...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]  (อ่าน 308961 ครั้ง)

ออฟไลน์ PURE LOVE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
พี่แก้วววววจ๋า  พี่แก้วคนดีของน้องธีร์  รักพี่แก้วจังเลย
ตอนหน้าจะจบแล้วเหรอคะ  กลัวอ่ะ ไม่เอาดราม่าน้า   :ling3:
ให้พี่แก้วน้องธีร์  แชมป์กับคุณพิกุล ได้ครองคู่กันด้วยเถอะ เพี้ยง ๆ  :call:

ออฟไลน์ befol2e

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :z3:
โอ้ยยย เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้วอ่ะ
ถ้าจะหนี จะหนีไปที่ไหน ในเมื่อพี่แก้วก็ไม่มีญาติที่ไหนด้วย?
ตายๆ งานนี้จะจบแบบไหนคะเนี่ย รอลุ้นมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
ตอนที่ ๓๗...การจากลา...(๑)




รุ่งเช้าของพระนครยังคงสดใสอย่างที่เคยเป็น...ลมเอื่อยหอบน้ำค้างยอดหญ้าพัดพาให้เย็นฉ่ำ แดดยามเช้าทอแสงอ่อนโอบล้อมฉากบ้านเมืองให้สว่างกระจ่างตา งดงามยิ่งกว่าเมืองไหนที่เคยได้เห็น เสียงนกการ้องร่ำยามโผบินออกหากินดังแว่วทั่วคุ้งแควคล้ายสัญญาณบอกเวลาเริ่มต้นวันใหม่


บรรยากาศอบอุ่นอ่อนโยนต่างจากใจที่ร้อนรุ่มของทั้งตัวเองและใครอีกหลายคนบนเรือนพระยาจิตรานุวัตร


ข่าวการร่ำลากลับบ้านอย่างกระทันหันของผมและแชมป์ดังไปถึงท้ายเรือนอย่างรวดเร็วเมื่อพี่บุญมีกลายเป็นหนึ่งในผู้รู้เห็นตอนที่ผมกราบลาเจ้าของเรือนทั้งสองที่ชานเรือน ทำเอาทั้งพี่สนและไอ้มิ่งถึงกับแอบมาเกาะขอบบันไดรอฟังข่าวจนถูกเจ้าของเรือนไล่ตะเพิดวิ่งหนีกลับโรงครัวกันแทบไม่ทัน ส่วนคนที่ออกอาการมากที่สุดเห็นทีจะหนีไม่พ้นลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณท่านและคุณหญิงสร้อยที่เมื่อทราบความก็ถึงกับมือไม้อ่อนจนถูกเข็มร้อยมาลัยแทงที่นิ้วจนได้เลือดเข้าให้ ทั้งยังสีหน้าไม่สู้ดีนักสังเกตได้จากใบหน้าหวานที่ก้มงุดเห็นเพียงดวงตาหวานฉ่ำรื้นหยดน้ำตา


ไม่ต่างจากสีหน้าหมดอาลัยตายอยากของไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างผมในตอนนี้




ย้อนกลับไปเมื่อตอนมาถึงเรือนเมื่อรุ่งสาง ไอ้ตัวดีที่เปิดประตูห้องนอนออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าแช่มชื่นสมชื่อที่คนแถวนี้เรียกมันดูประหลาดใจไม่น้อยที่ได้เห็นดวงตาบวมช้ำผิดปกติของผม จนเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด สีหน้าชื่นมื่นกลับเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันควัน ทั้งยังโวยวายเสียลั่นเมื่อผมบอกถึงทางออกที่ทั้งคุณเดือนและหลวงพิสิษฐเป็นคนแนะนำ เจ้าตัวเอาแต่ดื้อแพ่งส่ายหัวส่ายหน้าไม่ยอมอยู่ท่าเดียว ซ้ำยังด่าทอตัวต้นเหตุที่ทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตถึงเพียงนี้แม้ว่ามันจะกลายเป็นคนพิการขยับตัวไปไหนไม่ได้อีกแล้ว จนเมื่อผมขึ้นเสียงตวาดใส่อย่างหมดความอดทนถึงได้ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นราวกับคนสิ้นสติ แล้วถามผมซ้ำไปซ้ำมาเพียงแค่ว่า


...ไม่ไปไม่ได้หรือ...




"แลจะไปกันเมื่อใดเล่า"คุณหญิงสร้อยได้แต่เอนกายอิงหมอนขวานพลางถอนใจยาวหลังจากที่ผมแจ้งให้ทราบโดยให้เหตุผลว่าจากบ้านมานานเกินไปจนคนที่บ้านเป็นห่วงขอให้กลับไป ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ออกปากห้ามด้วยรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าใครต่างก็ต้องกลับ'บ้าน'ด้วยกันทั้งนั้น

"คืนนี้ครับ แต่ว่าจะไปกราบลาเจ้าคุณไพศาลท่านก่อน"

"ประหลาดนักพวกเองนี่ นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป"ใบหน้าอ่อนโยนภายใต้ริ้วรอยจางๆดูไม่ค่อยพอใจนักเมื่อเห็นว่าพวกผมรีบร้อนจากไปอย่างกระทันหัน โดยไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าอมทุกข์ของลูกสาวคนเล็กที่นั่งก้มหน้างุดอยู่เบื้องหลัง

"ไฮ้..แม่สร้อยนิ่ มันจะกลับบ้านไม่ได้ไปทำตัวเหลวแหลกที่ใดเสียหน่อย"พอถูกเจ้าคุณปรามเข้าก็หน้าเจื่อนได้แต่ยกพัดไม้หอมในมือโบกไปมาดับความร้อนใจแทน

"ไปกราบลาเจ้าคุณเขาเสียก็ดี เขาเมตตาพวกเอ็งมากโข หากไม่ลาสิเขาจะได้หาว่าไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ"ผมได้แต่ค้อมตัวรับคำเจ้าคุณท่านที่มีสีหน้าเสียดายไม่น้อยไปกว่าภรรยาเมื่อรู้ว่าต้องเสียผู้ช่วยฝีมือดีมีความรู้อย่างไอ้แชมป์ไปอีกคน

"ไปแล้วก็อย่าลืมกลับมาเยี่ยมเยียนกันบ้างเล่า"ทั้งยังกำชับหนักหนายิ่งทำให้ผมหนักใจเป็นเท่าทวี

เจ้าคุณท่านจะรู้ไหมนะว่าการลาจากครั้งนี้อาจหมายถึงการลาจากชั่วชีวิตหรืออย่างน้อยก็เป็นหลายปีจนท่านอาจลืมหน้าพวกผมไปแล้วก็ได้หากได้กลับมาพบกันอีกครั้ง...ยิ่งคิดก็ยิ่งใจหาย ยิ่งหันไปมองรั้วรอบขอบเรือนไม้สักทรงไทยหลังงามก็ยิ่งเรียกความทรงจำในช่วงเวลาที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่...เสียงบ่นแกมดุของคุณหญิงสร้อยเมื่อพวกผมทำตัวกระโดกกระเดกไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อครั้งที่มาถึงในตอนแรกหรือแม้แต่ตอนทำบุญวันเกิดลูกสาวคนเล็กของท่าน น้ำเสียงทรงอำนาจของเจ้าคุณจิตรายามสั่งงาน เสียงหวานชวนฟังของคุณพิกุล หรือแม้แต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของบ่าวทุกคนบนเรือนที่พออยู่กันนานเข้าก็เหมือนเป็นพี่น้อง เป็นญาติสนิท...ทุกเสียงยังฝังลึกในความทรงจำราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้


ผมกราบลาเจ้าคุณท่านอีกครั้งเมื่อท่านตั้งท่าเตรียมตัวไปเข้ากรม มือหยาบกร้านเพราะงานหนักลูบศีรษะอ่อนโยนยามโน้มกราบแทบตักยิ่งทำให้หนักใจ...หากผมจากไปแล้วเจ้าคุณเดโชมาตามตัวถึงเรือน เจ้าคุณท่านจะรู้สึกอย่างไรหนอที่ได้รู้ว่าคนที่ท่านเมตตาให้ที่อยู่ที่กินกลายเป็นคนร้ายที่ทำให้ลูกชายเจ้าพระยาคนสำคัญเจ็บตัวจนสาหัสถึงเพียงนั้น โดยที่พวกผมไม่มีโอกาสได้อยู่แก้ต่างในความผิดทั้งหมดที่เกิดขึ้น...ท่านจะผิดหวังจนถึงขั้นชังน้ำหน้าไม่อยากเห็น ไม่อยากเอ่ยชื่อพวกผมให้ใครได้ยินอีกเลยหรือไม่...จนตอนนี้ผมได้แต่หวัง ให้สายใยบางเบาของความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขช่วยดลจิตดลใจให้ความเกลียดชังเหล่านั้นลดน้อยลง



เจ้าคุณจิตรากลับเข้าห้องไปแล้ว พร้อมกับลูกสาวคนเล็กที่ผลุนผลันลงจากเรือนหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน แว่วเสียงคุณหญิงสร้อยแกบ่นตามหลังด้วยเพราะไม่ค่อยได้เห็นกิริยารีบร้อนเช่นนี้บ่อยนัก หากยังไม่ทันได้บ่นอะไรยืดยาว ไอ้คนข้างๆผมก็รีบกราบลาคุณหญิงท่านแล้วรีบรุดลงจากเรือนทันที...ผมเหลือบมองสีหน้ากังวลใจของคุณหญิงสร้อยที่แสดงออกชัดเจนจนแม้แต่พัดไม้หอมในมือที่โบกไหวไปมาก็ปิดบังไม่มิด หากไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ยเพราะแกเองก็รู้ดีว่าใกล้เวลาที่พวกผมต้องกล่าวคำลาเต็มที...แม้แต่กับลูกสาวคนเล็กของแกเองก็เช่นกัน

"คุณหญิงครับ"เสียงเรียกให้คุณหญิงเจ้าของเรือนเบือนหน้ากลับมามองอีกครั้งพร้อมกับตัวผมที่ขยับเข้าใกล้ แต่ก็ไม่ใกล้ไปกว่าขอบพื้นยกตรงชานเรือนที่แกนั่งอยู่...ความรู้สึกเต็มตื้นที่มีต่อผู้หญิงวัยกลางคนตรงหน้าเอ่อล้นจนแทบกลั้นไว้ไม่อยู่

"เป็นกระไรของเอ็ง ทำหน้าเหมือนคนจะร่ำไห้"แม้ไม่มีหยดน้ำตาไหลรื้นอย่างที่เจ้าตัวว่าหากแต่ความรู้สึกข้างในกลับไม่ต่าง...เพราะสำหรับผม คุณหญิงสร้อยเป็นยิ่งกว่าคุณหญิงเจ้าของเรือนที่ให้ที่อยู่ที่กิน แต่เป็นผู้มีพระคุณในแทบทุกด้าน...คนที่คอยสั่งสอนเมื่อยามไม่รู้ ปลอบโยนเมื่อยามอ่อนแอ ทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าตัวเองนั้นมีความสำคัญต่อตัวผมเพียงใด...คำปลอบโยนในคืนนั้นที่ห้องพระยังคงแจ่มแจ้งในความคิด มือเรียวที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลายามลูบผมแผ่วเบาในคืนนั้นยังแผ่ซ่านความอบอุ่นจวบจนตอนนี้...ตอนที่ผมพนมมือนิ่งแล้วก้มลงกราบแทบตักแกอีกครั้งด้วยใจที่สำนึกในบุญคุณทั้งหมดที่เคยได้รับ

"ผมขอบคุณ...ทุกอย่างที่คุณหญิงเคยสั่งสอน บุญคุณที่คุณหญิงเคยเมตตาที่แม้ชาตินี้ผมก็คงชดใช้ไม่หมด"มือที่พนมก้มหน้าแทบตักทำให้ไม่เห็นสีหน้าของคนฟัง หากได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจเบาและสัมผัสอุ่นที่วางทาบบนศีรษะ

"ข้าไม่เคยนับบุญคุณกระไรกับเอ็งหร๊อก กับเอ็งข้าก็นึกเอ็นดูประหนึ่งลูกหลาน...เอ็งเป็นคนดีมีน้ำใจนัก จะกลับไปอยู่บ้านหรือที่ใดก็ขอให้นำความดีนี้ติดตัวเอ็งไปทุกที่...เท่านี้ข้าก็ดีใจมากแล้ว"สิ้นเสียงอ่อนโยน ผมเพียงละมือออกแนบหน้าลงบนตักนิ่มของคุณหญิงสร้อยแทน มืออุ่นยังคงไล้ลูบบนศีรษะอย่างเอ็นดูโดยไม่มีทีท่ารังเกียจแม้ผมยังกอดก่ายค้างอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน


ผมกราบแทบตักคุณหญิงท่านอีกครั้งก่อนหอบผ้าผ่อนเดินลงจากเรือน หากยังไม่ทันพ้นบันไดขั้นสุดท้ายดี เสียงคุ้นหูของแชมป์และเสียงหวานปนโศกของใครอีกคนกลับดังแทรกขึ้นเสียก่อน

"คุณพิกุลฟังแชมป์ก่อนนะครับ...ฟังแชมป์นะครับ"
ในศาลาแปดเหลี่ยมข้างเรือนปรากฏร่างของเจ้าของเสียงคุ้นหู คนหนึ่งกำลังวอนขอ ทั้งมือไม้ที่ยื้อยุดไม่ให้คนตัวเล็กกว่าเดินหนี ใบหน้าหวานเปื้อนน้ำตาไหลรื้นจากดวงตาคู่สวยที่ตอนนี้แดงช้ำเสียจนผมนึกสงสาร

"แชมป์ไม่อยากไปนะครับ...แชมป์ไม่อยากไปจากคุณพิกุลนะครับ"เสียงเว้าวอนของแชมป์ที่พยายามฉวยข้อมือคนตัวเล็กที่คอยแต่ยกมือปัดป้องเจ็บปวดจนแทบหลั่งน้ำตาไม่ต่างกัน ในเวลานี้สายตาของมันมีเพียงคนตัวเล็กที่ร่ำไห้ตรงหน้าโดยไม่สนว่าจะมีใครผ่านมาเห็นเข้าแล้วเอาไปรายงานให้เจ้าของเรือนได้ดุด่าเหมือนครั้งก่อนๆหรือไม่

"แลเหตุใดต้องไปเล่า!"เสียงหวานตวัดห้วนปนเสียงสะอื้นตัดพ้อเสียจนเสียดแทงความรู้สึกแม้กับคนที่บังเอิญได้ยินเข้าอย่างผม

"ถ้าแชมป์ยังอยู่ ทั้งเจ้าคุณ คุณหญิงหรือแม้แต่คุณพิกุลจะมีปัญหา...แชมป์ไม่อยากเป็นตัวปัญหาให้คุณพิกุลนะครับ"

"ปัญหาอันใด...ปัญหาว่าไม่รักกันแล้วถึงจะไปจากกันอย่างนั้นหรือ!"

"ไม่ใช่นะครับคุณพิกุล...แชมป์ไม่เคยไม่รักคุณพิกุลนะครับ จะให้แชมป์ไปสาบานที่ไหนก็ได้"สองแขนของมันรวบร่างแบบบางของลูกสาวคุณหญิงสร้อยไว้แนบอก เสียงสะอื้นปานขาดใจได้ยินดังจนผมนึกหวั่นว่ามันจะดังขึ้นไปถึงหูผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่บนเรือนหรือไม่ หากยังพอโล่งอกเมื่อมองขึ้นไปด้านบนแล้วพบว่าทุกอย่างยังคงสงบนิ่ง

"คุณพิกุลอย่าร้องนะครับ...อย่าร้องไห้เพราะคนอย่างแชมป์เลยนะครับ"ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าผู้ชายป่วนประสาทอย่างนายฐิติกรณ์ที่วันๆเคยเอาแต่กวนคนโน้น แหย่คนนี้ให้ถูกด่าตามหลังนับครั้งไม่ถ้วน มาถึงตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ชายอ่อนโยนที่ดึงรั้งคนที่มันรักเอาไว้แนบแน่น ทั้งยังคอยลูบหัวลูบหลังปลอบให้อีกฝ่ายหยุดเสียงสะอื้นจนตัวโยน

"ที่แชมป์ต้องไปเพราะจำเป็น แต่อย่าบอกว่าที่แชมป์ไปเพราะไม่รักคุณพิกุลเลยนะครับ เท่านี้แชมป์ก็เสียใจมากแล้ว อย่าให้แชมป์ต้องเสียใจไปมากกว่านี้เลยนะครับคนดี"

"ไม่ไปไม่ได้หรือพ่อ"สองมือของมันยึดไหล่คนในอ้อมแขนให้เงยหน้าขึ้นสบตา ใบหน้าของมันเปื้อนยิ้ม...ยิ้มที่บรรจงปั้นแต่งอย่างยากเย็นเพื่อให้ดูสดใสที่สุดในสายตาของอีกฝ่าย

"คุณพิกุลฟังแชมป์นะครับ...แชมป์รักคุณพิกุล...ต่อให้แชมป์ไปอยู่ที่ไหน แชมป์ก็ยังรักคุณพิกุลไม่เปลี่ยน"ดวงตาคู่สวยของคนตัวเล็กพราวด้วยหยดน้ำตาทว่าเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำสารภาพจากใจของอีกฝ่าย...คำสารภาพรักหวานแสนหวานที่คนฟังคงไม่เคยได้ยินมาก่อน หากกลับไม่สามารถเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าโศกนั้นได้แม้แต่น้อย

"แชมป์สัญญา ว่าแชมป์จะกลับมาหาคุณพิกุล...กลับมาหาหัวใจของแชมป์...คุณพิกุลรอแชมป์นะครับ"คำสัญญาของมันยิ่งเรียกเสียงสะอื้นจากคนในอ้อมแขน...มือเรียวเล็กกำแน่นลงบนหน้าอกจนเสื้อของแชมป์ยับย่น หากเพียงครู่เดียวที่ร่างเล็กดูบอบบางนั้นผละออกให้เห็นดวงตาแดงก่ำอาบหยดน้ำตา...คุณพิกุลไม่ได้ให้คำตอบใด เพียงแค่ปล่อยมือจากอีกฝ่ายแล้วเดินหนีไปทางท้ายเรือนทันที


เพียงครู่เดียวที่ผมได้เห็น สีหน้าเปื้อนทุกข์ของคนตัวเล็กเมื่อเธอเดินผ่าน ไม่ต่างอะไรจากคนที่ถูกทิ้งให้ยืนนิ่งโดยไม่ได้รับคำตอบ ดวงตาเรียวรีของมันแดงก่ำ ต่างตรงที่ไม่มีน้ำตา แต่ผมรู้ดีว่าข้างในมันกำลังร่ำไห้ปานขาดใจเช่นกัน


แชมป์เพียงปรายสายตามองเมื่อเห็นว่าผมเดินเข้ามาหา หากแต่สายตาของมันในตอนนี้คงไม่เห็นภาพใดนอกจากภาพของคนตัวเล็กที่เพิ่งจากไปเมื่อครู่

"กูอยากด่ามึงนะที่แอบฟัง...แต่ตอนนี้กูไม่มีอารมณ์ว่ะ"แชมป์แค่นยิ้มยากเย็นส่งมาก่อนที่มันจะเดินผ่านหน้าผมไป


หากเพียงมันจะรู้...ผมเองก็ไม่มีอารมณ์แซวมันให้ถูกด่ากลับมาเช่นกัน



ผมลากไอ้แชมป์ที่ตอนนี้มีสภาพคล้ายคนไร้วิญญาณไปร่ำลาพวกป้าน้อยที่โรงครัว พอไปถึงทั้งบ่าวน้อยบ่าวใหญ่ก็แทบกรูกันเข้ามาถามไถ่ โดยที่พวกผมก็ให้เหตุผลเดียวกับที่บอกเจ้าคุณจิตราและคุณหญิงสร้อย...ป้าน้อยแกบ่นไม่ขาดปากว่าต่อไปนี้คงไม่ต้องขนทำกับข้าวให้เยอะแยะเผื่อไอ้แชมป์ที่กินจุเสียจนบางวันข้าวที่หุงไว้ไม่พอให้บ่าวคนอื่นๆ...พี่ชดกับพี่บุญมีเองก็มีสีหน้าหมองเมื่อพวกผมตอบไม่ได้ว่าจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ แกว่าขาดพวกผมไปคงเหงาหู ไม่มีคนคอยคุยฟุ้งเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง(ซึ่งผมว่าน่าจะหมายถึงไอ้แชมป์คนเดียวมากกว่า)

และที่ขาดไม่ได้ก็คือพี่สนกับไอ้มิ่ง สองเสือคู่ทุกข์คู่ยากของผมกับไอ้แชมป์มาตั้งแต่สมัยไหน ไอ้มิ่งมันโวยวายเสียลั่นโรงครัวที่พวกผมรีบไปแบบกระทันหัน ส่วนพี่สนแกเพียงเดินเข้ามาบีบไหล่ผมเบาๆทั้งยังถามถึงเหตุผลด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก...แน่นอนว่าผมไม่ได้บอกความจริง แต่เพียงแค่ผมกำชับเรื่องคืนนั้นไม่ให้แกปริปากบอกใครที่แกกับไอ้มิ่งมาช่วย เท่านั้นพี่สนก็พอจะรู้ว่าเรื่องในคืนนั้นมีส่วนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

กว่าจะร่ำลากันเสร็จก็สายโด่ง พี่สนแกอาสาจะพายเรือไปส่งพวกผมสองคนที่เรือนเจ้าคุณไพศาลให้ แกว่าอย่างน้อยยังได้นั่งคุยกันระหว่างทาง...ผมหันกลับไปมองเรือนไม้สักทรงไทยหลังงามเบื้องหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนก้าวลงเรือ ราวกับกำลังซึมซับภาพเหล่านี้ไว้ในความทรงจำเพราะไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสได้กลับมาอีกครั้งเมื่อไหร่...อาจจะเป็นเดือน เป็นปี หรือหลายๆปี แต่ไม่ว่าจะนานเพียงใดผมก็ยังภาวนา ขอให้ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง กลับมาเพื่อได้ยินเสียงบ่นของคุณหญิงสร้อยและสีหน้าเคร่งขรึมทว่าแววตาอ่อนโยนของเจ้าคุณจิตรา กลับมากินขนมไทยที่งามทั้งหน้าตาและรสชาติไม่แพ้คนทำอย่างคุณพิกุลและกับข้าวรสจัดจ้านของป้าน้อยที่ทำเอาคนไม่ทานรสจัดแบบผมยังติดใจ กลับมาตั้งวงยาดองเป็นเพื่อนพี่สนกับไอ้มิ่ง หรือกลับมาทำงานอะไรก็ได้ตามแต่ที่เจ้าของเรือนจะไหว้วานให้ทำ



...อะไรก็แล้วแต่...ขอแค่ให้ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง...



