ตอนที่ ๓๗...การจากลา(๒)ค่ำแล้ว...และเป็นค่ำคืนที่อากาศเย็นฉ่ำยิ่งกว่าคืนไหน ลมต้นฤดูหนาวหอบเอาไอเย็นปกคลุมทั่วบริเวณ ทั้งยังไอน้ำจากผืนเจ้าพระยาสายใหญ่ คลอกลิ่นดอกราตรีหอมกรุ่นที่ขึ้นครึ้มข้างเรือนโชยผ่านบานหน้าต่างบนชั้นสองของตัวเรือนให้คนที่ยืนรับลมสูดเอากลิ่นหอมฟุ้งนั้นให้ชื่นใจ...หากเพียงแค่ลมหนาวและกลิ่นราตรีกลับไม่ช่วยดับความร้อนรุ่มภายในได้แม้เพียงนิด
ยิ่งใกล้เวลาออกเดินทาง ความหนักหน่วงถ่วงจิตใจก็ยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวี แม้จะออกมายืนข้างหน้าต่างรับลมเย็นหมายจะให้ช่วยดับความร้อนใจแต่กลับยิ่งทำให้ร้อนรนหนักกว่าเก่า...เสียงลมหายใจพรูออกหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่ายามยืนทอดสายตามองผืนน้ำดำครึ้มเบื้องล่างเรียกความสนใจจากอีกคนที่อยู่ในห้องได้เป็นอย่างดี
"เขาบอกว่าถอนหายใจทีนึงอายุจะสั้นลง มึงเล่นถอนรัวๆแบบนี้ปีหน้าคงตายห่า"ถึงจะโดนบ่นแต่ยังไม่วายทิ้งลมหายใจหนักอีกสักรอบก่อนหันกลับมามองต้นเสียงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงในห้องรับรองแขกที่เจ้าคุณไพศาลท่านเตรียมไว้ให้
"เครียดอะไรวะ หลวงพิสิษฐลงทุนพามึงหนีขนาดนี้มึงน่าจะดีใจ"ไอ้ตัวดีว่าก่อนมันจะเป็นฝ่ายถอนหายใจเสียเอง
"กูสิ...จะได้กลับมาเจอกันอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้"เสียงบ่นอุบอิบของมันไม่ได้ดังไปกว่าเสียงลมด้านนอกนัก เมื่อเจ้าตัวเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเขี่ยพื้นที่นอนเล่น ทั้งยังรอยคล้ำใต้ตาที่บ่งบอกได้ว่ามันคงไม่ได้นอนมาตั้งแต่เช้าเพราะเอาแต่คิดเรื่องที่ว่า
"กู...เห็นแก่ตัวรึเปล่าวะแชมป์"
"เรื่องอะไรวะ"มันขมวดคิ้วมุ่นถาม"เรื่องหลวงพิสิษฐเหรอ"
"เขายังไม่หายดี...งานในกรมอีก ไหนจะเรื่องเจ้าคุณไพศาล"ผมร่ายยาวความอัดอั้นให้อีกฝ่ายฟังหากแต่มันเพียงส่ายหน้าไปมา
"ถ้าเขาไม่พามึงหนี แล้วมึงกับกูจะมีปัญญาไปไหนได้ รู้จักใครหรือก็เปล่า ให้ไปกันเองมีหวังโดนหลอกไปขายถึงไหนต่อไหน"
"มันก็ใช่...แต่..."
"พอเถอะธีร์...คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาเสียสละเพื่อมึงขนาดนี้มึงน่าจะดีใจ"แชมป์ลุกขึ้นมายืนประชิดตัว มือขาวๆของมันเอื้อมมาผลักศีรษะผมเบาๆราวกับจะบอกให้เลิกคิดมากเสียที...แต่เรื่องแบบนี้มันเลิกกันได้ง่ายเสียเมื่อไหร่ ไม่เช่นนั้นผมคงไม่มายืนใช้ความคิดอยู่ตรงนี้เป็นนานสองนาน
ยังไม่ทันได้ตอบอะไร ร่างสูงโปร่งของคนที่กำลังพูดถึงก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี หลวงพิสิษฐที่อยู่ในชุดเสื้อคอจีนสีหม่นกับโจงกระเบนสีคล้ายกัน มองเผินๆเหมือนกับพวกชาวบ้านที่ผมเห็นแถวตลาด แต่เพราะใบหน้าคมเข้มชวนมองนั่นที่ทำให้เขาดูโดดเด่นแม้แต่งกายด้วยชุดธรรมดาแบบนี้
"ได้เวลาแล้ว ไปกันเถิดพ่อ"เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเบาราวเสียงกระซิบเรียกให้พวกผมที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้าต่างพากันหยิบข้าวของแล้วเตรียมออกเดินทาง
