{ตอนพิเศษ2 พี่มิ่ง & น้องเพชร}
“เจ้ามิ่งมารับหรือเปล่าลูก”
“… วันนี้พี่มิ่งไปทำงานที่หอศิลป์ครับ”
ผมตอบในขณะที่ตักข้าวต้มในชามขึ้นมากินเป็นอาหารเช้าของวันใหม่ ชีวิตใหม่ เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่ผมจะเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 หลังจากที่คุณแม่ส่งผมเรียนศิลปะกับพี่มิ่งเพื่อปรับจิตใจ และพี่คิงก็ส่งผมไปเรียนที่สถาบันปรับพื้นฐานให้เทียบเท่ากับ เด็ก ม. 6 ในหลักสูตรที่เร่งรัด ผมเรียนจบได้ก่อนหลักสูตรซะอีก ก่อนที่ที่คิงจะให้ผมเข้าเรียนมหาลัยเก่าของพี่คิงโดยให้ผมเลือกคณะที่อยากเข้า …
ผมเลยขออนุญาตเข้าคณะบริหารหวังที่จะตอบแทนบุญคุณในอนาคต แค่พี่คิงไม่อนุญาต ตอนแรกผมก็งงเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงค้าน แต่น้องครีมมากระซิบบอกว่าพี่คิงอยากให้เลือกในสิ่งที่ผมชอบจริงๆ พี่คิงถึงจะอนุญาต ตอนเขียนใบสมัครผมเลยติ๊กที่คณะดุริยางคศิลป์โดยมีน้องครีมนั่งยิ้มสบแขนผมอยู่ข้างๆ
จากนั้นมาพี่คิงก็ไม่เคยพูดเรืองเรียนกับผมอีกเลยปล่อยให้ผมโตและรู้จักชีวิตด้านสว่างและทางเดินอีกด้านของชีวิต พี่มิ่งเคยบอกผมว่า ไม่มีใครเป็นทุกข์ได้ตลอด แล้วก็ไม่มีใครสุขได้ตลอด … และตอนนี้ผมควรที่จะมีความสุขได้แล้ว … ถึงเวลาที่ผมต้องเรียนรู้และมีความสุขสักที
“เพชรลูก ไม่เป็นไรแน่นะ ถ้าหนูไม่อยากไปแม่จะไม่บังคับ” มือนุ่มๆของผู้หญิงที่ดูแลผมด้วยดีมาตลอดมาหลายปีจนผมสนิทใจที่จะเรียกว่าแม่ปลอบประโลมลูบศีรษะของผมอย่างอ่อนโยนจนรู้สึกเหมือนเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปของผม
“เพชรพร้อมแล้วครับแม่อย่าเป็นห่วงเลย”
“ให้ลุงชาตินะเจ้าเพชรป้าบอกให้แล้ว”
“ไม่รบกวนดีกว่าครับเดี๋ยวเพชรขึ้นรถเมไปดีกว่า ใกล้แค่นี้เอง”
“อย่าเลยลูก อันตราย มีรถก็ใช้รถเถอะ”
“แต่ …”
“อย่าบังคับแกเลยคะคุณผู้หญิง ถ้าแกอยากจะใช้ชีวิตก็ปล่อยแกเถอะ ป้าลินเชื่อว่าเจ้าเพชรพร้อมแล้วละ”
“เฮ้อ ก็ได้ๆ น้องเพชร มีอะไรโทรหาแม่ได้ตลอดเลยนะ”
“ครับ” ผมรับปากอย่างขำๆ เพราะแม่สวยน่ารักเสมอไม่ว่าจะกับผมหรือน้องครีมหรือพี่คิง ดูท่านจะเป็นกังวนมากกว่าผมซะอีก ในขณะพี่ผมรู้สึกเฉยๆ เพราะผมคิดว่า ชีวิตผมผ่านความตื่นเต้นมาเยอะแล้ว
หลังจากพี่ทานข้าวจนหมดจาน ผมก็หิ้วกระเป๋าเดินออกมาจากบ้านโดยมีคุณแม่และป้าลินยืนส่งอยู่หน้าประตูบ้าน น้องครีมเองก็โทรมาแต่เช้าก่อนผมตื่นซะอีก แค่นี้กำลังใจผมก็เต็มที่แล้ว จะเหลือก็แต่พี่มิ่งที่ออกไปทำงานแทนรุ่นพี่ที่ลาไปงานศพของญาติแล้วตั้งแต่เช้า … เลยไม่ได้มารับผมอย่างที่ตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่พี่มิ่งก็ไม่ผิด เพราะเขาก็เพิ่งรู้เมื่อคืนพร้อมๆกับผมที่ได้รู้หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาทีเพราะพี่มิ่งโทรมาบอก … เฮ้อ วันหลังก็ได้ไม่เป็นไรหรอกนะ
ครืดดดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดด ในขณะที่ผมกำลังขึ้นไปบนรถเมล์ที่จอดรออยู่ก่อนแล้วที่ป้ายหน้าหมู่บ้าน โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเป้ด้านหลังสั่นซะจนผมรู้สึกได้ ผมรีบขึ้นไปนั่งที่เบาะสำหรับคนเดียวที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายทันทีที่มองเห็นว่าเบอร์ใคร
“ครับพี่มิ่ง”
“เด็กของพี่ไปมหาลัยหรือยังครับ”
“อยู่บนรถครับ …มหาลัย XXX เท่าไหร่ครับ”
“13 บาทจ้า” ผมหยิบเงินให้ เอียงคอฟังพี่มิ่งเหมือนได้ยินเสียงวิ่งเสียงหอบดังออกมา กำลังจะไปไหนนะคนดื้อคนนี้
“น้องเพชรถึงไหนแล้ว”
“เพิ่งขึ้นรถครับ”
“เหรอครับ งั้นนั่งดีๆนะ เจอกันที่หน้ามหาลัยเนอะ”
“เอ๋! พะ พี่มิ่ง” ผมมองค้างโทรศัพท์ในมือ ก่อนจะกดโทรกลับไปก็ไม่มีคนรับสาย อะไรอ่ะ นี้พี่มิ่งโดดทำงานมาหาผมงั้นเหรอ … เอางั้นเลยเหรอ ผมไม่ชอบเลยแบบนี้ ผมว่ามันจะดูเหมือนผมเยอะเกินไป …
แต่อีกใจนึงผมรู้สึกดีจังเลย …
“เพชรจ๋า!!!”
พอลงจากรถมาได้เสียงเรียกจากพี่มิ่งก็ดังขึ้น ผมหันซ้ายหันขวาก่อนจะไปเจอกับร่างสูงโปร่งในเสื้อสีขาวคอย้วยเปื้อนสีกับกางเกงยีนต์ตัวเก่าที่ใส่แล้วใส่อีก พี่มิ่งบอกชอบเพราะผมซื้อให้เป็นของขวัญครบรอบของเรา กำลังนั่งคล้อมอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์เวสป้าสีชมพูแปร๋นคันเก่าที่ผมเคยซ้อนเป็นประจำและตอนนี้เขากำลังโบกมือให้ผมอย่างบ้าคลั่ง จนคนแถวๆนั้นมองและหัวเราะกันใหญ่เลย แหนะ แอบยิ้มให้นักศึกษาหญิงอย่างเป็นมิตรอีก ทำให้ผู้หญิงคนนั้นแก้มแดงไปอีก … น่าทุบจริงๆ
“โอ้ย ตีพี่ทำไม”
ไม่ทันขาดความคิด ผมจ้ำอ้าวไปตุบดังอั๊กที่หัวไหล่คนเจ้าชู้ และเสหน้าไปทางอื่น ไม่อยากมองคนบ้าที่ทำหน้าใสซื่ออยู่ แบบนี้หลายรอบแล้วชอบส่งยิ้มให้ใครต่อใครทั้งๆที่คบกับผมอยู่ทั้งคน ผมมันคนขี้หึงเพราะไม่รู้ว่าจะไว้ใจใครได้เท่าพี่มิ่งอีก …ฉะนั้นอย่าทำร้ายผมเลย
“ตัวเองงงงงงงงงง โกรธอะไรเขาเหย๋อ วันนี้ตัวเองแต่งตัวหล่อจัง สาวๆต้องติดตรึมแน่ สาวๆไม่เท่าไหร่ หนุ่มๆนี้ไม่เอานะ เดี๋ยวไอ้มิ่งหล่อสู้ไม่ได้” ลมหายใจข้างหู ทำให้ผมจั๊กกะจี้ต้องผละออกว่าจะหน้าบึ้งใส่ก็ต้องหัวเราะเพราะพี่มิ่งทำจมูกหมูใส่ ตลกได้ทุกสถานการณ์จริงๆ