........................................................................................



เจ้าคุณไพศาลในชุดข้าราชการเต็มยศนั่งรอในห้องนั่งเล่นพร้อมคุณหลวงคนสนิทอยู่ก่อนแล้วเมื่อผมและไอ้แชมป์มาถึง หลวงพิสิษฐบอกว่าเจ้าคุณท่านยังไม่ยอมเข้ากรมเพราะรอที่จะร่ำลาพวกผมเสียก่อน ทั้งที่คนตัวสูงเองก็แจ้งให้ทราบแล้วว่ากว่าพวกผมจะออกเดินทางกันก็ตอนค่ำ แต่เพราะวันนี้เจ้าคุณไพศาลมีงานด่วนกว่าจะกลับมาถึงเรือนก็คงดึกดื่นเต็มทีถึงได้ยอมอยู่รอพบหน้ากันเสียตั้งแต่ตอนนี้

สำหรับผม...การกล่าวคำลาต่อเจ้าคุณไพศาลเป็นเรื่องยากเย็นกว่าตอนเจ้าคุณจิตรามากนัก ด้วยเพราะท่าน'รู้'อะไรบางอย่าง สังเกตได้จากสายตาอ่อนโยนทอดมองมายังผมที่นั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าสลับกับคุณหลวงคนสนิทที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายตัวเดี่ยวข้างๆอย่างชั่งใจ

"เหตุใดถึงได้รีบร้อนนักเล่า"คำถามของเจ้าของเรือนมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจเบา

"ที่บ้านมีเรื่องด่วนนิดหน่อยครับ"ผมเลี่ยงไม่สบสายตาผู้อาวุโสกว่าเมื่อคำโกหกคำโตถูกส่งออกไป

"แลเมื่อใดจะกลับมาอีกหรือพ่อ"ความอาลัยถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งเรียกให้ผมกำชายเสื้อในมือเสียจนยับย่น ทั้งโกรธตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้เรื่องราวบานปลายถึงเพียงนี้ ทั้งละอายที่ต้องโกหกผู้ใหญ่อีกหลายๆท่าน ทั้งเสียดายที่ต้องจากบุคคลอันเป็นที่รัก...ทั้งที่เรือนโน้น...หรือแม้แต่คนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าขณะนี้

"ผมไม่รู้ครับ"คำตอบเพียงสั้นๆที่ทำเอาผู้อาวุโสได้แต่เหลือบตามองท่าทีของคนสนิทที่ยังปั้นแต่งสีหน้าให้เรียบเฉยอยู่ได้ ถึงกระนั้นก็จนด้วยคำพูดเมื่อไม่มีใครต่อความใด มีเพียงความเงียบโรยตัวปกคลุมบรรยากาศน่าอึดอัดในห้องนั่งเล่น กับเสียงพัดลมทองเหลืองแบบโบราณที่ครางหึ่งยามส่ายไปมา



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-02-2015 21:23:24 โดย Novemberist »

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0


สุดท้ายเจ้าของเรือนก็กลายเป็นผู้ทำลายความเงียบนั้นเสียเอง...ลมหายใจพรูออกหนักหน่วงราวกับกำลังระบายความอัดอั้นภายใน

"เอาเถิด...หากเสร็จธุระทางโน้นก็กลับมาเยี่ยมเยียนกันเสียบ้าง คนที่นี่เขารอต้อนรับพ่อทั้งสองอยู่เสมอ"ผมได้แต่ก้มหน้ารับคำเจ้าของเรือนแบบไม่เต็มเสียงนัก...ดูเอาเถอะ ขนาดตอนร่ำลายังนึกอาลัยกันถึงเพียงนี้ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับอีกฝ่าย เป็นญาติหรือก็ไม่ใช่ ก็แค่เด็กที่มาช่วยงานเพียงไม่กี่เดือนแต่กลับได้รับความเมตตาจนหาที่เปรียบไม่ได้

"เราให้บ่าวเตรียมห้องหับให้พ่อแช่มเอาไว้ ไปพักผ่อนกันเสียก่อนเถิด ค่ำนี้ต้องเดินทางอีกไกล"เจ้าคุณท่านเหลือบมองนาฬิกาลูกตุ้มแบบตั้งพื้นเรือนใหญ่เพียงครู่ก่อนเอ่ยตัดบทเมื่อเห็นว่าตอนนี้สายเต็มที


ผมกราบลาผู้อาวุโสอีกครั้งก่อนลุกจากห้องนั่งเล่น ตั้งใจจะไปหาป้าชื่นที่โรงครัวหลังเรือนเสียหน่อย หากยังไม่ทันพ้นประตูดี ขาเจ้ากรรมก็ดันชะงักนิ่งเพียงเพราะได้ยินบทสนทนาระหว่างเจ้าของเรือนกับคุณหลวงคนสนิท

"ใกล้หายดีแล้วซีนะพ่อแก้ว"

"ขอรับ อีกไม่นานคงกลับไปทำงานได้ตามเดิมขอรับ"น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยตอบผู้อาวุโส หากดวงตาคู่สวยกลับหลุบลงต่ำไม่กล้าสบตา

"วันก่อนเราได้พบเจ้าคุณเสนาบดี ท่านบ่นไม่ขาดปากว่าขาดพ่อแก้วไปเสียคนงานการในกรมก็ไม่สู้จะเดินหน้านัก"แม้เป็นเพียงหลวงไม่ได้มีหน้าที่สำคัญอะไร แต่เพราะความดีและความสามารถของเจ้าตัวทำให้กลายเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจเจ้าคุณเสนาบดีแห่งกรมธรรมการจนได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญอยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงการออกว่าราชการครั้งล่าสุดของเจ้ากรมผู้ซึ่งออกปากเจาะจงขอให้หลวงพิสิษฐเป็นผู้ติดตาม หากเพียงเพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิดทำให้ไม่สามารถร่วมเดินทางไปด้วยได้

"เราเองก็เห็นใจท่าน พ่อแก้วถูกขอตัวมาช่วยงานทางนี้เสียนาน พอเสร็จงานกลับถูกทำร้ายจนต้องพักยาว...เอ้า! ไม่ต้องหรอกพ่อ ยังไม่หายดีประเดี๋ยวก้มประเดี๋ยวเงยจะไปกระเทือนแผลเข้าอีก"เจ้าของเรือนยังไม่ทันจบเรื่องเก่าดีกลับต้องออกปากห้ามเสียก่อน เมื่อคนสนิทยอบตัวลงช่วยสวมรองเท้าหนังมันปลาบที่วางเทียบอยู่หน้าเรือน หากคนถูกห้ามไม่ยอมฟังกลับลงไปนั่งคุกเข่าข้างกายให้ผู้อาวุโสยึดบ่ากว้างเพื่อทรงตัวเสียอีก


ตอนนั้นเองที่ผมได้เห็น สีหน้าระบายยิ้มอ่อนโยนของเจ้าคุณไพศาลยามทอดมองลงยังร่างสูงโปร่งด้วยความเอ็นดูและเมตตายิ่ง

"เป็นบุญของเราแท้ๆที่ได้พ่อแก้วมาดูแลประหนึ่งลูกหลาน ทั้งผู้ใหญ่ในกรมยังออกปากชมว่าเรามีคนดีมีฝีมือแลยังน้ำใจงามอยู่กับตัว ต่อไปภายหน้าเห็นทีจะได้เป็นใหญ่เป็นโตเป็นถึงคุณพระหรือพระยาเลยเทียว"คำชื่นชมไม่ขาดปากกลับไม่ทำให้คนฟังมีสีหน้ายินดีสักนิด เจ้าตัวยังคงก้มหน้าสนอกสนใจรองเท้าหนังมันปลาบราวกับมันเป็นของวิเศษหนักหนา

"กระผมไม่เคยนึกถึงขั้นนั้นหรอกขอรับ เพียงเจ้าคุณท่านเมตตา ดูแลกระผมมาจนเติบใหญ่เยี่ยงนี้ก็นับเป็นบุญคุณล้นพ้นของกระผมแล้วขอรับ...จากนี้หากมีสิ่งใดที่กระผมทำให้เจ้าคุณท่านเดือดเนื้อร้อนใจ กระผมกราบขออภัยเจ้าคุณท่านเสียตรงนี้ ขอเจ้าคุณท่านยังเมตตาแลให้อภัย เท่านี้กระผมก็ดีใจมากแล้วขอรับ"น้ำเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนกล่าวพร้อมมือหนาที่พนมก้มลงกราบแทบเท้าจนแม้แต่ผู้อาวุโสยังได้แต่ยืนเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ

"อะไรกันพ่อแก้ว...พูดเสียอย่างกับจะลาจากเราไปที่ใด"หากคนถูกถามไม่ตอบอะไร ยังคงจรดปลายมือค้างไว้เช่นนั้น เนิ่นนานเสียจนเจ้าคุณท่านต้องโน้มลงแตะหัวไหล่เพียงแผ่วเบาให้อีกฝ่ายลุกขึ้นเสียที

"เอาแต่ก้มกราบอยู่เช่นนี้ ประเดี๋ยวเราก็ไปทำงานสายกันพอดี"เพราะคำพูดแกมหยอกของเจ้าคุณไพศาล คนตัวสูงถึงได้ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี มือหนายกขึ้นไหว้ลาอีกครั้งก่อนยืนทอดสายตาอาลัยมองตามแผ่นหลังของผู้อาวุโส แม้กระทั่งตอนที่เจ้าคุณท่านลับตาไปนานแล้ว ร่างสูงโปร่งก็ยังอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน

เพียงได้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ยืนอยู่ ผมก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย ความรักและภักดีต่อเจ้าคุณไพศาลสำหรับเขามันยิ่งใหญ่นัก ทั้งบุญคุณที่เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ มีหน้าที่การงานมั่นคง เป็นที่รักใคร่วางใจของผู้ใหญ่หลายต่อหลายท่าน หรือแม้แต่นึกฝากฝังชีวิตในบั้นปลายให้เขาดูแล

หากแต่เขากำลังทำลายความคาดหวังนั้น เพียงเพราะการกระทำที่ขาดการยั้งคิดของผมเอง...นึกไปถึงหน้าของผู้อาวุโสเมื่อกลับเรือนมาแล้วพบว่าคนสนิทที่ดูแลมาตั้งแต่เล็กประหนึ่งลูกหลานหายตัวไป...เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าคุณท่านจะเสียใจมากเพียงใด ท่านจะโกรธ เกลียด จนพาลมาลงที่ตัวต้นเหตุอย่างผมหรือไม่...แล้วต่อจากนี้ใครจะเป็นคนดูแลท่าน...เรือนหลังใหญ่โตกว้างขวางเพียงนี้ หากท่านต้องอยู่ตัวคนเดียว มีเพียงบ่าวไพร่คอยรับใช้ แต่ไม่มีลูกหลานหรือแม้แต่คนสนิทที่เคยนึกฝากฝังชีวิตบั้นปลาย...ท่านจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือ...



"ยังไม่ขึ้นไปพักผ่อนกันอีกหรือ"ความคิดฟุ้งซ่านถูกหยุดไว้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน...ร่างสูงโปร่งของหลวงพิสิษฐที่มาหยุดยืนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ ริมฝีปากหยักยกยิ้มน้อยๆเหมือนที่เขาเคยทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากแต่วันนี้มันกลับหม่นหมองจนน่าใจหาย

"ว่าจะไปลาป้าชื่นก่อนน่ะครับ"ได้แต่อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงเมื่อได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เจ้าตัวเพียงรับคำก่อนทิ้งท้ายว่าหลังเสร็จธุระแล้วให้ตามขึ้นไปข้างบน ส่วนตัวเขาจะขึ้นไปเก็บข้าวของที่จำเป็นก่อนออกเดินทางเสียก่อน


ผมไล่ไอ้แชมป์ที่มีสภาพไม่ต่างจากคนไร้วิญญาณให้ตามหลังบ่าวขึ้นไปบนห้องรับรองแขกที่เจ้าคุณไพศาลเตรียมไว้ให้ ก่อนจะมุ่งตรงไปยังโรงครัวเพื่อบอกลาป้าชื่น...แกไม่ตอบอะไรแต่กลับดึงผมเข้าไปกอดเสียแน่น ทั้งยังสีหน้าเสียดายเต็มที ปากก็ว่าผมจะทิ้งแกไปบ้างล่ะ ทั้งยังตั้งใจแน่วแน่จะลงมาส่งพวกผมคืนนี้ เดือดร้อนผมต้องรีบออกปากห้ามแล้วให้เหตุผลว่าไม่อยากรบกวนเวลานอนของแก ทั้งยังโกหกคำโตว่าเมื่อเสร็จธุระทางบ้านแล้วจะรีบกลับมาหาแกทันที เท่านั้นล่ะถึงยอมปล่อยมือที่กอดผมเอาไว้แน่นได้


กลับขึ้นมาบนห้องนอนหลังจากร่ำลาป้าชื่นเสร็จ...เจ้าของห้องที่ตอนนี้กำลังหยิบนู่นจับนี่อยู่หน้าตู้เสื้อผ้าไม้สักเข้าชุดกับเครื่องเรือนอื่นๆในห้องเพียงหันกลับมามองแล้วส่งยิ้มบางให้

"เราจะไปที่ไหนกันครับ"ผมวางหอบผ้าในมือลงบนเตียงก่อนทิ้งตัวลงนั่งตาม

"เมืองพิษณุโลก...พี่มีคนรู้จักอยู่ที่นั่น"

"ใครเหรอครับ"ได้แต่ตีหน้ายุ่งถามคนที่ยังยืนหันหลังง่วนอยู่กับการเก็บข้าวของ เพราะนอกจากเจ้าคุณไพศาลซึ่งเป็นญาติห่างๆฝั่งแม่แล้ว ผมก็ไม่เคยได้ยินว่าเขามีญาติอยู่ที่ไหน

"เป็นชาวบ้านที่ได้พบเมื่อครั้งติดตามเจ้าคุณเสนาบดีออกว่าราชการเมื่อสองปีก่อน ครานั้นได้เขาคอยช่วยเหลืองานหลายอย่าง ถึงขั้นนับเป็นสหายกันเลยเทียว"ใบหน้าคมอมยิ้มน้อยๆเมื่อนึกไปถึงบุคคลที่ว่า ดูท่าแล้วคงสนิทกันมากพอตัว


เจ้าตัวเก็บของเสร็จก็วางหอบผ้าที่มีขนาดไม่ต่างจากของผมนักลงบนปลายเตียง ก่อนกลับไปนั่งทำงานที่กองค้างเอาไว้บนโต๊ะไม้สักตัวงาม กองเอกสารเกลื่อนกลาดที่เขาใช้เวลาตลอดหนึ่งเดือนจัดการทว่าจำนวนกลับไม่ลดน้อยลงสักนิด มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นจนตอนแม้แต่โต๊ะไม้สักตัวใหญ่โตยังแทบไม่มีพื้นที่ว่าง

"งานยังไม่เสร็จเหรอครับ"คนตัวสูงที่กำลังก้มหน้าก้มตาขีดเขียนเอกสารด้วยปากกาขนนกชะงักมือทันทีเมื่อได้ยินคำถาม ดวงตาคู่สวยส่องประกายหม่น ทั้งยังสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์

"เอกสารของกรมการต่างประเทศ พี่ก็ช่วยเท่าที่ทำได้ แลเมื่อจากไปแล้วจะได้ไม่เป็นภาระแก่เจ้าคุณท่านมากนัก"ยิ่งได้เห็นท่าทีตั้งอกตั้งใจของคนตรงหน้า ความรู้สึกผิดก็ยิ่งเกาะกินหนักหน่วงราวกับใครเอาป้ายคำว่า'เห็นแก่ตัว'มาถ่วงไว้ที่คอ ป้ายขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นแต่กลับหนักอึ้งเสียจนปวดหนึบไปถึงข้างใน

"คุณหลวงแน่ใจแล้วเหรอที่ทำแบบนี้"

"ทำอะไรหรือ"คนถูกถามเพียงละสายตาขึ้นมอง ใบหน้าคมเจือรอยยิ้มบางอย่างคนไม่เข้าใจในคำถาม

"ก็ที่...จะหนีไปด้วยกัน"ท้ายประโยคนั้นเบาจนเกือบกลายเป็นเสียงกระซิบเมื่อผมก้มหน้าลงไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย หากเพียงครู่พื้นที่นอนข้างตัวกลับยวบลงด้วยน้ำหนักตัวของเจ้าของห้อง ใบหน้าคมโน้มลงไล่ต้อนสายตาที่หลุบต่ำให้สบเข้ากับดวงตาคู่สวย

"เหตุใดถึงถามเช่นนี้...ไม่อยากอยู่กับพี่แล้วหรือ"

"เปล่าครับ...แต่..."ท้ายประโยคขาดหายเพียงเพราะนิ้วเรียวที่สอดประสานมือของผมเอาไว้ มืออีกข้างโอบโน้มศีรษะให้อิงเข้ากับบ่ากว้างของเจ้าตัวก่อนลูบเรือนผมยาวละต้นคออ่อนโยน

"มีเรื่องกังวลใจอะไร บอกพี่ได้หรือไม่"ผมไม่ตอบ ได้แต่ถอนหายใจยาวระบายความอัดอั้นข้างในแทน

"หรือพ่อธีร์กลัวว่าพี่จะพาไปตกระกำลำบาก"

"ไม่ใช่นะครับ!...คือ...ธีร์ต่างหากที่กลัวคุณหลวงจะลำบาก"รีบผละออกจากบ่ากว้างที่อิงอยู่แล้วส่ายหน้าเป็นระวิงทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มถามเมื่อเจ้าตัวกำลังเข้าใจผิดไปไกล ผมน่ะมันตัวต้นเหตุ จะให้ไปลำบากลำบนที่ไหนก็คงต้องก้มหน้ารับชะตากรรม แต่กับคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเขาที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง ไหนจะเรื่องที่ได้ยินเขาคุยกับเจ้าคุณไพศาลเมื่อครู่อีก จะให้ผมทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินไม่สนใจมันก็เกินไปหน่อย


หลวงพิสิษฐกลั้นหัวเราะเสียงเบาเมื่อเห็นอาการร้อนรนของผม มือหนากุมมือทั้งสองของผมเอาไว้แน่น

"โถพ่อ เรื่องเล็กเท่านี้จะกังวลไปใย ได้อยู่กับพ่อธีร์พี่หรือจะกลัวลำบาก"

"แต่......"กำลังจะเถียงต่อกลับต้องหุบปากฉับเมื่อสบเข้ากับสายตาคมแกมดุของอีกฝ่าย

"หากพี่จะเปลี่ยนใจมีเพียงเหตุผลเดียว นั่นคือพ่อธีร์ไม่อยากอยู่กับพี่แล้ว เข้าใจหรือไม่"สุดท้ายเลยได้แต่พยักหน้าเออออตามแต่คนตัวสูงจะว่า


หลวงพิสิษฐเพียงผ่อนลมหายใจเบาทั้งใบหน้าระบายยิ้มอ่อนโยน มือหนารวบตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้หลวมๆก่อนพรมจูบลงบนขมับ ไล่เรื่อยมาถึงหน้าผาก ข้างแก้มและปลายจมูก ก่อนริมฝีปากได้รูปละออกอย่างแสนเสียดาย

"คืนนี้ต้องเดินทางอีกไกล นอนพักเอาแรงเสียก่อนเถิด.......เอ หรือต้องให้พี่ช่วยกล่อมนอนดีหนอ"เกือบจะซึ้งอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่เจอสายตากะลิ้มกะเหลี่ยตอนท้ายประโยคนั่น ทั้งยังปลายนิ้วหัวแม่โป้งที่ไล้วนบนหลังมือแผ่วเบาแต่กลับทำเอาหน้าร้อนวูบขึ้นมานี่อีก

"บ...บ้า!"สุดท้ายเลยได้แต่ตะโกนใส่จนหน้าดำหน้าแดงแล้วมุดตัวเข้าใต้ผ้าแพรสีสดอย่างรวดเร็ว แว่วเสียงหัวเราะเบาตามประสาคนได้แกล้ง ก่อนที่เจ้าตัวจะท้าวแขนคร่อมบนพื้นที่นอนตรงหน้าจนยุบยวบ พร้อมสัมผัสนุ่มจากริมฝีปากหยักโน้มประทับลงข้างแก้มที่ถูกผ้าแพรผืนใหญ่คลุมเสียแทบมิด

"นอนเสียเถิดคนดี พี่อยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหน"ทั้งยังเสียงกระซิบแผ่วข้างหูและปลายนิ้วเรียวที่ลูบแขนลูบหลังราวกับกำลังกล่อมยิ่งทำให้ผ่อนคลาย ทำให้ผมเลือกทิ้งความกังวลใจไว้เบื้องหลังแล้วปรือตาลงช้าๆเมื่อสัมผัสอุ่นจากฝ่ามือของอีกฝ่ายยังคลอเคลียไม่ห่าง จนเมื่อเขาเห็นว่าผมนิ่งไปถึงได้ละมือออกก่อนจะลุกกลับไปทำงานที่ค้างไว้ตามเดิม



....................................โปรดติดตามตอนต่อไป.....................................