"พี่ให้คนมาคอยอยู่ที่ท่าน้ำ เขาจะพาเราไปส่งที่ท่าเรือ"คนเดินนำหน้าอธิบายความที่เคยบอกผมก่อนหน้าให้แชมป์ฟัง เขาบอกว่ากว่าจะเดินทางไปถึงพิษณุโลกก็ใช้เวลาเกือบสองวันเพราะต้องนั่งทั้งเรือแล้วต่อด้วยเกวียนอีกไกลพอสมควร แต่หากถามถึงเส้นทางว่าผ่านตรงไหนบ้างผมก็คงต้องบอกว่าผมไม่รู้ เพราะในสมัยของผมการเดินทางไปพิษณุโลกแค่ขับรถไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ไม่ได้ลำบากเหมือนอย่างที่เจ้าตัวกำลังอธิบายยาวเหยียดนี่
หากยังไม่ทันถึงบันไดชั้นที่สองของเรือนดี สองขาที่ก้าวตามคนตัวสูงข้างหน้ากลับชะงักนิ่ง...ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หันกลับไปมองไอ้แชมป์ที่เดินตามหลังซึ่งมีสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน มันเพียงเอื้อมมือกระตุกแขนผมเบาๆ คิ้วหนาของมันขมวดแน่นเป็นปมไม่ต่างจากตัวผมที่ยืนนิ่งจนแม้แต่คนตัวสูงด้านหน้าก็สังเกตได้
"มีอะไรหรือพ่อ"
ไวเท่าความคิดเมื่อผมฉวยข้อมือไอ้ตัวดีข้างๆออกวิ่งไปอีกทางตรงข้ามกับบันไดชั้นสองโดยไม่สนว่าเสียงฝีเท้าที่ลงหนักจะได้ยินไปถึงบ่าวคนไหนบนเรือนหรือไม่...จุดหมายคือประตูไม้สักแบบบานพับที่ตั้งโดดเด่นอยู่สุดโถงทางเดิน...ประตูห้องนอนที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี หากในตอนนี้กลับทำให้หัวใจเต้นระส่ำเมื่อเอื้อมมือออกไปผลักบานประตูนั้นให้เปิดออก
...เพราะเสียงนั้น...
...เสียง...ที่ไม่ได้ยินมานานจนเกือบลืมไปแล้ว....
...เสียง...ที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่...
...เสียงกังวานใสดั่งแก้วกรีดร้องก้องในหู และแสงสว่างเรืองรองส่องประกายสดใสตรงหน้า...
...บนโต๊ะไม้สักตัวงามตัวนั้น...
"พ่อธีร์!"
หากแต่เสียงทุ้มนุ่มที่แผดลั่นกลับดึงเอาสองขาที่กำลังก้าวเข้าใกล้ให้ชะงักลง ร่างสูงโปร่งที่วิ่งกระหืดกระหอบตามหลังหยุดยืนหน้าประตูห้อง ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเห็นแสงเรืองรองบนโต๊ะไม้สักก่อนเบือนกลับมาสบเข้ากับสายตาแน่นิ่งของผม
"ธีร์..."แม้แต่แชมป์เองก็เอื้อมมือแตะต้นแขนคล้ายคำถาม สีหน้าของมันดูลังเลเมื่อมองมาที่ผมสลับกับคนตัวสูงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เพียงครู่เดียวมันก็ผละออกแล้วถูกแทนที่ด้วยแรงบีบหนักหน่วงจากเจ้าของห้องที่ปราดเข้ามายืนประชิดตัวแทบทันที
"พ่อธีร์...ฟังพี่...ฟังพี่เถิดพ่อ"สองมือคว้าเข้าที่หัวไหล่แล้วออกแรงเขย่าเสียจนตัวโยนคล้ายเรียกสติ สายตาของผมที่จดจ้องเพียงแสงสว่างขาวนวลตรงหน้ากระตุกวูบก่อนเบือนกลับมาสบกับดวงตาคู่สวยที่ฉายแววร้อนรนชัดเจน
"พี่แก้ว..."
"ไปเถิดพ่อ...เรือมาคอยอยู่ที่ท่านานแล้ว ให้เขารอนานเขาจะว่าเอาได้"ริมฝีปากหยักบรรจงยกยิ้มน้อยๆทั้งที่สองมือสั่นเสียจนน่าใจหาย
เพียงได้เห็นรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าคมที่รักแสนรัก ความรู้สึกเต็มตื้นก็ตีล้นจนแทบตอบรับโดยไม่ต้องคิด...หากแต่เสียงกังวานบาดลึกทั้งยังแสงสว่างจ้าที่ปลายสายตายังคงร้องเรียกไม่ขาด
...เสียงที่ร้องเรียกเอาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีให้กลับมาแทนที่หัวใจตรงหน้า...
