบกับคนสำคัญที่สุดในชีวิตรองจากพ่อกับแม่...คนที่ผมไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบหากยังคงใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบัน...คนที่ใครบางคนกำหนดเส้นทางของทั้งผมและเขาให้ได้โคจรมาพบกันในที่สุด...คนสำคัญที่ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยไม่ว่าจะปีนี้หรือปีไหนๆ และเป็นคนที่ทำให้ผมนึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมได้มาอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้
"เอาวะ อย่างน้อยก็ยังทันเคาท์ดาวน์"ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองราวกับคนบ้า...ผมไม่ได้ใส่ใจกับการเฉลิมฉลองในเทศกาลนี้เท่าไหร่หรอกครับ แต่สิ่งที่ผมให้ความสำคัญ คือการนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ต่างหากเพราะผมถือว่ามันเหมือนการที่ผมกำลังก้าวขาทีละก้าวเข้าไปสู่สิ่งใหม่ๆของปีถัดไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือร้ายมันก็เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับผมเสมอ
"๑๐...๙...๘..."เข็มของนาฬิกาที่เดินเป็นจังหวะพร้อมกับเสียงของผมที่เริ่มนับถอยหลังเพียงลำพังภายในห้องนั่งเล่นกว้างขวาง...จะว่าเหงามันก็เหงาชะมัดเพราะนอกจากจะต้องมานั่งนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่คนเดียวแล้ว คนสำคัญที่นึกอยากอยู่ด้วยก็ดันนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ข้างบนนี้เอง...ชีวิตใครจะรันทดเท่าชลนธีร์คนนี้คงไม่มีแล้วล่ะครับ!
"๕...๔...๓(๓)...๒(๒)...๑(๑)"หากแต่เสียงทุ้มนุ่มที่ดังคลอกับเสียงนับถอยหลังของตัวเองเรียกให้ผมหันกลับไปมองทันที...ร่างสูงโปร่งคุ้นตาที่เข้ามายืนประชิดด้านหลังโซฟาโดยที่ผมไม่รู้ตัว...ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางยิ่งส่งให้นัยน์ตาคู่สวยส่องประกายระยับชวนมอง...รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อตอนที่ใบหน้าคมโน้มลงใกล้แทบแนบสนิทจนได้ยินประโยคถัดมาชัดเจนกว่าเก่า
"สวัสดีปีใหม่นะพ่อ"คำพูดที่ทำเอาผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจปนสงสัย
"คุณหลวง!...ทำไม?"นั่นสิครับทำไม...ทำไมเขาถึงรู้?!
"หากนับตามพวกฝรั่ง วันนี้เป็นวันปีใหม่ไม่ใช่หรือ คนกรุงเทพเขาก็คงถือเอาตามพวกฝรั่ง ไม่เช่นนั้นพ่อธีร์คงไม่ลงมานับเลขอยู่ลำพังแบบนี้"
"เอ๊ะ?!"ไม่ต้องส่องกระจกดูก็รู้ว่าตอนนี้บนหน้าของผมมีเครื่องหมายคำถามอันเบ้อเร่อแปะอยู่...หลวงพิสิษฐเพียงหัวเราะเบากับท่าทีประหลาดของผม ก่อนจะเดินอ้อมโซฟาตัวยาวมายืนเต็มความสูงอยู่ตรงหน้าจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง
"พ่อธีร์นี่ก็จริงเชียว ไม่บอกพี่ให้รู้เสียบ้าง"น้ำเสียงแกมดุหากแต่ใบหน้ายังคงยิ้มอ่อนโยน
"ก็ธีร์..."ธีร์กลัวว่าคุณหลวงจะมองว่าไร้สาระ...อยากพูดแบบนี้แต่สุดท้ายก็กลืนมันกลับเข้าไปเสียหมดเหลือเพียงความเงียบเพราะยังตกใจไม่หาย