ลงฉลองUserใหม่เจ้าค่ะ เปลี่ยนยูสใหม่แต่ยังรักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนนะ  :hao7:

ตอนนี้ยาวมากจนต้องแบ่งเป็น2ตอนเพราะถ้าลงรวดเดียวคนอ่านคงตาแฉะกันเสียก่อน


แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ...รักผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิม กราบบบบบ >___<


ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
อยากรู้อย่างเดียว จบแบบสวยงามป่ะ

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
ลงแบบยาวๆเลยค่ะ
จุดๆนี่ไม่กลัวตาแฉะ อยากรู้จะเป็นยังไงต่อไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ไม่นะ......เอาน้ำตาล เอาน้ำตาลลลล

ออฟไลน์ papanoy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
อ่านเรื่องนี้แล้วมีความสุข ให้ความรู้สึกเย็นใจดี เหมือนอ่านเรื่องทวิภพเวอร์ชั่นวาย
อยากให้จบแบบมีความสุขอ่ะ อย่าเศร้าเลยนะ สงสารทั้งสองคู่ เป็นกำลังให้คนเขียนน๊าาา   :กอด1:
                       

                                               

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0

ตอนที่ ๓๗...การจากลา(๒)




ค่ำแล้ว...และเป็นค่ำคืนที่อากาศเย็นฉ่ำยิ่งกว่าคืนไหน ลมต้นฤดูหนาวหอบเอาไอเย็นปกคลุมทั่วบริเวณ ทั้งยังไอน้ำจากผืนเจ้าพระยาสายใหญ่ คลอกลิ่นดอกราตรีหอมกรุ่นที่ขึ้นครึ้มข้างเรือนโชยผ่านบานหน้าต่างบนชั้นสองของตัวเรือนให้คนที่ยืนรับลมสูดเอากลิ่นหอมฟุ้งนั้นให้ชื่นใจ...หากเพียงแค่ลมหนาวและกลิ่นราตรีกลับไม่ช่วยดับความร้อนรุ่มภายในได้แม้เพียงนิด


ยิ่งใกล้เวลาออกเดินทาง ความหนักหน่วงถ่วงจิตใจก็ยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวี แม้จะออกมายืนข้างหน้าต่างรับลมเย็นหมายจะให้ช่วยดับความร้อนใจแต่กลับยิ่งทำให้ร้อนรนหนักกว่าเก่า...เสียงลมหายใจพรูออกหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่ายามยืนทอดสายตามองผืนน้ำดำครึ้มเบื้องล่างเรียกความสนใจจากอีกคนที่อยู่ในห้องได้เป็นอย่างดี

"เขาบอกว่าถอนหายใจทีนึงอายุจะสั้นลง มึงเล่นถอนรัวๆแบบนี้ปีหน้าคงตายห่า"ถึงจะโดนบ่นแต่ยังไม่วายทิ้งลมหายใจหนักอีกสักรอบก่อนหันกลับมามองต้นเสียงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงในห้องรับรองแขกที่เจ้าคุณไพศาลท่านเตรียมไว้ให้

"เครียดอะไรวะ หลวงพิสิษฐลงทุนพามึงหนีขนาดนี้มึงน่าจะดีใจ"ไอ้ตัวดีว่าก่อนมันจะเป็นฝ่ายถอนหายใจเสียเอง

"กูสิ...จะได้กลับมาเจอกันอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้"เสียงบ่นอุบอิบของมันไม่ได้ดังไปกว่าเสียงลมด้านนอกนัก เมื่อเจ้าตัวเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเขี่ยพื้นที่นอนเล่น ทั้งยังรอยคล้ำใต้ตาที่บ่งบอกได้ว่ามันคงไม่ได้นอนมาตั้งแต่เช้าเพราะเอาแต่คิดเรื่องที่ว่า

"กู...เห็นแก่ตัวรึเปล่าวะแชมป์"

"เรื่องอะไรวะ"มันขมวดคิ้วมุ่นถาม"เรื่องหลวงพิสิษฐเหรอ"

"เขายังไม่หายดี...งานในกรมอีก ไหนจะเรื่องเจ้าคุณไพศาล"ผมร่ายยาวความอัดอั้นให้อีกฝ่ายฟังหากแต่มันเพียงส่ายหน้าไปมา

"ถ้าเขาไม่พามึงหนี แล้วมึงกับกูจะมีปัญญาไปไหนได้ รู้จักใครหรือก็เปล่า ให้ไปกันเองมีหวังโดนหลอกไปขายถึงไหนต่อไหน"

"มันก็ใช่...แต่..."

"พอเถอะธีร์...คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาเสียสละเพื่อมึงขนาดนี้มึงน่าจะดีใจ"แชมป์ลุกขึ้นมายืนประชิดตัว มือขาวๆของมันเอื้อมมาผลักศีรษะผมเบาๆราวกับจะบอกให้เลิกคิดมากเสียที...แต่เรื่องแบบนี้มันเลิกกันได้ง่ายเสียเมื่อไหร่ ไม่เช่นนั้นผมคงไม่มายืนใช้ความคิดอยู่ตรงนี้เป็นนานสองนาน



ยังไม่ทันได้ตอบอะไร ร่างสูงโปร่งของคนที่กำลังพูดถึงก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี หลวงพิสิษฐที่อยู่ในชุดเสื้อคอจีนสีหม่นกับโจงกระเบนสีคล้ายกัน มองเผินๆเหมือนกับพวกชาวบ้านที่ผมเห็นแถวตลาด แต่เพราะใบหน้าคมเข้มชวนมองนั่นที่ทำให้เขาดูโดดเด่นแม้แต่งกายด้วยชุดธรรมดาแบบนี้

"ได้เวลาแล้ว ไปกันเถิดพ่อ"เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเบาราวเสียงกระซิบเรียกให้พวกผมที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้าต่างพากันหยิบข้าวของแล้วเตรียมออกเดินทาง

"พี่ให้คนมาคอยอยู่ที่ท่าน้ำ เขาจะพาเราไปส่งที่ท่าเรือ"คนเดินนำหน้าอธิบายความที่เคยบอกผมก่อนหน้าให้แชมป์ฟัง เขาบอกว่ากว่าจะเดินทางไปถึงพิษณุโลกก็ใช้เวลาเกือบสองวันเพราะต้องนั่งทั้งเรือแล้วต่อด้วยเกวียนอีกไกลพอสมควร แต่หากถามถึงเส้นทางว่าผ่านตรงไหนบ้างผมก็คงต้องบอกว่าผมไม่รู้ เพราะในสมัยของผมการเดินทางไปพิษณุโลกแค่ขับรถไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ไม่ได้ลำบากเหมือนอย่างที่เจ้าตัวกำลังอธิบายยาวเหยียดนี่






หากยังไม่ทันถึงบันไดชั้นที่สองของเรือนดี สองขาที่ก้าวตามคนตัวสูงข้างหน้ากลับชะงักนิ่ง...ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หันกลับไปมองไอ้แชมป์ที่เดินตามหลังซึ่งมีสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน มันเพียงเอื้อมมือกระตุกแขนผมเบาๆ คิ้วหนาของมันขมวดแน่นเป็นปมไม่ต่างจากตัวผมที่ยืนนิ่งจนแม้แต่คนตัวสูงด้านหน้าก็สังเกตได้


"มีอะไรหรือพ่อ"


ไวเท่าความคิดเมื่อผมฉวยข้อมือไอ้ตัวดีข้างๆออกวิ่งไปอีกทางตรงข้ามกับบันไดชั้นสองโดยไม่สนว่าเสียงฝีเท้าที่ลงหนักจะได้ยินไปถึงบ่าวคนไหนบนเรือนหรือไม่...จุดหมายคือประตูไม้สักแบบบานพับที่ตั้งโดดเด่นอยู่สุดโถงทางเดิน...ประตูห้องนอนที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี หากในตอนนี้กลับทำให้หัวใจเต้นระส่ำเมื่อเอื้อมมือออกไปผลักบานประตูนั้นให้เปิดออก




...เพราะเสียงนั้น...



...เสียง...ที่ไม่ได้ยินมานานจนเกือบลืมไปแล้ว....



...เสียง...ที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่...



...เสียงกังวานใสดั่งแก้วกรีดร้องก้องในหู และแสงสว่างเรืองรองส่องประกายสดใสตรงหน้า...



...บนโต๊ะไม้สักตัวงามตัวนั้น...




"พ่อธีร์!"


หากแต่เสียงทุ้มนุ่มที่แผดลั่นกลับดึงเอาสองขาที่กำลังก้าวเข้าใกล้ให้ชะงักลง ร่างสูงโปร่งที่วิ่งกระหืดกระหอบตามหลังหยุดยืนหน้าประตูห้อง ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเห็นแสงเรืองรองบนโต๊ะไม้สักก่อนเบือนกลับมาสบเข้ากับสายตาแน่นิ่งของผม

"ธีร์..."แม้แต่แชมป์เองก็เอื้อมมือแตะต้นแขนคล้ายคำถาม สีหน้าของมันดูลังเลเมื่อมองมาที่ผมสลับกับคนตัวสูงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เพียงครู่เดียวมันก็ผละออกแล้วถูกแทนที่ด้วยแรงบีบหนักหน่วงจากเจ้าของห้องที่ปราดเข้ามายืนประชิดตัวแทบทันที

"พ่อธีร์...ฟังพี่...ฟังพี่เถิดพ่อ"สองมือคว้าเข้าที่หัวไหล่แล้วออกแรงเขย่าเสียจนตัวโยนคล้ายเรียกสติ สายตาของผมที่จดจ้องเพียงแสงสว่างขาวนวลตรงหน้ากระตุกวูบก่อนเบือนกลับมาสบกับดวงตาคู่สวยที่ฉายแววร้อนรนชัดเจน

"พี่แก้ว..."

"ไปเถิดพ่อ...เรือมาคอยอยู่ที่ท่านานแล้ว ให้เขารอนานเขาจะว่าเอาได้"ริมฝีปากหยักบรรจงยกยิ้มน้อยๆทั้งที่สองมือสั่นเสียจนน่าใจหาย


เพียงได้เห็นรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าคมที่รักแสนรัก ความรู้สึกเต็มตื้นก็ตีล้นจนแทบตอบรับโดยไม่ต้องคิด...หากแต่เสียงกังวานบาดลึกทั้งยังแสงสว่างจ้าที่ปลายสายตายังคงร้องเรียกไม่ขาด



...เสียงที่ร้องเรียกเอาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีให้กลับมาแทนที่หัวใจตรงหน้า...



...แสงสว่างที่สาดส่องราวกับกำลังเตือนสติว่านี่ไม่ใช่เพียงเรื่องบังเอิญ เหมือนที่ผมเคยเชื่อมาตลอดว่าความบังเอิญไม่มีในโลกนี้...ทุกอย่างถูกกำหนดจากใครบางคนเอาไว้แล้วไม่ว่าสุดท้ายผมจะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม...ไม่เช่นนั้น...สิ่งนี้คงไม่แผดเสียงลั่นในเวลาแบบนี้



ผมกำลังยิ้ม...ยิ้มที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ...ยิ้มที่ไม่ได้บรรจงปั้นแต่งให้สวยงามเหมือนครั้งไหนๆ...หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองเจ็บปวดแทบขาดใจ

"ธีร์กำลังจะไปครับ"สิ้นเสียง...ทั้งตัวกลับถูกรวบเอาไว้แนบอกกว้าง ท่อนแขนแกร่งตระกองกอดแนบแน่นจนรับรู้ถึงจังหวะหัวใจของอีกฝ่ายที่กำลังร้องร่ำเต้นระรัวและเดือดพล่านไม่ต่างจากสองมือที่โอบรอบกาย

"อย่าไปเลยคนดี...หากเจ้าทิ้งพี่แลพี่่จะอยู่อย่างไร"เสียงทุ้มนุ่มอ้อนวอนดังแผ่วข้างหูทำเอาคนฟังเจียนขาดใจไม่แพ้กัน...นึกอยากเห็นแก่ตัวมากกว่านี้ เก็บกักเขาเอาไว้กับตัวไม่ปล่อยไปไหนเหมือนที่เขากำลังทำอยู่ แต่จะให้ทำได้อย่างไรในเมื่อมันคือการฉุดดึงตัวเขาให้ตกต่ำไปด้วยกัน

"พี่แก้วยังมีงาน มีเจ้าคุณท่านที่ต้องดูแล...อย่าให้ธีร์เป็นคนเห็นแก่ตัวพาพี่แก้วไปลำบากที่ไหนเลยนะครับ"

"แลหากพี่นึกเห็นแก่ตัวขอให้พ่อธีร์อยู่กับพี่เล่า...เจ้ายังจะไปจากอกพี่อีกหรือ"ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับคำถามนั้น

"พี่แก้วที่ธีร์รู้จักไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวนี่ครับ...พี่แก้วคนนั้นมีทั้งความรับผิดชอบ ขยันทำงานจนเป็นที่รักของใครต่อใคร แล้วยังกตัญญูรู้คุณคนที่เลี้ยงดูมาอีก...ธีร์รู้จักพี่แก้วที่เป็นแบบนั้น...รักพี่แก้วที่เป็นแบบนั้น"สองมือที่โอบรอบแผ่นหลังกว้างกำแน่นจนเสื้อของเขายับย่น ทั้งพยายามสูดหายใจลึกครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ ถึงอย่างนั้นก็ยังกลั้นน้ำตาไม่ให้ร่วงหล่นไม่ได้


หลวงพิสิษฐไม่ได้ตอบอะไร แต่เพราะสัมผัสอุ่นชื้นที่กระทบเข้ากับหัวไหล่ทำให้ผมรีบผละออกจากอ้อมแขนแข็งแรงนั้นทันที...ดวงตาคู่สวยรื้นหยาดน้ำใส น้ำตาเพียงหยดเดียวที่กลิ้งหล่นบนใบหน้าคมเข้มที่สงบนิ่ง แม้ไม่มีเสียงสะอื้นแต่กลับรับรู้ว่าข้างในเขากำลังร่ำไห้ไม่ต่างกัน



ผู้ชายเข้มแข็งคนนี้ที่แม้ถูกทำร้ายสาหัสยังฝืนยิ้มได้ แต่เพียงแค่คำบอกลากลับทำให้น้ำตาร่วงหล่นเป็นสาย



ดวงหน้าคมเอียงซบรับสัมผัสจากมือของผมที่เอื้อมขึ้นแนบแก้ม ปลายนิ้วหัวแม่มือปัดป่ายเพียงเบาๆหมายให้หยดน้ำตานั้นเหือดหาย ทั้งที่สองแก้มของตัวเองก็ร้อนผ่าวด้วยหยาดน้ำใสไม่ต่างกัน ถึงอย่างนั้นก็ยังบรรจงปั้นแต่งรอยยิ้มสวยส่งไปให้

"เดี๋ยวธีร์ก็กลับมา...เหมือนทุกครั้งไงครับ"หากใบหน้าคมกลับส่ายไปมาราวกับรู้คำตอบดี

"พี่รู้ว่าพ่อธีร์จะไม่กลับมา...พี่รู้..."ทั้งยังเสียงนุ่มสั่นเครือจนผมชะงักปลายนิ้วที่เกลี่ยข้างแก้ม...สองมือประคองมือหนาแนบลงที่อกข้างซ้ายของตัวเอง เสียงหัวใจแผดลั่นคงได้ยินไปถึงอีกฝ่ายเมื่อเขายกมืออีกข้างขึ้นเกาะกุม

"ธีร์รักพี่แก้วนะครับ...ต่อให้ธีร์ไปอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร แต่พี่แก้วก็ยังอยู่ตรงนี้กับธีร์"มือของหลวงพิสิษฐยังสั่นแม้ตอนที่เลื่อนขึ้นประคองใบหน้าของผมที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา ดวงหน้าคมโน้มเข้าใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจหนักหน่วงเมื่อเขาอิงหน้าผากแนบลงบนหน้าผากของผมให้ได้เห็นแววตาโศกวาววับด้วยหยาดน้ำใสชัดเจน ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะทาบทับลงบนเรียวปากบางของตัวเองแผ่วเบาทว่าบาดลึกยิ่งในความรู้สึก ถึงกระนั้นก็ยังเอียงหน้ารับสัมผัสนั้นแนบแน่น เพียงครู่เดียวก่อนที่เขาค่อยๆละออก


"คนดี...พี่รักเจ้ายิ่งกว่าอะไร หากเจ้าไม่กลับมาแล้ว พี่คงทำได้เพียงแค่รอ"เสียงทุ้มนุ่มสั่นเครือกระซิบแผ่วชิดริมฝีปาก สองมือของเขายังประคองใบหน้าไม่ห่าง ทั้งยังพยายามปัดป่ายหยดน้ำตาให้เหือดหาย

"แลหากชาตินี้พี่ไม่มีวาสนา ก็ขอให้ชาติหน้าพี่ได้พบ ได้รักเจ้าเหมือนที่พี่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...ขอให้ถือคำนี้เป็นคำสัญญา"
คำตอบของผม มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาและสองมือที่เอื้อมโอบหาความอบอุ่นเป็นครั้งสุดท้าย...อ้อมกอดที่ทำให้ผมรู้ว่า ต่อให้ร่ำลาใครต่อใครก็ไม่เจ็บเจียนตายเท่าบอกลาคนตรงหน้า...คนที่พยายามดึงรั้งตัวผมเอาไว้แนบอกให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้



"ธีร์..."

เสียงเรียกของแชมป์ราวกับเตือนสติให้ผมค่อยๆผละจากอ้อมแขนแข็งแรง รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นตัวเอกของหนังดราม่าสักเรื่องเมื่อสองมือยังคงแตะสัมผัสกับมือหนาตรงหน้าหากแต่มันกลับยิ่งไกลออกไปทุกที...ในสายตามีเพียงร่างสูงโปร่งสมส่วน ใบหน้าคมเข้มที่ตอนนี้เศร้าหมองเต็มทีกับดวงตาคู่สวยที่จดจ้องอย่างแสนเสียดาย...หากเมื่อมืออีกข้างแตะสัมผัสเข้ากับวัตถุเย็นเยียบถึงได้รับรู้ว่ามันถึงเวลา


"ผม...ฝากลาคุณพิกุลด้วยนะครับ"คำฝากลาของแชมป์สั่นเครือไม่ต่างกัน...คนตัวสูงพยักหน้ารับช้าๆก่อนที่มันจะก้าวมายืนเคียงข้าง สองมือของมันประคองซ้อนวัตถุในมือของผม พร้อมกับที่แสงขาวนวลเย็นตาแผดจ้าส่องสว่างเสียจนไม่อาจฝืนสายตาให้มองภาพตรงหน้าต่อไปได้อีก



สิ่งสุดท้ายที่ได้เห็น...คือร่างสูงโปร่งที่ทำท่าขยับเข้าใกล้หากเพียงต้องชะงักลง ในขณะที่ตัวผมทำได้เพียงส่งยิ้มบางเบาให้เขาก่อนหลับตาลงอีกครั้ง...ซึมซับเอาภาพตรงหน้าฝังลงบนอกข้างซ้าย...ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ








...รอธีร์นะครับพี่แก้ว...วันหนึ่งธีร์จะกลับมา...





........................................................................







ผมกลับมาแล้ว...ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวกว้างขวางที่ไม่ได้กลับมาเหยียบนานนับเดือน...ดวงตากระพริบถี่เพื่อปรับสภาพให้คุ้นชิน ทั้งยังเพื่อปัดไล่หยดน้ำที่รื้นรอบขอบตาให้แห้งเหือด...ภาพตรงหน้ายังคงพร่าเลือน มีเพียงความมืดที่โรยตัวปกคลุมนอกหน้าต่างกับแสงไฟนีออนสีขาวนวลส่องสว่างเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาดึกดื่นเพียงใด...หากยังไม่ทันได้มองรอบกายถ้วนถี่กลับต้องสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงแหวลั่นของคนข้างๆ


"ธีร์...โต๊ะนั่น!"ผมรีบตวัดสายตากลับไปมองยังตำแหน่งที่คุ้นเคยแต่กลับต้องเบิกกว้างแม้แสงสว่างเมื่อครู่ทำให้หัวหมุนขนาดไหน เพียงเพราะสิ่งของบางอย่างที่มันเคยตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น


เวลานี้มันกลับว่างเปล่า!


เช่นเดียวกับน้ำหนักของวัตถุในมือที่เคยถ่วงหนักเย็นเยียบให้รับรู้ถึงการกลับมา ผมก้มลงมองสองมือของตัวเองที่ว่างเปล่าไม่ต่างจากบรรยากาศในห้อง สองมือที่แบออกสั่นน้อยๆไม่ต่างจากหัวใจที่สั่นไหว

ไวเท่าความคิด เมื่อผมรีบวิ่งพรวดพราดลงบันไดโดยมีไอ้แชมป์ตามหลังมาติดๆ...สายตาสอดส่ายหาคนที่ควรรู้เรื่องนี้ดีที่สุด ทั้งโต๊ะกินข้าว ห้องนั่งเล่น หรือแม้แต่ห้องครัว ทุกที่กลับเงียบเชียบไม่มีแม้สัญญาณของสิ่งมีชีวิตใด

แต่เพียงแค่ได้ยิน เสียงโหวกเหวกแว่วดังมาจากด้านนอกจนต้องรีบสาวเท้าตามออกไป เพียงเพื่อให้ร่างทั้งร่างทรุดฮวบราวกับคนไร้เรี่ยวแรง


เมื่อได้เห็น...


แสงเพลิงสว่างโชติช่วงตรงริมรั้วหน้าบ้าน กับเงาร่างของคนคุ้นเคยสองสามคนที่ยืนล้อมโดยรอบ

"ธีร์!"เสียงตะโกนลั่นผ่านอากาศคุ้นหูยิ่งนักเมื่อเงาของใครคนหนึ่งเบือนหน้ากลับมาแล้วรีบถลาเข้าหา

"ธีร์กลับมาแล้วเหรอลูก!"หากแต่เสียงและแรงฉุดรั้งของอานิดกลับไม่กระทบเข้าแม้โสตประสาท เมื่อสิ่งที่รับรู้มีเพียงแสงเพลิงแดงฉานกับวัตถุสีดำวูบไหวอยู่ตรงกลางคล้ายเชื้อไฟ แม้ไม่เห็นแต่รับรู้ได้ว่าสิ่งที่กำลังมอดไหม้ในกองเพลิงตรงหน้า...คือสิ่งที่ผมรักแสนรัก...

"ธีร์อย่า!"อานิดออกแรงดึงแขนจนสุดแรงเมื่อผมปรี่เข้าใกล้ทุกขณะ หัวใจเต้นระรัวดังก้องจนแทบกระเด็นออกมานอกอก ขณะเดียวกันก็เจ็บแปลบเหมือนถูกใครเอามีดมากรีดมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"อานิดทำแบบนี้ทำไมครับ...ทำแบบนี้ทำไม!"ผมดิ้นพล่านให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย หากเพียงต้องชะงักลงเพียงเพราะน้ำเสียงคุ้นหูของใครอีกคนดังแทรกขึ้นมา

"อาเป็นคนทำเอง"สายตาที่เหลือบมองอีกด้านของกองเพลิง ร่างสูงสมส่วนยืนโดดเด่นในเงามืดมองเห็นเพียงด้านข้างจากแสงไฟที่วูบไหว ใบหน้าสงบนิ่งแต่สายตากลับจดจ้องดุดัน

"อาต้น!"