...แสงสว่างที่สาดส่องราวกับกำลังเตือนสติว่านี่ไม่ใช่เพียงเรื่องบังเอิญ เหมือนที่ผมเคยเชื่อมาตลอดว่าความบังเอิญไม่มีในโลกนี้...ทุกอย่างถูกกำหนดจากใครบางคนเอาไว้แล้วไม่ว่าสุดท้ายผมจะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม...ไม่เช่นนั้น...สิ่งนี้คงไม่แผดเสียงลั่นในเวลาแบบนี้
ผมกำลังยิ้ม...ยิ้มที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ...ยิ้มที่ไม่ได้บรรจงปั้นแต่งให้สวยงามเหมือนครั้งไหนๆ...หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองเจ็บปวดแทบขาดใจ
"ธีร์กำลังจะไปครับ"สิ้นเสียง...ทั้งตัวกลับถูกรวบเอาไว้แนบอกกว้าง ท่อนแขนแกร่งตระกองกอดแนบแน่นจนรับรู้ถึงจังหวะหัวใจของอีกฝ่ายที่กำลังร้องร่ำเต้นระรัวและเดือดพล่านไม่ต่างจากสองมือที่โอบรอบกาย
"อย่าไปเลยคนดี...หากเจ้าทิ้งพี่แลพี่่จะอยู่อย่างไร"เสียงทุ้มนุ่มอ้อนวอนดังแผ่วข้างหูทำเอาคนฟังเจียนขาดใจไม่แพ้กัน...นึกอยากเห็นแก่ตัวมากกว่านี้ เก็บกักเขาเอาไว้กับตัวไม่ปล่อยไปไหนเหมือนที่เขากำลังทำอยู่ แต่จะให้ทำได้อย่างไรในเมื่อมันคือการฉุดดึงตัวเขาให้ตกต่ำไปด้วยกัน
"พี่แก้วยังมีงาน มีเจ้าคุณท่านที่ต้องดูแล...อย่าให้ธีร์เป็นคนเห็นแก่ตัวพาพี่แก้วไปลำบากที่ไหนเลยนะครับ"
"แลหากพี่นึกเห็นแก่ตัวขอให้พ่อธีร์อยู่กับพี่เล่า...เจ้ายังจะไปจากอกพี่อีกหรือ"ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับคำถามนั้น
"พี่แก้วที่ธีร์รู้จักไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวนี่ครับ...พี่แก้วคนนั้นมีทั้งความรับผิดชอบ ขยันทำงานจนเป็นที่รักของใครต่อใคร แล้วยังกตัญญูรู้คุณคนที่เลี้ยงดูมาอีก...ธีร์รู้จักพี่แก้วที่เป็นแบบนั้น...รักพี่แก้วที่เป็นแบบนั้น"สองมือที่โอบรอบแผ่นหลังกว้างกำแน่นจนเสื้อของเขายับย่น ทั้งพยายามสูดหายใจลึกครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ ถึงอย่างนั้นก็ยังกลั้นน้ำตาไม่ให้ร่วงหล่นไม่ได้
หลวงพิสิษฐไม่ได้ตอบอะไร แต่เพราะสัมผัสอุ่นชื้นที่กระทบเข้ากับหัวไหล่ทำให้ผมรีบผละออกจากอ้อมแขนแข็งแรงนั้นทันที...ดวงตาคู่สวยรื้นหยาดน้ำใส น้ำตาเพียงหยดเดียวที่กลิ้งหล่นบนใบหน้าคมเข้มที่สงบนิ่ง แม้ไม่มีเสียงสะอื้นแต่กลับรับรู้ว่าข้างในเขากำลังร่ำไห้ไม่ต่างกัน
ผู้ชายเข้มแข็งคนนี้ที่แม้ถูกทำร้ายสาหัสยังฝืนยิ้มได้ แต่เพียงแค่คำบอกลากลับทำให้น้ำตาร่วงหล่นเป็นสาย
ดวงหน้าคมเอียงซบรับสัมผัสจากมือของผมที่เอื้อมขึ้นแนบแก้ม ปลายนิ้วหัวแม่มือปัดป่ายเพียงเบาๆหมายให้หยดน้ำตานั้นเหือดหาย ทั้งที่สองแก้มของตัวเองก็ร้อนผ่าวด้วยหยาดน้ำใสไม่ต่างกัน ถึงอย่างนั้นก็ยังบรรจงปั้นแต่งรอยยิ้มสวยส่งไปให้
"เดี๋ยวธีร์ก็กลับมา...เหมือนทุกครั้งไงครับ"หากใบหน้าคมกลับส่ายไปมาราวกับรู้คำตอบดี
"พี่รู้ว่าพ่อธีร์จะไม่กลับมา...พี่รู้..."ทั้งยังเสียงนุ่มสั่นเครือจนผมชะงักปลายนิ้วที่เกลี่ยข้างแก้ม...สองมือประคองมือหนาแนบลงที่อกข้างซ้ายของตัวเอง เสียงหัวใจแผดลั่นคงได้ยินไปถึงอีกฝ่ายเมื่อเขายกมืออีกข้างขึ้นเกาะกุม