“พี่มาได้ไงไม่ทำงานเหรอ ไม่เอาห้ามจับคนเยอะ” ผมรีบชักมือออกจากมือใหญ่โตของหมีตัวยักษ์ที่จ้องจะแกล้งผมตลอดเวลา
“พี่ฝากงานไว้กันคนอื่นแวะมาหาเด็กดำที่ไปเรียนวันแรกน่ะ”
“มาส่งผมหรือมาส่องสาวกันแน่”
“ฮั่นแน่ หึงจริงๆด้วย น่ารักจริงๆน้องน้อยของพี่มิ่ง ขอจูบหน่อย งื้ออออออ” จูบมือผมไปก่อนนะคนบ้า ผมหัวเราะเจ้าหมีตัวใหญ่ที่จูบฝ่ามือผมอย่างไม่ลดละความพยายาม จนคนที่เดินผ่านไปผ่านมามองกันตาเป็นมันส์บางคนหัวเราะ บางคนก็ทำเหมือนผมกับพี่มิ่งกำลังจูบหันอย่างงั้น เฮ้อ เลิกเล่นดีกว่าผมไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของคนแบบนี้เลย
“ผมไปเรียนก่อนนะครับ”
ผมบอกพี่มิ่งและชักมือกลับมาซุกเข้าที่เสื้อกันหนาวที่ใส่คลุมเสื้อนักศึกษามาอีกที ก่อนจะยิ้มให้พี่มิ่งอย่างที่เขาชอบให้ผมยิ้มให้ดู พอผมจะเดินออกมามือใหญ่ๆก็จับข้อมือผมไว้ทำให้ผมหันไปมองหน้าตาคมคายของพี่หมีตัวใหญ่ของผม ไม่ว่าเขาจะดูซกมกเพราะผมยาวสีขลับดำที่มัดรวบเอาไว้ หรือหนวดเคราที่รุงรังเสื้อผ้าที่มอซอแค่ไหน คนๆนี้ก็ยังดูหล่อและมีสไตล์ ผมเชื่อว่าใครก็ตามที่ได้รู้จัก มองเห็นเขา ก็ต้องหลงรักเป็นธรรมดา ผมก็เช่นกัน
เขาเป็นคนเดียวที่สามารถทำลายเกราะกำแพงภายในใจของผมได้ … นอกจากครอบครัวของผม ก็มีแต่พี่มิ่งคนเดียว ที่มองเห็นค่าโคลนตมอย่างผมให้กลายเป็นเพชรได้
“จำคาถารักของพี่ได้ไหมครับ” ผมยิ้มนิดๆก่อนจะพยักหน้า คาถารัก ที่มีผมกับพี่มิ่งเท่านั้นที่รู้ มันเป็นคาถาที่ทำให้จิตใจผมสงบลง ต่อให้มีเรื่องร้ายแรงแค่ไหน แค่ผมท่องคาถานั้นในใจ ทุกอย่างก็จะพลั่นมลายหายไป
“จำได้ครับ พี่มิ่งไม่ต้องห่วงนะ เพชรอยู่ได้”
“แล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เพชรรู้ไมต้องทำยังไง”
“ท่องคาถา … ถ้าไม่ไหวให้โทรหาคุณแม่”
“หลังจากโทรหาแม่สวยละ”
“ให้โทรหาพี่มิ่งด้วย และพี่มิ่งจะรีบมารับ” ผมพูดอย่างคล่องแคล้วเพราะทั้งคุณแม่น้องครีมและพี่มิ่งต่างพูดกรอกหูผมทุกวันมาหลายเดือนแล้ว
“ก่อนไป ท่องคาถาให้พี่ฟังให้ชื่อใจหน่อยสิ”
“ตรงนี้เลยเหรอครับ”
“ใช่ๆ หึหึ เขินละสิ น๊าท่องหน่อย” ผมถอนหายใจก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้พี่หมีของผมอีกรอบ ก้มลงไปข้างหู ก่อนจะแกล้งเบาหูเบาๆ พี่มิ่งขนลุกหัวเราะออกมา
“คุณแม่รักเพชร คุณพ่อรักเพชร ป้าลินรักเพชร พี่คิงรักเพชร น้องครีมรักเพชร พี่มิ่งรักเพชร พี่มิ่งหลงเพชร พี่มิ่งจะรักเพชรคนเดียว”