"ธีร์! อาห้ามแล้วแต่อาต้นเขาไม่ฟัง"สองมือเล็กๆของอานิดกระตุกเร่าบนต้นแขน หากผมเพียงสะบัดมือนั้นออกอย่างไม่ใยดี ไม่สนใจแม้คนที่เกาะเกี่ยวอยู่จะมีศักดิ์เป็นถึงน้องของพ่อหรือใครก็ตาม


เพียงเพราะได้ชื่อว่าเป็นคนทำลายสิ่งของเพียงอย่างเดียวที่ผมหวงแหนที่สุดในชีวิต


"ทำไม...ทำไมต้องทำแบบนี้!"ผมแผดเสียงลั่นพร้อมกับเรี่ยวแรงที่หดหายจนทั้งร่างทรุดฮวบลงกับพื้น จ้องมองเพียงเปลวเพลิงลุกโชนตรงหน้า แสงสว่างสีแดงสาดส่องส่งไอร้อนแผ่กระจาย หากยังไม่ร้อนเท่าใจของตัวเอง

"ก็ในเมื่อ'ไอ้นี่'มันเป็นต้นเหตุ อาก็แค่ทำลายมันทิ้งซะจะได้จบๆเรื่องกันไป"น้ำเสียงเย็นเยียบไม่แยแสของอาต้นเรียกให้ผมตวัดสายตาจดจ้อง ใจหนึ่งอยากลุกพรวดเข้าไปเขย่าตัวเขาแรงๆเพื่อระบายความโกรธ หากแต่สองขากลับไร้เรี่ยวแรง ทั้งยังแรงดึงรั้งของอานิดที่ยังไม่ยอมปล่อยไปไหน

"เราก็เหมือนกันแชมป์ หายตัวไปเป็นเดือนๆรู้ไหมว่าที่บ้านเขาเป็นห่วงกันขนาดไหน"อาต้นเบนความสนใจไปที่คนยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ ดวงตาเรียวรีของมันไหวระริกแต่กลับเลื่อนลอยคล้ายคนไม่มีสติ ไม่มีแม้คำตอบรับหรือทักท้วงใดๆหลุดจากปากที่เม้มแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง



หากเพียงปลายสายตาเหลือบไปเห็น วัตถุทรงเหลี่ยมคุ้นตาที่กำลังมอดไหม้อยู่บนพื้น ทั้งร่างกลับทะลึ่งพรวดจนอานิดผงะถอย มือที่เอื้อมออกสู่กองเพลิงตรงหน้าเรียกเสียงร้องทั้งจากคนที่ดึงรั้ง หรือแม้แต่ป้าเพ็ญที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ...ความร้อนปร่ากระทบกับฝ่ามือแต่ยังฝืนคว้าก้อนสี่เหลี่ยมดำเมี่ยมเอาไว้แน่น

"ทำอะไรน่ะธีร์!"อานิดที่ตั้งสติได้รีบปัดมันออกทันทีแล้วกระชากข้อมือของผมพลิกขึ้นดูเพื่อพบว่ามันแดงฉานไปด้วยรอยพุพอง ถึงอย่างนั้นสายตาของผมยังจดจ้องเพียงก้อนสี่เหลี่ยมที่กลิ้งหลุนๆลงบนพื้นสองสามรอบ ขอบของมันมีรอยไหม้จนดำเมี่ยมคล้ายก้อนถ่าน ทั้งยังรูปทรงบิดเบี้ยวเพราะถูกไฟลามเลีย มีเพียงแค่รอยสลักบนวัตถุนั้นที่ยังพอเห็นลางเลือนที่หากใครได้เห็นเป็นครั้งแรกคงไม่สามารถอ่านตัวหนังสือปราณีตบรรจงบนนั้นออก


แต่ผมกลับจำได้ดีทุกตัวอักษร...ไม่ใช่เพราะมันเป็นชื่อของตัวเอง หากเป็นเพราะเจ้าของลายมือสวยที่ตั้งใจสลักเสลาทีละตัวอักษรลงบนพื้นไม้อย่างยากเย็นถึงขั้นเลือดตกยางออก ทั้งรอยยิ้มอบอุ่นยามเมื่อเขาลงแรงไปกับมัน หรือใบหน้าคมเข้มชวนมองฉายแววดื้อดึงเมื่อผมร้องห้าม...นึกได้แค่นั้นสองมือก็ผวาเข้าตะครุบวัตถุบนพื้นเอาไว้อีกครั้ง แว่วเพียงเสียงหวีดร้องของอานิดและน้ำเสียงดุดันของอาต้นร้องร่ำอยู่ไกลละลิบ เมื่อสายตาจดจ้องแค่ก้อนสี่เหลี่ยมดำมะเมื่อมที่ประคองอยู่ในมือ

"เจ็บมือหรือลูก มาให้อาดูแผลก่อน"คนร้องเรียกคงเข้าใจว่าเพราะความเจ็บจากแผลที่มือเลยทำให้น้ำตาร่วงหล่นเป็นสาย แต่คนที่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดดีอย่างแชมป์กลับทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง มือขาวๆของมันปัดป่ายทั่วใบหน้าตัวเองพลางสูดหายใจลึกก่อนเอื้อมมาแตะที่หัวไหล่ของผมแล้วออกแรงบีบหนักจนมือไม้สั่น


นอกจากแชมป์แล้วใครจะรู้ ว่าแผลที่มือยังเจ็บได้ไม่ถึงเสี้ยวของความรู้สึกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อความหวังเดียวที่จะได้กลับไปที่นั่นอีกครั้งกลับมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านอยู่ท่ามกลางเปลวไฟลุกโชนตรงหน้า...ภาพความทรงจำต่างๆไหลวนในความคิดราวน้ำป่าไหลทะลัก ทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ คราบน้ำตา หากแต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคงมีเพียง...ใบหน้าของใครบางคนที่คิดถึงทั้งที่เพิ่งบอกลากันได้ไม่นาน






ที่ใจมันเจ็บเพราะรู้ดีว่า...ผมจะไม่ได้เห็นใบหน้านั้นอีกแล้ว...ชั่วชีวิต










..........................................................................








ลมเย็นเอื่อยพัดโชยกระทบใบหน้าให้รู้สึกหนาววูบขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง เพียงแค่เสื้อยืดแขนสั้นตัวบางคงไม่อาจกันลมฤดูหนาวที่หอบไอเย็นแผ่ปกคลุมไปทั่ว หากสายตายังทอดยาวออกไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่ที่ถูกฉาบด้วยแสงสีส้มจากพระอาทิตย์ดวงโตลอยระเรี่ยริมขอบฝั่ง แว่วเสียงเครื่องยนต์จากเรือใหญ่น้อยดังแข่งกันไม่ขาด คลอเสียงผู้คนพูดคุยจอแจอยู่ไม่ไกลนัก


ริมเจ้าพระยายามเย็นที่สวนสันติชัยปราการในปีพ.ศ.๒๕๕๗ แม้ไม่พลุกพล่านด้วยผู้คนแต่ก็ไม่เงียบสงบเหมือนบางแห่งที่เพิ่งจากมา...สถานที่ ที่เก็บกักความทรงจำเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆแต่กลับยาวนานยิ่งในความรู้สึก


กว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง และก็เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่ผมเอาแต่ปิดปากเงียบไม่ตอบคำถามของใครต่อใครที่คอยคาดคั้นหาคำตอบ...ไม่มีใครรู้ว่าตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมาพวกผมหายตัวไปอยู่ที่ไหน และผมก็ไม่สนใจที่จะรู้ความเป็นไปของคนที่นี่ในช่วงเวลาเหล่านั้น ถึงแม้อานิดจะพยายามอธิบายเสียยืดยาวเรื่องที่แกปรึกษาอาต้นถึงข้อสงสัยเรื่องโต๊ะไม้สัก จนกระทั่งอาต้นตัดสินใจลงมากรุงเทพเพื่อจัดการปัญหาที่ว่าในแบบของแก...ผมก็เพียงฟังมันแค่พอผ่านหู


ความโกรธที่พุ่งพล่านในคืนนั้นแทบดับวูบลงเมื่อเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้ความจริงที่ว่าโต๊ะตัวนั้นถูกอาต้นเผาทิ้งจนไม่เหลือซากยังคงอยู่ หากแต่ผมเข้าใจอาทั้งสองดี เพราะความรักและความเป็นห่วงทำให้ทั้งอาต้นและอานิดตัดสินใจทำแบบนี้ ซึ่งถ้าเป็นผม ก็อาจตัดสินใจแบบเดียวกันหากมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนสำคัญในชีวิต


ผมกลับมาใช้ชีวิตที่เรียกได้ว่า'เกือบ'เป็นปกติ เพราะถึงแม้ทุกวันจะหมุนผ่านไปด้วยความราบรื่นอย่างที่คนรอบตัวผมอยากให้เป็น หากแต่บางครั้งความคิดกลับเวียนวนไปถึงช่วงเวลาที่เต็มตื้นไปด้วยความทรงจำต่างๆ ภาพของเรือนทั้งสองหลังที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทั้งนายและบ่าว เสียงพูดคุยจอแจของผู้คนที่ตลาด วัดวาอารมที่ผมเคยมีโอกาสได้ไปกราบไหว้ เรื่องราวทั้งร้ายและดีที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเหล่านั้น



และใครคนหนึ่งซึ่งผมคิดถึงยิ่งกว่าใคร



เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูที่ผมเคยได้ยินครั้งแล้วครั้งเล่าหายไปพร้อมกับเปลวเพลิงที่เผาไหม้โต๊ะไม้สักตัวนั้น จนบางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่า ความจริงแล้วมันคือเสียงที่คอยร้องเรียกให้ผมกลับไปหา หรือเป็นเพียงเสียงครวญของใครคนนั้นที่ระบายความรู้สึกผ่านโต๊ะไม้สักตัวงามจนมันซึมซับเอาความโศกเศร้าของเขาเอาไว้นานนับร้อยปี...แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกเสียใจกับการหายไปของเสียงนั้นเหมือนในวันแรกๆ...เพราะสำหรับผม...ความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับคนๆนั้นยังคงเด่นชัด หลายครั้งที่ใบหน้าคมเข้มที่คิดถึงลอยวนเวียนอยู่ในความคิดทั้งยามหลับและยามตื่น ภาพคนตัวสูงที่กำลังยืนส่งยิ้มมาให้ เสียงหัวเราะของเขา หรือแม้แต่สัมผัสอบอุ่นจากมือหนาคู่นั้นยังคงชัดเจนยิ่งในความรู้สึก ราวกับมันหยั่งรากฝังลึกลงบนหน้าอกข้างซ้ายที่แม้เวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่มันก็ยังคงอยู่




...ผู้ชายคนแรกและคนสุดท้ายที่ผมรักยังคงยืนเคียงข้างอยู่ตรงนี้แม้ผมไม่อาจสัมผัสได้ถึงตัวตน...




...แต่ผมเชื่อว่าเขาจะไม่มีวันจางหายไปจากความคิด...





...ตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจ...







..................................อวสา



























"เดี๋ยว!!!"


ยังไม่ทันได้พิมพ์ 'น' ตัวสุดท้ายก็ได้ยินเสียงแหวลั่นแสบแก้วหู


ว่าแต่...ทำไมเสียงมันทุ้มๆนุ่มๆฟังสบายหูแปลกๆก็ไม่รู้นะคะ






"อุ่ย! คุณหลวง..."


นั่นไง! ก็ว่าเสียงมันน่าฟังพิลึก...ถึงกับออกโรงเองเลยวุ้ย



"ไม่ได้ จบแบบนี้ไม่ได้!"

"ล...แล้วจะให้จบยังไงล่ะเจ้าคะ"

เจอหน้าเหี้ยมๆกับบรรยากาศอึมครึมเข้าไป ถึงกับลงไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยเป็นแม่มณีโดยไม่คิดเลยเจ้าค่ะ


"อย่างไรก็ไม่รู้หล่อน แต่จบแบบนี้ไม่ได้!"


"ก...ก็มันจบแล้ว"


"แต่เราไม่ยอม!"

พูดเบาๆเค้าก็ได้ยิน ตัวเองจะตะโกนทำไม ฮือออ



"ธีร์ก็ไม่ยอม!"

นั่น...ไม่มาคนเดียว พาตัวแสบมาป่วนด้วยอีก แล้วอะไรคือการที่ผู้ชายสองคนมายืนทะมึนต่อหน้าหญิงสาวตัวเล็ก(?) บอบบาง(?) และไม่มีทางสู้แบบนี้เล่า!!


"น...น้องธีร์..."


"เจ๊จบแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่ยอม!"


"โอยยยย ก็มันจบแล้ว จะเอาอะไรอี๊กกกกก"


"ไม่ได้! ผมไม่ยอม ผมเป็นพระเอกนะ!"


"ไม่ใช่แล้วพ่อธีร์ พี่ต่างหากที่เป็นพระเอก"


"ไม่ใช่! ธีร์ต่างหากที่เป็นพระเอก"


"เดี๋ยวค่ะคุ๊ณณณณณ! สรุปว่าที่ไม่ให้จบนี่คือจะเถียงกันว่าใครพระใครนาง งี้?"


"ไม่ใช่!"


พร้อมใจกันประสานเสียงจนหน้าอิชั้นเล็กลงเหลือสองขีด


"ใครพระใครนางไม่รู้ รู้แต่เจ๊จบแบบนี้ไม่ได้อ่ะ!"


"อ...อ้าว! ก็เจ๊ไม่มีอะไรจะเขียนแล้วอ่ะ มันจบแล้ว"
พยายามไกล่เกลี่ยสุดชีวิต


"ไม่ได้อ่ะ มันผิด ผิด ผิดมากด้วย!"


"ล...แล้วจะให้เจ๊ทำยังไงคะลูก"


"ทำยังไงก็เรื่องของเจ๊ แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้"
เอาล่ะเหวย พูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว


"จบแบบนี้ก็ดีออกนะน้องธีร์"


"ดีออกเลยเจ๊! ดีมากกกกก"
รู้สึกเหมือนโดนด่า


"พี่แก้วดูสิครับ ทำไมเจ๊ใจร้าย"
นั่นแน่ะ! มีฟ้องค่ะคุณผู้อ่าน เด็กมันฟ้องงงงง


"ใช่! หล่อนใจร้าย เราก็ไม่ยอม"
โถคุณหลวง ด่าบ่าวขนาดนี้ บ่าวนี่ก้มหน้ารับชะตากรรมเลย


"ล...แล้วคุณหลวงจะเอายังไงล่ะเจ้าคะ"


"เราให้โอกาสแก้ตัวใหม่"
แก้ตัวอะไรฟระ! จะให้บ่าวแก้ตัวอะไร บ่าวเป็นแค่ชะนีไม่มีทางสู้นะ #ร้องไห้หนักมาก


"ใช่! ธีร์ให้โอกาสเจ๊แก้ตัว"
แล้วทำไมพระนางคู่นี้มันถึงได้ดุนักฟระเนี่ยยยย


"งั้น......."
เหลือบมองผู้ชายสองคนที่ยืดกอดอกคาดคั้น


"งั้น......."
ยัง...ยังไม่เลิกมอง อย่ามองเค้าแบบนั้นเซ่! เค้ากลัว  :ling3:


"งั้น....."

"เจ๊!...หล่อน!"


"โอ๊ยๆ พอเจ้าค่ะ!


งั้น...ก็รอติดตามบทสรุปของ The Timeless Tide ใน 'ปัจฉิมบท' เอาละกันเน้ออออออออ





/me* พิมพ์เสร็จแล้ววิ่งหนีอย่างรวดเร็ว   :hao7:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ PURE LOVE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
แงงงงง   :monkeysad:  กลับไปไม่ได้แล้วอ่ะน้องธีร์  อาต้นใจร้ายที่สุดเลย ฮือออ
พี่แก้ว ต้องเฝ้ารอน้องธีร์อย่างทุกข์ทรมานใจแค่ไหนเนี่ย สงสารพี่แก้วจังเลยอ่ะ
คำสัญญาของพี่แก้ว หรือว่า พี่แก้วจะมาเกิดใหม่ได้พบกับน้องธีร์ในชาตินี้นะ
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พอคิดไปว่า พี่แก้วยังคงรอคอยน้องธีร์กลับไปหา
รอจนตราบสิ้นอายุขัยแล้ว ก็ยิ่งเศร้ามากเลย พี่แก้วจ๋า  :mew6:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2015 22:42:53 โดย PURE LOVE »

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ใช่ เราไม่ยอม!!!! เจ๊อ้าาาา แล้วก็ไม่ยอมให้พระเอกกลับชาติมาเกิดแล้วจำความไม่ได้แล้วต้องเริ่มความสัมพีันธ์กันไหมนะคะ ไม่เอาไม่ยแมมมมมมม!!!! เก๊าอยากได้หวานๆอ๊าาา นี่ผ่านวาเลนไทน์ไม่กี่วันเอง จบเริ่ดๆหวานๆเต๊อะะะน้าาาา(อ้อนวอนสุดชีวิตุ55555)

ชอบค่ะ สนุกมากก^^

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
 :m20:   ไม่ยอมจบแบบไม่ได้เจอไม่ได้ครองรักกันสินะ  :hao3:

ออฟไลน์ 111223

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 910
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-5
โล่งอก นึกว่าจะจบแบบแยกจากกันซะแล้ว
จะรอภาคต่อไปน๊า แต่เราไม่เอาแบบพระเอกมาเกิดใหม่แล้วจำนายเอกไม่ได้นะ = =
เราไม่ชอบเลยทีกลับมาแบบ จำไม่ได้ หรือลืมไปแล้ว
เราสงสารอีกคนที่จำได้ เอางี้ถ้าจำไม่ได้ ขอให้จำไม่ได้ทั้งสองคนเลยนะคะ
เราจะได้ไม่ต้องสงสารอีกคนหนึ่ง (เริ่มคิดไปไกล T^T)

ออฟไลน์ minnin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อ่านรวด้ดียวเลยเศร้าอ่าาาา แล้วคนทำผิดก็ยังไม่รับโทษเลยไปหลวงเจษไรนั้นนะ สงสารพี่เเก้วกับน้องธี

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ vivisama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ถ้ามาเกิดใหม่แล้วเจอกันเราสงสารพีแก้วอ่ะ เพราะพี่แก้วต้องรอธีร์ตลอดชีวิต แต่ธีร์รอพี่แก้วแค่แป๊บเดียวเอง(ช่องว่างของกาลเวลาสินะ) คิดว่าถ้ามาเกิดใหม่แล้วรอให้พี่แก้วโตธีร์นี้ต้องแก่แน่เลย ฮ่า แต่นักเขียนจะเขียนอย่างไงเราก็จะรออ่านจ้า

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
หน่วงจนมาเจอทอล์ค55555555555555555555

สนุกมากกกกกกกกกกกกกกก ก.ไก่ล้านตัว

ออฟไลน์ befol2e

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บ่าวก็ไม่ยอมเจ้าค่าาา
อย่าจบแบบนี้เลยน้า ขอร้องงง T.T
ขอแบบแฮปปี้ๆหน่อยเนอะ สงสารคุณหลวงน้องธีร์กับพี่แชมป์แม่พิกุลอ่าา
ยิ่งตอนคุณหลวงบอกลาน้องธีร์แล้ว น้ำตาซึมตามเลยค่ะ
อย่าทำร้ายคุณหลวงที่แสนดีเลยนะคะ  :katai1:

ออฟไลน์ eye-lifestyle

  • พรุ่งนี้ไม่เคยมีจริง
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0

ตอนที่ ๓๘...ปัจฉิมบท...



รถเก๋งป้ายแดงสีดำขลับเคลื่อนผ่านประตูรั้วเข้าสู่ตัวบ้านหลังใหญ่ก่อนจะหยุดลง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้ากระหืดกระหอบของชายวัยกลางคนรูปร่างผ่ายผอมที่เดินตรงเข้ามาหา เขาเอื้อมมือออกหมายเปิดประตูฝั่งคนขับหากเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูรถฝั่งนั้นถูกเปิดออกจากด้านใน

"เพิ่งถึงบ้านครับอานิด...อ๊ะ! ขอบคุณครับลุงเติม"ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งทว่าผอมบางก้าวลงจากรถทั้งที่มือยังถือโทรศัพท์แนบหู เขาเพียงหันมาขอบคุณคนสวนของบ้านที่ช่วยรับถุงพลาสติกที่เจ้าตัวหอบหิ้วกลับมาจนเต็มมือ ก่อนหันกลับไปสนใจกับคู่สนทนาในโทรศัพท์ต่อ

"เสาร์นี้เหรอครับ ธีร์ขอดูก่อนได้มั้ย ไม่แน่ใจว่ามีงานที่ไหนรึเปล่า"คิ้วเข้มได้รูปของเจ้าตัวขมวดน้อยๆพลางนึกไปถึงตารางงานของตัวเองที่ช่วงนี้เรียกได้ว่ารัดตัวจนแทบไม่มีเวลากระดิกตัวไปทำอย่างอื่น

"ได้ครับ แล้วธีร์จะโทรบอกอีกที...คิดถึงอานิดนะครับ"น้ำเสียงนุ่มกล่าวตอบไปยังปลายสายก่อนตัดบทสนทนาแล้วหมุนตัวกลับมาหาคนข้างหลังที่ตอนนี้หอบหิ้วของพะรุงพะรัง เมื่อเห็นว่าตอนที่ขับรถเข้าบ้านมาเห็นว่ามีรถเก๋งสีขาวคุ้นตาอีกคันจอดอยู่ก่อนหน้า

"แชมป์มาเหรอครับลุงเติม"

"ครับคุณธีร์ มาได้สักพักแล้วครับ"เจ้าตัวเพียงยกยิ้มบางรับคำก่อนเดินเข้าตัวบ้าน ทักทายแม่บ้านคนสนิทที่ออกมาต้อนรับทั้งยังรับช่วงหอบหิ้วสัมภาระต่อจากลุงเติมคนสวน



"ว่าไงมึง งานที่แกลเลอรี่หายยุ่งแล้วหรือไงถึงมีเวลามาหากูได้"เจ้าของบ้านเดินตรงมายังห้องนั่งเล่นที่มีแขกคนคุ้นเคยนั่งรออยู่ก่อนหน้า คนถูกถามเลยรีบเด้งผึงขึ้นจากโซฟายาวที่ตัวเองนอนเอกเขนกรอจนเกือบหลับ ใบหน้าขาวซีดยุ่งเหยิงนิดๆ ทั้งยังดวงตาเรียวรีที่สะโหลสะเหลเต็มทีบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงอดนอนมาอีกเช่นเคย

"ยุ่งชิบหาย...ยิ่งใกล้วันเปิดกูแทบไม่ได้นอน"คำตอบที่ทำเอาอีกฝ่ายเลิ่กคิ้วมองเล็กน้อย เขาเพียงทิ้งตัวนั่งบนโซฟาตัวเดียวกันพลางยกมือขึ้นคลายกระดุมเสื้อเชิ๊ตสีครีมที่สวมอยู่

"กูแวะเอานี่มาให้...มึงจะชวนอานิดไปด้วยก็ได้นะ"ผู้มาเยือนว่าพร้อมยื่นซองกระดาษสีทองที่พิมพ์ชื่อของเขาแบบเต็มยศเอาไว้หรา

"การ์ดแต่งงาน?"พอแซวเข้าหน่อยก็ถูกมือขาวๆที่เอื้อมมาผลักศีรษะเขาเบาๆโทษฐานที่กวนประสาทไม่รู้จักเวลา

"พ่อมึงสิ! บัตรเชิญไปงานเปิดแกลเลอรี่กูเนี่ย อังคารหน้านะมึงมาให้ได้"เห็นสีหน้ายุ่งๆของไอ้ตัวดีแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ รู้ดีอยู่ว่ามันไม่มีทางเป็นการ์ดแต่งงานอย่างที่เขาแซวเล่น ก็ตอนนี้เจ้าตัวมันมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเสียที่ไหน...หรือจะพูดให้ถูกต้องบอกว่า...มันไม่คิดจะชายตาแลหญิงอื่นเลยนับตั้งแต่เกิดเรื่องตอนนั้นเสียมากกว่า

"ไว้เสร็จงานแล้วจะรีบไป...เออมึง...เสาร์นี้ว่างมั้ย"พยักหน้ารับคำหงึกหงักแล้วก็รีบถามออกไปเพราะนึกอะไรได้บางอย่าง

"มีอะไร...จะชวนกูกินเหล้า?"