"ธีร์รักพี่แก้วนะครับ...ต่อให้ธีร์ไปอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร แต่พี่แก้วก็ยังอยู่ตรงนี้กับธีร์"มือของหลวงพิสิษฐยังสั่นแม้ตอนที่เลื่อนขึ้นประคองใบหน้าของผมที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา ดวงหน้าคมโน้มเข้าใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจหนักหน่วงเมื่อเขาอิงหน้าผากแนบลงบนหน้าผากของผมให้ได้เห็นแววตาโศกวาววับด้วยหยาดน้ำใสชัดเจน ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะทาบทับลงบนเรียวปากบางของตัวเองแผ่วเบาทว่าบาดลึกยิ่งในความรู้สึก ถึงกระนั้นก็ยังเอียงหน้ารับสัมผัสนั้นแนบแน่น เพียงครู่เดียวก่อนที่เขาค่อยๆละออก
"คนดี...พี่รักเจ้ายิ่งกว่าอะไร หากเจ้าไม่กลับมาแล้ว พี่คงทำได้เพียงแค่รอ"เสียงทุ้มนุ่มสั่นเครือกระซิบแผ่วชิดริมฝีปาก สองมือของเขายังประคองใบหน้าไม่ห่าง ทั้งยังพยายามปัดป่ายหยดน้ำตาให้เหือดหาย
"แลหากชาตินี้พี่ไม่มีวาสนา ก็ขอให้ชาติหน้าพี่ได้พบ ได้รักเจ้าเหมือนที่พี่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...ขอให้ถือคำนี้เป็นคำสัญญา"
คำตอบของผม มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาและสองมือที่เอื้อมโอบหาความอบอุ่นเป็นครั้งสุดท้าย...อ้อมกอดที่ทำให้ผมรู้ว่า ต่อให้ร่ำลาใครต่อใครก็ไม่เจ็บเจียนตายเท่าบอกลาคนตรงหน้า...คนที่พยายามดึงรั้งตัวผมเอาไว้แนบอกให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ธีร์..."
เสียงเรียกของแชมป์ราวกับเตือนสติให้ผมค่อยๆผละจากอ้อมแขนแข็งแรง รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นตัวเอกของหนังดราม่าสักเรื่องเมื่อสองมือยังคงแตะสัมผัสกับมือหนาตรงหน้าหากแต่มันกลับยิ่งไกลออกไปทุกที...ในสายตามีเพียงร่างสูงโปร่งสมส่วน ใบหน้าคมเข้มที่ตอนนี้เศร้าหมองเต็มทีกับดวงตาคู่สวยที่จดจ้องอย่างแสนเสียดาย...หากเมื่อมืออีกข้างแตะสัมผัสเข้ากับวัตถุเย็นเยียบถึงได้รับรู้ว่ามันถึงเวลา
"ผม...ฝากลาคุณพิกุลด้วยนะครับ"คำฝากลาของแชมป์สั่นเครือไม่ต่างกัน...คนตัวสูงพยักหน้ารับช้าๆก่อนที่มันจะก้าวมายืนเคียงข้าง สองมือของมันประคองซ้อนวัตถุในมือของผม พร้อมกับที่แสงขาวนวลเย็นตาแผดจ้าส่องสว่างเสียจนไม่อาจฝืนสายตาให้มองภาพตรงหน้าต่อไปได้อีก
สิ่งสุดท้ายที่ได้เห็น...คือร่างสูงโปร่งที่ทำท่าขยับเข้าใกล้หากเพียงต้องชะงักลง ในขณะที่ตัวผมทำได้เพียงส่งยิ้มบางเบาให้เขาก่อนหลับตาลงอีกครั้ง...ซึมซับเอาภาพตรงหน้าฝังลงบนอกข้างซ้าย...ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ
...รอธีร์นะครับพี่แก้ว...วันหนึ่งธีร์จะกลับมา...
........................................................................
ผมกลับมาแล้ว...ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวกว้างขวางที่ไม่ได้กลับมาเหยียบนานนับเดือน...ดวงตากระพริบถี่เพื่อปรับสภาพให้คุ้นชิน ทั้งยังเพื่อปัดไล่หยดน้ำที่รื้นรอบขอบตาให้แห้งเหือด...ภาพตรงหน้ายังคงพร่าเลือน มีเพียงความมืดที่โรยตัวปกคลุมนอกหน้าต่างกับแสงไฟนีออนสีขาวนวลส่องสว่างเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาดึกดื่นเพียงใด...หากยังไม่ทันได้มองรอบกายถ้วนถี่กลับต้องสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงแหวลั่นของคนข้างๆ
"ธีร์...โต๊ะนั่น!"ผมรีบตวัดสายตากลับไปมองยังตำแหน่งที่คุ้นเคยแต่กลับต้องเบิกกว้างแม้แสงสว่างเมื่อครู่ทำให้หัวหมุนขนาดไหน เพียงเพราะสิ่งของบางอย่างที่มันเคยตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
เวลานี้มันกลับว่างเปล่า!