พอพูดเสร็จผมก็ผละออกมามือใหญ่ลูบหน้าผมอย่างเบามือแววตามีแต่ความจริงใจ เราคุยกันอีกสองสามคำ พี่มิ่งก็รับปากว่าวันนี้จะพาผมไปกินข้าวเย็นด้วยกันและจะโทรไปขออนุญาตที่บ้านให้ผมด้วย จากนั้นผมก็ก้าวเข้าประตูมหาลัยที่อยู่ไม่ไกลนัก … ต่อแต่นี้ชีวิตของผมได้ก้าวไปอีกขั้น …สินะ
“พี่เพชรจ้า!” เสียงใสดังกรอดออกมาจากปลายสาย
ในขณะที่ผมกำลังเดินไปที่หน้ามหาลัยหลังจากที่กิจกรรมแนะนำคณะเสร็จสิ้น วันแรกไม่ค่อยมีอะไรมากนัก พรุ่งนี้พวกพี่ๆนัดพวกเราแต่เช้าเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องทุกคนสนุกเฮฮาและไม่มีท่าทีจะเป็นอันตรายกับผม มีรุ่นพี่บ้างคนเดินมาแนะนำตัวอย่างเป็นกันเองกับผมและกอดคออยากล้อกันอย่างสนิทสนม ผมไม่จำเป็นต้องพึ่งคาถา เพียงแต่ยอมเปิดใจเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่ได้ประมาท ลืมเลือนความผิดพลาดในอดีตที่เป็นบทเรียนของชีวิต
“แพรวไปก่อนนะเพชร เจอกันพรุ่งนี้นะ”
“ครับน้องครีม” ผมตอบในขณะที่ยกมือโบกให้เพื่อนใหม่ที่แยกไปอีกทาง เธอเป็นผู้หญิงร่างบางผมดำขลับยาวจรดหลังท่าทางอ่อนหวานและเรียบร้อย และผมก็เชื่อว่าเธอจะเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับผมต่อจากนี้
“วันนี้พี่เพชรเป็นไงบ้าง ดีใช่ไมมหาลัยน่ะ”
“ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงพี่นะ พี่โอเค”
“ดีจังเลย แล้ววันนี้พี่เพชรกลับบ้านไหม มานอนกับครีมเถอะ เดี๋ยวตอนเช้าครีมไปส่ง อิอิ”
เสียงของน้องครีมสดใสและร่าเริงจนผมหัวเราะออกมา ตลอดที่อยู่ด้วยกันผมเห็นน้องเศร้าเพียงไม่กี่ครั้งและในแต่ละครั้งน้องก็น่าสงสารมากน้องครีมเข้มแข็งมาก มากจริงๆไม่เพียงแค่ทำตัวเองให้มีความสุขได้ ยังสามารถ ทำให้ใครต่อใครที่ใกล้ชิด มีความสุขได้เช่นกัน
“ขอพี่ดูก่อนนะเด็กดี”
“อะไรอ่ะ คร่าวก่อนก็บอกแบบนี้ พี่มิ่งกำลังแย่งพี่เพชรไปจากครีมใช่ไหม ฮึ!”
“โอเคๆ เดี๋ยวพี่ไปนอนกับน้องครีมก็ได้ครับ แต่หลังจากที่พี่ไปทานข้าวกับพี่มิ่งแล้วนะ”
จนแล้วจนรอดผมก็ต้องยอมแพ้เจ้าเด็กน้อยที่ทำท่าจะโกรธผมไปกันใหญ่ ผมไม่ได้ไม่อย่างนอนกับน้องครีม แต่ผมเป็นห่วงที่บ้านมากกว่า ไม่เกี่ยวกับพี่มิ่งสักนิด ครอบครัวส่วนครอบครัว คนรักส่วนคนรัก พี่มิ่งและผมเข้าใจในข้อตกลงนี้ดี และเขาก็ให้อิสระในการให้ผมอยู่กับครอบครัวได้ นั้นละคือพี่มิ่ง ก็มีเหมือนกันที่วันดีคือดีเจ้าหมีตัวยักจะมานอนกับผมที่บ้านใหญ่ซึ่งพ่อและแม่สวยก็ไม่ได้คัดค้าน
ดีซะอีก เพราะได้อยู่ในสายตาผู้ใหญ่ คุณแม่บอกผมไว้อย่างงั้น พี่มิ่งเลยเดินเข้าเดินออกบ้านผมได้อย่างอิสระเปรียบเสมือนลูกชายบ้านนี้อีกคน ไม่ต่างจากพี่บิวพี่เฟอร์พี่ราชและพี่ปิง
“เย้! รักพี่เพชรที่สุดเลยยยยยยยย ม๊วฟ!”