"คิดแต่เรื่องแดกนะมึงเนี่ย...อานิดชวนไปงานวันเกิดลุงกิตติ ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ"ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าปลง นี่เขาดูเป็นไอ้ขี้เมาที่เอาแต่ชวนเพื่อนกินเหล้าตอนมีเวลาว่างไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่าที่จำได้เขาแทบไม่เคยชวนใครดื่มก่อนด้วยซ้ำ มีก็แต่คนตรงหน้านี่ล่ะที่พอว่างปุ๊บก็รีบบึ่งรถมาหาเขาที่บ้านเพื่อชวนกันตั้งวงอยู่เนืองๆ

"ไม่เอาอ่ะ...ไปบ้านนั้นทีไรกูเกร็งจนทำอะไรไม่ถูกทุกที"นึกแล้วฐิติกรณ์ก็ขยาด ใช่ว่าไม่รู้จักคุ้นเคยกับครอบครัวท่านทูตกิตติ แต่เพราะไม่เคยชินกับการวางตัวให้อยู่ในกรอบในเกณฑ์ถึงได้รู้สึกเกร็งจนเครียดทุกครั้งที่ได้พบหน้ากัน แล้วนี่เป็นถึงงานวันเกิดซึ่งเขาแน่ใจว่ามันต้องใหญ่โตสมฐานะท่านทูต ไหนจะแขกเหรื่อที่เป็นผู้ใหญ่ในวงการเดียวกันอีก

"โตเป็นควายแล้วยังจะมากลัว...ไปเหอะ อานิดบอกว่าพี่อิงกับพี่อาร์มเพิ่งกลับมาด้วย"แต่พอได้ยินชื่ออีกสองคนเท่านั้นล่ะ คนถูกชวนก็แทบหูตั้งหางกระดิกทันที...พี่อิงกับพี่อาร์มที่ว่าเป็นลูกชายของท่านทูตกับคุณหญิงอรที่ตอนนี้ทำงานอยู่ที่ฝรั่งเศสทั้งคู่ ฐิติกรณ์จำได้ดีว่าตอนเด็กๆเขาชอบติดสอยห้อยตามเพื่อนสนิทกับครอบครัวไปหาท่านทูตกิตติบ่อยๆเพื่อจะไปหาลูกชายทั้งสอง เพราะทั้งพี่อิงและพี่อาร์มมักมีของเล่นเจ๋งๆมาแบ่งเขาเสมอ ยิ่งเพราะเป็นลูกคนเดียวด้วยแล้วเขาก็ยิ่งรักและเคารพสองคนที่ว่าราวกับเป็นพี่ชายแท้ๆ เสียดายที่ตอนนี้ทั้งสองคนทำงานอยู่ต่างประเทศเลยไม่มีโอกาสได้พบกันมาหลายปี

"มึงนี่แม่ง ชอบเอาพี่อิงกับพี่อาร์มมาอ้างว่ะ...แต่กูไปไม่ได้อ่ะ ใกล้วันงานที่แกลเลอรี่ยิ่งยุ่ง ตอนนี้กูก็แทบขยับตัวไม่ได้แล้วเนี่ย"ฐิติกรณ์บ่นอย่างหัวเสียเมื่อนึกไปถึงรายการที่ต้องเตรียมก่อนงานเปิดแกลเลอรี่ของตัวเองที่ยาวเหยียดเป็นหางว่าว ก่อนจะนึกอะไรได้บางอย่างพลางส่งสายตาเป็นประกายให้เจ้าของบ้านที่นั่งเอนหลังพิงโซฟาอยู่ข้างๆ

"เอางี้! มึงชวนพี่อิงกับพี่อาร์มมางานกูดิ"คนถูกรบเร้าเลยได้แต่ขมวดคิ้วน้อยๆอย่างชั่งใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายแถมไอ้ตัวดียังได้มีโอกาสได้พบพี่ชายที่(มันคิดเอาเองว่า)พลัดพรากกันมาหลายปี สุดท้ายก็เลยยอมตอบตกลง

"เอางั้นก็ได้ ไว้จะลองชวนดู"
ตกปากรับคำกันเรียบร้อยผู้มาเยือนก็ขอตัวกลับเพราะยังมีธุระต้องทำอีกหลายที่ เจ้าของบ้านถึงได้มีโอกาสพักผ่อนจริงจังเสียทีหลังจากโหมงานหนักมาทั้งวัน




ร่างสูงโปร่งเดินขึ้นมาถึงห้องนอนตัวเองบนชั้นสองก่อนจะวางกระเป๋าเอกสารและโทรศัพท์มือถือที่พกติดตัวลงบนโต๊ะทำงาน เขาค่อยๆปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตออกแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นพาดบ่า ตั้งใจจะเข้าไปอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นก่อนที่จะออกมาจัดการกับเอกสารที่หอบหิ้วกลับมาทำที่บ้าน หากแต่ต้องชะงักฝีเท้าอยู่แค่หน้าประตูห้องน้ำเมื่อสายตาดันเหลือบไปเห็นวัตถุคุ้นตาที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง สองเท้าเปลี่ยนเป็นสาวเข้าใกล้เตียงนอนก่อนทิ้งตัวลงจนที่นอนยุบยวบตามน้ำหนัก มือเรียวเอื้อมออกไปหยิบวัตถุที่แต่เดิมเป็นทรงเหลี่ยมหากแต่ตอนนี้กลับบิดเบี้ยวแทบไม่เหลือเค้าเดิม ทั้งยังรอยไหม้สีกระดำกระด่างที่เจ้าตัวพยายามเช็ดทำความสะอาดแต่ยังคงทิ้งคราบให้เห็น


เกือบสี่ปีแล้วนับจากเหตุการณ์ในวันนั้น จนถึงตอนนี้ที่หลายสิ่งรอบตัวเขาเปลี่ยนแปลงไป เขาเติบโตขึ้น เรียนจบมหาวิทยาลัยอย่างที่ตัวเองตั้งใจไว้แม้จะช้ากว่าเพื่อนๆไปหนึ่งปี เข้าทำงานในสถานทูตของประเทศหนึ่งแถบยุโรปโดยได้รับความช่วยเหลือจากลุงกิตติ...อย่างว่า สมัยนี้เส้นสายเป็นเรื่องสำคัญไม่ว่าจะเป็นวงการไหน ถึงอย่างนั้นเขาก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ไม่ให้เสียชื่อคนฝากฝังหรือแม้แต่ชื่อของพ่อของเขาเอง...เขากลับมาอยู่ที่บ้านเดิมของพ่อและแม่ บ้านหลังใหญ่โตที่มีเพียงเขากับคนงานในบ้านไม่กี่คนเพราะตัวเองไม่ชอบความวุ่นวาย...ถึงแม้จะเหงาไปบ้างแต่กลับไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังมีอาทั้งสองที่มาเยี่ยมเยียนไม่ขาด ไหนจะมีเพื่อน ทั้งเพื่อนใหม่ที่ทำงานหรือเพื่อนสมัยเรียนอย่างแชมป์ โจ๊ก ต่อ ที่ยังคงติดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้



ยิ่งไปกว่านั้น...ยังมีใครอีกคน...ที่แม้ไม่ได้อยู่เคียงข้างแต่หากเมื่อใดที่นึกถึงกลับทำให้หัวใจอบอุ่นขึ้นมาได้ทุกครั้ง ใบหน้าอ่อนโยนและเสียงทุ้มนุ่มที่เคยกระซิบแผ่วข้างหู จนถึงตอนนี้เขาก็ยังจดจำทุกสิ่งเกี่ยวกับคนๆนั้นได้แม่นยำ



"คิดถึงนะครับ"



เรียวปากบางประดับรอยยิ้มเอื้อนเอ่ยกับวัตถุในมือเหมือนที่เคยทำอยู่ทุกวัน ก่อนที่เขาจะวางมันลงแล้วตรงดิ่งเข้าห้องน้ำไป




คำว่าคิดถึง...ผ่านมากี่ปีก็ยังคงหมายความเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยน



..................................................................................................




งานวันเกิดของท่านทูตกิตติไม่ได้ใหญ่โตด้วยจำนวนแขกเหรื่ออย่างที่ชลนธีร์คิดไว้ แต่ก็ไม่เล็กด้วยตำแหน่งหน้าที่ของผู้ร่วมงานแต่ละคน...เขาจำไม่ได้แล้วว่ายกมือไหว้ทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ไปกี่ครั้งตั้งแต่ก้าวผ่านรั้วบ้านมาจนถึงห้องโถงใหญ่ แต่คนสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าของวันเกิดที่ตอนนี้ยืนโดดเด่นอยู่กลางห้องพร้อมคุณหญิงผู้เป็นภรรยา

"ตาธีร์! ไม่เจอกันนานเปลี่ยนไปมากเลยนะเรา"เจ้าของชื่อยิ้มบางๆรับคำคุณหญิงอร...ชลนธีร์จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันเห็นทีจะเป็นเมื่อปีก่อนตอนที่เพิ่งเรียนจบ เพราะหลังจากเริ่มทำงานเขาก็แทบไม่มีเวลามาเยี่ยมเยียนคุณหญิงและท่านทูตอย่างที่เคยทำ อย่าว่าแต่คุณหญิงอรเลย แม้แต่อานิดเองเขาก็กลับไปหานับครั้งได้

"งานที่สถานทูตเป็นยังไงบ้าง"

"ก็ดีครับลุงกิตติ แต่ก็ยุ่งมากจนไม่มีเวลาเหมือนกัน"หรือเป็นเพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเขาถึงได้หัวหมุนกับจำนวนงานและเอกสารมากมายก่ายกองขนาดนี้ก็ไม่รู้ได้

"ทำไปสักพักเดี๋ยวก็ชิน"ท่านทูตปลอบใจกลั้วเสียงหัวเราะเบาคงเพราะตนเคยผ่านช่วงเวลาเหล่านี้มาก่อนถึงได้รู้ซึ้งเป็นอย่างดี



"พี่อิงกับพี่อาร์มไปไหนล่ะครับ"ยืนคุยทักทายกับเจ้าของงานได้สักพักถึงได้ออกปากถามหาลูกชายอีกสองคน นึกไปถึงตอนเด็กๆที่เคยวิ่งเล่นกับพี่ชายทั้งสอง อ้อ! พ่วงไอ้ตัวดีอย่างฐิติกรณ์ที่ชอบติดสอยห้อยตามมาด้วยอีกคน จนถึงตอนนี้ก็เกือบสิบปีเข้าไปแล้วที่พวกเขาไม่ได้พบกัน

"เห็นคุยกับเพื่อนๆอยู่ที่สวนหน้าบ้านน่ะ ธีร์ออกไปหาสิ เจ้าสองคนนั้นบ่นคิดถึงจะแย่แล้ว"เมื่อคุณหญิงอรเปิดไฟเขียว เขาจึงขอตัวออกไปหาพี่ชายทั้งสองแล้วปล่อยให้อานิดและอาต้นยืนคุยกับเจ้าของงานแทน





บรรยากาศด้านนอกเองก็ครึกครื้นไม่ต่างจากข้างใน หากแต่ดูเป็นกันเองมากกว่าเมื่อบรรดาแขกเหรื่อส่วนใหญ่แถวนี้เป็นเพียงลูกหลานของคนใหญ่คนโตที่ยังอายุไม่มากนัก...ซุ้มอาหารและเครื่องดื่มถูกจัดไว้ตามมุมต่างๆของสวนกว้างเพื่ออำนวยความสะดวกแก่แขกผู้ร่วมงาน ทั้งยังไฟสีเหลืองนวลที่ประดับตามต้นไม้พุ่มสูงยิ่งส่งให้บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายมากกว่าบทสนทนาตึงเครียดของพวกผู้ใหญ่ด้านใน


ชายหนุ่มเดินผ่านซุ้มเครื่องดื่มจนมาหยุดยืนกลางสวนกว้าง พยายามมองหาลูกชายทั้งสองของท่านทูตก่อนสะดุดตาเข้ากับกลุ่มผู้ชายสี่ถึงห้าคนที่กำลังยืนคุยกันอย่างออกรสอยู่อีกด้านหนึ่งของสวน แม้ไม่ได้พบกันนานหลายปีแต่เขาก็ยังจำใบหน้าของพี่ชายทั้งสองได้ดี


หากยังไม่ทันได้ก้าวเข้าใกล้ ใครคนหนึ่งในกลุ่มนั้นกลับโบกมือลาเพื่อนร่วมวงที่เหลือแล้วเดินจากไปเสียก่อน


เพียงครู่เดียวที่ชลนธีร์เผลอมองตามแผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อเชิ๊ตสีน้ำทะเลของคนที่เพิ่งเดินจาก เขากลับขมวดคิ้วมุ่นเมื่อความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดตีตื้นขึ้นมาจนเผลอกลั้นลมหายใจ แต่เพราะความคิดที่ว่าหมอนั่นอาจเป็นลูกหลานของใครสักคนที่ทำงานในสถานทูตเหมือนๆกัน เพราะเท่าที่เห็นในงานนี้ก็มีคนที่เขาคุ้นหน้าอยู่หลายคน บางคนคุ้นเคยจนถึงขั้นพูดคุยทักทายกันก็มี พอดีกับที่เสียงเรียกของคนที่กำลังตามหาดังขึ้น ถึงได้ลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท

"ธีร์! ธีร์รึเปล่านั่น"

"พี่อิง พี่อาร์ม!"เรียวปากบางฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นชายหนุ่มคุ้นหน้าสองคนเดินปรี่มาแต่ไกล ก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะโผเข้ามากอดแทบทั้งตัว

"เฮ้ย ไม่เจอกันนานโตขึ้นขนาดนี้แล้ว"ทั้งยังมือหนาที่วางแปะบนศีรษะแล้วออกแรงขยี้เสียจนผมของเขาแทบเสียทรง แม้ออกปากท้วงแต่คนตัวสูงใหญ่ก็ยังไม่ยอมหยุด

"พี่อิงอย่าแกล้งน้อง ไม่ใช่เด็กๆกันแล้วนะ"จนเมื่อคนข้างๆบ่นขึ้นนั่นล่ะ คนตัวสูงถึงได้ยอมปล่อยมือให้คนที่เพิ่งบ่นเป็นฝ่ายโถมเข้ามากอดบ้าง จนชายหนุ่มอดนึกไม่ได้ว่าตอนนี้พี่ชายทั้งสองเห็นเขาเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ไปแล้วหรือเปล่า

"เป็นยังไงบ้าง เห็นคุณพ่อบอกว่าเพิ่งเริ่มทำงานที่สถานทูตเหรอ"ผู้เป็นพี่เริ่มเปิดประเด็นก่อน อิงทัศน์เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ อายุเพิ่งผ่านเลขสามไปได้ไม่กี่ปีหากแต่ดูเด็กกว่าอายุจริง เพราะใบหน้าขาวคมมักเจือด้วยรอยยิ้มตามประสาคนอารมณ์ดีเสมอ ส่วนอรรถนนท์คนน้องปีนี้อายุครบ๓๐พอดิบพอดี แม้ใบหน้าจะละม้ายคล้ายกันแต่ต่างที่รูปร่างของอรรถนนท์นั้นเล็กกว่าผู้เป็นพี่ ถึงอย่างนั้นก็ยังสูงสมส่วนตามมาตรฐานชายไทย

"คิดยังไงถึงได้ทำงานสถานทูตนะเรา งานหนักจะตาย ตัวอย่างก็มีให้เห็นทั้งพ่อเราพ่อพี่"คนพี่ยังคงบ่นไม่หยุดปากโดยไม่เปิดโอกาสให้คนถูกถามได้ต่อความอะไรสักนิด

"เอ๊! พี่อิงนี่ยังไง น้องมันเรียนมาทางนี้ก็ต้องทำงานด้านนี้สิ ใครจะไปเหมือนอาร์มกับพี่ มีพ่อเป็นทูตแต่ดันแหกคอกไปทำอย่างอื่น"ส่วนคำบ่นของคนน้องก็เรียกเสียงหัวเราะจากเขาได้เป็นอย่างดี สองคนนี้ ตั้งแต่เด็กจนอายุเข้าเลขสามกันทั้งคู่แต่ยังชอบเถียงกันเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน


"ว่ายังไงเรา ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีมีอะไรมาอัพเดทให้พวกพี่ฟังบ้าง"สุดท้ายพอเบื่อจะเถียงกันถึงได้หันมาสนใจเขาเสียที แต่พอเจอคำถามนี้จากอรรถนนท์ คนไม่ค่อยพูดอย่างชลนธีร์ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน ด้วยว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้มีอะไรที่น่า'อัพเดท'ให้พี่ชายทั้งสองคนฟังเลยสักนิดนอกจากเรื่องงานที่ยุ่งเสียจนหัวหมุน กับเรื่องที่เขาเพิ่งย้ายกลับเข้าไปอยู่บ้านเดิม ยังมีเรื่องที่เขาวางแผนเรียนปริญญาโทเพื่อต่อยอดความรู้อีก แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตเพราะตอนนี้เขายังสนุกกับงานที่ทำอยู่

"ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ วันๆธีร์ทำแต่งาน"

"อายุยังน้อยอย่าเพิ่งบ้างานเลยธีร์ ยังมีเวลาให้บ้าอีกเยอะ!"อิงทัศน์แซวเล่นกลั้วเสียงหัวเราะจนคนฟังได้แต่ยิ้มแห้ง มันก็จริงอย่างที่คนตัวสูงใหญ่ว่า แต่ถ้าเขาไม่บ้างานเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นดี

"เอาแต่โหมงานแบบนี้แล้วจะมีเวลาหาแฟนได้ไง"

"โธ่พี่อาร์ม ธีร์ไม่ซีเรียสหรอกครับ"คนถูกถามได้แต่ส่ายหน้าปลง เพราะสำหรับเขา คำว่า'แฟน'เป็นอะไรที่ไกลตัวนัก หรือจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยต่างหาก

"ได้ยังไงวัยรุ่น...รู้มั้ยตอนพี่อิงอายุเท่าเรานะ คุณพ่อพี่ปวดหัวแทบทุกวันเพราะเดาไม่ถูกว่าคนไหนกันแน่ที่จะมาเป็นสะใภ้"ได้ที ผู้เป็นน้องชายเลยจัดการยกเรื่องพี่ชายตัวเองมาเผาจนคนถูกพาดพิงสะดุ้งโหยง

"เสน่ห์แรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ"ชายหนุ่มยิ้มแซว แต่ก็ไม่แปลกใจนักเพราะระดับคุณอิงทัศน์ พิศาลวรกิจ ที่มีดีทั้งหน้าตาและฐานะครอบครัว จะมีสาวๆเข้ามารุมล้อมบ้างมันก็เป็นเรื่องปกติ

"เสน่ห์แรงไม่เท่าไหร่ พี่แกเล่นพาผู้หญิงทุกคนที่ควงเข้าบ้านด้วยนี่สิ ตอนนั้นคุณแม่แทบจะซดยาหอมแทนน้ำเปล่าเลยล่ะ"เมื่อเห็นว่าน้องชายไม่หยุดปากเสียที เจ้าตัวถึงได้แต่กระแอมขัดเป็นระยะ

"ก็คุณพ่อพี่สอนไว้ว่าคบใครให้จริงใจเปิดเผย ต้องให้เกียรติเขาจะไปทำเล่นๆกับเขาไม่ได้"

"พี่อิงก็เลยให้เกียรติทุกคนเลยสินะ"

"ก็...พอดีช่วงนั้นมีหลายคนไปหน่อย"พี่ชายตัวโตได้แต่ยิ้มแก้เก้อยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเป็นพัลวันจนชลนธีร์ได้แต่อมยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นท่าทางแก้ตัวน้ำขุ่นๆของอีกฝ่าย

"เยอะจนพี่ตกใจตอนที่พี่อิงบอกว่าจะแต่งงานเลยล่ะ"