เช่นเดียวกับน้ำหนักของวัตถุในมือที่เคยถ่วงหนักเย็นเยียบให้รับรู้ถึงการกลับมา ผมก้มลงมองสองมือของตัวเองที่ว่างเปล่าไม่ต่างจากบรรยากาศในห้อง สองมือที่แบออกสั่นน้อยๆไม่ต่างจากหัวใจที่สั่นไหว
ไวเท่าความคิด เมื่อผมรีบวิ่งพรวดพราดลงบันไดโดยมีไอ้แชมป์ตามหลังมาติดๆ...สายตาสอดส่ายหาคนที่ควรรู้เรื่องนี้ดีที่สุด ทั้งโต๊ะกินข้าว ห้องนั่งเล่น หรือแม้แต่ห้องครัว ทุกที่กลับเงียบเชียบไม่มีแม้สัญญาณของสิ่งมีชีวิตใด
แต่เพียงแค่ได้ยิน เสียงโหวกเหวกแว่วดังมาจากด้านนอกจนต้องรีบสาวเท้าตามออกไป เพียงเพื่อให้ร่างทั้งร่างทรุดฮวบราวกับคนไร้เรี่ยวแรง
เมื่อได้เห็น...
แสงเพลิงสว่างโชติช่วงตรงริมรั้วหน้าบ้าน กับเงาร่างของคนคุ้นเคยสองสามคนที่ยืนล้อมโดยรอบ
"ธีร์!"เสียงตะโกนลั่นผ่านอากาศคุ้นหูยิ่งนักเมื่อเงาของใครคนหนึ่งเบือนหน้ากลับมาแล้วรีบถลาเข้าหา
"ธีร์กลับมาแล้วเหรอลูก!"หากแต่เสียงและแรงฉุดรั้งของอานิดกลับไม่กระทบเข้าแม้โสตประสาท เมื่อสิ่งที่รับรู้มีเพียงแสงเพลิงแดงฉานกับวัตถุสีดำวูบไหวอยู่ตรงกลางคล้ายเชื้อไฟ แม้ไม่เห็นแต่รับรู้ได้ว่าสิ่งที่กำลังมอดไหม้ในกองเพลิงตรงหน้า...คือสิ่งที่ผมรักแสนรัก...
"ธีร์อย่า!"อานิดออกแรงดึงแขนจนสุดแรงเมื่อผมปรี่เข้าใกล้ทุกขณะ หัวใจเต้นระรัวดังก้องจนแทบกระเด็นออกมานอกอก ขณะเดียวกันก็เจ็บแปลบเหมือนถูกใครเอามีดมากรีดมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"อานิดทำแบบนี้ทำไมครับ...ทำแบบนี้ทำไม!"ผมดิ้นพล่านให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย หากเพียงต้องชะงักลงเพียงเพราะน้ำเสียงคุ้นหูของใครอีกคนดังแทรกขึ้นมา
"อาเป็นคนทำเอง"สายตาที่เหลือบมองอีกด้านของกองเพลิง ร่างสูงสมส่วนยืนโดดเด่นในเงามืดมองเห็นเพียงด้านข้างจากแสงไฟที่วูบไหว ใบหน้าสงบนิ่งแต่สายตากลับจดจ้องดุดัน
"อาต้น!"