“จ้า งั้นแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่เข้าไปจะโทรหาอีกที อย่าดื้อละ” ผมแกล้งหยอกเจ้าตัวเล็ก
น้องครีมหัวเราะรับคำ ก่อนจะบอกลาและกดวางสายไป พอคุยกับน้องครีมเสร็จก็เดินมาถึงหน้ามหาลัยพอดี เวลาบ่าย 2 กว่าๆ ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานของพี่มิ่งเลย เอาละ ไปหาที่หอศิลป์เลยแล้วกันไม่ไกลจากที่นี้เท่าไหร่เอง
พอคิดได้อย่างงั้น ไม่เกินบ่ายสองครึ่ง ผมก็มายืนอยู่หน้าหอศิลป์ ที่พี่มิ่งทำงานอยู่ มันเป็นสถานที่เงียบสงบและไม่ค่อยมี
คนจะมาเข้าชมนักเพราะอารยะธรรมที่เข้ามาทำให้ดึงดูดความสนใจจากสถานที่แห่งจินตนาการไปเสียหมด ต่างจากผมและพี่มิ่งที่พากันคลุกคลีอยู่ที่นี้จนเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง ทำให้ผมได้ซึมซับศิลปะ จนหลงรักมันทั้งเส้นสีแสง รูปร่าง เสียงเพลง ในทุกๆแขนงในขณะที่วิชาการผมก็ไม่ทิ้ง ยังคงไปเรียนกวดวิชาในทุกๆวันอาทิตย์อย่างต่อเนื่องถึงจะไม่ได้ชอบเหมือนศิลปะ แต่ก็อยากจะเรียนให้มากๆ เผื่อจะได้ช่วยอะไรคุณพ่อและพี่คิงได้บ้าง อย่างน้อยก็ขอให้สอนการบ้านให้น้องครีมบ้างก็ยังดี
“สวัสดีครับพี่ธง”
ผมทักทายพี่ธง เจ้าของหอศิลป์เอกชนแห่งนี้ทันทีที่เดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้าไป แสงสีทองโทนหลักของหอศิลป์แห่งนี้เปล่งประกายออกมา จากพื้นและกำแพงเฟอนิเจอร์ที่ดูหรูหรา แต่ไม่ได้เป็นเฟอร์นิเจอร์แพงอะไร แค่เอามาปรับแต่งในเทคนิคศิลปะแค่นั้นเอง ผมค่อนข้างทึ่งตอนได้รู้ว่าทั้งหมดนี้พี่ธงและเพื่อนๆของเขาเป็นคนออกแบบเองทั้งหมด
ส่วนผลงานตั้งใส่กรอบอยู่ส่วนมากจะเป็นของนักศิลปะมือสมัครเล่นที่พี่ธงให้โอกาส หลายต่อหลายรูปมีของพี่มิ่งด้วย เราดีใจกันแทบตายตอนผลงานของพี่มิ่งขายออก ถึงจะไม่ค่อยมีมูลค่านัก แต่อย่างน้อยก็มีคนเห็นค่าของมันเหมือนที่พวกเราเห็นและผมเชื่อว่าอีกไม่นาน พี่มิ่งจะต้องเก่งขึ้นและโด่งดังในศิลสาขาที่พี่มิ่งรัก
“อ้าวเจ้าเพชร มาพอดี ช่วยเอากระป๋องสีตรงนั้นไปให้เจ้ามิ่งที่ห้องวาดทีนะ” ผมพยักหน้ารับ ขณะที่พี่ธงกำลังยุ่งอยู่กับบัญชีอะไรสักอย่าง
หยิบกระป๋องสีสองถังได้ผมก็เดินไปตามทางเลี้ยวซ้ายจนสุดถึงห้องสุดท้ายอย่างคุ้ยเคย เดินประตูเข้าไปในทันที ห้องสีขาวแอร์เย็นฉ่ำเหม็นกลิ่นสีแต่มีช่องระบายอากาศอยู่โดยรอบ ขาตั้งกระดาษตั้งอยู่ริมห้องไม่ต่ำกว่า 10 ขา และภาพวาดกับรูปปั้นที่วางอยู่กับพื้นบ้างวางบนโต๊ะบ้าง หรือบางอันก็ยังอยู่บนขาตั้งกระดาษ
ผมมองเห็นพี่มิ่งที่กำลังขมักเขม่นในการจรดปลายบางกาวาดลงบนผืนผ้าขนาดใหญ่ที่วางอยู่ที่พื้น ผมยังมองไม่ออกว่าเขาวาดอะไร แต่โทนของมันเป็นสีเหลืองและขาวสลับดำปะปนกันไป ดูเป็นลวดลายที่ไม่มีความหมายนั้นแค่สำหรับผมไม่ใช่พี่มิ่งที่รู้ซึ้งถึงจิตวิญญาณของรูปภาพในพื้นผ้าผืนนี้