"นั่นสิครับ ตอนธีร์ได้ยินว่าพี่อิงจะแต่งงานนึกว่าเจ้าสาวจะเป็นสาวฝรั่งเศสซะแล้ว ที่ไหนได้..."เขาไม่ได้ต่อท้ายประโยคจนจบ เพียงแค่เหลือบสายตามองอีกฝั่งของสวนกว้าง หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งท่าทางทะมัดทะแมงที่กำลังยืนคุยกับคุณหญิงคุณนายในงานดูโดดเด่นยิ่งกว่าใคร ใบหน้าฉายแววมั่นใจเต็มเปี่ยมประดับรอยยิ้มยามสนทนา หรือแม้แต่ท่าทางคล่องแคล่ว ทั้งยังดีกรีความรู้ระดับด๊อกเตอร์จากประเทศอังกฤษ

"ต้องแบบพี่เบนซ์นี่แหละที่จะเอาคนอย่างพี่อิงอยู่"แม้แต่อรรถนนท์ยังพยักหน้าเห็นด้วย สำหรับเขา พี่สะใภ้คนนี้แม้ไม่ใช่คนสวยโดดเด่น หากแต่ความรู้ ความสามารถและบุคคลิกความเป็นผู้นำแบบนี้ต่างหากที่เขารู้สึกว่าช่างเหมาะเจาะกับพี่ชายคนโตยิ่งกว่าอะไร

"สงสัยจะจริงอย่างที่พี่อาร์มว่า ตอนนั้นก็รีบแต่งปุบปับจนคุณหญิงอรยังตกใจเลยนี่ครับ"

"ก็...พอเจอคนที่ใช่พี่ก็ไม่อยากรออะไรแล้วล่ะ...เราเองก็เถอะ เดี๋ยววันนึงพอเจอคนที่ใช่ก็จะเข้าใจเอง"


รอยยิ้มกริ่มของอิงทัศน์กลับทำเอาชายหนุ่มเงียบกริบ พี่ชายตัวโตก็คงพูดไปเรื่อยเมื่อเห็นว่าเขายังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน...แต่ทำไมเขาจะไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายเล่า ในเมื่อเขาเองก็เคยมีความรู้สึกแบบที่ว่ามาก่อน...เพียงแต่'คนที่ใช่'สำหรับเขา ในเวลานี้คือคนที่ปรากฎตัวเพียงแค่ในความคิด แต่กลับไม่สามารถเอื้อมมือออกไปหาได้ ทั้งที่บางทีในความฝัน คนๆนั้นอยู่ใกล้เพียงปลายจมูกกั้นแท้ๆ หากแต่เมื่อลืมตา ภาพตรงหน้ากลับเลือนหายราวกับฝุ่นควันลอยฟุ้งในอากาศ



ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ พยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านให้หายไป ตอนนี้เขาอยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดใหญ่โต จะมัวแต่คิดเรื่องเดิมๆอยู่ได้อย่างไร...หากเพียงปลายสายตาเหลือบไปเห็นซองกระดาษสีทองที่เหน็บอยู่ในกระเป๋ากางเกง เจ้าตัวก็พลันนึกไปถึงเรื่องที่เพื่อนสนิทฝากฝังขึ้นมาได้ทันที

"จริงสิ...วันอังคารนี้พี่อิงกับพี่อาร์มมีธุระที่ไหนรึเปล่าครับ"

"อังคารนี้เหรอ...ก็ว่างอยู่นะ ธีร์มีอะไรรึเปล่า"อรรถนนท์เป็นคนถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย พอดีกับที่ชายหนุ่มยื่นซองจดหมายสีทองออกไปให้

"ไอ้แชมป์มันฝากมาชวนพี่อิงกับพี่อาร์มไปงานเปิดแกลเลอรี่ของมันแถวสาธรน่ะครับ"

"ไอ้เด็กแสบนั่นน่ะนะเปิดแกลเลอรี่ เดี๋ยวนี้หันมาเอาดีด้านเป็นศิลปินแทนแล้วหรือเนี่ย เมื่อก่อนยังเคยบ่นเย้วๆอยากจะเป็นตำรวจอยู่เลย"อิงทัศน์ว่าพลางหัวเราะพรืด สำหรับเขา ความทรงจำเกี่ยวกับบุคคลที่ว่าคงมีเพียงวีรกรรมแสบซนที่เจ้าตัวเคยสร้างไว้บ่อยครั้งเมื่อมาหาพวกเขาสองคนที่บ้าน ทั้งยังเสียงแหลมแสบแก้วหูที่เด็กชายหน้าตี๋เคยประกาศกร้าวว่าโตขึ้นเขาจะเป็นตำรวจคอยพิทักษ์ประชาชนอะไรเทือกนั้นอีก แต่จะว่าไปให้หมอนั่นมาเอาดีด้านนี้คงจะดีกว่ามาก เพราะเขาเองก็นึกภาพไอ้เด็กตัวแสบในเครื่องแบบตำรวจไม่ออกเลยจริงๆ

"มันบอกให้ธีร์มาลากพี่สองคนไปให้ได้เพราะมันคิดถึงพวกพี่จะแย่"

"ฮะๆ เอาสิ ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว อีกอย่างพี่ก็อยากเห็นฝีมือมันเหมือนกัน"อรรถนนท์ตอบกลั้วเสียงหัวเราะเบาพลางพลิกซองจดหมายในมือที่มีชื่อของเขาสองคนเขียนเอาไว้ด้วยปากกาหมึกซึม

"ชวนเพื่อนไปด้วยก็ได้นะครับ แชมป์มันคงอยากให้มีคนไปเยอะๆ"ชลนธีร์เอ่ยเสียงนุ่มเมื่อเหลือบมองกลุ่มชายหนุ่มสามสี่คนที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขาจำได้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่พี่ชายทั้งสองยืนคุยอยู่ก่อนจะปลีกตัวออกมาหา...ขาดก็แต่...ผู้ชายคนนั้นที่เดินหนีไปเสียก่อนที่เขาจะได้เห็นหน้า

"พวกนั้นมันไม่สนใจงานศิลปะเท่าไหร่หรอก ถ้าชวนไปกินเหล้าล่ะไม่แน่"คนเป็นพี่ยกยิ้มกวนก่อนปรายสายตามองตาม ก็เจ้าพวกนั้นที่เรียนด้วยกันมาทั้งกับเขาและน้องชาย มีแต่พวกหัวสมัยใหม่คิดแต่เรื่องงานกับเรื่องเที่ยวทั้งนั้น ไอ้เรื่องงานศิลปะเห็นทีจะเข้าไม่ถึง ตัวเขาเองก็เถอะ ถ้าไม่ติดว่าคนชวนเป็นน้องชายตัวแสบอีกคน จ้างให้เขาก็ไม่ยอมไปหรอก


"เอ...แต่หมอนั่นอาจจะอยากไปก็ได้นะ"ราวกับนึกอะไรได้เมื่ออรรถนนท์โพล่งขึ้นคล้ายลืมตัว แต่กลับเรียกความสงสัยจากคนฟังได้ไม่น้อย

"ใครเหรอครับ"

"เพื่อนสนิทพี่สมัยเรียนที่โน่นน่ะ เพิ่งกลับไปก่อนธีร์จะมาแป๊บเดียว"คำพูดของชายหนุ่มร่างโปร่งทำเอาชลนธีร์นึกไปถึงแผ่นหลังกว้างคุ้นตาที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ เห็นทีจะเป็นคนนั้นที่อรรถนนท์พูดถึง

"นั่นสิ ถ้าเป็นหมอนั่นคงสนใจ เห็นอาร์มบอกว่าสนใจพวกงานศิลปะ โดยเฉพาะของเก่าของโบราณนี่ชอบนัก"อิงทัศน์เองก็พยักหน้าสนับสนุนความคิด

"อย่าเรียกว่าสนใจเลยพี่อิง ต้องเรียกว่าหมกมุ่นเลยล่ะ ไม่งั้นคงไม่ตามตื๊อคุณพ่อขอซื้อเรือนริมน้ำอยู่ทุกวันแบบนี้หรอก"


หากแต่คำตอบของอรรถนนท์ทำเอาอีกฝ่ายที่กำลังตั้งใจฟังเพลินๆหลุดร้องเสียงหลงอย่างลืมตัว


"ลุงกิตติจะขายเรือนริมน้ำหลังนั้นเหรอครับ!"ราวกับถูกใครดึงเอาสติออกจากตัวเสียดื้อๆเมื่อทั้งร่างของเขาชาวาบเพียงแค่ได้ยินประโยคนั้น แม้แต่พี่ชายทั้งสองก็สะดุ้งโหยงหลังได้ยินเสียงแหวลั่นจากเจ้าตัว

"เห็นท่านก็เปรยๆว่าจะขายเพราะหมอนั่นบอกว่าจะซื้อไปอยู่เอง ไม่ได้เอาไปทำอะไรที่ไหน...แต่ก็แปลกนะ ปกติใครมาติดต่อขอซื้อ คุณพ่อก็ปฏิเสธไปทุกที มีแต่หมอนี่แหละที่คุณพ่อยอมใจอ่อน...ไม่รู้ถูกใจอะไรกันนักหนา เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งแท้ๆ"คำพูดยืดยาวของอรรถนนท์กลับไม่เข้าหูสักนิด เมื่อความคิดหลุดลอยออกจากตัวเพียงเพราะได้ยินเรื่องเรือนริมน้ำหลังนั้น...เรือนโบราณที่เขาเพียรพยายามขออนุญาตเจ้าของตัวจริงไปดูให้เห็นกับตาหลายต่อหลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดทั้งจังหวะและโอกาสก็ไม่เอื้ออำนวยสักที ขนาดวันนี้ที่เขาตั้งใจจะลองขออนุญาตดูอีกครั้งแต่กลับมาได้ยินเรื่องนี้เข้าเสียก่อน...ยิ่งคิดก็ยิ่งใจหาย เมื่อตัวเองไม่มีสิทธิ์อะไรในเรือนหลังนั้นแม้แต่น้อยแต่กลับรู้สึกหวงแหนเพียงได้รู้ว่ามันกำลังจะตกไปอยู่ในมือของคนอื่น...คนที่เขาไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้จัก แต่กลับกำลังจะได้เรือนหลังงามที่เต็มไปด้วยความทรงจำของเขากับใครอีกคนไปครอบครอง



ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0

"พี่ธีร์!"


ความคิดเวียนวนกลับถูกหยุดลงด้วยน้ำเสียงแหลมเล็กพร้อมมือขาวเรียวที่เกาะเกี่ยวเข้าบนต้นแขน...ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวก่อนหันไปมองเจ้าของเสียงหวานที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างกาย ใบหน้าหวานระเรื่อเคลียด้วยผมยาวดัดเป็นลอน ความสูงของเธอแม้สวมรองเท้าส้นสูงแล้วแต่ก็ได้เพียงหัวไหล่ของเขาเท่านั้น

"ตวง!...ตฤณ!"ไม่ใช่แค่คนตัวเล็กคนเดียว แต่ยังมีเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินตามมาด้านหลัง...เขาฉีกยิ้มกว้างทันทีเมื่อได้เห็นเจ้าของชื่อทั้งสองคนปรากฏตัวตรงหน้าโดยลืมไปเสียสนิทว่ากำลังเป็นกังวลเรื่องอะไรอยู่

"ลงมากรุงเทพตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วลุงเอกไม่ได้มาด้วยเหรอ"ใบหน้าหวานระเรื่อส่ายไปมาแทนคำตอบ



ตวงกับตฤณเป็นลูกของลุงเอก หรือคุณเอกภพ เตชะวณิช ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเขา ยังมีพี่ต้น พี่ชายคนโตอีกหนึ่งคนที่เขาได้ยินจากอานิดว่าตอนนี้กำลังบินไปดูงานที่ต่างประเทศ...แต่การได้มาพบสองคนพี่น้องในเวลาแบบนี้นับว่าแปลกนัก เพราะทั้งตวงและตฤณเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ทั้งคู่ ด้วยว่าภรรยาของลุงเอกมีธุรกิจโรงแรมอยู่ที่นั่น ทำให้สองคนพี่น้องเลือกอยู่กับผู้เป็นแม่ตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมต้นจนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยเพราะไม่ชอบความวุ่นวายของเมืองหลวง

"ปิดเทอมแล้วเลยชวนตฤณลงมาหาคุณพ่อค่ะ แต่วันนี้คุณพ่อติดงานด่วนเลยให้ตวงกับตฤณมาแทน"หญิงสาวตอบฉะฉานถึงหน้าที่ที่ผู้เป็นพ่อฝากฝัง...ตวงเป็นลูกสาวคนรอง อายุ๒๒ เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ผิวขาวได้จากทั้งพ่อและแม่ แต่เครื่องหน้ากลับคมสวยเหมือนคนไทยแท้ๆคงเพราะได้ความงามมาจากคุณย่า ส่วนตฤณที่เพิ่งจะพ้นวัย๒๐ไปได้ไม่กี่วันเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบาง หน้าตาคล้ายพี่สาว นั่นหมายความว่าค่อนไปทางหวานมากกว่าจะให้ชมว่าหล่อ ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ชอบบ่นบ่อยๆเวลาที่ใครบอกว่าเขาหน้าเหมือนผู้หญิง

"อานิดบอกว่าพี่ธีร์อยู่ข้างนอกตวงเลยออกมาหาค่ะ...แล้วนี่..."เสียงหวานยังเจื้อยแจ้วแต่กลับสะดุดลงเมื่อหันไปพบกับคู่สนทนาอีกสองคนที่ยืนอยู่ก่อนหน้า

"พี่อิงกับพี่อาร์มลูกชายลุงกิตติไง ตวงจำไม่ได้แล้วมั้ง ตอนนั้นที่เจอกันเรายังเพิ่งไม่กี่ขวบเอง"หญิงสาวส่ายหน้าตอบทั้งยังรู้สึกละอายขึ้นมา เพราะครอบครัวของตนกับท่านทูตกิตติเองก็รู้จักมักคุ้นกันดี เพียงแต่ลูกชายทั้งสองที่ใช้เวลาเกินกว่าครึ่งชีวิตอยู่ต่างประเทศ ทำให้เธอลืมหน้าพี่ชายทั้งสองไปเสียสนิท

"สวัสดีค่ะพี่อิง...พี่อาร์ม"ถึงอย่างนั้นก็ยังยกมือไหว้ทักทายตามมารยาท

"น้องตวงจำพี่ไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ ครั้งก่อนที่พี่เจอเราเพิ่งตัวเท่านี้เองมั้ง"อิงทัศน์ว่าพลางทำท่าประกอบ เขาลดมือเทียบความสูงต่ำกว่าสะโพกของตนลงมาเล็กน้อย เพียงแค่นั้นก็ทำเอาเจ้าตัวยิ้มเขินเสียจนหน้าแดงก่ำ

"ส่วนเจ้าตฤณยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนั้นยังเพิ่งหัดเดินอยู่เลย"แม้แต่เด็กหนุ่มอย่างตฤณเองก็ได้แต่ยิ้มแห้งรับ สำหรับเขา ความทรงจำเกี่ยวกับพี่ชายทั้งสองมีเพียงการรับรู้ว่าท่านทูตกิตติมีบุตรชายสองคนเท่านั้น หากแต่ไม่เคยพบหน้าหรือได้พบเมื่อครั้งยังจำความไม่ได้ตามที่อีกฝ่ายว่า

"ตวงมาขัดจังหวะรึเปล่าคะ...พอดีลุงกิตติบอกให้มาตามพวกพี่เข้าไปหา"ได้ยินแบบนั้นอรรถนนท์จึงรีบส่ายหน้าตอบทันที

"ไม่หรอกค่ะ พอดีธีร์กำลังชวนพวกพี่ไปงานเปิดแกลเลอรี่ของเพื่อนสนิทมันน่ะ"คำตอบของชายหนุ่มกลับทำเอาคนตัวเล็กตาลุกวาวเป็นประกาย ทั้งยังมือเรียวที่เกาะเกี่ยวเอาแขนของชลนธีร์เอาไว้อีกครั้งอย่างลืมตัว

"เพื่อนพี่ธีร์เปิดแกลเลอรี่ด้วยเหรอคะ...ตวงอยากไปดูจังเลยค่ะ ให้ตวงไปด้วยได้มั้ย"

"ชอบงานศิลปะเหมือนกันเหรอเรา หื้ม"สองมือออกแรงกระตุกเร่าจนแม้แต่ชลนธีร์เองยังแปลกใจ เขาจำได้ว่าน้องสาวคนนี้เรียนด้านบริหารเพราะลุงเอกและภรรยาอยากให้ช่วยรับช่วงกิจการต่อ แต่ไม่เคยรู้ว่าคนตัวเล็กยังสนใจด้านงานศิลปะอีกด้วย

"ชอบค่ะ...กำลังคิดอยู่ว่าอยากเรียนต่อด้านนี้...นะคะพี่ธีร์ ให้ตวงไปด้วยนะคะ"ทั้งยังดวงตาคู่สวยที่ส่องประกายวาววับอย่างกระตือรือร้นเต็มที จนแม้แต่น้องชายที่ยืนเงียบอยู่นานยังต้องออกปากท้วงด้วยกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาท

"พี่ตวง...เอาไว้เราไปดูที่อื่นกันก็ได้ เกรงใจพี่ธีร์เขา"

"เกรงใจอะไรกันล่ะ ไปกันหลายคนสิดี เพื่อนพี่มันก็อยากให้คนไปดูงานของมันเยอะๆอยู่แล้ว"จนเมื่อชายหนุ่มหัวเราะน้อยๆพลางโบกมือไปมาเป็นเชิงว่าไม่มีปัญหาอะไรนั่นล่ะ อีกฝ่ายถึงได้เงียบลง

"ถ้าอย่างนั้น วันอังคารนี้พี่จะไปรับที่บ้านนะครับ จะได้ไปพร้อมกัน"พอได้รับคำยินยอมจากปากเจ้าตัว หญิงสาวถึงรีบพยักหน้ารัวรับทันที ก่อนจะหันไปชวนน้องชายที่ติดจะปากหนักอยู่ไม่น้อยให้ไปเสียด้วยกัน

"ไปเถอะน่าตฤณ ลงมากรุงเทพทั้งทีจะอยู่แต่บ้านกับเดินห้างมันน่าเบื่อจะตาย"ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังมีท่าทีลังเลเพราะความเป็นคนขี้เกรงใจของตน

"ไปเถอะตฤณ...ลุงเอกจะได้ไม่เป็นห่วงด้วย เดี๋ยวจะหาว่าพี่พาลูกสาวแกไปไหนต่อไหน"แต่พอยกผู้เป็นพ่อมาอ้าง สุดท้ายเลยต้องจำใจตกปากรับคำอย่างเสียไม่ได้

"ขอบคุณนะคะพี่ธีร์"หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างพลางยกมือไหว้ขอบคุณอีกสักรอบ ต่อให้ดีใจขนาดไหนก็ยังคงไม่ลืมมารยาทที่ถูกสอนสั่งมาตั้งแต่เล็ก ทั้งยังเรียกรอยยิ้มจากพี่ชายอีกสามคนได้เป็นอย่างดีเมื่อเห็นท่าทีนอบน้อมของอีกฝ่าย



"พี่ว่าเราเข้าไปหาคุณพ่อกันดีกว่า ให้ผู้ใหญ่ท่านรอนานคงไม่ดี"เมื่อเห็นว่าหมดปัญหาเรื่องงานเปิดแกลเลอรี่ อิงทัศน์ถึงได้ท้วงขึ้นเมื่อนึกได้ว่าผู้เป็นพ่อให้หญิงสาวตัวเล็กตรงหน้าออกมาตามพวกเขาไปพบ...หากแต่ชลนธีร์ที่เดินตามหลังกลับชะงักฝีเท้าลงเสียดื้อๆ ก่อนเอ่ยปากเรียกลูกชายคนเล็กของท่านทูตกิตติให้หันมามองเป็นเชิงถาม


"พี่อาร์ม...อย่าลืมชวนเพื่อนพี่คนนั้นไปด้วยกันนะครับ"เสียงนุ่มเรียบของน้องชายเอ่ยเบาจนเจ้าของชื่อได้แต่พยักหน้ารับแบบไม่ค่อยเข้าใจนัก


อันที่จริงชลนธีร์ไม่ได้สนใจหรอกว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทของอรรถนนท์หรือใครก็ตาม แต่เพียงเพราะเขาอยากเห็น...คนที่กำลังจะกลายเป็นเจ้าของคนใหม่ของเรือนริมน้ำหลังนั้น หรือไม่ ก็อาจจะหาโอกาสพูดคุยให้หมอนั่นเปลี่ยนใจแล้วหันไปมองหาเรือนโบราณหลังอื่นแทน เพราะสำหรับเขา เรือนหลังนั้นมีคุณค่ามากยิ่งกว่าการเป็นแค่ของเก่าสำหรับนักสะสมบางคน




คุณค่า...ทางจิตใจที่ไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าได้



..........................................................................................