"ธีร์! อาห้ามแล้วแต่อาต้นเขาไม่ฟัง"สองมือเล็กๆของอานิดกระตุกเร่าบนต้นแขน หากผมเพียงสะบัดมือนั้นออกอย่างไม่ใยดี ไม่สนใจแม้คนที่เกาะเกี่ยวอยู่จะมีศักดิ์เป็นถึงน้องของพ่อหรือใครก็ตาม
เพียงเพราะได้ชื่อว่าเป็นคนทำลายสิ่งของเพียงอย่างเดียวที่ผมหวงแหนที่สุดในชีวิต
"ทำไม...ทำไมต้องทำแบบนี้!"ผมแผดเสียงลั่นพร้อมกับเรี่ยวแรงที่หดหายจนทั้งร่างทรุดฮวบลงกับพื้น จ้องมองเพียงเปลวเพลิงลุกโชนตรงหน้า แสงสว่างสีแดงสาดส่องส่งไอร้อนแผ่กระจาย หากยังไม่ร้อนเท่าใจของตัวเอง
"ก็ในเมื่อ'ไอ้นี่'มันเป็นต้นเหตุ อาก็แค่ทำลายมันทิ้งซะจะได้จบๆเรื่องกันไป"น้ำเสียงเย็นเยียบไม่แยแสของอาต้นเรียกให้ผมตวัดสายตาจดจ้อง ใจหนึ่งอยากลุกพรวดเข้าไปเขย่าตัวเขาแรงๆเพื่อระบายความโกรธ หากแต่สองขากลับไร้เรี่ยวแรง ทั้งยังแรงดึงรั้งของอานิดที่ยังไม่ยอมปล่อยไปไหน
"เราก็เหมือนกันแชมป์ หายตัวไปเป็นเดือนๆรู้ไหมว่าที่บ้านเขาเป็นห่วงกันขนาดไหน"อาต้นเบนความสนใจไปที่คนยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ ดวงตาเรียวรีของมันไหวระริกแต่กลับเลื่อนลอยคล้ายคนไม่มีสติ ไม่มีแม้คำตอบรับหรือทักท้วงใดๆหลุดจากปากที่เม้มแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง
หากเพียงปลายสายตาเหลือบไปเห็น วัตถุทรงเหลี่ยมคุ้นตาที่กำลังมอดไหม้อยู่บนพื้น ทั้งร่างกลับทะลึ่งพรวดจนอานิดผงะถอย มือที่เอื้อมออกสู่กองเพลิงตรงหน้าเรียกเสียงร้องทั้งจากคนที่ดึงรั้ง หรือแม้แต่ป้าเพ็ญที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ...ความร้อนปร่ากระทบกับฝ่ามือแต่ยังฝืนคว้าก้อนสี่เหลี่ยมดำเมี่ยมเอาไว้แน่น
"ทำอะไรน่ะธีร์!"อานิดที่ตั้งสติได้รีบปัดมันออกทันทีแล้วกระชากข้อมือของผมพลิกขึ้นดูเพื่อพบว่ามันแดงฉานไปด้วยรอยพุพอง ถึงอย่างนั้นสายตาของผมยังจดจ้องเพียงก้อนสี่เหลี่ยมที่กลิ้งหลุนๆลงบนพื้นสองสามรอบ ขอบของมันมีรอยไหม้จนดำเมี่ยมคล้ายก้อนถ่าน ทั้งยังรูปทรงบิดเบี้ยวเพราะถูกไฟลามเลีย มีเพียงแค่รอยสลักบนวัตถุนั้นที่ยังพอเห็นลางเลือนที่หากใครได้เห็นเป็นครั้งแรกคงไม่สามารถอ่านตัวหนังสือปราณีตบรรจงบนนั้นออก
แต่ผมกลับจำได้ดีทุกตัวอักษร...ไม่ใช่เพราะมันเป็นชื่อของตัวเอง หากเป็นเพราะเจ้าของลายมือสวยที่ตั้งใจสลักเสลาทีละตัวอักษรลงบนพื้นไม้อย่างยากเย็นถึงขั้นเลือดตกยางออก ทั้งรอยยิ้มอบอุ่นยามเมื่อเขาลงแรงไปกับมัน หรือใบหน้าคมเข้มชวนมองฉายแววดื้อดึงเมื่อผมร้องห้าม...นึกได้แค่นั้นสองมือก็ผวาเข้าตะครุบวัตถุบนพื้นเอาไว้อีกครั้ง แว่วเพียงเสียงหวีดร้องของอานิดและน้ำเสียงดุดันของอาต้นร้องร่ำอยู่ไกลละลิบ เมื่อสายตาจดจ้องแค่ก้อนสี่เหลี่ยมดำมะเมื่อมที่ประคองอยู่ในมือ
"เจ็บมือหรือลูก มาให้อาดูแผลก่อน"คนร้องเรียกคงเข้าใจว่าเพราะความเจ็บจากแผลที่มือเลยทำให้น้ำตาร่วงหล่นเป็นสาย แต่คนที่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดดีอย่างแชมป์กลับทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง มือขาวๆของมันปัดป่ายทั่วใบหน้าตัวเองพลางสูดหายใจลึกก่อนเอื้อมมาแตะที่หัวไหล่ของผมแล้วออกแรงบีบหนักจนมือไม้สั่น
นอกจากแชมป์แล้วใครจะรู้ ว่าแผลที่มือยังเจ็บได้ไม่ถึงเสี้ยวของความรู้สึกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อความหวังเดียวที่จะได้กลับไปที่นั่นอีกครั้งกลับมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านอยู่ท่ามกลางเปลวไฟลุกโชนตรงหน้า...ภาพความทรงจำต่างๆไหลวนในความคิดราวน้ำป่าไหลทะลัก ทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ คราบน้ำตา หากแต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคงมีเพียง...ใบหน้าของใครบางคนที่คิดถึงทั้งที่เพิ่งบอกลากันได้ไม่นาน
ที่ใจมันเจ็บเพราะรู้ดีว่า...ผมจะไม่ได้เห็นใบหน้านั้นอีกแล้ว...ชั่วชีวิต
..........................................................................