“ทำอะไรครับ” ผมร้องทักขึ้นเมื่อไม่เห็นท่าทีว่าพี่หมีของผมจะเงยหน้าขึ้นมามองโลกภายนอกบ้างเลย
“อ่ะ … น้องเพชร … มายังไงครับ พี่บอกแล้วไงว่าพี่จะไปรับ”
“ขื่นรอพี่ผมก็เฉาตายพอดี”
พี่มิ่งหัวเราะและทำท่าจะลุกขึ้นมาหาผมแต่ผมก็โบกมือให้เขานั่งอยู่ตรงนั้น เป็นตัวผมเองที่เดินไปหาเขาวางกระป๋องสีลงและนั่งขัดสมาธิข้างๆเขา มือทั้งสองเปิดกระเป๋าเป้ หยิบขนมซองเล็กๆสองสามซองขึ้นมาฉีกวางไว้ในถุงพลาสติกและหยิบขวดน้ำเย็นที่ผมเพิ่งซื้อมาเปิดส่งให้พี่มิ่งดื่มแก้กระหาย เขารับไปก่อนจะกระดกเกือบหมดขวดและส่งคืนให้ผม ไม่วายก้มลงมาหยอกล้อกับแก้มของผม จั๊กกะจี้จนต้องย่นคอหนี
“คิดถึงจัง” พี่มิ่งก้มลงมาหอมผมอีกรอบ ผมหัวเราะและเอามือยันหน้าอกดีดตัวหนี ลุกขึ้นยืน
เดินไปที่รูปภาพที่วาดเสร็จแล้ววางพาดอยู่ตามกำแพงห้องในกรอบไม้ที่ตีเอาไว้ลวกๆ เอานั่งยองๆลงมองรูปของเด็กตัวสีแดง ที่กำลังร้องไห้ทั้งรอยยิ้ม รอบตัวมีสีต่างๆแต้มเอาไว้เป็นจุดๆ ดูแล้วมีความสุขปะปนไปกับความเศร้า มือเล็กๆของหนูน้อยนั้นถือของเล่นเอาไว้ มันเป็นตุ๊กตาคนแก่ตัวเล็กๆที่มีหนวดยาวตามใบหน้า
“ลูกของเราไง โอ้ย! ตีพี่จำม๊ายยยยยย” เสียงนั้นร้องออกมาหลง เมื่อผมตีเข้าที่หน้าอกแข็งเป๊กนั้นอย่างหมั่นไส้ ขยันหยอกจริงๆคนอะไรก็ไม่รู้
“ก็หาเรื่องเอง ใครวาดรูปนี้เหรอ”
“พี่” เขาชี้ไปที่อกตัวเองอย่างภูมิใจ ผมหัวเราะออกมานิดนึงก่อนจะหันไปและจิ้มหน้าอกนั้นอย่างมันเขี้ยว
“พี่วาดไงมันเลยไม่ได้ออกไปจัดแสดง งื้ออออ”
เสียงของเราหายไปกับริมฝีปากที่ทาบลงมาฉวยเอาอากาศหายใจของผมไป แต่กลับกันมันกลับรู้สึกดี … ดีอย่างที่ผมไม่เคยได้รับจากใครเลย มันมีตั้งความอ่อนโยนหยอกเอิญ ขี้เล่นและทะนุถนอมกันสุดหัวใจ ดีจังเลยที่ได้ออกมาจากนรกแห่งนั้น ดีจังเลยที่ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ … ดีจังเลย ที่ผมมีวันนี้ … ขอบคุณครับ ไม่รู้จะขอบคุณใคร น้องครีม พี่คิง คุณพ่อ คุณแม่ หรือพี่มิ่ง … ที่ทำให้ผมมีความสุข … ถึงจะให้ตายตอนนี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว
“อีก 5 ปีนะครับ รอพี่นะ … แล้วพี่จะไปรับน้องเพชรมาอยู่ด้วย … พี่สัญญา” เสียงกระซิบนั้นทำให้ผมไม่อาจสู้สายตาที่มองมาได้ … ผมจะไปได้เหรอ … ในเมื่อที่บ้านของผม คุณแม่ … น้องครีมยังอยู่ด้านหลัง … ผมทิ้งไปไม่ได้หรอก … ไม่มีทางเลย พวกเขามีบุญคุณ บุญคุณที่ผมไม่มีทางลืมได้ และไม่มีวันจะลืมด้วย
“ผม … ผม เป็นห่วงที่บ้าน”
“พอถึงวันนั้นทุกคนจะเข้าใจ … ไม่ต้องห่วงนะพี่จะพาน้องเพชรไปเยี่ยมทุกคนตลอดเวลาที่น้องเพชรอยากไป” ผมไม่ตอบอะไรอีก เพียงแต่อยู่ในอ้อมกอดนั้นให้นานที่สุด เท่าที่จะทำได้ … รัก ผมก็รักพี่มิ่งเหมือนกัน …
.