"ขึ้นไปข้างบนเถิด...พี่มีของจะให้"ยังไม่ทันได้ตอบรับอะไรก็ถูกจูงมือตามขึ้นไปบนห้องเสียก่อน...ผมไม่ได้ตกใจที่เขารู้วันหรอกครับเพราะเจ้าตัวเองก็บอกไปแล้วเรื่องการนับวันตามแบบสากลที่เขาก็คงรู้ดีหลังจากไปใช้ชีวิตต่างประเทศมาถึงสองปี...แต่ที่ผมสงสัย...คือคนที่ไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไรกับวันปีใหม่ของพวกชาวตะวันตกจนถึงกับเข้านอนแต่หัวค่ำเป็นปกติแล้วตื่นขึ้นมากลางดึกเพียงเพื่อลงมาบอกสวัสดีปีใหม่กับผม...นั่นต่างหากที่ทำให้ผมแปลกใจ
"เผลอหลับไปครู่เดียว ตื่นขึ้นมาไม่เห็นพ่อธีร์เสียแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเย็นพ่อธีร์ถามพี่เรื่องวันขึ้นปีใหม่"เผลอหลับไปครู่เดียวของเขาคือการที่เจ้าตัวหลับสนิทตั้งแต่สองทุ่มแล้วนอนนิ่งอยู่ท่าเดิมจนผมนึกว่าจะตื่นอีกทีเอาตอนสายของอีกวันโน่นล่ะครับ
"แต่ถึงพ่อธีร์ไม่บอก พี่ก็ตั้งใจมอบสิ่งนี้ให้พ่อในวันนี้แต่แรกเพราะเกรงว่าพี่คงรอให้ถึงวันขึ้นปีใหม่ของชาวสยามไม่ไหว"หลวงพิสิษฐละมือออกจากข้อมือที่จับจูงแล้วเอื้อมไปเปิดลิ้นชักของตู้หัวเตียงก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างที่เจ้าตัวอ้างถึงออกมาถือเอาไว้
"ถือเสียว่าเป็นของขวัญวันขึ้นปีใหม่จากพี่ก็แล้วกัน"ใบหน้าคมประดับรอยยิ้มชวนมองพร้อมกับมือหนาที่วางทาบทับลงบนฝ่ามือของผมหากแต่คราวนี้กลับสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของวัตถุเย็นเยียบในมือ...ผมยกมันขึ้นดู...วัตถุทรงกลมร้อยโซ่ห้อยสีทองต้องแสงไฟจนส่องประกายวิบวับ เมื่อกดสลักด้านบนให้เปิดออกถึงได้เห็น...หน้าปัดของนาฬิกาพกที่ตอนนี้บอกเวลาว่าเลยเที่ยงคืนของวันใหม่มาได้ไม่นาน...เข็มวินาทีหมุนวนจนเกิดเสียงดังเป็นจังหวะ...เชื่องช้าแต่กลับน่าฟัง
"นาฬิกาพก?"ผมมองวัตถุสีทองในมือที่เปิดอ้าสลับกับใบหน้าคมของเจ้าของเดิมสลับไปมา...ทั้งความตกใจ ประหลาดใจฉายออกมาทางสีหน้าของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด...แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้...ผมดีใจ...ทั้งที่มันก็เป็นเพียงของชิ้นเล็กๆดูโบราณในสายตาของผม แต่กลับมีคุณค่าเมื่อถูกหยิบยื่นจากคนตรงหน้า
"พี่ซื้อไว้ตั้งแต่คราไปเล่าเรียนที่เมืองฝรั่ง ตั้งใจว่าจะมอบให้แก่คนสำคัญ...รอมาหลายปีนึกว่าจะไม่มีโอกาสได้ให้ใครเสียแล้ว"คำว่า'คนสำคัญ'มันเป็นคำสั้นๆที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผมนะครับ...โดยเฉพาะคนสำคัญในความหมายของคนตรงหน้านี่...คนสำคัญที่เขานึกถึงตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นใคร ถึงอย่างนั้นก็ยังให้ความสำคัญถึงขนาดที่ซื้อของแทนใจมาเก็บไว้...สำหรับผม ไม่รู้จะเรียกมันว่าความโชคดีหรือความยินดีที่ได้เป็นคนๆนั้นสำหรับเขาทั้งที่ตัวเองก็เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้มีข้อดีโดดเด่นอะไร
"แล้วทำไมต้องนาฬิกา...ทำไมต้องวันปีใหม่ครับ?"แต่ก็ยังสงสัยไม่หายอยู่ดี...ของแบบนี้หากเขานึกจะให้เมื่อไหร่ก็ทำได้ ไม่เห็นต้องรอให้ถึงวันพิเศษหรือเทศกาลไหนๆ เพราะถ้าเป็นผมนึกอยากจะให้ของใครขึ้นมาสักชิ้น ผมก็คงไม่รอจนถึงวันสำคัญ...ก็สิ่งของและบุคคลต่างหากที่สำคัญกว่าเทศกาลพวกนั้นเป็นไหนๆ
"นาฬิกาเป็นเครื่องชี้บอกเวลา...สำหรับพี่การให้นาฬิกาในวันขึ้นปีใหม่..."