ลมเย็นเอื่อยพัดโชยกระทบใบหน้าให้รู้สึกหนาววูบขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง เพียงแค่เสื้อยืดแขนสั้นตัวบางคงไม่อาจกันลมฤดูหนาวที่หอบไอเย็นแผ่ปกคลุมไปทั่ว หากสายตายังทอดยาวออกไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่ที่ถูกฉาบด้วยแสงสีส้มจากพระอาทิตย์ดวงโตลอยระเรี่ยริมขอบฝั่ง แว่วเสียงเครื่องยนต์จากเรือใหญ่น้อยดังแข่งกันไม่ขาด คลอเสียงผู้คนพูดคุยจอแจอยู่ไม่ไกลนัก
ริมเจ้าพระยายามเย็นที่สวนสันติชัยปราการในปีพ.ศ.๒๕๕๗ แม้ไม่พลุกพล่านด้วยผู้คนแต่ก็ไม่เงียบสงบเหมือนบางแห่งที่เพิ่งจากมา...สถานที่ ที่เก็บกักความทรงจำเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆแต่กลับยาวนานยิ่งในความรู้สึก
กว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง และก็เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่ผมเอาแต่ปิดปากเงียบไม่ตอบคำถามของใครต่อใครที่คอยคาดคั้นหาคำตอบ...ไม่มีใครรู้ว่าตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมาพวกผมหายตัวไปอยู่ที่ไหน และผมก็ไม่สนใจที่จะรู้ความเป็นไปของคนที่นี่ในช่วงเวลาเหล่านั้น ถึงแม้อานิดจะพยายามอธิบายเสียยืดยาวเรื่องที่แกปรึกษาอาต้นถึงข้อสงสัยเรื่องโต๊ะไม้สัก จนกระทั่งอาต้นตัดสินใจลงมากรุงเทพเพื่อจัดการปัญหาที่ว่าในแบบของแก...ผมก็เพียงฟังมันแค่พอผ่านหู
ความโกรธที่พุ่งพล่านในคืนนั้นแทบดับวูบลงเมื่อเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้ความจริงที่ว่าโต๊ะตัวนั้นถูกอาต้นเผาทิ้งจนไม่เหลือซากยังคงอยู่ หากแต่ผมเข้าใจอาทั้งสองดี เพราะความรักและความเป็นห่วงทำให้ทั้งอาต้นและอานิดตัดสินใจทำแบบนี้ ซึ่งถ้าเป็นผม ก็อาจตัดสินใจแบบเดียวกันหากมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนสำคัญในชีวิต
ผมกลับมาใช้ชีวิตที่เรียกได้ว่า'เกือบ'เป็นปกติ เพราะถึงแม้ทุกวันจะหมุนผ่านไปด้วยความราบรื่นอย่างที่คนรอบตัวผมอยากให้เป็น หากแต่บางครั้งความคิดกลับเวียนวนไปถึงช่วงเวลาที่เต็มตื้นไปด้วยความทรงจำต่างๆ ภาพของเรือนทั้งสองหลังที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทั้งนายและบ่าว เสียงพูดคุยจอแจของผู้คนที่ตลาด วัดวาอารมที่ผมเคยมีโอกาสได้ไปกราบไหว้ เรื่องราวทั้งร้ายและดีที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเหล่านั้น
และใครคนหนึ่งซึ่งผมคิดถึงยิ่งกว่าใคร
เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูที่ผมเคยได้ยินครั้งแล้วครั้งเล่าหายไปพร้อมกับเปลวเพลิงที่เผาไหม้โต๊ะไม้สักตัวนั้น จนบางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่า ความจริงแล้วมันคือเสียงที่คอยร้องเรียกให้ผมกลับไปหา หรือเป็นเพียงเสียงครวญของใครคนนั้นที่ระบายความรู้สึกผ่านโต๊ะไม้สักตัวงามจนมันซึมซับเอาความโศกเศร้าของเขาเอาไว้นานนับร้อยปี...แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกเสียใจกับการหายไปของเสียงนั้นเหมือนในวันแรกๆ...เพราะสำหรับผม...ความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับคนๆนั้นยังคงเด่นชัด หลายครั้งที่ใบหน้าคมเข้มที่คิดถึงลอยวนเวียนอยู่ในความคิดทั้งยามหลับและยามตื่น ภาพคนตัวสูงที่กำลังยืนส่งยิ้มมาให้ เสียงหัวเราะของเขา หรือแม้แต่สัมผัสอบอุ่นจากมือหนาคู่นั้นยังคงชัดเจนยิ่งในความรู้สึก ราวกับมันหยั่งรากฝังลึกลงบนหน้าอกข้างซ้ายที่แม้เวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่มันก็ยังคงอยู่
...ผู้ชายคนแรกและคนสุดท้ายที่ผมรักยังคงยืนเคียงข้างอยู่ตรงนี้แม้ผมไม่อาจสัมผัสได้ถึงตัวตน...