.
.
“น้องครีม ทำการบ้านหรือยัง”
เสียงของพี่คิงทำลายบรรยากาศของเราสองพี่น้องที่กำลังเล่นเกมในมือถือกันอย่างเมามัน จะพูดให้ถูกน้องคนเดียวต่างหากที่เล่น ผมเป็นแค่พี่เลี้ยงนั่งพับผ้าอยู่ใกล้ๆ คอยฟังน้องครีมเล่นไปบนไป พี่มิ่งมาส่งผมเมื่อ 1 ชั่วโมงที่แล้วหลังจากที่พาไปทานข้าวที่ร้านริมน้ำที่ประจำที่เราชอบไปหลายต่อหลายเรื่องยกมาเป็นประเด็นทำให้พี่มิ่งพูดไม่หยุด ผมรู้ความหมายของภาพเด็กนั้นแล้วละ พี่มิ่งบอกว่า เป็นความปรวนแปรของเด็กที่มีความคิดความอ่านที่บริสุทธิ์ น้ำตาคือปัญหาที่ต้องเจอในภายภาคหน้าที่แก่ตัว อะไรประมานนี้ละ เอาเถอะ พี่มิ่งก็ยังคงเป็นพี่มิ่งนั้นละนะ
‘อีก 5 ปี รอพี่นะ’
ผมเม้มปากเมื่อนึกถึงคำพูดสุดท้ายที่พี่มิ่งกระซิบข้างหูเอาไว้ก่อนจากกัน เราไม่ได้ไปไหนหากจากกัน … พี่มิ่งและผมยังยู่ที่เดิมเพียงแต่5 ปีต่อจากนี้ พี่มิ่งจะดำเนินชีวิตและสร้างรากฐานจากสิ่งที่เขาเป็น … เพื่อผม … ใช่ เพื่อผม เพราะพี่มิ่งบอกอย่างงั้นผมจึงมาความหวัง ต่อให้รอนานแค่ไหน 10 ปี 20 ปี ถ้าพี่มิ่งยังรักผม … ผมก็รอได้ รอได้ตลอดไป
“น้องครีมไม่อยากทำ น้องอยากเล่นเกม วันนี้น้องเมื่อยมากเลย นวดแป้งจนกล้ามขึ้นแล้ว”
เสียงของน้องครีมปลุกผม ทำให้ผมหันไปมองเจ้าแมลงง๊องแง๊งที่กำลังแผลงฤทธิ์ใส่พี่คิง รายนั้นก็เพิ่งกลับมาจากทำงาน แต่ไม่มีท่าทีจะโมโหเอากับน้องเลย มีแต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มยืนเท้าเอวส่ายหัวไปมาอยู่ข้างๆน้องครีม ผมมองทั้งคู่และยิ้มออกมาได้ เหมือนพ่อกับลูกเลยนะ … แต่ก็มีความสุขกันมากเลย
“ถ้าไม่ไปอาบน้ำทำการบ้าน คืนนี้พี่ไม่กอดนะ”
“อะไรอะ เมื่อกี้บอกให้น้องทำการบ้านอย่างเดียวและอาบน้ำมาจากไหน พี่เพชรดูพี่คิงสิ!”