"นั่นหมายถึงเวลาของพี่ทั้งหมดในปีนี้...เป็นของพ่อธีร์คนเดียวอย่างไรเล่า"ไม่ต้องรอให้เขาอธิบายอะไรยืดยาว เพียงแค่คำพูดนั้นก็ทำเอามือที่ถือสิ่งนั้นสั่นจนแทบปล่อยมันให้ร่วงไปเสีย หากแต่มือหนาที่ยื่นมาประคองซ้อนเอาไว้คงรับรู้ถึงได้ประสานเข้าจนผมกำวัตถุในมือแน่น...ดวงตาที่เบิกกว้างเพราะคำพูดเมื่อครู่สบเข้ากับนัยน์ตาคู่สวยส่องประกายระยับตรงหน้าที่สามารถดึงความสนใจไว้ได้เสมอ เช่นเดียวกับริมฝีปากหยักเจือรอยยิ้มปรายเกือบทุกเวลา
"ต่อจากนี้ไม่ว่าพ่อจะไปอยู่ที่ใด ต้องกลับไปยังที่ที่พ่อจากมาหรือไม่ พี่ขอให้พ่อธีร์ระลึกเอาไว้ทุกคราที่ได้มองนาฬิกาเรือนนี้...ว่าพี่จะออกตามหาและรอคอยเวลาที่จะได้พบพ่อธีร์ เช่นเดียวกับเข็มของนาฬิกาที่ไม่ว่าจะเดินไปข้างหน้าสักกี่ครา ท้ายสุดแล้วก็ยังเวียนมาบรรจบยังจุดเดิม"เคยได้ยินคำว่า ดีในจนน้ำตาแทบไหลไหมครับ?...ผมกำลังเป็นแบบนั้นเพราะไม่มีคำพูดใดที่สามารถอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้เลย...มันไม่ใช่เพราะคำพูดหวานซึ้งชวนเลี่ยนนั่น หรือแม้แต่สิ่งของที่ผมกำลังถืออยู่ในมือ...แต่เป็น...ความรู้สึกของคนตรงหน้าที่ส่งผ่านออกมาต่างหาก...เขา ผู้ซึ่งรับรู้ทุกเงื่อนไขของผมแต่ยังเลือกที่จะจับมือของผมเอาไว้ เลือกที่จะรอคอยทั้งที่รู้ดีว่าในวันข้างหน้าผมอาจต้องกลับไปยังที่ที่จากมา เลือกที่จะให้ความสำคัญทั้งที่รู้ดีว่าต้องพบกับแรงกดดันมากมายเพียงใด...ทั้งกฎเกณฑ์ของสังคม...ฐานะที่เป็นอยู่ หรือแม้แต่...ช่วงเวลาที่แตกต่าง...