...แต่ผมเชื่อว่าเขาจะไม่มีวันจางหายไปจากความคิด...
...ตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจ...
..................................อวสา
"เดี๋ยว!!!"
ยังไม่ทันได้พิมพ์ 'น' ตัวสุดท้ายก็ได้ยินเสียงแหวลั่นแสบแก้วหู
ว่าแต่...ทำไมเสียงมันทุ้มๆนุ่มๆฟังสบายหูแปลกๆก็ไม่รู้นะคะ
"อุ่ย! คุณหลวง..."
นั่นไง! ก็ว่าเสียงมันน่าฟังพิลึก...ถึงกับออกโรงเองเลยวุ้ย
"ไม่ได้ จบแบบนี้ไม่ได้!"
"ล...แล้วจะให้จบยังไงล่ะเจ้าคะ"
เจอหน้าเหี้ยมๆกับบรรยากาศอึมครึมเข้าไป ถึงกับลงไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยเป็นแม่มณีโดยไม่คิดเลยเจ้าค่ะ
"อย่างไรก็ไม่รู้หล่อน แต่จบแบบนี้ไม่ได้!"
"ก...ก็มันจบแล้ว"
"แต่เราไม่ยอม!"
พูดเบาๆเค้าก็ได้ยิน ตัวเองจะตะโกนทำไม ฮือออ
"ธีร์ก็ไม่ยอม!"
นั่น...ไม่มาคนเดียว พาตัวแสบมาป่วนด้วยอีก แล้วอะไรคือการที่ผู้ชายสองคนมายืนทะมึนต่อหน้าหญิงสาวตัวเล็ก(?) บอบบาง(?) และไม่มีทางสู้แบบนี้เล่า!!
"น...น้องธีร์..."
"เจ๊จบแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่ยอม!"
"โอยยยย ก็มันจบแล้ว จะเอาอะไรอี๊กกกกก"
"ไม่ได้! ผมไม่ยอม ผมเป็นพระเอกนะ!"
"ไม่ใช่แล้วพ่อธีร์ พี่ต่างหากที่เป็นพระเอก"
"ไม่ใช่! ธีร์ต่างหากที่เป็นพระเอก"
"เดี๋ยวค่ะคุ๊ณณณณณ! สรุปว่าที่ไม่ให้จบนี่คือจะเถียงกันว่าใครพระใครนาง งี้?"
"ไม่ใช่!"พร้อมใจกันประสานเสียงจนหน้าอิชั้นเล็กลงเหลือสองขีด
"ใครพระใครนางไม่รู้ รู้แต่เจ๊จบแบบนี้ไม่ได้อ่ะ!"
"อ...อ้าว! ก็เจ๊ไม่มีอะไรจะเขียนแล้วอ่ะ มันจบแล้ว"
พยายามไกล่เกลี่ยสุดชีวิต
"ไม่ได้อ่ะ มันผิด ผิด ผิดมากด้วย!"
"ล...แล้วจะให้เจ๊ทำยังไงคะลูก"
"ทำยังไงก็เรื่องของเจ๊ แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้"
เอาล่ะเหวย พูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว
"จบแบบนี้ก็ดีออกนะน้องธีร์"
"ดีออกเลยเจ๊! ดีมากกกกก"
รู้สึกเหมือนโดนด่า
"พี่แก้วดูสิครับ ทำไมเจ๊ใจร้าย"
นั่นแน่ะ! มีฟ้องค่ะคุณผู้อ่าน เด็กมันฟ้องงงงง
"ใช่! หล่อนใจร้าย เราก็ไม่ยอม"
โถคุณหลวง ด่าบ่าวขนาดนี้ บ่าวนี่ก้มหน้ารับชะตากรรมเลย
"ล...แล้วคุณหลวงจะเอายังไงล่ะเจ้าคะ"
"เราให้โอกาสแก้ตัวใหม่"
แก้ตัวอะไรฟระ! จะให้บ่าวแก้ตัวอะไร บ่าวเป็นแค่ชะนีไม่มีทางสู้นะ #ร้องไห้หนักมาก
"ใช่! ธีร์ให้โอกาสเจ๊แก้ตัว"
แล้วทำไมพระนางคู่นี้มันถึงได้ดุนักฟระเนี่ยยยย
"งั้น......."
เหลือบมองผู้ชายสองคนที่ยืดกอดอกคาดคั้น
"งั้น......."
ยัง...ยังไม่เลิกมอง อย่ามองเค้าแบบนั้นเซ่! เค้ากลัว

"งั้น....."
"เจ๊!...หล่อน!"
"โอ๊ยๆ พอเจ้าค่ะ!
งั้น...ก็รอติดตามบทสรุปของ The Timeless Tide ใน 'ปัจฉิมบท' เอาละกันเน้ออออออออ
/me* พิมพ์เสร็จแล้ววิ่งหนีอย่างรวดเร็ว