“อะๆ ชี้ใส่ผู้ใหญ่แบบนี้ไม่สุภาพนะเด็กดี มามะ ไปอาบน้ำกับพี่แล้วเดี๋ยวมาทำการบ้าน พอเสร็จแล้วพี่นวดให้เอาไหม” ผมเอ็ดน้องพร้อมยื่นข้อเสนอ
น้องครีมทำเหมือนคิดนิดหน่อยก่อนจะค้อนพี่คิงตาคว่ำและหันมากอดผมแทน ผมหัวเราะเพราะท่าทางออดอ้อนของเด็กผมยาวคนนี้ พี่คิงส่ายหัวไปมาก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว ยังไม่ทันที่ผมจะกระเตงน้องไปอาบน้ำ เยลลี่เย็นๆก็ถูกยกออกมาเอาอกเอาใจน้องครีมจานโต น้องครีมหายงอนพี่คิงไปในทันทียิ้มแป้นเคี้ยวเยลลี่หยับๆ และพร้อมจะไปอาบน้ำกับผมด้วยความร่าเริงเป็นปกติ
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ผมพาน้องครีมที่สวมชุดนอนเป็นกระต่ายเด็กมานั่งทำการบ้านที่พรมในพื้นห้องรับแขก โดยมีพี่คิงทำงานอยู่บนเก้าอี้ไม่ไกลนัก น้องเป็นเด็กดีสอนง่ายและเข้าใจอะไรได้ง่ายฉลาดมากด้วย เสร็จด้วยความรวดเร็วเป็นเวลา 3 ทุ่มกว่าๆ ผมเลยพาน้องขึ้นมานอนบนห้องของพี่คิงตามที่พี่คิงอนุญาติส่วนตัวของเขาอาสาที่จะนอนห้องเล็กด้านล่างแทน
“พี่เพชรจ๋า … พี่เพชรมีความสุขไหม”
“กินนมอุ่นๆก่อนนะจะได้หลับสบาย”
เสียงใสนั้นงัวเงียถามผมขึ้นในขณะที่ผมเข้ามาในห้องและมองเห็นเจ้าตัวกลมกำลังซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม มือน้อยๆยื่นออกมาจากผ้าห่มคว้าเอาแก้วนมเข้าไปนั่งกินใต้นั้น ผมมองอย่างเอ็นดูและรับแก้วที่หมดแล้วมาวางไว้บนหัวเตียงก่อนที่จะแทรกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มเดียวกันหลบความหนาวเย็นของแอร์ในฤดูฝนแบบนี้
“พี่เพชรยังไม่ตอบครีมเลย” เสียงนั้นยังคงงัวเงียแขนเล็กๆกอดก่ายมารัดผมเอาไว้เหมือนเจ้ากระต่ายที่เอาแต่ใจแต่ก็น่ารัก
“มีสิครับ … มากๆเลย”
“พี่มิ่งดูแลพี่เพชรดีใช่ไหมครับ”
“… ครับ”
“ดีจังเลย พี่เพชรมีความสุขแล้ว ต่อจากนี้ไปยิ้มเยอะๆนะครับ ครีมรักพี่เพชร พี่คิงก็รัก คุณแม่ก็รักคุณพ่อก็รัก ป้าลินก็รัก พี่มิ่งก็ด้วย … ทุกคนรักพี่เพชรนะครับ ยิ้มเยอะๆนะครับ ให้เหมือนที่น้องครีมยิ้มให้กับทุกวัน …”
เสียงประโยคหลังเบาหวิว จนได้ยินเสียงของลมหายใจที่สม่ำเสมอ … น้องครีมหลับไปแล้ว มีเพียงผมที่น้ำตาไหลออกมาทั้งๆที่กำลังยิ้ม … ใช่ มันไม่ใช่น้ำตาของความทุกข์ ความสุขก็ทำให้น้ำตาไหลได้ …
~ไลน์~ เสียงของไลน์ดังขึ้นเบาๆใต้โปร่งผ้าห่มที่มีผมและน้องครีมนอนอยู่ ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ตัวเองที่อยู่ข้างๆมาเปิดดู เช็ดน้ำตาด้วยหลังมือและกดอ่าน เป็นข้อความจากพี่มิ่ง
‘5 ปีเท่านั้นที่รักของพี่มิ่ง แล้วเจอกันในความฝันนะครับเพชร ’
ผมยิ้มและหัวเราะออกมากับสติกเกอร์กวนๆของพี่มิ่งมันเป็นเสียงหัวเราะพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด ตายๆ ผมต้องกระอักกับความสุขนี้ตายแน่ๆ พอควบคุมตัวเองได้ ก็รีบพิมพ์ตอบกลับไป เป็นประโยคสั่นๆและหวังว่า พี่มิ่งจะเข้าใจเหมือนกัน
‘เพชรจะรอ ด้วยความรัก ฝันดีครับพี่มิ่ง’ ผมยิ้มผลิกตัวหันไปกอดน้องครีมเอาไว้มือกุมโทรศัพท์เอาไว้แน่นและท่องคาถาที่พี่มิ่งสอนอยู่ในใจและเผลอหลับไป … ผมมีความสุขมากๆ ขอบคุณนะครับ … ขอบคุณจริงๆ
==================
น้องเพชรมาแล้วจ้า รู้สึกซาบซึ้งแล้วจะร้องไห้ตอนเขียนฮ่าๆๆๆ เหมือนตามติดชีวิตคนที่โดนอะไรมาหนักๆจนถึงวันที่เขามีความสุข อิอิ เป็นเหมือนกันไหม
มาช้ามากเพราะติดเรียนจ้า ขอโทษนะ คู่ต่อไป บิว&เฟอร์ คู่รักฮาร์ดคอ อิอิ
เจอกันค่า ฝากเพจน๊า
ห้องเก็บนิยาย pa_pa