เย็นวันอังคารมาถึงอย่างรวดเร็วเหมือนกับใจที่ร้อนรนของชายหนุ่ม...ชลนธีร์มาถึงแกลเลอรี่ของเพื่อนสนิทตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินดีเพียงเพราะถูกเจ้าของแกลเลอรี่รบเร้าให้มาช่วยเตรียมงาน เช่นเดียวกับโจ๊กและต่อที่บ่นอุบตั้งแต่มาถึงเพราะทั้งสองคนเองก็วุ่นวายกับงานในกองถ่ายไม่น้อย แต่เพราะขึ้นชื่อว่างานของเพื่อนสนิทถึงได้ยอมตกปากรับคำมาช่วยเตรียมงานตั้งแต่เนิ่นๆ


แกลเลอรี่ของฐิติกรณ์ไม่ได้ใหญ่โตนัก เจ้าตัวเพียงทุ่มงบส่วนตัวที่พอมีดัดแปลงอาคารสองชั้นแถวสาธรซึ่งมีชื่อพ่อของเขาเป็นเจ้าของให้กลายเป็นแกลเลอรี่แสดงภาพวาดและภาพถ่ายฝีมือของตัวเอง หากแต่ในงานเปิดตัวครั้งแรก เขาเลือกที่จะแสดงชุดภาพวาดสีน้ำมันที่เขาเพียรใช้เวลาทุ่มเทแรงกายและแรงใจสรรสร้างผลงานอยู่เกือบสี่ปี จนออกมาเป็นชุดภาพวาดที่แขวนเรียงรายทั่วแกลเลอรี่ ภายใต้แนวความคิด 'A Siam daydream...ฝันเฟื่องเรื่องสยาม' ที่คนสนิทหลายต่อหลายคนได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินแนวคิดแปร่งหูขัดกับบุคลิกของเจ้าตัวโดยสิ้นเชิง มีก็แต่ชลนธีร์ที่รู้ดีกว่าใครถึงที่มาของมัน ทั้งยังมีภาพวาดชิ้นสำคัญสามภาพที่เจ้าของผลงานปิดเงียบไม่ยอมให้ใครได้เห็นจนกว่าจะถึงวันเปิดตัว...ภาพที่ถูกคลุมด้วยผ้าใบสีขาวถูกแขวนเอาไว้ด้านในสุดของห้องจัดแสดง ซึ่งแม้แต่ชลนธีร์ที่เป็นเพื่อนสนิทก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ชมก่อนใคร โดยที่เจ้าตัวเอาแต่อ้างคำเดิมซ้ำๆว่า 'เดี๋ยวมึงก็เห็นเอง' แต่ที่น่าแปลกคือเจ้าของผลงานยังกำชับว่าหนึ่งในสามภาพนั้นคือของขวัญที่จะมอบให้เขาหลังจากจบงานโดยที่เจ้าตัวไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด


"เอ้า! ชนให้เชี่ยแชมป์มันหน่อย ในที่สุดฝันที่จะมีแกลเลอรี่เป็นของตัวเองก็เป็นจริงสักที"เสียงโหวกเหวกของโจ๊กดังทะลุกลางวงสนทนา หลังเจ้าของแกลเลอรี่กล่าวเปิดงานเสร็จแล้วปล่อยให้แขกเหรื่อเดินชมภายในตามอัธยาสัย เจ้าตัวรีบยกแก้วแชมเปญสีทองอร่ามในมือขึ้นสูงเรียกให้เพื่อนๆอีกสามคนทำตามบ้าง เสียงแก้วกระทบกันดังกังวานใสคลอเสียงหัวเราะของชายหนุ่มทั้งสี่ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่ปีก็ยังคงสนิทสนมกันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

"ขอบใจพวกมึงมากที่มาช่วย แล้วนี่ได้เดินดูงานกันบ้างรึยังวะ"ทั้งโจ๊กและต่อส่ายหน้าพรืด เอาเข้าจริงพวกเขาก็ไม่ค่อยสันทัดกับงานศิลปะพวกนี้สักเท่าไหร่ ที่มาก็เพราะเห็นว่าเป็นงานของเพื่อนสนิท แต่ไหนๆมาแล้วก็เลยขอปลีกตัวไปเดินชมบรรยากาศเสียหน่อยเพื่อไม่ให้เสียโอกาส

"แล้วมึงไม่ไปกับพวกมันล่ะ"พอคล้อยหลังสองคนนั้น เจ้าของงานถึงได้หันมาถามอีกคนที่ยังยืนยิ้มกริ่มอยู่ข้างๆ หากแต่เจ้าตัวเพียงส่ายหน้าไปมา

"ตอนนี้คนเยอะ เอาไว้เดินดูตอนหลังเลิกงาน"ถึงจะบอกไปอย่างนั้นแต่เขาก็ได้เห็นผลงานของเพื่อนสนิทผ่านตามาบ้าง มีเพียงภาพสำคัญที่เจ้าของงานอ้างถึงที่เขายังไม่มีโอกาสเข้าไปชม หากแต่เพราะตอนนี้คนพลุกพล่านเขาจึงเลือกอยู่แถวๆด้านนอก รอจังหวะให้คนซาลงกว่านี้เสียก่อน เพราะสำหรับเขาคงใช้เวลามากกว่าคนอื่นในการดื่มด่ำกับศิลปะตรงหน้า ด้วยว่าภาพทุกภาพล้วนมีความหมายเกี่ยวข้องกับตัวเองเช่นกัน



"พี่อิง พี่อาร์ม!"ปลายสายตาเหลือบไปเห็นพี่ชายทั้งสองคนที่เพิ่งมาถึงกำลังเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาหาจนชายหนุ่มเผลอร้องเรียกเสียงดัง อิงทัศน์และอรรถนนท์ที่มาในชุดสูทสีดำดูภูมิฐานสมฐานะลูกชายทั้งสองของท่านทูตกิตติยกยิ้มกว้าง เช่นเดียวกับเจ้าของงานที่ออกอาการดีใจเกินกว่าเหตุ

"โหพี่อิง พี่อาร์ม ทำไมหล่อแบบนี้ครับ!"ทั้งยังน้ำเสียงยียวนเหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กยิ่งเรียกเสียงหัวเราะจากเจ้าของชื่อได้เป็นอย่างดี

"ว่าไงไอ้แสบ! ไม่ได้เจอกันนาน เผลอแป๊บเดียวโตเป็นหนุ่มมีแกลเลอรี่เป็นของตัวเองแล้วนะ"ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนพี่รีบปรี่เข้ามาหาพร้อมวาดมือกอดคอคนที่ได้ชื่อว่าน้องชายต่างสายเลือดเสียแน่น

"พี่อิงก็พูดเกินไป แค่แกลเลอรี่เล็กๆเอง"ฐิติกรณ์หัวเราะร่วนทั้งที่ถูกรั้งตัวเอาไว้ แต่ยังไม่ลืมทำหน้าที่เจ้าภาพที่ดี ฉวยแก้วแชมเปญจากบริกรที่เดินผ่านให้กับแขกที่เพิ่งมาถึงทั้งสอง

"แล้วไม่ทราบว่าคุณฐิติกรณ์จะให้เกียรติพาพวกผมเดินชมแกลเลอรี่เล็กๆนี้ได้หรือไม่ล่ะขอรับ"อรรถนนท์คนน้องเอ่ยแซวกลั้วเสียงหัวเราะ

"โถๆๆ ลูกชายท่านทูตอุตส่าห์ให้เกียรติมาร่วมงานถึงสองคนแบบนี้ กระผมจะปฏิเสธได้อย่างไรล่ะขอรับ"คนถูกแซวไม่ยอมแพ้ ยียวนกลับด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกัน เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ร่วมวงสนทนาได้เป็นอย่างดี

"อ้าวธีร์ แล้วน้องตวงกับน้องตฤณล่ะ ไหนบอกว่ามาด้วยกัน"อิงทัศน์ที่สังเกตเห็นก่อนถามขึ้น เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเจ้าของชื่อยืนอยู่กับเพื่อนเพียงสองคน

"เออใช่ มึงบอกว่าพาน้องมาด้วย กูยังไม่ได้เจอเลย"เจ้าของงานเองก็ดูสงสัยไม่น้อย เพราะเมื่อตอนมาถึงเขาเห็นว่าเพื่อนสนิทไม่ได้มาเพียงลำพังหากแต่มีชายหญิงคู่หนึ่งตามติดมาด้วย แต่เพราะกำลังยุ่งเรื่องเตรียมงานจึงไม่มีเวลาเข้าไปทักทาย เห็นเพียงหลังไวๆของหญิงสาวผมยาวกับเด็กหนุ่มตัวไล่เลี่ยกัน

"เมื่อกี้มัวแต่ช่วยไอ้นี่อยู่ ธีร์เลยบอกให้น้องเดินเล่นดูงานกันไปก่อนครับ"ชลนธีร์โบ้ยไปให้เจ้าของงาน อีกสองคนเลยได้แต่พยักหน้ารับเป็นอันรู้กัน


หากแต่ยังไม่ทันที่เจ้าของแกลเลอรี่จะได้เริ่มนำแขกกิตติมศักดิ์ทั้งสองเดินชมงาน ชายหนุ่มร่างโปร่งก็คลับคล้ายนึกอะไรได้บางอย่าง ดวงตาคู่สวยกลอกไปมาอย่างลังเลด้วยไม่แน่ใจว่ามันเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่าพี่ชายคนสนิททำท่าจะเดินตามหลังเจ้าภาพของงานเข้าไปด้านใน เสียงนุ่มก็ดันเอ่ยเรียกขึ้นอย่างลืมตัว

"พี่อาร์มครับ!"เพียงเท่านั้นก็พอให้เจ้าของชื่อชะงักฝีเท้าแล้วหันมามอง

"มีอะไรเหรอธีร์"

"คือ...เพื่อนพี่คนนั้น เขามาด้วยรึเปล่าครับ"ดวงหน้าได้รูปฉายแววกระอักกระอ่วนจนคนถูกถามได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น

"มาสิ เพิ่งมาถึงพร้อมกันนี่ล่ะ...อ๊ะ! นั่นไง"หากเพียงครู่เดียวที่สายตาของอรรถนนท์มองผ่านไหล่ของชายหนุ่มไปด้านหลังก่อนร้องทักเสียงดังจนเจ้าตัวเหลียวมองตาม

"กันต์...ไอ้กันต์!...วะ ไอ้นี่ หูหนวกหรือไง"อรรถนนท์บ่นอุบเมื่อคนที่ตนเรียกไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเสียงของเขาสักนิด ซ้ำยังเดินหายเข้าไปด้านในของแกลเลอรี่ให้ชลนธีร์ได้เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างของผู้ชายตัวสูงในชุดสูทสีเข้มที่เพิ่งลับหายไปหลังผนังของห้องจัดแสดงผลงาน


แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้สองขาของเขาก้าวตามออกไปโดยไม่สนใจคู่สนทนาที่ยืนสงสัยอยู่ไม่น้อย เพียงเพราะในความคิดที่ติดอยู่เรื่องเดียว




...เรื่องเรือนริมน้ำหลังนั้น...




สองเท้าก้าวตามทางเดินขนาบข้างด้วยผนังสีขาวเรียงรายด้วยภาพวาดสีน้ำมันฝีมือของเพื่อนสนิทที่ตนตั้งใจจะเดินชมผลงานเมื่อหลังงานเลิก หากตอนนี้กลับมีสิ่งอื่นรบกวนจิตใจมากกว่า...ภาพวาดของฐิติกรณ์ภาพแล้วภาพเล่าแล่นผ่านสายตาโดยที่เจ้าตัวไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก ทั้งภาพผู้คนในตลาด วัดวาอาราม ภาพความเป็นอยู่ของบ่าวในโรงครัว หรือวิถีชีวิตของชาวพระนครในรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงถูกถ่ายทอดผ่านเส้นสายลายมือของเจ้าของผลงาน แต่กลับดึงดูดสายตาของชายหนุ่มได้ไม่เท่าแผ่นหลังกว้างสมดุลปกคลุมด้วยชุดสูทสีเข้มที่ค่อยเคลื่อนตัวผ่านฝูงชนอย่างรวดเร็ว ราวกับเจ้าตัวพยายามหลบหลีกคนเดินตามหลังอย่างเขาเสียเต็มที


หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ...เขาอยากเห็นหน้าของคนที่กำลังจะกลายมาเป็นเจ้าของคนใหม่ของเรือนริมน้ำหลังนั้น อยากพูดคุย อย่างน้อยก็เพื่อโน้มน้าวให้ใครอีกคนเปลี่ยนใจ ทั้งที่รู้ดีว่าตนไม่มีสิทธิ์อะไรในเรือนหลังนั้นแม้แต่น้อย หากแต่เขายังนึกเสียดาย ถ้าเรือนทรงฝรั่งหลังนั้นต้องตกอยู่ในมือของใครคนอื่น ไม่ใช่คนในเชื้อสายของเจ้าคุณท่าน แต่กลับเป็นใครที่เขาไม่รู้จัก


เขาไม่อยากยอม และไม่คิดจะยอม...หากการโน้มน้าวเจ้าของคนปัจจุบันเป็นเรื่องยาก ทางเดียวที่มีก็คือการโน้มน้าวคนที่สนใจมันอย่างคนตรงหน้านี้เท่านั้น


สองเท้าที่ก้าวตามชะงักลงเมื่อคนข้างหน้าหยุดยืนตรงหน้าภาพวาดสามภาพที่ถูกแขวนเอาไว้สุดโถงทางเดินของแกลเลอรี่ เรียวปากบางขยับเพียงนิดตั้งใจเอ่ยเรียกเจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ไกล หากแต่สายตากลับสะดุดอยู่ที่ภาพวาดตรงหน้าจนแม้แต่ตัวเองยังเผลอกลั้นหายใจอย่างลืมตัว




ภาพสามภาพที่เจ้าของผลงานแอบปิดเงียบไม่ยอมให้ใครได้เห็นแม้แต่ตัวเขาที่เป็นเพื่อนสนิท...แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องเป็นภาพผู้หญิงเพียงคนเดียวที่กุมหัวใจของคนวาดเอาไว้แม้เวลาพ้นผ่านมาถึงสี่ปี...ดวงหน้านวลเนียนก้มลงเพียงนิดหากแต่พอได้เห็นริมฝีปากสีสดที่ยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี มือเรียวเล็กเอื้อมออกหมายปลิดดอกมะลิสีขาวนวลตรงหน้า สไบสีกลีบบัวยิ่งขับให้ผมยาวตรงดำสนิทดูโดดเด่น ทั้งยังดวงตากลมโตหวานฉ่ำยามจ้องมองพุ่มดอกมะลิขาวนวลดูทรงเสน่ห์ทั้งที่ให้ดูอย่างไรหญิงสาวในภาพก็ไม่น่ามีอายุเกิน ๒๐ปี


หากภาพที่สองกลับแตกต่าง...เรือนไม้สักทรงไทยหลังใหญ่โตโดดเด่นอยู่กลางผืนผ้าใบ รั้วรอบขอบระแนงถูกลงสีอย่างปราณีตบรรจง ทั้งใต้ถุนสูงเปิดโล่งให้เห็นแสงสว่างลอดด้านใต้ จั่วด้านหน้าเรือนเองก็งดงามอ่อนช้อยตามเอกลักษณ์ของเรือนไทยโบราณ ยิ่งได้พิศดูก็ยิ่งรู้ว่าเจ้าของผลงานถ่ายทอดฝีมือผ่านผ้าใบผืนใหญ่ออกมาเป็นเรือนไทยหลังงามได้ไม่ผิดเพี้ยนจากต้นฉบับแม้กระเบียดนิ้ว ยิ่งเรียกรอยยิ้มกว้างจากคนที่ยืนมองอย่างลืมตัวเมื่อนึกได้ว่า ในที่สุดเรือนหลังนี้ก็กลับมาสวยโดดเด่นอีกครั้งแม้เป็นเพียงแค่ภาพวาดก็ตาม


แต่สิ่งที่ทำเอาหัวใจของชายหนุ่มกระตุกวูบราวคนลืมหายใจกลับเป็นภาพสุดท้ายที่แขวนโดดเด่นอยู่ตรงกลาง...ภาพวาดที่เจ้าตัวแน่ใจว่าศิลปินผู้สรรสร้างหมายมั่นจะยกภาพนี้ให้เป็นของขวัญสำหรับเขาอย่างที่มันเคยว่าไว้


โต๊ะไม้สักโบราณลวดลายงดงามตั้งโดดเด่นอยู่กลางภาพ ขาโต๊ะทั้งสี่สลักเสลาลวดลายอ่อนช้อย บนโต๊ะมีกองเอกสารวางเกลื่อน ทั้งยังปากกาขนนกแท่งยาวที่วางทาบอยู่ด้านบน...หากแต่สิ่งที่โดดเด่นกว่านั้นกลับกลายเป็น...ชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า...คนหนึ่งสวมชุดข้าราชการสมัยโบราณเต็มยศ เสื้อราชประแตนคอตั้งสีขาวแขนยาวกับผ้าม่วงผูกโจงสีเข้มยิ่งเสริมให้คนในภาพดูงามสง่า รูปร่างสูงสมส่วน ผมรองทรงเสยเรียบเผยให้เห็นกรอบหน้าคมเข้มตามแบบชาวสยาม ดวงตาคมสวยหากแต่อ่อนโยนด้วยรอยยิ้มปรายประดับบนริมฝีปากหยักได้รูป...กับอีกคน...ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ราวกับมาจากคนละยุคคนละสมัย รูปร่างสูงโปร่งทว่าผอมบาง ผมยาวละต้นคอถูกจับเสยทัดหูโดยมือหนาของอีกคนในภาพ สองมือของคนตัวเล็กกว่าประคองวัตถุไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าเอาไว้อย่างทะนุถนอมราวของมีค่า ที่หากสังเกตให้ดีจะเห็นตัวอักษรสลักเสลาอยู่บนนั้น ตัวหนังสือบรรจงตวัดปลายหางที่อ่านได้เป็นคำสั้นๆว่า...'ชลนธีร์'...กรอบหน้าได้รูปโน้มลงเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยวาวใสราวลูกแก้วจดจ้องเพียงวัตถุในมือ ต่างจากดวงตาคมของคนตัวสูงกว่าที่จดจ้องเพียงใบหน้านวลของคนตรงหน้า...สายตา...ที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักและอาทร


เช่นเดียวกับสายตาของชายหนุ่มเจ้าของชื่อที่สลักเสลาอยู่บนวัตถุไม้ทรงเหลี่ยมที่กำลังยืนจดจ้องภาพตรงหน้าชนิดที่ว่าเจ้าตัวแทบลืมหายใจ ดวงตาคู่สวยพราวระยับหากแต่สั่นระริกด้วยความรู้สึกเต็มตื้นจนเผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากบางของตนอย่างลืมตัว...ภาพตรงหน้างดงามเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดใด แม้ฝีไม้ลายมือของศิลปินผู้สร้างสรรผลงานไม่ได้เหนือชั้นเทียบเทียมศิลปินชั้นแนวหน้า แต่กลับงดงามด้วยความหมายล้นเปี่ยม


หากเพียงครู่เดียวที่ชายหนุ่มสะดุดห้วงลมหายใจ ภาพแผ่นหลังกว้างของคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากลับเข้ามาแทนที่ ความคิดจดจ่อต่อภาพวาดงดงามถูกดึงกลับมาสู่ความเป็นจริง สองเท้าค่อยๆขยับเข้าหาจนมาหยุดอยู่ด้านหลังร่างสูงสมส่วนนั้นเพียงแค่เอื้อม


"คุณกันต์ใช่มั้ยครับ"

เสียงนุ่มเอ่ยเรียกเจ้าตัวตามที่ได้ยินจากพี่ชายคนสนิทเมื่อครู่  หากแต่เจ้าของชื่อยังคงยืนนิ่งจนชลนธีร์เริ่มลังเล

"ผมเป็นน้องชายของพี่อาร์ม...ได้ยินมาว่าคุณกำลังจะซื้อเรือนริมน้ำของลุงกิตติ"ทั้งที่ร่ายยาวเป็นเรื่องเป็นราวแต่คนฟังกลับไม่มีทีท่าสนใจสักนิด เจ้าของร่างสูงเพียงไหวไหล่เล็กน้อยหากยังคงยืนนิ่งหันหลังให้จนคนถามเริ่มหงุดหงิด


ไอ้หมอนี่...มารยาทมีหรือเปล่านะ คนเขาถามเสียขนาดนี้ยังยืนนิ่ง ไม่แม้แต่จะหันหน้ามาคุยกัน


"คือผมแค่อยากถามว่าคุณสนใจเรือนโบราณหลังอื่นบ้างไหม พอดีผมรู้จักอยู่หลายที่ ถ้ายังไงผมแนะนำให้ได้นะครับ...เพราะเรือนของลุงกิตติหลังนั้น..."โน้มน้าวเสียยืดยาวกลับสะดุดอยู่ที่ท้ายประโยคเพียงเพราะไม่รู้จะหาเหตุผลใดมาอ้าง...จะบอกว่าหวงก็ดูไม่สมเหตุสมผลในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรือนนั้น...หรือจะบอกว่าต้องการซื้อต่อก็จะเป็นการโกหก ในเมื่อเขาไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นแม้แต่น้อยเพราะยังนึกอยากให้เรือนหลังนั้นตกเป็นมรดกของลูกหลานตัวจริงของเจ้าของเรือน...แล้วควรจะบอกว่าอะไรดีล่ะ





"คงไม่ได้หรอกครับ"



หากเพียงประโยคสั้นๆด้วยเสียงทุ้มนุ่มจากคนตรงหน้ากลับทำเอาดวงตาคู่สวยที่กลอกไปมาเพราะครุ่นคิดหาเหตุผลเบิกกว้างอย่างตกใจ ดวงหน้าเรียวยาวสะบัดขึ้นจดจ้องแผ่นหลังกว้างสมดุล ที่หากตั้งใจมองอย่างจริงจังมันช่างคุ้นแสนคุ้น



ไม่ต่างจากน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ได้ยินเมื่อครู่



"ผมไม่คิดจะซื้อเรือนหลังอื่น ต้องเป็นเรือนหลังนี้เท่านั้น"



ร่างสูงโปร่งหันกลับมาเผชิญหน้า สบดวงตาคมวาววับเข้ากับดวงตาคู่สวยที่สั่นระริกเพราะความตกตะลึง หากใบหน้าคมกลับไม่สะทกสะท้านยังคงประดับรอยยิ้มบางบนมุมปาก




รอยยิ้ม...ที่เหมือนคนในภาพวาดด้านหลังไม่ผิดเพี้ยน




"ค...คุณ..."


"ภาพนี้สวยดีนะครับ...คนวาดเขาเอาต้นแบบมาจากไหนกันนะ แปลกดี"


ดวงตาคมปรายมองภาพด้านหลังเพียงครู่ หากแต่ไม่สามารถดึงความสนใจของชายหนุ่มให้ละสายตาไปจากผู้พูดได้ ลมหายใจของเขาสะดุดนิ่งราวคนลืมวิธีหายใจ ทั้งยังสติรับรู้ที่หล่นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้



"...คุณหลวง..."



เสียงนุ่มสั่นเบาราวเสียงกระซิบหลุดจากเรียวปากบางอย่างเลื่อนลอยเรียกให้คิ้วดกหนาของคนตรงหน้ายกขึ้นเล็กน้อย



"คุณหลวงหรือ...เอ...มีคนเคยเรียกผมแบบนี้เหมือนกันนะ..."