และคำตอบของผม...คงมีเพียงสองมือที่เอื้อมออกไปโอบรั้งคนตรงหน้าเข้ามากอดเอาไว้ให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้...สองมือเปล่าที่ไม่มีพลังทำให้อะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีแม้แต่ความมั่นใจว่าจะกอดคนตรงหน้านี้ได้อีกนานแค่ไหน...รู้เพียงแต่ว่า ตราบใดที่ผมยังคงอยู่ที่นี่...ผมจะไม่มีวันปล่อยมือนี้ไปไหนอีกเลย
"ขอบคุณนะครับ...ขอบคุณ ที่เห็นธีร์สำคัญขนาดนี้...ธีร์...ไม่มีอะไรจะให้พี่แก้วเลย"และผมรู้ดีว่าต่อให้หาของขวัญชิ้นใหญ่โตขนาดไหน มันก็คงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผมได้รับ
"ก็พ่อธีร์อย่างไรเล่า...ของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับพี่"คนถูกกอดเพียงกระชับอ้อมแขนตอบกลับราวกับว่าเขากำลังรับเอาของขวัญชิ้นสำคัญที่ว่ามากอดเอาไว้แน่น ยิ่งทำให้ผมเขินหนักกว่าเก่าจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาเพียงแค่อิงหัวซบลงกับบ่ากว้างไม่ยอมขยับไปไหน
...ขอบคุณนะครับ ที่ทำให้ปีใหม่ปีนี้สำคัญยิ่งกว่าปีไหนๆ...
คำขอบคุณที่ผมพูดกับตัวเองเพียงลำพังในขณะที่อ้อมแขนแกร่งยังตระกองกอดไม่ยอมห่าง...สำหรับผม การมีคนสำคัญอยู่ข้างๆไม่ว่าจะเป็นวันใดก็มีความหมายทั้งนั้น...แต่การได้อยู่กับคนสำคัญในวันสำคัญแบบนี้...มันเกินกว่าคำว่า'มีความหมาย'ไปไกลมากนัก...ผมไม่ปฏิเสธว่าผมมีความสุข...และผมอยากให้ทุกคนมีความสุขเช่นเดียวกับผม
...สวัสดีปีใหม่นะครับ..

...............................................................
"แล้วทำไม...กูต้องมานั่งหงอยในคืนสิ้นปีคนเดียวแบบนี้ล่ะโว้ย!!! T[]T"" ----- แชมป์
.................................................................................
มาช้ายังดีกว่าไม่มา...สวัสดีปีใหม่นะคะมิตรรักแฟนนักอ่านทุกท่าน

ตั้งใจไว้ว่าจะลงตั้งแต่เมื่อคืนแต่ไม่สามารถทำให้จบได้เลยต้องเลื่อนมาเป็นวันนี้แทน (ยังเป็นวันที่ ๑อยู่ไม่ถือว่าช้าไปเนอะ)
ปีใหม่ปีนี้ขอให้ทุกท่านมีแต่ความสุข สุขภาพแข็งแรง ร่ำรวยเงินทองกันทุกคนเลยค่า
คนแต่งเองก็ไม่มีของขวัญอะไรจะให้นอกจากตอนพิเศษตอนนี้ ถือเป็นการขอบคุณสำหรับทุกการติดตามมาโดยตลอด
รักผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิมไม่ว่าจะปีนี้หรือปีไหน...ดีใจที่เราได้โคจรมาเจอกัน
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๘ ค่ะ

หมายเหตุ : ตอนหลักตอนหน้ารอกันอีกแป๊บน๊า ใกล้เสร็จแล้วค่า

หมายเหตุที่ ๒ : สำหรับวันขึ้นปีใหม่ไทยในสมัยของพี่แก้ว ตรงกับวันที่ ๑ เมษายนของทุกปีค่ะ พี่แก้วแกเลยใจร้อนรีบเอาของขวัญให้น้องธีร์ซะก่อน กลัวน้องธีร์หนีกลับกรุงเทพ