สองเท้าขยับเข้าใกล้จนประชิดตัวคนที่กำลังยืนนิ่ง มีเพียงหัวใจที่เต้นระรัวกับสีหน้าตกตะลึงเมื่อใบหน้าคมโน้มเข้าหา ก่อนส่งเสียงกระซิบเบาข้างหู



"เมื่อนานมาแล้ว... "



ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0


เพียงคำพูดสั้นๆที่ทำเอาทำนบน้ำตาที่เก็บกักมาตั้งแต่เหตุการณ์คราวนั้นพังครืน หยดน้ำใสรื้นรอบขอบตาก่อนร่วงหล่นเป็นสายอย่างไม่อายสายตาสงสัยของคนรอบข้าง และยิ่งไหลรินไม่หยุดหย่อนเมื่อมือหนาของคนตรงหน้าเอื้อมออกแตะสัมผัสปลายนิ้วหัวแม่โป้งลงบนแก้มเนียน เกลี่ยปัดป่ายหยาดน้ำอุ่นร้อนหมายให้เหือดหาย


"ร้องไห้ทำไมครับ...ไม่ดีใจที่ได้เจอพี่หรือ"

ใบหน้าคมโน้มเข้าใกล้อีกครา หากเพียงแค่เชยปลายคางมนให้เงยขึ้น กลับถูกร่างโปร่งตรงหน้าโถมเข้าหาอย่างไม่ลังเล สองมือเอื้อมโอบแผ่นหลังกว้างแนบแน่นเหมือนครั้งสุดท้ายที่เคยได้สัมผัส และยิ่่งแนบแน่นกว่าเมื่ออีกฝ่ายโอบรั้งเอวบางของตนกลับมาเช่นกัน ลมหายใจอุ่นระเรี่ยอยู่ข้างหูยามคนตัวสูงเอื้อนเอ่ยเพียงคำพูดหนึ่งซึ่งเขารอฟังมานานแสนนาน







"คิดถึงเหลือเกินพ่อธีร์ของพี่"


สี่ปีที่เขารอคอยอย่างไร้จุดหมาย...สี่ปีที่เฝ้าถามตัวเองว่าเขากำลังรออะไรอยู่...สี่ปีที่นึกสงสัยว่าคนที่เขากำลังรอคอยจะโศกเศร้าเสียใจเพียงใด จะเฝ้าคร่ำครวญต่อหน้าโต๊ะตัวนั้นให้เขาหวนคืนกลับไปหาสักกี่ครั้งกี่หน...สำหรับเขา เวลาสี่ปีจะว่าสั้นก็แสนสั้น จะว่านานก็นานจนความหวังแทบดับสิ้น...แต่สำหรับอีกคนเล่ามันนานตราบชั่วชีวิตเลยหรือไม่

หากคำถามเหล่านั้นกลับไม่สำคัญอีกแล้ว เมื่อได้กลับมาอยู่ในอ้อมแขนนี้อีกครั้ง อ้อมกอดที่ตนโหยหายิ่งกว่าสิ่งไหน น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่อยากได้ยินยิ่งกว่าเสียงของใครในทุกเช้ายามลืมตาตื่น มือหนาที่แตะสัมผัสให้อุ่นซ่านไปถึงหัวใจที่เคยเย็นเยียบ ลมหายใจระเรี่ยคลอเคลียที่บ่งบอกถึงการมีตัวตน ทั้งยังดวงตาคมสวยที่ส่องสะท้อนภาพของเขาเพียงคนเดียว...เท่านี้ก็เพียงพอให้ช่วงเวลายาวนานที่ผ่านมากลายเป็นเพียงตัวเลขของศักราชที่ผันผ่าน และเขาได้แต่ย้ำคำสัญญากับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าต่อให้เวลาจะหมุนผ่านไปอีกสักกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี



...เขาจะไม่ยอมปล่อยมือคู่นี้ให้ห่างจากกายอีกเลย...



...ตราบใดที่เขายังมีลมหายใจ...









"อยู่นี่เองไอ้กันต์ ให้เดินตามหาซะทั่วงาน...อ้าวธีร์...เอ๊ะ! สองคนนี้รู้จักกันด้วยเหรอ"น้ำเสียงเจือความสงสัยของพี่ชายตัวสูงที่เพิ่งเดินมาถึงเรียกเสียงหัวเราะเบาจากคนสองคนที่ยืนเคียงกันไม่ห่าง ดวงตาคู่สวยวาววับด้วยหยาดน้ำตาปรายมองทางต้นเสียงเพียงครู่ ถึงได้เห็นสีหน้าประหลาดใจของพี่ชายทั้งสอง และสีหน้าตกตะลึงจนอ้าปากค้างของเจ้าของภาพวาด ดวงตาเรียวรีเบิกกว้างเพ่งมองเจ้าของร่างสูงสมส่วนสลับกับผลงานของตัวเองที่แขวนอยู่ด้านหลัง หากเพียงครู่ก็กลับกลายเป็นรอยยิ้มกว้างอย่างปิดไม่มิด


"รู้จักครับ"


คำตอบพร้อมมือหนาของคนข้างๆที่สอดประสานเข้ากับมือของเขา ทั้งยังดวงตาคู่สวยที่สบกันนิ่งเนิ่นนาน เช่นเดียวกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ประสานเป็นเสียงเดียวกันในประโยคสุดท้าย



"เมื่อนานมาแล้ว..."







หากแม้นเบื้องบนกำหนดให้คู่เคียง...เพียงกาลเวลาคงมิอาจกั้น
หากแม้นเจ้าเอ่ยคำรักให้พี่ได้ยินสักครา...พี่จักตามหาเจ้าจนพบ
แม้นกาลเวลากั้นกลาง...แต่มิอาจกั้นหัวใจของพี่ที่มีเพียงเจ้า

...สายน้ำที่หล่อเลี้ยงหัวใจของพี่...
...สายนทีเพียงหนึ่งเดียวที่พี่จักตามหา...




................................................................................................




เสียงฝีเท้าลงส้นดังเป็นจังหวะเชื่องช้าไม่เร่งรีบเมื่อเจ้าของรองเท้าหนังมันปลาบกำลังดื่มด่ำกับผลงานที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองทีละภาพผ่านผืนผ้าใบเรียงรายตามผนังห้องจัดงานที่ตอนนี้ว่างเปล่าร้างผู้คน รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้าขาวซีดที่ดูอิดโรยมากกว่าตอนเริ่มงานมากนัก เพราะความเหนื่อยล้าสะสมจากการเตรียมงานมาทั้งสัปดาห์ แต่ก็คุ้มค่าเมื่อได้รับเสียงตอบรับและคำชมจากผู้ร่วมงานมากมาย


กว่าสี่ปีที่เขาเพียรพยายามสร้างสรรค์ผลงานนับร้อยชิ้น บ้างถูกใจ บ้างก็ถูกทิ้ง แต่วันนี้คงเป็นวันที่เขามีความสุขที่สุด


และยิ่งสุขไปกว่าความสำเร็จที่ได้รับเมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำ ภาพคนสองคนที่ยืนเคียงกันราวกับผลงานชิ้นสำคัญของตนมีชีวิตขึ้นมาตรงหน้า รอยยิ้มกว้างของเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เขาไม่ได้เห็นมานานแสนนานถูกส่งผ่านมาถึงเจ้าของผลงานอย่างเขาเช่นกัน ความรู้สึกเต็มตื้นเอ่อล้นจนพาลให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยไปหมดสิ้นเหลือแต่ความยินดีต่อสิ่งที่ได้เห็น เมื่อได้รู้ว่า...



...การรอคอยของใครบางคนสิ้นสุดลงแล้ว...



คงมีเพียงตัวเขาที่ยังยืนโดดเดี่ยวอยู่ด้านในสุดของโถงจัดงาน รอยยิ้มหม่นบนใบหน้าขาวซีดยามตรึงสายตาจดจ่อเพียงผลงานชิ้นสำคัญอีกหนึ่งชิ้นที่มีคุณค่าต่อจิตใจยิ่งกว่าภาพไหนๆ...ใบหน้านวลเนียนของคนในภาพราวกำลังยกยิ้มให้ ริมฝีปากบางสีสดพาลให้นึกถึงยามที่เจ้าตัวเอื้อนเอ่ยเจรจาด้วยเสียงหวานแสนหวาน ทั้งยังมือเรียวเล็กที่เคยมีโอกาสแตะสัมผัสเพียงไม่กี่ครั้ง ทว่าความอุ่นซ่านกลับฝังลึกให้จดจำจนถึงทุกวันนี้


"ไอ้ธีร์มันได้เจอคุณหลวงของมันแล้วนะครับ"

เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบากับภาพวาดตรงหน้า หากแต่ประโยคถัดมากลับทำได้เพียงพูดกับตัวเองในใจ


...แล้วคุณพิกุลของแชมป์ล่ะครับ...ตอนนี้อยู่ที่ไหนกัน...


ภายใต้ความยินดีต่อความสุขสมหวังของเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวกลับแฝงไว้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของตัวเอง จริงอยู่ที่เขาไม่เคยคาดหวังให้ความฝันลมๆแล้งๆของเขาเป็นจริงขึ้นมา แต่เมื่อได้เห็นคนสองคนที่ยืนเคียงกันไม่ห่าง ความหวังที่เคยริบหรี่แทบดับลงก็กลับวูบไหวโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ตนจะรู้แก่ใจดีว่ากรณีของเขาช่างต่างจากชายหนุ่มอีกคนราวฟ้ากับเหว


...บอกให้เขารอแล้วก็ไม่กลับไปหา เขาจะพาลฝังใจจนไม่อยากพบกันอีกทั้งชาตินี้ ชาติหน้าเลยหรือไม่...


คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัวทั้งที่สายตายังจดจ้องราวกับหวังให้คนในภาพกลับมาตอบคำถามเหล่านั้นด้วยตัวเองเสียที


...จะโกรธ จะเกลียดกันก็ไม่ว่า ขอแค่ได้กลับมาพบหน้ากันก็พอ...




"พี่แชมป์รึเปล่าคะ"หากแต่เสียงหวานปานน้ำผึ้งกลับเรียกให้ดวงตาเรียวรีที่จดจ่อเพียงภาพวาดงามงดเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขารีบหันกลับมองเจ้าของเสียงรวดเร็วจนแม้แต่คนร้องทักเมื่อครู่ยังสะดุ้งโหยง

ชายหนุ่มไล่สายตาตั้งแต่ปลายรองเท้าส้นสูงสีครีมเรื่อยขึ้นมายังรูปร่างบอบบางภายใต้ชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้ม มือเรียวเล็กถือกระเป๋าใบย่อมกับแผ่นพับแสดงลำดับผลงานในแกลเลอรี่ ลำคอยาวระหงสมดุลกับไหล่ขาวเนียนที่โผล่พ้นชุดเดรสยาวคลุมเข่า ใบหน้าหวานระเรื่อเคลียผมยาวดัดเป็นลอนฉายแววตระหนกเพียงครู่ก่อนฉีกยิ้มหวานฉ่ำ

"เห็นพี่ธีร์บอกว่าพี่แชมป์เป็นคนวาดภาพพวกนี้ทั้งหมดหรือคะ"คำตอบที่ได้รับเป็นเพียงการพยักหน้ารับน้อยๆจากเจ้าของผลงานอย่างลืมตัว ทั้งยังสีหน้าตกตะลึงจนคนถูกมองเริ่มทำตัวไม่ถูก

"อุ๊ย! ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ...คือตวงเป็นลูกของลุงเอก คุณลุงของพี่ธีร์น่ะค่ะ...พอดีตวงสนใจงานด้านนี้เลยขอให้พี่ธีร์พามา"แต่เพราะความคิดที่ว่าอีกฝ่ายไม่เคยรู้จักตนมาก่อนถึงได้มองตนด้วยสายตาแปลกๆแบบนี้ จึงเริ่มด้วยการแนะนำตัวพอเป็นพิธี

"อ่อ...ครับ"ชายหนุ่มพยักหน้ารับอีกครั้งโดยไม่ยอมละสายตาจากใบหน้าหวานตรงหน้าแม้วินาทีเดียว...เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่แล่นเข้ามาเรียกให้เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นอย่างลืมตัว



...คล้าย...คล้ายกันมากเหลือเกิน...



คล้ายกันจนครู่หนึ่งเผลอคิดไปถึงใครบางคนที่เป็นต้นแบบของภาพวาดด้านหลัง...เผลอแม้กระทั่งตอนที่เอื้อมมือขาวซีดออกไปหมายจะจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้โดยไม่รู้ตัว






"พี่ตวง...พี่ธีร์บอกว่าจะกลับแล้วนะ"


หากแต่อีกเสียงที่แทรกเข้ามากลับทำให้หัวใจกระตุกวูบราวถูกใครผลักตกจากที่สูงจนมือที่เอื้อมออกชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เสียงนุ่มที่แทรกขึ้นไม่ได้คุ้นหูสักนิด แม้แต่รูปร่างผอมบางทว่าขาดส่วนโค้งเว้าตามแบบสตรีที่กำลังก้าวเข้าใกล้ก็ไม่เคยผ่านตาเขามาก่อน หรือจะเป็นริมฝีปากอิ่มสีสดกับดวงหน้าใสขึ้นสีระเรื่อที่ดูละม้ายคล้ายหญิงสาวคนข้างๆ เขาก็ไม่เคยเห็น


มีเพียง...สายตาคู่นั้น...ดวงตากลมโตวาวใสราวลูกแก้วที่ไหวระริกยามจ้องมองมาที่เขา จะด้วยความเกรงใจ ลังเล หรือไม่ไว้ใจอะไรก็ตามแต่ หากมันช่างคุ้นแสนคุ้นเหมือนเคยได้สบกับดวงตาหวานฉ่ำคู่นี้ที่ไหนสักแห่งเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ดวงตาคู่สวยที่คอยหลบสายตาพลางกลอกไปมาราวกับอึดอัดที่ตกเป็นเป้าสายตาเสียเต็มที ทั้งยังมือเรียวเล็กที่เอื้อมออกกระตุกแขนหญิงสาวข้างกายไม่แรงนักเพื่อเร่งให้อีกฝ่ายรีบบอกลา

"เดี๋ยวก่อนสิ พี่ยังคุยกับพี่แชมป์ไม่เสร็จเลย"แต่กลับถูกแหวกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจของเจ้าของแขนเรียวขาว จนเจ้าตัวได้แต่ยืนหน้ามุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

"คนนี้คือ..."ทว่าสำหรับคนที่ตกอยู่ในภวังค์กลับทำได้เพียงหลุดปากถามคล้ายคนละเมอเมื่อสายตายังคงจดจ้องเพียงคนที่เพิ่งมาใหม่

"นี่ตฤณ น้องชายของตวงเองค่ะ"หญิงสาวยิ้มหวานก่อนแนะนำ เจ้าของชื่อเลยจำใจยกมือไหว้อย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่ในใจรู้สึกประหม่าไม่น้อย...จะให้รู้สึกดีได้อย่างไรเล่า ก็เล่นมองเขาเสียจนแทบทะลุปรุโปร่งไปถึงไหนต่อไหน รู้จักกันมาก่อนหรือก็ไม่เคย

"ตวงมีเรื่องอยากถามพี่แชมป์เยอะเลย แต่วันนี้ตวงต้องรีบกลับแล้วค่ะ...ถ้าพรุ่งนี้ตวงจะแวะมาใหม่ พี่แชมป์จะสะดวกมั้ยคะ"เสียงเจื้อยแจ้วของคนตัวเล็กแว่วผ่านหูโดยที่คนถูกถามไม่ได้ใส่ใจฟังเท่าไหร่นัก เมื่อสำนึกรับรู้มีเพียงเด็กหนุ่มคนข้างๆที่เอาแต่เสมองไปทางนั้นทีทางนี้ทีราวกับเขาไม่มีตัวตน


"พี่แชมป์คะ"

"ค...ครับ...น้องตวงว่ายังไงนะครับ"ฐิติกรณ์สะดุ้งสุดตัวพาลให้คนถามชะงักตามไปด้วย มือขาวซีดยกขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆเพื่อเรียกสติ

"ตวงบอกว่า ถ้าพรุ่งนี้ตวงจะมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับงานด้านนี้ พี่แชมป์จะสะดวกมั้ยคะ"

"อ๋อ...สะดวกครับ"

"ถ้างั้นตวงขอตัวก่อนนะคะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันค่ะ"หญิงสาวยิ้มหวานพลางยกมือไหว้ลาอย่างนอบน้อม เช่นเดียวกับคนตัวเล็กอีกคนที่ยืนเคียงข้าง หากแต่ใบหน้าหวานกลับงอง้ำคล้ายคนไม่เต็มใจ



หลังร่ำลา สองพี่น้องก็ขอตัวกลับ เหลือเพียงใครคนหนึ่งที่ยังยืนมองตามแผ่นหลังบางภายใต้ชุดสูทสีเทาราวถูกสะกด ภาพในความคิดมีเพียงใบหน้าหวานระเรื่อที่ผิดแผกจากเด็กหนุ่มทั่วไป...หากเพียงครู่กลับสะดุ้งสุดตัวเมื่อนึกอะไรขึ้นได้


"ชิบหาย!"


คำสบถดังโพล่งจนเกิดเป็นเสียงสะท้อนก้องภายในโถงจัดงาน โชคดีที่ไม่มีผู้ร่วมงานท่านอื่นอยู่ใกล้ๆไม่เช่นนั้นคงได้ตกอกตกใจกันไปหมด...ชายหนุ่มยกมือขาวซีดขึ้นตบแก้มตัวเองสองสามทีราวเรียกสติ ก่อนเบือนหน้ามองยังภาพวาดสวยเบื้องหลังที่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ารอยยิ้มละไมของคนในภาพคลับคล้ายกำลังส่งยิ้มเยาะมาให้

"โธ่ คุณพิกุล...ทำไมต้องแกล้งแชมป์แบบนี้นะครับ"

เสียงทุ้มบ่นอุบ ทั้งแข้งขายังอ่อนแรงจนแทบทรุด อารมณ์ลิงโลดดีใจเมื่อครู่ถูกแทรกด้วยความหนักใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทำได้เพียงแค่บ่นกับภาพผลงานไร้ชีวิตของตัวเองซ้ำไปซ้ำมาทั้งยังโทษฟ้าโทษดินไม่จบสิ้น




...โกรธกันถึงเพียงนี้ แล้วคนดีจะให้แชมป์ทำยังไงล่ะครับ...





...ก็อ้ายแช่มมันไม่เคยจีบผู้ชาย!...





........................................จบบริบูรณ์..............................................




จบลงแล้วสำหรับเรื่องนี้...ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำว่า 'ขอบคุณ' ให้กับมิตรรักนักอ่านทุกท่านที่ยังคอยติดตาม The timeless tideจนมาถึงปัจฉิมบทตอนนี้ ขอบคุณมากจริงๆค่ะ สำหรับทุกคอมเม้นท์ ทุกการติดตาม

สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่แต่งโดยใช้ตัวละครที่เป็นคนไทย แถมตัวเอกยังเป็นนักศึกษาอีกต่างหาก ซึ่งเอาจริงๆแล้วผู้แต่งก็เลยวัยนี้มานานพอสมควร(จะไปบอกเขาทำไมว่าแก่แล้ว ฮา) เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรที่ผิดพลาดเกี่ยวกับเนื้อหาก็ขอน้อมรับไว้ ณ ที่นี้ค่ะ ส่วนข้อมูลสมัยรัชกาลที่๕ ผู้แต่งได้ทำการค้นคว้ามาพอสมควรแต่ยังเรียกได้ว่าห่างไกลจากคำว่าแตกฉานอีกไกลมาก แต่เพราะสนใจสภาพสังคมและวัฒนธรรมในสมัยนั้นถึงได้คิดว่าอยากลองแต่งแนวพีเรียดแบบนี้ดู ถ้าข้อมูลตรงไหนที่ผิดพลาดก็ต้องขอภัยมา ณ ที่นี้(อีกแล้ว) เช่นกันนะคะ

สุดท้ายนี้ ไม่มีอะไรจะมอบให้ค่ะ มีแต่คำว่าขอบคุณ และ ขอบคุณ (คิดคำอื่นไม่ออกแล้ว) และหวังว่าจะได้พบกันใหม่เร็วๆนี้ถ้าโอกาสเอื้ออำนวย

*กราบแทบอก* :call:

ปล. ขอบคุณเป็นทางการไปมั้ยอ่ะ แบบว่าเขิน 555
ปล.ที่สอง...อยากรู้กันล่ะซี่ว่าพี่แก้วจำน้องธีร์ได้ยังไง XD จะปล่อยเอาไว้ให้เป็นปริศนาหรือว่าพี่แก้วจะมาเฉลยด้วยตัวเองดีนะ *ถามพี่แก้วแล้วบอกว่าขอตัดสินใจอีกแป๊บช่วงนี้งานรัดตัว*

 :bye2: :bye2: :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-02-2015 21:54:50 โดย Novemberist »

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย จบได้สวยมาก น้ำตาซึมเลย ฮือๆ ดีใจที่ได้เจอกัน ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆ  :mew4: :mew1: :mew2: :-[ :impress2: :กอด1:

ออฟไลน์ Mississippi

  • Don't act like it's a bad thing to fall in love with me
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
กรี๊ดดดดด คนแต่งน่าร้ากที่ซู้ดดดดดด :katai2-1:
แอบอยากได้ตอนพิเศษตอนที่คุณหลวงมาโลกปัจจุบันอ่ะค่ะ อิอิ

ออฟไลน์ PURE LOVE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
พี่แก้วน้องธีร์ ในที่สุดก็ได้ครองคู่กัน ดีใจจังเลย  :m1:
พี่แก้วทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับน้องธีร์ได้จริง ๆ รักพี่แก้วที่สุด

ส่วนคู่แชมป์กับคุณพิกุลนี่สิ โหยยย มันต้องอย่างนี้สิ
คุณพิกุลโกรธมาก ชาตินี้เลยขอเกิดเป็นผู้ชาย มันก็สมใจสาววายอย่างเราน่ะสิ
แล้วยังจำแชมป์ไม่ได้ซะอีก แชมป์ไม่เคยจีบผู้ชาย ไม่เป็นไรน่า
ขอคำปรึกษาหลวงพิสิษฐได้นะจ้ะ อยากอ่านคู่แชมป์กับตฤณต่อจังเลย

ขอบคุณคนเขียน สำหรับเรื่องที่ทำให้เราประทับใจมาก ๆ เรื่องนี้จริง ๆ ค่ะ
สนุกมากกกก แล้วยิ่งให้จบด้วยความสุขแบบนี้ ยิ่งขอบคุณมาก ๆ เลย  :pig4: :L1:

ปล. พี่แก้วมาเฉลยหน่อย จำน้องธีร์ได้ยังไง หรือความจริงคือ พี่แก้วไม่เคยลืมน้องธีร์เลย
พี่แก้วเร่งเคลียร์งานด่วน ๆ คนอ่านรอพี่แก้วอยู่น้าาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด